Chapitre 6
“นี่เราจะไปไหนกันต่ออ่ะ หรือว่ากลับห้องเลย” ผมเอ่ยถามหลังจากออกมาจากร้านอาหาร
“อยากไปไหนต่อไหมล่ะ”
“อืม... งั้นไปเอเชียทีคกันไหม เคยไปยัง” ผมบอกยิ้มๆ อยากไปเดินเล่น เย็นๆ แบบนี้บรรยากาศมันค่อนข้างดีเลย
“เคยแต่ไม่บ่อยอ่ะ ขี้เกียจขับรถไป รถแม่งติด!” ปาร์คว่า
“ก็ไม่ต้องขับรถไปสิ”
“ไม่ขับรถไปจะไปยังไง เดินไป?” ปาร์คหันมาถามหลังจากเราสองคนขึ้นมานั่งประจำที่บนรถ
“นั่งเรือไปไง ปาร์คก็ขับรถไปจอดไว้ในห้างหรือที่ไหนที่ใกล้ๆ ท่าเรือ ถ้าไม่มีก็ค่อยนั่งบีทีเอสไปอีกทีก็ได้”
“นะ... นั่งเรือเนี่ยนะ” ปาร์คว่าด้วยสีหน้าแปลกๆ เหมือนกำลังวิตกกับการนั่งเรือข้ามฟาก
“ใช่ นั่งเรือ ไม่เคยนั่งหรอ” ผมถามพลางอมยิ้ม
“ก็ไม่เคยนิ มันจะปลอดภัยเหรอฟร๊องก์” สีหน้าปาร์คยังคงแย่เหมือนเดิม
“ปลอดภัยสิ มีฟร๊องก์อยู่ทั้งคนจะกลัวอะไร” ผมยิ้มพร้อมกับตบอกอย่างภูมิใจ ภูมิใจกับอะไร?
“เป็นคนขับเรือรึไง ฮ่าๆ พูดมาได้” ปาร์คยิ้มออกแล้วครับ แสดงว่ายอมไป
“เอาน่า ลองดูสักครั้ง เดี๋ยวจะติดใจนะ”
สุดท้ายปาร์คก็ยอมไป แม้สีหน้าจะดูกังวลบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าตอนแรก คนเรามันต้องลองอะไรที่ไม่เคยลองสักครั้ง จะได้ทำให้เรารู้ว่าเราทำมันได้และมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด
ปาร์คขับรถมาจอดไว้ยังสถานที่หนึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือสาทรนัก ตอนขับรถหน้าปาร์คดูผ่อนคลายลงมากนะ แต่พอมาถึงท่าเรือที่มันค่อนข้างจะโครงเครงแค่นั้นแหละ หน้าปาร์คดูซีดไปทันที ถ้าจะกลัวจริงๆ
“ฮ่าๆ หน้าซีดเลย” ผมทำเป็นหัวเราะเยาะ
“ปลอดภัยแน่นะ” ปาร์คถามย้ำ ไม่รู้รอบที่เท่าไรแล้ว ถามตั้งแต่ออกมาจากร้าน
ตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ดวงอาทิตย์ทอแสงสีส้มที่ขอบฟ้า แต่ยังพอมีแสงแดดอ่อนๆ รำไร ไม่ได้ร้อนอะไร ผมว่ามันกลับสวยงามมากด้วยซ้ำ เพราะแสงแดดที่สะท้อนกับผืนน้ำที่ทอดยาวของแม่น้ำเจ้าพระยา เกิดเป็นประกายสีทองอร่ามขึ้นมา ทำให้รู้สึกอบอุ่นมากเลย พบมองกลับไปเห็นปาร์คยืนอยู่ข้างๆ แล้วผมยิ่งรู้สึกอบอุ่นที่หัวใจ แม้จะเป็นแค่เพื่อนแต่ผมก็รู้สึกดีที่ได้ยืนเคียงข้างกันในเวลานี้
