ตอนที่ 19
การที่เรามีความสุขมากๆบางครั้งก็ทำให้นึกกลัวได้เหมือนกัน จงรักนอนมองหน้าของคนรักที่กำลังหลับใหลอยู่นานเป็นชั่วโมงตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา ตอนนี้พูดว่าทั้งตัวและหัวใจของเขากับพี่เมฆอยู่ใกล้จนเกือบเรียกได้ว่าแนบชิด ต่างจากเมื่อก่อนที่เคยอยู่ในฐานะรุ่นน้องของเพื่อนสนิทเป็นไหนๆ ทุกวันตั้งแต่ได้คบกันจริงจังเขามีความสุขมาก มากจนบางครั้งก็นึกสงสัยว่าตัวเองยืนอยู่ในความจริงหรือความฝันกันแน่ เพราะจากคนที่ไม่เคยสนใจมองมา ตอนนี้กลับทำเพื่อเขาหลายอย่าง คำรักที่กระซิบบอกช่างหนักแน่นเสียจนอยากร้องไห้ด้วยความดีใจทุกครั้งเมื่อนึกถึง
หากความสุขนี้ยืดยาวออกไปไม่สิ้นสุดก็คงดี จงรักอยากให้ทุกวันในอนาคตเป็นเช่นวันนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องมีอะไรหวือหวา ไม่ต้องมีแม้ดอกไม้หรือของขวัญใดๆสักอย่างเดียวก็ได้ ขอเพียงมีแค่พี่เมฆอยู่ตรงนี้พร้อมกับความรู้สึกรักที่มอบให้เขาทีละน้อยไปนานๆ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
กลัวแต่ว่าวันหนึ่งยามที่กำลังล่องลอยอยู่ในความสุขที่ได้รับ กลัวตัวเองจะตื่นมาพบว่าทุกอย่างที่เคยมีหายไป ความรักที่เคยได้รับถูกลดทอน แบ่งปันหรือแม้กระทั่งคืนกลับไปเป็นของคนอื่น หากยามนั้นมาถึง เขาคงไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปเป็นแน่
เมื่อได้รับความรักนั้นทำให้หัวใจอิ่มเอมและสุขจนล้นปรี่ หากแต่ผลสะท้อนในอีกด้านหนึ่งของมันคือทำให้รู้สึกกลัวที่จะสูญเสียด้วยเหมือนกัน ใช่ว่าเขาเพิ่งจะริรัก หากแต่เขาเพิ่งเคยได้รับความรักจากคนที่แอบรัก นั่นทำให้จงรักไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกทั้งยินดีและหวาดระแวงนี้อย่างไร ต้องแบบไหนจึงจะขจัดความกลัวนั้นออกไปจากใจเสียที
“เป็นอะไร ทำไมทำคิ้วขมวดแต่เช้า” เสียงทุ้มปนแหบส่าอย่างคนเพิ่งตื่นฉุดให้จงรักหลุดจากภวังค์ความคิดสับสน
“ตื่นแล้วเหรอครับ”
“อืม” เมฆาพยักหน้ารับเบาๆก่อนลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจ จากนั้นจึงค่อยเอนหลังลงพิงกับหมอนตรงหัวนอน แล้วหันมาย้ำถามน้องอีกครั้ง “แล้วที่ถามเมื่อกี้ล่ะ ไหนคำตอบพี่”
“อ่อ…ไม่ได้เป็นอะไรครับ” จงรักตอบอ้อมแอ้ม นึกตำหนิตัวเองที่ใจลอยคิดเรื่อยเปื่อยจนพี่เมฆตื่นขึ้นมาเห็นเข้า
“จริงเหรอ แล้วทำไมสีหน้าไม่ค่อยดีเลยล่ะ หรือเจ็บตรงไหน เมื่อคืนพี่ทำแรงไปหรือเปล่า”
ไม่ว่าเปล่า ทว่าคนรักหน้าดุยังพลิกตัวขยับเข้ามาใกล้แล้วเลื่อนมือไปยังเหนือบั้นเอวของจงรักที่นอนหันหลังอยู่ก่อน จากนั้นจึงค่อยๆลงน้ำหนักมือกดนวดผ่านเสื้อนอนไปตามไขสันหลังจนถึงก้นกบ วนไปวนมาซ้ำๆอยู่แบบนั้น โดยไม่ปล่อยให้จงรักปฏิเสธความหวังดีใดๆได้แม้สักครึ่งคำ กระทั่งผ่านไปสักครู่ จงรักจึงบอกเสียงอ่อน
“พี่เมฆพอเถอะครับ ผมโอเคแล้ว ขอบคุณนะครับ”
“โอเคจริงๆหรือแค่เขินกันแน่หืม?” เห็นแก้มขาวๆนั่นแดงขึ้นมาเมฆาจึงไม่แน่ใจว่าที่จริงแล้วน้องบอกให้หยุดเพราะอายหรือเปล่า
“โอเคจริงๆครับ ความจริงก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่เมื่อยนิดๆเฉยๆ”
