สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนจบ 10/06/2018 หน้า 4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สุดต๊อง หัวใจกุ๊กกิ๊ก ตอนจบ 10/06/2018 หน้า 4  (อ่าน 17345 ครั้ง)

ออฟไลน์ A_bookworm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
เมื่อไหร่จะได้กลับไปหาสุดฟ้าน๊าาาาา น้องซี

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สามสิบเอ็ด


กรินไม่ได้เร่งร้อนเดินทางกลับเข้าเมืองเนื่องจากแผนการผนึกดวงจิตพยัคฆ์เจ้าป่าสำเร็จเร็วกว่ากำหนดที่เขาคาดการณ์ไว้ เขาหาที่พักแรมในป่าเพื่อฝึกให้ชวิศาสามารถใช้มนตราได้เพิ่มขึ้นอีกนิด ซึ่งที่จริงเขาอยากเคี่ยวเข็ญให้อีกฝ่ายเชี่ยวชาญเวทได้สักครึ่งหนึ่งของคนในเมือง แต่ดูเหมือนความปรารถนาเช่นนั้นค่อนข้างริบหรี่เหลือเกิน

คราวนี้กรินดึงกระดาษเปล่าออกมาให้ชวิศา อย่างน้อยเจ้าตัวควรที่จะใช้เวทต่อสู้ขนาดใหญ่ได้สักบทสองบท

สำหรับชาวเมืองฮัชดาลลาร์ พลังเวทถือเป็นอำนาจสูงสุด ผู้สืบทอดตำแหน่งราชาคือผู้ที่อำนาจเวทเหนือผู้อื่น ความแข็งแกร่งของพลังเวทสืบทอดโดยสายเลือด ตระกูลของเขาจึงได้ครองตำแหน่งปราชญ์แห่งเวทเรื่อยมา กระนั้นความยิ่งใหญ่ของตระกูลไม่ได้การันตีว่าจะได้พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มาครอบครอง

ตามบันทึกประวัติศาสตร์เมือง มียุคสมัยหนึ่งที่ตระกูลใหญ่และองค์ราชาในขณะนั้นประพฤติตนมิชอบ สร้างความเดือดร้อนให้ชาวเมืองไปทุกหย่อมหญ้า แต่มาวันหนึ่งกลับปรากฏผู้มีอำนาจเหนือองค์ราชา เขาผู้นั้นทำการสังหารผู้ใจคดสร้างทุกขเวทนาแก่คนผู้อื่นเสียสิ้นด้วยตัวเพียงคนเดียว หลังจากที่คนผู้นั้นยึดครองบัลลังก์ ก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองและระบบการคัดเลือกปราชญ์ผู้มีหน้าที่ดูแลเมืองเสียใหม่ เมืองที่ยึดถือแต่พลังอำนาจเป็นใหญ่จึงสุขสงบมาเนิ่นนาน

แต่เพราะสุขสงบมากเกินไป จิตใจของผู้คนจึงเริ่มเสื่อมทรามลง ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวพันกับตำแหน่งรัชทายาทผู้ที่กำลังจะขึ้นครองอำนาจสืบต่อจากราชาองค์ปัจจุบัน

ทุกเดือนสิบสองก่อนที่ปีใหม่จะมาเยือนราวๆสิบวัน เมืองฮัชดาลลาร์จะมีประเพณีสำคัญในการสำแดงอำนาจพลังเวท ซึ่งถูกเรียกว่า ประเพณีมาดามายา เป็นประเพณีการต่อสู้โดยใช้พลังเวท ผู้ชนะมีโอกาสได้ครองบัลลังก์กษัตริย์ปกครองเมือง หรือได้สิทธิ์ได้รับเลือกให้เป็นปราชญ์ลำดับต่างๆ

แม้แต่ตัวกรินเองที่ไม่สามารถใช้มนตราได้ก็ยังลงต่อสู้ด้วยทุกปี กระทั่งปีล่าสุดที่เขาชนะจนติดอันดับแปดคนคนสุดท้าย เขาจึงได้รับการยกย่องให้เป็นนักดาบที่เก่งกาจที่สุดของฮัชดาลลาร์

ส่วนผู้ชนะในประเพณีนี้จะได้ขึ้นครองราชย์เป็นราชาองค์ต่อไปของเมืองก็ต่อเมื่อในปีนั้น ๆ กษัตริย์องค์ปัจจุบันยอมสละราชบัลลังก์ หรืออีกหนทางหนึ่งคือ ผู้ชนะจะต้องอาจหาญพอจะกล้าท้าประลองกับองค์ราชา แต่ตลอดระยะเวลาหลายปีในรัชสมัยของราชาองค์ปัจจุบัน ผู้ที่ร่วมประลองล้วนแค่ต้องการแสดงฝีมือของตัวเองเท่านั้น จึงไม่มีเหตุการณ์ผลัดเปลี่ยนรัชกาลเกิดขึ้น

กระทั่งเมื่อสามปีก่อน เจ้าชายทานันศิระผู้ซึ่งเป็นพระโอรสในองค์วรุนาวัน กษัตริย์องค์ปัจจุบันของฮัชดาลลาร์ชนะการประลองในประเพณีมาดามายา ครั้งนั้นพระองค์ทรงตรัสของท้าประลองพระบิดาของตนเองต่อหน้าชาวเมืองทุกคนที่ร่วมชุมนุมอยู่ในที่แห่งนั้น

มันไม่ใช่เรื่องผิดแต่ก็ไม่ใช่เรื่องสมควรเช่นเดียวกัน

คราวนั้นองค์วรุนาวันมีชัยเหนือพระโอรสในอุทร กระนั้นทุกผู้คนกลับรู้สึกถึงคลื่นใต้น้ำที่กำลังก่อตัวรอการปะทุ เจ้าชายทานันศิระเริ่มซ่องสุมกำลังเลี้ยงดูผู้คน โอรสผู้มีโอกาสได้ขึ้นครองราชสมบัติอยู่แล้วจะทำการนั้นไปเพื่อสิ่งใด และแล้วกรินก็ได้รับคำตอบ

เจ้าชายทานันศิระอยากจะแผ่ขยายอำนาจยึดครองเมืองที่อยู่นอกเขตการปกครองซึ่งห่างไกลออกไป เพียงแต่บุตรและบิดาที่เป็นองค์ราชามีความเห็นต่างในเรื่องนี้ และอีกประการหนึ่ง พระองค์ต้องการเข้าพิธีเสกสมรสกับองค์หญิงกิรานา จุดประสงค์นี้ขององค์ชายทำให้เขาค่อนข้างกังขาสนเท่ห์ เนื่องจากพระองค์เป็นคู่ตุนาหงันกับพี่สาวของเขา กรินจึงไม่รู้ว่าเรื่องราวจะจบลงเช่นไร แต่ที่แน่ ๆ หากเจ้าชายทานันศิระได้เสกสมรสกับกิรานาจริง ๆ พระองค์จะได้รับประโยชน์มากกว่าการสมรสกับพี่สาวของเขา

กิรานาเป็นองค์หญิงตราตั้งอันเนื่องมาจากสกุลของหญิงสาวสืบทอดอำนาจพลังธาตุพิเศษอย่างอากาศธาตุมาทุกยุคทุกสมัย และสืบทอดการใช้พลังเพื่อการพยากรณ์เรื่อยมา แม้พลังของอากาศธาตุจะทำได้มากกว่านั้น แต่น้อยคนนักในผู้ที่ถือครองอำนาจของธาตุพิเศษนี้จะใช้มนตราอื่น

ผู้ที่ถือครองพลังของธาตุพิเศษนี้นับแต่อดีตที่มีการบันทึกมาล้วนเป็นหญิง และอำนาจพลังอากาศธาตุจะหายไปเมื่อให้กำเนิดบุตรที่เป็นหญิงเช่นเดียวกัน พวกเธอเหล่านั้นจึงได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาต้องเข้มแข็งและเก่งกาจหากคิดจะสมรสกับกิรานา

ครั้งแรกที่กรินได้สัมผัสพลังเวทของชวิศาจึงแปลกใจไม่น้อย แต่เพราะเจ้าตัวบอกว่าเดินทางมาจากถิ่นอื่น เขาจึงพอจะเข้าใจว่าบนโลกอันกว้างใหญ่ ชวิศาคงจะถือกำเนิดมาในหมู่นักเวทที่มีความก้าวหน้าในการศึกษามนตรามากว่าชาวเมืองฮัชดาลลาร์

แต่อีกฝ่ายกลับโง่งมเสียเหลือเกิน

“มองแบบนั้นด่าผมอยู่ในใจหรือเปล่า”ชวิศาเอ่ยถามราวกับกำลังมานั่งอยู่กลางใจ ซึ่งกรินก็ไม่คิดปฏิเสธ

“ใช่”

“ผมไม่แคร์ เชอะ”ชวิศาเชิดหน้าใส่

“พร้อมจะเรียนหรือยัง”

“ยังจะต้องเรียนอีกเหรอ ไหนบอกว่าคุณจะหาทางส่งผมกลับบ้านโดยที่ผมไม่ต้องใช้มนตราท่องกาลด้วยตัวเองไง”

“ใช่ แต่เจ้าต้องช่วยข้าหรือจะปล่อยให้ข้าตายตามคำทำนายของกิรานา”

“ง่า”เจ้าตัวครางเสียงเบาก่อนจะร้องโวยวายดีดดิ้นขยี้ศีรษะส่งเสียงดัง เป็นครู่ใหญ่กว่าชวิศาจะหายจากอาการบ้าบอและบอกว่าพร้อมแล้ว กรินจึงยื่นส่งกระดาษที่เขียนวงเวทมาให้

“เจ้าไม่ต้องทำสิ่งใด แต่ถ่ายเทพลังเวทลงในกระดาษคาถา”

ชวิศารับมาถือและทำตามที่กรินบอก การถ่ายเทพลังเวทง่ายกว่าการสร้างมนตราเวทเพราะใช้วิธีการเดียวกับการส่งพลังเข้าไปในผลึกนำธาตุ เขาไม่ต้องมาคอยใส่ใจว่าต้องดึงอำนาจพลังธาตุใดออกมาใช้ในสัดส่วนเท่าใด

หลังตั้งสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง กระดาษแผ่นนั้นจึงมอดไหม้กลายเป็นลูกไฟเวทสีดำ

“สีดำ?”แม้แต่กรินยังแปลกใจ ชวิศาเอียงคอมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

“เจ้ามีพลังอากาศธาตุ ข้านึกว่ามันจะเป็นสีขาวเช่นเดียวกับกิรานาเสียอีก”ก่อนจะอธิบายต่อไปว่า การสร้างลูกไฟจากพลังเวทโดยคิดแค่การอัดพลังเวทใส่คู่ต่อสู้ ลูกไฟนั้นจะมีสีสันเช่นเดียวกับพลังธาตุหลักในร่างกาย เหมือนดั่งที่พยัคฆ์เจ้าป่ามีลูกไฟสีเขียว

“งั้นเป็นสีดำก็ถูกแล้ว คุณกรินบอกว่าผมมีพลังธาตุแต่ละธาตุพอ ๆ กัน ถ้าผสมสีทั้งหมดเข้าด้วยกันมันก็ต้องกลายเป็นสีดำ”

กรินได้แต่ฟังเฉย ๆ ไม่ได้ตอบรับหรือตอบปฏิเสธ เนื่องมาจากพลังธาตุพิเศษนี้มีผู้ถือครองจำนวนน้อยมาเป็นระยะเวลายาวนาน เขาจึงแค่จดจำข้อแตกต่างนี้ไว้

“เมื่อครู่เจ้าใช้เวลานานไป หากเป็นการต่อสู้จริง เจ้าคงโดนโจมตีก่อน”

“งั้นไม่เป็นไรหรอก ผมไม่คิดจะไปสู้กับใครอยู่แล้ว”ชวิศาโบกมือบอกกรินไม่ให้ต้องกังวล ทว่าคู่สนทนากลับส่งเสียงหัวเราะขึ้นจมูก

“เจ้าต้องสู้ เพราะข้าจะให้เจ้าเข้าร่วมประลองในประเพณีมาดามายา”

ชวิศาชะงัก

“และเจ้าต้องเป็นผู้ชนะ”

เหมือนชวิศาเพิ่งทำความเข้าใจในข้อความที่อีกฝ่ายพูดมา เขาร้องโวยวาย “ไม่เอา ผมไม่ร่วมเด็ดขาด ผมยังไม่อยากตายนะ คุณกรินเก่งจะตาย คุณก็เข้าร่วมเองสิ”

“ข้าเข้าร่วมประเพณีนี้อยู่แล้ว แต่เพราะข้าไม่สามารถใช้มนตราได้ข้าจึงไม่สามารถมีชัยเหนือผู้อื่นได้”

“มีคนเก่งกว่าคุณอีกหรือ”

“แน่นอน อย่างน้อยก็บิดาข้าและราชาองค์ปัจจุบัน”

“ถ้าต้องไปเจอกับคนเก่ง ๆ ยังไงผมก็สู้ไม่ได้อยู่แล้ว คุณจะให้ผมลงไปเป็นหมูให้เขาทุบเล่นทำไม”ชวิศาหน้าม่อย พยายามเกลี้ยกล่อมกรินเสียงอ่อน

“ไม่เลยในหมู่ผู้ใช้เวทที่ข้าเคยเจอมา เจ้ามีพลังมากที่สุด”

“แต่ผมใช้มนตราไม่ได้”

“เจ้าใช้ได้”กรินพูดตอบกลับไปทันควัน “เจ้าสามารถใช้มนตราสร้างดาบไฟ สร้างกำแพงคุ้มกาย ...ส่วนมนตราต่อสู้อื่น ๆ”กรินชูกระดาษซึ่งถูกเขียนวงแหวนเวทไว้ให้ชวิศาดูพลางพูดกล่อมอีกฝ่าย “ข้าจะเขียนคาถาให้เจ้า เจ้าเพียงแค่หยิบมันมาใช้เท่านั้น”

ชายหนุ่มร่างเล็กอยากจะสั่นศีรษะ

“หากมีอันตราย เจ้าเพียงเรียกใช้มนตรากำแพงคุ้มกาย เพียงเท่านั้นก็จะไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้อีก”กรินยังพูดกล่อมอย่างต่อเนื่อง “เจ้าก็เห็นแล้ว แม้แต่ลูกไฟเวทของพยัคฆ์เจ้าป่ายังทำอะไรเจ้าไม่ได้”

กรินนิ่งรอ เขารอให้ชวิศาพยักหน้าตอบตกลง ทว่าชายหนุ่มตรงหน้าก็ยังสั่นศีรษะปฏิเสธ

“เจ้าบอกว่าจะช่วยข้า”

“คุณก็ใช้พลังของผมแบบทุกที”

“เวลาต่อสู้ ผู้ตัดสินจะให้ข้าพกเจ้าขึ้นเวทีด้วยหรือไง”

“ไม่มีมนตราอะไรที่พอจะใช้ได้เหรอ”ชวิศาถามอย่างมีความหวัง เขายอมยกพลังให้กรินใช้แต่ถ้าให้ลงไปสู้เอง เขาได้ตายก่อนที่จะสร้างเวทเสร็จแน่นอน

“มี ให้ข้าผนึกดวงจิตของเจ้า”

“ได้เลย”

“แต่เจ้าต้องกลายเป็นก้อนศิลาไปตลอดชีวิต เจ้าจะตกลงหรือ”

“ฮะ? อ้าว... ถ้าเสร็จงานแล้วคุณกรินก็คลายเวทผนึกให้ไม่ได้เหรอ”

“ข้าใช้มนตราไม่ได้”

“เออแฮะ งั้นก็ให้คุณเมดินหรือคุณกิรานาคลายผนึกให้”

“ก็ได้อยู่แต่ถ้าพลังของสองคนนั้น ไม่สามารถคืนสภาพร่างกายของเจ้าให้สมบูรณ์ได้ เจ้าจะต้องไม่โทษพวกเขา”

“ไม่สมบูรณ์? ไม่สมบูรณ์อย่างไร”

“ข้าบอกไม่ได้ เรื่องนี้มีแต่ต้องลองเท่านั้น ถ้าเจ้ารับปากเช่นนั้น รอข้าเขียนวงเวทครู่หนึ่งแล้วเราเริ่มผนึกดวงจิตของเจ้าได้เลย”

“เดี๋ยว ๆ ใจเย็นก่อน”ชวิศาเอ่ยปากรั้งไว้ ฟังตามที่กรินบอกก็เสี่ยงไม่ใช่น้อย ไม่ใช่ว่าหลังคลายผนึกต้องพิกลพิการ ถ้าเป็นแบบนั้นชีวิตต้องทรมานมากแน่ๆ

“แล้วถ้าผมร่วมการประลอง คุณว่าผมจะชนะเหรอ”

“ถึงจะดูขัดแย้งกันแต่ข้าอยากให้เจ้าจำไว้ แม้ตัวข้า ‘กริน วียาบูท์’ ไม่อาจใช้มนตรา แต่ข้าคือผู้เชี่ยวชาญมนตราเหนือผู้ใดในฮัชดาลลาร์”ชายหนุ่มกล่าวออกไปด้วยความมั่นใจ



กรินใช้เวลาอีกสองเดือนฝึกฝนการต่อสู้ให้ชวิศา ชายหนุ่มผู้มาจากยุคสมัยอื่นมีพื้นฐานของการฝึกฝนร่างกายอยู่ก่อนแล้วจึงเป็นเรื่องง่ายในการฝึกเพิ่มเติม เพื่อให้ชวิศาปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนจากการประลองต่อสู้ เขาจึงเน้นที่การหลบหลีกและป้องกันเป็นหลัก ส่วนมนตราโจมตี เขาฝึกให้ชวิศาใช้กระดาษคาถาสำหรับมนตราแค่สองบท อันได้แก่ ลูกไฟเวทและค้อนยักษ์

แต่เดิมการใช้กระดาษคาถาจะต้องใช้โลหิตในการเขียนวงเวทเพื่อเป็นตัวกระตุ้นดึงพลังธาตุที่มีอยู่รอบตัวมาใช้งาน เป็นวิธีการใช้มนตราสำหรับผู้ที่ไม่มีพลังเวท ต่อมาภายหลังเมื่อมีจำนวนผู้ใช้เวทเพิ่มมากขึ้นวิธีการนี้จึงหายไป

กรินมาฉุกคิดดัดแปลงวิธีการใช้งานกระดาษคาถาจากการผนึกดวงจิตเจ้าพยัคฆ์ และมันก็สามารถใช้งานได้จริง ๆ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่า เพราะชวิศาเป็นผู้ใช้พลังเวทหรือเปล่า การใช้กระดาษคาถาจึงได้ผล อย่างไรก็ตาม เขาหาทางใช้ประโยชน์จากพลังเวทของชวิศาได้แล้ว เรื่องที่เขาสงสัย เขาจะหาคำตอบหลังจากนี้

เมื่อความสามารถของชวิศาเป็นที่พอใจแล้ว กรินจึงพาชายหนุ่มร่างเพรียวกลับเข้าเมือง

กว่าสามเดือนที่พวกเขาทั้งสองออกไปจากเมือง หลายสิ่งหลายอย่างแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงหากมองโดยผิวเผิน แต่เมื่อกลับถึงสำนักศึกษา เมดินได้บอกเล่าทันทีว่ากองกำลังที่เจ้าชายทานันศิระซ่องสุมไว้ดูคึกคักเป็นพิเศษ

“ประเพณีมาดามายาปีนี้ คงมีคนของพระองค์เข้าร่วมมากมาย”

“ซีจะเป็นผู้ชนะ”เขาตอบกลับไป

“เจ้าแน่ใจหรือ ซีเพิ่งฝึกหัดเวททั้งยังไม่ได้ชาญฉลาดเท่าเจ้า”

“ไม่ต้องห่วง พลังอันแข็งแกร่งนั่นคือที่สุด”กรินกล่าวย้ำคำพูดที่พวกเขาทุกคนในฮัชดาลลาร์ต่างยึดถือ แม้ชายหนุ่มจะแน่ใจในพลังของชวิศา กระนั้นในค่ำคืนเขาก็ยังส่งสารเชิญให้กิรานามาหา

“ข้าคิดถึงท่าน”เธอกล่าวและโผเข้าหาเขาโดยไม่สนใจอีกหนึ่งชีวิตที่ยืนมองเขาทั้งคู่อยู่ภายในห้อง ชวิศานั่งเท้าคางอยู่ที่ชุดเก้าอี้ซึ่งเจ้าตัวยึดเป็นโต๊ะเขียนหนังสือส่วนตัว ทำหน้าเหม็นเบื่อและไม่สบอารมณ์ที่กิรานาจงใจเมินผ่าน

“ข้ามีเรื่องขอให้ท่านช่วย”

“ถ้าไม่อยากใช้งาน ท่านคงไม่แม้แต่จะคิดถึงข้ากระมัง”เธอกล่าวอย่างแง่งอน

“ไม่ใช่เลยที่รัก”เขาบอกปฏิเสธเสียงอ้อน เพียงแค่นั้นเธอก็อ่อนระทวยยอมให้เขาจูงจมูก บางครั้งกิรานารู้สึกเหมือนตัวเองโง่งมที่ทุ่มเทใจรักเขามากมายเสียเหลือเกิน

“ข้าอยากให้ท่านลองทำนายอนาคตภายภาคหน้าอีกครั้ง”กรินพาหญิงสาวเข้ามาหาชวิศา กิรานาเบ้ปากจากนั้นจึงทรุดตัวลงหน้าชายหนุ่มร่างเล็กด้วยอาการกระแทกกระทั้น

“แบมือ”เธอพูดเสียงห้วน คว้าจับมือชวิศาไว้เมื่ออีกฝ่ายทำตามที่บอก กรินมายืนมองอยู่ใกล้ๆ แม้เขาจะศึกษาวิธีใช้พลังเวทหลายแขนง แต่ศาสตร์การทำนายนั้นเป็นข้อมูลลับที่สืบทอดเฉพาะในผู้ที่พลังธาตุพิเศษเท่านั้น แม้แต่หญิงสาวเองก็ไม่เคยบอกวิธีการหรือขั้นตอนการใช้พลังโดยละเอียด แต่เธอกลับสามารถกำหนดได้ว่าภาพที่ต้องการให้ปรากฏให้บุคคลผู้เป็นเจ้าของดวงชะตาเห็นจะเป็นภาพของอดีตหรืออนาคต

กิรานาหลับตาพร้อมเริ่มดึงพลังเวทออกมาใช้ ครู่หนึ่งต่อมาได้ปรากฏภาพเลือนรางขึ้นตรงหน้าชวิศา ภาพนั้นค่อนข้างแจ่มชัดขึ้น ทว่ามันสลับกันไปมาระหว่างภาพอดีตและนิมิตในอนาคต เรื่องราวจึงไม่ปะติดปะต่อ และแค่ชั่วอึดใจเดียวเธอก็ต้องคลายพลังที่ใช้

“ไม่มีภาพเหตุการณ์ที่ท่านและข้าถูกฆ่าตายแล้ว”กรินพูดขึ้น

“ใช่ หมายความว่าเหตุการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว”กิรานาพูดขึ้นอย่างยินดี ก่อนจะมีสีหน้าเศร้าหมองลง “ท่านพี่ทานันศิระจะทำมันจริง ๆ สินะ”ภาพเหตุการณ์ที่พวกเขาเห็นเป็นภาพสุดท้าย คือเมืองที่กลายเป็นทะเลเลือด แม้ภาพนิมิตที่เห็นจะไม่ระบุตัวผู้ก่อการอย่างชัดเจน แต่จากข่าวสารที่ได้รับมาช่วงนี้ กรินคิดว่าคงไม่มีใครอื่น

“ถ้าข้าบอกเรื่องนี้แก่องค์ราชา”เธอเอ่ยถามกริน กระนั้นชายหนุ่มยังคงนิ่งคิด จากนั้นจึงถามว่า“ท่านคิดว่าข้างกายขององค์ราชาจะมีคนของเจ้าชายทานันศิระบ้างหรือไม่”

นั่นคือสิ่งที่ไม่มีใครรู้ แต่กรินคิดว่า คนในพระราชวังไม่มากก็น้อยต้องมีส่วนหนึ่งที่เป็นคนของเจ้าชายแน่นอน ไม่เช่นนั้น พระองค์คงไม่กล้าทำการเอิกเกริก ที่ตอนนี้ยังไม่กล้าก่อการใดคงเพราะกลัวจะเป็นการปลุกระดมคนที่ยังนับถือองค์ราชาให้ลุกฮือต่อต้าน กรินคิดว่า เจ้าชายทานันศิระทรงมั่นใจแล้วว่า ในประเพณีมาดามายาปีนี้พระองค์จะได้ชัยเหนือทุกผู้คน

“ท่านลองใช้ลูกแก้วทำนายตามปกติ หากภาพเหตุการณ์ปรากฏขึ้นจริง ขอให้ท่านแจ้งองค์ราชาและเหล่าปราชญ์ตามนั้น”

หญิงสาวพยักหน้ารับ

เธอมีหน้าที่การพยากรณ์ชะตาเมืองทุกสิบวัน ตลอดระยะเวลาหลายเดือนนับจากที่เธอเห็นภาพนิมิตความตายของตนและชายหนุ่ม ภาพเหตุการณ์ภายในเมืองจากการทำนายทุกครั้งยังคงแสดงภาพที่เป็นปกติสุข เธอกังวลร้อนรนแต่เพราะข้อจำกัดของพลังนี้คือไม่สามารถทำนายชะตาของตัวเองได้ หญิงสาวได้แต่ใช้พลังตัวเองทำนายชะตาของผู้คนรอบข้าง กระนั้น ข้อกำจัดอีกอย่างของพลังนี้คือ ภาพนิมิตที่เธอเห็นจะปรากฏเฉพาะเหตุการณ์สำคัญของคนผู้นั้น หลายครั้งที่เธอกังขา การตายของเธอไม่ใช่เรื่องสำคัญหรือไร ทั้งที่คนผู้หนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเธอกลับปรากฏภาพนิมิตจากใช้พลังพยากรณ์ทำนายชะตาของเขา

“กิรานา วันนี้ดึกแล้ว ท่านกลับเถอะ”

“ท่านไล่ข้า”เธอทำหน้าบึ้งใส่ชายคนรัก

“เอ่อ...อา”กรินอ้ำอึ้งพูดสิ่งใดไม่ออกพลางเหลือบตามองชวิศาที่กอดอกนั่งนิ่งเหมือนครุ่นคิดบางสิ่งด้วยความลำบากใจ ชายหนุ่มร่างเล็กดูเงียบไปตั้งแต่จบการใช้พลังทำนายของกิรานา ถึงในยามปกติ แม้ชวิศาจะชอบนิ่งเงียบหากไม่เข้าใจเรื่องที่ผู้อื่นคุยกัน แต่อย่างน้อยเขาต้องเห็นสายตางุนงงของอีกฝ่ายบ้าง ต่างกับครั้งนี้ ที่เหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้ให้ความสนใจสิ่งที่เขาที่สองคุยกันเลย

อย่างไรก็ตาม กรินยังไม่ทันได้พูดสิ่งใดต่อ กิรานากับเป่าคาถาใส่ชวิศาเสียแล้ว “นีคัตโท”

“อ๊ะ ท่าน!!!”ชายหนุ่มเปล่งเสียงออกไปได้แค่นั้น ก่อนที่เขาจะถลารับร่างเล็กบางไม่สมชายซึ่งหมดสติกลางอากาศ และเอนตัวล้มลงทั้งที่ยังนั่งอยู่บนชุดเก้าอี้ตัวยาวตรงหน้าหญิงสาว

“มันอันตรายนะ”เขาหันไปว่ากล่าวตักเตือนคนรัก

“ท่านดุข้า”

“ข้าพูดความจริง ถ้าซีศีรษะฟาดพื้นไปท่านจะทำเช่นไร”

“ก็ใช้มนตรารักษา”

“เฮ้อ”กรินถอนหายใจเสียงดัง จากนั้นจึงช้อนอุ้มตัวชวิศาขึ้น พาร่างในอ้อมแขนไปวางยังที่นอนของเจ้าตัว จัดการห่มผ้าให้เรียบร้อย แล้วจึงหมุนตัวหันกลับมามองหญิงคนรัก

“ถึงอย่างไรข้าก็มีหน้าที่ต้องดูแลเขาและเขาก็มีประโยชน์ต่อเรา ถ้าไม่มีซี ไม่แน่ว่าตอนนี้เราสองคนอาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว”

“ไม่แน่ว่า เขาอาจใช้พลังเวทบิดเบือนภาพนิมิต”กิรานาพูดข้อสงสัยของตนออกมา “หลังจากที่เห็นนิมิตลางร้าย ข้าได้ลองใช้พลังของข้าตรวจสอบชะตาของผู้คนรอบข้าง กลับไม่เจอภาพนิมิตความตายจากผู้ใดเลย”

“เพราะความตายของท่านไม่ใช่เรื่องสำคัญต่อผู้ใด”กรินบอกน้ำเสียงนั้นช่างฟังดูเย็นชาเสียเหลือเกิน

“กิรานา ถ้าท่านยังไม่รู้ หญิงสาวในสกุลของท่านล้วนถือครองอำนาจพลังของอากาศธาตุ เพียงแต่พลังเหล่านั้นเบาบางเสียจนไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น หากตรวจสอบด้วยผลึกนำธาตุจะโดนรัศมีของพลังธาตุอื่นข่มจนหมด แต่ท่านมีพลังของธาตุพิเศษนี้ชัดเจนกว่าผู้อื่นจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้สืบทอด

พลังพยากรณ์จะมีความหมายต่อเมื่อบ้านเมืองเข้าสู่กลียุค ผู้คนหมดหวังรู้สึกสิ้นหนทางหรือเผชิญทุกข์หนัก ท่านก็น่าจะเข้าใจดี ทุกวันนี้ในที่ประชุมของเหล่าปราชญ์ ท่านจะมองเห็นสิ่งใดนอกจากสภาพฝนฟ้าอากาศและความอุดมสมบูรณ์ของเมือง”

หญิงสาวหน้างอหงิก ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะตกหลุมรักเขาทั้งที่อีกฝ่ายมีวาจาร้ายกาจ

“ซีไม่มีทางใช้พลังเวทของตัวเองแทรกแซงพลังของท่านและบิดเบือนภาพนิมิตได้ เขาอ่อนด้อยเรื่องการใช้มนตราประยุกต์ ถ้าเขาแทรกแซงพลังของท่านจริง ตัวท่านต้องรู้สึก”

“เขาอาจจะเป็นผู้ใช้เวทที่เชี่ยวชาญมากๆ”

“ถ้าท่านได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับเขา ท่านจะทราบว่าเป็นไปไม่ได้เลย”

“เขาอาจจะเสแสร้งหลอกท่านอยู่”

คราวนี้กรินยืนนิ่งอีกครั้ง จ้องมองเธออยู่ครู่ใหญ่จากนั้นจึงกล่าวบอกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า “ท่านกลับไปก่อนดีหรือไม่ ข้าไม่อยากทุ่มเถียงเรื่องนี้ทั้งคืน”

“ข้าไม่กลับ”หญิงสาวยืนกรานเสียงแข็ง เธอพุ่งตัวกระโดดขึ้นเตียงของชายหนุ่มคนรัก “ข้าไม่มีทางยอมให้เขาช่วงชิงท่านไป”กิรานาล้มตัวลงนอนโดยไม่สนใจเขาอีก กรินลอบถอนหายใจ จากนั้นจึงดับไฟในห้องและก้าวเท้าขึ้นเตียง



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

เมื่อไหร่จะได้กลับไปหาสุดฟ้าน๊าาาาา น้องซี

อืม... แม้แต่เราเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่น่าจะไม่เกินอีกสิบตอนนะ (มั้ง)

ออฟไลน์ WaterProof

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
แม้จะงงๆอยู่บ้าง แต่ก็สนุก ชอบ :impress3:

ออฟไลน์ noozzz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
อื้อหือ ตอนแรกก็แนววิทยาศาสตร์ ไหงกลายมาเป็นไสยศาสตร์ได้เนี่ย แถมตอนแรกก็เป็นเรื่องรัก แต่จู่ๆก็กลายเป็นกู้ชาติไปงั้น มึนฮะ

ออฟไลน์ A_bookworm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
ไม่ชอบกิรินา

ทีมซี หึหึ

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
บทที่สามสิบสอง


วันรุ่งขึ้นหลังทานอาหารเช้าเสร็จ กรินออกจากบ้านโดยมีชวิศาเดินตามไม่ห่างไปยังหอตำราเมือง สถานที่แห่งนี้เก็บบันทึกประวัติศาสตร์เมืองและตำราเวทเก่าแก่ไว้หลากหลาย เป็นสถานที่ที่อนุญาตให้ชาวเมืองใช้งานได้ แต่ผู้คนน้อยนักที่จะให้ความสนใจกับตำราเก่าเก็บ เนื่องจากเล่าลือกันว่า คาถามนตราหลายส่วนไม่สามารถใช้จริงได้ บ้างมีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ผลสะท้อนของมนตราย้อนเข้าสู่ตัว ผู้คนที่มุ่งมั่นฝึกฝนการใช้เวทจึงสมัครเข้าสำนักศึกษามากกว่าอ่านตำราเอาเอง

แต่ตำราเหล่านี้ล้วนแต่เป็นแหล่งอ้างอิงชั้นยอด

“เจ้าสนใจตำราเล่มใด จงลองอ่านดู ในหอตำราแห่งนี้ เก็บรวบรวมมนตราไว้มากมาย”พูดแล้วก็หยิบตำราออกมาชั้น เปิดกางสุ่มไปหน้าหนึ่งและดึงมือของชวิศาข้างที่สวมแหวนบรรจุมนตราถ้อยวจีมาทาบวาง

“เฮ้ย”เขาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “ผมรู้เรื่อง” เขามองตัวอักษรยึกยือบนหน้ากระดาษอีกครั้ง ชวิศาอ่านอักษรของฮัชดาลลาร์ไม่ได้และไม่มีความคิดที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมด้วย เขาจดจำเฉพาะอักขระซึ่งต้องถูกเขียนในระเบียนมนตราเท่านั้น

“คุณกรินไม่บอกแต่แรกล่ะครับ ตอนที่เรียนในห้องผมลำบากมากเลยรู้หรือเปล่า”

“เจ้าต้องสัมผัสกับมันเท่านั้นและแผ่พลังเวทออกไป”กรินกล่าวอธิบายต่อไปว่า “เจ้ารับรู้แค่ใจความของสารแต่ไม่ได้หมายความว่าสามารถอ่านออก”

“ก็เหมือนกันแหละ แถมแบบนี้สบายกว่าพยายามฝึกเขียนตัวอักษรอีก”

“ไม่มีสิ่งใดได้มาโดนง่าย ขอให้จำไว้”

ชวิศาเบ้ปาก “รู้แล้วครับ” แต่มีพลังเวททำให้ชีวิตเขาง่ายขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะ น่าจะมีมาตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้น สอบทุกครั้งเขาต้องได้คะแนนเต็มแน่ เอ๊ะ! หรือเขาจะพยายามฝึกมนตราย้อนกาลให้ได้แล้วกลับไปแก้ผลการเรียน ดีไหมนะ ชวิศาคิดด้วยความขำขัน

กรินแยกตัวไปอีกทางแล้ว ชวิศาจึงทรุดตัวลงนั่งแถวนั้นแล้วลองหยิบหนังสือมาอ่าน เขาวางมือลงบนหน้ากระดาษพร้อมกับแผ่พลังเวทออกไป ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเข้าใจเนื้อหาในหนังสือได้ซึ่งมันไม่เหมือนกับการที่มีคนอ่านให้ฟัง แต่เป็นเขารับรู้ข้อความเนื้อหาเหล่านั้นขึ้นมาเอง

ชวิศาจึงอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลิน แต่เพลิดเพลินในการใช้พลังเวทเพื่อรับข้อมูลเนื้อหามากกว่าจะตั้งใจจดจำรายละเอียดในหนังสือ

“โอ๊ะ ช่างน่าแปลกนักที่ข้าได้พบท่าน”

เสียงพูดดังขึ้นเรียกความสนใจของเขาให้เงยหน้าขึ้นมอง

“คุณสุดฟ้า!!!”ชวิศาเด้งตัวลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตะลึง คุณสุดฟ้าก็มาอยู่ที่นี่เหมือนกัน!!! ชายหนุ่มกำลังจะยกยิ้มด้วยความดีใจ ทว่าคนตรงหน้ากลับพูดดับความหวังของเขาไปเสียก่อน

“ต้องขออภัย นามของข้าคือทานันศิระ ไม่ใช่ ‘คุณสุดฟ้า’ ของท่าน”

“เอ๊ะ”ชายหนุ่มร่างเล็กถึงได้พิจารณามองดูให้ชัดอีกครั้ง ชายผู้เป็นเจ้าของนาม ‘ทานันศิระ’ มีใบหน้าคล้ายสุดฟ้า ศิริกรอยู่หลายส่วน แต่ทานันศิระมีเส้นผมสีดำยาวซึ่งถูกมัดรวบครึ่งศีรษะไว้และแววตารอยยิ้มดูสุภาพเป็นมิตร ชวิศาจึงพิศดูด้วยความเสียดาย

กรินได้ยินเสียงของชวิศา เขาจึงเดินย้อนกลับมาหาและเมื่อเห็นคู่สนทนาของคนที่ตนให้ความช่วยเหลือดูแลอยู่ เขาจึงรีบสาวเท้าเข้าไปสมทบ

“ถวายพระพรเจ้าชาย”

“ขอความสุขจงมีแด่ท่านเช่นกัน”

“เจ้าชายมาอ่านตำราเหมือนกันหรือขอรับ”กรินเอ่ยถามต่อ ก้าวเท้าขึ้นไปพยายามบังตัวชวิศาไว้ด้านหลังด้วยไม่อยากให้คนทั้งคู่มีโอกาสได้ปฏิสันถารกัน กระนั้นชายหนุ่มร่างเล็กผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวกลับพยายามชะเง้อชะแง้เพราะอยากมองหน้าเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ให้แน่ใจ

“ไม่เชิงนัก แต่เห็นท่านเดินทางมาที่หอตำรา เราจึงมาที่นี่ด้วยหวังจะได้พูดคุยกับท่าน”

“นับว่าเป็นเกียรติยิ่ง แต่ข้าความรู้อ่อนด้อยเกรงว่าจะทำให้เจ้าชายผิดหวัง”

“ถ่อมตัวเกินไปแล้ว เช่นท่านเรียกว่าความรู้อ่อนด้วย ผู้ใดเล่าจะกล้าอ้างตัวว่าเก่งกาจ”เจ้าชายทานันศิระตรัสชมเยินยอกรินพร้อมแย้มพระโอษฐ์ “ถ้าอย่างไร เราขอเชิญท่านร่วมทานอาหารด้วยกันสักมื้อ  คุณชายท่านนี้ด้วย”ทรงผายพระหัตถ์ไปทางชวิศาซึ่งเจ้าของชื่อได้ตอบตกลงทันควันจนกรินต้องนิ่วหน้าใส่

“มีเหตุขัดข้องประการใดหรือ”

“ไม่มีอันใดขอรับ”

ด้วยเหตุนี้เจ้าชายจึงเสด็จนำทั้งคู่ออกไปด้านนอก ที่หน้าอาคารหอตำราเมืองมีรถเทียมม้าสองตัวจอดรออยู่แล้ว ผู้มีฐานันดรศักดิ์เป็นเจ้าชายผายพระหัตถ์เชื้อเชิญอีกครั้ง

ตัวรถทำจากไม้ต่อประกอบเป็นทรงสี่เหลี่ยมมีหลังคาโค้ง เจาะช่องหน้าต่างประตูและติดบานพับให้สามารถเปิดปิดได้ ที่ช่องหน้าต่างมีการห้อยม่านบังแดด

คนบังคับม้าทำหน้าที่เปิดประตูพร้อมวางบันไดให้พวกเขาก้าวขึ้นไป ภายในเป็นม้านั่งยาวบุเบาะผ้าสีแดงเลือดนก กรินดึงให้ชวิศาทรุดตัวทางเบาะนั่งด้านซ้ายอันเป็นธรรมเนียมยามโดยสารรถเทียมม้าร่วมกับผู้มีศักดิ์สูงกว่าสำหรับชาวเมืองฮัชดาลลาร์

ชวิศาค่อนข้างตื่นเต้นเพราะตั้งแต่หลุดย้อนเวลามาโผล่ที่ฮัชดาลลาร์ในยุคอดีต เขายังไม่เคยมีโอกาสได้นั่งรถม้าเลยสักครั้ง จะไปไหนมาไหนกรินก็พาเขาเดินไปอย่างเดียว เขาเคยเห็นมีผู้คนใช้รถม้าในการเดินทาง บ้างใช้สำหรับบรรทุกของ บางคนขี่ม้าตัวใหญ่เป็นพาหนะสัญจรในเมือง แต่เพราะสำนักศึกษาอยู่ไม่ห่างจากคฤหาสน์ของกริน เขาเลยมองข้ามเรื่องนี้ไป

“ทำไมคุณกรินไม่เดินทางด้วยรถม้าบ้างละครับ”ชวิศาหันไปถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างตัว เบื้องหน้าเจ้าชายทานันศิระกำลังก้าวพระบาทขึ้นมาประทับในรถ เมื่อผู้โดยสารทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อย คนบังคับม้าจึงปิดประตูและกลับขึ้นไปยังที่ของตนด้านหน้า จับสายบังเหียนกระตุ้นให้ม้าย่างเท้า

“เพราะมันมีราคาสูง”

“แต่บุตรชายของปราชญ์ลำดับที่หนึ่งน่าจะพอหาซื้อได้กระมัง”เจ้าชายตรัสแทรกออกความคิดเห็น

“แต่ถ้าให้บุตรทั้งห้ามีรถเทียมม้าไว้ในครอบครองเป็นของส่วนบุคคล เกรงว่าท่านบิดาคงจะไม่มีอัฐมากพอขอรับ”