“อืม เชื่อสิ นั่นเรือมาแล้ว” ผมว่าก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปจับมือปาร์คเอาไว้ ให้รู้ว่าผมจะไม่ทิ้งเขาไปไหน
เมื่อเรือมาเทียบท่า ผมก็ก้าวขึ้นเรือโดยไม่ลืมที่จะกระชับมือที่จับกับปาร์คอยู่แล้วออกแรงดึงเล็กน้อยเพื่อให้ปาร์คก้าวตามผมเข้ามาในเรือ จากนั้นผมก็พาปาร์คไปนั่งบริเวณกลางลำเรือ เพื่อไม่ให้ปาร์คเมา คนในเรือค่อนข้างแน่น แต่ก็ยังพอมีที่นั่งว่างเหลืออยู่ แม้จะได้ที่นั่งแล้ว แต่มือของเราก็ยังไม่ปล่อยออกจากกัน ผมรู้สึกได้ว่าปาร์คเองก็กระชับมือตัวเองเช่นกัน
ผมหันไปยิ้มให้ปาร์ค ซึ่งตอนนี้สีหน้ากลับเป็นปกติแล้ว ปาร์คไม่ได้หันกลับมามอง แต่สายตาที่ทอดยาวไปข้างหน้านั้นผมรับรู้ได้ถึงประกายแห่งความสุข ปาร์คเองก็กำลังมีความสุขใช่ไหม สุขเหมือนกับผมในตอนนี้
“เป็นไง โอเคใช่ไหมล่ะ บอกแล้วว่ามันไม่มีอะไรหรอก” ผมพูดพลางอมยิ้ม
“^_^” ปาร์คไม่ตอบอะไร แค่เพียงหันมาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วยิ้มจางๆ ให้ผม
ไม่นานผมสองคนก็มาถึงเอเชียทีค ตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนเรือ มือของเราสองคนจับกันไว้ตลอด ถ้ามองจากสายตาของคนอื่น เราคงไม่ต่างจากคู่รัก ผมเองก็รู้สึกแบบนั้น ขอให้ผมได้มีความสุขสักหน่อยเถอะ
ตอนลงเรือผมเป็นคนก้าวนำไปก่อน แต่พอขึ้นจากเรือกลับเป็นปาร์คที่จูงมือผมนำไป คงหายจากการกังวลแล้วสินะ ถึงได้มีท่าทางมั่นใจได้แบบนี้
“ยิ้มร่าเชียว ไม่กลัวแล้วหรือไง” หลังจากขึ้นฝั่งมา ผมกับปาร์คก็ปล่อยมือกันครับ ผมไม่ได้คิดมากอะไรหรอก เพราะมันไม่มีเหตุผลที่จำเป็นจะต้องจับมือกันไว้แล้วนิ
“ใครกลัว ไหนๆ ใครกลัว” ปาร์คพูดพร้อมทำท่าดูนักเลงๆ แต่ผมว่ามันดูตลกมากกว่า
“จ้า ไม่มีใครกลัวเลย หน้านี่ซีดเชียว” ผมเบะปากพลางยิ้มเบาๆ หมั่นไส้จริงๆ ค่อยดูนะตอนกลับจะแกล้งให้เข็ด
จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นกัน ดูของโน้นนี่ เวลาเย็นๆ แบบนี้คนเริ่มมากันเยอะพอสมควร ปาร์คบ่นเสียดายที่ไม่ได้เอากล้องมา ปาร์คเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปมาก แต่ไม่ค่อยถ่ายรูปตัวเองเท่าไร แถมยังไม่ชอบให้ใครถ่ายด้วย ผมเองก็มีรูปปาร์คอยู่แค่ไม่กี่รูป ยิ่งรูปคู่นี่นับได้เลยครับ