ต้องมาพูดตอบโต้เรื่องน่าอายเช่นนี้ ทำเอาความคิดวุ่นวายเมื่อก่อนหน้าหายวับไปจากสมอง ความจริงแล้วจงรักไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่บอกไปแล้ว เพียงแค่รู้สึกเมื่อยตัวนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ใช่เป็นเพราะความเคยชิน แต่เพราะบทรักของพี่เมฆไม่ได้รุนแรง ค่อยเป็นค่อยไปโดยมีฐานความรู้สึกของพวกเขาทั้งสองคนเป็นที่ตั้ง ดังนั้นหลังจากมีอะไรกันจงรักจึงไม่ได้เจ็บตัวเหมือนที่เคยศึกษามา
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แต่ถ้าเจ็บตรงไหนให้บอกรู้ไหม ไม่ต้องอาย เราเป็นคนถูกทำต้องลำบากกว่าที่เป็นคนทำอยู่แล้ว พี่ไม่อยากเอาเปรียบรักฝ่ายเดียว” เสียงทุ้มว่าอย่างจริงจัง
เมฆาเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง การมีอารมณ์ทางเพศแล้วมีอะไรกับคนรักนั้นย่อมเป็นเรื่องปรกติ เขาไม่ใช่คนที่เคร่งครัดเรื่องความบริสุทธิ์ผุดผ่องนัก แต่จะคำนึงถึงการให้เกียรติซึ่งกันและกัน คำนึกถึงความสุขที่จะมีร่วมกัน ไม่ใช่คอยแต่จะตักตวงเอาตามใจตัวเองฝ่ายเดียว
“โอ้ยๆ !!" อยู่ๆจงรักก็ร้องขึ้นมาเสียงดัง แล้วขดตัวงอเป็นกุ้ง
“รักเป็นอะไร! เจ็บตรงไหน” คนตัวโตกว่าพยายามพยุงตัวน้องขึ้นนั่งเพื่อดูว่าไม่สบายตรงไหน หากแต่จงรักกลับก้มหัวแล้วมุดเข้าไปในวงแขน ก่อนจะกอดหมับเข้าที่เอวสอบ
“เจ็บทั้งตัวเลย เพราะตกลงไปในหลุมรักพี่เมฆอีกแล้วเนี่ย” เจ้าตัวดีเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยท่าทางทะเล้น อยากจะเขกหัวสักทีข้อหาที่ทำให้ตกอกตกใจ แต่พอถูกอ้อนตาใสเมฆาก็ทำไม่ลง
“ทะเล้นนักนะ” คนตาดุมองอย่างคาดโทษเอาไว้เพื่อคิดบัญชีทีหลัง จากนั้นก็ก้มจูบหน้าผากมนหนักๆก่อนผละออก
“วันนี้ได้หยุด ไปเราไปเที่ยวกันไหมครับ”
“หืม? นึกยังไงน่ะเรา ปรกติไม่เห็นเคยชวนไปไหนยกเว้นไปซื้อต้นไม้” เมฆาถามอย่างแปลกใจ เพราะตั้งแต่คบกันมาจงรักยังไม่เคยร้องขอให้พาไปเที่ยวไหนนอกจากไปซื้อต้นไม้ ไปซื้อของเข้าบ้านและชวนไปเชียงใหม่คราวนั้น
“ก็ไม่นึกยังไงหรอกครับ ผมแค่คิดว่าเราไม่ค่อยได้เที่ยวไหนด้วยกันเลย วันหยุดทุกทีก็อยู่แต่บ้าน”
“เบื่ออยู่บ้านหรือเปล่า”
“ไม่เบื่อครับ พี่เมฆอย่าเข้าใจผิดนะ”จงรักรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน ก่อนอธิบาย “ความจริงแล้วผมชอบอยู่บ้าน ทำสวน ทำนั่นทำนี่ แค่เห็นว่าเราไม่ค่อยได้ไปไหนด้วยกันเท่าไหร่ ผมก็เลยชวนเท่านั้นเอง แต่ถ้าพี่เมฆไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรนะครับ เราอยู่บ้านเหมือนทุกทีก็ได้ครับ ซีรี่ส์เมื่อวานยังดูไม่จบเลยด้วย”
“อืม…ไปข้างนอกบ้างก็ได้ งั้นวันนี้ไปดูหนังนอกบ้านกัน ไม่รู้ช่วงนี้มีหนังเรื่องอะไรเข้าใหม่บ้าง” คนหน้าดุหยุดคิดนิดหน่อยก็เห็นว่าจริงอย่างที่น้องพูด ความจริงพวกเขาควรออกไปไหนมาไหนด้วยกันบ้าง อย่างน้อยก็มีข้อดีที่วันนี้น้องไม่ต้องเหนื่อยทำกับข้าวเอง
“ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
“พี่อาบก่อนดีกว่า อาบเสร็จจะได้ลงไปเช็ครถด้วย วิ่งทางไกลมาทั้งอาทิตย์”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจครับ เดี๋ยวผมรีดเสื้อให้ พี่เมฆจะใส่ตัวไหน”