“สกุลของท่านร่ำรวยมากยังกล่าวว่าไม่มีอัฐ ชาวบ้านทั่วไปคงเรียกว่ายากจนข้นแค้นเทียวล่ะ”

กรินคงรอยยิ้มประดับไว้บนหน้าแม้จะรู้สึกโดนว่ากระทบ

“อย่าคิดมากไป เราแค่กล่าวหยอกล้อท่านเท่านั้น”ทรงแย้มพระสรวลให้เช่นกัน “เรากับพี่ชายของท่านก็นับว่าเป็นสหาย ท่านเองเปรียบเหมือนน้องชายของเราผู้หนึ่ง ทั้งอีกไม่นานเราจะสมรสกับพี่สาวของท่าน นับได้ว่า เราและท่านใกล้จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”

“สมรส? แต่งงานนะเหรอ? ทำไมจะแต่งงานแล้วล่ะครับ”ชวิศาเอ่ยถามออกไปบ้าง เพราะถึงคนตรงหน้าจะไม่ใช่สุดฟ้า แต่ต้องมาเห็นคนที่หน้าเหมือนสุดฟ้าแต่งงาน เขาก็รับไม่ได้หรอกนะ

“อืม... มันก็เป็นเวลาที่สมควรแล้ว”

คำพูดนั้นทำให้กรินฉุกใจ

“อย่าเพิ่งแต่งเลย รอให้ผมกลับไปก่อนไม่ได้เหรอครับ”ชวิศาบอก

“ท่านจะกลับไปที่ไหนหรือ”

“กลับบ้านนะสิ”

“อ้อ”เจ้าชายทานันศิระพยักพระพักตร์ “ข้าเห็นรายชื่อท่านจะเข้าร่วมการประลองในประเพณีมาดามายาด้วย จึงนึกว่าท่านต้องการมาแสวงหาชื่อเสียงในเมืองหลวงเสียอีก”

“ใช่ซะที่ไหนล่ะครับ เพราะคุณกรินอยากให้ผมร่วมประลองด้วยต่างหาก”

กรินเหล่มองคนพูดอย่างนึกฉุน ที่เจ้าตัวปูด ‘เรื่องที่ควรปิดบังไว้บ้าง’ ไปเสียหมด เขาหันเหสายตากลับมาจดจ้องจับสังเกตมองหาพิรุธจากคู่สนทนาตรงหน้าอีกครั้ง เจ้าชายยังแย้มพระโอษฐ์บางเบาประดับบนพระพักตร์ จนเขาไม่อาจพบร่องรอยความรู้สึกใด หากไม่มีข่าวสารจากเมดิน เขาคงยังคิดว่า เจ้าชายทานันศิระเป็นองค์ชายผู้มีน้ำพระทัยดีและมีพระจริยวัตรเรียบง่าย

หลังจากนั้นกรินจึงปล่อยหน้าที่การดำเนินบทสนทนาให้เป็นของชวิศาไปเสีย ซึ่งชายหนุ่มร่างเล็กดูเหมือนจะชื่นชอบการพูดคุยกับเจ้าชายอยู่ไม่น้อยเพราะแม้ในยามที่ทานอาหารชวิศายังชวนอีกฝ่ายคุยไม่หยุดปาก กระทั่งเจ้าชายทานันศิระได้ให้รถเทียมม้ามาส่งพวกเขา และได้อยู่กันตามลำพังแล้วกรินถึงได้พูดว่า

“อย่าเชื่อใจเจ้าชายทานันศิระให้มากนัก”กรินพูดขณะก้าวเท้าเข้าไปในสถานศึกษา

“ทำไมล่ะ เจ้าชายไม่ดีตรงไหน ผมว่าทรงเป็นมิตรดีออก”ชวิศาเอ่ยแย้ง สาวเท้าตามกรินซึ่งเดินเลี้ยวไปยังห้องทำงานเมดิน ชายหนุ่มร่างสูงซึ่งเดินนำอยู่ด้านหน้าเคาะประตูก่อนเปิดเข้าไปโดยไม่รอฟังเสียงอนุญาต

เมดินนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานของตนเมื่อเห็นคนที่เพิ่งเดินเข้ามาจึงยกกล่องไม้ใบเล็กขึ้นมาวางและเลื่อนไปด้านหน้า กรินรับมาถือ เปิดฝาและหยิบเครื่องประดับที่มีอัญมณีสีดำเข้มประดับอยู่กลางตัวเรือน

“ของเจ้า”

“ให้ผมทำไม”ชวิศาถามด้วยความสงสัย

“ก็เอาไว้ให้เจ้าเก็บกระดาษคาถา”ชายหนุ่มพูดพลางแบมือ ชวิศาวางมือของตนลงไปบนมือข้างนั้น ฝ่ายนั้นยื่นกำไลข้อมือสีเงินเรียบมาให้เขาถือและวางฝ่ามือทับบนอัญมณี เมื่อกรินยกมือออก เขาจับกำไลมาสวมให้ที่ข้อมือข้างซ้าย

“ถ้าจะใช้งานก็ถ่ายเทพลังเวทลงไปพร้อมกับนึกถึงสิ่งที่เจ้าจะหยิบออกมาใช้”หรืออันที่จริงใช้เพียงแค่จักระก็สามารถใช้งานได้ แต่เพราะชวิศาไม่รู้จักการแยกใช้งานระหว่างจักระและอำนาจพลังธาตุ กรินไม่อยากต้องมาอธิบายอีกยาวเลยไม่ได้พูดบอก “เออ... ถ้าใช้ด้วยพลังเวทมันจะเป็นการเปิดช่องมิตินี่นา ลองใช้ดู”ประโยคหลังชายหนุ่มพูดบอก ชวิศาจึงไม่รอช้าเขาถ่ายเทพลังเวทลงไปในอัญมณี พลันปรากฏเป็นรอยแยกของห้วงอากาศที่ภายในเป็นสีดำสนิท

“อยากเอาอะไรเข้าไปเก็บก็ตามใจเจ้า”จากนั้นกรินจึงเดินไปที่มุมห้อง หยิบลังกระดาษมาส่งให้

“นี่เป็นกระดาษสำหรับใช้เขียนคาถา ให้เจ้าไปเขียนวงเวทเอาเอง”

“คุณกรินน่าจะเขียนวงเวทของมนตราย้อนกาลให้ด้วย”

“เขียนให้ได้ แต่เจ้าจะหลุดไปอยู่ช่วงเวลาใดหรือ ณ ที่แห่งใดข้าคงไม่สามารถบอกได้”

“ทำไมอย่างนั้นล่ะ”ชวิศาถาม “คุณโกหกหรือเปล่าเพราะยังไม่อยากให้ผมกลับ”

กรินส่งเสียงหึขึ้นจมูก เหลือบมองเจ้าของประโยคนั้นด้วยหางตาก่อนคว้ากระดาษและปากกาขนนกของเมดินขึ้นมาถือพร้อมกับเขียนวงเวทลงไป

วงเวทต่างจากระเบียนมนตราตรงที่เป็นการเขียนทั้งวัฏจักรพลังธาตุลงในกระดาษและเขียนอักขระกำกับคาถาลงไป เป็นการใช้มนตราที่ต้องใช้เวลาเตรียมการหลายอึดใจ อย่างมนตราที่กรินกำลังเขียนวงเวทนั้นเป็นมนตราขนาดใหญ่ที่เขาต้องเขียนอักขระมากมายจนเกือบเต็มแผ่นกระดาษ

“นี่ของเจ้า”

ชวิศายิ้มกว้าง นึกค่อนขอดอีกฝ่ายที่น่าจะเขียนให้เขาแต่แรก

“แต่เจ้าต้องระบุช่วงเวลาและสถานที่ที่เจ้าต้องการเดินทางไปตรงนี้ ถ้าเจ้าไม่เขียนลงไป วงเวทนี้จะทำงานแบบสุ่ม”

“แค่นึกคิดจินตนาการแบบทุกทีไม่ได้เหรอ”

“ได้หรือไม่ได้ข้าก็ไม่รู้ เพราะข้าไม่มีพลังเวทให้ทดลองใช้มนตรานี้ได้”

“อ้าว”เขาร้องเสียงหลง มุ่ยหน้าด้วยความไม่ชอบใจ ชวิศาอยากลองแต่ถ้าหลุดไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้แบบที่กรินบอกจริง ๆ เขาคิดว่าตัวเองคงจะเอาตัวรอดไม่ได้ ที่สำคัญที่คือกลับบ้านไม่ได้ด้วยนี่สิ เมื่อมีแต่ความไม่แน่นอนแบบนี้ชวิศาจึงได้แต่เก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ในอัญมณีช่องมิติ

“ซีใช้กระดาษคาถาได้จริง ๆ เหรอ”เมดินที่นั่งเงียบฟังทั้งสองคนคุยกันอยู่นานเอ่ยถามขึ้น

“พูดถึงเรื่องนี้ข้าก็อยากจะให้เจ้าทดสอบดูเช่นกัน ออกไปข้างนอกเถอะ”กรินเดินนำทั้งสองคนออกไปยังลานฝึกซ้อมส่วนตัวของเมดินที่ยังคงไร้เงาบุคคลอื่นเฉกเช่นทุกครั้ง จากนั้นจึงเรียกกระดาษที่ตนเคยเขียนคาถาค้อนยักษ์ไว้ออกมาจากอัญมณี

“ลองดู”เมดินรับกระดาษมา คีบถือไว้ด้วยปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางพริบตาหนึ่งต่อมา มันได้กลายร่างเป็นค้อนปอนด์สีเหลืองทองขนาดใหญ่

“เยี่ยม”เมดินร้องออกมา “ซี เจ้าก็นำค้อนของเขาออกมาด้วยสิ”

ชวิศามีกระดาษคาถาที่กรินเคยเขียนให้ติดตัวไว้สองสามแผ่น เขาล้วงมันออกมาจากถุงผ้าที่ผู้คนในฮัชดาลลาร์นิยมมีติดตัวไว้ในเงินและของมีค่า

“เจ้ามีอัญมณีมิติเวทอยู่แล้ว ยังต้องห้อยถุงผ้าอีกหรือ”กรินเอ่ยทัก ชายหนุ่มร่างเล็กจึงโยนถุงผ้าใส่เข้าไปในช่องมิติที่เปิดกว้าง เหลือเพียงกระดาษคาถาในมือ ใช้เวลาตั้งสมาธิดึงพลังออกมาใช้ไม่ต่างจากเมดินนัก ค้อนอันใหญ่ยักษ์กว่าของเมดินถึงสองเท่าพลันปรากฏของในมือ

“โธ่ อย่างนี้ข้าจะไปสู้ได้อย่างไร”เมดินร้อง เมื่อแบมือแกค้อนในมือก็หายไปพร้อมกระดาษแผ่นนั้นที่ลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน

“เห็นเช่นนี้เจ้าคงอุ่นใจแล้วใช่ไหม”

“แต่กระนั้นเถอะ เพิ่งเริ่มฝึกเวทอย่างซีก็น่ากังวลอยู่ดี”

“ใช่ ๆ น่ากลัวออกจะตาย คุณกรินยังคะยั้นคะยอให้ผมร่วมประลองอยู่ได้”ชวิศาพูดขึ้นมาบ้าง

“ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้เจ้าต้องลำบาก”

ชวิศามองเจ้าของคำพูดด้วยความแปลกใจ เพราะแทนที่คำพูดทำนองนี้จะออกมาจากปากของกริน ชายหนุ่มอีกคนกลับเป็นคนพูดออกมาเสียแทน

“ข้าเป็นคนขอร้องให้กรินช่วยพยายามยับยั้งเหตุการณ์ร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเอง ได้ยินว่า วันนี้เจ้าสองคนไปร่วมรับประทานอาหารกับเจ้าชายทานันศิระที่วังส่วนพระองค์ ข้าอยากบอกให้เจ้ารู้ไว้ ว่าเจ้าชายมีแผนที่จะก่อกบฏ”

“เอ๊ะ”ชวิศาร้องอุทานด้วยสีหน้าตกใจ

“ข้าคิดว่าประเพณีมาดามายาในปีนี้ เจ้าชายคงจะบังคับให้องค์ราชาลงจากบัลลังก์เป็นแน่”ประโยคหลังเมดินหันไปพูดกับกรินมากกว่าจะพูดกับชวิศา

“เจ้าไม่ต้องห่วง ชวิศาจะได้ชัยเหนือผู้ใด”

“เอ๋!!!”ชายหนุ่มร่างเล็กร้องอุทานออกมาอีกรอบพร้อมทั้งโอดครวญต่อไปว่า “อย่าเพิ่งมั่นใจนักจะได้ไหม ขนาดตัวผมเองยังไม่มั่นใจขนาดนั้นเลย”

“จำคำของข้าไว้ เวลาประลองให้เจ้าใช้มนตราค้อนยักษ์ฟาดใส่คู่ต่อสู้เต็มแรง แค่นั้นข้ารับรองว่าเจ้าจะชนะแน่นอน”

เมดินส่งเสียงหัวเราะเมื่อได้ยินประโยคนั้น “ข้าเห็นด้วย ชักอยากให้ถึงวันประลองเร็ว ๆ แล้วสิ” คงมีแค่ชวิศาเท่านั้นที่หน้าตายังคงเหยเกอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อถือคำพูดของกรินสักเท่าไหร่

เมื่อหมดธุระ กรินจึงขอตัวกลับมีชวิศาเดินตามติดไปไม่ห่าง เส้นทางเดินจากสำนักศึกษาของเมดินและคฤหาสน์ของกรินยังมีระยะทางเท่าเดิม มีผู้คนสัญจรไปมาประปราย เนื่องจากสำนักศึกษาของเมดินอยู่ในแหล่งชุมชน พ้นจากหมู่อาคารบ้านเรือนซึ่งตั้งติดชิดกัน เป็นกำแพงรั้วยาวของบ้านคหบดีมีชื่อในเมือง เดินเลี้ยวไปอีกแยกจึงจะเป็นคฤหาสน์หลังโตของปราชญ์ลำดับที่หนึ่ง

ที่หน้าประตูรั้ว มีชายรับใช้ยืนรอด้วยอาการกระสับกระส่าย เขาร้องเรียก ‘คุณชาย’ ออกมาทันทีเมื่อเห็นกรินเดินมาแต่ไกล ซ้ำยังสาวเท้าด้วยความเร่งรีบเข้ามาหา

“นายท่านเชิญคุณชายไปพบที่ห้องหนังสือครับ”

“ข้า?”ปกติกรินไม่มีธุระพูดคุยกับบิดาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้มีหน้าที่อันใดเกี่ยวข้องกับวังหลวงหรือการบริหารงานในอาณาจักร

“สีหน้านายท่านไม่ค่อยดีนัก ทีแรกออกคำสั่งให้ส่งคนไปตามท่านที่สำนักศึกษา แต่เพราะท่านไม่อยู่ที่นั่น นายท่านจึงให้ข้ามาคอยท่าขอรับ”

กรินขมวดคิ้ว คิดเดาเอาว่าน่าจะมีเรื่องร้ายแรง เมื่อลองไตร่ตรองทบทวนดู เรื่องร้ายแรงนั่นอาจจะมีกิรานาเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาหันไปสั่งความกับชวิศาว่าให้ไปรอที่ห้อง ก่อนจะรีบก้าวเท้าตรงไปยังห้องหนังสือ

ห้องหนังสือที่ว่าเป็นห้องทำงานส่วนตัวที่จ้าวสกุลได้รับการสืบทอดมาหลายรุ่น นั่นหมายความว่า หากจ้าวสกุลคนต่อไปมาจากตระกูลสายรอง พวกเขาทั้งห้าอาจจะต้องย้ายออกจากคฤหาสน์

“ท่านบิดา”กรินเอ่ยเรียกเสียงเบาพอให้ชายสูงวัยซึ่งนั่งทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างได้รู้สึกตัว วิโยมันหันกลับมาหาบุตรชาย เขากล่าวเข้าเรื่องโดยไม่คิดอารัมภบท

“เช้านี้ท่านหญิงกิรานาทรงประชวรพระวาโยกลางที่ประชุม หมอหลวงบอกว่า เพราะกำลังทรงพระครรภ์ เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่”แม้เรื่องที่บุตรชายคนที่ห้ากำลังคบหาดูใจกับองค์หญิงตราตั้งจะไม่เป็นที่รับรู้ของคนทั่วไป แต่ในฐานะที่เขาเป็นพ่อ ย่อมรับรู้การไปมาหาสู่ในยามวิกาลของคนทั้งคู่เป็นอย่างดี

กรินชะงักงันเมื่อได้ยินคำบอกเล่า ท่าทีของเขายังอยู่ในภาวะสงบตอนที่กล่าวยอมรับผิดกับการกระทำที่ผิดธรรมเนียม “เด็กคนนั้นเป็นลูกของข้าเองขอรับ”

“แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อไป”

“ข้าจะแต่งงานกับนางให้เร็วที่สุด”

“ดี หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือใด จงบอกกล่าวมาแล้วกัน”

การแต่งงานของหญิงชายในอาณาจักรฮัชดาลลาร์นั้น ไม่จำเป็นต้องให้พ่อแม่ฝ่ายชายไปทาบทามหรือสู่ขอฝ่ายหญิงดั่งเช่นในบางประเทศ หากชายหญิงคู่นั้นมีอายุเกินยี่สิบปีบริบูรณ์ เนื่องด้วยถือว่าพ้นความเป็นผู้เยาว์ที่ต้องอยู่ในความดูแลปกป้องจากบิดามารดาแล้ว อีกประการหนึ่งคือ ชาวเมืองฮัชดาลลาร์ส่วนใหญ่จะแต่งงานเมื่อมีอายุล่วงสี่สิบถึงห้าสิบปี ดังเช่น ‘ดิวา’ พี่สาวของกรินซึ่งปีนี้มีอายุครบสี่สิบปีแล้ว

เรื่องการแต่งงานที่มาถึงก่อนแผนที่กำหนดไว้ ไม่ได้สร้างความหนักใจให้กรินเท่าใดนัก เขาโดนกิรานารบเร้ามาตั้งแต่ที่เจ้าตัวรู้เรื่องเจ้าชายทานันศิระหมายตาความสามารถการพยากรณ์ เพราะถ้าคิดจะรุกรานยึดครองอำนาจเหนืออาณาจักรอื่น ความสามารถของกิรานาจะช่วยสนับสนุนกองทัพได้มากมายมหาศาล

เพียงแต่เขาคิดว่าจะประวิงเวลาให้สามารถไปจัดพิธีหลังประเพณีมาดามายาก็เท่านั้น

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”ชวิศาเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาในห้อง เขาเงยหน้าขึ้นจากกระดาษที่ตนกำลังเขียนวงเวท

“ข้าต้องแต่งงานกับกิรานาแล้วนะ”

“ฮะ?! แล้วผมจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ ผมไม่มีทางไปนอนห้องอื่นเด็ดขาด”ชวิศาพูดบอกอย่างแข็งกร้าว

“ข้ายกห้องนี้ให้เจ้า”

ชวิศาขมวดคิ้ว “แล้วคุณกรินจะไปอยู่ที่ไหน”

“ข้าต้องไปสร้างบ้านใหม่อยู่กับภรรยาของข้านะสิ”เรื่องนี้ต่างหากที่เป็นปัญหา เขาไม่มีทางสร้างบ้านได้เสร็จทันก่อนงานแต่งแน่ๆ สงสัยต้องยืมห้องในคฤหาสน์อยู่อาศัยไปก่อน

“งั้น ผมไปด้วย”ชายหนุ่มยกไม้ยกมือร้องบอก

“บ้านของข้าคงไม่เสร็จในเร็ววันหรอก ไม่แน่ว่าเจ้าคงอาจจะได้กลับบ้านของเจ้าก่อน”

“คุณกรินหาทางส่งผมกลับบ้านได้แล้วเหรอครับ”

“ได้แล้วสิ”กรินบอกออกไปแค่นั้น ที่เขาไปหอตำราเมื่อเช้าก็ด้วยเรื่องนี้ เขากำลังหาทางสร้างผนึกพลังอีกชิ้นโดยใช้เหตุการณ์นองเลือดที่กิรานาเห็นในนิมิตให้เป็นประโยชน์

แต่เดิมนั้น ผนึกดวงจิตก็เป็นมนตราขาวกึ่ง ๆ คำสาปอยู่แล้ว แต่เพราะสามารถใช้พลังคลายผนึกทำให้เจ้าของดวงจิตกลับมามีชีวิตได้ ในอดีตจึงใช้มนตราเพื่อดำรงชีวิตอมตะมากกว่าดึงเอาพลังเวทมาใช้ ส่วนผนึกชิ้นใหม่ที่เขาจะสร้าง มันมาจากพลังด้านมืดอย่างแท้จริง ใช้เลือดเนื้อของผู้คนที่เสียชีวิตเป็นเครื่องสังเวย

“เออ แล้วเวลาสร้างบ้านไม่ใช้พลังเวทในการสร้างหรือครับ แบบ... โอม บ้านหลังน้อยจงปรากฏ อะไรแบบนี้”

เสียงถามของชวิศาทำให้เขาหลุดจากภวังค์ มองชายหนุ่มร่างเล็กชูนิ้วโบกมือไปมาและชี้นิ้วลงกับพื้นไม้ของโต๊ะตรงหน้า ทันใดนั้นบ้านหลังน้อยก็ปรากฏขึ้นมาจริงๆ ชวิศาร้องโอ้โฮตาโต ใช้นิ้วมือข้างนั้นจิ้มลงที่ส่วนของหลังคาบ้าน เมื่อชักมือออก หลังคาสีน้ำตาลของบ้านหลังน้อยกลับเป็นรอยบุ๋มลงไป

“นี่มันเค้กล่ะ”ชวิศาร้องบอกเมื่อลองชิมครีมที่เลอะปลายนิ้วมือแล้ว เขาหยิบมันขึ้นมาและกัดเข้าไปเต็มปากเต็มคำ “อร่อยด้วย คุณกรินเอาไหมเดี๋ยวผมเสกให้อีกอัน”เขาหันไปถามชายหนุ่มอีกคนด้วยความกระตือรือร้น

กรินส่ายศีรษะปฏิเสธ นึกอิจฉาพวกที่มีพลังเวทมากมายอีกรอบ ก่อนจะฉุกใจเกิดประกายความคิดขึ้นมา

“ถ้าข้าจะให้เจ้า สร้างบ้านให้ข้าสักหลัง เจ้าจะมีปัญหาหรือเปล่า”

“ฮะ?!”



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

แม้จะงงๆอยู่บ้าง แต่ก็สนุก ชอบ :impress3:

อื้อหือ ตอนแรกก็แนววิทยาศาสตร์ ไหงกลายมาเป็นไสยศาสตร์ได้เนี่ย แถมตอนแรกก็เป็นเรื่องรัก แต่จู่ๆก็กลายเป็นกู้ชาติไปงั้น มึนฮะ

ตอนที่อ่านคอมเมนต์ของคุณ WaterProof เราก็คิดอยู่ว่า หรือเราเขียนบรรยายเรื่องได้น่างุนงงเกินไป แต่ถ้าเป็นแบบที่คุณ noozzz เขียนอธิบายล่ะก็ เราขอตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า ก็พล็อตมันออกทะเลจ้า

ตอนที่เรื่องมันเริ่มจะไถล เรากลับมานั่งคิดดูแล้วรู้สึกว่า ถ้าพ้นจากช่วงต้นเรื่องไปแล้ว ซี ชวิศาจะไม่ค่อยมีบท เราเลยเขียนเรื่องเพื่อพัฒนาความสามารถตัวละครโดยเฉพาะ มันเลยกลายเป็นประมาณนี้

อย่าเพิ่งเลิกติดตามนะคะ แม้พล็อตเรื่องจะห่างจากฝั่งไปบ้าง แต่ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไหร่ มันจะไปจบที่ตรงไหน แต่จะยังไงก็ต้องไปให้ถึงจุดหมายค่ะ

ออฟไลน์ A_bookworm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
กำลังไหลเลย มีแฝดสุดฟ้าโผล่มาแล้ว ดันเป็นตัวโกงซะนี่ 5555+ รอตอนต่อไป แบบมีสคริปกดข้ามให้มาลงตอนต่อไปเลยป่ะ

ไลท์เตอร์สู้ๆๆๆนะ ชอบๆๆนั่งเรือยอช์ท ออกทะเลไปกับไลท์เพลินๆ

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
บทที่สามสิบสาม

กรินเป็นเจ้าของถือครองเอกสารสิทธิ์ที่ดินอยู่ผืนหนึ่งซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับมรดกของครอบครัว อันได้มาจากกิจการค้าขายของตัวเอง เขาทำการค้าอัญมณีประจุมนตรา แน่นอนว่ามีกิรานาเป็นหนึ่งในหุ้นส่วน เพราะมนตราช่องว่างมิติไม่ใช่ผู้ใดก็สามารถใช้ได้ เขาขายของตามคำสั่งซื้อ ราคาของมันจึงสูงมาก ทั้งยังไม่เผยแพร่แหล่งที่มารวมถึงวิธีการสร้างอัญมณีแก่ผู้ใด จึงพูดได้ว่าทั้งอาณาจักรมีเขาผู้เดียวเท่านั้นที่รู้วิธีสร้างอัญมณีนี้

กรินพาชวิศามายังที่ดินแห่งนั้น เป็นที่ดินที่อยู่ห่างจากคฤหาสน์ของกิรานามาไม่ไกล กระนั้นมันก็เป็นพื้นที่รกร้างที่ไม่มีบ้านคนอยู่ใกล้เคียง

“ข้าจะให้เจ้าช่วยสร้างบ้านให้ข้าบนที่ดินนี้”

“ครับๆ จะให้ทำอะไรเชิญบอกมาได้เลยครับ”ชวิศาไม่มีคำเถียงโต้แย้ง เพราะต่อให้โวยวายออกไป ถ้ากรินบอกว่าทำได้ก็คือทำได้ตามที่อีกฝ่ายพูด

ที่จริงกรินก็ไม่ค่อยแน่ใจนักกับวิธีการนี้ เพราะยังไม่เคยวาดวงแหวนเวทขนาดใหญ่มาก่อน แต่กระนั้นเพราะมีคนที่มีพลังมากมายอยู่ข้างตัว เขาจึงอยากลองมนตราที่ใช้สร้างสิ่งของเช่นนี้สักครั้ง

การสร้างสิ่งของที่จับต้องได้ด้วยพลังเวทสามารถทำได้จริง ถ้ากล่าวกันตามทฤษฎีแต่มันยุ่งยากและสิ้นเปลืองพลังเวทมากจนการสร้างด้วยมือเช่นวิธีปกติเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า คนส่วนใหญ่จึงใช้พลังเวทเป็นตัวช่วยเสริมมากกว่าการใช้เวทสร้างของชิ้นนั้นทั้งหมด

กรินมาดูที่ดินในครั้งนี้เพื่อเตรียมการเท่านั้น เขาเตรียมเชือกเส้นยาวมาสำหรับการวัดขนาดของพื้นที่ และเตรียมหมุดไม้ที่เป็นแท่งยาวสำหรับปักระบุเขตแดน ดังนั้นแรงงานเพียงแค่สองคนจึงนับว่าเหลือเฟือ เวลาผ่านไปไม่นานพวกเขาก็เดินทางกลับ จากนั้นจึงแวะไปหาเมดินที่สำนักศึกษาเช่นปกติ

“สารจากท่านหญิงมารอเจ้าอยู่นานแล้ว”เมดินผายมือไปทางนกน้อยตัวสีขาวที่เกาะอยู่ขอบหน้าต่าง เขาเดินเข้าไปหา แตะมือที่ตัวมัน เจ้านกน้อยก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง เขาอ่านข้อความนั้นแล้วพับเก็บไว้

“นางว่าอย่างไร”

“นางแค่อยากพบข้า”

“ข่าวที่ข้าได้มาเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”

“จริง”

“แล้วจะไม่ส่งผลกระทบใดหรือ”เมดินถามอย่างกังวล

“ไม่ต้องห่วง ข้าคาดการณ์เรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว”

“เจ้าจงใจอย่างนั้นรึ”เมดินถามด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว แววตาวาวโรจน์ด้วยความฉุนเฉียวทว่าแค่กะพริบตา แววตาเช่นนั้นพลันหายไปอย่างรวดเร็ว “เจ้าไม่กลัวว่านางจะเป็นอันตรายรึ”

ชวิศามองบรรยากาศอึดอัดหนักหน่วงในบทสนทนาโดยไม่กล้าพูดแทรก

“ข้าย่อมต้องหาวิธีป้องกัน”กรินพูดพร้อมกล่าวย้ำ “นางและลูกของข้าต้องปลอดภัย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”

“ข้ารู้ว่าเจ้าฉลาด เอาเถอะ ถือว่าข้าเตือนเพราะเป็นห่วง”เมดินพูดพลางถอนหายใจคล้ายเอือมระอา “มีอะไรให้ช่วยเหลือจงบอกข้าอย่าได้เกรงใจ”

“แน่นอน อีกวันสองวันนี้ ข้าจะนำเอกสารมาให้เจ้าช่วยคัดสำเนา”

“คัดสำเนา?”

“อย่าเพิ่งถามเลย ถ้าเจ้าได้เห็นเจ้าจะรู้เอง”กรินขอตัวลาเพราะต้องเดินทางไปพบหญิงสาวคนรักหลังจากนี้ ซึ่งไม่แน่ว่าเธอคงอยากมาพบเขาตั้งแต่เมื่อวานตอนค่ำแต่อาจจะมีเหตุสุดวิสัยที่ทำให้เธอไม่สามารถไปไหนมาไหนได้

พ้นออกจากห้องเมดินมาแล้ว กรินหันไปบอกชวิศาว่า “ข้าจะไปหากิรานา เจ้ากลับไปก่อนแล้วกัน”

“ผมไปด้วยไม่ได้เหรอ”

“ข้าจะพูดคุยกับคนรักของข้างโดยไม่มีบุคคลที่สามบ้างไม่ได้หรือ”

ชวิศาหน้าตึงเพราะชายหนุ่มกำลังบอกว่าเขากำลังเป็นก้างขวางคอ ทั้งที่ตัวเองใช้งานเขาสารพัด เขาจึงสะบัดหน้าเดินหนีพร้อมตะโกนร้องบอก “อยากไปไหนก็ไปเลย” ชวิศาก้าวเท้าไปข้างหน้าโดยไม่คิดอยากจะหันมองกรินอีก เดินไปพลางบ่นไปพลาง ก้าวเท้าไปตามถนนเลี้ยวเข้าตัวเมือง

ชายหนุ่มไม่ค่อยมีโอกาสได้เดินเที่ยวในเมืองมากนัก เพราะกรินไม่ยอมมาเดินด้วยและจะให้เขามาเดินคนเดียว ชวิศาก็คิดว่ามันแปลก ๆ มันทำให้เขาคิดถึงมาริเอะ หุ่นยนต์ของสุดฟ้า เพราะต่อให้คนอื่นไม่ว่าง อย่างน้อยเขายังมีคุณมาริเป็นเพื่อน เขาก้มหน้ามองพื้นด้วยอาการเหงาหงอย

“เป็นอะไรหรือ ดูสีหน้าของท่านไม่ค่อยดีนัก”

ชวิศาเงยหน้ามองคนที่เขามาคุยด้วย “คุณสุดฟ้า” เผลอร้องเรียกออกไปอย่างลืมตัวก่อนจะนึกขึ้นได้จึงยกมือขึ้นปิดปาก

“ท่านเรียกเราด้วยชื่อนี้ถึงสองครั้งแล้ว คนผู้นั้นคงหน้าตาเหมือนเรามาก”คนพูดยกยิ้มที่ทำให้ชวิศาเคลิ้มไป ก่อนจะสะดุ้งรู้สึกตัวเรียกสติของตัวเองกลับมา

“เหมือนมากครับ”เขาพูดบอกพลางพยักหน้ายืนยัน

“เราขออนุญาตถาม คนผู้นั้นเป็นอะไรกับท่านหรือ”

พอนึกถึงคำตอบแล้ว ชวิศาก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาผสมกับความรู้สึกอยากประกาศให้โลกรู้ “ผมกับเขาเป็นแฟนกัน”

“แฟน?”

“คนรักกันนะครับ”เขาอธิบายความหมายด้วยหัวใจที่พองโต นึกอยากกลับบ้านเร็ว ๆ ขึ้นซะเดี๋ยวนั้นเลย แต่พอนึกขึ้นได้ก็หน้าหงอยลงอีก เขาต้องติดอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่กันเนี่ย

“เป็นอะไรอีกหรือ”เจ้าชายทรงตรัสถามเมื่อสีหน้าของคู่สนทนาเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองอีกครั้ง

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเสียงดัง “ผมอยากกลับบ้านนะครับ”

“บ้านของท่านอยู่ไกลมากหรือ”ทรงตรัสถามต่อ ก่อนจะเชิญชวนชวิศาไปนั่งคุยที่ร้านอาหารซึ่งอยู่ไปไกลนัก ระหว่างเดินก็ชวนคุยไปพลาง เมื่อวานเมดินได้กล่าวเตือนเรื่องเจ้าชายทานันศิระให้เขารู้ตัวแล้ว ถึงจะรู้สึกว่าคนตรงหน้าน่าจะเป็นคนดี แต่เขาก็ควรระวังตัวไว้ตามที่โดนตักเตือน จึงไม่ได้บอกเล่าโดยละเอียด แค่พูดเล่าว่า บ้านของเขาอยู่ไกลและกรินกำลังพยายามหาทางไปส่ง

“เราว่าบางทีท่านกรินอาจจะไม่สะดวกแล้ว ได้ข่าวว่าอีกไม่นานท่านผู้นั้นต้องเข้าพิธีสมรส”ประโยคนั้นออกมาจากพระโอษฐ์พร้อมแววพระเนตรที่เคียดแค้นชิงชังจนชวิศาซึ่งบังเอิญสบสายตาด้วยเสียวสันหลังวูบ เขาเริ่มรู้สึกทะแม่ง ๆ ทำไมมีแต่คนมีปัญหากับการแต่งงานของกริน หรือว่ากิรานาจะเป็นผู้หญิงหลายใจอ่อยผู้ชายไปทั่ว ชวิศาเริ่มเดียดฉันท์หญิงสาวขึ้นมาตงิด ๆ

“ถ้าอย่างไร ให้เราเป็นผู้พาท่านไปส่งดีหรือไม่”

“เอ๊ะ”ชวิศาร้องออกไปเพราะไม่ทันฟัง

“ให้เราเป็นผู้พาท่านไปส่งที่บ้านดีหรือไม่”

“เจ้าชายรู้จักประเทศไทยหรือฝรั่งเศสไหมล่ะครับ”

“หือ”คราวนี้เจ้าชายทรงเป็นฝ่ายส่งเสียงในพระศอด้วยสงสัยเสียแทน

“บ้านของผมอยู่ที่นั่น”ชวิศายกยิ้มพร้อมส่งเสียงหัวเราะแห้ง ๆ ถ้าเทียบตามยุคสมัยแล้ว ช่วงเวลาที่เขาได้ย้อนกลับมาเป็นยุคก่อนที่จะมีอาณาจักรอยุธยาจะถือกำเนิดเสียอีกทั้งยังห่างกันเกือบสุดฝั่งแผ่นดิน ส่วนฝรั่งเศสก็ยังไม่ใช่ฝรั่งเศสเช่นเดียวกัน ชวิศาจึงกล่าวตัดบทเปลี่ยนเรื่อง

เจ้าชายแห่งอาณาจักรฮัชดาลลาร์เห็นคู่สนทนาไม่อยากอธิบายความเกี่ยวกับสถานที่ทั้งสองจึงไม่รบเร้าประการใดอีก แต่ทรงเล่าถึงเรื่องราวขำขันที่ทรงเคยประสบมาเสียแทน ซึ่งบางเรื่องเล่าทำให้ชวิศาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ ก็มีสหายของเจ้าชายเข้าทักทายพูดคุยอยู่บ่อยครั้ง มองดูภายนอก เจ้าชายทานันศิระทรงมีพระอัธยาศัยดีถึงเพียงนี้ ชวิศาจึงเกิดข้อสงสัยและเขาก็เอ่ยถามออกไปตามตรงอย่างไม่นึกกลัวเกรงพระราชอำนาจของอีกฝ่าย

“เจ้าชายอยากให้องค์ราชาสละราชบัลลังก์หรือครับ”หลังนิ่งคิดคำถามอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็เอ่ยปากออกไป แน่นอนว่าถึงจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยแต่จะให้เขาถามว่า ‘ทรงกำลังจะก่อกบฏหรือ’ ก็คงเป็นไปไม่ได้

“หืม เหตุใดท่านคิดเช่นนั้น”ทรงเลิกพระขนงและตรัสถามกลับมา

คราวนี้ชวิศาจึงออกอาการอึกอัก จะให้พูดว่าเมดินเป็นคนบอกก็ท่าว่าจะไม่ดี จึงอ้อมแอ้มตอบกลับไปว่า “เอ่อ... ได้ยินเขาพูดกัน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทรงดำริทราบทันทีว่า ‘เขา’ ที่ว่าคือผู้ใด กระนั้นทรงกล่าวตอบไปว่า “ปีนี้พระบิดามีพระชนมายุหนึ่งร้อยสามสิบสองพรรษาแล้ว เราคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทรงสละราชสมบัติ”

“ร... ร้อย...เท่าไหร่นะครับ”

“หนึ่งร้อยสามสิบสอง”

ชวิศานับนิ้วไม่ถูกเลย ไม่ใช่ว่าคนสมัยก่อนจะมีอายุขัยสั้นกันหรอกเหรอหรือเขาเข้าใจอะไรผิด “อย่างนั้นองค์ราชาทรงชรามากแล้วสินะครับ”

“ไม่เชิงนัก เพราะทรงใช้มนตราเวทดำรงรูปลักษณ์ภายนอกไว้ จึงไม่ค่อยมีใครมีใครรู้ว่ารูปกายที่แท้ของพระองค์เป็นเช่นใด แต่ท่านปราชญ์ลำดับที่หนึ่งจะประกาศเกษียณอายุในปีนี้แล้ว พระบิดาก็คงชราภาพไม่ต่างกัน”

ชวิศาส่งรอยยิ้มแห้งแล้งไปให้ ทีแรกเพราะสงสัยอยากรู้เรื่องที่เจ้าชายประสงค์ก่อกบฏอะไรนั่นเป็นจริงหรือเปล่า แต่พอรับรู้เรื่องอายุขององค์ราชาเข้าไปทำให้มึนงงละความสนใจจากเรื่องที่สงสัยไปเสีย พูดบอกตัวเองด้วยความคิดง่าย ๆ ว่าเรื่องแบบนี้ปล่อยให้กรินจัดการไปดีกว่า



กรินเอาแต่หมกตัวอยู่ในหอตำราเมือง ช่วงวันสองวันแรกชวิศาก็รู้สึกสนุกดีกับการใช้พลังผ่านอัญมณีประจุมนตรา แต่นานเข้าเขาก็นึกเบื่อ ระหว่างนั้นชายหนุ่มกลับได้เจอเจ้าชายทานันศิระบ่อยขึ้น จนถูกเรียกว่าพระสหายอย่างเต็มปากเต็มคำ ข่าวลือเรื่องของเขาจึงลอยเข้าหูเมดินในที่สุด

“ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วเรื่องเจ้าชาย”เมดินพูดเสียงเข้มด้วยท่าทางที่พยายามกดข่มความเกรี้ยวกราดโมโห

เมดินมาหาพวกเขาแต่เช้าก่อนที่กรินจะออกจากบ้าน เนื่องจากในช่วงหลายวันที่ผ่านมากรินไม่เคยแวะไปที่สำนักศึกษา เขาใช้เวลาทั้งวันอยู่ในหอเก็บตำราและกลับมานอนเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ชวิศาก็แยกกับกรินที่หอตำราในช่วงกลางวันก่อนจะกลับไปนั่งรอชายหนุ่มที่นั่นและกลับเข้าบ้านพร้อมกัน

ชวิศาหงอที่ถูกดุ แต่ในใจคิดโต้แย้งอยู่ว่า เจ้าชายไม่ใช่คนไม่ดีสักหน่อย

“ไม่ต้องโมโหไปหรอกน่า แค่ไปเที่ยวเล่นในเมือง”กรินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ

ถึงชวิศาจะไม่ฉลาดแต่เขากลับรับรู้ได้ถึงความขัดแย้งไม่จริงใจของกรินและเมดินที่มีต่อตัวเขา ก่อนหน้านั้น ถึงกรินจะพูดจาร้ายกาจชอบทำหน้ารำคาญใส่ แต่ชวิศาไม่เคยรู้สึกผิดที่ผิดทางขนาดนี้ มันเหมือนการที่เขายังมีที่ยืนอยู่ตรงนี้เพราะเขายังมีประโยชน์ หรือเพราะเขามีโอกาสได้คุยกับเจ้าชายทานันศิระที่ไม่สนพระทัยเรื่องพลังของเขาก็ไม่รู้ ความคิดเช่นนี้ถึงได้ชัดเจนขึ้น

“ถ้าเที่ยวเล่นทำไมถึงไม่บอกข้า เจ้าชะล่าใจเกินไปแล้วกริน ไม่แน่ว่าซีอาจจะตอบรับผลประโยชน์ที่เจ้าชายเสนอให้ไปแล้วก็ได้”

“แล้วการที่เจ้ามาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าซีจะมีประโยชน์อะไร”

“แค่อยากให้รู้ว่าข้าจับตาดูเจ้าอยู่”เมดินก้าวเท้ามาหยุดพูดตรงหน้าชวิศา แววตาน่ากลัวกว่าที่เจอกันเมื่อครั้งล่าสุดเสียอีก

“ข้าว่าเจ้าเคร่งเครียดเกินไปแล้ว”กรินเดินมาตบบ่าเมดิน “ข้ารับปากว่าจะช่วยเจ้า แผนการของข้าก็ต้องเป็นไปตามนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องห่วงกังวลมากเกินไป”