เราใช้เวลาเดินดูของกันพอสมควร จนตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทั้งผมและปาร์คได้ของเล็กๆ น้อยๆ ด้วยกันทั้งคู่ ที่ใช้เวลาเดินนานเพราะส่วนใหญ่ปาร์คจะหยุดถ่ายรูปตามจุดแนวๆ โดยใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่ายเนี่ยล่ะครับ แต่ภาพก็ออกมาสวยอยู่ แถมบางทียังแอบถ่ายผมเวลาเผลอๆ อีกด้วย ผมแอบเห็นบางครั้งที่ปาร์คกำลังเล็งกล้องมาทางผม หน้าผมนี่คงตลกมาก บอกให้ลบก็ไม่ยอม เราเดินกันเรื่อยเปื่อยจนตอนนี้มาหยุดอยู่หน้าร้านขายตุ๊กตาไม้ทำมือร้านหนึ่ง ผมว่ามันน่ารักมากเลยนะ เป็นงานทำมือที่ละเอียดมาก
“เห้ยฟร๊องก์ ดูตุ๊กตาตัวนี้ดิ หน้าเหมือนฟร๊องก์เลย ฮ่าๆ” ปาร์คกวักมือเรียกผมให้ไปดูตุ๊กตาไม้ตัวเล็กๆ ขนาดประมาณฝ่ามือที่กำลังนั่งขัดสมาธิทำหน้าแบ๊วอยู่
“ไม่เห็นจะเหมือนเลย ตุ๊กตานี่แบ๊วจะตาย ดูสิตาโตเชียว” ผมเดินเข้าไปหาปาร์คที่ยิ้มกว้างถือตุ๊กตาตัวนั้นอยู่ ถ้าตุ๊กตาตัวนี้หน้าเหมือนผมจริง ปาร์คก็เป็นคนที่คว้ามันเอาไว้แล้วสินะ
“ฟร๊องก์ก็ตาโตเถอะ เอาไหม เดี๋ยวซื้อให้ ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิด” ปาร์คถามแต่ไม่รอฟังคำตอบจากผมเลย เดินไปหาคนขายเพื่อจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย
“วันเกิดปาร์คเนี่ยนะ แล้วมาให้ของขวัญฟร๊องก์ทำไม” หลังจากที่ปาร์คจ่ายเงินเรียบร้อย ก็เดินกลับมาพร้อมยื่นตุ๊กตามาให้ผม
“ก็วันเกิด เราต้องเป็นผู้ให้บ้างสิ” ปาร์คยิ้ม แต่ผมนี่สิ ยิ้มแก้มปริเลย
ผมยินดีรับของขวัญชิ้นนี้ไว้ แล้วเอามันมากอดไว้ที่อกทันที มันมีค่ามากสำหรับผม ถึงจะไม่ใช่ของแพงหรือมีมูลค่าอะไรมากมายนัก แต่คุณค่าทางจิตใจสำหรับผมแล้ว อะไรก็มาแทนที่มันไม่ได้
“ยิ้มไม่หุบเชียวนะ ว่าแต่ของขวัญของปาร์คอยู่ไหนล่ะ ไหนบอกว่าจะให้” นั่นสิ ผมลืมนึกถึงเจ้ากีต้าร์ตัวน้อยที่ผมอุตส่าห์ไปตามหามาให้ปาร์ค ยิ่งปาร์คถามมาแบบนี้ผมยิ่งสงสัย แสดงว่าปาร์คยังไม่เห็นของขวัญเหรอ แล้วมันหายไปไหน หรือว่าผมเมาจนคิดว่าวางไว้ที่ข้างหัวเตียงในห้องปาร์คแล้วทั้งที่จริงผมลืมหยิบไปจากหัวเตียงของผมเอง
“ฟร๊องก์ว่าฟร๊องก์วางไว้ที่โต๊ะข้างๆ หัวเตียงปาร์คนะ แต่...”