จงรักลุกขึ้นจากที่นอนแล้วตอนถาม ก่อนตรงไปรอที่ลิ้นชักใส่เสื้อผ้า เมฆาทำท่าคิดนิดหน่อยก่อนตอบกลับมาว่าให้จงรักเลือกให้ ส่วนเจ้าตัวนั้นคว้าผ้าขนหนูแล้วตรงเข้าห้องน้ำไป จงรักเลือกเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มแขนสั้นที่อยู่ด้านบนสุดขึ้นมาคู่กับกางเกงยีนทรงขากระบอกสีดำ เขาคิดว่าพี่เมฆใส่สีน้ำเงินแล้วเหมาะที่สุด จะว่าไปโทนสีฟ้าหรือน้ำเงินมันก็เป็นโทนโปรดของพี่เมฆด้วย พอเลือกได้แล้วก็หันมาเลือกเสื้อผ้าของตัวเองมาบ้างจะได้เอาไปรีดพร้อมกัน
พอได้เสื้อของตัวเองเรียบร้อยหนุ่มตัวเล็กจึงหอบเอาทั้งหมดลงไปที่ห้องซักรีดชั้นล่าง รีดผ้าเสร็จก็เดินแวะไปดื่มน้ำในครัวก่อนกลับขึ้นมาบนห้อง เป็นจังหวะที่พี่เมฆออกจากห้องน้ำพอดีจงรักจึงส่งเสื้อที่เพิ่งรีดเสร็จให้ จากนั้นก็พาตัวเองเลี่ยงเข้าห้องน้ำไป เพราะวันนี้เป็นวันที่ตื่นสายมาก กว่าจะได้ออกจากบ้านกระเพาะก็ส่งเสียงร้องครวญหาอาหาร ระหว่างขับรถเมฆากับจงรักจึงตกลงกันไปด้วยว่าก่อนดูหนังจะไปฝากท้องที่ไหน เพื่อที่เวลาไปถึงจะได้ทานอาหารเลยไม่ต้องเสียเวลาเดินหาเดินนึก
“รักอยากกินอะไร” พอถามออกไปก็ถูกถามกลับคล้ายเจ้าตัวดีต้องการจะรวนกัน แต่เมฆารู้ว่าน้องเพียงแค่อยากเอาใจเขาเท่านั้น
“แล้วพี่เมฆอยากกินอะไรครับ”
“พี่ถามเรา ไม่ใช่ให้เราถามพี่เสียหน่อย”
“ก็ผมไม่รู้ว่าจะกินอะไรดีนี่ครับ”
“เลือกมาสักอย่างหนึ่งสิ เอาที่เราชอบ ตามใจตัวเองบ้างสักวัน อย่าเอาแต่ตามใจพี่”
เมื่อได้ยินพี่เมฆพูดแบบนั้นจงรักก็หันมายิ้มหวานให้โดยไม่ได้พูดอะไร แต่ที่เงียบไปเพราะกำลังใช้ความคิด กับเรื่องกินใครว่าง่ายจงรักขอเถียงสุดใจ การที่ต้องคิดว่าตัวเองอยากกินอะไรในขณะที่รอบกายมีร้านอาหารอยู่ละลานตาไปหมดนั้น ถือเป็นเรื่องยากพอๆกับทำข้อสอบวิชาแคลคูลัสตอนมัธยมปลายเลยทีเดียว
นั่งคิดไปคิดมาสุดท้ายก็วนมาลงอีหรอบเดิมคือร้านอาหารไทย อาหารประเภทอื่นจงรักไม่ค่อยสันทัดเท่าใดนักเพราะเป็นคนติดข้าว กินอะไรที่เป็นพวกสปาเก็ตตี้หรือสเต็กเขาก็นึกถึงข้าวทุกที ส่วนอาหารญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยอยากเลือกเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยถูกปากพี่เมฆ แต่พอบอกความต้องการออกไป คำตอบที่ได้รับกลับมาจากคนรักหน้าดุก็คือ
“พี่ว่ารักทำอร่อยกว่าไปกินที่ร้านนะ ไปกินอย่างอื่นไหม อาหารญี่ปุ่นเป็นไง รักชอบข้าวปั้นหน้าไข่หวานไม่ใช่เหรอ ตั้งแต่มาอยู่กับพี่ พี่ยังไม่เคยพาเราไปกินเลยนะ”
“แต่พี่เมฆไม่ชอบอาหารญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็กินได้ ไม่ใช่ไม่ชอบหรอก”
“เหรอครับ” คนตาหวานพยักหน้ารับ ก่อนจะถามกลับด้วยความสงสัย “แล้วพี่เมฆรู้ได้ไงครับว่ารักชอบข้าวปั้นหน้าไข่หวาน”
“ทีรักยังรู้เลยว่าพี่ชอบกินอะไร ทำไมพี่จะไม่รู้ว่ารักชอบกินอะไรบ้างล่ะ” มุมปากกดยิ้มกวนๆแบบที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยทำให้จงรักอดนึกหมั่นไส้นิดๆไม่ได้
“ถามเฮียวินมาเหรอครับ”
“เปล่า”
“แล้วพี่เมฆรู้มาจากใครล่ะ” ยิ่งเห็นรอยยิ้มยียวนจงรักยิ่งอยากรู้เป็นเท่าทวี
“แหล่งข้อมูลสำคัญต้องเก็บเป็นความลับสิ จะแพร่งพรายให้ใครรู้ไม่ได้” เพราะไม่ได้พูดออกมาด้วยหน้าเรียบๆ จงรักจึงคิดตัวเองยังพอมีโอกาสล้วงชื่อแหล่งข้อมูลที่ว่าได้ไม่ยาก