“เจ้าไม่คิดว่าแผนของเจ้าจะผิดพลาดบ้างหรือไร”เมดินเอ่ยถามเมื่อกรินพยายามดึงชวิศาให้เดินตามออกไปจากห้อง

“มันไม่มีแผนใดสมบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว และการแก้ไขข้อผิดพลาดนั่นก็เป็นหน้าที่ของข้าด้วยเช่นกัน”ชายหนุ่มเอ่ยตอบด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้าน เขารุนหลังชวิศาให้เดินนำออกไป พาชายหนุ่มร่างเล็กมายังที่ดินที่เขาตั้งใจจะสร้างเรือนหออีกครั้ง กรินเอ่ยทักคนรู้จักที่บังเอิญเจอกันระหว่างทางบ้างในบางครั้ง ขณะที่ชวิศายังเดินตามด้วยอาการหุบปากเงียบ

“เจ้ายังเชื่อใจข้าอยู่หรือเปล่า”

ชวิศาไม่ตอบและแววตาลังเลที่ถูกส่งออกไปทำให้กรินรับรู้ได้เช่นกัน กรินจึงขยับเท้ามายืนดักอยู่ด้านหน้าพร้อมยกฝ่ามือขึ้นมา “ด้วยคำสัตย์จริงแห่งข้า ผู้เป็นเจ้าของนามกริน วียาบูท์ ข้าขอสาบานว่า หลังจากจบเรื่องราววุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ข้าจะส่งเจ้ากลับไปยังที่ที่เจ้าจากมาอย่างแน่นอน”

ชวิศามองเห็นฝุ่นไอทรงกลมสีทองปรากฏขึ้นตรงกลางฝ่ามือของกริน ก่อนที่มันจะหายไปเมื่อกรินกำมือลง ชวิศายืนนิ่งงัน รับรู้ได้ทันทีว่าคำพูดนั้นของกรินไม่มีทางบิดพลิ้วอย่างเด็ดขาด เขาเดินตามกรินที่หมุนตัวเดินนำหน้าไป

“เจ้าชายไม่ใช่คนไม่ดี”

“ไม่มีใครเป็นคนที่ดีพร้อมทุกประการเช่นเดียวกัน”อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างรวดเร็วราวกับรู้ว่าเขาจะพูดอะไร “เจ้ายังมีหน้าที่ชิงชัยในประเพณีมาดามายาให้ได้เช่นเดิม”

ชวิศาหน้าหงอยจนกรินต้องเอ่ยปลอบ “เจ้าไม่ต้องคิดมาก ข้าไม่ได้ใช้ให้เจ้าฆ่าเจ้าชายเสียหน่อย อีกอย่างพระองค์ก็ไม่มีทางสิ้นพระชนม์ง่าย ๆ หรอก”

“แต่เมดินบอกว่าทรงจะก่อกบฏ ถ้าโดนจับได้ต้องถูกประหารน่ะสิ”ชวิศาร้อนรนด้วยความเป็นห่วง

“ข้าคงพูดอะไรมากไม่ได้ แต่ข่าวคราวบางอย่างต้องรู้จักฟังหูไว้หู”

“เอ๊ะ อะไร ยังไงเหรอ”เขาถามหน้าตาตื่น กรินพูดอย่างนั้นแสดงว่ามันต้องมาอะไรลึกลับซับซ้อน

“เจ้าอย่าอยากรู้เลย เช่นนี้ก็ดีแล้ว”กรินบอกปัด ถึงจะอยากรู้แค่ไหนแต่กรินคงไม่บอกอะไรเขาเพิ่มเติมอีก พี่ชายของเขาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เขาสนิทสนมกับโยธินและนั่นทำให้รู้ว่าเรื่องบางเรื่องไม่สามารถแพร่งพรายได้ บางครั้งเมื่อรู้มากก็อันตรายมาก ชวิศาจึงยอมหุบปาก แต่ตอนที่อยู่กับพี่โย พี่ชายจะคอยบอกเสมอว่าเขาต้องระวังอะไรหรือใคร แล้วกรินจะบอกเขาหรือเปล่าเนี่ยว่าต้องระวังใครบ้าง เขาไม่มีความสามารถมากพอมานั่งสังเกตจับตาเอาเองหรอกนะ ชวิศาคิดว่าคงต้องบอกกรินเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ก่อน แต่อีกฝ่ายก็ร้องเร่งให้เขาไปทำงานแล้ว

“ผมต้องระวังใครหรืออะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

“หือ”

“ก็แบบ... อะไรที่จะอันตรายอะไรอย่างนี้”

“อ้อ ช่วงนี้เจ้าก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ ไม่ต้องกังวลหรอก”จากนั้นจึงบอกให้เขาช่วยจับไม้ไว้ “จับให้แน่นนะอย่าปล่อยเด็ดขาดล่ะ”ชวิศาถึงได้หันมาสนใจสิ่งที่กรินกำลังทำ

ไม้ท่อนยาวที่เขาถือไว้ถูกผูกเชือกไว้ตรงกลาง ปลายอีกด้านของเชือกเส้นนั้นถูกผูกอยู่กับท่อนไม้ที่กรินถือ ชายหนุ่มร่างสูงเดินห่างออกไปจนสุดความยาวเชือก

“กดไว้ให้แน่น อย่าให้ขยับล่ะ”

ชวิศาจึงกดปลายไม้กับพื้นตามที่โดนร้องสั่ง กรินลากไม้เดินวนรอบตัวเขาตามความยาวของเชือกจนครบรอบกลายเป็นวงกลมหนึ่งวง และลดความยาวเชือกอีกครั้งเพื่อสร้างวงกลมวงที่สอง หน้าที่ของเขาจึงหมดลงได้แต่นั่งมองกรินเขียนอักขระบนวงแหวนเวทขนาดใหญ่จากใต้ร่มไม้ซึ่งอีกฝ่ายให้เขามานั่งพัก

“คุณกรินจะทำอะไรเหรอครับ”

“เขียนวงเวทให้เจ้าสร้างบ้านให้ข้าไง”

“แล้วมันจะแข็งแรงทนทานเหรอ ไม่ใช่ผ่านไปสองวันมันเกิดถล่มลงมาแล้วมาโทษผมไม่ได้นะ”

“เรื่องแบบนี้ไม่ลองก็ไม่รู้”คำตอบของกรินฟังคล้ายพูดอย่างขอไปทีในความคิดของชวิศา แต่เพราะรู้ว่าขัดไปก็เท่านั้น เขาจึงได้แต่นั่งเงียบมอง

เวลาผ่านไปนานจนชวิศานั่งสัปหงก กรินถึงเดินมาปลุกเขา แผ่นหลังของกรินชุ่มเหงื่อทั้งตามหน้าผากไรผมก็ไม่ต่างกันเนื่องจากต้องเขียนวงเวทท่ามกลางแสงแดดแรงกล้ากลางพื้นที่โล่ง กรินจึงเรียกผ้าผืนเล็กออกมาจากอัญมณีเพื่อซับเหงื่อ

“เจ้าไปอยู่ที่กลางวงเลย มันจะมีเส้นวงกลมล้อมรอบอักขระดินอยู่ ให้วางมือบนเส้นนั้นและถ่ายเทพลังลงไป อ้อ อย่าเหยียบเส้นอักขระที่ข้าเขียนไว้ล่ะ”

ชวิศาพยักหน้ารับ เขาเดินหลบหลีกอักขระบนพื้นไปจนถึงวงกลมในสุดโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ทรุดตัวลงนั่งพร้อมวางมือทั้งสองข้างลงไป ด้วยเพราะกลัวว่าบ้านของกรินจะไม่แข็งแรงทนทาน เขาจึงปล่อยให้พลังเวทไหลจากฝ่ามือลงสู่พื้นดินอย่างเต็มที่

พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนอันเกิดจากพลังเวทที่ไหลเวียนวนครบวัฏจักร

วงเวทของกรินเป็นรูปแบบคำสั่งให้พลังเวทของชวิศาดึงเอาสสารที่มีอยู่ขึ้นมาใช้ หมายความว่า บ้านของเขาจะสร้างจากดินและสินแร่ในดินจากพื้นที่โดยรอบวงแหวนเวท ตัดทอนกรรมวิธีการสร้างตามปกติด้วยความสามารถพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของพลังเวท

แต่ถึงกระนั้น ด้วยพลังอันมหาศาลของชวิศาซึ่งเกินกว่าที่กรินคาดเดาไปมากโข แผ่นดินที่เขายืนอยู่จึงสะเทือนไหวพร้อมกับก้อนดินที่กลายเป็นท่อนอิฐสีน้ำตาลเข้มค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นจากพื้น กรินต้องขยับเท้าถอยห่างอีกนิดเมื่อผนังกำแพงของบ้านผุดขึ้นจากพื้นห่างจากที่เขายืนอยู่เพียงแค่ฝ่ามือเดียว มันสูงขึ้นและขยายขอบเขตพื้นที่ออกไปโดยมีชวิศาเป็นจุดศูนย์กลาง

ไม่ว่าจะหน้าต่าง ประตู ชานระเบียงมันถูกเนรมิตขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ ชานพักหน้าประตูนั้นมีเสากลมรองรับขอบหลังคาทรงโค้ง ที่ต้องเดินอีกหลายก้าวกว่าจะถึงหน้าประตู ผนังอาคารที่ถูกสร้างให้สูงขึ้นไปนั้นไปบรรจบกันเป็นหลังคาสีน้ำตาลแดง สุดปลายอาคารทั้งสองด้านเป็นหอคอยหลังคาทรงยอดแหลม

เมื่อพื้นดินซึ่งสั่นสะเทือนส่งเสียงอึกทึกอยู่พักใหญ่นั้นสิ้นสุดลง กรินจึงเดินเข้าไปใกล้ประตูหน้าซึ่งเป็นไม้แกะสลักลวดลายสองบานใหญ่ ที่จับประตูเป็นทองเหลืองเงาวับ เขาเปิดประตูเข้าไป ด้านในเป็นทางเดินทอดยาวไปสู่โถงโลงกว้างซึ่งมีร่างนักเวทผู้เนรมิตปราสาทนอนแผ่หมดแรงอยู่บนพื้นขัดมัน

เหนือศีรษะขึ้นไปเป็นเชิงเทียนโคมระย้าถูกแขวนห้อยมาจากเพดาน ที่ชั้นสองเป็นระเบียงลอยล้อมรอบพื้นที่โถงชั้นล่างและเป็นทางเดินเชื่อมระหว่างบันไดทางขึ้นปีกอาคารทั้งฝั่งซ้ายและขวา แสงสว่างจากภายนอกทอดส่องเข้ามาภายในจากบานหน้าต่างกระจกซึ่งล้อมรอบทั้งตัวอาคาร

กรินยกยิ้ม “เจ้าทำเกินไปหน่อยนะ”

“เกินไปหน่อยอะไร”ชวิศายันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมส่งเสียงโวยวายออกมาทันที “ผมอุตส่าห์พยายามขนาดนี้ คุณยังมาว่าผมอีก”

“ข้าขอบใจเจ้า แต่เจ้าดูสิ แทนที่มันจะเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ กลับกลายเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่โตขนาดนี้ เจ้าควรควบคุมการใช้พลังให้ได้”

ชวิศาพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างฉุนเฉียว “งั้นให้ผมทำลายมันซะเอาไหม”

“โอ้ อย่าเพิ่งใจร้อนไปท่านมหาเวทผู้ยิ่งใหญ่ ข้าแค่กลัวว่าถ้าท่านเอาแต่ใช้พลังไม่บันยะบันยัง หากเกิดเหตุการณ์คับขันแล้วท่านเกิดหมดแรงข้าวต้มไปเสียก่อน จะลำบากในภายหน้าได้”

ชายหนุ่มผู้ถูกเยินยอยังคงเบ้หน้าด้วยความไม่สบอารมณ์อยู่ดี

กรินยังคงประดับรอยยิ้มบนใบหน้าพร้อมทั้งส่งมือไปให้ “กลับกันเถอะ เจ้าคงหิวแย่แล้ว”

“ใช่เลย ตอนนี้ท้องว่างสุด ๆ”ชวิศากุมท้องกล่าวรับคำทันที

พวกเขาทั้งสองคนออกมาด้านนอก ปรากฏว่าหน้าคฤหาสน์มีผู้คนมายืนออกันเต็มไปหมด และเมื่อคนในเมืองเห็นหน้ากรินจึงเอ่ยถามเซ็งแซ่

“ท่านกรินนี่คฤหาสน์ของท่านหรือ”

“ใช่ขอรับ”

“มันถูกสร้างด้วยเวทหรือ ท่านทำได้เช่นไร”

“ข้าไม่ได้ทำ คุณชายท่านนี้ต่างหาก”กรินผายมือไปที่ชวิศา คนที่ถูกกล่าวถึงจึงสะดุ้งพร้อมชะงักตัวเกร็งเพราะจู่ ๆ ทุกคนก็หันเหสายตามาหา กรินจึงก้าวเท้ามาบังตัวชวิศาไว้ “แต่วันนี้พวกเราต้องขอตัวกลับก่อน ถ้าอย่างไรหากทุกท่านอยากสนทนาขอเชิญพบกันที่นี่อีกครั้งในวันพรุ่งนี้”

กรินยิ้มกว้างให้ทุกคนอีกครั้งอย่างเป็นมิตรก่อนจะสาวเท้าเดินนำชวิศาออกไป

“ให้อารมณ์เหมือนดาราเลยล่ะ”

“ดารา?”กรินหันมาถาม พวกเขาเดินพ้นฝูงชนออกมาไกลแล้วยามที่ชวิศาพูดออกมาเช่นนั้น

“คนดังแหละครับ แต่แบบดังมาก มีคนชื่นชอบจนไปไหนจะต้องมีคนมารุมล้อมตลอด คนพวกนี้จะถูกเรียกว่าแฟนคลับ”

“เช่นนั้นข้าก็เป็นดาราเหมือนกัน”กรินกล่าวอย่างมั่นใจ

“แต่ดาราต้องแสดงโชว์ให้คนดูด้วยนะ แบบร้องเพลงหรือเล่นละคร”

“ดาราในยุคสมัยของเจ้านะรึ”กรินเอ่ยถาม “ในอาณาจักรฮัชดาลลาร์ก็มีเช่นกันพวกคณะละครที่แสดงดนตรีอะไรทำนองนั้น แต่ข้าไม่รู้จักนักหรอก ไว้เจ้าคอยรอดูในวันงานแต่งของข้าก็แล้วกัน”

ด้วยเหตุนั้น ชวิศาจึงหันมาสนใจพิธีแต่งงานของกรินเสียแทนพลางส่งเสียงซักถามไปตลอดเส้นทาง


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


กำลังไหลเลย มีแฝดสุดฟ้าโผล่มาแล้ว ดันเป็นตัวโกงซะนี่ 5555+ รอตอนต่อไป แบบมีสคริปกดข้ามให้มาลงตอนต่อไปเลยป่ะ

ไลท์เตอร์สู้ๆๆๆนะ ชอบๆๆนั่งเรือยอช์ท ออกทะเลไปกับไลท์เพลินๆ

แบบว่าสร้างปุ่มแบบนั้นไม่ได้ซะด้วย นิยายเรื่องนี้ไม่มีสต็อกล่ะ(หัวเราะ) เคยเขียนจนมีสต็อกอยู่สองสามตอน แต่สต๊อกที่ว่าก็หายไปอย่างรวดเร็ว(ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ ต่อไป)
สุดท้ายขอบคุณค่ะ กับการอดใจรอการลงอาทิตย์ละตอนของเรา เราปลื้มจริง ๆ ที่ยังมีคนตามอ่านเรื่องนี้เรื่อย ๆ

ออฟไลน์ A_bookworm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: ดูๆแล้วเมดินแอบมีเบื้องหลังเหมือนกันป่าวเนี่ยยยย แต่กรินอาจจะรู้แต่ก็ทำเป็นว่าไม่รู้อะไรทำนองเนี่ย

บ้านหรู กิรินาจะว่าไง ฝืมือน้องซีคนที่นางไม่ชอบซะด้วย  :hao3: :hao3:

เอาๆๆปูเสื่อนอนรออาทิตย์หน้าอีก

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สามสิบสี่



พิธีแต่งงานของกรินถูกจัดขึ้นในเดือนสิบวันจันทร์สว่างที่แปด เป็นพิธีแต่งงานที่มีการกล่าวถึงทุกหย่อมหญ้าเพราะเจ้าสาวเป็นถึงองค์หญิงนักทำนาย นอกจากนี้เพราะทั้งคู่เพิ่งมีอายุครบยี่สิบปีซึ่งนับว่าเป็นช่วงอายุที่น้อยมากในทัศนคติของชาวเมืองสำหรับการตัดสินใจแต่งงาน และเนื่องด้วยทั้งคู่อายุยังน้อย จึงมีข่าวลือการผิดธรรมเนียมจนฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ออกมาด้วย

ระหว่างนั้นกรินจึงสยบข่าวลือด้วยกระดาษแผ่นหนึ่ง

“คนจะเชื่อไอ้กระดาษแผ่นนี้ด้วยหรือ”ชวิศาเอ่ยถามขณะนั่งมองแผ่นกระดาษในมือ เขาอ่านไม่ออกแต่รู้ว่ามันคือขั้นตอนการทำศิลามหาเวท ซึ่งศิลามหาเวทนี้เป็นอัญมณีเวทสารพัดประโยชน์ที่จะบันดาลให้ผู้ถือครองได้ทุกสิ่งดั่งใจหวังโดยใช้เพียงพลังเวทในการแลกเปลี่ยนเท่านั้น ในอนาคตข้างหน้ามันจึงถูกเรียกว่าศิลาสารพัดนึก

“หากเป็นคนทั่วไปนำกระดาษแผ่นนี้ไปแจก คงไม่มีใครเชื่อถือนัก ...แต่ถ้าเป็นเจ้าผู้มีพลังเวทมหาศาลถึงขั้นบันดาลให้เกิดคฤหาสน์หลังงามได้ในพริบตาคงไม่มีใครกล้ากล่าวแย้ง”

“แล้วมันสร้างได้จริง ๆ หรือเปล่าตามวิธีที่เขียนอยู่ในนี้”ชายหนุ่มเอ่ยถามอีกรอบพลางกวาดสายตามองกองกระดาษขั้นตอนวิธีการสร้างศิลาตั้งใหญ่ตรงหน้าซึ่งได้เหล่าผู้ศึกษาในสำนักของเมดินช่วยคัดลอกให้

กรินอยู่ห่างออกไปกำลังใช้ถ่านดำเขียนวงเวทอยู่บนพื้น เพราะมีคฤหาสน์เป็นของตัวเองแล้ว ชายหนุ่มจึงใช้เวลาหมกตัวอยู่ที่นี่เสียเป็นส่วนใหญ่

“ได้สิ ตามตำราที่ข้าศึกษามามันก็น่าจะใช้ได้”

“น่าจะเหรอ”ชวิศาถามหน้าตาตื่น “ถ้าโดนจับได้ว่ามันเป็นของปลอมผมจะไม่โดนประชาทัณฑ์หรือไง”

“ใครจะทำร้ายเจ้าได้ อีกอย่างข้าก็มีอัญมณีชิ้นที่สมบูรณ์อยู่แล้ว เจ้าจะกลัวสิ่งใด”

“คุณไปทำมันตอนไหน”เขาถามอย่างสงสัย กรินจึงหยิบอัญมณีดวงจิตออกมาให้ดู

“แต่มันไม่ใช่”ชวิศากล่าวแย้งทันควัน

“ใครจะรู้ ไม่มีใครเคยเห็นของจริงเสียหน่อย”รอยยิ้มที่มุมปากของชายหนุ่มทำให้เขาดูชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ขึ้นมาในพริบตา เห็นแบบนั้นชวิศาถึงกับบ่นพึมพำและพูดว่าไม่รู้ด้วยแล้ว กรินส่งเสียงหัวเราะจากนั้นจึงกวักมือเรียกชวิศาเข้ามาใกล้

“วางมือที่ธาตุโลหะ”เจ้าของวงเวทพูดพร้อมนำตั้งกระดาษวิธีการสร้างศิลามหาเวทมาวางในวงแหวน ชวิศารอจนกรินเดินกลับไปยืนข้าง ๆ แล้วจึงถ่ายเทพลังเวทลงไป เพราะโดนบ่นเรื่องการไม่รู้จักควบคุมปริมาณพลังเวทที่ใช้ในแต่ละครั้ง คราวนี้เขาจึงลดระดับอัตราพลังที่ใช้ลง แต่กระนั้นก็ต้องดูเป้าหมายการใช้งานด้วยเช่นกัน

คุณสมบัติหลังของธาตุโหละคือความแข็งแกร่งคงทน นั่นหมายความว่า กรินอยากจะรักษาสภาพของกระดาษพวกนี้ไม่ให้ถูกทำลายได้ง่าย ๆ เมื่อถ่ายเทพลังเวทลงไปกระทั่งเห็นไอเวทจาง ๆ ครอบคลุมปึกกระดาษทั้งหมด เขาจึงระงับพลังที่ใส่ลงไป

“ดีเยี่ยม รู้จักพัฒนาขึ้น”กรินเอ่ยปากชม

“แหม คนเรามันก็ต้องรู้จักพัฒนากันบ้างแหละครับ”เขายืดอกรับด้วยความภาคภูมิก่อนยื่นมือไปรับกระดาษที่กรินส่งมาให้

“ลองใช้เวทไฟเผามันดู”

พริบตาต่อมาไฟเวทได้ลุกท่วมกระดาษแผ่นนั้นทว่ามันกลับไม่ถูกไฟเผาจนมอดไหม้ ต่อมากรินจึงหยิบกระดาษอีกใบ โยนมันขึ้นไปบนอากาศพร้อมกับดึงดาบออกมาฟาดฟันมัน ยามที่คมดาบสัมผัสราวกับว่าดาบของเขาได้กระทบกับวัตถุแข็งที่ไม่อาจทำลายได้

“ทำไมต้องทำให้มันคงทนถาวรแบบนี้ด้วยล่ะครับ”ชวิศาถามเมื่อทดลองใช้วิธีง่าย ๆ อย่างการฉีกเพื่อทำลายมัน ซึ่งมันให้ความรู้สึกคล้ายว่าเขากำลังพยายามฉีกพลาสติกเหนียว ๆ สักแผ่น

“ของที่มาจากผู้ที่พลังเวทมหาศาลมันไม่ควรจะถูกทำลายได้ง่าย ๆ คนจะได้ยิ่งเชื่อถือข้อมูลในกระดาษแผ่นนี้มากขึ้น”
“คุณกรินเหมือนพวกนักต้มตุ๋นเลย”

“นักต้มตุ๋น?”

“พวกที่ชอบโกหกหลอกลวงคนอื่นเพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเองน่ะครับ”

“บางครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ต้องการ มนุษย์จำต้องรู้จักการโกหกบ้าง”

“คำพูดนี้ก็เหมือนตัวร้าย”

กรินหัวเราะ “ทุกอย่างก็เพื่อเจ้า”

“คุณโกหก คุณทำเพื่อกลบข่าวที่ชาวเมืองซุบซิบเกี่ยวกับเด็กในท้องของกิรานาต่างหาก”ชวิศาเถียงกลับทันควัน

“นั่นคือส่วนหนึ่ง แต่ส่วนหนึ่งเพื่อให้เจ้าชนะประเพณีมาดามายาแน่นอนด้วยต่างหาก”กรินอธิบายอย่างใจเย็น “เจ้าลองคิดดู หากเจ้าได้รู้ว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้ามีพลังเวทเหนือเจ้ามากมาย เจ้าจะรู้สึกเช่นไร เก้าในสิบ ข้าเชื่อว่าต้องหวั่นเกรงบ้าง”

“ไม่ให้ผมเข้าร่วมการประลองอะไรนั่น ถึงจะเรียกว่าทำเพื่อผม”ชวิศาเถียงหัวชนฝาซึ่งกรินได้แต่ส่งเสียงหัวเราะไปให้

“ลงไปข้างล่างกันเถอะ ป่านนี้แฟนคลับของเจ้าคงมากันพร้อมแล้ว”

ชวิศาย่นจมูกด้วยความไม่สบอารมณ์ เพราะอีกฝ่ายทำเหมือนว่าเขาเป็นลิงในสวนสัตว์ที่ต้องแสดงโชว์ให้คนโน้นคนนี้ดู ชายหนุ่มร่างเล็กอยากจะตะโกนร้องบอกเสียงดัง ๆ ว่าเขาก็เหนื่อยเป็นเหมือนกันนะ

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้พบปะกับชาวเมืองผู้ชื่นชอบในพลังเวทของชวิศา เขาก็ฉีกยิ้มแก้มปริทันทีคงเรียกได้ว่าเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่ถูกสอนมา พี่ชายผู้ซึ่งทำหน้าที่เลี้ยงดูเขามามักจะพูดบอกอยู่เสมอว่า เวลาพบเจอกับคนที่ไม่สนิทสนมหรือไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อนให้ยกยิ้มเป็นมิตรเข้าไว้ จะได้ไม่เป็นการสร้างความเกลียดชังของผู้อื่นที่มีต่อตัวเรา

ครั้งนี้ชวิศาแจกกระดาษวิธีการสร้างศิลามหาเวทก่อนเป็นอันดับแรก มีคนถามถึงคุณสมบัติของมันและศิลาชิ้นตัวอย่างตามที่เขาเคยคิดไว้ กรินจึงนำมันออกมาแสดงพร้อมทดลองใช้เวทจากศิลาซึ่งทุกคนต่างรู้อยู่แล้วว่ากรินไม่สามารถใช้มนตราได้ เหตุการณ์ครั้งนี้จึงถูกพูดกันปากต่อปาก กลบเรื่องครหานินทาของกิรานาเสียสนิท



วันงานแต่งของกรินและกิรานามาถึงอย่างรวดเร็ว สถานที่จัดงานเป็นศาลาเมือง

ชาวฮัชดาลลาร์ไม่นับถือศาสนา แต่มีการกราบไหว้เทพผู้สร้างและพระนางสิตาริกา เทพีผู้ก่อกำเนิดมนตราทั้งหลาย ซึ่งทำให้พิธีแต่งงานของหญิงชายเรียบง่ายด้วยการกล่าวคำสัตย์สาบานรักต่อหน้าคู่สมรส ชายหญิงคู่นั้นก็ถือว่าได้เป็นสามีภรรยากันแล้วโดยไม่จำเป็นต้องมีพยานรับทราบ

เพียงแต่กิรานาเป็นถึงองค์หญิงตราตั้งผู้ถือครองเวทพยากรณ์และกรินก็เป็นบุตรชายของปราชญ์ลำดับที่หนึ่งของอาณาจักร พิธีแต่งงานจึงไม่สามารถทำการโดยไม่บอกกล่าวผู้ใดได้

ศาลาเมืองซึ่งเป็นอาคารโล่งมีเพียงหลังคากันแดดและฝนจึงถูกประดับตกแต่งด้วยดอกไม้แพรพรรณ แบ่งพื้นที่สำหรับทำพิธีและที่นั่งของผู้มาร่วมงาน เว้นทางเดินไว้สองฝั่งสำหรับบ่าวสาวเพื่อเดินมายังปะรำพิธี

มีผู้คนมาร่วมพิธีสมรสของกรินมากมาย มีองค์ราชาของอาณาจักรฮัชดาลลาร์เป็นประธานในพิธี ซึ่งรูปลักษณ์ขององค์ราชาไม่ต่างไปจากที่เจ้าชายทานันศิระเคยเล่าประทานให้ฟัง ทรงยังดูแข็งแรงและหนุ่มแน่นอยู่มาก ต่างจากวิโยมันบิดาของกรินที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าค่อนข้างชรามากแล้ว

ชวิศาได้นั่งอยู่เก้าอี้แถวที่สองคู่กับเมดิน เสื้อผ้าที่เขาสวมในงานนั้นดูดีที่สุดตั้งแต่ได้มีโอกาสย้อนเวลามาอยู่ในช่วงยุคที่อาณาจักรฮัชดาลลาร์กำลังเฟื่องฟู ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าป่านกับกางเกงผ้าดิบเนื้อหนาเช่นทุกคราว แต่เป็นผ้าไหมสีเทาเนื้อลื่นบางเบาซึ่งถูกตัดเป็นเสื้อคลุมตัวนอกแขนยาวพอดีตัว ชายเสื้อคลุมยาวเสมอรองเท้า กลัดกระดุมผ้าด้านหน้า และผ้าคาดเอวที่ถูกปักลวดลายตลอดทั้งผืน ส่วนกางเกงขายาวตัวในเป็นสีเทาเข้มกว่าเสื้อคลุมตัวนอกเล็กน้อย

งานพิธีนั้นถูกจัดขึ้นตั้งแต่เช้าเนื่องจากตามธรรมเนียม เมื่อหมดแสงอาทิตย์เจ้าบ่าวต้องพาเจ้าสาวกลับเรือนหอและห้ามออกมาจากบ้านมาอีก กรินจึงให้มีการเริ่มพิธีแต่เช้าเพื่อเพิ่มระยะเวลาการเลี้ยงฉลอง ความหมายของการจัดงานเลี้ยงฉลองก็คล้ายกับท้องถิ่นอื่น ยิ่งจัดงานเลี้ยงฉลองยิ่งใหญ่มากเท่าใดก็หมายถึงความมั่งคั่งร่ำรวยของเจ้าบ่าวและแสดงถึงการยกย่องเชิดหน้าชูตาของฝ่ายเจ้าสาวมากเท่านั้น

ชวิศานั่งรอเพียงไม่นาน ทั้งบ่าวสาวก็ก้าวเข้ามาในพื้นที่จัดงาน ทั้งคู่อยู่ในชุดเสื้อผ้าสีน้ำเงินโดยชุดของกิรานามีสีอ่อนกว่า ตัวเสื้อด้านบนเป็นคอปกตั้ง แขนเสื้อยาวสุดปลายมือ ช่วงเอวเข้ารูปถึงอย่างนั้นแต่กลับมองไม่เห็นช่วงนูนบริเวณหน้าท้องอย่างคนตั้งครรภ์ กระโปรงซึ่งยาวกรอมเท้าปักลายเถาดอกไม้ด้วยด้ายสีอ่อนไล่เรียงกัน ทำให้เธอดูสวยสง่าราวกับนางพญา เธอก้าวเท้ามาตามทางเดิน ส่วนกรินนั้นอยู่ในชุดเสื้อคลุมตัวยาวเช่นชาวเมืองคนอื่นแต่สวมเสื้อคลุมตัวยาวไม่มีกระดุมเพิ่มเติมขึ้นมาอีกตัว

เมื่อมาถึงปะรำพิธี องค์ราชาที่ประทับรออยู่ก่อนหน้าแล้ว คว้ามือของเจ้าบ่าวทางขวาและมือของเจ้าสาวทางซ้ายดึงมาจับประสานกันไว้ จากนั้นประกาศบอกให้ทั้งสองกล่าวคำสาบานได้

ทั้งคู่ยกยิ้มให้แก่กัน จากนั้นจึงยกมือข้างที่ถนัดตั้งขึ้น โดยที่ฝ่ายชายจะเป็นผู้กล่าววาจาสัตย์ขึ้นก่อน

“ด้วยคำสัตย์จริงแห่งข้า ผู้เป็นเจ้าของนามกริน วียาบูท์ ข้าขอสาบานว่า จะมั่นคงในรักและซื่อสัตย์ดูแลกิรานา ซามัตตราบจนชีวิตจะหาไม่”เมื่อกรินกล่าวจบ ชวิศาก็มองเห็นแสงสีทองเรืองรองซึ่งเขาเคยเห็นเมื่อครั้งก่อนปรากฏที่ฝ่ามือของกรินอีกครั้ง ไม่ต่างกับกิรานาเมื่อเธอกล่าวสัตย์สาบานจบ แสงสีทองก็ปรากฏที่ฝ่ามือของเธอเช่นเดียวกัน

ทว่าทันใดนั้นเองกลับปรากฏเงาร่างในชุดสีดำลึกลับซึ่งพรวดพราดฟาดดาบลงมาระหว่างคนทั้งคู่ กรินผงะถอย ไม่ต่างกับกิรานาที่เรียกใช้งานมนตราคุ้มกายทันทีที่ประกายดาบสะท้อนเข้าสู่สายตา

ดาบของศัตรูยังคงตามมาโรมรันใส่ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ่าวอย่างไม่ลดละ เขาได้แต่หลบหลีกและปัดป้องยังไม่ได้ดึงอาวุธของตัวเองออกใช้ ซึ่งภาพนั้นทำให้ฝ่ายเจ้าสาวมีแต่ความกังวล เธออยากเข้าไปช่วยเขาแม้จะรู้ว่ากรินเก่งกาจในทางดาบแต่ความเป็นห่วงที่เกิดขึ้นไม่อาจห้ามปรามได้ง่าย ๆ

กรินเรียกศิลาผนึกจิตออกมาใช้ กำไว้ในมือ เรียกใช้เวทบทหนึ่งก่อนชกมันใส่ร่างของศัตรูซึ่งเข้ามาประชิด ทำให้ร่างนั้นสลายหายไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงได้มีโอกาสกวาดสายตามองทั่วสถานที่จัดงาน ซึ่งบัดนี้กำลังอยู่ในภาวะชุลมุนเพราะการเข้าโจมตีของกลุ่มคนที่ไม่ทราบฝ่าย เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งวงแหวนเวทขนาดใหญ่อันเกิดจากพลังเวทของศิลาผนึกจิตในมือของเขาก็ปรากฏขึ้นบนพื้นก่อนก่อเกิดเป็นโดมแสงซึ่งร่างในชุดสีดำของศัตรูสลายหายไปอย่างรวดเร็ว

“ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดมาป่วนงานแต่งของข้า”เสียงของกรินดังก้องไปทั่ว มันเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเคืองโมโห “หากไม่พอใจอันใดจงแสดงตัวออกมา”

ทุกคนในงานต่างนิ่งงันอยู่กับที่ไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อน ทุกคนในที่นั้นต่างรู้กิตติศัพท์ของชายผู้เป็นเจ้าบ่าวเป็นอย่างดี แม้เจ้าตัวจะไม่สามารถใช้มนตราแต่เพลงดาบของกรินกลับสร้างบาดแผลให้กับผู้ใช้เวทที่เป็นศัตรูได้ และมาขณะนี้เจ้าตัวยังประกาศศักดาแสดงความสามารถด้วยมนตราสร้างเขตแดนไม่ให้ผู้ใดใช้เวทหรือมนตราเวทใด ๆ มีผลในเขตพื้นที่ของตน ซึ่งแสดงว่า กรินมองออกอย่างรวดเร็วว่ากลุ่มศัตรูในชุดปกปิดมิดชิดเป็นร่างสร้างจากมนตรา แล้วใครเล่าจะกล้าประกาศตัวเป็นศัตรูโจ่งแจ้ง

เมื่อสังเกตเห็นแล้วว่าทุกอย่างกลับมาอยู่ในภาวะปกติกรินจึงคลายเวท เขาไม่ได้ปิดบังเรื่องผนึกดวงจิตที่ตนอุปโลกน์ให้เป็นศิลามหาเวทจึงไม่นึกแอบซ่อนยามที่นำมันกลับคืนสู่อัญมณีที่ประจุมนตราช่องว่างมิติ

เมื่อไร้คำทัดทาน กรินจึงเดินเข้าไปหาเจ้าสาวเพื่อทำพิธีต่อ การกล่าวคำสัตย์สาบานในพิธีแต่งงานจะแตกต่างจากการกล่าวคำสัตย์ปกติที่เพียงกำมือลงเพื่อบ่งบอกว่าตนยึดถือคำพูดนั้น แต่การแต่งงานหมายถึงการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แลกเปลี่ยนทัศนคติและพร้อมจะแบ่งปันทุกข์สุขระหว่างคู่แต่งงาน ทั้งสองจึงต้องประกบมือหลังกล่าวคำสัตย์สาบานอันหมายถึงชีวิตหลังจากนี้ถูกรวมเป็นหนึ่ง นั่นหมายความว่า พิธีของทั้งคู่ยังไม่สมบูรณ์

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กรินยังไม่ได้เริ่มกล่าวคำสัตย์เพื่อเริ่มพิธีอีกครั้ง กลับมีหญิงสาวท้องโตคนหนึ่งส่งเสียงร้องขัดขวางพิธีอีกครั้ง

“ท่านกริน ท่านจะทิ้งข้าและลูกได้ลงคอหรือ”เธอร้องไห้คร่ำครวญพลางกล่าวโทษเขาสารพัดที่ทอดทิ้งเธอ และไปแต่งงานกับท่านหญิงที่มีศักดิ์สูงกว่า

กรินยกมือกุมขมับด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อยระอาก่อนจะเอ่ยปากถามหญิงสาวผู้นั้นว่า “ท่านมีนามว่าอะไร”

“ท่าน... แม้แต่ภรรยาที่ท่านร่วมหลับนอนด้วย ท่านยังไม่คิดจะจำชื่อข้าเชียวหรือ”เธอตัดพ้อเขาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น

“ข้าก็อยากจำนะ แต่ข้ายังไม่รู้จักท่านเลย ท่านช่วยสงเคราะห์แจ้งนามของท่านให้ข้ารู้ด้วยเถอะ”กรินถามด้วยความเย็นชา

กิรานาที่ยืนนิ่งมองหญิงสาวที่อ้างตัวว่าท้องกับกรินด้วยสายตาขมึงถึงมาพักใหญ่จึงโบกมือบอกชายหนุ่มคนรักว่าเรื่องนี้ให้เธอจัดการเอง “ข้าขอให้เวทตรวจสอบอดีตแต่หนหลังของท่านได้หรือไม่”

“นังหญิงแพศยา เจ้าจะสืบเสาะข้อมูลเพื่อนำมาทำร้ายข้าในภายหน้าใช่หรือไม่”

กิรานาโดนว่าด้วยคำนั้นเธอจึงโกรธขึ้งขึ้นทันควัน เธอสาดคำว่ากล่าวตอบกลับไปโดนไม่สนเกียรติในตำแหน่งของตน

“เจ้าสิที่เป็นหญิงแพศยา ร่านสำส่อนจนมีเด็กประจานตัวเองยังเที่ยวพยายามจับคนรักของผู้อื่นไปเป็นสามีของตน”

“ทำเป็นพูดดี ใช่เจ้าจะต่างกับข้า”

“ต่างสิ เพราะข้าไม่ได้อ้าขาให้ชายไร้นามข้างถนนเช่นเจ้า”เธอเหยียดสายตาดูถูกก่อนจะสาวเท้าด้วยกิริยาเนิบนาบกลับไปหาชายคนรัก

“สักวันเจ้าก็จะถูกทิ้ง เหมือนที่เขาทำกับข้า”หญิงคนนั้นยังตะเบ็งเสียงว่ากล่าว

กิรานาไม่เชื่อว่ากรินจะทำเช่นนั้นกับเธอ และเธอไม่มีทางยอมให้หญิงหน้าไหนมาแย่งเขาไป เธอวาดมือสร้างลูกไฟเวทขึ้นมา เพียงแต่กรินคว้าจับข้อมือของหญิงสาวคนรักไว้ก่อนที่มันจะเลยเถิด

การปะทะคารมที่เกิดขึ้นคงจะกลายเป็นเรื่องซุบซิบนินทาไปอีกหลายวันแม้ว่ากรินจะดึงดันแต่งงานกับหญิงสาวคนรักก็ตาม ไม่มีทางใดแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้นอกจากพิสูจน์ตนเองให้ไร้ผิดจากมลทินนี้ กรินเหลือบสายตามองรอยพระสรวลบนพระพักตร์ของเจ้าชายทานันศิระที่ดูจะสนุกสนานสมใจกับละครฉาวโฉ่บทนี้เสียเหลือเกิน

“ท่านบอกว่าข้าคือบิดาของบุตรในครรภ์ของท่าน ข้าขอทราบว่าท่านตั้งครรภ์ตั้งแต่เมื่อใด”กรินเอ่ยถามด้วยความใจเย็น

 “เดือนสอง”

“ช่วงที่ข้าไม่อยู่ในเมือง”

“ใช่ ข้าเป็นพยานยืนยันได้ ช่วงนั้นกรินออกเดินทางไปต่างเมือง”เมดินลุกขึ้นยืนพลางกล่าวสมทบ

“ล... แล้วอย่างไร ท่านเมดินก็ไม่ได้อยู่กับท่านกรินตลอดเวลาเสียหน่อย ข้าก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ข้าเดินทางมาที่นี่เพราะได้ยินข่าวเรื่องการสมรสของท่านกริน ทั้งที่ท่านเคยกล่าวคำรักกับข้า ล่อลวงให้ข้ายอมมอบกายให้ท่าน”เธอพูดพร้อมร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

“เจ้ามันโง่เองมันก็ช่วยไม่ได้”กิรานาพูดออกไป กรินจึงต้องส่งเสียงห้ามปรามพร้อมพูดดุ “เจ้ามีศักดิ์เป็นองค์หญิงสมควรกล่าวเช่นนี้หรือ”

กิรานากระทืบเท้าด้วยความขัดใจ สะบัดหน้าหนีแต่สองมือยังเกาะแขนเขาไม่ปล่อย

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ่าวกลอกตาครุ่นคิด เริ่มอับจนหนทางและเห็นวี่แววว่างานสมรสของตนกำลังจะพังครืนภายในไม่กี่นาทีข้างหน้า ก่อนจะหันไปเห็นชวิศาที่ชมดูเหตุการณ์ด้วยแววตาตื่นเต้นสนุกสนาม

นี่มันใช่เรื่องสนุกที่ไหนกัน กรินนึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ ก่อนจะนึกได้ในฉับพลัน

“ข้าว่าท่านกล่าวอ้างผิดคนแล้วล่ะ”ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทางสงบเยือกเย็น “ช่วงที่ข้าเดินทางออกต่างเมือง ข้าเดินทางร่วมกับท่านซี หากข้าไปมาหาสู่กับท่านจริง ท่านซีคงเป็นพยานให้ได้”