“ปาร์คไม่เห็นเห็นเลย ฟร๊องก์เบลอหรือเปล่า” ปาร์คทำหน้างง
“นั่นสิ เอาเป็นว่าเดี๋ยวฟร๊องก์กลับไปดูที่หอให้อีกที ถ้าอยู่ที่หอเดี๋ยวฟร๊องก์เอามาให้ทีหลังนะ” ผมบอกด้วยความกังวล
“โห้ แค่ของขวัญฟร๊องก์ยังลืมเลย ปาร์คไม่สำคัญสินะ” ปาร์คว่าด้วยท่าทางน้อยใจ พร้อมเดินหนี
“เห้ยๆ ไม่ใช่นะ ปาร์คสำคัญกับฟร๊องก์เสมอแหละ แต่ฟร๊องก์เองยังงงเลยว่าของขวัญมันหายไปไหน” ผมรีบวิ่งไปจับแขนปาร์คไว้ทันที ผมกลัวปาร์คจะเสียความรู้สึก
“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องให้ปาร์คก็ได้” ปาร์คหันมาตอบยิ้มๆ แต่ดูเป็นรอยยิ้มที่ฉายแววแห่งความเศร้า
“งั้นไปกินไอติมกัน มีร้านหนึ่งอร่อยมาก เดี๋ยวฟร๊องก์เลี้ยงเอง ถือว่าไถ่โทษแล้วกันนะ อย่าโกรธฟร๊องก์เลยนะ” ผมว่าก่อนจะอวยโอกาสคว้ามือปาร์คให้เดินตามไป
แล้วเราก็มาหยุดที่หน้าร้านไอศกรีมโฮมเมดร้านหนึ่ง เวลาผมมาเที่ยวที่นี่ ผมต้องแวะซื้อกินเป็นประจำ เป็นไอศกรีมแบบโคน มีให้เลือกหลายรส แต่ผมว่าที่นี่รสนมจัดว่าเด็ด รู้สึกได้ว่าเขาใช้นมสดจริงๆ มาทำ
“ปาร์คเอารสอะไร” ผมหันกลับไปถาม
“เอาเหมือนฟร๊องก์ล่ะ ไม่รู้อะไรอร่อย” หน้าปาร์คดีขึ้น แถมยังอมยิ้มอีกด้วย
“พี่ครับ เอารสนมสองอัน” ผมหันไปบอกคนขาย แต่ก็ต้องยืนรอสักพักถึงจะได้ เพราะคิวค่อนข้างเยอะ
“อ่ะนี่ได้แล้ว อร่อยมากกก” ผมว่าพลางทำหน้าฟินสุดฤทธิ์
“ไปหาที่นั่งกัน เมื่อยอ่ะ” ปาร์คว่าหลังรับไอศกรีมจากผมไป จากนั้นเราก็ไปหาที่นั่งกัน ได้ที่ดีพอดีเลย ใกล้ริมน้ำ ลมพัดเย็นๆ กับแสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไปแล้ว
ไอศกรีมวันนี้มันอร่อยกว่าทุกครั้งที่ผมเคยมากิน ผมกินไอศกรีมไปก็แอบลอบมองปาร์คที่นั่งอยู่ข้างๆ ไป นั่งพิจารณาใบหน้าเรียบเนียนได้รูป เส้นคิ้วที่เรียงสวย จมูกโด่งเป็นสัน และปากสีแดงระเรื่อที่กำลังจัดการกับไอศกรีมอยู่นั้นอย่างเพลินๆ จนปาร์คเองก็หันมามองผมเช่นกัน เราสองคนสบตากันพอดี ดวงตาคมเป็นประกายของปาร์คที่มองเข้ามายังนัยน์ตาของผม ก่อนที่นิ้วเรียวของปาร์คจะค่อยๆ เอื้อมมาแตะที่ริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา
“กินดีๆ สิ เลอะหมดแล้ว รู้ว่ามันอร่อยแต่ไม่ต้องรีบก็ได้” ปาร์คพูดติดตลก พร้อมใบรอยยิ้มบางๆ แต่น้ำเสียงเข้มเจือความเป็นห่วง นิ้วหัวแม่มือเรียวค่อยๆ บรรจงเช็ดไอศกรีมที่เลอะปากผมออก
“อ๊ะ... อืม ขอบคุณนะ” ผมก้มหน้าหนีจากสายตานั้น มันทำให้ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ผมอายและอาจจะถึงขั้นละลายลงไปกองกับพื้นราวกับไอศกรีมนี้ได้