“กับผมก็บอกไม่ได้เหรอครับ” หนุ่มตัวเล็กเอ่ยถามด้วยประโยคอ้อนๆ พร้อมกับทำตาปริบๆจนเกินจำเป็นทำให้คนหน้าดุถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
“โทรถามพี่จิรามาน่ะ” เมฆาบอกง่ายๆเพราะใจจริงไม่ได้จะปิดเป็นความลับอะไรอยู่แล้ว แค่อยากแกล้งจงรักนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง
“พี่เมฆโทรคุยกับพี่จิด้วยเหรอครับ เมื่อไหร่น่ะ” แต่ข้อมูลใหม่ทำให้จงรักถึงกับตาโตที่ได้ยิน
“หลายวันแล้ว แต่พี่จิราก็โทรมาเรื่อยๆนั่นแหละ”
“จริงเหรอ! ทำไมล่ะครับ” ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งไม่อยากเชื่อหู ว่าอย่างพี่สาวคนโตของจงรักนั่นหรือจะโทรหาใครง่ายๆ
“จริงสิ แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรมากหรอกนอกจากถามเรื่องของรัก สงสัยโทรมาเช็คว่าพี่ดูแลเราดีไหมล่ะมั้ง”
“เป็นห่วงเกินไปแล้ว” จงรักบ่นงึมงำเพราะรู้จักนิสัยพี่สาวคนโตดี
ทีแรกเมฆาเองก็แปลกใจที่จิราโทรมาหาเขา ทว่าพอได้ฟังคำถามต่างๆที่ตามมาเขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าจิราเพียงแต่รักและเป็นห่วงน้องชายมากก็เท่านั้น เธอคงยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ที่น้องตัดสินใจย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับเขา แต่ตอนนี้เธอแสดงให้เห็นว่าวางใจมากกว่าแต่ก่อนเยอะแล้ว นั่นทำให้เมฆาไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่ต้องรับสายเธอ
“เป็นห่วงเกินไปจริงๆนั่นแหละ ทำอย่างกับพี่จะหลอกเอาน้องชายไปขายข้ามชายแดนอย่างไรอย่างนั้น…แล้วสรุปเอาไง ไปกินซูชิไหม” เมฆาเอ่ยสนับสนุนอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะย้อนกลับมาถามเรื่องเดิมเมื่อตัวรถรอเลี้ยวเข้าไปจอดในห้างสรรพสินค้า
“ถ้าพี่เมฆกินได้นะ” ยังไม่วายที่จะเป็นห่วงคนรัก เมฆาคิดว่าบางทีนิสัยขี้เกรงใจและเอาใจใส่ของน้องคงฝังอยู่ในดีเอ็นเอตั้งแต่กำเนิดแล้ว
“ทำไมจะกินไม่ได้ล่ะ มีร้านอร่อยหรือเปล่า”
“มีที่ไปกินประจำอยู่ร้านหนึ่งครับ”
“งั้นก็ตามนั้นเลย”
“ครับ” ริมฝีปากระบายยิ้มกว้างขณะตอบตกลง ในหัวมีแต่คำถามว่าทำไมคนหน้าดุต้องใจดีขนาดนี้ก็ไม่รู้
แค่นี้ก็รักจะตายอยู่แล้ว หลังจากบรรจุอาหารไปในกระเพาะจนอิ่มท้องดีแล้ว จงรักกับเมฆาก็พากันขึ้นไปดูหนังที่ชั้นบนของห้างสรรพสินค้า หนังที่เลือกดูเป็นหนังไซ-ไฟฟอร์มยักษ์ ที่ตัวเอกดำเนินเรื่องโดยการออกไปท่องอวกาศเพื่อหาบ้านหลังใหม่ให้มนุษย์แทนโลก ตัวหนังกินเวลานานเกือบสามชั่วโมง กว่าจะออกมาจากโรงหนังเล่นเอาจงรักถึงกับเหงื่อตก เนื่องจากรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำตอนช่วงกลางเรื่อง พอออกมาจากโรงหนังได้จงรักก็รีบวิ่งปรู๊ดไปเข้าห้องน้ำทันที
“พี่บอกแล้วว่าหนังมันนาน ให้ออกมาเข้าก่อนก็ไม่เชื่อ” เมื่อกลับมาจากห้องน้ำหนุ่มตัวเล็กก็โดนดุทันที
“ก็ผมกลัวออกไปตอนนั้นแล้วจะขาดช่วงนี่ครับ เดี๋ยวพลาดตอนสำคัญทำไงล่ะ”
“ก็เป็นเสียอย่างนี้ แล้วทนดูอยู่นั่นไม่ทรมานหรือไง พี่เห็นนั่งบิดไปบิดมายังทรมานแทนเลย”
“ก็นิดหน่อยครับ แต่มันสนุกนี่นา บางช่วงก็ลืมๆไปบ้างว่าตัวเองปวดฉี่”
“บีบมือพี่แน่นขนาดนั้นยังมีหน้ามาบอกว่าลืมอีก”
“อันนั้นไม่เกี่ยวครับ แค่อยากจับไว้เฉยๆ กลัวพี่เมฆหาย”