คนที่จู่ ๆ ก็ถูกกล่าวถึงชี้มือเข้าหาตัวเอง เขากลอกตาทำท่านึกพร้อมโพล่งออกมาว่า “ใช่ ผมไปไหนมาไหนกับคุณกรินตลอดยังไม่เคยเห็นคุณกรินคุยกับผู้หญิงที่ไหนเลยนอกจากคุณกิรานา แล้วผมก็ไม่เคยเจอคุณด้วย”

“ก็... ก็... พวกท่านมันพวกพ้องเดียวกันย่อมต้องเข้าข้างกัน ข้าเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็ก ๆ จะสามารถต่อกรกับผู้ใดได้”

“คุณกริน”ชวิศาเดินออกมามาจากเก้าอี้ที่นั่ง เดินเข้าไปหากรินพลางชี้มือไปทางหญิงสาวที่คร่ำครวญไม่เลิก “ผู้หญิงคนนี้คือคนของคณะละครที่คุณจ้างมาให้แสดงในงานแต่งเหรอ เล่นเก่งมาก ๆ”ถึงชวิศาจะทำเหมือนกระซิบกระซาบแต่เสียงพูดก็ดังมากพอที่ผู้คนแถวนั้นจะได้ยิน นอกจากนั้นยังมีมนตราอีกหลายบทซึ่งผู้ใช้เวทสามารถใช้เพื่อจับความที่ผู้อื่นพูดคุยกัน เมื่อแขกผู้มาร่วมงานได้ยินเช่นนั้นจึงเริ่มสับสนเสียงดังพูดคุยจึงดังเซ็งแซ่ ก่อนที่คำตอบของกรินจะให้เหล่าแขกเหรื่อหยุดสนทนากันเองและกลับมาเงี่ยหูฟังอีกครั้ง

“เปล่าหรอก แต่ข้าคิดว่านางเป็นหญิงบ้าสติไม่ดี”

“ท่านอยากทอดทิ้งข้าแล้ว จึงกล่าวหาข้าต่าง ๆ นานาซินะ”หญิงคนนั้นกล่าวต่อว่าสวนกลับมาทันควัน

“เช่นนั้นท่านคงพร้อมที่จะพิสูจน์ความสัตย์จริงในคำพูดของท่าน”เสียงพูดของเขาเย็นชา “ข้าไม่รู้ว่าท่านตั้งครรภ์จริงหรือไม่ แต่ถ้าท่านยืนยันจะกล่าวคำโกหกเพื่อทำลายเกียรติของข้าต่อไป ทั้งตัวท่านและลูกคงต้องมีอันเป็นไป”

“ท่านกำลังข่มขู่”

“ข้ากำลังพูดความจริง”เขากล่าว จากนั้นจึงพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ชาวเมืองฮัชดาลลาร์ทุกท่านคงทราบว่า คำสัตย์สาบานไม่ใช่เวทแต่มันเป็นคำสาปที่พระนางสิตาริกาประทานให้ มีแต่เด็กหญิงเด็กชายที่เกิดจากพ่อแม่ซึ่งแต่งงานด้วยธรรมเนียมอันถูกต้องเท่านั้นถึงจะมีพลังเวทติดตัว ยกเว้นเพียงตัวข้าที่ไร้พลังเวทแม้ท่านบิดามารดาจะกล่าวคำสัตย์สาบานถูกต้องตามธรรมเนียมและพี่ชายพี่สาวทุกคนล้วนใช้มนตราได้”

กรินนิ่งเงียบไปอยู่ชั่วอึดใจก่อนกล่าวต่อไป

“คำสัตย์สาบานนี้ ต่อให้ไร้ซึ่งพลังเวทแต่เมื่อเอ่ยวาจาออกมา พระนางสิตาริกาก็จะยังรับทราบและประทานพรให้หากคนผู้นั้นยึดถือคำสัตย์เป็นสรณะ แต่ถ้าผู้ใดตระบัดสัตย์พระนางจะตามจองล้างจองผลาญคนผู้นั้นให้อยู่ไม่เป็นสุขจนกว่าชีวิตจะหาไม่”

กรินพูดพลางก้าวเท้าเข้าไปใกล้หญิงสาวที่กล้าอ้างตัวว่าเขาล่อลวงและกำลังจะทอดทิ้งเธอ

“ท่านกล้ากล่าวสัตย์สาบานว่าตัวท่านพูดจริงหรือไม่”

ไม่ใช่ชาวเมืองทุกคนในอาณาจักรฮัชดาลลาร์ที่สามารถใช้เวทได้ เหตุผลเป็นดังที่กรินพูดไว้ เริ่มแรกนั้นกลุ่มคนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานนั้นมีเพียงจำนวนหยิบมือเดียวที่สามารถใช้พลังเวทและมนตราได้ กระทั่งมีการพิสูจน์แน่ชัดว่าการกล่าวคำสัตย์สาบานของคู่แต่งงานที่ไม่ว่าทั้งคู่จะมีพลังเวทหรือมีเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่มีพลังเวท บุตรที่เกิดมาจะมีพลังเวทแต่กำเนิด การกล่าวคำสัตย์สาบานในพิธีแต่งงานจึงกลายเป็นธรรมเนียมที่ชาวเมืองยึดถือปฏิบัติ และธรรมเนียมได้แพร่กระจายออกไปตามความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร

เพียงแต่คำกล่าวที่ว่า ‘คำสัตย์นั้นเป็นคำสาป’ ไม่ค่อยถูกพูดถึงเนื่องจากฟังดูไม่ค่อยเป็นมงคลในการเริ่มต้นชีวิตคู่ แต่กระนั้นก็ไม่อาจซ่อนเร้นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรแห่งนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจเหนือผู้อื่น ผู้คนในเมืองหลวงล้วนจำเป็นแต่ต้องยึดถือธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด

“หวังว่าท่านคงเตรียมใจมาพร้อม”กรินกล่าวเตือนหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้งพลางผายมือเชื้อเชิญให้เธอเอ่ยคำ แขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนจดจ้องหญิงสาวเป็นตาเดียว เพราะตั้งตารอต้องการพิสูจน์อาถรรพ์ของคำสัตย์ที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันมาให้หมู่นักเวท พวกเขาค่อนข้างขลาดกลัวต่อคำสาปนี้จึงไม่ค่อยมีผู้กล้าลองของ กล่าวคำสัตย์สาบานออกเพียงนึกสนุก

หัวใจของชวิศาเต้นแรง เขารับรู้แล้ว ครั้งก่อนที่เขาคิดว่าคำพูดของกรินสามารถเชื่อถือได้โดยไร้ข้อกังขาเพราะเหตุใด

“เชิญ”กรินกล่าวซ้ำเพื่อไม่ให้เธอถ่วงเวลาพิธีการในงานแต่งของเขาให้นานไปกว่านี้

หญิงสาวร่างกายสั่นระริกเหงื่อไหลซึมท่วมตัว แม้เพียงแค่เคยได้ยินคำเล่าลือผลลัพธ์ของการตระบัดสัตย์จากผู้เฒ่าผู้แก่  แต่เธอก็ไม่นึกอยากริลองดี “ข้า... โกหก” เธอตะโกนออกมาสุดเสียง

“ท่านผู้นั้นเป็นคนจ้างวานข้าให้มาทำลายพิธีสมรสของท่าน”

กรินมองตามปลายนิ้วมือของหญิงสาว

“เอ๋... ทำไมจู่ ๆ ท่านถึงได้กล่าวใส่ไคล้เราเช่นนี้ล่ะ”ชายผู้ถูกกล่าวโทษว่าเป็นผู้จ้างวานลุกขึ้นยืน เจ้าชายทานันศิระยังแย้มพระโอษฐ์เฉกเช่นเดิม ขยับพระหัตถ์เพียงเล็กน้อยก็ปรากฏอาวุธจากมนตราซึ่งถูกซัดใส่หญิงสาวเจ้าปัญหา แต่กรินไหวตัวทันเขาเรียกใช้มนตรากำแพงคุ้มกายก้าวเท้าเข้าบังอาวุธเวทได้ทันท่วงที

“ข้าถามแล้วว่าผู้ใดไม่พอใจการสมรสของข้า ทรงไม่ควรดึงผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง”

ระหว่างนั้น เมดินได้ก้าวเท้าเข้าไปดูหญิงสาวท้องแก่ซึ่งหมดแรงยืนทรุดลงกับพื้น ผู้คนรอบข้างเริ่มแตกฮืออันเนื่องจากพลังเวทของเจ้าชายไม่ใช่อ่อนด้อย หากคนทั้งคู่ปะทะกันจริงคงเกิดความเสียหายไม่ใช่น้อย

“เราเพียงไม่พอใจที่ท่านเป็นน้องแต่จัดงานสมรสก่อนพี่สาว ท่านยังเด็กเกินไปที่จะสมรสกับองค์หญิงน้องของเรา รวมถึงท่านล่วงเกินนาง”

“ท่านพี่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของกรินเลย ข้าผิดเองเจ้าค่ะ”กิรานาก้าวเท้าเข้ามายืนบังอยู่ด้านหน้าของกรินเมื่อเจ้าชายที่นางนับถือดั่งพี่ชายเรียกใช้เวททำลายให้ปรากฏบนฝ่ามือ

“เจ้าเป็นหญิงมิรู้ดอกว่าคำโป้ปดของชายมีมากมายเพียงใด”ทรงตรัสสอน

“ทานันศิระเจ้าทำเช่นนี้สมควรรึ”องค์ราชาสาวพระบาทเข้ามาตรัสถามโอรส “สร้างเรื่องโป้ปดใส่ร้ายสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นเช่นนี้สมควรอยู่ในฐานันดรหรือ”

“ควรถามพระบิดาเช่นกัน องค์หญิงผู้สร้างเรื่องงามหน้าให้ราชสกุลยังสมควรดำรงศักดิ์อยู่หรือ”เจ้าชายทรงกล่าวโต้แย้งอย่างไม่ยอมแพ้

“แต่ไม่ใช่เหตุที่เจ้าควรจะขัดขวางพิธีเช่นนี้”

“แล้วมีเหตุอันใดต้องจัดพิธีเฉลิมฉลองใหญ่โต เพื่อให้ราชสกุลต้องถูกกล่าวถึงในทางเสียหาย”

ทว่าฉับพลันนั้นเองอาวุธเวทรูปร่างคล้ายค้อนยักษ์กลับฟาดใส่พระองค์อย่างไม่ทันตั้งตัว เจ้าชายทานันศิระทรงล้มลงหมดสติในทันใด ทั้งกรินและกิรานาจึงหันไปมองผู้เป็นเจ้าของอาวุธเวทนั้น

ชวิศาทำท่าปาดเหงื่อและพูดออกมาว่า “หวังว่าคงหมดสติไปแค่สองสามชั่วโมงเท่านั้นนะ”

ด้วยเหตุนั้น พิธีกล่าวสัตย์สาบานของกรินและกิรานาจึงผ่านไปอย่างราบรื่น
 


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ A_bookworm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
น้องซี........นางงงงงงทำอาร๊ายยยยย เริศอ่ะ 5555+ o13 o13

ออฟไลน์ goldentime

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
สนุกมากกกกก+ไก่พันตัวเลย ซีทำไรไปเนี่ยได้ใจไปสุด ขอบคุณนะคะ ผู้เขียนรักษาสุขภาพด้วยช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สามสิบห้า



ที่ลานกว้างบริเวณศาลาเมืองกำลังมีงานเลี้ยงสนุกสนาน แต่ชวิศาไม่มีใจจะไปร่วมสนุกด้วยจึงเลี่ยงมานั่งเฝ้าคนที่เขาฟาดอาวุธเวทใส่ที่วังส่วนพระองค์

เขาเพิ่งเคยใช้เวทนี้กับมนุษย์จริง ๆ เป็นครั้งแรก ตอนที่ฝึกใช้ เขาทดสอบกับต้นไม้ในป่าและแน่นอนว่า ต้นไม้แต่ละต้นที่เขาฟาดอาวุธเข้าใส่ล้วนแหลกเละไม่เหลือชิ้นดี กรินถึงยอมให้เขาใช้แค่มนต์บทนี้บทเดียวในการต่อสู้ จากนั้นจึงฝึกลดทอนพลังเวทไม่ให้เป็นอันตรายจนเกินไป เพราะต่อให้ฆ่าผู้ร่วมประลองในประเพณีมาดามายาทั้งหมด เขาก็ไม่มีทางเป็นผู้ชนะ

‘ควบคุมพลังของตัวเองไม่ได้จักต่างอะไรกับสัตว์ร้ายที่ควรต้องถูกจองจำ’ กรินเคยพูดกับเขาไว้อย่างนั้น

ชวิศาจึงหวังว่า เจ้าชายคงจะไม่เป็นเอ๋อ ปัญญาอ่อนหรือความจำเสื่อมเพราะโดนฟาดจนสลบหรอกนะ แต่ถ้าเกิดเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะดูแลเจ้าชายทานันศิระไปชั่วชีวิต พูดง่าย ๆ ว่าจะพากลับบ้านไปด้วยนั่นล่ะ แค่คิดว่ากลุ่มของพวกเขาจะมีฝาแฝดถึงสามคู่ก็น่าสนุกแล้ว

ชายหนุ่มนั่งคิดพร้อมรอยยิ้ม

“อือ”

เขารีบหันมองไปทางคนที่นอนอยู่บนเตียงทันที เจ้าชายผู้มีพระพักตร์คล้ายคลึงกับสุดฟ้าผู้ซึ่งเป็นชายคนรักของเขากำลังขมวดพระขนง หลังพระเนตรยังปิดสนิทพานให้คนที่นั่งเฝ้ายิ่งรอลุ้น ไม่ช้าไม่นานทรงลืมพระเนตรขึ้นในที่สุด

“ท่าน”พระสุรเสียงแผ่วเบาถูกเปล่งออกมาจากนั้นทรงยันพระวรกายขึ้นประทับนั่ง ชวิศาจึงขยับเข้าไปช่วยพยุง

“ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่”เจ้าชายตรัสถามเมื่อกวาดพระเนตรไปทั่วถ้วนและพบว่าห้องนี้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์

“เพราะผมทำให้เจ้าชายสลบไป ผมจึงขออนุญาตมาเฝ้า”

“เราอนุญาตท่านแล้วรึ”

ชวิศากลอกตาคิดหาคำตอบ “ตอนนั้นเจ้าชายยังสลบอยู่ผมเลยถือว่าพระองค์อนุญาตแล้ว”

คนฟังถึงกับแค่นเสียงขึ้นจมูก

“ท่านเป็นคนของกรินเพราะฉะนั้นท่านไม่ควรอยู่ที่นี่”

“ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย ผมกับคุณกรินเป็นเพื่อนกัน กับเจ้าชายเองผมก็เห็นว่าเป็นเพื่อนเช่นเดียวกัน”

แต่ผู้ฟังกลับนิ่งเงียบไม่กล่าวต่อคำใดทั้งเบือนพระพักตร์หนีไปทางอื่น ถ้าเขาคุยกับคนอื่น ชวิศาคงจะก้มหน้านั่งนิ่งตามไปด้วยเมื่อคู่สนทนาแสดงออกว่าไม่อยากคุยด้วยขนาดนั้น แต่เพราะผู้มีฐานันดรสูงกว่าตรงหน้าดันมีหน้าตาคล้ายคลึงกับสุดฟ้านั่นแหละ เขาถึงไม่อยากให้อีกฝ่ายเมินหนี

“เจ้าชายไม่ชอบคุณกรินหรือครับ”

“ไม่ใช่ไม่ชอบ”ทรงตอบพร้อมรอยแย้มพระสรวล “แต่เรารังเกียจ” เน้นย้ำทุกคำพูดชัดจนชายหนุ่มร่างเล็กคิดในใจว่า

แรง!!!

“ขอถามเหตุผลได้ไหมครับ”

“ท่านจำที่กรินพูดเรื่องพระนางสิตาริกาในงานพิธีสมรสได้หรือไม่”

“จำได้ ...บางส่วนครับ”ชวิศาตีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมพร้อมกล่าวตอบออกไป กระนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดำริถือสาแต่ตรัสต่อไปว่า “เราจะเล่าตำนานตั้งแต่ต้นให้ท่านฟัง พระนางสิตาริกาทรงได้รับการขนานพระนามว่าเป็นเทพแห่งมนตรา เพราะพระนางเป็นผู้ประทานพรให้มนุษย์สามารถใช้มนตราได้ โดยมนุษย์คนแรกที่สามารถใช้เวทได้คือพระสวามีของนาง”ทรงนิ่งเงียบไปครู่ก่อนทรงเอ่ยต่อ

“นางถือกำเนิดกลางทุ่งดอกไม้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสายลมและแสงแดด กระทั่งมีชายคนหนึ่งเดินทางผ่านไปยังทุ่งดอกไม้แห่งนั้น ยามที่เขาพบนางครั้งแรก เขาก็ตกหลุมรักนางทันทีและพยายามทำให้นางยอมแต่งงานกับเขา โดยกล่าวสาบานไว้ว่าจะรักและซื่อสัตย์ต่อนางตราบจนชีวิตจะหาไม่ แต่แล้ววันหนึ่งหัวใจของเขาก็เปลี่ยนไป เขาพบหญิงอื่นและตกหลุมรักนางผู้นั้นเช่นกัน เขาโป้ปดหลอกลวงพระนางสิตาริกาอยู่นานกระทั่งนางจับได้ นางให้เขาเลือกระหว่างนางและหญิงผู้นั้น สุดท้ายเขาก็เลือกหญิงอื่น และทิ้งนางไว้เพียงลำพัง”

“บางทีมันก็เลือกอยากนะ”ชวิศาออกความคิดเห็นในฐานะที่ตัวเองก็เป็นมือที่สามเหมือนกัน และเคยผ่านคำถามทำนองนี้มา แต่โชคดีที่มาริเอะเป็นหุ่นยนต์ที่ไม่มีเลือดเนื้อจริง ๆ แม้บางครั้งฝ่ายนั้นจะเหมือนมนุษย์จนแยกไม่ออกก็เถอะ แต่อย่างไรก็ตาม ต่อให้มาริเอะเป็นมนุษย์เขาก็จะพูดคุยอย่างสันติเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อยู่ดี เขารักสุดฟ้าไปแล้ว แอบรักอยู่ตั้งหลายปีด้วย วันหนึ่งคนที่แอบชอบหันมามองและตอบกลับความรู้สึกที่มีให้ ใครจะอยากปล่อยมือ

ทว่าเมื่อเจ้าชายปรายพระเนตรมอง เขาก็หุบปากฉับ

“ด้วยเหตุนั้น พระนางจึงสาปลูกหลานของเขาทุกคน หากใครกล่าวคำสาบานและตระบัดสัตย์ต้องพบกับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส และนางได้ประทานพลังเวทให้กับบุตรของผู้ที่ยึดถือในสัจจะเท่านั้น”

ชวิศาพยักหน้ารับแต่เขายังไม่เห็นสาเหตุที่กรินจะโดนเจ้าชายรังเกียจเลย

“นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมบุตรชายและหญิงที่กำเนิดจากคู่แต่งงานที่ไม่กล่าวสัตย์สาบานจึงไม่มีพลังเวท แต่ทำไมกรินถึงไม่มีพลังเวทล่ะ”

เออ... ทำไมล่ะ ใบหน้าของชวิศาก็แสดงความสงสัยเช่นเดียวกัน และเจ้าชายทานันศิระก็ยอมเฉลยข้อสงสัยนั้นให้

“นั่นเพราะกรินคือดวงจิตของชายคนนั้น”

ชวิศากะพริบตาปริบ ๆ เขานับถือพุทธศาสนาจึงมีทัศนคติเรื่องเวียนว่ายตายเกิดแต่ว่า “ชาวเมืองฮัชดาลลาร์ไม่มีความเชื่อเรื่องนี้ไม่ใช่หรือครับ”

“แล้วท่านจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไร”

เขาไม่เก่งพอซะด้วย ชายหนุ่มคิดพลางยกมือขึ้นเกาศีรษะ

“ความเชื่อของเราก็ไม่ผิด เมื่อชีวิตดับสูญร่างกายย่อมคืนสู่ดิน พลังเวทและดวงจิตจะแตกสลายเพื่อกลายเป็นส่วนหนึ่งของอากาศธาตุ แต่นานวันเข้าดวงจิตนั้นจะรวมก่อกำเนิดและมาสิงสถิตอยู่ในกายมนุษย์อีกไม่ได้หรือ”

“เพราะเรื่องนั้น เจ้าชายถึงรังเกียจคุณกรินหรือครับ”

“ท่านอยู่กับกรินคงรู้ว่าเขาพยายามขวนขวายเพื่อให้ตนเองใช้เวทได้มากเพียงใด”

ชวิศาพยักหน้ารับ มีความรู้เชี่ยวชาญขนาดนั้นคงไม่ใช้เวลาแค่วันสองวันในการได้ความสามารถเหล่านั้นมา

“น่ารังเกียจที่เขาไม่แม้แต่สำนึกตนว่าทำผิดสิ่งใดไว้ ยังพยายามตะเกียกตะกายต่อต้านโชคชะตา แทนที่จะอยู่อย่างเจียมตน”

แค่ได้ฟัง ชวิศายังรู้สึกแย่ไปด้วย เขาเรียนไม่เก่ง ทำอะไรก็ไม่ดี โดนคนอื่นดูถูกดูแคลนว่าเกิดมาหน้าตาดีกับเป็นหลานรักคุณย่าเท่านั้น ชีวิตถึงได้ราบรื่นเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ ถึงอย่างนั้นพี่โยก็ไม่เคยบอกให้เขาอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องพยายามทำอะไรสักหน่อย

“ทำไมล่ะ การที่เราจะพยายามทำอะไรสักอย่างมันผิดเหรอ”เขาถาม “ความพยายามเป็นเรื่องน่าภูมิใจต่างหาก เจ้าชายทรงไร้เหตุผลมาก ๆ ไม่แน่ว่า...”ชวิศาพยายามเค้นสมองนึกหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ตามที่ตนเคยเรียนมา เขาเรียนคณะวิทยาศาสตร์นะเนี่ย ทำไมความรู้ในสมองถึงได้ว่างเปล่าขนาดนี้

“ไม่แน่ว่า... พลังเวทของคุณกรินอาจเป็นแบบพิเศษ ที่... ที่...ยังไม่เคยมีใครมีมาก่อน พลังเวทของคุณกรินเป็นแบบไร้ธาตุ มัน... เป็นพลังเวทที่สลายการโจมตีของทุกธาตุได้และลบเวทมนตร์ทุกบทได้”

“เช่นนั้นท่านควรไปพร่ำเพ้อให้สหายของท่านฟัง”

ชวิศาหน้างอ เถียงอะไรไม่ได้จึงกล่าวพาลพาโล“ทั้งที่หน้าตาเหมือนคุณสุดฟ้าแท้ ๆ ทำไมนิสัยแย่อย่างนี้”

“เราก็มิใช่คนรักของท่าน มันเป็นความผิดของท่านเองที่คาดหวังว่าเราจะเหมือนคนรักของท่าน”

“เออ!!!”ชวิศากระแทกเสียง ลุกขึ้นยืนพร้อมกระแทกเท้าตึง ๆ เดินออกไปด้วยความโมโหกรุ่นโกรธ เขาอุตส่าห์เป็นห่วง และคิดเสมอว่าอีกฝ่ายเป็นคนดี ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีใจคับแคบแบบนี้ ตั้งแง่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ชวิศาเดินบ่นไปตลอดทาง พ้นรั้วพระราชวังของเจ้าชายทานันศิระออกมาแล้ว เขามุ่งหน้าตรงกลับไปที่ลานกลางเมืองสถานที่จัดงานฉลองพิธีสมรสของกริน

งานเลี้ยงยังคงสนุกสนานครึกครื้นแม้ว่าพิธีในช่วงเช้าจะผ่านไปอย่างขรุขระ ผู้คนมากมายร่วมกินดื่มชมการแสดงอยู่เต็มลานกว้าง มองดูคล้ายงานประจำปีมากกว่างานฉลองงานสมรส

ชวิศาขมวดคิ้ว คนเยอะขนาดนี้เขาคงไม่มีทางหาเจ้าบ่าวเจอง่าย ๆ ยิ่งโมโหอยู่ด้วยไม่มีอารมณ์จะเดินตามหาหรอกนะ เขาจึงป้องปากส่งเสียงร้องตะโกน

“คุณกริน คุณกรินอยู่ไหน”

คนที่ยืนอยู่แถวนั้นต่างหันมามองเขาเป็นตาเดียว ก่อนจะมีใครสักคนตะโกนตอบกลับมาว่า “ท่านกรินไม่อยู่หรอก พาท่านกิรานากลับไปแล้ว”

อ้าว! ซะงั้น แต่กระนั้นชวิศาก็ร้องตะโกนขอบคุณออกไป เดินย้อนห่างจากลานกลางเมืองมาอีกเล็กน้อย ชายหนุ่มก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าตอนนี้ไม่รู้ว่ากรินอยู่ที่ไหน คฤหาสน์ที่บิดาของกรินเป็นเจ้าของอยู่คนละฝากกับเรือนหอของกรินเลย ถ้าคิดง่าย ๆ แบบไม่ซับซ้อนกรินควรจะอยู่ที่เรือนหอ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าหลังพิธีกล่าวคำสาบานแล้วจะต้องมีพิธีการยกน้ำชาให้พ่อแม่ของเจ้าบ่าวเจ้าสาวอีกหรือเปล่า หรือการส่งตัวเข้าหอจะต้องทำพิธีกันที่บ้านเจ้าสาว

เขารู้แน่ว่า คืนนี้กรินกับกิรานาต้องกลับไปนอนที่เรือนหอ แต่ฟ้ายังแจ้งขนาดนี้ สองคนนั้นจะกลับไปที่ไหนล่ะ น่าเบื่อยุคที่ไม่มีโทรศัพท์แบบนี้จริง ๆ กรินเองก็ไม่ยอมสอนเวทมนตร์ที่เป็นนกบินไปบินมาส่งสารให้กันบ้าง

แล้วชวิศาก็นึกขึ้นได้ มีมนตราบทหนึ่งที่กรินเคยสอน เขาเหลียวซ้ายแลขวามองรอบตัว แถวนั้นมีผู้คนมากเกินไปเขาจงเดินหาที่หลบตามซอกอาคาร จากวันนั้นถึงวันนี้ ชายหนุ่มคิดว่าตนเองมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นมาแล้ว เขาจึงคิดว่าน่าจะใช้มนตราบทนี้ได้คล่องแคล่วมากกว่าเดิม

เขาแบมือ เรียกใช้อำนาจพลังธาตุตามที่กรินเคยสอน ไม่ได้เรียกใช้ตามคำคาถาปกติ ผสมกลุ่มก้อนอำนาจธาตุในระยะขอบเขตของฝ่ามือ จนได้รูปแบบมนตราที่ต้องการก่อนเพิ่มพลังเวทขยายอำนาจขอบเขตลงไป ชวิศาใช้พลังเวทจนมนตรานั้นครอบคลุมทั้งเมือง กำหนดจิตตั้งมั่นระบุบุคคลที่ตามหา เพียงครู่เดียวเขาก็เห็นสถานที่ที่กรินอยู่ ชายหนุ่มจึงสลายมนตราที่ใช้ และก้าวทางไปยังทิศทางดังกล่าว




กิรานาอาการไม่ดีนัก เขาจึงพาเธอกลับมาพักผ่อน

หลังจากกล่าวคำสัตย์สาบานเพื่อใช้ชีวิตครองคู่ พวกเขาถือว่าครอบครัวใหม่ สามารถแยกออกมาอยู่บ้านของตนต่างหากได้ทันที กรินจึงพาหญิงคนรักมาพักยังคฤหาสน์หลังใหม่

“ไม่น่าเชื่อว่าคฤหาสน์หลังนี้จะอุบัติขึ้นเพราะพลังเวทของเจ้านั่น”หญิงสาวพูดค่อนแคะ เธอนั่งกึ่งนอนพิงหมอนอยู่บนเตียงสี่เสาหลังงาม หลังคาของเตียงขึงผ้าปักลายจันทราและหมู่เมฆ เสาเตียงทั้งสี่มุมมีผ้าม่านที่ถูกรวบไว้ด้วยเชือกถักสีทอง ในห้องกว้างยังมีเครื่องเรือนอื่นตั้งประดับ ทั้งชุดเก้าอี้ ฉากกั้นสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้า ประตูหน้าต่างฝั่งระเบียงก็กรุกระจกทั้งแทบ กันแสงด้วยม่านสีขาวโปร่งบาง

“สร้างคฤหาสน์ได้หลังใหญ่โตขนาดนี้ ท่านเชื่อหรือยังว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญมนตรา”

กรินส่ายศีรษะ “ข้าเป็นคนเขียนวงเวทให้เขา เพียงแต่ข้าไม่คาดคิดว่าผลลัพธ์ที่ได้จะงดงามอลังการเท่านี้”

“แต่ความมุ่งมาดของเขาต้องมีส่วน ไม่มีทางที่วงเวทจะสร้างสิ่งใดได้ละเอียดลออเช่นนี้”

“ข้าไม่โต้เถียงในข้อนี้ แต่ถ้าจะให้การใช้มนตราของเขาถูกเรียกว่าเชี่ยวชาญ คงต้องอีกสักสองสามปีเป็นอย่างน้อย”กรินพูด พลางประคองให้หญิงสาวเอนตัวลงนอน“ท่านพักผ่อนเถอะที่รัก พิธีวันนี้คงทำให้ท่านเหนื่อยมากแล้ว”

“การแต่งงานครั้งนี้ท่านเต็มใจหรือไม่”กิรานาเอ่ยถาม ความคลางแคลงสงสัยบังเกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากเหตุการณ์ติดขัดของพิธีในช่วงเช้า

“ข้าเต็มใจ ท่านไม่ต้องห่วง ขอให้ท่านดูแลลูกคนนี้ของข้าให้ดีเป็นพอ”

“หากเขาใช้มนตราไม่ได้ ท่านจะเสียใจหรือไม่”

“พระนางสิตาริกาไม่มีทางตระบัดสัตย์เสียเอง”เขากล่าวปลอบใจ

ภาพรวมภายนอกเหมือนว่าฮัชดาลลาร์จะเป็นอาณาจักรที่สงบสุขก็จริง แต่ผู้ไร้ซึ่งมนตราย่อมถูกเหยียบย่ำอย่างง่ายดาย และไม่อาจคร่ำครวญกล่าวโทษผู้ใดได้นอกจากบิดามารดาของตนที่รักตัวเองจนเลือกให้บุตรต้องพบกับความอัปยศทุกข์ทรมาน

“ท่านก็ทราบผู้ถือครองอำนาจแห่งธาตุพิเศษ พลังเวทนั้นจะหมดไปเมื่อตั้งครรภ์ แต่ข้ายังใช้พลังได้อยู่ แม้พลังแห่งการทำนายจะไม่แม่นยำเหมือนแต่ก่อน”

“อย่าเพิ่งคิดกังวลไปเลย เวลานี้ข้าขอเพียงให้เขากำเนิดขึ้นมาพร้อมร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ปัญหาอื่นใดที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าข้าจะเป็นผู้ขจัดมันเอง”กรินกล่าวย้ำให้หญิงคนรักสบายใจ จากนั้นจึงเตือนให้เธอหลับพักผ่อน ชายหนุ่มนั่งอยู่ข้างเตียงจนเธอหลับสนิท กระทั่งจับสัมผัสพลังเวทของมนตราดวงเนตรโยฮาน่าอันเป็นเวทสอดแนมได้ เขาถึงลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้อง สาวเท้าเข้าชิดริมระเบียงที่เห็นถนนทางเดินหน้าคฤหาสน์ บนถนนสาธารณะยังไร้เงาผู้คน แต่พลังเวทที่สัมผัสได้นั้นเป็นของชวิศาไม่ผิดแน่ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใช้มนตราเพื่อตรวจสอบสิ่งใด

ชายหนุ่มเรียกกระดาษคาถาออกมาจากอัญมณี มันกลายร่างเป็นนกตัวสีขาวทันทีที่สัมผัสอากาศ

“ไปดูว่าเขาอยู่ที่ใดแล้วรีบกลับมารายงาน”

กรินปล่อยเจ้านกตัวนั้นให้บินออกไปหลังจากที่มันผงกหัวเหมือนรับคำ ทว่าเวลาผ่านไปไม่นาน มันก็บินกลับมา เมื่อกรินแตะตัวมัน เจ้านกตัวนั้นได้กลายเป็นกระดาษเช่นเดิมพร้อมข้อความคำตอบ

ชายหนุ่มเลิกคิ้วทั้งแปลกใจทั้งสงสัยอยู่ในที จึงลงมารออีกฝ่ายที่หน้าคฤหาสน์

“คุณกริน”เสียงร้องเรียกชื่อดังมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึงเสียอีก

“เจ้าใช้มนตราดวงเนตรโยฮาน่าทำไม”กรินเอ่ยถามทันทีที่เดินนำพาอีกฝ่ายเข้ามาในคฤหาสน์แล้ว

“คุณจับสัมผัสได้ด้วยเหรอ ว้า... อะไรกัน คิดว่าดีแล้วเชียว”

“ตอบคำถามข้าก่อนซี”

“ก็จะหาคุณกรินแหละ ผมไม่แน่ใจว่าคุณอยู่ที่ไหน”

“เจ้าใช้พลังได้เสียเปล่ายิ่ง แค่ตามหาคน เจ้าควรใช้เวทตามหา”

“ผมไม่รู้นี่ ผมรู้จักแต่มนต์บทนี้อะ ใครจะทำไม”เขาพูด “อย่ามาว่านะ กำลังโมโหอยู่ด้วย” ทีแรกเขากำลังจะหายโมโหอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดเหมือนตำหนิขึ้นมาอีก อารมณ์จึงคุกรุ่นอีกรอบ

“ใครทำให้เจ้าโมโห ไม่ใช่เจ้าไปนั่งเฝ้าเจ้าชายทานันศิระหรือไร”

ชวิศาถึงได้เริ่มบ่นว่าเจ้าของนามที่ถูกพูดถึงยาวเป็นกระบุง ใส่อารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวลงไปด้วย เพราะฉะนั้นกว่าจะเล่าระบายความโกรธจบเขาจึงเหนื่อยหอบ

“แล้วคุณกรินคิดว่ายังไงล่ะครับ”

“ข้าไม่มีความคิดเห็น”กรินตอบออกไป “ในอดีตกาลข้าเป็นชายคนนั้นแล้วอย่างไร ข้าก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก”

“เออ... อย่างนั้นใช้พลังของผมพาพวกเราย้อนกลับไปไหม”

“กลับไปแล้วเจ้าจักทำสิ่งใด เกลี้ยกล่อมไม่ให้ชายผู้นั้นทิ้งพระนางสิตาริกานะหรือ เจ้าจะพูดอย่างไรให้เขาเชื่อ บอกว่าข้าคือตัวตนในอีกชาติพบของเขาหรือ แต่เจ้าอย่าลืม  เขาก็คือเขา และข้าก็คือตัวข้า ลองคิดดูว่า เขาจำต้องใส่ใจความเดือดร้อนของคนผู้อื่นหรือไร”

“อ้าว แต่คุณกรินใช้พลังเวทไม่ได้นะ”

“ข้าก็พยายามหาหนทางอื่น ใช่ว่าผู้ที่ไร้มนตราจะไม่สามารถใช้เวทได้ตลอดชีวิตเสียเมื่อไหร่”กรินพูดอธิบายต่อ “มนุษย์ทุกคนล้วนมีพลังชีวิตคอยขับเคลื่อนกายเนื้อ แต่ทุกสรรพสิ่งล้วนก่อเกิดจากธาตุทั้งห้า ข้าไม่เชื่อว่าตนเองจะไม่สามารถใช้พลังเวทได้ เพียงแต่ ณ เวลานี้ยังหาหนทางดึงพลังเวทออกมาใช้ไม่ได้เท่านั้น”

ชวิศาพยักหน้ารับรู้ จากนั้นจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “ผมมานอนที่นี่ด้วยนะ”

“แต่ที่นี่ไม่มีสาวรับใช้คอยทำอาหารให้”

“คุณกรินลืมไปแล้วเหรอ ผมน่ะพ่อครัวมือทอง เรื่องแค่นี้จิ๊บ ๆ”ชายหนุ่มพูดอวดพร้อมอาสาจัดการเรื่องอาหารการกินให้คู่ข้าวใหม่ปลามันให้เสร็จสรรพ จากนั้นชวิศาได้ถามถึงมนตราที่เป็นรูปร่างของนกซึ่งใช้สำหรับส่งสารและเวทสำหรับตาหาคนที่กรินเคยพูดบอกไว้ก่อนหน้า

ชวิศาสามารถสร้างนกน้อยของตัวเองได้ภายในเวลาไม่นาน ด้วยความที่มันเป็นมนตราที่ใช้พลังเวทเพียงเล็กน้อย โดยแม้จะดึงอำนาจพลังธาตุที่มีน้อยที่สุดในร่างกายออกมา ยังสามารถใช้มนต์บทนี้ได้ เขาจึงสนุกกับการสร้างนกหลากสีสันในช่วงเวลาที่กรินขอตัวไปทำงานอื่น

ยามเมื่อตะวันคล้อยใกล้ลาลับขอบฟ้า กรินและกิรานาเดินทางกลับไปยังลานกว้างหน้าศาลากลางเมืองอีกครั้ง คราวนี้เขาทั้งสองอยู่ในชุดเสื้อผ้าสีขาวเดินดิ้นทอง ปักลายเครือเถาดอกไม้ที่สอดคล้องเข้าคู่กัน

พิธีในช่วงค่ำจะมีการกล่าวอวยพรจากองค์ราชาซึ่งเป็นประธานในพิธี และทรงพระราชดำเนินนำคู่แต่งงานไปยังเรือนหอ โดยมีชาวเมืองยืนต่อแถวเป็นทางยาวตลอดสองฝั่งถนนจนไปถึงคฤหาสน์พร้อมทั้งโปรยดอกไม้ไปตลอดเส้นทาง ถนนหนทางสว่างไสว่ด้วยแสงโคมเทียนดูสวยงามจนชวิศาอยากจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป เสียงเพลงรักจังหวะเนิบช้าดังคลอออกมาจากผู้ร่วมงานทุกคนตลอดเวลา

ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมกรินต้องจัดงานเลี้ยงแบบไม่อั้นยาวนานตลอดทั้งวัน เพราะถ้าเลี้ยงดูปูเสื่อแบบอัตคัด พิธีช่วงค่ำคงล่มได้ง่าย ๆ

เพียงแต่เพิ่งผ่านไปได้ครึ่งทางเท่านั้น เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันพลันบังเกิดขึ้น เสียงตูมดังขึ้นพร้อมลูกไฟเวทซึ่งเป็นเวทประเภทระเบิดทำลายได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าโดยน้อยคนนักจะตั้งตัวได้ทัน ชวิศาโดนเคี่ยวเข็ญมาอย่างหนักในการใช้มนตราป้องกันจึงสามารถเรียกใช้พลังเวทได้ทันท่วงที แต่มีชาวเมืองหลายคนที่บาดเจ็บ ซ้ำร้ายลูกไฟเวทยังปรากฏขึ้นแบบรัวกระหน่ำทำให้ทุกอย่างยิ่งกว่าโกลาหล ผู้คนหนีตายกันอลหม่านพร้อมเสียงระเบิดที่ดังต่อเนื่องไม่หยุด

เขาอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของมนตรากำแพงคุ้มกายยังเผลอยกมือขึ้นกันด้วยอารามตกใจ มองเห็นนักเวทบางคนพยายามสร้างม่านพลังเพื่อป้องกันช่วยเหลือชาวเมืองคนอื่นบ้างเช่นกัน เพียงแต่ลูกไฟเวทกลับปรากฏโผล่ขึ้นในเกราะป้องกันอย่างน่าประหลาด ดังนั้นเลือดสีแดงจึงนองพื้นและมีร่างของผู้คนที่ไร้ชีวิตนอนเกลื่อน รอบตัวมีแต่ผู้คนบาดเจ็บล้มตายกระนั้นลูกไฟเวทเหล่านั้นก็ยังปรากฏอย่างต่อเนื่องไม่หยุดเสียที

ชวิศาเริ่มขวัญเสีย จับต้นชนปลายไม่ถูก มองหากรินก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน

“หยุด!!!”เขาร้องออกมาพร้อมทรุดตัวลงนั่งยกมือขึ้นกุมศีรษะ เสียงอึกทึกยังดังข่มขวัญเขาไม่หยุดหย่อน

“บอกให้หยุดไง!!!”

เสียงของชวิศาดังก้องไปทั่ว พริบตาต่อมาทุกอย่างก็หยุดนิ่งสนิทและเงียบกริบไร้สรรพเสียงใด จนคนที่นั่งก้มหน้ากอดเข่าคู้ตัวอยู่กับพื้นยังแปลกใจ เขายังนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นอีกชั่วครู่ใหญ่กว่าจะเงยหน้าขึ้นมองรอบตัว

ซวยแล้ว!!!