**********__________**********
ผมกับปาร์คนั่งกันสักพัก ไอศกรีมหมดไปนานแล้ว เราสองคนก็นั่งเงียบกันตั้งแต่ที่ปาร์คเช็ดปากให้ผมนั่นเป็นต้นมา ผมก็แอบเหลือบมองปาร์คอยู่บ้าง แต่ไม่กล้ามองตรงๆ แล้วครับ อายมาก ยอมรับว่าแพ้ดวงตาคู่นั่น ส่วนปาร์คก็นั่งอมยิ้มมองยังผืนน้ำเบื้องหน้าอยู่เงียบๆ โดยที่ผมเองก็เดาความคิดของปาร์คไม่ถูกเหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“นี่ไปนั่งชิงช้าสวรรค์กัน มาที่นี่ยังไม่เคยขึ้นเลย” อยู่ๆ ปาร์คก็หันมาพูดกับผม เล่นเอาผมที่แอบมองอยู่สะดุ้งเลย
“เอาดิ ฟร๊องก์ยังไม่เคยขึ้นเหมือนกัน” ผมตอบยิ้มๆ
“ป่ะ ไปกัน” แล้วอยู่ๆ ปาร์คก็คว้ามือผมไปทันที
ไม่นานเราก็มาอยู่บนชิงช้าสวรรค์ที่เป็นแลนด์มาร์กของที่นี่เรียบร้อย แน่นอนครับว่าปาร์คเป็นคนจ่ายเงิน สบายไป เราสองคนนั่งฝั่งเดียวกันครับ ทั้งที่กระเช้าก็ถือว่ากว้างพอสมควร แต่ปาร์คกลับมานั่งติดกับผมซะงั้น จะว่าไปวิวมันก็ไม่ได้สวยเท่าไรหรอกครับบนนี้ เพราะมองไปทางไหนกรุงเทพฯ ก็เต็มไปด้วยตึกอยู่แล้ว จะมีก็แต่แสงไฟที่สะท้อนผืนน้ำที่สั่นไหวเป็นระลอกคลื่นนั้น ที่ทำให้เงาสะท้อนของแสงไฟนั้นเป็นประกายระยิบระยับเหมือนแสงดาวกลางท้องน้ำ
แล้วอยู่ๆ กระเช้าเราก็มาหยุดอยู่ตรงจุดยอดของชิงช้า เพราะให้คนขึ้นกระเช้าที่ด้านล่าง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือปาร์คโน้มหัวลงมาอิงที่ไหล่ผม เล่นเอาผมนั่งนิ่ง ค้างเติ่งเหมือนกระเช้าที่หยุดอยู่กับที่ไปเลย
“บรรยากาศดีเนอะว่าไหม” ปาร์คพูดเสียงแผ่ว
“อ่ะ... อืม” ผมตอบกลับไปเบาๆ เช่นกัน แต่ตอนนี้ตัวผมเกร็งมาก
“ถ้าได้อยู่กับแฟนแบบนี้ก็คงดี” ปาร์คเอ่ยขึ้นลอยๆ แต่ทำเอาหัวใจผมเต้นแรงอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ที่หัวใจผมทำงานหนักแบบนี้ ผมอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้นานๆ จัง อยากให้เราอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป มีความสุขด้วยกันแบบนี้ อยากเก็บมันไว้นานๆ เพราะไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสแบบนี้อีกไหม
ผมไม่รู้และไม่กล้าฟันธงหรอกว่าการกระทำของปาร์คในวันนี้ ปาร์คจะคิดยังไงกับผม อนาคตผมไม่รู้ แต่ตอนนี้คนที่อยู่ข้างๆ ผม คนที่กำลังซบไหล่ผมอยู่นี้ทำให้ผมมีความสุข ทำให้หัวใจผมเต้นแรง ทำให้ผมยิ้มได้อย่างไม่มีข้อกังขา และเขาคนนี้คือคนให้ชีวิตผมมีแสงสว่างที่สดใส เขาอยู่ข้างๆ ผมแบบนี้ตลอดไปก็พอ