“หึๆ”
ได้ยินแต่ละคำตอบของจงรักก็ทำเอาเมฆาอดหัวเราะไม่ได้ ถึงจะฉุนที่ดื้อดึงแต่ก็ตลกในความคิดน่ารักๆจนปั้นหน้าดุได้ไม่นาน มือหนายื่นมาขยี้หัวเจ้าตัวดีจนผมยุ่งด้วยความหมั่นเขี้ยว ต่อจากนั้นจึงคว้ามือเล็กกว่ามากุมไว้แล้วจูงไปที่รถ เพราะก่อนเข้าโรงหนังพวกเขาตกลงกันไว้ว่าดูหนังเสร็จจะไปหาซื้อกระถางต้นไม้กลับไปปลูกต้นยิปโซ ในตอนแรกเมฆาคิดว่าจงรักจะเอาลงดินไว้ในสวนเหมือนทุกที แต่คราวนี้จงรักกลับบอกว่าจะปลูกใส่กระถาง เนื่องจากอยากเอาวางไว้บนระเบียงห้องนอน
“ไม่ลงดินเหมือนทุกทีเหรอ”
“ผมจะปลูกบนระเบียงที่ห้องครับ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็เวลาเปิดผ้าม่านจะได้มองเห็นไงครับ”
นึกถึงเหตุผลที่ไรเมฆาก็รู้สึกว่าอยากยิ้มออกมาทุกที ยิ่งเขาอยู่กับน้องนานวันเข้า เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปทีละน้อย แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไรมากนักเพราะคิดว่าเขาเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
เมฆาพาจงรักกลับถึงบ้านเป็นเวลาบ่ายคล้อย ทั้งสองคนช่วยกันขนกระถางต้นไม้แบบเป็นรางยาว ดินร่วน กาบมะพร้าวฝอยขึ้นไปไว้ที่ระเบียงบนห้องนอน พร้อมกับบัวรถน้ำสีเหลืองสดใสขนาดกลางอีกหนึ่งใบ พอขนอุปกรณ์ปลูกต้นไม้เสร็จก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวทำงานสวน โชคดีที่ระเบียงเป็นฝั่งตะวันออกจึงทำให้แดดร่มลมตกไปอีกฝั่งของตัวบ้าน เมื่อเวลาทำงานจะได้ไม่ร้อน
ขณะที่จงรักเตรียมดินและกาบมะพร้าวใส่กระถาง เมฆาก็ทำหน้าที่เป็นลูกมือที่ดีด้วยการขนกระถางยิปโซในห้องออกมาวางข้างนอกพร้อมกับแกะโบว์ที่พนักงานผูกมาให้ ตอนแรกคนหน้าดุยังนึกสงสัยว่ามีกระถางอยู่แล้วจะเปลี่ยนทำไมหากไม่เอาดอกไม้ลงดิน จงรักจึงอธิบายว่ากระถางที่ติดมานั้นมีเพื่อความสวยงาม มันค่อนข้างเล็กมาก ถ้าขืนปลูกในนั้นนานเข้าต้นไม้จะไม่โต อีกทั้งยิปโซยังเป็นต้นไม้ที่อ่อนไหวง่าย ถ้าปลูกในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมอาจตายได้ง่ายๆ จงรักจึงต้องย้ายมายังกระถางที่มีพื้นที่เพียงพอ ยิปโซที่แสนสำคัญของจงรักจะได้อยู่ไปนานๆ
“กระถางเล็กๆพวกนี้เราจะเอาไปทำอะไรดี น่าเสียดายนะถ้าจะทิ้ง” เมฆาเอ่ยขึ้นหลังจากที่ช่วยคนรักย้ายต้นยิปโซไปยังบ้านใหม่เรียบร้อยแล้ว
“นั่นสิครับ” จงรักมองกระถางใบน้อยๆที่ถูกเมฆาจับซ้อนกันเอาไว้เป็นระเบียบอย่างครุ่นคิด “จะเอาไปทำอะไรดี”
“เก็บไว้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวรักคิดออกค่อยว่ากันใหม่”
“ก็ดีครับ เก็บเอาไว้ เผื่อรักจะเพาะต้นกล้าอะไร ใบเล็กๆอย่างนี้คงใช้ได้อยู่”
เมื่อตัดสินใจแล้วก็ถึงคราวช่วยกันเก็บกวาดอุปกรณ์ ทำได้ครึ่งทางคนหน้าดุก็บอกให้น้องไปล้างไม้ล้างมือ ส่วนงานที่เหลืออีกไม่มากนั้นเขาจะทำต่อเอง ในตอนแรกจงรักอิดออดเพราะอยากช่วยจนเสร็จ แต่แล้วก็เดินไปล้างมืออย่างว่าง่ายเพราะนึกขึ้นได้ว่าควรหาน้ำเย็นๆมาให้พี่เมฆดื่มแก้เหนื่อย
ผ่านไปราวสิบห้านาทีจงรักกลับขึ้นมาบนห้องอีกครั้งพร้อมแก้วน้ำหวานเย็นๆ ยังไม่ทันก้าวออกมาที่ระเบียงเสียงประโยคคำสั่งก็คำให้เท้าหยุดอยู่ที่ประตูเสียก่อน ตาคู่โตมองคนรักราดน้ำไล่เศษดินบนระเบียงให้ไหลลงท่อไป จากนั้นก็นำผ้าขี้ริ้วใส่ไม้ถูกแล้วเช็ดรอยน้ำจนพื้นกลับมาสะอาดและแห้งสนิทอีกครั้ง เมฆาจึงหันกลับมาพยักหน้าบอกให้จงรักเดินมาหาได้