ชายหนุ่มร่างเล็กร้อนรนยิ่งกว่าเดิม เพราะกลายเป็นว่าผู้คนในเมืองกลับหยุดนิ่งราวกับถูกหยุดเวลาไว้ ไม่เว้นแม้แต่ก้อนอิฐดินหรือสิ่งของที่ถูกแรงอัดของพลังเวทจนลอยลิ่วสูงจากพื้น ยังนิ่งค้างกลางอากาศเช่นนั้น แต่ลูกไฟเวทที่เคยกระหน่ำโจมตีเข้าใส่ได้หายไปแล้ว

เขาเผลอทำอะไรไปอีกแล้ว ชวิศาหันซ้ายหันขวามองรอบตัวด้วยอาการแตกตื่น เขาคิดอะไรไม่ออกและไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไรด้วย แต่สายตากลับมองหากริน

กรินและกิรานาสวมชุดสีขาวแตกต่างจากคนอื่นทว่าในช่วงชุลมุนก่อนหน้ากลับมองเห็นได้ยาก และถึงแม้ว่าทุกอย่างจะหยุดนิ่งเช่นนี้ ชวิศาก็ไม่ได้ทำตัวเอื่อยเฉื่อยกระทั่งเขาได้พบกรินกำลังประคองตัวกิรานาหยุดนิ่งอยู่กับที่ในท่วงท่าคล้ายกำลังก้าวเท้าหนี

“คุณกริน แย่แล้ว”เขาร้องบอกพลางวิ่งตรงเขาไปหา “ผมเผลอทำอะไรไปก็ไม่รู้”

เขาลุกลี้ลุกลนคว้าจับข้อมือของกริน มันยอมขยับตามการดึงของเขา ชวิศาจึงวางนิ้วประสานเข้ากับมือของกริน ส่งเสียงเรียกพร้อมถ่ายเทพลังเวทเหมือนที่เคยทำยามที่ต้องขับเคลื่อนมนตราผ่านวงแหวนเวท

“ทำยังไงดีล่ะ คุณกริน”

ทว่าอึดใจต่อมาร่างนั้นกลับสะบัดมือออกทรุดตัวลงกับพื้นและกระอักเลือด

“คุณกริน”เขาร้องเรียกชื่ออย่างใจเสีย

“เจ้าจะฆ่าข้ารึ”กรินหันมาตวาดใส่ มือข้างหนึ่งกุมหน้าอกและไอออกมาไม่หยุด ถูกอัดพลังเวทที่ไม่มีการปรับแต่งใส่เข้ามาในร่างกายก็เหมือนโดนหมัดหนัก ๆ ชกรัวโดยไม่มีการป้องกัน

“ผมไม่ได้ตั้งใจ แต่ไม่รู้จะทำยังไงจริง ๆ”พูดตอบด้วยใบหน้าเหยเกคล้ายจะร้องไห้ กรินถึงได้กวาดสายตามองรอบตัว นึกอยากจะต่อว่าแต่มันก็ทำให้เหตุการณ์วุ่นวายหยุดชะงัก เขาแบมือออกไปซึ่งชวิศาก็วางมือลงทันที กรินรักษาตัวเองเป็นอันดับแรก จากนั้นลุกขึ้นยืนมองหาผนึกดวงจิตที่เคยถือไว้ในมือก่อนจะโดนสะบัดหายเพราะวิธีคลายเวทแสนรุนแรงของชวิศา

เมื่อเจอแล้วจะนำมันเก็บใส่อัญมณีช่องว่างมิติแต่กลับทำไม่ได้ จึงได้รู้อีกอย่างว่านี่เป็นเขตแดนของชวิศา พลังเวทของผู้อื่นย่อมไม่มีผล

“ข้าขอพากิรานากลับไปที่คฤหาสน์ก่อน”เขาช้อนตัวหญิงสาวคนรักขึ้นอุ้มและยื่นมือไปให้ชวิศาจับอย่างทุลักทุเล พริบตาต่อมาพวกเขาทั้งสามก็ปรากฏตัวที่คฤหาสน์เรือนหอหลังงาม ชายหนุ่มพาร่างของเธอไปนอนบนเตียง ระหว่างนั้นเสียงดังสนั่นอันเกิดจากการระเบิดก็กระหึ่มขึ้นอีกครั้ง เช่นเดียวกับกิรานาที่เธอรู้สึกตัวคลายจากมนต์

“เวทคลายแล้ว”

“เกิดอะไรขึ้น”หญิงสาวถาม มองสำรวจห้องนอนด้วยความงงงันสับสนเนื่องเพราะครู่ก่อนเธอยังอยู่บนถนนข้างนอก

“เกิดเรื่องแล้ว ข้าคงต้องไปดูเหตุการณ์”

“แต่...”เธอจะกล่าวแย้ง

“ไม่เป็นไร ซีก็อยู่กับข้าด้วย อยู่แต่ในที่ปลอดภัยอย่าให้ข้าต้องเป็นห่วง”เขากำชับ ด้วยเหตุนั้นกิรานาจึงต้องจำยอมพยักหน้ารับ กรินแบมือให้ชวิศาวางมือลงไป เมื่อกระชับมือของชวิศาไว้ในอุ้งมือแล้ว ร่างของพวกเขาทั้งสองคนได้หายวับไปทันที



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

สนุกมากกกกก+ไก่พันตัวเลย ซีทำไรไปเนี่ยได้ใจไปสุด ขอบคุณนะคะ ผู้เขียนรักษาสุขภาพด้วยช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว

เห็นนักอ่านสนุกกับนิยายเรื่องนี้เราก็ดีใจ
แต่ถ้าท่านใดขัดใจตรงไหนก็บอกได้นะ อาจจะไม่ได้เขียนแก้แต่จะเอาไว้เป็นไอเดียสำหรับเขียนเรื่องต่อไป(ยิ้ม)

ออฟไลน์ A_bookworm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
งานเข้าแล้วววววว กดสคลิปเป็นอาทิตย์ต่อไป ปิ้ง เอ๊าไม่ผลแหะ รอๆๆๆๆๆ ปูเสื่อรอ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'

ตอนที่สามสิบหก



หลังจากเกิดเหตุโจมตีขบวนบ่าวสาวในพิธีสมรสของบุตรชายคนที่ห้าของปราชญ์ลำดับที่หนึ่งและองค์หญิงนักทำนาย กำลังทหารของเมืองซึ่งมีหน้าที่ดูแลความสงบควบคุมเหตุร้ายได้เคลื่อนขบวนมายังจุดเกิดเหตุ และแน่นอนว่า ไม่มีใครรับรู้ถึงช่วงเวลาซึ่งหยุดนิ่งในระหว่างที่มนตราอันเกิดจากพลังเวทของชวิศามีผล

พวกเขาถือคทาไว้ในมือ ซึ่งคทานั้นเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเชื่อมโยงพลังเวทและขยายอำนาจพลังให้มากขึ้น ทหารหลายนายยืนประจำตำแหน่งล้อมรอบจุดเกิดเหตุ เรียกใช้มนตราป้องกันเวททำลายล้างและลบพลังเวทของผู้อื่นในเขตพื้นที่ ม่านพลังที่เรืองแสงสว่างครอบคลุมคนเจ็บทั้งหมด ทว่าระหว่างนั้นก็ยังปรากฏลูกไฟเวทที่กระทบกับม่านพลังป้องกันอยู่เนือง ๆ

ชาวเมืองที่ได้รับบาดเจ็บถูกเคลื่อนย้ายไปยังสำนักแพทย์และสถานที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่การโจมตีที่เกิดขึ้นทั้งหมดในค่ำคืนนั้น แสงสว่างวาบและเสียงระเบิดซึ่งเกิดจากการที่ลูกไฟเวทกระทบวัตถุยังคงดังข่มขวัญผู้คนอย่างต่อเนื่อง นับได้ว่าเป็นเหตุการณ์อุกอาจร้ายแรงที่สุดในรอบหลายร้อยปีทีเดียว



กรินพาชวิศามาปรากฏตัวที่หน้าคฤหาสน์ของตนเพื่อกางเขตแดนป้องกันตัวอาคารไม่ให้ใครรุกล้ำผ่านเข้าไปได้ จากนั้นจึงใช้มนตราดวงเนตรโยฮาน่าตรวจสอบกลุ่มที่โจมตีขบวนพิธี พวกนั้นอยู่ใกล้จุดที่ถูกโจมตีมาก แต่เพราะใช้พลังซ่อนเวทไว้และให้มันปรากฏเมื่ออยู่ใกล้กลุ่มคน ชาวเมืองจึงตั้งรับไม่ทันแม้หลายคนจะสามารถใช้เวทป้องกันได้ก็ตาม รวมทั้งยังใช้เวทเสริมบางบทที่ทำให้ลูกไฟเวทผ่านม่านพลังป้องกันเข้าไปได้

กรินดึงอัญมณีประจุมนตราออกมาจากช่องมิติ ทำการลงผนึกเวทที่ทำให้พวกเขากระโดดหากันได้แม้จะอยู่คนละสถานที่ และส่งมันให้ชวิศาเก็บไว้

“ข้าจะไปส่งเจ้ายังที่ที่พวกมันอยู่ เจ้าจงจัดการพวกมันอย่าให้เหลือ แล้วค่อยใช้เวทในอัญมณีตามไปสมทบกับข้า”

“แล้วคุณจะไปไหน”

“ข้าจะไปจัดการกับตัวหัวหน้าไงล่ะ”

“คุณกรินอย่าทำร้ายเจ้าชายเลยนะ”

กรินกลอกนัยน์ตาด้วยสีหน้าหงุดหงิด “เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นฝีมือของเมดินต่างหาก” คนฟังถึงกับตะลึงงันจับต้นชนปลายไม่ถูก

“แต่... คุณเมดินบอกว่า...”

“เจ้าชายทานันศิระเป็นผู้หยิ่งในเกียรติของราชวงศ์ถึงเพียงนั้น ทรงไม่มีทางทำร้ายประชาชนในปกครองอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้หรอก”

ถึงจะได้ฟังคำอธิบายชวิศาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “แต่เมื่อกลางวัน...”

“เวทที่รูปลักษณ์เหมือนอาวุธใช่จะมุ่งหมายทำลายเสมอไป”

“แต่ก่อนหน้า คุณกรินกับคุณกิรานาพูดถึงเรื่องเหตุการณ์นองเลือดจากนิมิต และยังพูดเป็นทำนองว่าจะเป็นฝีมือเจ้าชายทานันศิระ”

กรินนึกว่าวันนั้นชวิศาจะไม่ได้สนใจฟังที่พวกเขาหารือกันเสียอีก

“เพราะเมดินเป็นคนให้ข่าวสารเรื่องการซ่องสุมผู้คนของเจ้าชาย อีกอย่างภาพนิมิตมาจากชะตาที่เจ้าต้องเผชิญ มันย่อมเกี่ยวพันกับเจ้ามากกว่าคนในเมือง ที่จริงแล้วการทำนายเหตุการณ์ของอาณาจักรต้องใช้ลูกแก้วเท่านั้นแต่เพราะกิรานาตั้งครรภ์ พลังของเธอจึงอ่อนลงทำให้มองไม่เห็นภาพนิมิตในลูกแก้ว”

“ไม่เข้าใจเลย”ชวิศาพูด

“ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าขอแรงเจ้าช่วยจัดการพวกที่ก่อความวุ่นวายก่อนเท่านั้น”กรินคว้าจับมือชวิศาไว้ ใช้อำนาจพลังธาตุพิเศษย่นย่อระยะทาง พาชวิศาไปส่งยังอาคารแห่งนั้น

กลุ่มที่โจมตีขบวนพิธีของกรินซ่อนตัวอยู่ในอาคารซึ่งผนังฝั่งหนึ่งสามารถมองเห็นภาพด้านนอกด้วยพลังเวท หลายคนกำลังสร้างลูกไฟเวทไว้บนฝ่ามือ และมีชายอีกคนกล่าวคาถาให้มนตราระเบิดทำลายนั้นเลือนรางมองเห็นได้ยาก แต่น่าแปลกที่แม้พวกเขาจะปรากฏตัวอย่างฉับพลันเช่นนี้กลับไม่มีใครหันมาให้ความสนใจ

“จัดการโดยค้อนฟาดเลยอะนะ”ชวิศาพูดถาม แต่กรินยังเงียบ เขาขมวดคิ้วเดินเข้าไปใกล้คนกลุ่มนั้นด้วยความสงสัย ลองวางมือลงบนบ่าของชายคนหนึ่ง ทว่าอีกฝ่ายไม่แม้จะหันกลับมามอง

“พวกนี้โดนเวทควบคุมไว้”

“แล้วจะทำยังไง”

คำถามของชวิศาไม่ทันจบประโยค กรินได้ใช้อำนาจเวทจากอัญมณีดวงจิตเป่ามนต์นิทราให้ผู้คนในที่นั้นหลับใหลไร้สติ เวทควบคุมเป็นการใช้มนตราบังคับให้คนที่อยู่ในอำนาจกระทำในสิ่งที่เจ้าของมนตราเวทนั้นต้องการ ส่วนมากไม่สามารถใช้คำสั่งที่ยุ่งยากซับซ้อนกับผู้ถูกมนตราได้ เพราะเวทคาถาบทนี้แค่ผู้ถูกมนตรามีอำนาจจิตและกำลังสมาธิที่กล้าแข็งก็สามารถคลายคาถาได้  แต่เนื่องจากกรินไม่มีเวลาตรวจสอบ เขาจึงทำเพียงแก้ไขเฉพาะหน้าไปก่อนเท่านั้น

เมื่อเจ้าของพลังเวทหมดสติ ภาพบนผนังจึงจางหายไปด้วย แต่เสียงอึกทึกจากด้านนอกยังคงดังอย่างต่อเนื่อง

“เหตุการณ์จลาจลคงลุกลามไปทั่วเมืองแล้ว”ชายหนุ่มชาวเมืองฮัชดาลลาร์เอ่ย เขาแบมือให้ชวิศาวางมือลงมาอีกครั้ง ใช้พลังเวทตามหาคนที่เขาต้องการเจอตัว ทว่าไม่ว่าจะใช้มนตรากี่ครั้งก็ไม่พบ ชายหนุ่มร่างเล็กได้แต่ยืนมองคนตรงหน้าที่ขมวดคิ้วด้วยอาการหงุดหงิด

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”ชวิศาถามด้วยอาการกล้า ๆ กลัว ๆ

“ข้าใช้เวทตามหาเมดินไม่เจอ”

คนฟังกะพริบตาปริบ ๆ “เมดินเป็นคนวางแผนก่อความวุ่นวายในวันนี้จริง ๆ หรือ”

“อืม เมดินอยากเป็นราชาองค์ต่อไป”

“คุณเมดินบอกกับคุณกรินอย่างนั้นเลยเหรอ”ชวิศาออกอาการตื่นเต้น “แล้วไม่ใช่ว่าใครที่ชนะเลิศในประเพณีมาดามายาจะได้มีโอกาสเป็นราชาของอาณาจักรหรอกเหรอ”

ระหว่างที่เขาเอ่ยถามเรื่องที่สงสัย กรินได้คว้าจับมือเขาออกไปนอกอาคารและโอบชายหนุ่มร่างเล็กเข้าแนบชิด จากนั้นก้าวเท้าเหยียบอากาศว่างเปล่าด้วยมนตราอีกบท พาตัวเองลอยขึ้นสูง เสียงลมกลางคืนหวีดหวิวก้องหู โดยมีเสียงตูมตามและแสงสว่างวาบเกิดขึ้นเป็นจุด ๆ

“ใช่ แต่บังเอิญว่าเมดินได้อันดับสองในการประลองมาหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงต้องการกำจัดผู้ชนะอันดับหนึ่งทิ้งเสียอย่างไรล่ะ”

“ถ้าต้องการกำจัดอันดับหนึ่ง แล้วทำไมต้องสร้างเรื่องใหญ่โตด้วย”

กรินได้ยินคำถามนั้น แต่สายตาพลันเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งหนีจากการไล่ล่าจากตำแหน่งมุมสูงเหนือน่านฟ้า เขาจึงก้าวเท้าลงไปขวาง กลุ่มคนที่ถูกไล่ล่าประกอบหญิงสาวและเด็ก ๆ อีกสามคน

“เจ้ารู้จักภาษิตที่ว่า ยิงลูกธนูนัดเดียว ได้นกสองตัวไหมเล่า”กรินกล่าวตอบพร้อมกับเรียกดาบออกมาจากช่องว่างมิติ กระโจนเข้าหาชายฉกรรจ์สี่ห้าคนตรงหน้าอย่างดุดันโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาวาดดาบเข้าฟาดฟันฝ่ายตรงข้าม

“เจ้าเป็นใครมายุ่มย่ามอันใดด้วย”หนึ่งในกลุ่มนั้นร้องถามหลังจากซัดเวทไฟใส่จนเขาต้องกระโดดถอยออกมา กรินเอียงคอยกยิ้ม เดาเอาว่าเจ้าพวกนี้คงใช้ช่วงที่ภายในอาณาจักรวุ่นวายผสมโรงก่อเรื่อง

“ดีเลย พวกเจ้าไม่ได้โดนเวทควบคุมสินะ เป็นคนของใครกันล่ะ”

“คนของใครอะไรกัน”

“อ้อ”กรินขยับเท้าแกว่งดาบทว่าแค่พริบตาเดียวกลุ่มชายร่างใหญ่ทั้งหมดก็ล้มลงนอนกับพื้นพร้อมเลือดสีแดงไหลนอง เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากด้านหลังทำให้เขาหันไปมอง ทันเห็นแผ่นหลังของหญิงสาวและเด็ก ๆ วิ่งหนีห่างไป แต่ชวิศาถลาเข้ามาหา

“คุณฆ่าพวกเขาทำไม”

“แล้วจะปล่อยให้พวกมันตามไล่ฆ่าผู้อื่นหรือ”

“ผมยังไม่เห็นพวกเขาทำอย่างนั้นเลย”

“เพราะเจ้าไม่รู้จักใช้ตามองอย่างไรเล่า”

ชวิศาอ้าปากอยากเอ่ยเถียงแต่นึกไม่ออกว่าควรจะเถียงกลับไปอย่างไร จึงยักแย่ยักยันอยู่เช่นนั้น

กรินเก็บดาบและแบมือให้ชวิศาอีกครั้ง

“คุณกรินจะไปไหนอีก”

“ไปหาเมดิน”

“แล้วตกลงผมไม่ต้องช่วยปราบพวกก่อความวุ่นวายแล้วเหรอ”

“พวกทหารออกมาควบคุมสถานการณ์แล้ว อีกเดี๋ยวในเมืองก็คงกลับมาสงบเหมือนเดิม”เขาพูดตอบ ยืนนิ่งเพื่อจับสัมผัสพลังเวท ถ้าเป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ เมดินต้องสังหารองค์ราชาและโยนความผิดให้เจ้าชายทานันศิระ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตอนทั้งบุคคลทั้งสามอยู่ที่ไหน

กรินหันไปหาชวิศา เมื่อคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างส่งเสียงถามออกมาอีกครั้ง

“แล้วก่อนหน้านี้ ถ้าผมชนะเลิศในการประลอง เมดินจะได้เป็นราชาได้อย่างไรล่ะ”

“เพราะเจ้าต้องสละสิทธิ์อย่างไรเล่า ...ทางนั้น”ชั่วแวบหนึ่ง ที่พลังเวทขององค์ราชาเล็ดลอดออกมาจนเขาสามารถสัมผัสได้ กรินรีบสาวเท้าไปทิศทางนั้นอย่างไม่ลังเล

“รอผมด้วย”ชวิศาร้องบอกพร้อมวิ่งตามไป

กรินวิ่งมาถึงลานกว้างกลางเมือง เขาชะลอฝีเท้าเมื่อพ้นเหลี่ยมมุมอาคารและเห็นคนสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ เมื่อก้าวเท้าเข้าไปอีกนิด ร่างกายถึงจับสัมผัสม่านพลังที่ถูกกางเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกรับรู้ถึงพลังเวท นอกจากนั้นมันยังทำให้เวทตามหาสอดแนมทุกบทไม่สามารถใช้การได้

กรินหมุนตัวหันหลังพร้อมคว้าดึงข้อมือของชวิศาให้ถอยออกมาเพื่อมองหาที่ซ่อนตัว

“อะไรอีกอะ นั่นใครเหรอ”ชวิศาเอ่ยถามพลางชะเง้อคอมอง “เจ้าชาย”เขาร้องเสียงหลงจนกรินต้องยกมือปิดปากชวิศาไว้

“เจ้าจะร้องเสียงดังทำไม”

“แต่นั่นเจ้าชายทานันศิระกับองค์ราชา เราต้องไปช่วยเขาสิ”เขาพูดด้วยอาการร้อนรน “คุณบอกว่าคุณเมดินกำลังจะฆ่าเจ้าชายไม่ใช่เหรอ เอ๊ะ!!! แต่ว่าทำไมเจ้าชายถึงสู้อยู่กับองค์ราชาล่ะ เราต้องเข้าไปห้ามพวกเขานะ”

ชวิศาทำท่าจะเดินออกไปแต่โดนกรินดึงรั้งไว้อีกครั้ง

“แค่หาเมดินให้เจอ มนตราที่กำกับผู้คนไว้ก็จะเสื่อมไปเอง”

“แล้วจะไปหาที่ไหน คุณกรินใช้เวทตามหาตั้งหลายครั้งยังไม่เจอ เนี่ยเราเข้าไปห้ามเจ้าชายกับองค์ราชาก่อนดีกว่า”ชวิศาสะบัดมือของกรินที่จับเขาไว้ ไม่สนใจเสียงร้องเรียกของชายหนุ่ม เมื่อก้าวเท้าไปข้างหน้าเดินผ่านม่านพลังเข้าไปภาพเบื้องหน้ากลับแปรเปลี่ยนไปฉับพลัน

“เจ้าสำนึกบ้างไหมเนี่ยถึงได้เดินเข้าไปในอาณาเขตมนตราของผู้อื่นโดยไม่รู้จักคิด”กรินก้าวเท้าตามมาคว้ามือชวิศาได้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินผ่านม่านพลังเข้าไปทั้งตัว กระนั้นก็ไม่อาจหลุดพ้นจากเวทกับดักนั้นเสียแล้ว

เมืองที่พวกเขาเห็นกลับเป็นค่ำคืนที่เงียบสงบเฉกเช่นทุกวัน

“อ้าว แล้วเจ้าชายกับองค์ราชาไปไหนซะแล้วล่ะ”

กรินกระชับประสานมือของชวิศาไว้ อาณาเขตมนตราส่วนใหญ่ล้วนแต่ทำให้พลังเวทของผู้อื่นไร้ผล จะมีก็แต่พลังอำนาจของธาตุพิเศษเท่านั้นที่พอจะพาให้พวกเขาหลุดออกไปได้ นั่นหมายความว่า ถ้าเขาพลัดหลงกับชวิศา เขาคงต้องวนเวียนอยู่ในนี้ไปอีกนานจนกว่าเจ้าของอาณาเขตจะพอใจ

“เพราะเจ้าและข้าเข้ามาอยู่ในอาณาเขตมนตราของเมดินแล้วนะสิ เจ้านั่นคงสร้างเวทพรางตาให้เห็นสิ่งอื่น ซ้ำการต่อสู้นั่นเป็นภาพจริงหรือภาพลวงตาก็ไม่มีใครรู้ได้”

“พูดอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ หน่อยได้ไหมเนี่ย”ชวิศาหันไปพูดอย่างฉุนเฉียว เล่าขยักขย่อนจนเขางงไปหมดแล้ว กรินถอนหายใจ

“อย่างที่ข้าเคยบอกว่าเมดินอยากขึ้นเป็นราชาองค์ต่อไปแต่เรื่องความปรารถนาของเขาข้าเพิ่งมารับรู้เมื่อไม่นานมานี้ ทุกปีที่มีประเพณีมาดามายาเมดินได้เป็นแค่ผู้ชนะอันดับที่สอง ดังนั้นอย่างมากที่สุด เมดินจะได้เป็นแค่ปราชญ์ลำดับที่หนึ่ง ส่วนผู้มีชัยเหนือผู้อื่นคือองค์ชายทานันศิระ ไม่รู้ว่าสองคนนั้นเป็นคู่แข่งกันมายาวนานแค่ไหน ทว่านับตั้งแต่ที่ข้าจำความได้ ผลการประลองเป็นเช่นนั้นมาตลอด จนกระทั่งสามปีก่อน เจ้าชายทานันศิระทรงเอ่ยท้าประลองกับองค์ราชาที่เป็นพระราชบิดาของตนเอง การประลองครั้งนั้นองค์ราชาเป็นผู้มีชัย แต่ก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาว่าเจ้าชายทานันศิระตั้งพระทัยจะล้มล้างราชาองค์ปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ข่าวลือนั้นได้จางไปเพราะปีต่อมา เจ้าชายที่ทรงได้รับชัยชนะอีกครั้งทรงประกาศว่าต้องการแค่ทดสอบฝีมือกับพระราชบิดาเท่านั้น ข้าเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นมากนัก บุตรย่อมต้องฝึกฝีมือกับบิดาอยู่แล้วไม่น่าแปลกอันใด

กระทั่งหลังจากนั้นไม่นานเมดินแจ้งข่าวกับข้าและกิรานาว่า เจ้าชายทานันศิระทรงขอเป็นผู้ดูแลกองทัพจำนวนหนึ่งกองพัน หนึ่งกองพันสำหรับอาณาจักรอื่นคงเป็นจำนวนน้อย แต่สำหรับทหารที่เป็นผู้ใช้เวทนับว่าเป็นกองกำลังที่ยึดครองอาณาจักรอื่นได้ง่ายดายเชียวล่ะ และเมดินยังแอบได้ยินมาว่า ทรงประสงค์จะเสกสมรสกับกิรานา

เจ้าก็รู้ว่านิสัยกิรานาเป็นอย่างไรและเรื่องที่ข้าคบหากับนาง เจ้าชายก็ทรงไม่พอพระทัยมาตั้งแต่แรกแล้ว เรื่องนี้ทำให้นางเร่งวันเร่งคืนอยากให้ข้าแต่งกับนางในเร็ววัน”

“พูดอย่างนี้เหมือนบอกว่าคุณกิรานานิสัยไม่ดีเลย”ชวิศาเอ่ยขัด

“เจ้าก็ช่างตีความ เพราะข้าไม่อาจใช้มนตราได้ หากได้สมรสกับองค์หญิงนักทำนายผู้คนคงยิ่งดูถูก”เขาพูดจบแล้วเงียบเสียงไปครู่หนึ่ง กรินพยายามรั้งให้ชวิศายืนนิ่งอยู่กับที่ เนื่องจากไม่ว่าจะเดินไปทิศทางพวกเขาก็ต้องวนเวียนอยู่ในอาณาเขตมาตราอยู่ดี

“ปีก่อนในการประลอง ข้าลงต่อสู้จนติดหนึ่งในแปด และข้าวาดหวังว่าปีนี้จะได้อันดับดีกว่าเดิม ด้วยเหตุนั้นเมดินจึงคาดหวังให้ข้าช่วยจัดการกับเจ้าชาย”

“มั่นใจขนาดนั้นเชียว”ชวิศาถามอย่างไม่เชื่อถือ

“หึ แต่ละปีมีคนร่วมประลองในประเพณีมาดามายาหลายพันคน ข้าใช้เวลาเพียงห้าปีก็สามารถติดอันดับหนึ่งในแปด ชาวเมืองยังจัดอันดับให้ข้าเป็นอัจฉริยะที่ร้อยปีจะถือกำเนิดสักคน ถ้าข้ามีพลังเวทไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่คณามือข้าหรอก”กรินกล่าวอย่างโอ้อวด

“โฮ้”ชวิศาครางรับด้วยสีหน้าล้อเลียน กรินจึงกระแอมกระไอจากนั้นจึงเล่าเรื่องราวต่อไปว่า “กลับเข้าเมืองมาคราวนี้ เมดินบอกข่าวเรื่องการซ่องสุมกำลังของเจ้าชาย แต่ข้ากลับสังเกตเห็นว่าเขามักลอบพบปะกับบุคคลอื่นบ่อยครั้ง”

“ไปสังเกตตอนไหน”ชายหนุ่มร่างเล็กถามอย่างสงสัย

“ก็ตอนที่เจ้าไม่เห็น”

“ผมจะไม่เห็นได้อย่างไร ผมอยู่กับคุณกรินตลอด”

“อยู่กับข้าตลอดทว่าเจ้ามัวแต่มองนกมองไม้จะมีประโยชน์อันใด”

“แล้วไม่สะกิดบ้าง”ชวิศาบ่นงึมงำ

“ช่างเถอะ เพราะข้าก็ไม่คาดคิดว่าเขาลงมือก่อการอุกอาจเหมือนกัน ข้าคิดว่าเขาคงรอกระทั่งถึงวันประลอง เพื่อให้ได้สิทธิอันชอบธรรมเสียอีก”

ยืนคุยกันอยู่ครู่ ลานกว้างกลางเมืองซึ่งว่างโล่งไร้ผู้คนสัญจรนับตั้งแต่พวกเขาเริ่มต้นพูดคุยกัน ได้ปรากฏเงาบุคคลหนึ่งให้เห็น เมื่อคนผู้นั้นเข้ามาใกล้ พวกเขาจึงสามารถเห็นได้ชัด

“คุณสุดฟ้า”ชวิศาร้องเรียก ครั้งนี้เขามั่นใจว่าเป็นสุดฟ้าแน่นอนเพราะอีกฝ่ายสวมแว่นด้วย เขาจะเข้าไปหากระนั้นกลับถูกกรินดึงไว้

“ชวิศา มาอยู่นี่เอง ฉันตามหาตั้งนาน”

“คุณกรินปล่อยมือผมสิครับ นี่คุณสุดฟ้า”ชวิศาหันไปพูดกับกริน

“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่า ภายในนี้คืออาณาเขตมนตรา ชายผู้นั้นไม่ใช่คนรักของเจ้าหรอก”

“ไม่ใช่อะไร ปล่อยผมสิครับ”เขาพูดพร้อมพยายามดึงมือของตนให้พ้นจากการเกาะกุม

“พวกเราควรจะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”

“แต่ผมจะไปหาคุณสุดฟ้า”

มือข้างขวาของกรินจับอยู่กับมือของชวิศา เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่สามารถดึงอาวุธออกมาได้ หากในกรณีที่อาณาเขตนี้ยอมให้เขาใช้เวทที่ถูกประจุไว้ในอัญมณี ส่วนชวิศาก็ดิ้นรนอยากจะไปหาหนุ่มคนรักทั้งที่ฝ่ายนั้นไม่คิดอยากจะก้าวเข้ามาหาสักนิด มีพิรุธถึงขนาดนี้แล้วชายหนุ่มร่างเล็กยังมองไม่เห็นความแปลกประหลาดนี้อีก

กรินจึงยอมเดินตามชวิศา จากนั้นก็ยกเท้าถีบชายหนุ่มที่มีหน้าตาเหมือนคนที่ชวิศาเรียกว่าสุดฟ้าจนอีกฝ่ายลงไปนอนกองกับพื้น

“คุณกริน ทำอะไรน่ะ”ชวิศาร้องโวยวาย พยายามสลัดมือเขาพร้อมถลาเข้าไปหาคนที่นอนแบ็บกับพื้นให้ได้ เพียงแต่มือข้างนั้นยังถูกกรินจับไว้แน่น ขณะที่ชายหนุ่มนิ่งคิด สัมผัสเมื่อครู่เป็นกายเนื้อจริง ๆ ไม่ใช่ร่างจำลองด้วยเวท อย่างนั้นแสดงว่า คงจะเป็นชาวเมืองที่หลงเข้ามาในอาณาเขตเช่นเดียวกัน

“ซี ใช้พลังของเจ้าสลายอาณาเขตมนตราเถอะ”

“ผมไม่ทำหรอก”ชวิศาพูดเสียงห้วนด้วยความโมโห จู่ ๆ มาทำร้ายคุณสุดฟ้าของเขา ยังไงซะก็ไม่มีทางให้อภัยเด็ดขาด

“ถ้าเจ้าไม่ทำ เช่นนั้นข้าจะจัดการคนรักของเจ้าให้สิ้นลมหายใจตรงนี้เลย”

“อ๊ะ อย่านะ”ชายหนุ่มร้องห้าม “อยากทำอะไรก็ทำไปสิ คุณก็ใช้พลังเวทของผมได้อยู่แล้วนี่ ต้องมาบอกทำไม”

“ความรู้สึกของเจ้าตระหนกขนาดนี้ ข้าจะควบคุมพลังเวทของเจ้าได้อย่างไร”

ชวิศาจึงพยายามสงบจิตใจตั้งสมาธิอย่างที่กรินต้องการ แต่ใช่ว่าจะทำได้ง่าย ๆ ก็คุณสุดฟ้านอนเจ็บเค้เก้อยู่ตรงหน้า คุณกรินก็ไม่ยอมปล่อยมือให้เขาเข้าไปดูแถมยังทำท่าไม่สนใจอีก

ทว่าฉับพลันนั้น ก็ปรากฏร่างอีกบุคคลหนึ่งให้พวกเขาเห็น เธอคือกิรานาในชุดนอนสีขาวที่พวกเขาเคยเห็นจนชินตา

“คุณกิรานา มาเอาสามีของคุณไปหน่อย”ชวิศาร้องบอก เพียงแต่แทนที่หญิงสาวจะพุ่งตรงเข้ามาหากรินเฉกเช่นทุกครั้ง เธอสร้างดาบเวทขึ้นมาในมือ สัญชาตญาณของกรินร้องเตือนว่าท่าจะไม่ดีแล้ว

“ซีลุกขึ้น”กรินกระตุกดึงมืออีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืน แต่ชวิศาไม่ยอมทำตามง่าย ๆ กระทั่งคนที่มีใบหน้าเหมือนกิรานาพุ่งตรงเข้ามาพร้อมดาบในมือ ชายหนุ่มจึงเบี่ยงตัวหลบพลางยกเท้าขึ้นเตะกัน กระนั้นก็ยังคงโดนตามติดประชิด ที่สำคัญฝีมือของอีกฝ่ายไม่ใช่อ่อนด้อย

กรินได้แต่หลบหลีกเพราะไม่กล้าปล่อยมือจากชวิศา เขากระชากดึงให้ชวิศาก้าวเท้าตามโดยจงใจให้ขยับถอยห่างจากร่างซึ่งมีหน้าตาเหมือนคนรักของชายหนุ่มร่างเล็ก จนกระทั่งอีกฝ่ายฟาดดาบใส่เข้ามาหลายกระบวนท่า ชายหนุ่มจึงร้องขึ้นมาว่า "เจ้าชายทานันศิระ”

“ฮะ?”ชวิศาอุทานก่อนจะโดนเหวี่ยงให้หลบไปอีกด้าน ร่างกายของเขาโดนโยนไปโยนมาจนหัวหมุนไปหมดแล้ว

“แท้จริงแล้ว ไม่ใช่กิรานาแต่เป็นเจ้าชายทานันศิระ”เขาพูดพร้อมฉวยโอกาสเตะอัดคู่ต่อสู้เต็มแรงจนอีกฝ่ายกระเด็นถอยไปไกล

“คุณรู้ได้อย่างไร ถ้านั่นเป็นคุณกิรานาจริง ๆ เดี๋ยวก็แท้งหรอก”

“สมญานามของข้าไม่ได้มาเพราะโชคช่วยนะ ทางดาบของเจ้าชายน่ะข้าเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว”

ศัตรูตรงหน้าลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ใช้เวทสร้างอาวุธซึ่งเป็นเข็มแหลมยาวขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณครึ่งนิ้ว ซึ่งพวกมันกำลังลอยนิ่งอยู่กลางอากาศนับหลายสิบอัน

“เจ้าชายทานันศิระถือครองอำนาจธาตุน้ำ โลหะและดิน อาวุธนั่นเป็นธาตุโลหะผสานกับธาตุน้ำที่ใช้คุณสมบัติลบล้างเวทป้องกันของฝ่ายที่ถูกโจมตี”กรินอธิบายพลางดึงร่างของชวิศาให้มาบังอยู่ด้านหน้า ใช้วงแขนโอบเอวอีกฝ่ายเพื่อให้มือว่างพอที่จะเรียกผนึกดวงจิตออกมาจากอัญมณี

“รู้ดีจัง”ชวิศาหันหน้ากลับไปถาม และวินาทีต่อมาก็สำนึกได้ว่าตนถูกกรินดึงมาให้เป็นโล่เตรียมรับการโจมตี เขาร้องโวยวายออกไปทันที “คุณกรินทำไมให้ผมออกมายืนข้างหน้าแบบนี้ล่ะ”

“ซี!!! กำแพงคุ้มกาย!!!”