ปาร์คยังคงซบไหล่ผมอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่านานเท่าไร จนกระทั่งสิ้นสุดรอบของเราทั้งคู่ ผมไม่อยากให้ชิงช้าสวรรค์หมดรอบเลย แต่จะทำไงได้ล่ะ แต่แค่นี้ผมก็มีความสุขจนปริ่มล้นแทบสำลักออกมาแล้ว
“กลับกันเถอะ เดี๋ยวดึก ยังไม่ได้แกะของขวัญเลย” ปาร์คว่าพลางเดินนำผมไปยังท่าเรือ
ขากลับนี้ปาร์คไม่มีท่าทีกลัวเรือเหมือนตอนแรกครับ คงรู้แล้วแหละว่ามันไม่ได้อันตรายอะไร ผมก็พอเข้าใจนะครับ คนไม่เคยทำ แล้วลองทำอะไรครั้งแรก ก็ย่อมมีกลัวกันบ้าง แต่ดูคราวนี้สิ เป็นผู้นำเชียว
**********__________**********
ใช้เวลามากพอสมควรกว่าที่จะฝ่ารถติดมาถึงคอนโดฯ ของปาร์คได้ เมื่อมาถึงคอนโดฯ พวกผมก็ต้องเหนื่อยกันอีกรอบ กับการขนของขวัญ ทั้งกล่องเล็กกล่องใหญ่ (แต่ก็ยังคงไม่เห็นกล่องของขวัญของผมเช่นเดิม) ขึ้นห้อง
“ฮ้า หมดซะที” ปาร์คล้มตัวลงนั่งที่โซฟาทันทีที่ขนของขวัญเที่ยวสุดท้ายขึ้นมาบนห้อง แต่ทำเหมือนว่าขนกันหลายรอบมาก ทั้งที่จริงแค่สองรอบเอง ของขวัญมันไม่ได้มีเยอะอะไรมากมายหรอกครับ แต่มีอยู่สองกล่องที่ใหญ่ เดาได้เลยว่าคงเป็นตุ๊กตา โคตรเข้ากับปาร์คเลย ให้ตุ๊กตา ฮ่าๆ
“ทำเป็นเหนื่อย ฟร๊องก์เห็นถือกล่องใหญ่แค่กล่องเดียวเอง โถ่” ผมแซว ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาข้างๆ ปาร์ค
“มันหนักนะ” ปาร์คทำเสียงอ้อน เห็นแล้วขำครับ ไม่น่าเชื่อนะว่าปาร์คจะดูตลกได้ขนาดนี้ และผมคิดว่าคงไม่มีใครเคยเห็นมุมนี้ของปาร์คหรอก เพราะอยู่ต่อหน้าคนอื่น ปาร์คเฮฮาก็จริง แต่ก็ค่อนข้างจะเคร่งขรึมอยู่พอสมควร ไม่ได้มีมุมน่ารักๆ บวกกับความปัญญาอ่อนแบบที่ผมได้เห็นอยู่นี่หรอก
“เริ่มแกะเถอะ อยากเห็นของขวัญแล้ว ถ้าน่ารักจะได้จิ๊ก ฮ่าๆ”
“แหนะๆ ไม่ต้องมาเนียนเลย ของขวัญตัวเองก็ไม่มี” ปาร์คจี้จุดเล่นเอาผมเศร้าลงทันที
“...” ผมหุบยิ้มไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ฟร๊องก์... เห้ย ปาร์คขอโทษ ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย โอ๋ๆ” ปาร์คหันมามองหน้าผมหน้าเสียเลยครับ ก่อนจะดึงผมไปซบอกแล้วลูบผมปลอบ “ไม่มีก็ไม่เป็นไร แค่ของขวัญเอง ยังไง ‘ตัวคน’ ก็ต้องสำคัญกว่าสิ”
“ฟร๊องก์ไม่เป็นไรหรอก ขอโทษนะที่ลืมเอาของขวัญมา แต่มีให้แน่นอน” ผมขืนตัวออกจากแผงอกนั้น พร้อมกับขอบตาที่ร้อนผ่าวและห้ามหยดน้ำไม่ให้ร่วงหล่นจากขอบตานั้น “แกะเถอะ ดึกแล้ว” ผมตัดบท ก่อนจะก้มหน้าไปหยิบกล่องของขวัญมาไว้ในมือ