“ผมลงไปชงน้ำแดงมาให้” เมฆายื่นมือมารับแก้ว หากแต่จงรักกลับถือไว้มั่นโดยไม่มีท่าทีจะส่งให้ “มือพี่เมฆเลอะ เดี๋ยวผมถือให้เอง” ได้ยินดังนั้นเมฆาจึงชักมือกลับแล้วเอ่ยขอบใจ
“ขอบใจนะ”
“เหนื่อยไหมครับ”
“นิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก”
มือข้างหนึ่งถือแก้วน้ำแดง อีกข้างประคองหลอดไปที่ริมฝีปากเพื่อให้คนตัวโตดูดน้ำได้สะดวก นัยน์ตาหวานสำรวจมองใบหน้าคมจึงเห็นว่าบนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อเกาะพราวไปหมด นึกเสียดายที่ไม่ได้หยิบเอาผ้าเย็นจากในตู้เย็นมาด้วยสักผืน เมฆาปล่อยหลอดเมื่อน้ำแดงพร่องลงไปมากโข จงรักจึงถือโอกาสปาดเช็ดเหงื่อเม็ดหนึ่งที่กำลังจะไหลเข้าตาคนตัวโตให้
“ขอบใจนะ”
“เสร็จหมดแล้ว พี่เมฆไปอาบน้ำก่อนดีไหมครับ เหงื่อออกเต็มเลย”
“ก็ดีเหมือนกัน แล้วรักล่ะ”
“เดี๋ยวรอให้พี่เมฆอาบเสร็จก่อน ผมค่อยอาบต่อก็ได้”
“ไม่อาบด้วยกันเหรอ” เมฆาถามพร้อมกับส่งสายตาพราวระยับ
“ผมว่าจะลงไปดูกับข้าวสักหน่อยน่ะครับ พี่เมฆอาบเถอะ” ถูกสายตาเจ้าชู้มองมาทำเอาจงรักรู้สึกร้อนๆหนาวๆจนต้องหาทางเลี่ยง
“งั้นก็ตามใจ แต่ถ้าเปลี่ยนใจล่ะก็รีบๆตามมาเคาะประตูไวๆล่ะ” คนตัวสูงพูดจาสัพยอกแล้วกลั้วหัวเราะในลำคอก่อนเดินกลับเข้าไปในห้อง ทิ้งให้จงรักยืนบ่นพึมพำตามหลังอยู่คนเดียว
“เดี๋ยวนี้ชักจะทะลึ่งขึ้นทุกวันแล้วนะครับพี่เมฆ”
ระหว่างที่เมฆากำลังอาบน้ำ จงรักก็ลงมาเตรียมอาหารเย็นไว้รอท่า วันนี้เขาเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ดังนั้นเมนูที่ทำจึงเพิ่มผัดกระเพราหมูสับเข้ามาอย่างเดียว แล้วอุ่นแกงเลียงกุ้งที่เหลือจากเมื่อวานอีกอย่างเป็นอันใช้ได้ ระหว่างที่กำลังรอให้แกงเลียงเดือดเสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้น หนุ่มตัวเล็กหรี่เตาแก๊สก่อนวิ่งออกไปดูว่าใครมาหา
“ไม่ต้องเปิดรั้วก็ได้ แค่แวะเอาของฝากมาให้” วินเลื่อนกระจกรถออกมาพูดเมื่อมองลอดรั้วมาเห็นจงรักกำลังจะประตู
“เฮียวิน ไปไหนมาครับ กินข้าวหรือยัง” จงรักโผล่หน้าออกมาตอบโต้ตรงประตูที่เลื่อนได้เพียงแค่แทรกตัวออกได้
“ไปเชียงใหม่มา ยังไม่ได้กิน”
“งั้นถ้าไม่รีบก็เข้ามาก่อนเถอะครับ กำลังจะกินข้าวเย็นกันพอดี เฮียมากินด้วยกันนะ” รุ่นน้องตาคมบอกอีกคำก่อนเลื่อนรั้วบ้านให้เปิดออก
“เอางั้นก็ได้” วินตกลงง่ายๆแล้วเคลื่อนรถเข้าไปจอดในบ้าน พอจอดรถเสร็จวินก็ออกมาพร้อมกับถุงของฝากในมือ
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะครับเฮีย”
“สตอเบอรี่ แคปหมู ไส้อั่ว แล้วก็อะไรอีกไม่รู้ เลขาเลือกให้”
“พี่เมฆอาบน้ำอยู่ครับ” เห็นรุ่นพี่ชะเง้อคอมองเข้าไปข้างใน จงรักก็เดาว่าเฮียวินคงมองหาเพื่อนสนิท
“อ๋อ ถึงว่าเข้ามาไม่เห็นเลย นึกว่าเมฆมันออกไปข้างนอก”
“พอดีพี่เมฆช่วยผมเปลี่ยนกระถางต้นไม้ อากาศมันร้อน เหงื่อเขาออกเยอะ พอเสร็จงานผมเลยให้ไปอาบน้ำก่อนมากินข้าวน่ะครับ”
“ดูครอบครัวแสนสุขยังไงก็ไม่รู้เนอะ นี่เฮียมาเป็นก้างพวกเอ็งหรือเปล่าวะ” เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของความสุขราวกับคู่ข้าวใหม่ปลามันวินก็ชักจะรู้สึกเกรงใจ ทั้งที่ยังไม่ทันได้พบเมฆาด้วยซ้ำ