กรินยังไม่ทันพูดจนจบประโยคเสียด้วยซ้ำ อาวุธที่เคยลอยนิ่งอยู่เฉย ๆ พลันพุ่งตรงเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ทว่าเขาเรียกใช้ม่านพลังป้องกันไว้ได้ทัน โดยสร้างกำแพงเวทล้อมรอบตัวของพวกเขาซ้อนกันถึงห้าชั้น เพียงแต่พลังของฝ่ายตรงข้ามมีมากกว่า เพราะต่อให้เขาถือผนึกดวงจิตของพยัคฆ์เจ้าป่า สัตว์ร้ายซึ่งมีอายุขัยมาหลายร้อยปี กระนั้นก็ไม่อาจเทียบพลังของมนุษย์ที่ผ่านการขัดเกลาฝึกฝน

กำแพงเวทจึงถูกอาวุธเจาะทะลุเข้ามาขณะที่ชวิศาสติแตกไม่ยอมสร้างมนตรากำแพงคุ้มกายเสียที กรินตัดสินใจพลิกตัวกอดร่างของชวิศาโดยใช้ตัวบังไว้ก่อนที่อาวุธนั้นจะเจาะผ่านม่านพลังป้องกันชั้นสุดท้าย

เสียงลั่นเปรี๊ยะดังแสบแก้วหูอันเนื่องจากพลังเวทสองสายกระทบกันยังกระจ่างชัด ทว่าจู่ ๆ มันกลับเงียบลงในฉับพลัน กรินลืมตาเงยหน้ามองรอบกาย อาวุธเหล่านั้นชะงักนิ่งค้างอยู่ห่างออกไปเพียงคืบ เขายืนมือออกไปจึงสัมผัสได้กับพลังเวทของชวิศา

เขาถอนหายใจโล่งอก เมื่อพวกเขาทั้งคู่รอดมาได้อย่างหวุดหวิด



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//อดใจรออีกนิดนะ เรากำลังเขียนโค้ดปุ่มสคริปอยู่//*

ออฟไลน์ A_bookworm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :z3: :z3: :z3: :z3: ค้างทุกอาทิตย์ งืออออ

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สามสิบเจ็ด



การโจมตีด้วยอาวุธเวทปลายแหลมมันเป็นเพียงการบุกเริ่มต้นของฝ่ายศัตรู  ต่อจากนั้นเจ้าชายทานันศิระในรูปลักษณ์ของกิรานาที่พวกเขามองเห็น ได้สร้างกำแพงดินล้อมรอบปิดคลุมพวกเขาไว้และใช้มนตราสร้างน้ำให้เกิดขึ้นภายในคงกะวางแผนให้พวกเขาจมน้ำตาย เพียงแต่ ผนึกดวงจิตของพยัคฆ์เจ้าป่าเป็นอำนาจพลังธาตุไม้ซึ่งเป็นพลังธาตุที่สามารถข่มพลังของอีกฝ่ายได้ กรินจึงใช้มนตราขั้นต้นดึงพลังของสองธาตุที่ฝ่ายศัตรูใช้งานเร่งปฏิกิริยาให้ก่อเกิดเป็นต้นไม้ต้นใหญ่

ชายหนุ่มแน่ใจแล้วว่าการต่อสู้กับเจ้าชายทานันศิระเป็นเรื่องตึงมือ ต่อให้ไม่ต้องการกำจัดเชื้อพระวงศ์หนุ่ม อย่างไรเขาจำต้องสู้ด้วยฝีมือทั้งหมดที่มี ยามนี้การต่อสู้กับคนตรงหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญกว่าการหนีออกจากอาณาเขตเวทแห่งนี้

อีกอย่าง กรินพอจะเดาความคิดของเมดินได้แล้ว ถึงกระนั้นเป็นเขาและชวิศาที่เดินเข้าไปหาโชคร้ายเสียเอง หรือไม่ คงเพราะเมดินต้องการกำจัดเขาด้วยเช่นกัน

“อยู่แต่ในเกราะป้องกันของมนตรา อย่าออกมายุ่มย่าม”กรินหันไปบอกชวิศาขณะที่เรียกดาบประจำตัวออกมาใช้ ดาบของเขาใช้วิธีการสร้างเดียวกับพลองยาว เป็นดาบสีดำสนิทที่คมกริบ ความยาวของดาบอยู่ที่เก้าในสิบของช่วงแขนซึ่งนับว่าค่อนข้างสั้น  น้ำหนักของมันมากจนผู้ใช้เวทและนักดาบทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ ปลายดาบเป็นขอบโค้งและขนาดกว้างกว่าด้านคอ ด้ามจับพันรัดด้วยหนังที่ทำให้กระชับมือ

“คุณจะฆ่าเจ้าชายจริง ๆ เหรอ”ชวิศาร้องถามซึ่งทำให้กรินแค่นหัวเราะ

ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าหากตนสามารถใช้มนตราได้ ความสามารถในการต่อสู้คงเทียบเคียงกับเจ้าชายผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์ที่มีอายุมากกว่าเขาหลายสิบปี แต่หลังจากปะทะด้วยพลังเวทเมื่อครู่ เขารู้แล้วว่าตนสำคัญตัวผิด กระนั้นก็ไม่อาจหนี ถ้าไม่ใช่เขาหรือเจ้าชายคนใดคนหนึ่งที่ล้มลง เมดินคงไม่ยอมปรากฏตัวง่าย ๆ

“เจ้าแค่ดูอย่างเดียวอย่าเข้ามาสอดแล้วกัน”

กรินชิงลงมือก่อน เขาพุ่งตัวเข้าหาด้วยความรวดเร็ว ร่างกายแข็งแรงปราดเปรียวของเขาเข้าประชิดอีกฝ่ายภายในพริบตาพร้อมเหวี่ยงดาบใส่ ฝ่ายถูกโจมตียกท่อนแขนขึ้นกันแต่ร่างกายส่วนนั้นผสานพลังเวทเอาไว้ แรงปะทะอันหนักหน่วงของดาบทำให้คู่ต่อสู้เคลื่อนถอยไปอีกไกล

เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับรวดเร็วเช่นนั้น กรินยิ่งแน่ใจว่าว่าคนตรงหน้าไม่ใช่กิรานา หญิงสาวคนรักของเขาเป็นหญิงที่ไม่ฝักใฝ่การต่อสู้เนื่องจากถูกเลี้ยงดูปลูกฝังให้เป็นนักทำนายมาตั้งแต่กำเนิด เธออาจจะใช้เวทและอาวุธเพื่อการต่อสู้ได้ แต่กิรานาถนัดการใช้เวทระยะไกลมากกว่า

เขาตามเข้าไปซ้ำโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งตัว ชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าเป็นรองเรื่องพลังเวท หากทิ้งจังหวะรอเวลาให้ฝ่ายตรงข้ามได้มีโอกาสใช้มนตราเมื่อใด เขาเองจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ กระนั้นเพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาที คู่ต่อสู้ของเขาก็ตั้งตัวได้ใช้ดาบมนตรารับการฟาดฟันจากเขา มืออีกข้างร่ายเวทช่วยเสริมประสานการต่อสู้ หากไม่ใช่เพราะดาบของกรินป้องกันการถูกพลังเวทกร่อนทำลาย เขาคงเสียทีไปนานแล้ว

พวกเขาใช้ดาบและอาวุธเวทโรมรันเข้าหากันหลายกระบวนท่า ด้วยเพราะทุ่มเทแรงกายเข้าประหัตประหารเอาเป็นเอาตาย ร่างกายจึงเหนื่อยล้าหมดแรงไปเรื่อย ๆ จนช่องว่างเปิดเผยบังเกิด กรินรีบร้อนเหวี่ยงดาบเข้าหา เขาจึงเสียท่าได้เลือดมาเช่นเดียวกัน กล้ามเนื้อช่วงสีข้างถูกบาดเป็นทางยาว

ศัตรูตรงหน้าล้มลงกับพื้นคล้ายหมดเรี่ยวแรง ทั้งเลือดสีแดงฉานก็ไหลรินออกมาเรื่อย ๆ ช่วงจังหวะนั้น อาณาเขตมนตราที่ครอบคลุมพื้นที่อยู่ได้ค่อย ๆ สลายไป รูปลักษณ์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายจึงปรากฏ กรินมองเห็นพระเนตรของเจ้าชายทานันศิระเบิกกว้างด้วยอารามตกใจ

พร้อมกันนั้นเสียงหัวเราะได้ดังก้องขึ้น

“เจ้ามีฝีมือจริง ๆ ญาติข้า”เมดินเดินยิ้มร่ามาแต่ไกล  เขาปรากฏตัวฝ่าความมืดมิดและแสงจันทร์สลัวของค่ำคืนราวกับเป็นภูตผีปีศาจ “ถึงเจ้าชายทานันศิระจะอ่อนแรงเพราะการต่อสู้ก่อนหน้า แต่เจ้าก็ทำได้ดีเยี่ยม”

เมื่อเมดินคลายคาถา ร่างที่นอนนิ่งอยู่ภายใต้ใบหน้าของสุดฟ้าจึงปรากฏใบหน้าที่แท้จริงด้วย

“คุณกริน องค์ราชา”ชวิศาร้องบอกพลางวิ่งถลาเข้าไปหาร่างนั้น กรินหันไปมองก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับญาติผู้พี่อีกครั้ง เขากัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวด มือข้างหนึ่งถือดาบประจำตัวและผนึกดวงจิต มืออีกข้างกุมบาดแผลพร้อมเรียกใช้มนตรารักษา

“แค่นี้หรือที่เจ้าต้องการ”เขากวาดสายตามองรอบลานกว้าง ไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเขาทั้งห้าคน ระหว่างการต่อสู้เมดินคงใช้มนตราล่อลวงให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องในแผนหลงทิศไปทางอื่น ไม่แน่ว่าพลังเวทขององค์ราชาที่เขาจับสัมผัสได้นั่นก็อาจจะเป็นแผนของอีกฝ่าย

“ข้าไม่เข้าใจ ถ้าเจ้าสังหารองค์ราชาหรือเจ้าชายทานันศิระ แล้วเจ้าจะขึ้นเป็นกษัตริย์ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านี้สาเหตุการสวรรคตขององค์ราชาก็ต้องได้รับสอบสวน”

“เอ๊ะ กรินผู้เฉลียวฉลาดหายไปไหนแล้วเล่า แค่นี้เจ้าเดาไม่ออกหรือ”

คนถูกถามนิ่งเงียบเพราะต้องการถ่วงเวลา แต่คนที่เกี่ยวข้องโดยอย่างเจ้าชายทานันศิระกลับพยายามประคองตัวลุกขึ้น

“เจ้ามันพวกมากเล่ห์ คิดรึว่าจะรอดพ้นไปได้”

“ข้าทำอันใดเล่า พระองค์ถึงคิดว่าข้าไม่อาจรอดพ้นไปได้”เมดินลอยหน้าลอยตาเอ่ยถามกลับไป

“เจ้าใช้เวทล่อลวงให้เรากับพระบิดาต่อสู้ห้ำหั่นกันเอง”

“ผิดแล้ว ๆ ทรงสัมผัสไอเวทอันใดรึถึงกล่าวหาข้าเช่นนี้”

“เจ้า!!!”ราชนิกุลหนุ่มทรงแสดงอาการฮึดฮัด ใช้มนตราเสกอาวุธเวทซัดเข้าใส่คู่อริ เมดินป้องกันอันตรายจากอาวุธได้อย่างง่ายดาย ส่วนผู้เป็นเจ้าของมนตราเวทกลับต้องทรุดตัวลงกับพื้นอีกครั้งเพราะฝืนใช้เรี่ยวแรงสร้างมนตรา

ส่วนกริน เขาก้มมองผนึกดวงจิตในมือ ไอควันสีเขียวภายในซีดจางลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่บาดแผลของเขาซึ่งแม้จะดีขึ้นแต่ก็ยังมีเลือดซึม บาดแผลที่เกิดจากอาวุธเวทมักจะรักษายากและหนักหนาสาหัสกว่าบาดแผลทั่วไปเสมอ

“ผมจะเป็นพยานให้เจ้าชาย คุณเมดินต้องโดนจับเข้าคุก”ชวิศาร้องตะโกนพร้อมชี้หน้า

“ซี เจ้าเป็นพระสหายของเจ้าชาย คิดรึว่าจะมีคนเชื่อคำพูดของเจ้า”

“งั้นผมจะทำให้คุณรับสารภาพ”ชวิศาดึงกระดาษคาถาออกมาจากอัญมณีช่องว่างมิติ ถ่ายเทพลังเวทลงไป มันจึงเป็นค้อนปอนด์อันใหญ่ยักษ์ เขาฟาดใส่เมดินอย่างไม่ลังเล แต่เหมือนอีกฝ่ายจะคาดเดาได้ว่าเขาจะโจมตีอย่างไรเพราะเมดินแค่กระโดดหลบ หน่วงพลังเวทไว้ที่ฝ่ามือพร้อมฟันผลัวะลงไปที่หัวค้อน มันก็สลายไปอย่างรวดเร็ว

เมดินยิ้มขำ ส่วนชวิศายืนงงงัน และกรินได้ใช้โอกาสนั้นพุ่งตัวเข้าโจมตี ฝ่ายตรงข้ามป้องกันดาบของเขาด้วยดาบเวทที่ปรากฏขึ้นในมืออย่างฉับพลัน

“เจ้าคิดว่าจะต่อกรข้าได้หรือ”ญาติผู้พี่ถามเสียงเหี้ยม

“ไม่ลองก็ไม่รู้”กรินกระโดดถอยออกมาตั้งหลักก่อนพุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง และเมดินยังรับดาบของเขาได้ทุกครั้ง

“ข้ายอมรับว่าเจ้าเฉลียวฉลาดเก่งกาจ แต่เจ้าคิดว่าจะสามารถเอาชนะคนที่เห็นทางดาบของเจ้ามาตลอดได้หรือ”

“ข้าถึงต้องลองดูอย่างไรเล่า”กรินรุกไล่หนักหน่วง เขาแกว่งดาบด้วยความคล่องแคล่วรวดเร็ว มุ่งหวังใช้ชั้นเชิญดาบที่เหนือกว่าจัดการอีกฝ่าย เมดินจึงตกเป็นฝ่ายรับมือกระนั้นชายหนุ่มมีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ใช่ว่าจะพลาดพลั้งง่าย ๆ

“แต่ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดหันดาบใส่ข้า”พูดจบเขาก็ซัดเวทใส่ กรินที่ใช้พลังเวทจากผนึกดวงจิตไปจนพลังแทบไม่เหลือจึงไม่อาจสร้างเกราะป้องกันได้ทัน เขาโดนมนตราที่อยู่ในรูปของทรายร้อนเข้าไปเต็ม ๆ ความร้อนนั้นเผาไหม้ผิวเนื้อจนต้องกรีดร้องและดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมาน

“คุณกริน คุณกริน”ชวิศาวิ่งเขาไปหา แต่ไม่อาจจะแตะต้องตัวอีกฝ่ายได้เช่นเดียวกันเพราะผิวหนังของอีกฝ่ายร้อนจัดจนเหมือนไฟกำลังลุกไหม้

ในจังหวะนั้นเอง เหล่าทหารและองครักษ์ได้กรูมายังลานกลางเมืองจากหลายทิศทาง พร้อมคบเพลิงที่มีเปลวไฟลุกโชนทำให้ลานกว้างแห่งนั้นสว่างไสว และแสงสว่างนั้นทำให้ร่างของเมดินที่เลือนจางจนไม่อาจมองเห็น แม้ชวิศางุนงงกับเหตุการณ์แต่เมื่อเห็นวิโยมันอยู่ในครรลองสายตา เขาก็ส่งเสียงเรียกหาทันที

“ท่านวิโยมัน คุณกรินแย่แล้ว”น้ำตาของชวิศาไหลเป็นทาง

ทันทีที่วิโยมันก้าวมาถึง เขาไม่รอช้านิ่งนอนใจ หลังกวาดสายตาตรวจสอบจึงร่ายเวทเพื่อถอนคลายความร้อน อาการทุรนทุรายของกรินจึงสงบลง ร่างกายของชายหนุ่มนอนหลับตานิ่งอยู่บนพื้น ผิวหนังกลายเป็นสีดำและมีแผลเหวอะหวะหลายแห่ง อย่างไรก็ตาม มนตราที่กรินได้รับกลับซับซ้อนมากกว่านั้น เพราะยามที่ความร้อนคลายไปผิวกายกลับพุพองและเสื่อมสลายลงอย่างรวดเร็ว

“ต้องรีบพาไปสำนักแพทย์”วิโยมันบอกก่อนจะตะโกนร้องเรียกทหารองครักษ์ ทว่าทันใดนั้นเอง กรินได้ยกมือขึ้นคว้าจับข้อมือของชวิศาไว้ เขาสัมผัสได้ถึงจักระของกรินที่แทรกแซงเข้ามา น่าแปลกที่ครั้งนี้ชวิศาสงบใจได้อย่างรวดเร็วและปล่อยให้กรินใช้พลังของเขา

เพียงแต่แทนที่กรินจะรักษาอาการบาดเจ็บกลับใช้มนตราพาเขามายังคฤหาสน์

“คุณกริน”ชวิศาเอ่ยเรียก น้ำเสียงของเขาอู้อี้เพราะน้ำมูกและน้ำตา เขากวาดสายตามองรอบตัว ร่างของกรินนอนอยู่ในวงเวทที่ดูเหมือนชายหนุ่มจะเขียนไว้ก่อนหน้า เขาเปลี่ยนมาจับประสานมือกับคนที่นอนอยู่บนพื้น

“วงเวทช่วยรักษาได้หรือครับ”

“เจ้าช่วยเขียนอักขระเพิ่มเติมให้ข้าที”

ชวิศาพยักหน้ารับ หันซ้ายหันขวามองหาถ่านดำที่กรินเคยใช้ และตรงเข้าไปจับมือกรินอีกรอบเพื่อถามรายละเอียดของอักขระที่ชายหนุ่มต้องการให้เพิ่ม แต่กระนั้นใช้ว่าเขาจะทำได้อย่างที่กรินต้องการเนื่องจากช่วงหลัง ๆ มานี้ เขาไม่ได้ฝึกการเขียนอักขระอีกเลย ด้วยเหตุนั้นจึงต้องเขียนและลบอยู่หลายรอบ

ในขณะที่ชวิศากำลังร้อนรน บานประตูได้ถูกเปิดผลัวะเข้ามา

“ท่านกริน”กิรานาร้องเรียกพร้อมถลาเข้ามาหา สภาพร่างกายของชายหนุ่มคนรักย่ำแย่เสียจนเกือบทำให้เธอเป็นลมล้มไปตรงนั้น ผิวหนังหลายส่วนเป็นรอยแดงเต็มไปด้วยเลือด เขานอนนิ่งไม่ลืมตาถ้าไม่เห็นแผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอยู่เป็นระยะ เธอคงคิดว่าเขาไม่มีลมหายใจอยู่แล้ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยปากถามชวิศาเสียงเขียว

“เจ้าทำอันใด เขาถึงกลายเป็นอย่างนี้”

“เมดินเป็นคนทำ”พูดออกมาแล้วเขาอยากจะร้องไห้เสียงดัง ๆ แต่เพราะมีเสียงเรียกชื่อเขาที่ออกมาจากปากของกรินด้วยความยากเย็น ชวิศาจึงหันไปพูดกับกิรานาพร้อมยื่นถ่านดำไปให้

“คุณกิรานาช่วยเขียนอักขระให้หน่อย”

ชวิศาบอกเพิ่มเติมอีกว่ากรินต้องการให้เขียน หญิงสาวทำตามที่เขาพูด กระนั้นเธอยังคงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

เมื่อกิรานาเขียนอักขระเสร็จแล้วเขาจึงคว้าจับมือกรินอีกรอบ

“ซี ถ่ายเทพลังที่ตำแหน่งธาตุดิน และใช้พลังของเจ้าให้เต็มที่”

“คุณกิรานาถอยออกไปอยู่ข้างนอกครับ ผมจะถ่ายเทพลังเวทให้วงเวททำงาน”

ตั้งแต่เกิดมา หญิงสาวไม่เคยเห็นใครในฮัชดาลลาร์ใช้วงเวทเพื่อขับเคลื่อนมนตรา แม้จะเคยเห็นวงเวทบนกระดาษคาถาของกรินมาบ้าง แต่อักขระที่ระบุไว้เข้าใจง่ายกว่านี้และไม่มีขนาดใหญ่จนเกือบจะเต็มพื้นที่ในห้อง  เธอไม่ค่อยเข้าใจรูปแบบมากนัก ทว่าอักขระข้อความที่สลักอยู่บนพื้นทำให้เธอรู้สึกไม่ดี เธอออกไปยืนอยู่ด้านข้าง ไล่อ่านอักษรบนพื้นขณะที่ชวิศาเริ่มใช้พลังเวทของตนขับเคลื่อนมนตรา

‘เหล่าผู้หลั่งเลือดไร้ชีวิตผูกพันตัวข้า ทุกสิ่งแห่งหนในพื้นพสุธา ข้ามีอำนาจเหนือใคร แผ่นดินดำรงอยู่ ข้าดำรงอยู่ ผู้คนดำรงอยู่ ข้ายืนยงเหนือใคร เป็นใหญ่ในอาณาเขตมนตรา’

เนื่องจากกรินบอกให้ชวิศาใช้พลังให้เต็มที่ ขอบเขตพลังของเขาจึงขยายออกไปเกินจากขอบเขตเมืองหลวงของอาณาจักร กินเขตแดนของเมืองรอบนอกไปอีกหลายสิบเมือง เหล่าผู้ใช้เวทเป็นนิตย์ต่างรับรู้ถึงพลังที่เคลื่อนผ่านแพร่กระจายผ่านร่างกาย แม้จะเกิดคำถามแต่เพราะพลังนั้นไม่ได้มีกระแสคุกคามหรือก่อเกิดอันตราย จึงมีแค่ข้อกังขาถึงที่มาของพลังนี้อยู่ภายในใจ

ระหว่างนั้นร่างของกรินก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่างจ้า สายลมอันเกิดจากการเคลื่อนที่ของพลังเวทกรรโชกโหมรุนแรง เคลื่อนไหวหมุนวนจนผ้าม่านในห้องปลิวสะบัด

ชวิศายังดึงพลังในร่างกายปล่อยเข้าสู่วงแหวนเวทอย่างต่อเนื่อง กระทั่งสัมผัสถึงความรู้สึกสะท้อนกลับเมื่อนั้นเขาจึงหยุดการใช้พลังเวท สายลมที่เคยพัดกระหน่ำรุนแรงจึงค่อย ๆ จางหายไปเหลือเพียงสายลมเย็นเบาบาง

ชายหนุ่มเอนตัวล้มนอนแผ่กับพื้นพลางอ้าปากหอบหายใจ

ปลายหางตามองเห็นว่ากิรานาเดินผ่านเขาไป เขาจึงสูดลมหายใจเฮือกใหญ่และกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ทว่าร่างของกรินได้หายไปแล้ว ไม่มีแม้แต่หยดเลือดบนพื้น ส่วนกิรานามีสีหน้าตื่นตระหนก แววตาเต็มไปด้วยความกังขาสงสัยแฝงด้วยความหวั่นวิตก ชวิศาจึงใจหายวาบ

หรือเขาทำอะไรผิดไป!?

อย่างไรก็ดี ครู่ต่อมาร่างของกรินได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งรูปกายภายนอกของเขาที่เป็นปกติทุกอย่าง และยังอยู่ในชุดสีขาวในพิธีเมื่อตอนเย็น

“ท่านทำอันใด”กิรานาเอ่ยถามพลางชูลูกแก้วในมือให้เขาเห็น

“ผนึกดวงจิต!!!”ชวิศาร้องอุทาน

หญิงสาวก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือด้วยสีหน้าหลากหลาย เธองงงันจับต้นชนปลายไม่ถูกทั้งรู้สึกเศร้าสลดเสียใจ เธอรู้จักผลึกเวทที่ถูกเรียกว่าผนึกดวงจิตจากชายหนุ่มคนรัก เขาเคยบอกเล่าถึงรายละเอียดวิธีการสร้างและคุณสมบัติของมัน นั่นเท่ากับเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว

“ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านทิ้งข้ากับลูกได้อย่างไร”

“ที่รัก ท่านใจเย็นก่อน ข้าไม่ได้มีความคิดที่จะทิ้งท่านกับลูกแม้แต่น้อย”กรินเดินเข้าไปหาหญิงคนรัก โอบประคองเธอไว้ นั่นยิ่งทำให้กิรานามีสีหน้าประหลาดใจ เธอใช้มืออีกข้างสัมผัสตัวของชายหนุ่ม เธอสามารถสัมผัสเขาได้และร่างกายของเขายังอุ่นคล้ายมีชีวิตเช่นคนปกติ

“ข้าไม่เข้าใจ”

ชวิศาก็มองคู่สามีภรรยาตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน เนื่องจากทีแรกเขาคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดจนส่งผลกระทบให้กรินหายไปเสียอีก แต่ที่เขาเห็นชายหนุ่มที่เขาคอยพึ่งพาอาศัยมาตลอดก็ปกติดีทุกอย่าง

“ร่างกายนี้เกิดจากมนตราเวท ผนึกนี้ต่างหากจึงจะเป็นร่างจริงของข้า”กรินกุมมือของกิรานาโดยให้เธอกุมผนึกดวงจิตไว้อีกที “หากผนึกแตกสลายนั่นหมายถึงชีวิตของข้าจะสูญสลายไปด้วย”

หญิงสาวพยักหน้าหน้ารับพร้อมกำผนึกไว้แนบอก “ทำไมท่านต้องทำเช่นนี้”

“เพราะข้าพ่ายแพ้ต่อผู้ใช้มนตรา ต่อให้เก่งกาจทางดาบมากเพียงใด ถ้าไม่อาจใช้มนตราได้ข้าย่อมพ่ายแพ้ร่ำไป”

“แล้วเปลี่ยนตัวเองให้เป็นผนึกมันทำให้คุณใช้พลังเวทได้เหรอ ไม่ใช่ว่าจะต้องผนึกผู้ที่มีพลังเวทเพื่อให้สามารถดึงพลังเวทมาใช้... ไม่ใช่เหรอ”ชวิศาถามด้วยความสงสัย เขาเคยเห็นผนึกดวงจิตมาสองชิ้นแล้ว ชิ้นแรกกรินเลิกใช้ไปเพราะมันไม่สามารถใช้ได้อีกและให้เขาเป็นคลายผนึกให้ ส่วนชิ้นที่สองซึ่งกรินยังถือไว้ ชวิศาคิดว่ามันก็ต้องมีปัญหาอีกเหมือนกัน ไม่เช่นนั้น กรินคงไม่โดนพลังเวทของเมดินทำร้ายเอาได้

“ข้าเขียนวงเวทให้ทุกแห่งหนที่พลังของเจ้าแผ่ขยายไปถึงเป็นอาณาเขตมนตรา จะเรียกได้ว่าข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตก็ได้ เพียงแต่ตัวข้าเป็นดวงจิตที่มีเจตจำนงเหนือสรรพสิ่งใดในอาณาเขตนี้ ข้าแค่ดึงพลังจากแผ่นดิน จากห้วงอากาศจากทุกสรรพสิ่งในอาณาเขตมาใช้” ทุกสรรพสิ่งที่เขากล่าวถึงนั้นรวมถึงสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่อาศัยในเขตแดนด้วย ในยามนี้จะมีสิ่งที่ยกเว้นคงเป็นพลังเวทของชวิศาที่เป็นเจ้าของอาณาเขตที่แท้จริงเท่านั้น

“แล้วถ้าลูกแก้วไม่แตก คุณจะมีชีวิตตลอดไปเลยหรือเปล่า”

“ใช่”

ชายหนุ่มร่างเล็กซึ่งยังคงนั่งอยู่บนพื้นหันไปมองหน้ากิรานา จากนั้นได้พูดถามต่อไปว่า “เท่ากับว่าคุณต้องอยู่คนเดียวไปอีกยาวนานเลยนะ คุณกรินจะไม่เหงาหรือ”

“ข้าไม่รู้ เพราะมันยังมาไม่ถึงแต่เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถ้าเจ้าไปกลับไปยังยุคสมัยที่เจ้าจากมาแล้ว ถึงตอนนั้น เจ้าค่อยมาคลายคาถาให้ข้าก็ยังไม่สาย”จากนั้นจึงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “ตอนนี้ข้ามีพลังมากพอแล้ว ข้าจะส่งเจ้ากลับบ้าน”

“ไม่เอาหรอก ผมยังไม่รู้ผลสรุปเรื่องของคุณเมดินเลย ถ้ากลับไปต้องค้างคาใจมากแน่ ๆ”

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่ได้มีเสียงกระดิ่งสำหรับผู้มาเยือนดังขึ้น

“ท่านบิดามา”กรินเอ่ยบอกและหันไปพูดกับกิรานา “ขอให้ท่านอยู่แต่ในคฤหาสน์ ข้าจะไปจัดการเรื่องที่คั่งค้างให้เสร็จเรียบร้อย”

หญิงสาวจับมือเขาไว้ นั่นทำให้ชายหนุ่มรับรู้ถึงกระแสความห่วงใยที่เธอส่งต่อมาให้ เขายกยิ้มพูดยืนยันให้เธอสบายใจ “ยามนี้ข้าไม่ด้อยกว่าผู้ใด”จากนั้นจึงดึงมือออกและหันไปพูดกับชวิศา

“ตามข้ามาถ้าเจ้าอยากรู้ผลลัพธ์ของเรื่องนี้”

ชายหนุ่มทั้งสองจึงลงมายังชั้นล่างของคฤหาสน์ เมื่อเปิดประตูออกไปพวกเขาถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีส้มเรืองรองแล้ว ดวงอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าในไม่ช้า

ที่หน้าประตูมีวิโยมันและทหารองครักษ์สี่นายยืนอยู่ เมื่อผู้เป็นบิดาเห็นหน้าบุตรชาย เขาต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเนื่องจากอาการบาดเจ็บจวนเจียนร่อแร่ของบุตรชายนั้นได้หายไปสิ้น

“พลังเวทที่ข้าได้สัมผัสคือพลังที่รักษาเจ้า”

“ขอรับท่านบิดา”

“ดี ดีมาก ข้าดีใจที่เจ้ากลับมาแข็งแรงดุจเดิม”วิโยมันตรงเข้าสวมกอดบุตรชายคนเล็กไว้ เมื่อผละออกห่างจึงหันไปทางชวิศาพร้อมทั้งก้มศีรษะให้ “ข้าขอขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตบุตรชายไว้”

“ไม่เลยครับ”ชวิศาโบกมือปฏิเสธ “ผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลย ส่วนใหญ่กรินเป็นคนจัดการเองทั้งหมดเลยครับ”

“ถึงกระนั้น ข้ายังต้องขอบคุณท่าน หากไม่ได้พลังอันยิ่งใหญ่ของท่าน เขาคงไม่หายดีรวดเร็วถึงเพียงนี้”

กรินก้าวเท้าเข้าไปแทรกระหว่างการสนทนาของทั้งคู่เพราะกลัวว่าบิดาและชวิศาจะเยินยอขอบคุณกันไปอีกนาน

“ท่านบิดา ที่มาหาข้าคงไม่ใช่เพราะเรื่องอาการบาดเจ็บอย่างเดียวใช่หรือไม่”

“อ้อ...ใช่ องค์ราชาเสด็จสวรรคตแล้ว”

แม้จะพอคาดเดาได้อยู่แล้วแต่กรินก็อดใจหายไม่ได้ ตอนที่พวกเขาถูกลวงตาให้มองเห็นพระองค์เป็นคนรักชวิศา องค์ราชาคงทรงมีพระอาการย่ำแย่อยู่แล้ว

“ตรวจสอบไอเวทและร่องรอยการต่อสู้แล้ว คนที่พระองค์ปะทะด้วยคงเป็นเจ้าชายทานันศิระ”

การประลองต่อสู้จนทำให้คู่ต่อสู้ถึงแก่ชีวิตถือเป็นความผิด ยามนี้เจ้าชายจึงน่าจะถูกคุมขัง “ท่านบิดาไม่คิดว่าผิดปกติบ้างหรือขอรับ รออีกหนึ่งเดือนก็จะถึงประเพณีมาดามายาแล้ว เจ้าชายจะทรงมุ่งปะทะกับองค์ราชาด้วยสาเหตุใด”

“คุณกรินก็บอกท่านวิโยมันไปสิครับว่าแผนทั้งหมดเป็นของคุณเมดิน”ชวิศาพูดโพล่งทะลุกลางปล้อง

“เมดิน?”วิโยมันถามซ้ำอย่างไม่แน่ใจ เมื่อชวิศาพยักหน้ารับเขาจึงหัวเราะและกล่าวออกมาว่า “คนสุภาพนอบน้อมซื่อตรงเช่นเมดินนะหรือจะทำเรื่องเช่นนั้น ท่านเข้าใจผิดแล้ว”

“ผมไม่ได้เข้าใจผิด ผมเห็นจริง ๆ เขาเป็นซัดเวทใส่คุณกรินด้วย”

“ท่านซี ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าสัมผัสได้ ไอเวทบนร่างของกรินยามที่เขาบาดเจ็บไม่ได้เกิดจากมนตราของเมดินแน่นอน”

“แต่...”

“เงียบเถอะ”กรินเอ่ยปรามชวิศา “ท่านบิดาข้าขออภัย เรื่องนี้ไว้ข้าอธิบายให้ท่านซีฟังอีกรอบ”

วิโยมันจึงพยักหน้ารับพร้อมกล่าวเสริมว่า “เมื่อคืนมีเหตุก่อจลาจลหลายจุดในเมือง  ทั้งปราชญ์ลำดับต่าง ๆ พนักงานเวท ทหารหรือเหล่าองครักษ์ต่างต้องไปช่วยกันรักษาความสงบและรักษาคนเจ็บ เมดินเองก็อาสาเข้าไปช่วยปราบปรามผู้ก่อเหตุซึ่งมีหลายคนเป็นพยานได้”

ชวิศาขมวดคิ้วอยากจะพูดเถียงแต่โดนกรินกระตุกมือห้าม เขาจึงต้องยอมหุบปากเงียบ กรินหันไปพูดกับบิดาอีกสองสามประโยคจากนั้นพวกเขาเคลื่อนขบวนไปยังอาคารตุลาการ โดยที่กรินและชวิศาเดินตามอยู่รั้งท้าย

“ทำไมเรื่องมันเป็นแบบนี้ล่ะ”ชวิศากระซิบถามกรินเสียงเบา

“เจ้าถามข้าแล้วข้าควรถามใครเล่า”

“คุณกริน!!!”เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความฉุนเฉียว “เล่าให้ฟังเลย อยากรู้เข้าใจปะเนี่ย”ชวิศาพูดตะโกนเสียงดังจนวิโยมันและทหารทั้งสี่นายชะงักหยุดเดิน พร้อมเหลียวกลับมามองพวกเขา

“ขอโทษครับ ไม่มีอะไรครับ ทุกอย่างปกติดี”ชายหนุ่มร่างเล็กรีบเอ่ยกลบเกลื่อนปฏิเสธ และเมื่อทุกละความสนใจจากเขาไปแล้ว ชวิศาจึงกระซิบพูดกับกรินต่อไปว่า “รีบเล่ามาเร็ว ๆ เลย ผมอยากรู้”

กรินหัวเราะทำกับท่าทางของชวิศา

“เมดินเป็นถึงเจ้าของสำนักศึกษา เจ้าคิดว่าเขาควรมีลักษณะภายนอกอย่างไรเพื่อให้ผู้คนเชื่อถือจนยอมมาสมัครเล่าเรียน”

“อืม...”ชวิศายกมือขึ้นเกาศีรษะพลางนึกย้อนไปถึงพวกครูใหญ่ในโรงเรียนที่เขาเคยเรียน แต่เขาไม่ใช่เด็กเรียนหรือเด็กกิจกรรมที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับพวกครูเสียด้วยสิ “ดู... ทรงความรู้ นึกออกได้แค่นี้ รีบบอกมาเลยเถอะ”เขาคะยั้นคะยอ

“อย่างที่เจ้าว่า เมดินเป็นผู้ทรงความรู้ เป็นบุรุษที่สุภาพอ่อนน้อมและถ่อมตน เมื่อหลายปีก่อนบิดาของข้าได้ขอเกษียณอายุเพื่อให้เขาได้มาดำรงตำแหน่งปราชญ์อันดับหนึ่ง เขายังขอปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า ตนไม่ได้เก่งกาจเทียบเท่าบิดาของข้าทั้งไม่ได้ฝักใฝ่ในอำนาจ ขอเป็นเพียงผู้สั่งสอนถ่ายทอดความรู้ที่มีให้ชนรุ่นหลังต่อไปเท่านั้น”

“โฮ้ ฟังดูดี แล้วท่านวิโยมันทำอย่างไรต่อเมื่อโดนปฏิเสธ”

“ก็ต้องเป็นปราชญ์ต่อไปไงเล่า หากตำแหน่งว่างลงเพราะผู้ดำรงตำแหน่ง ณ ขณะนั้นเสียชีวิต ผู้ที่มีชัยในประเพณีมาดามายาลำดับถัดไปถึงจะมีโอกาสได้ดำรงตำแหน่งแทน”

“เอ้า อย่างนี้เจ้าชายทานันศิระก็ได้เป็นองค์ราชาสิครับ”

“ใช่เสียที่ไหน เจ้าชายทรงกลายเป็นผู้สงสัยในการสังหารองค์ราชาต่างหาก”

“โอ๊ะ เข้าใจล่ะ คนที่มีโอกาสได้ดำรงตำแหน่งราชาองค์ต่อไปก็คือ...”ชวิศายกนิ้วชี้ขึ้นมา “ก็คือ...”พูดคำนั้นซ้ำพลางเหล่ตามองชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้าง ๆ ซึ่งกรินแค่มองกลับมาเฉย ๆ คล้ายไม่อยากมีส่วนร่วมด้วย ชวิศาจึงต้องพึมพำเสียงเบาพร้อมลดมือลง

“ก็คือคุณเมดินนี่เอง”ชวิศานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้จึงพูดต่อ “แต่คุณเมดินบอกว่าไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ”

“ครั้งนี้เมดินจะพูดว่า เพื่อความสงบสุขของอาณาจักร ข้ายินดีรับทำหน้าที่นี้”

“คุณเห็นอนาคตเหรอ”

“เปล่าเลย ข้าเดา”กรินตอบ “ในเมื่อเขาพยายามสร้างเรื่องขึ้นมาถึงเพียงนี้ เมดินไม่มีทางปล่อยให้ผู้อื่นฉวยโอกาสไปอยู่แล้ว”

“แล้วจะช่วยเจ้าชายได้อย่างไรล่ะ ผมไม่อยากให้เจ้าชายต้องรับผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อนะ”

“สิ่งที่เจ้าพูดไม่ถูกต้อง เจ้าชายทานันศิระทรงทำผิดจริง ทรงลงมือสังหารองค์ราชาจริง”

“แต่นั้นเป็นเพราะเวทลวงตาของเมดินไม่ใช่หรือไง”

“ที่ข้าสงสัย พระองค์ทรงไม่รู้เชียวหรือว่าหลงอยู่ในอาณาเขตมนตราของผู้อื่น”

“ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็ไปถามรายละเอียดจากเจ้าชายกันเถอะ”ชวิศาพูดบอกพลางคว้าจับมือของกรินให้รีบเดินไปด้วยกัน



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

*//โดนบ่นว่าค้าง อยากจะบอกว่า เรารู้สึกผิดเลยนะเนี่ย แต่ถามว่ามายาวกว่าเดิมได้ไหม ไม่ได้อีกแหละ เหมือนจะตันอีกล่ะ//*

ออฟไลน์ goldentime

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0

ออฟไลน์ A_bookworm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :z3: :z3: :z3: ไปไม่สุดค้างงงงงงงงง(ง.งูยาวไปสุดขอบกาแล็คซี่เลยค๊าาาา) ปุ่มสคลิป ปุ่มสคลิป สร้างเสร็จย๊างงงงงง ขอหน่อยยยยย แง่มๆ :hao5:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สามสิบแปด



การที่วิโยมันมาหากรินถึงที่คฤหาสน์นั้นไม่ใช่เพียงแต่มาตรวจดูสอบถามอาการบาดเจ็บ แต่ยังต้องการให้เขาไปให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนที่ผ่านมาด้วย ชายหนุ่มจึงให้รายละเอียดไปตามที่เขาพบเห็น

“ทำไมไม่บอกว่าอาณาเขตมนตราเป็นของคุณเมดินละครับ”ชวิศาพูดถามด้วยความขัดใจที่ชายหนุ่มไม่ยอมระบุตัวคนร้ายมาตามตรง

หลังจากเสร็จธุระ กรินจึงขออนุญาตเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานเข้าไปเยี่ยมเจ้าชายทานันศิระ

“เจ้าพนักงานเวทในหน่วยงานตุลาการยังไม่สามารถตรวจสอบได้เลยว่า มีผู้ใช้เวทสร้างอาณาเขตมนตราเมื่อคืน ถึงบอกไปเมดินย่อมต้องกล่าวหาว่าคำพูดของข้าเป็นเท็จ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ท้าสาบานสิ”

“เจ้านี่นะ”เสียงพูดของกรินเต็มไปด้วยความหน่ายระอา “อย่างที่เจ้ารู้ หากผิดคำสัตย์พระนางสิตาริกาจะประทานเภทภัยผลาญชีวิตคนผู้นั้น และผลของการกล่าวคำสัตย์จะผูกพันไปตราบสิ้นลมหายใจ ถ้าเป็นไปได้ เหล่าผู้ใช้เวทมักจะไม่ค่อยกล่าวคำสัตย์สาบานพร่ำเพรื่อนักหรอก”

“เกิดเหตุการณ์แบบนี้ยังเรียกว่าพร่ำเพรื่ออีกหรือครับ”

“ไม่ว่าจะกระทำการใดล้วนต้องมีผู้รับรู้ ล้วนต้องมีผลลัพธ์ ล้วนต้องมีสิ่งที่หลงเหลือ คนจากหน่วยตุลาการจะไปหาสิ่งเหล่านั้นเพื่อมาพิสูจน์เองแหละน่า”

“อย่างนี้ ไม่ใช่ว่ากว่าที่ผมจะได้กลับบ้านก็อีกนานหรอกหรือ”

“เช่นนั้นข้าส่งเจ้ากลับไปก่อนดีหรือไม่”

“ไม่ล่ะ ผมต้องรู้ตอนจบของเรื่องนี้ก่อน”ชวิศาพูดอย่างมุ่งมั่น

พวกเขามาหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้องจองจำเจ้าชายผู้ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักร

เจ้าชายทานันศิระทรงถูกจองจำอยู่ในที่ทำการของฝ่ายตุลาการ หลังจากทรงได้รับการดูแลเยียวยารักษาอาการบาดเจ็บแล้ว ที่จองจำพระองค์เป็นห้องกว้างขนาดสิบหกตารางเมตรซึ่งลงมนตราไม่ให้คนที่อยู่ในห้องสามารถใช้พลังเวทของตนได้ ภายในมีโต๊ะเก้าอี้ชุดเล็ก และตั่งไม้พร้อมฟูกนอน อาจดูไม่หรูหราแต่ย่อมดีกว่าสถานที่จองจำของบุคคลทั่วไป

พระอากัปกิริยาของเจ้านายชั้นสูงที่ทรงแสดงออกให้พวกเขาเห็นนั้นสงบนิ่งจนน่าแปลกใจ ทรงประทับบนตั่งนอนและเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นว่าผู้ใดที่ผ่านประตูเข้ามา สีพระพักตร์มีแต่ความแปลกพระทัย

“เอ๋... ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะหายดีได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้”ทรงกลอกพระเนตรนึกย้อน “คงเพราะพลังเวทนั่นสินะ”

กรินไม่รอให้อีกฝ่ายเชิญนั่ง เขาทรุดตัวลงบนเก้าอี้ ชวิศาจึงดึงเก้าอี้อีกตัวมานั่งที่ข้าง ๆ กัน

“ข้าจะหาหลักฐานมาช่วยเหลือท่าน เจ้าชาย”

“และเหตุใดท่านต้องช่วยเรา”

“ก็เพื่อจับคนผิดเข้าคุกไงล่ะครับ”ชวิศาโพล่งแทรกออกไป

“ท่านรู้รึว่าผู้ใดเป็นคนผิด”

“นั่นเป็นสิ่งที่ทรงต้องแจ้งแก่พวกข้าทั้งสอง”

“ใช่ ๆ เดี๋ยวพวกผมจะไปช่วยกันหาหลักฐานเอง”ชวิศากล่าวสนับสนุนคำพูดของกริน ทว่าเจ้าชายทานันศิระกับทรงแค่นพระสรวลจากนั้นทรงถอนพระปัสสาสะออกมาก่อนจะเอ่ยว่า “เราเป็นผู้ลงมือทำร้ายพระบิดาเอง ไม่มีผู้ใดบังคับ พวกท่านจะหาหลักฐานใดเพื่อแก้ต่าง”

“แต่ท่านทำเพราะโดนเวทหลอกลวงในอาณาเขตมนตรา ตอนนั้นท่านยังกล่าวว่าเมดินใช้เวทหลอกลวงเพื่อให้ท่านห้ำหั่นกับองค์ราชา”

“กริน ท่านเข้าใจผิดแล้ว เราเป็นผู้เดินเข้าสู่อาณาเขตมนตรานั้นเอง ท่านคิดหรือว่า อาณาเขตมนตราที่แม้แต่ตัวท่านยังสัมผัสได้ เราจะไม่รู้สึกถึงมัน”

“แต่ตอนที่พวกผมอยู่ในเขตแดนนั้น ผมก็เห็นเจ้าชายกับองค์ราชาเป็นคนอื่นนะครับ”

“อาณาเขตนั้นส่งผลให้ผู้ที่อยู่ภายในมองเห็นบุคคลที่พวกท่านห่วงหา”

“อ้าว แล้วอย่างนี้เจ้าชายเห็นใครหรือครับถึงได้พุ่งมาโจมตีพวกผม ถ้าห่วงหาก็ไม่น่าจะซัดอาวุธใส่ไม่ใช่เหรอ”ชวิศาถาม ทว่าคนที่ถูกถามกลับไม่ตอบคำ และหลังจากนั้นไม่ว่าพวกเขาจะเอ่ยสิ่งใด ก็ไม่มีแม้กระทั่งสุรเสียงตอบกลับมา เขาทั้งคู่จึงต้องระงับการพูดคุยไว้แค่นั้น

“คุณกรินว่า เจ้าชายทรงเห็นใครหรือครับ”ชวิศาเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเขาและกรินออกมาจากอาคารตุลาการแล้ว

“คนที่ทั้งรักมากและเกลียดมาก”

“รักมาก ก็น่าจะเป็นพี่สาวคุณกรินไม่ใช่เหรอ”

กรินหันมองพร้อมส่งสายตาถามว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น ชวิศาจึงตอบว่า “ก็เจ้าชายกำลังจะเสกสมรสกับพี่สาวของคุณกริน”

“แต่ข้าไม่เคยรู้สึกว่าเจ้าชายทรงรักพี่สาวของข้าสักนิด”

“อ้าว”ชวิศาร้องอุทาน ก่อนจะต้องออกอาการตื่นตระหนกเมื่อถูกกรินลากถูลู่ถูกังเข้าไปแอบในซอกซอยข้างอาคารแห่งหนึ่ง

“อะไร”เขาถามพลางชะเง้อชะแง้มองออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เมดินเดินผ่านมาทางนี้ ข้ายังไม่อยากให้เขาเห็นร่างของข้า”

“ทำไมล่ะ”

“ที่ข้าเคยบอกว่าดวงตาของเมดินสามารถมองเห็นพลังเวทในร่างกายของผู้อื่นได้ แล้วตอนนี้ร่างกายของข้าเป็นร่างมนตรา เขาต้องรู้อยู่แล้ว”