“อืม ของฟร๊องก์ไว้ทีหลังก็ได้ไม่เป็นไรหรอกเนอะ จริงๆ ไม่ต้องให้ปาร์คก็ไม่ว่าอะไรหรอก ได้มาทุกปีแล้ว” ปาร์คเอื้อมมือมาโยกหัวของผมเบาๆ ทำให้ผมยิ้มออก แล้วเราสองคนก็ลงมือแกะของขวัญนับสิบกล่องตรงหน้า
ไม่นานของขวัญตรงหน้าก็ถือแกะออกจากกล่องจนหมด มีของหลายอย่างครับ ทั้งถูกและไม่ถูกใจปาร์ค แต่ปาร์คบอกว่าก็ดีใจหมดแหละ เพราะทุกคนตั้งใจให้ จิตใจหล่อจริงๆ ครับ
“เอ๊... รู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่าง” ปาร์คทำท่านึกอะไรบางอย่างก่อนจะลุกจากโซฟาก่อนหายเข้าไปในห้องนอน ผมมองตามด้วยความสงสัย ไม่นานปาร์คก็กลับออกมาพร้อมกับกล่องของขวัญคุ้นตาในมือ
“ของใครน๊า ลืมทิ้งไว้ในห้อง” ปาร์คทำท่าล้อเลียน ผมที่เหลียวกลับไปมอง เห็นแล้วถึงกับยิ้มแก้มปริเลยครับ นึกว่ามันจะหายไปซะแล้ว เพราะผมจำได้ว่าผมวางไว้ให้ปาร์คแล้วเมื่อคืน ที่แท้ก็แกล้งผมนี่เอง เล่นซะเนียนเลย
“นี่แกล้งกันเหรอเนี่ย รู้ไหมฟร๊องก์ใจไม่ดีเลยนะ นึกว่าของขวัญจะหายไปแล้วซะอีก” ผมเดินไปหาปาร์คที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง ก่อนจะต่อว่าด้วยใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มอยู่ไม่เปลี่ยน
“ข้างในนี้คืออะไรนะ อยากรู้จัง แกะเลยนะ”
“อืมมม” แล้วปาร์คก็บรรจงแกะห่อของขวัญของผมอย่างเบามือ และดูระมัดระวังมาก อย่างที่ผมบอกว่าแหละครับ ปาร์คเก็บของขวัญทุกอย่างของผมเป็นอย่างดี ไม่เว้นแม้กระทั่งกระดาษห่อของขวัญ จึงไม่แปลกที่จะเห็นปาร์คตั้งใจแกะขนาดนี้ ซึ่งต่างจากอันก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง
“จะเปิดแล้วนะ” พอแกะกระดาษออกจนหมด ปาร์คก็วางกระดาษนั้นไว้ที่ชั้นหนังสือข้างๆ ประตู แล้วค่อยๆ เปิดฝากล่องของขวัญนั้นอย่างทะนุถนอม ส่วนผมนี่ยิ้มไม่หุบเลยครับ ก้มมองมือปาร์คที่กำลังเปิดฝากล่องอย่างตื่นเต้น ยิ่งกว่าเปิดดูผลสอบอีก
“น่ารักมากเลยฟร๊องก์ มีเสียงด้วย แถมยังมีชื่อปาร์คด้วย โคตรชอบเลย” ปาร์คยิ้มกว้างทันทีที่ได้เห็นของขวัญ แถมยังเอานิ้วดีดสายกีต้าร์เบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยแววตาที่สดใสแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
“เป็นไง น่ารักมากเลยใช่ไหมล่ะ” ปาร์คที่ว่ายิ้มกว้างแล้ว แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ้มกว้างกว่าอีก ปากนี่จะฉีกถึงใบหูอยู่แล้ว
“โคตรน่ารัก น่ารักเหมือนคนให้ ถูกใจมากเลย” เมื่อกี้ผมหูฝาดหรือเปล่า ปาร์คพูดว่าผมน่ารักอีกแล้ว ผมได้ยินไม่ผิดใช่ไหม นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม
“ปาร์คว่าอะไรนะ ฟร๊องก์ได้ยินไม่ชัดเลย” ผมแกล้งถามต่อ
“น่ารักครับ น่ารักเหมือนฟร๊องก์เลย แต่ฟร๊องก์น่ารักกว่าอีก ชัดพอไหมครับ หื้ม” ปาร์คว่าพร้อมกับยื่นมืออีกข้างมาบีบจมูกผมส่ายไปมา
“เจ็บ!” ผมว่าพลางสะบัดหน้าหนีมือใหญ่นั้น พลางย่นจมูกใส่ แต่ริมฝีปากก็ยังคงเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณนะฟร๊องก์ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลย ขอบคุณที่อยู่ข้างปาร์คมาโดยตลอด ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข วันนี้ฟร๊องก์ทำให้ปาร์คมีความสุขมาก เป็นวันที่ปาร์คมีความสุขมากๆ และจะจดจำไว้ตลอดไปเลย ขอบคุณจริงๆ” ปาร์คปรับเข้าสู่โหมดซึ้ง ก่อนจะหันไปวางของขวัญที่ชั้นหนังสือเดิม แล้วดึงตัวผมเข้าไปกอด
ปาร์คกำลังกอดผมอีกแล้ว ผมไม่ได้ฝันไป ผมรับรู้ได้ถึงท่อนแขนแข็งแรงที่กำลังโอบกอดรอบกายผมอยู่ ฝ่ามือที่กำลังลูบหลังผมอย่างแผ่วเบา และคางที่เกยอยู่บนไหล่ผม ผมรับรู้ถึงมันได้ ผมค่อยๆ ยกแขนตัวเองขึ้นกอดปาร์คกลับเช่นกัน เรายืนกอดกันอยู่แบบนั้นโดยไม่สนใจว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ผมมีความสุขเหลือเกิน มันสุขยิ่งกว่าสุขจากการที่เราได้รับ เพราะผมเองก็ทำให้ปาร์คมีความสุขที่ได้อยู่กับผมเช่นกัน
“ขอบคุณนะ” แล้วปาร์คก็ผละตัวออกแล้วใช้มือมาประคองใบหน้าผมไว้แทน
“อ่ะ... อืม มีความสุขมากๆ นะ” ผมพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมส่งรอยยิ้มบางๆ ผ่านริมฝีปาก
“ฟร๊องก์คือคนที่ทำให้ปาร์คมีความสุขที่สุด และเป็น ‘คนพิเศษ’ ที่สุดสำหรับปาร์ค”
“ปะ... ปาร์ค” ผมหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ‘คนพิเศษที่สุดสำหรับปาร์ค’ ผมคือคนพิเศษของปาร์ค หมายถึงผมกับปาร์ค... ผมสมหวังแล้วใช่ไหม
“รักนะครับ คนพิเศษของปาร์ค” ผมแทบอ่อนละทวยเหมือนได้ยินคำบอกรักจากปากของปาร์ค ปาร์ครักผม เช่นเดียวกับที่ผมรักปาร์ค แต่มันจะใช่ความรักแบบเดียวกันหรือเปล่านะ
“...” ผมพูดอะไรต่อไม่ถูก ตอนนี้ทุกอย่างมันล้มปริ่มที่อกข้างซ้ายของผมแล้ว ปาร์คปล่อยมือจากใบหน้าผมก่อนจะยีเส้นผมของผมเบาๆ ก่อนจะยิ้มบางๆ ให้
วันนี้เป็นวันหนึ่งที่ปาร์คมีความสุข แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นวันที่วิเศษที่สุดเลย ตั้งแต่ตื่นถึงตอนนี้ ไม่มีวินาทีไหนแล้วที่ผมไม่มีความสุข ผมลืมความทุกข์ทุกอย่าง และปาร์คคือคนเดียวที่ทำให้ผมก้าวผ่านความทุกข์มาได้
à suivre...