“ไม่หรอกครับเฮีย อย่าคิดอย่างงั้นสิ อยู่กินข้าวด้วยกันนั่นแหละพี่เมฆจะได้ไม่เหงา อยู่แต่กับผมทุกวัน”
“คิดมากอะไรอีกล่ะไอ้ตัวดี”
“เปล่าครับเปล่า ไม่ได้คิดมากอะไรเลย แค่คิดว่ามีเพื่อนมาบ้านบ้างก็ดีเท่านั้นเองครับ เฮียนั่นแหละคิดมาก ไปนั่งที่โซฟาเถอะครับ เดี๋ยวผมเอาน้ำมาให้”
“อืมๆ”
วินเดินไปนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นเหมือนที่จงรักบอก รอครู่หนึ่งก็มีคนเดินถือแก้วน้ำกลับมาหา แต่คราวนี้คนที่มาเป็นเพื่อนสนิทของเขาเอง เมฆาวางแก้วน้ำเย็นไว้ตรงหน้าพร้อมกับจานคุ๊กกี้อัลม่อนก่อนจะนั่งลงข้างๆกับวิน
“อ่าว จงรักล่ะ”
“ไล่ให้ขึ้นไปอาบน้ำแล้ว เดี๋ยวก็ลงมา”
“อ๋อ” วินพยักหน้ารับรู้
“ไปทำอะไรที่เชียงใหม่”
“ไปดูงานสนามกอล์ฟของเสี่ยวิชัยน่ะสิ เรื่องมากชะมัด เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่นั่นแหละ” หนุ่มหน้าตี๋บ่นอุบเมื่อนึกถึงผู้จ้างงานคนสำคัญที่ค่อนข้างเรื่องมากเป็นพิเศษ
“ก็แบบนี้แหละ โปรเจคใหญ่เรื่องยุ่งยากก็เยอะเป็นธรรมดา”
“ก็จริง นี่ยังคิดว่าหมดโปรเจคนี้จะหนีไปเที่ยวญี่ปุ่นสักครึ่งเดือน”
“เตี่ยไม่ว่าหรือไง” ถูกเพื่อนสนิทดักทางอย่างรู้ทัน วินจึงทำหน้าม้าน
“ว่าดิ ขนาดกูไปเที่ยวกับไอ้เขมคืนเดียวยังโดนบ่นจนหูชา”
“ธรรมดา เตี่ยเขากลัวมึงจะเหลวไหล ก่อนรับช่วงบริหารต่อยังไงก็ต้องสร้างภาพดีๆให้แกวางใจไว้ก่อน”
“กูก็รู้แหละ แต่มันเบื่อๆ คิดถึงสมัยเรียนชะมัด”
“คิดถึงยังไงก็ทำตัวแบบตอนนั้นไม่ได้แล้วนะวิน มึงต้องโตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว อย่าเอาแต่ใจให้มันมากนัก”
“คร้าบบบ…เตี่ย” ได้ยินเพื่อนบ่นเหมือนกับผู้เป็นพ่อไม่มีผิด วินจึงตอบรับด้วยเสียงคางยานอย่างจงใจล้อเลียน
“ทำเป็นเล่นไปได้” เมฆาส่ายหัวระอา
จับใจความที่เพื่อนปรับทุกข์ให้ฟังเมฆาก็เข้าใจ เพราะวินเป็นคนที่ค่อนข้างอิสระมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งที่เป็นลูกชายคนเดียวมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบกิจการต่อจากเตี่ย ทว่าตอนเรียนมหาลัยมันยังหนีไปลงเรียนคณะเกษตรทั้งที่ควรเรียนคณะบริหาร จนโดนเตี่ยอาละวาดบ้านแทบพัง วินจึงต้องให้สัญญาว่าเรียนจบจะมาช่วยงานที่บริษัทอย่างไม่มีบิดพลิ้วอีก เตี่ยจึงยอมอะลุ่มอล่วยให้ลูกชายเรียนคณะที่ชอบได้
“พี่เมฆ เฮียวิน รอนานไหม กินข้าวกันเถอะครับ” นั่งคุยกันไม่นานจงรักก็ลงมาจากห้อง
“ไม่นานหรอก ไปสิ” เมฆลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินตามน้องเข้าครัว โดยมีวินเดินตามไปด้วย
ทว่ายังไม่ทันได้ตักข้าวเสียงโทรศัพท์ของจงรักก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน หนุ่มตัวเล็กขอตัวออกไปคุยอยู่ครู่หนึ่งจึงกลับเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“มีอะไรหรือเปล่ารัก” เมฆากำลังทำหน้าที่ตักข้าวแทนถามขึ้นเมื่อเห็นน้องกลับเข้ามา
“มีเรื่องนิดหน่อยครับ”
“มีอะไร ไหนบอกพี่ซิ”
“คือพี่ไอกับพี่อ้ายต้องไปตกลงเรื่องพื้นที่จัดแสดงงานเวดดิ้งแฟร์ที่จีนกะทันหัน ก็เลยอยากจะฝากหลานไว้กับรักครับ”
“หลาน?”