“เออ พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมก็สงสัย”ชวิศาพูด “ทำไมคนอื่นถึงไม่รู้ว่าร่างของคุณกรินตอนนี้ไม่ใช่ร่างจริง ๆ ล่ะ เวลาใช้มนตรามันจะมีไอเวทออกมาไม่ใช่เหรอ อย่างท่านวิโยมันกับเจ้าชายไม่น่าจะมองไม่ออกนะ”

“แสดงว่าเจ้ายังไม่เข้าใจเรื่องไอเวท”

“แน่สิ ถ้าความรู้ผมถึงขั้นแอดวานซ์คงไม่สงสัยหรอก”ชวิศาพูดบ่น แต่กรินทำเมินไปเสียแล้วอธิบายว่า “ไอเวทเป็นผลตกค้างจากการใช้พลังเวท มันเกิดจากการที่เราดึงอำนาจธาตุมาสร้างมนตราและใช้ปริมาณอำนาจพลังธาตุเหล่านั้นไม่หมด จึงเหลือเป็นเศษปะปนกับธรรมชาติ แต่เนื่องจากพลังอำนาจเหล่านั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมกับสิ่งของหรือสถานที่นั้น ๆ เราจึงสามารถแยกความแตกต่างได้ แต่มันก็จะจางหายกลมกลืนไปกับธรรมชาติแวดล้อมภายในเวลาประมาณเจ็ดวัน”

ชวิศาอ้าปากค้าง ทั้งงุนงงทั้งไม่เข้าใจกับสิ่งที่กรินอธิบาย ชายหนุ่มถอนหายใจ

“เช่นนั้นข้าสรุปง่าย ๆ ว่า เราไม่ทางดึงพลังอำนาจธาตุแต่ละธาตุออกมาใช้ในปริมาณเท่ากับความต้องการในการสร้างมนตราได้พอดี ส่วนที่เหลือนั่นละถึงเรียกว่าไอเวท”

“อ้าว อย่างนั้นทำไมมนตราดวงเนตรโยฮาน่าถึงเป็นเวทสำหรับสอดแนมได้ล่ะครับ”

“เพราะคุณสมบัติของอำนาจธาตุโลหะ แต่ใช่ว่าใช้อำนาจธาตุโลหะเพียงอย่างเดียวจะซ่อนไอเวทได้ทั้งหมด”กรินพูดดักทางไม่ให้ชวิศาถามต่อ เพราะถ้าอธิบายว่าคุณสมบัติของอำนาจธาตุโลหะสามารถซ่อนไอเวทของธาตุอื่นได้ ชวิศาต้องคิดว่าเมดินใช้อำนาจพลังของธาตุนี้แน่นอน แต่ตอนนี้เขาคิดได้แล้วว่าเมดินใช้วิธีไหนสร้างอาณาเขตมนตราโดยไม่หลงเหลือไอเวทของตนให้ผู้อื่นตรวจสอบได้

“แล้วตกลงที่คนอื่นไม่เห็นไอเวทจากร่างของคุณกรินเพราะอะไร”ชวิศาย้อนกลับมาถมเรื่องที่สงสัย ขณะก้าวเท้าเดินตามกรินที่เดินออกจากซอยเมื่อเมดินผ่านจุดที่พวกเขาอยู่ไปไกลแล้ว

“เพราะพลังเวทที่สร้างร่างกาย ไม่แตกต่างจากสิ่งที่แวดล้อมร่างของข้าอยู่ หรือถ้าให้ตอบแบบตรงไปตรงมา เพราะอาณาจักรฮัชดาลลาร์เป็นเขตแดนที่ข้ามีอำนาจเหนือผู้ใด”

“โฮ้”ชวิศาร้องตาโต “อย่างนั้นคุณก็จับคุณเมดินเลย”

“ทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า”กรินร้องบอกและอธิบายต่อ “ผู้คนทั้งเมืองรู้จักข้า หากวันใดข้าแสดงถึงพลังอำนาจที่เหนือกว่าคนปกติจะทำได้ แทนที่ผู้คนจะสรรเสริญเยินยอคงไล่ล่าทำลายข้าเสียมากกว่า”

“คุณมองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ทำไมทีองค์ราชาที่ทรงช่วยเปลี่ยนแปลงการปกครองถึงเป็นที่ยอมรับได้ล่ะ”

“เพราะก่อนหน้านั้นบ้านเมืองอยู่ในช่วงกลียุคอย่างไรเล่า ผู้ที่ปรากฏตัวออกมาช่วยเหลือผู้คนย่อมต้องได้รับการนับถืออยู่แล้ว แต่ตอนนี้สภาพภายในอาณาจักรถือว่าเป็นปกติสุข หากแสดงอำนาจที่มีมากเกินไปจะโดนเพ่งเล็งเสียเปล่า ๆ ประเพณีมาดามายาเองก็ถูกจัดเพื่อให้ผู้คนเห็นพลังอำนาจของผู้อื่นจะได้ค่อย ๆ สร้างการยอมรับนับถือ”

กรินมาหยุดยืนที่ลานกว้างกลางเมือง เขากวาดสายตามองไปโดยรอบซึ่งในตอนนี้พื้นที่ลานกว้างได้ถูกกันไม่ให้ชาวเมืองสัญจรผ่าน เนื่องจากเหตุร้ายที่เกิดในค่ำคืนที่ผ่านมา

ปกติแล้ว แม้จะเป็นคืนที่มืดสนิทแต่ถนนหนทางภายในเมืองจะไม่ได้มืดมิดมากนัก นั่นเพราะทุกถนนในเมืองจะมีกระถางคบเพลิงซึ่งตั้งห่างกันเป็นระยะไว้คอยให้แสงสว่าง โดยเชื้อเพลิงที่ใช้เป็นหินติดไฟชนิดหนึ่ง รอบพื้นที่ลานกลางเมืองก็มีกระถางคบเพลิงเหล่านี้เหมือนกัน

กรินเดินตรงไปที่กระถางคบเพลิงเหล่านั้น

ในกระถางเหล่านั้นเหลือแค่เพียงเศษขี้เถ้าสีดำ กรินลองกอบมันขึ้นมาซึ่งพวกมันได้กลายเป็นเพียงซากที่ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าแต่ก่อนมันเคยเป็นหินชนิดใด

“มันทำไมหรือครับ”

“มีศิลาชนิดหนึ่งที่ถ้าหากลุกไหม้แล้วจะสามารถทำให้เกิดอาณาเขตมนตรา”

“งั้นที่พวกเขาตรวจไม่เจอไอเวทของคุณเมดินก็เพราะอย่างนี้สินะ”ชวิศาพูดอย่างตื่นเต้น “เราเอาเรื่องนี้ไปบอกพวกตุลาการกันเถอะ”

“เอาไปบอกแล้วอย่างไร พวกมันกลายเป็นซากขี้เถ้าไปหมดแล้ว”

“อ้าว ทำไมเป็นแบบนี้อีกแล้วล่ะ”ชวิศามีสีหน้าเสียดาย

“อ้อ กลิ่นแปลก ๆ เมื่อคืนเป็นเพราะเหตุนี้สินะ”เสียงบุคคลที่สามดังแทรกขึ้นเรียกความสนใจของพวกเขาให้หันไปมอง

“ดันกะ”

“สวัสดียามสายท่านกริน ท่านซี”

ชวิศามองบุคคลที่กรินเรียกว่าดันกะสลับกับมองหน้ากริน ยิ่งอีกฝ่ายรู้จักเขา ชายหนุ่มยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่

“ไม่คิดว่าการกลับมาที่เกิดเหตุอีกรอบจะได้ยินอะไรดี ๆ จากพ่อค้าศิลาเวทอันดับต้น ๆ ของอาณาจักร”

“ข้ายินดีที่ความรู้ของข้าเป็นประโยชน์ต่อท่าน”กรินโค้งศีรษะรับคำชมแต่โดยดี

“แต่น่าแปลก เหตุใดกลิ่นกายของท่านถึงเปลี่ยนไป เป็นกลิ่นที่หอมสดชื่นยิ่งนัก”ดันกะเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ ชวิศาหูผึ่งนึกอยากพิสูจน์ขึ้นมาด้วย จึงยื่นจมูกเข้าไปใกล้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พร้อมสูดกลิ่นฟุดฟิดก่อนโดนกรินดันใบหน้าของเขาให้ออกห่างด้วยท่าทางคล้ายรังเกียจ ถึงกระนั้นชวิศาก็ไม่ได้สนใจท่าทางดังกล่าวของกรินแต่พูดออกมาว่า

“ไม่เห็นได้กลิ่นเลย”

ทว่าคนที่จุดประกายความสงสัยให้ชวิศากลับเพียงแค่ยกยิ้มไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติม

“ข้าคงต้องขอตัวก่อน ภรรยาของข้าไม่ค่อยสบายคงต้องขอตัวกลับไปดูแลนาง”กรินบอกลาและรีบหมุนตัวก้าวเท้าออกไป ทิ้งชวิศาให้ยืนงงหมุนซ้ายหมุนขวาอยู่ครู่หนึ่งกว่าที่เจ้าตัวจะคิดได้และวิ่งตามกรินซึ่งสาวเท้าลิ่ว ๆ นำอยู่ด้านหน้า

“คุณกริน ทำไมไม่คุยกับเขาล่ะ เขากำลังสืบเรื่องการสวรรคตขององค์ราชาอยู่นี่”ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเดินตามมาทัน

“ข้าไม่อยากสนทนากับพวกที่มีสัมผัสพิเศษ เขาเหมือนกับเมดิน จมูกของเขาแยกแยะกลิ่นได้ดีกว่าสุนัขป่าเสียอีก”

“แต่เขาสามารถช่วยหาหลักฐานแก้ต่างให้เจ้าชายได้”

“เรื่องนี้ก็เหมือนกัน เจ้าเลิกคิดไปเลย หากเจ้าชายทานันศิระไม่ทรงเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา ก็ยากนักที่ใครจะช่วยพระองค์ได้”

ชวิศามีสีหน้าขัดใจ “ทำอะไรเลยไม่ได้หรือไง”เขาร้องตะโกนถาม กรินถอนหายใจหยุดยืนพร้อมหันกลับไปหาชวิศา “เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกน่ะ ดันกะรู้เบาะแสแล้วเดี๋ยวเขาก็ไปจัดการสืบความต่อเองล่ะ ตอนนี้กลับบ้านก่อนเถอะ เจ้าไม่หิวข้าวหรือไร”

พอได้ยินอีกฝ่ายถาม ชวิศาก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาตงิด ๆ “อืม... หิว งั้นไปกินข้าวกันก่อนแล้วกัน”




อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ตะวันเคลื่อนคล้อยสู่ยามบ่ายเท่านั้น ชายหนุ่มผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในหน่วยตุลาการอย่างดันกะได้มาเยือนคฤหาสน์หลังงามของกรินอีกครั้ง กรินออกมาต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้มมีไมตรีแม้ในใจจะไม่อยากต้อนรับอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ก็ตาม

ดันกะกวาดสายตามองการตกแต่งอย่างชื่นชมความงดงามที่ถูกจัดสรรอย่างลงตัว แต่ยิ่งกว่านั้นคือ “เป็นคฤหาสน์ที่เปี่ยมไปด้วยพลังเวทที่แข็งแกร่งมหาศาลยิ่งนัก ข้านึกอยากขอให้ท่านซีไปช่วยสร้างคฤหาสน์ให้ข้าบ้างแล้วสิ”

“เรื่องนั้นคงต้องให้ท่านคุยกับท่านซีเอง”

ดันกะพยักหน้ารับ เดินตามกรินที่ผายมือเชิญเขาไปยังห้องรับรอง

ยามนั้นทั้งชวิศาและกิรานาต่างพักผ่อนอยู่แต่ในห้องของตัวเอง โดยเฉพาะชวิศาที่หลับเป็นตายตั้งแต่ทานอาหารเสร็จ แต่สำหรับกรินนั้น ด้วยเพราะกายเนื้อของเขาสูญสลายไปแล้วเหลือเพียงดวงจิตที่ถูกผนึกอยู่ในวัตถุที่คล้ายลูกแก้ว ร่างที่เกิดจากพลังมนตราซึ่งเขาปรากฏให้บุคคลอื่นเห็น จึงไม่จำเป็นต้องทานอาหารหรือพักผ่อน

“ข้าตรวจสอบเรื่องการซื้อขายศิลานีมแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ผู้ที่ซื้อมันจากร้านจำหน่ายศิลาเวทมีจำนวนห้าคน แต่ละคนซื้อในจำนวนไม่เกินสามดอน[1]”

‘นีม’ เป็นชื่อที่พวกเขาใช้เรียกหินหายากชนิดหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติในการสร้างอาณาเขตมนตรา กระนั้นการทำให้หินชนิดนี้สร้างเขตแดนได้ย่อมต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน อีกทั้งศิลานีมยังถูกทางการสั่งควบคุมการซื้อขายเพื่อป้องกันผู้คนไม่ให้สร้างอาณาเขตมนตราในที่สาธารณะ เนื่องจากเขตแดนเวทนั้นเป็นการใช้พลังเวทกำหนดเขตพื้นที่เพื่อการใดการหนึ่งโดยมีผู้ใช้พลังเป็นเจ้าของพื้นที่นั้น กฎข้อหนึ่งของอาณาจักรจึงระบุไว้ว่า ห้ามผู้ใดสร้างอาณาเขตมนตราโดยไม่มีเหตุจำเป็นอันสมควรหรือได้รับอนุญาต นั่นเท่ากับว่า กรินกำลังละเมิดกฎข้อนี้อยู่ เขาจึงไม่อยากให้ผู้ใดรับรู้ตัวตนของเขา

“ถ้าซื้อคนละสามดอน จำนวนห้าคนก็เท่ากับสิบห้าดอน” ทว่ามันก็ยังเป็นจำนวนที่น้อยเกินไป

“ใช่ และทั้งห้าคนนั้นไม่มีความข้องเกี่ยวกันเลย”

“ศิลาเหล่านั้นอาจจะทำการซื้อขายผ่านตลาดมืด”เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่หินหายาก ราคาแพง และถูกทางการควบคุมจะมีการดำเนินการซื้อขายโดยผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตามกรินกลับรู้สึกว่าตนเองได้ก้าวพลาดไปเสียแล้ว

“ข้าถึงได้มาหาท่าน เพื่อรบกวนให้ท่านช่วยในเรื่องนี้”

ชายหนุ่มอยากแสดงสีหน้าเหม็นเบื่อต่อหน้าแขกผู้มาเยือนก่อนจำใจถามกลับไปว่า “ท่านอยากได้รายชื่อผู้ที่ซื้อศิลานีมและจำนวนที่ซื้อใช่หรือไม่”

“แต่ถ้าท่านจะกรุณาเพิ่มเติมข้อมูลอื่น ก็ย่อมได้”

กรินอยากส่งแขกเสียเดี๋ยวนั้น ทว่าอีกฝ่ายราวกับนกรู้

“วันนี้ข้ามารบกวนท่านนานแล้ว ข้าคงต้องขอตัวลา”ดันกะลุกขึ้นยืนโดยแทบไม่รอให้ผู้เป็นเจ้าของบ้านต้องเอ่ยปากไล่ กระนั้นกรินก็เดินไปส่งอีกฝ่ายที่หน้าประตูตามธรรมเนียม

พ้นจากสายตาของดันกะ กรินจึงได้สลายร่างมนตราของตน

ด้วยเหตุที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของทุกสรรพสิ่งในเมือง ดวงจิตและการรับรู้ของกรินจึงแทรกอยู่ทุกแห่งหน เขาสามารถเห็นและทราบทุกสิ่งที่เกิดในอาณาเขตมนตรา เพียงแต่เขาไม่ใช่สสารที่สัมผัสได้อีกต่อไป กรินจึงมีชีวิตอยู่แค่ในช่วงเวลาปัจจุบัน ไม่อาจเดินทางย้อนอดีตกลับไปดูกว่าก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น และไม่อาจเห็นได้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร

ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เฝ้าจับตามองการกระทำของผู้คน

ทว่าเมดินนั้นกลับระมัดระวังทุกย่างก้าวเป็นพิเศษ ไม่มีสิ่งใดผิดปกติไปจากกิจวัตรอันพึงควรของผู้ที่เป็นเจ้าของสำนักศึกษาผู้หนึ่ง ฝ่ายผู้คนที่ค้าขายศิลาเวทในตลาดมืดก็เช่นกัน ทุกอย่างยังดูเป็นปกติเช่นครั้งที่เขาเคยไปเยือนยามที่มีกายเนื้อ

ซึ่งระหว่างนั้นเมดินได้มาเยี่ยมเยียนกรินที่คฤหาสน์อยู่สองสามครั้ง และทุกครั้งกิรานาจำต้องเป็นผู้ที่ออกมาต้อนรับ และคอยอ้างหลากเหตุผลเมื่อผู้มาเยือนไม่เคยได้พบกับชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์เลยสักครั้ง นั่นพานให้ชวิศาต้องซ่อนตัวไปด้วย

“เขาทำกับคุณกรินขนาดนั้น ยังกล้ามาอีกเหรอเนี่ย”

“จะแปลกอันใด เขาเป็นญาติผู้พี่ของข้า ก็ต้องมาเยี่ยมเยียนเป็นปกติ”

ชวิศาขมวดคิ้วหันไปมองคนพูด “งง มาเยี่ยมแบบปกติได้ไง วันนั้นยังทำให้คุณกรินเกือบตาย”

กรินจึงระบายลมหายใจอย่างเบื่อหน่ายไม่ต่อความอันใดอีก

กระทั่งเจ็ดวันผ่านไป ดันกะจึงกลับมาเยือนอีกครั้ง

“เห็นท่านเงียบหายไปเลย ข้าจึงมาเยี่ยมเยียน”ชายหนุ่มผู้เป็นแขกยกยิ้มราวกับพวกเขาเป็นสหายกันมาเนิ่นนาน

“ท่านคิดว่าจะมีเอกสารรายนามผู้ซื้อศิลาเวทในตลาดมืดเช่นนั้นรึ”กรินถอนหายใจ “ข้าว่าท่านลองสอบถามจากผู้ก่อจลาจลในวันนั้นดีกว่า ว่าใครเป็นผู้บงการ”

“ถ้าเจ้าพวกนั้นยอมบอกง่าย ๆ ข้าคงไม่ต้องลำบากหาหลักฐานอื่น ซ้ำมีอีกหลายคนที่ได้แต่บอกว่าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคืนนั้นทำสิ่งใดลง”

“ที่คนพวกนั้นไม่รู้ตัวเพราะโดนเวทควบคุม ท่านจงลองให้คนตรวจสอบดู”

หลังจากพูดคุยสอบถามกันอีกสองสามประโยค ดันกะจึงขอตัวลากลับ ชวิศาที่แอบฟังอยู่นานจึงเดินมาหากริน “ทำไมเราไม่ใช้พลังทำนายของคุณกิรานามาตรวจดูเพื่อให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นละครับ คุณกิรานาย้อนดูอดีตด้วยไม่ใช่เหรอ”

“นางตั้งครรภ์อยู่ ปกติพลังอำนาจธาตุพิเศษจะถูกส่งต่อให้กับบุตรในครรภ์ และถึงแม้ตอนนี้นางจะยังสามารถใช้พลังได้ ผู้คนอื่นย่อมต้องยกข้อนี้มาโต้แย้ง”

“แล้วคุณกรินใช้มนตราย้อนเวลากลับไปดูหรือใช้พลังเวทดูภาพนิมิตไม่ได้หรือครับ”

กรินสั่นศีรษะโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม

“นี่เท่ากับว่าเราต้องให้คนชั่วลอยนวลเหรอเนี่ย”ชวิศามีสีหน้าไม่ชอบใจ

“ข้าคิดว่าตอนนี้คงได้แต่รอเวลาเท่านั้น”ถ้าหากเจ้าหน้าที่หน่วยตุลาการไม่สามารถหาหลักฐานอื่นมาแย้งกับพยานหลักฐานที่บ่งชี้ว่าเจ้าชายทานันศิระมีส่วนร่วมในการก่อจลาจลและสังหารองค์ราชา อีกไม่นานคงต้องมีพิธีราชาภิเษกกษัตริย์องค์ใหม่ เมื่อนั้นอาจจะทำให้คนร้ายตัวจริงปรากฏออกมา



ดันกะมาส่งข่าวอีกครั้ง คราวนี้เจ้าหน้าที่ในหน่วยตรวจสอบพบเวทควบคุมซึ่งถูกตราอยู่ในร่างของผู้ที่ถูกจับกุมจริง ๆ เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถตรวจสอบอย่างละเอียดได้ว่า เวทที่ถูกผนึกนั้นเป็นของผู้ใด ดันกะจึงมาหากรินเพื่อให้ชายหนุ่มช่วยหาวิธีตรวจสอบให้

“เหตุใดต้องเป็นข้า นักเวทผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นมีอักโข”กรินกลอกตาทำหน้าหน่ายระอาใส่อย่างไม่คิดถึงมารยาท ทว่าดันกะกลับยิ้มระรื่นราวกับไม่เห็นอาการเช่นนั้น จนเป็นชวิศาที่ต้องกล่าวคะยั้นคะยอเชิงตำหนิ

“คุณกรินก็ช่วยเขาหน่อยสิครับ จะเล่นตัวทำไม”

ชายหนุ่มอีกคนพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

“ข้าไม่ได้เล่นตัว แต่เรื่องพรรค์นั้นไม่ใช่หน้าที่ของข้าเสียหน่อย”

“แล้วผมต้องรอไปถึงเมื่อไหร่ถึงจะจับคุณเมดินได้ล่ะ กว่าที่ผมจะได้กลับบ้านก็ยืดไปอีก”

“ข้าเคยบอกแล้ว ว่าข้าสามารถส่งเจ้ากลับได้ทันที เจ้าก็ไม่ยอมไป”

“อ้าว ก็ผมอยากรู้นี่ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร กลับไปก่อนก็ไม่รู้เรื่องน่ะสิ”

ดันกะเห็นว่าทั้งสองคนต่างทุ่มเถียงนอกเรื่องไปไกล จึงได้กล่าวแทรกขัดจังหวะ “ขอท่านทั้งสองโปรดใจเย็นก่อน” จากนั้นเขาพูดว่า “ท่านกรินที่ข้ามาหาท่าน เพราะท่านข้องเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคืนนั้น ทั้งยังถูกทำร้าย แต่น่าแปลกที่ท่านไม่ได้กล่าวโทษเอาผิดผู้ใด เรื่องนี้หน่วยงานตุลาการเห็นว่าเป็นพิรุธ แต่เมื่อผู้เสียหายไม่เอาความ แม้พวกเราอยากดำเนินการตัดสินเอาโทษคนผิดก็ไม่สามารถทำได้ อีกทั้งเป็นเพราะท่าน พวกเราถึงได้รู้ว่าคนที่ถูกจับกุมโดนตราเวทควบคุม”

“ถ้าเป็นบ้านเกิดของผมนะ ป่านนี้ก็จับคนร้ายได้แล้ว”ชวิศาพูดขึ้นมาบ้าง “ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้นะ พวกตำรวจก็จะไปเปิดกล้องวงจรปิดดูหน้าตาคนร้ายแล้วก็ไปตามจับตัวมาเลย มีภาพเห็นชัด ๆ จะจะ ผู้ร้ายที่ไหนก็หนีไม่พ้น”

“กล้องวงจรปิด? มันคือสิ่งใดกัน”ดันกะถามอย่างใคร่รู้

“มันเป็นกล้องถ่ายวิดีโอที่รัฐติดไว้ในเมืองนะครับ จริง ๆ คนทั่วไปก็ติดไว้ได้ มันจะเก็บภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามสถานที่ที่มีกล้องน่ะ แล้วถ้าเกิดเรื่องเราก็จะเอาภาพที่บันทึกไว้มาเปิดดูอีกครั้ง”

“เป็นความคิดที่ดี”กรินพูด นัยน์ตาฉายแววเจ้าเล่ห์มีแผนการ และหลังจากนั้นก็หันไปพูดกับดันกะว่า “ขอให้ท่านกลับไปก่อน เรื่องการตรวจสอบเวทควบคุมต้องให้ท่านรออีกสักเล็กน้อย ข้าคงต้องลองศึกษาตำราดูก่อน และข้ารับปากว่าครั้งนี้ พวกท่านจับคนร้ายได้อย่างแน่นอน”

ด้วยเหตุนั้นดันกะจึงเดินทางกลับและเมื่อเหลือเพียงพวกเขาแค่สอง ชวิศาจึงเอ่ยถาม “คุณกรินจะทำอย่างไรเหรอครับ”

กรินแบบมือ ใช้พลังเวทสร้างภาพการดำเนินชีวิตของผู้คนในเมืองใช้ชวิศาได้เห็น

“ว้าว เหมือนกำลังดูหนังเลย”ชายหนุ่มร้องอย่างตื่นเต้น

“หนัง?”กรินส่งเสียงถามพลางก้มมองผิวหนังของตนด้วยความสงสัยว่ามันเกี่ยวข้องกับภาพจากมนตราอย่างไร

“อ้อ มันเป็นคำย่อของคำว่า ภาพยนตร์นะครับ แต่ไม่ต้องถามที่มากับผมนะว่าทำไมภาพยนตร์ถึงเรียกว่าหนัง ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”ชวิศายิ้มกว้าง แต่ถามต่อไปว่า “แล้วไอ้ภาพพวกนี้มันจะอย่างไรเหรอครับ”

“ข้าก็จะสร้างภาพเหตุการณ์ย้อนหลังในคืนนั้นจากพลังมนตรา แต่มีข้อแม้บางอย่างที่ต้องการให้เจ้าช่วยเหลือ”

“ผม?”ชวิศาชี้นิ้วมือเข้าหาตัวเอง

“ข้าจะใช้พลังเวทอันแข็งแกร่งของเจ้าสร้างความน่าเชื่อถือให้กับภาพมนตราที่ข้ากำลังจะสร้างเพื่อจับคนร้าย”
 


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

[1] ดอน = หน่วยการชั่งน้ำหนัก 1 ดอนมีค่าประมาณ 1.492 กรัม

*//อืม... อาทิตย์นี้จะทำให้ผู้อ่านทุกท่านรู้สึกค้างคาใจอีกไหมนะ หรือไม่แน่บางท่านอาจจะรู้สึก ‘ทำไมมันอย่างนี้วะ’ ก็ได้ ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าเลยค่ะ ตอนที่เราเขียนก็รู้สึก ‘อ้าว...เฮ้ย!!! จบไม่ลงแหะ’ เหมือนกัน อุตส่าห์ดีใจที่ถึงตอนที่เฝ้ารอซะที (T T)
สุดท้ายขอขอบคุณทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าและขอให้ทุกท่านโชคดีกับปีใหม่ที่กำลังจะมาเยือนค่ะ //*

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สามสิบเก้า



กรินใช้เวลาศึกษาตำราเพื่อหาวิธีการดึงเวทผูกพันที่ถูกตราลงในร่างกายมนุษย์อีกสองสามวัน สลับกับเดินทางไปที่อาคารที่ตั้งของหน่วยตุลาการเพื่อทดลองใช้มนตรา เพียงแต่การไปที่แห่งนั้นไม่มีใครรับรู้การมาเยือนของเขาเนื่องจากมันเป็นส่วนหนึ่งของแผนจนกระทั่งมนตรานั้นสัมฤทธิผล เขาจึงได้เริ่มพูดคุยตกลงกับชวิศา

และครั้งนี้ ดูเหมือนว่าชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นตัวแสดงหลักในแผนการของเขาจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

“เจ้าต้องแสดงท่าทางว่าเป็นคนใช้พลังเพื่อดึงระเบียนมนตราออกมาจากร่างของผู้ที่ถูกจับกุม”

ชวิศาพยักหน้ารับ

“ทีนี้เจ้าก็กล่าวอ้างตัวเป็นพยานเล่าเหตุการณ์ที่เจ้าเห็นในคืนนั้น”

“แต่พวกเขาไม่ยอมรับเพราะผมเป็นสหายกับเจ้าชาย”

“เจ้าก็เอาศิลามหาเวทออกมาให้ทุกคนดู”

“ศิลามหาเวทอีกล่ะ แล้วผมจะเอาของแบบนั้นมาให้คนอื่นดูได้ยังไง”

กรินแบมือออก ผนึกดวงจิตของตนก็พลันปรากฏบนฝ่ามือ เขาใช้พลังเวทส่งไปให้ชวิศาถือไว้ “เจ้าจงบอกว่าแก่ผู้อื่นว่า ใช้เวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนในการสร้างศิลานั้นขึ้นมา”

ชวิศาเอียงคอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ถ้าจำไม่ผิด “วิธีสร้างที่คุณกรินเขียนแจกให้ชาวเมืองไม่ใช่แบบนั้นไม่ใช่เหรอ”

“เจ้ามีพลังเวทมหาศาลเหตุใดต้องใช้วิธีดาดาษตามตำราด้วยเล่า”กรินยกยิ้มมุมปาก “และที่จริงเจ้าใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นศิลาชิ้นนี้ก็เสร็จสมบูรณ์”

ชายหนุ่มตีสีหน้าปูเลี่ยน ๆ กรินจึงกล่าวย้ำไปว่า

“ก็เลือกเอา ว่าจะปล่อยให้เจ้าชายผู้มีใบหน้าคล้ายคนรักของเจ้าต้องรับโทษ หรือต้องการจับตัวผู้กระทำผิดตัวจริง”

“ต้องเป็นคนร้ายตัวจริงสิ”ชวิศาตอบทันควัน

“เช่นนั้นเจ้าจะกังวลอันใด”

“ก็เพราะผมใช้มนตราได้แย่มากไง ผมกลัวว่าตัวเองจะทำอะไรพลาด”เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาพลันนึกขึ้นได้อีกว่า มนตราต่อสู้ในรูปแบบค้อนอันใหญ่ยักษ์ของเขาโดนเมดินทำลายลงอย่างง่ายดาย

“มีข้าอยู่ทั้งคนเจ้าจะกลัวสิ่งใด อีกอย่าง เมืองหลวงของอาณาจักรฮัชดาลลาร์คืออาณาเขตมนตราของเจ้า ผู้ใดจะอยู่เหนือเจ้าได้”

“โฮ้!”ชวิศาร้องอย่างตื่นเต้นนัยน์ตาเป็นประกาย กระนั้นเขาก็รีบเอ่ยปากถามก่อนจะลืมไปเสียก่อน “เออ แล้วทำไมครั้งที่แล้ว เมดินถึงฟาดมือผลัวะทีเดียวค้อนของผมถึงหายไปเลยล่ะครับ”

“มันเป็นจุดอ่อนของการใช้กระดาษคาถา เพราะมนตรานั้นสร้างขึ้นจากวงเวทที่อยู่บนกระดาษ ถ้าทำลายกระดาษคาถาและวงเวทเสีย มนตราก็จะสลาย”

“อ้าว อย่างนี้ไม่มีวิธีป้องกันเลยเหรอ แล้วคุณกรินจะให้ผมไปลงประลองทั้งที่มันมีจุดอ่อนแบบนี้เนี่ยนะ”ประโยคหลังชายหนุ่มพูดออกไปเพราะเฉลียวคิดขึ้นได้

“กับเมดินคงยากเพราะเขารู้รายละเอียดมนตราที่เจ้าใช้ แต่ไม่ใช่กับทุกคนที่จะหาวิธีจัดการเจ้าได้ในครั้งแรกที่ปะทะกัน กระดาษคาถาไม่ค่อยเป็นที่นิยมในหมู่ชาวเมือง คนที่รู้จุดอ่อนนี้จึงมีน้อย”กรินอธิบายก่อนจะพูดดึงให้คู่สนทนากลับมาสนใจประเด็นพูดคุยอีกครั้ง บอกเล่าสิ่งที่ชวิศาต้องทำเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เขากำหนดไว้

กรินนัดหมายกับดันกะให้เชิญผู้เกี่ยวข้องให้มาร่วมเป็นพยานตรวจสอบหลักฐานที่ชวิศาพยายามหามานำเสนอ ผู้คนจึงมารวมตัวกันที่ศาลากลางเมือง อันเป็นอาคารอเนกประสงค์ที่ถูกใช้งานในหลายกิจกรรม ไม่เว้นแม้กระทั่งการไต่สวนคดีความ

นักโทษที่ถูกจับกุมในคืนวันเกิดเหตุถูกนำมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ นอกจากนั้นยังมีปราชญ์ทั้งแปด เจ้าพนักงานเวทในหน่วยตุลาการ ขุนพลและองครักษ์เวทระดับสูง พ่อค้านายวาณิชและเจ้าของสำนักศึกษาทั้งหลาย ชวิศาจึงได้สวมชุดเสื้อผ้าที่หรูหราดูดีอีกครั้ง

การจัดโต๊ะที่นั่งคล้ายกับการพิจารณาคดีหรือข้อพิพาทต่าง ๆ ปราชญ์ทั้งแปดและองค์ราชาถูกจัดให้นั่งบนบัลลังก์สูงทางฟากหนึ่งแต่คราวนี้ที่ประทับขององค์ราชาถูกเว้นว่างไว้ ทางซ้ายมือของบัลลังก์ปราชญ์ทั้งแปดเป็นที่คุมขังของจำเลย ทางฝั่งขวาเป็นฝ่ายโจทก์หรือผู้ร้องทุกข์ ซึ่งครั้งนี้เป็นที่นั่งของพนักงานเวทหน่วยตุลาการ เบื้องหน้าบัลลังก์เป็นที่นั่งของบุคคลทั่วไปที่มาชมการพิจารณาคดี เว้นที่ว่างตรงกลางไว้ประมาณหนึ่ง

ดันกะก้าวเท้าลุกจากเก้าอี้ที่นั่งเมื่อถึงกำหนดเวลาที่เขานัดหมาย ออกไปยืนยังพื้นที่ว่างซึ่งถูกเว้นไว้และกล่าวถึงจุดประสงค์ที่นัดหมายผู้ที่มีคุณวุฒิทั้งหลายมารวมตัวกัน ขณะนั้นชวิศาได้กวาดสายตามองผู้คนที่มาเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อเห็นเมดินนั่งรวมอยู่กับชาวเมืองคนอื่นก็หันกลับมาให้ความสนใจที่ดันกะ

“ขอขอบคุณทุกท่านที่มารวมตัวกันในวันนี้ ตัวข้า ดันกะ ซารุมินี พนักงานเวทระดับสาม สังกัดหน่วยตรวจสอบ ภายใต้อำนาจความรับผิดชอบของปราชญ์แห่งตุลาการ เหตุที่เชิญทุกท่านให้มาพร้อมกันในที่นี้ เนื่องเพราะท่านซี นักเดินทางผู้ซึ่งมีพลังเวทอันยิ่งใหญ่ได้หาข้อพิสูจน์เพื่อระบุตัวผู้บงการในการก่อจลาจลและเป็นเหตุให้เจ้าชายทานันศิระห้ำหั่นกับองค์ราชาผู้เป็นบิดา”

หัวใจของชวิศาเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อดันกะผายมือมาทางเขา ครั้งนี้เขามาฉายเดี่ยวเพียงคนเดียว ส่วนกรินตามเขามาแค่เสียงเพราะเจ้าตัวไม่ยอมเปิดเผยร่างมนตราให้เมดินจับสังเกตได้อย่างแน่นอน และยังให้เหตุผลอีกว่า ถ้าเมดินรู้ว่า กรินไม่มีกายเนื้อเช่นมนุษย์ทั่วไป จากที่เป็นต่อ พวกเขาจะถูกปรามาสจนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียเอง

“ไม่ต้องกังวล เจ้าแค่ทำตามที่ข้าบอก”เสียงของกรินดังขึ้นในหัว ชวิศายกยิ้มกว้างตั้งใจฟังสิ่งที่กรินกล่าวก่อนขยายคำพูดนั้นให้คนอื่นได้รับฟัง

“ผมได้ใช้พลังเวทสร้างศิลามหาเวทขึ้นมาครับ ศิลาชิ้นนี้ผมจะมอบให้เป็นสมบัติของอาณาจักรฮัชดาลลาร์”

เสียงฮือฮาจากผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนั้นจึงดังขึ้น และก็มีคนยกมือถามเรื่องวิธีการสร้างซึ่งแตกต่างจากกระดาษที่กรินเคยแจกไปก่อนหน้า ข้อความคำตอบจึงดังขึ้นในหัวของเขา

“ถ้าพวกคุณมีพลังเวทเท่าผม ก็สามารถสร้างศิลามหาเวทขึ้นได้โดยใช้เวลาเพียงแค่เจ็ดวัน”

ผู้คนส่งเสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ ชวิศาจึงต้องส่งเสียงเพื่อให้ทุกคนอยู่ในความสงบอีกครั้ง “เรื่องวิธีการสร้างน่ะ ช่างมันเถอะครับ ที่ผมอยากให้ทุกคนสนใจคือศิลาชิ้นสามารถทำให้ความปรารถนาเป็นจริง และที่สำคัญมันทำให้พวกเรารู้ความจริงของการก่อจลาจลในคืนนั้น”

ชวิศากล่าวต่อไปว่า

“คืนนั้นผมเห็นเจ้าชายทานันศิระทรงต่อสู้อยู่กับองค์ราชา จึงหวังเข้าไปขัดขวางห้ามปรามแต่เมื่อเข้าไปในลานกลางเมือง พื้นที่บริเวณนั้นกลับว่างเปล่าไร้ผู้คน”ชวิศาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นอย่างละเอียดให้ทุกคนได้ฟังอีกครั้ง

“ผมยืนยันได้ว่าคุณเมดินเป็นคนสร้างอาณาเขตมนตรานั้น และเขาก็ทำร้ายคุณกรินจนบาดเจ็บสาหัส”

“ซี เจ้าพูดเช่นนั้นออกจะเกิดไปสักหน่อย”คนถูกกล่าวหาลุกขึ้นยืนเพื่อแก้ต่างให้กับตน “คืนนั้นเหล่าทหารผู้มีหน้าที่ดูแลความสงบในเมืองล้วนเป็นพยานให้กับข้าได้ ข้าก็อยู่ร่วมในขบวนแต่งงานของกริน ยามที่เกิดการโจมตีข้าได้พยายามใช้พลังเวทของตนปกป้องชาวเมืองคนอื่น และหลังจากนั้น พื้นที่ในเมืองส่วนอื่น ๆ ก็ถูกโจมตีก่อความวุ่นวายอีกหลายแห่ง ข้าได้ร่วมสมทบกับกลุ่มทหารเพื่อระงับเหตุรุนแรง และตั้งแต่เกิดเหตุจลาจลข้าไม่ได้แม้แต่จะเหยียบย่างเข้าไปสู่ลานกว้างเลยด้วยซ้ำ เจ้าว่าพื้นที่ลานกว้างมีเขตแดนเวทกางคลุมอยู่ ไม่ใช่ว่าตัวข้าที่เจ้าเห็นจะเป็นคนอื่นที่ใช้ใบหน้าของข้าหรอกหรือ”

ชวิศาชะงักงัน กรินจึงรีบส่งเสียงบอกคำแก้ต่าง “ผมแน่ใจว่านั่นเป็นคุณเมดินแน่นอน เพราะตอนนั้นพลังเวทของอาณาเขตมนตราคลายลงแล้ว” พร้อมกับยกศิลาในมือให้ทุกคนได้เห็น

“ผมรู้ว่าทุกคนคงไม่เชื่อคำพูดของผมด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา ผมถึงได้สร้างศิลานี้ขึ้นมา และเพื่อความเป็นธรรม ผมขอความร่วมมือจากทุกท่านให้ช่วยพิสูจน์ว่าศิลานี้จะแสดงภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นอย่างเป็นกลาง”

“ไม่มีทางที่ศิลาชิ้นนั้นจะแสดงภาพอย่างเป็นกลางได้”ใครคนหนึ่งที่ชวิศาไม่รู้จักร้องตะโกนแทรก ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนทั้งกล่าวต่อไปว่า “เพราะศิลาชิ้นนั้นเป็นท่านที่สร้างขึ้นมา”

ทว่าไม่จำเป็นต้องให้ชวิศากล่าวเถียงโต้ตอบ ปราชญ์ลำดับที่เจ็ด ปราชญ์แห่งตุลาการได้เป็นคนกล่าวปรามชายคนนั้นเสียเอง เสียงของชราได้ดังขึ้นอย่างเนิบช้า ทว่าเต็มไปด้วยอำนาจแห่งพลัง “กรุณาอยู่ในความสงบ แม้ศิลาชิ้นนี้จะถูกสร้างโดยคนผู้หนึ่ง แต่ศิลาย่อมคือศิลา ศิลาไม่อาจสร้างมนตราด้วยตัวเอง ย่อมต้องใช้จักระหรือพลังเวทให้การขับเคลื่อนให้เกิดมนตราเท่านั้น”

ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของศิลามหาเวทลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกับบอกตัวเองให้ระมัดระวังปิดปากให้สนิทเรื่องที่ดวงจิตของกรินติดอยู่กับศิลาในมือ

“เราอนุญาตให้ทุกท่านร่วมพิสูจน์ตามที่ท่านนักเดินทางร้องขอ”

“แล้วจะหาหนทางพิสูจน์อย่างไร”

“ขอให้ผู้ที่ถูกจับกุมคนนั้นเป็นคนทดสอบ”เสียงของกรินดังมาให้เขาได้ยินอีกครั้ง ชวิศาหันไปมองคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาก่อน

“เขาเป็นคนที่พวกเราพบว่ากำลังสร้างลูกไฟเวทอยู่ภายในอาคาร”

ชวิศาจึงแจ้งออกไปตามที่กรินบอก เมื่อชายคนนั้นออกมายืนตรงหน้าเขาจึงยื่นศิลาทรงกลมโปร่งใสไปให้ อีกฝ่ายรับไปด้วยอาการเก้ ๆ กัง ๆ สั่นกลัว ใบหน้าซีดเจื่อนหม่นหมองจนเขารู้สึกสงสาร