“ลูกของพี่อ้ายน่ะครับ คือพี่อ้ายเป็นน้องสาวของพี่ไอ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของรักเหมือนกัน พี่เมฆอาจไม่เคยเจอ” เท่าที่จำได้เมฆาเคยพบกับไอเพียงคนเดียว
“แล้วพ่อเด็กล่ะ”
“คือ…เลิกกันไปนานแล้วครับ” จงรักเองก็ลำบากใจที่จะขอให้หลานๆมาอยู่ที่นี่ชั่วคราว แต่ถึงอย่างไรก็ต้องพูดอยู่ดี “แต่รักยังไม่ได้ตอบตกลงไปเพราะว่าจะมาถามพี่เมฆก่อน”
“อืม” เมฆาทำท่าคิดนิดหน่อยก่อนเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ให้หลานๆมาพักที่นี่ก็ได้”
“ได้เหรอครับ!”
“ได้สิ แต่บอกไว้ก่อนว่าพี่เข้าหาเด็กไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ รักตกลงกับพี่ๆเขา รักก็ต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นนะ”
“ครับๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ก่อนพี่อ้ายก็เคยพาเด็กๆมาฝากกับรักเหมือนกัน”
“งั้นก็โทรไปบอกพี่เขาเถอะ ว่าพี่ไม่มีปัญหาอะไร”
“ขอบคุณครับ”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบรับจงรักก็ยิ้มกว้างอย่างยินดี ก่อนจะวิ่งออกไปต่อสายหาลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง ทิ้งให้เมฆายืนเคว้งอยู่ในห้องครัวพร้อมกับเพื่อนสนิทที่มองมากด้วยสายตาเป็นห่วงปนเวทนา เพราะใครๆเขาก็รู้กันตั้งแต่สมัยเรียนว่าเมฆาไม่ถูกโรคกับเด็กเล็กๆสักเท่าไหร่ หากแต่ใครๆที่ว่าคงไม่รวมน้องรหัสของเขาด้วยกระมัง
“ซวยแล้วไอ้เมฆ”
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
มาแล้วค่ะ!!
หายไปนาน ตอนนี้ก็เลยมายาวขึ้นกว่าเดิมนิดนุง
ตอนนี้ความสัมพันธ์กำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น
แต่เรื่องนี้เราตั้งใจเขียนให้เป็นชีวิตของคนธรรมดา ธรรมดาจริงๆ
กลับไปนั่งอ่านตอนเก่าๆ แล้วทำให้พบว่า เนื้อเรื่องค่อนข้างเรื่อยๆ ไม่หวือหวา
แต่นี่แหละค่ะ จุดขายของเรื่องนี้ล่ะ!! (ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน555555)
ยังไงก็อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ แม้เนื้อเรื่องจะเรื่อยๆเปื่อยๆ
คนเขียนมาต่อไม่ถี่นัก แต่เราต้ังใจมากๆน้า~
อ่านตอนนี้จบ มีเรื่องอยากถามคนอ่านนิดนึงค่ะ
ถ้าสะดวกตอบได้ขอให้ตอบหน่อยนะ เราอยากรู้จริงๆ
คำถามคือ ตั้งแต่อ่านมาจนถึงตอนปัจจุบัน ชอบฉาก/ตอน ไหนมากที่สุดคะ และเพราะอะไรความจริงเนื้อเรื่องมันก็ไม่มีอะไรมาก แต่ก็ดำเนินมากเกินครึ่งเรื่องแล้วนะ
ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป ฝากตอบเราด้วยนะคะ
แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
ปล.คำถามไม่ได้ชิงรางวัล แต่จะมาต่อตอนต่อไปให้เร็วกว่าเดิมค่ะ สัญญาเลย /เกี่ยวก้อย
อีกอย่าง เราได้ลงต้นแบบอิมเมจหน้าตาของพี่เมฆกับจงรักไว้ในเพจค่ะ แวะไปดูกันได้นะคะ ^^
pungjungza
[05/03/2558 ,19:54]