เมื่อกรินสัมผัสร่างกายของชายคนนั้น จึงเริ่มอ่านและจำลองภาพเหตุการณ์ออกมาให้ผู้คนซึ่งอยู่ในที่แห่งนั้นได้เห็น ภาพที่ปรากฏเป็นแบบสามมิติที่ชวิศาคิดว่ามันยอดเยี่ยมกว่าการฉายภาพโฮโลแกรมในยุคของเขาเสียอีก

ก่อนหน้านี้กรินได้พยายามศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างภาพเหตุการณ์จากมนตราทำให้รู้ว่า สสารทุกสิ่งล้วนล่องลอยไปในกระแสกาลเวลาจากอดีตสู่ปัจจุบันไปยังอนาคต สัมพันธ์กับมนตราย้อนกาลที่เขาเคยศึกษาข้อมูล รวมกับการฝึกฝนจักระหรือพลังในกายที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับอำนาจพลังธาตุมาอย่างหนักตั้งแต่วัยเยาว์ ทำให้เขาสามารถสัมผัสถึงพลังบางเบาอันเป็นผลตกค้างของกระแสกาลเวลา หรือสิ่งที่มนุษย์เราเรียกว่าความทรงจำ

แต่ความทรงจำที่เขารับรู้และสัมผัสไม่ได้เกี่ยวพันความทรงจำที่ถูกบันทึกโดยสมองซึ่งอาจจะมีการบิดเบือนตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของบุคคลนั้น ๆ

ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ถูกแสดงย้อนถอยหลัง ดูคล้ายการกรอเทปถอยหลังกลับอย่างรวดเร็วในความคิดของชวิศา มันเริ่มตั้งแต่ที่จุดที่ชายคนนี้ยืนอยู่เดินย้อนถอยกลับไปนั่งยังที่ควบคุมตัวและเดินถอยหลังกลับไปที่อาคารของหน่วยตุลาการ ถูกจองจำ ถูกสอบสวน ถูกจับกุมทั้งที่เพิ่งฟื้นคืนสติจากมนต์นิทราของกริน กระทั่งถึงภาพที่ชายคนนั้นกำลังสร้างลูกไฟเวทโจมตีขบวนส่งบ่าวสาวของกรินและกิรานา ซึ่งเจ้าตัวมีท่าทางตกใจอยู่ไม่น้อย

กรินแสดงภาพเหตุการณ์ย้อนหลังของชายคนนั้นต่อไปอีกเล็กน้อย

เขาคนนี้มาร่วมงานสมรสของกรินเฉกเช่นชาวเมืองคนอื่น เขาดื่มกินกับเพื่อนและคนรู้จักอย่างสนุกสนานด้วยท่าทางรื่นเริงยินดีกับงานมงคลนี้เช่นปกติ

กรินหยุดการอ่านความทรงจำไว้แค่นั้น ก่อนใช้มนตราแสดงภาพวันงานสมรสซึ่งเกี่ยวข้องกับชายคนนี้อีกครั้ง โดยเดินภาพมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง ซึ่งทำให้สังเกตเห็นว่า เมื่อแสงอาทิตย์ลาลับไปและความมืดเข้ามาเยือน ชายคนนี้มีอาการท่าทางแปลกจากปกติอย่างเห็นได้ชัด

“ท่านกล่าวว่า ท่านไม่เคยทำการใดที่เป็นการก่อความวุ่นวาย แล้วท่านจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้หรือไม่”ชวิศาเอ่ยถาม ซึ่งคำถามนั้นก็เป็นคำถามที่กรินสั่งให้เขาพูด

“ข้าคิดว่า ตัวเองไม่ได้เมามาก แต่ข้าจำได้เพียงตนเองนั่งดื่มสุรากับกลุ่มสหายเท่านั้น”

“และภาพเหตุการณ์ในงานสมรสเป็นไปตามนั้นหรือไม่”

“ถูกต้องทุกประการ ข้ามาร่วมพิธีแต่เช้า ยืนรอชมการกล่าวคำสัตย์สาบานอยู่รอบนอก ตอนที่มีร่างเงาสีดำปรากฏขึ้นป่วนงาน ข้ายังจำได้ว่ามันปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาข้าเลย”

จากนั้น ชวิศาก็สุ่มให้ผู้ถูกจับกุมเพราะก่อความวุ่นวายในเมืองเมื่อคืนนั้นออกมาเพื่อตรวจสอบภาพเหตุการณ์ย้อนหลังตามที่กรินสั่ง เหตุที่กรินทำเช่นนั้นเพราะเขาต้องการหาความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับตัวผู้ทำผิด แม้จะปักใจเชื่อว่าเป็นการบงการของเมดิน แต่ถ้าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน เมดินคงสามารถหาข้อโต้แย้งได้อย่างแน่นอน

“ข้ามีข้อสงสัย”ชายคนหนึ่งยกมือและยืนขึ้นหลังจากที่ชวิศาใช้พลังของศิลาตรวจสอบภาพเหตุการณ์ย้อนหลังในคืนนั้นไปสามถึงประมาณสี่คน ปราชญ์ลำดับที่เจ็ดจึงผายมือให้ชายคนนั้นเอ่ยออกมาได้

“ตามที่ท่านซีเคยแจ้งไว้ ศิลามหาเวทนั้นสามารถทำให้ทุกความปรารถนาเป็นจริงโดยใช้เพียงพลังเวทในการแลกเปลี่ยน แล้วอย่างในกรณีนี้เหตุใดศิลาถึงสร้างภาพเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นขึ้นมาได้ทั้งที่ผู้ที่ถูกจับกุมไม่ได้ใช้พลังเวทกันล่ะ”

ชวิศายืนนิ่ง รอคำตอบของกรินให้ดังขึ้น

“เจ้าเป็นผู้ใช้พลังเวท”

“ผมเป็นคนใช้พลังเวทของตัวเองครับ”เขาเงียบเพื่อรอฟังคำพูดต่อไปจากเสียงในหัว “ก่อนหน้าที่จะให้ผู้ถูกจับกุมทุกคนได้ถือศิลาในมือ ผมได้ส่งพลังเวทไว้ในศิลาแล้วครับ”

“เช่นนั้น ไม่ใช่ท่านเป็นคนกำหนดภาพเหตุการณ์เหล่านี้เองหรอกหรือ”ชายคนนั้นถามต่อ

“ผมจะทำได้อย่างไรล่ะครับ ให้เหตุการณ์ตรงกับที่แต่ละคนประสบในเมื่อวันนั้น หลังพิธีสาบานผมก็ไปนั่งเฝ้าเจ้าชายอยู่ที่วังส่วนพระองค์ แต่พวกคุณอาจจะพูดว่า เจ้าชายทรงไม่สามารถเป็นพยานได้เพราะคราวนี้ทรงถูกจับกุมเช่นกัน แต่ลองถามพวกเขาดูก็ได้ครับ ว่าวันนั้นเห็นผมอยู่ใกล้ ๆ หรือเปล่า”

“เจ้าลองบอกให้พวกเขาเสนอตัวเพื่อให้ศิลาอ่านความทรงจำดูสิ”

“พวกคุณใครก็ได้ ลองออกมาทดสอบดูสิครับ ผมเป็นผู้ใช้เวทที่ถือครองอำนาจธาตุพิเศษเช่นเดียวกับคุณกิรานา แม้ผมจะไม่ได้ศึกษาศาสตร์การทำนาย แต่คงไม่ใช่เรื่องแปลกใช่ไหมครับ ถ้าศิลามหาเวทของผมจะมีพลังของอากาศธาตุรวมอยู่ด้วย และไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเช่นถ้าศิลาจะควบคุมกระแสกาลเวลาจนสามารถดึงความทรงจำจากคนหรือสิ่งของได้”

ทุกคนในที่นั้นเงียบนิ่งไปอยู่ครู่หนึ่งก่อนเสียงพูดคุยกันเองจะดังขึ้น หลังจากนั้นเมดินจึงลุกยืนขึ้นมาพร้อมก้าวเท้าออกมายังด้านหน้า “ถ้าเจ้ากล่าวเช่นนั้น ข้าควรเป็นผู้ทดสอบเป็นคนต่อไป”

ชวิศาพึมพำเสียงเบาว่าดีเลย ในขณะที่กรินเต็มไปด้วยความกังวล เมดินกล้ากล่าวเสนอตัวเองเขาย่อมต้องมีแผน

“ถ้าศิลาของเจ้าแสดงภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นว่า ข้าไม่ได้เป็นผู้สร้างอาณาเขตมนตราทั้งยังไม่ได้เป็นผู้ทำร้ายกริน เจ้าคงยอมรับใช่หรือไม่”

“ไม่มีทางเป็นอย่างที่คุณพูด เพราะผมเห็นคุณด้วยตาของตัวเอง”

เมดินยกยิ้มไม่พูดโต้เถียงอะไรกลับไปอีก เขายื่นมือออกไปรับศิลาจากชวิศา เมื่อได้รับมันมาถือไว้ในมือก็ยืนนิ่งยื่นศิลาไว้เบื้องหน้า

ดวงจิตของกรินที่อยู่ศิลาเมื่อได้สัมผัสกับร่างกายของเมดิน เขาก็เข้าใจในทันทีว่าเหตุใดคืนนั้นเมดินถึงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยไม่มีใครพบเห็น เมดินที่พวกเขาเห็นในคืนนั้นเป็นร่างแยกอันเกิดจากมนตราขั้นสูง และถ้าเขาไม่ได้ศึกษาวิธีดึงเวทผูกพันมาก่อนหน้า เขาเองอาจยังคงไม่รับรู้ว่าเมดินสามารถใช้มนตราดังกล่าวได้

อย่างไรก็ดี ก่อนที่กรินจะได้สร้างภาพมนตรา เมดินกลับได้ส่งพลังเวทของตนเองเข้ามาในศิลาราวกับรู้ว่าต้องทำอย่างไรศิลามหาเวทถึงจะสามารถสร้างภาพเหตุการณ์ในอดีตได้ กรินจึงทำได้แต่ใช้พลังเวทที่มีอยู่ต้านทานกลับไป ระหว่างนั้นพลันฉุกคิดขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นคนบอกว่าศิลามหาเวทสามารถบันดาลทุกสิ่งให้เป็นจริงเพียงใช้พลังเวทแลกเปลี่ยน จึงฉวยจับพลังนั้นมาเป็นของตน

กรินสร้างภาพมนตราย้อนถอยหลังแต่ครั้งนี้เขาไม่จำเป็นต้องอ่านความทรงจำ แต่เขาได้สร้างภาพทุกอย่างขึ้นมาตามที่เขาต้องการ เมดินเห็นท่าไม่ดีจึงโยนลูกแก้วทรงกลมในมือลงกับพื้น

“ศิลานี่ถูกควบคุมอยู่จริง ๆ”

“เพราะคุณใช้พลังเวทของตัวเองควบคุมศิลาไม่ได้จึงอ้างว่า ศิลาถูกผู้อื่นควบคุมอยู่นะสิ”ชวิศาเอ่ยเถียงทันควัน

“หึ คำพูดของเจ้าก็แค่คำโต้เถียงข้าง ๆ คู ๆ”

“คนที่ไม่ได้ถือครองอำนาจธาตุพิเศษไม่มีทางเข้าใจเรื่องกระแสกาลเวลาหรอก”

“แล้วเจ้าเชี่ยวชาญนักหรือ ทั้งที่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเจ้ายังเป็นเพียงนักเวทฝึกหัดที่ไม่อาจแม้แต่ผ่านการประเมินผลขั้นพื้นฐาน”

“ผ... ผมเป็นอัจฉริยะหรอก เรียนไม่กี่เดือนก็รู้เรื่องแล้วทำไมผมต้องบอกคนอื่นว่าตัวเองเข้าใจทุกอย่างและใช้มนตราได้แค่ไหนด้วย ขนาดคุณเมดินยังซ่อนมนตราร่างแยกไว้ไม่ให้คนอื่นรู้เลย”

ตอนนี้ชวิศาเริ่มเหงื่อแตกพลั่ก ๆ เนื่องจากทุกคำพูดของเขาก็แค่ปาหี่หลอกตาเท่านั้น พูดจบเขาก็ตรงดิ่งไปเก็บผนึกดวงจิตมาถือไว้ก่อน เพราะถ้าพลั้งพลาดเกิดเหตุให้ผนึกแตกร้าวไปจริง ๆ น่ากลัวว่าเขาจะซวยครั้งใหญ่

“โปรดอยู่ในความสงบ”ปราชญ์แห่งตุลาการส่งเสียงปรามที่ดังขึ้นด้วยอำนาจของเวทอีกครั้ง “หากท่านเมดินสามารถสร้างร่างแยกได้จริง คดีอาจมีการพลิกผัน”

ชวิศาไม่ทันได้ยกยิ้มดีใจ คนถูกกล่าวหาก็พูดยืนยันด้วยความหนักแน่นเด็ดเดี่ยวว่า “ข้าไม่สามารถใช้มนตราร่างแยกได้”

“คุณโกหก คุณกล้ากล่าวคำสัตย์สาบานหรือเปล่าล่ะ”

“ท่านซี โปรดอยู่ในความสงบ”คราวนี้เป็นชวิศาที่โดนเอ่ยดุปราม คนโดนดุถึงกับหน้าง้ำลงทันควัน “ท่านเป็นผู้เดินทางผ่านมา อาจไม่รู้ธรรมเนียมการปฏิบัติของอาณาจักรฮัชดาลลาร์ โปรดใช้สติไตร่ตรองอย่างระมัดระวัง”

โว้ย! ขัดใจ! ชวิศาร้องบอกตัวเอง เขาหัวเสียเพราะโดนบอกว่าเป็นคนนอกอีกแล้วทั้งที่เรื่องนี้เขาเกี่ยวข้องด้วยเต็ม ๆ

“เห็นได้ว่าศิลามหาเวทนั้นถูกควบคุมด้วยพลังของท่านซีผู้เป็นเจ้าของ ข้อเสนอในการให้ใช้ศิลาในการเป็นหลักฐานพิสูจน์ความจริงเป็นอันว่าตกไป”

“อ้าว!!!”

“ใจเย็นไว้ซี”

ชวิศาร้องอุทานด้วยความไม่พอใจเมื่อประโยคคำพูดของปราชญ์แห่งตุลาการดังขึ้น จนกรินต้องส่งเสียงเตือนให้เขาสงบสติอารมณ์ไว้

“ผมขอให้ตรวจสอบมนตราควบคุมกับผู้ที่ถูกจับกุมครับ”ชวิศาร้องบอก

“ต่อให้เจ้าดึงมนตราผูกพันออกมาได้ พวกเขาก็ไม่เชื่อถือหรอก”กรินพูดตอบกลับมาก่อนที่ปราชญ์ลำดับที่เจ็ดจะพูดตอบกลับมาในฐานะประธานของที่ชุมนุม

“ท่านซี ข้าเข้าใจว่าท่านมีใจอยากช่วยเหลือ แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาของอาณาจักรฮัชดาลลาร์ ขอให้ท่านอย่ามาข้องเกี่ยวดีกว่า”

“อย่างนี้มันใช้ได้ซะที่ไหน”ชายหนุ่มร่างเล็กพูดอย่างโมโห เขาพยายามเอ่ยเรียกร้องโดยไม่สนใจเสียงของกรินที่ดังกล่าวเตือนซ้ำ “คุณบอกว่าเป็นปัญหาภายในแต่วันที่เกิดเหตุผมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย และผมก็เกือบตายด้วย พวกคุณจะรับผิดชอบยังไง”

“การสอบสวนหาตัวคนผิดในครั้งนี้ก็เพื่อหาตัวคนร้ายมาลงโทษและให้ชดใช้ต่อผู้ที่ต้องบาดเจ็บล้มตายอย่างไรเล่า”

“ก็นั่น และผมที่เป็นหนึ่งในพยานที่อยู่ในเหตุการณ์บอกว่าเห็นหน้าคนร้ายว่าเป็นเมดิน ทำไมพวกคุณไม่จับกุมเขา”

“แต่มีทหารอีกหลายสิบคนที่ยืนยันว่าข้าอยู่กับพวกเขา”เมดินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แล้วมีใครกล้ายืนยันว่าเห็นคุณอยู่ในสายตาตลอดเวลาหรือเปล่า”

“ข้าเอง”นายทหารองครักษ์คนหนึ่งยกมือพร้อมก้าวออกมาจากแถว ชวิศาฮึดฮัดเพราะสมองตันคิดไม่ออกแล้วว่าจะไล่ต้อนเมดินอย่างไรให้ยอมรับสารภาพผิด

“ใจเย็น ๆ เถอะซี หากเมดินไม่เตรียมการมาล่วงหน้า เขาไม่กล้าทำการใหญ่แน่นอน”กรินพูดทักเตือนขึ้นอีกครั้ง

“ผมรู้ที่คุณวางแผนนี้ไว้เพราะอยากขึ้นเป็นราชาองค์ต่อไป”ชวิศายกนิ้วชี้หน้าเมดิน ไม่เมื่อทำอะไรไม่ได้เขาก็จะแฉให้หมดเปลือก “ตอนแรกคุณก็สร้างข่าวลือใส่ร้ายเจ้าชายทานันศิระว่าพระองค์กำลังคิดก่อกบฏ  อีกทางก็ให้ผมชิงชัยในประเพณีมาดามายาให้ได้ แต่เพราะว่ากิรานาท้องกับกรินเสียก่อนคุณเลยต้องเปลี่ยนแผน เป็นการสังหารราชาองค์ปัจจุบันและใส่ร้ายเจ้าชาย”

เมดินหน้าคล้ำเครียดขึ้นมา

“คุณกล้าพูดไหมว่าไม่ได้วางแผนนี้ กล้าพูดไหมว่าคุณจะไม่มีวันขึ้นครองราชย์เป็นราชาองค์ต่อไป”

คนที่ถูกกล่าวหายืนนิ่งอยู่อีกครู่ก็ยกยิ้มขึ้นมา “จินตนาการของเจ้าช่างเพ้อเจ้อผูกเรื่องราวได้น่าตลกยิ่งนัก” คำพูดนั้นทำให้ชวิศาของขึ้นทันควัน

“อย่ามาเบี่ยงเบนประเด็นนะ แน่จริงคุณก็ประกาศต่อหน้าทุกคนมาสิ ว่าคุณจะไม่เป็นราชาเด็ดขาด”

“ข้าจะมุ่งหวังเป็นราชาหรือไม่ แล้วเจ้ามาเกี่ยวอะไรด้วย”

“ทุกคนได้ยินไหมครับ เขายอมรับออกมาแล้วว่าอยากเป็นราชา ทั้งหมดนี่เป็นแผนของเมดิน”

เจ้าของนามนั้นกลับทำเพียงส่ายศีรษะและถอนหายใจด้วยความสมเพช ขณะที่ชวิศายังร้องตะโกนว่าให้จับเมดินสิ เสียงโหวกเหวกนั้นทำให้ปราชญ์ทั้งแปดหันมองหน้ากัน ก่อนที่วิโยมันจะออกคำสั่ง

“ทหารกุมตัวท่านซีไว้”

ฝ่ายชวิศาที่เห็นทหารกรูล้อมเข้าหาจึงดึงกระดาษคาถาออกมา เรียกใช้ค้อนมนตราอันเบ้อเริ่มเทิ่ม แต่เหล่าทหารล้วนเป็นผู้ที่ฝึกฝนร่างกายเพื่อการต่อสู้ ดังนั้นจึงหลบการฟาดทุบจากอาวุธเวทของชวิศาได้อย่างง่ายดาย ค้อนในมือชวิศาจึงฟาดลงกับพื้นกลายเป็นหลุมบ่อใหญ่ ใครที่จะเข้ามาใกล้ เขาก็เหวี่ยงค้อนเข้าใส่ไม่ยั้งสร้างความเสียหายให้กับสิ่งของที่สัมผัสมนตราทุกครั้ง ทว่าการชุมนุมในวันนั้นรวมไว้ด้วยนักเวทผู้เชี่ยวชาญมนตราขั้นสูง ต่อให้ชวิศามีพลังเวทมากมายเพียงใดแต่หากไม่รู้จักวางแผนและใช้มนตราประยุกต์พลิกแพลง ชวิศาก็ไม่อาจรอดพ้นการจับกุมไปได้ ทั้งกรินและดันกะต่างรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี

ดันกะที่ช่วงหลังสนิทสนมกับชวิศามากขึ้นอยากจะเข้าไปห้ามปรามช่วยเหลือ เพียงแต่เขาช้ากว่ากรินที่ใช้พลังเวททำให้ชวิศาหายร่างไปจากจุดนั้นอย่างรวดเร็ว พานให้เหล่าปราชญ์และทหารชะงักตะลึงงัน คงมีแค่ดันกะเพียงคนเดียวที่พอจะคาดเดาได้ว่าชวิศาจะไปปรากฏตัวที่ใด เขาจึงรีบสาวเท้าออกจากศาลากลางเมืองไปอย่างรวดเร็ว


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ชวิศามองไปรอบตัวด้วยความงงงันเนื่องจากจู่ ๆ เขาก็มายืนอยู่ในห้องซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของคฤหาสน์ที่เขาสร้างให้กรินโดยไม่รู้ตัว ค้อนใหญ่ยักษ์ในมือได้หายไปแล้ว พริบตาต่อมาชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของคฤหาสน์พลันปรากฏกายขึ้นตรงหน้า

“เอ๊ะ! เมื่อกี้ผมจำได้ว่ายังอยู่ที่ศาลากลางเมืองอยู่เลย”อาการโมโหโกรธาก็สลายไปเช่นกัน กรินแบมือเรียกผนึกดวงจิตกลับมาหาตัวพร้อมกล่าวบอกอีกฝ่าย

“ข้าพาเจ้ากลับมาเอง”

“อ้าว คุณกรินพาผมกลับมาทำไมล่ะครับ ผมต้องกลับไปจัดการคนพวกนั้น”ชวิศาโกรธขึ้งเมื่อนึกขึ้นได้

“ไม่จำเป็นแล้ว ข้าจะส่งเจ้ากลับ”คำพูดมาพร้อมวงเวทที่ปรากฏขึ้นบนพื้นรอบจุดที่ชวิศายืนอยู่ มันส่องแสงเรืองสว่างและค่อย ๆ ลอยสูงจากพื้น

“อะไรกัน ทำไมคุณกรินทำอย่างนี้ล่ะครับ”ชายหนุ่มร่างเล็กร้องถามอย่างไม่เข้าใจ หันรีหันขวางมองแสงสว่างรอบตัวที่เริ่มจัดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ

“เจ้าน่าจะเห็นตัวเองเมื่อครู่ที่ปล่อยให้ความโกรธเคืองไม่พอใจครอบงำจนคล้ายคนวิกลจริต”

“ผมไม่ได้บ้านะ”ใบหน้าของชวิศาบูดบึ้ง “มันน่าโมโหจริง ๆ นี่”

“เจ้ากลับไปเถิด ถ้าความอยากรู้ของเจ้ามันมากมายนัก ตัวข้าในห้วงเวลาของเจ้าคงบอกเล่าได้”หากเขาสามารถดำรงอยู่ได้ถึงตอนนั้น ประโยคสุดท้ายเป็นคำพูดที่กรินไม่ได้กล่าวออกไป

จบคำพูดของกรินแสงสีขาวสว่างจ้าก็ล้อมรอบร่างของชวิศาไว้จนมองไม่เห็นสิ่งใด แสงจ้านั้นพุ่งสูงขึ้นไปยังท้องฟ้าชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไป

ดันกะที่เร่งเดินทางมายังคฤหาสน์ของกรินเห็นแสงเลือนรางนั้น จึงใช้มนตราช่วยเสริมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก ทันทีที่มาถึงหน้าประตูและดึงกริ่งเรียกผู้เป็นเจ้าของ ประตูตรงหน้าได้เปิดออกอย่างรวดเร็ว

“ท่านซีล่ะ”

“อ้อ... เจ้านั่นกลับบ้านไปแล้ว”





การเดินทางข้ามเวลาครั้งนี้ไม่มีภาพน่าเวียนหัวให้ชวิศาได้เห็น ทั้งยังไม่รู้สึกว่าร่างกายเคลื่อนที่และเพียงแค่อึดใจเดียวแสงสว่างรอบตัวก็หายไปทั้งที่เขายังยืนนิ่งอยู่บนพื้น จนเขาคิดว่าอาจจะไม่ได้เดินทางกลับอย่างที่กรินบอก อย่างไรก็ตาม ภาพตรงหน้าที่เขาเห็นกลับไม่ใช่ผนังห้องในคฤหาสน์ของกริน แต่กลายเป็นพื้นที่เละเทะ มีต้นไม้ใหญ่ล้มระเนระนาด มีซากปรักหักพังของบ้านเรือน แผ่นดินแยกเป็นทางยาวและบางจุดพื้นดินได้ทรุดหายไป

“ที่ไหนอีกล่ะเนี่ย”พลางคิดในใจ หรือคุณกรินจะส่งมาผิดที่ “เฮ้ย แล้วจะกลับได้ไหมอะ”

ชวิศาไม่ทันได้ร้องโวยวาย พื้นดินที่ยืนอยู่พลันทรุดเลื่อนลงต่ำจนเขาต้องกระโดดหนีเหย็ง ๆ กระทั่งได้มายืนในจุดที่คิดว่าน่าจะปลอดภัยแล้ว ชวิศาจึงได้ร้องตะโกนเสียงดัง

“คุณกริน มาพาผมกลับไปเดี๋ยวนี้น้าาาาาา!!!”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//อืม... อย่างที่อาทิตย์ก่อนพูดไว้ว่าจบไม่ลง  ตอนนี้จึงคิดนานมากเพราะเราให้เมดินเป็นตัวร้ายที่มีความคิดระดับเทพเหมือนกัน แล้วบังเอิญเรากำหนดให้ความฉลาดของชวิศาเป็นศูนย์ ส่วนกรินก็อายุน้อยกว่าเมดินหลายสิบปี ประสบการณ์มันต่างกันเยอะ เราจึงเล่นง่าย ๆ อย่างนี้แหละ ไม่งั้นยืดอีกนาน เดี๋ยวปล่อยให้ชวิศาเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้สุดฟ้าช่วยคิดวิเคราะห์ ส่วนอะไรที่เป็นปริศนาก็ปล่อยให้เป็นปริศนาต่อไป//*

ออฟไลน์ A_bookworm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สี่สิบ




หลังจากตะโกนส่งเสียงเรียกอยู่สามสี่รอบและไม่มีเสียงตอบรับหรือใด ๆ ตอบกลับมา ชวิศาจึงยืนปลงอยู่ครู่หนึ่ง ที่จริงเขาอยากกลับไปบีบคอกรินแต่เพราะไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหนจึงไม่รู้ว่าจะกลับไปหากรินอย่างไร ก่อนจะเฉลียวใจฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่ากรินเคยบอกเวทตามหาไว้ เขาดึงทั้งระเบียนมนตราและกระดาษคาถาสำหรับเวทตามหาออกมาจากอัญมณีช่องวางมิติ

ชวิศามีกระดาษเขียนวงเวทมนตราสำหรับตามหาคนอยู่เพียงใบเดียวทั้งยังต้องใช้คู่กับสิ่งของของผู้ที่เขาต้องการตามหา ชายหนุ่มจึงต้องเรียกใช้คาถาตามระเบียนมนตราอย่างช่วยไม่ได้ เวทตามหาคนที่กรินสอนให้เป็นมนตราที่ใช้คุณสมบัติประยุกต์ของธาตุไฟ น้ำและอากาศธาตุซึ่งทำให้หาคนที่ต้องการพบได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ที่ใดหรือห้วงเวลาใดก็ตาม

หลังจากพยายามจดจำคาถาอยู่ครู่หนึ่ง ชวิศาก็เก็บกระดาษระเบียนมนตราเข้าที่ จากนั้นประกบมือทั้งสองเข้าหากัน ตั้งจิตให้อยู่ในสมาธิรับรู้ถึงพลังเวทในกายพลางกำหนดเรียกใช้พลังอำนาจธาตุตามที่มนตราต้องการ และกำหนดจิตนึกถึงคนที่ต้องการตามหา เขาแบออกพร้อมลืมตาขึ้น ผีเสื้อสีน้ำเงินได้ปรากฏขึ้นในทันใด

“ไปเลยเจ้าผีเสื้อน้อย”เขาเอ่ยบอก นี่เป็นครั้งแรกที่ชวิศาใช้มนตรานี้ แต่เพราะตอนที่กรินแนะนำมนตราตามหาให้ใช้ ชายหนุ่มได้อธิบายว่ามันคล้ายกับมนตราส่งสารซึ่งใช้นกเวทส่งข้อความที่เขาเคยทดลองเรียกใช้อย่างสนุกสนาน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงใช้พลังเวทสร้างสัตว์นำทางเป็นผีเสื้อและสามารถทำให้มนตราสัมฤทธิ์ได้ง่าย ๆ

ทุกครั้งที่ผีเสื้อนำทางขยับปีกบินมันจะปล่อยละอองแสงสีแดงร่วงหล่นออกมาทุกครั้ง เขาจึงเผลอมองและลืมเหตุผลที่ตนสร้างมันขึ้นมาอยู่หลายครา

ผีเสื้อตัวนั้นบินช้า ๆ นำเขาเข้าไปในกองซากปรักหักพัง ผ่านจุดที่พื้นดินทรุดตัวเป็นหลุมลึก บางจุดเป็นช่องผาอันเกิดจากแผ่นดินแยก ชวิศาชะโงกหน้ามองช่องผานั้น เห็นมันลึกลงไปจนมองไม่เห็นก้นพลันนึกสงสัยว่าที่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้ามองจากสภาพที่เห็นราวกับเพิ่งผ่านพ้นภัยพิบัติใหญ่อย่างไรอย่างนั้น ทว่าที่น่าแปลกคือเขากลับไม่พบผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลย และเมื่อกวาดสายตาไปรอบตัวก็ไม่พบแม้แต่ผู้คนด้วยซ้ำ

ชวิศายังเดินตามผีเสื้อนำทางไปกระทั่งมันหยุดเคลื่อนที่และบินวนเวียนอยู่ที่จุดเดียว เพียงแต่จุดนั้นถูกสุมกองไว้ซากไม้ อิฐปูนและกระเบื้องของอาคารบ้านเรือน

“ที่หยุดเนี่ย จะบอกว่าคุณกรินอยู่ตรงนี้อย่างนั้นเหรอ”ชวิศาคุยกับผีเสื้อน้อยตัวนั้น พลางหันมองกองไม้ซึ่งระเนระนาดกองสุมกันอยู่อีกครั้ง เขายกมือขึ้นเกาศีรษะ เริ่มไม่ค่อยเชื่อถือพลังเวทของตัวเองเสียแล้ว หรือไม่ที่มีปัญหาก็มนตราที่กรินแนะนำให้ใช้

“คุณกริน คุณกรินครับ อยู่แถวนี้หรือเปล่า”เขาร้องตะโกนเรียกอีกครั้ง รู้สึกงุนงงกับเรื่องที่เจอ สับสนกับสถานที่ซ้ำร้ายพลังเวทที่เคยรู้สึกว่ามันช่างสารพัดประโยชน์กลับไม่ได้เรื่องได้ราว

“คุณกรินครับ รีบออกมาเดี๋ยวนี้นะ ถ้าคุณแกล้งจนกระทั่งผมหิวล่ะก็ ผมจะโกรธจริง ๆ แล้วนะ”ชวิศาส่งเสียงออกไปเพราะเริ่มคุ้นชินกับการโดนกรินทิ้งให้อยู่คนเดียวจึงไม่ค่อยตื่นเต้นกับสถานการณ์แบบนี้ ชวิศาห่วงเฉพาะตอนท้องหิวอย่างเดียว เขาทำกับข้าวเป็นแต่หาวัตถุดิบเองไม่ได้หรอกนะ

ผีเสื้อตัวสีน้ำเงินยังคงบินวนเวียนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ขณะที่ชวิศาร้องตะโกนไปสักพักก็เหนื่อย หิวน้ำและเจ็บคอ เขาจึงหยุด

“ทำไมไม่ไปทางอื่นบ้างล่ะเนี่ย”ชวิศาพูดกับผีเสื้อเวทเช่นเดิม “บินเหนื่อยหรือยัง พักบ้างก็ได้”กำลังเอื้อมมือออกไปแตะทว่าเสียงเรียกชื่อของเขาได้ดังขึ้นมาเสียก่อน

“คุณชวิศา”

เจ้าของชื่อหันไปมองตามทิศทางของเสียง เห็นชายหนุ่มสองคนกำลังบินตรงมาหา “คุณสเตบาสเตียน คุณมาริ”เขาร้องเรียกอย่างดีใจ และที่ตามหลังมาเป็นรถยนต์รูปร่างคุ้นตาของสุดฟ้า มาถึงตอนนี้เขาเชื่อจริง ๆ แล้วว่ากรินส่งเขากลับมายังประเทศฮัชดาลลาร์

ชวิศากระโดดโลดเต้นวิ่งเข้าหามาริเอะด้วยความดีใจทันทีที่ฝ่าเท้าของสองหุ่นยนต์ถึงพื้น

“ดีใจจังเลย”เขาร้องไห้อย่างไม่นึกอาย เขาลำบากตั้งมากมายเมื่อรับรู้ว่าได้กลับบ้านจริง ๆ น้ำตาจึงไหลออกมาไม่หยุด

“ซี”

เมื่อสายตาเหลือบเห็นญาติผู้พี่ก็ผละจากมาริเอะโผเข้าไปหาชายหนุ่มทันที เป็นครู่ใหญ่กว่าอาการดีใจจนน้ำตาไหลของชวิศาจะสงบ ตอนนั้นถึงนึกขึ้นได้

“คุณสุดฟ้าล่ะครับ”เขาถามพลางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำหูน้ำตา เสื้อผ้าไหมสีเทาที่เขาสวมมาตั้งแต่เช้าจึงเลอะเป็นดวง

“พวกเราต้องถามนายมากกว่า สุดฟ้าบอกว่าจะไปช่วยนาย แล้วไหงมายืนอยู่คนเดียวสุดฟ้าหายไปไหน”

“ชุดก็แปลก ๆ”สองพี่น้องฝาแฝดเอ่ยบอก

“หือ”ชวิศากะพริบตาปริบ ๆ “คุณสุดฟ้าไปช่วยเรา ไปช่วยที่ไหนอะ”

“ก็นายโดนจับตัวไปแล้วคุณวิญญาณก็บอกว่านายถูกจับอยู่ในมิติเวท สุดฟ้าก็เลยไปช่วยไง”คำบอกเล่าของธัชนันท์รวบรัดตัดความเสียจนชวิศาฟังด้วยความงุนงงเช่นเดิม ถึงกระนั้นเขากลับไปปะติดปะต่อว่า สุดฟ้าหลุดย้อนเวลาไปด้วย

“ต้องใช่แน่ ๆ เจ้าชายทานันศิระต้องคือคุณสุดฟ้าแน่ ๆ”ชวิศาพึมพำ ก่อนป้องปากร้องตะโกนขึ้นมาอีกว่า “คุณกรินส่งคุณสุดฟ้ากลับมาด้วย คุณกรินได้ยินหรือเปล่า”

“เดี๋ยวซี ใจเย็นก่อน”โยธินเอ่ย

“วิญญาณที่ชื่อกรินนั่นมันพาสุดฟ้าไปไหนเหรอ”ธัชนนท์เอ่ยถามตามไปติด ๆ

“ก็คุณกรินเขาส่งผมกลับมาคนเดียว คุณสุดฟ้ายังอยู่ที่นั่นอยู่เลยแถมโดนจับด้วย”

“ที่นั่นมันที่ไหนหรือครับ”สเตบาสเตียนและมาริเอะพูดถามขึ้นพร้อมกัน

“ก็ฮัชดาลลาร์นั่นแหละ แต่ปีไหนก็ไม่รู้ ย้อนไปไกล... ไกลมาก เนี่ยทีแรกนึกว่าจะกลับมาไม่ได้แล้ว”

คนที่ได้ฟังคำตอบมีแต่ความฉงน ฝาแฝดมองหน้ากันเองก่อนแฝดผู้พี่จะเอ่ยปากพูดถาม “เดี๋ยวนะ นายช่วยอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ หน่อยได้ไหม”

ชวิศาจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องที่ตัวเองย้อนเวลาไปอยู่ในยุคที่ฮัชดาลลาร์ยังเจริญรุ่งเรืองให้ทุกคนฟัง กระทั่งถึงตอนที่ตนเองถูกส่งกลับมาด้วยพลังเวทของกริน และใช้มนตราตามหาเพราะนึกว่าตนยังคงอยู่ในยุคนั้น

“ผีเสื้อตัวนั้นใช่ไหมที่น้องว่า”

“ใช่ครับ”

“สเตบาสเตียน มาริ เดย์ จัดการขุดกองไม้นั้นขึ้นมา”ธัชนนท์พูดสั่งการหุ่นยนต์ทั้งสาม

ใช้เวลาไม่นานนักซากปรักหักพังที่วางกองสุมกันอยู่ก็ค่อย ๆ ทยอยหายไป ทว่าเจ้าผีเสื้อกลับบินตามกล่องไม้ใบหนึ่งที่ถูกขว้างโยนทิ้ง

“มันไปนั่นแล้ว”เจ้าของผีเสื้อนำทางร้องบอก ธัชนันท์จึงวิ่งไปเก็บกล่องใบนั้นกลับมาและหันกลับมาหาทุกคนที่วิ่งตามมาสมทบ เมื่อเปิดฝากล่องออกปรากฏให้เห็นแผ่นไม้อันหนึ่งพร้อมผีเสื้อสีน้ำเงินได้บินหายเข้าไปในนั้น

“ลักษณะรูปลักษณ์คล้ายสิ่งที่เรียกว่าหมุดเวทครับ”สเตบาสเตียนเอ่ยบอก

“อย่างนั้น สุดฟ้าก็อาจจะอยู่ข้างในนี้”

“กลับไปหาเจ้าชายฟาลิฮ์หรือคุณยายของซีกันเถอะ ให้พวกท่านช่วยพาสุดฟ้าออกมา”ธัชนนท์พูด

“ผมว่าพวกเขาคงไม่ว่างจะมาช่วยหรอก แค่ช่วยชาวเมืองก็คงจะแย่แล้ว”

ได้ยินฝาแฝดคุยกันแบบนั้นแล้ว ชวิศาจึงเอ่ยถามว่า “เออ... ว่าจะถามเหมือนกัน ที่นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ แล้วที่นี่ยังใช่ประเทศฮัชดาลลาร์อยู่หรือเปล่า”

“ใช่ แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ ก็เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงจนแผ่นดินแยก มีแผ่นดินทรุด พวกที่ตีกันอยู่เลยหยุดชะงักกะทันหัน ที่เขตนี้ยังดีคนอยู่น้อยเลยอพยพหลบหนีได้หมด พวกเขตเมืองใหญ่ คนอยู่เยอะเลยหนีไม่ทัน บาดเจ็บล้มตายกันระนาว ทางลงรถไฟใต้ดินถล่มมีคนติดอยู่เพียบ”ธัชนันท์ตอบคำถามพร้อมเล่าสถานการณ์คร่าว ๆ ภายในเมืองให้ฟัง

“อาจจะเกี่ยวกับที่ศิลาสารพัดนึกแตก แล้วก็มีวิญญาณคนที่ชื่อกรินหลุดออกมา”โยธินเอ่ย เขาเป็นคนเดียวในกลุ่มที่คุ้นเคยกับการใช้พลังเวทมากที่สุด อย่างน้อย ตอนที่ซียังเด็กเขาก็เคยเห็นอยู่เป็นประจำ และฟังจากที่น้องชายเล่า เขาจึงพอเชื่อมโยงได้ว่า ผนึกดวงจิตและศิลาสารพัดนึกน่าจะเป็นของชิ้นเดียวกัน

“แต่คุณกรินสามารถออกจากผนึกได้ ตอนที่ผมอยู่ที่นั่น เขาก็ใช้มนตราสร้างร่างได้อยู่แล้ว”คนเป็นน้องร้องค้าน “เอ๊ะ... เมื่อกี้พี่โยบอกว่าศิลาสารพัดนึกเหรอ คุณกรินบอกทุกคนว่ามันคือศิลามหาเวท”

“แต่คนที่นี่เรียกว่าศิลาสารพัดนึก ถูกสร้างด้วยพลังของมหาเวท”แฝดคนน้องบอก คนที่ใช้พลังสร้างศิลาจึงทำหน้าแปลก ๆ

“แต่พี่คิดว่ามันก็คือของชิ้นเดียวกันนั่นแหละ”

“พี่โยบอกว่ามันแตก ใครทำหรือครับ”

ชายหนุ่มทั้งสามจึงมองหน้ากันก่อนชี้มือไปยังเจ้าของคำถาม

“ผมงั้นเหรอ ได้ยังไงกันไม่เห็นจำได้เลย แล้วผมเคยคุยกับคุณกรินว่าจะช่วยคลายผนึกให้ด้วย”ชวิศาโวยวายด้วยอาการแตกตื่น เขาคว้าแผ่นไม้มาถือไว้พลางส่งเสียงเรียกชื่อ “คุณกริน คุณกรินได้ยินผมหรือเปล่า ออกมาหน่อย”ทว่าทุกอย่างเงียบกริบ จึงลองเอาแผ่นไม้แนบหูเผื่อจะได้ยินเสียงอะไรดังออกมาบ้าง

ทั้งโยธิน ธัชนนท์และธัชนันท์ต่างทำหน้าเหวอ ก่อนแฝดคนน้องจะเอ่ยปาก “ทำแบบนั้นแล้วได้ยินเสียงข้างในด้วยเหรอ”

“ไม่ได้ยินอะ”คนตอบสีหน้าเหยเกเศร้าใจที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรดังออกมาเลย ธัชนันท์จึงพึมพำเสียงเบา “ก็ว่าอยู่”

“เห็นพูดกันว่ามันคือมาร์กกิ้งของมิติเวท ต้องใช้พลังเวทแทรกเข้าไป น้องพอจะทำได้หรือเปล่าล่ะ”โยธินถาม ชวิศาเงยหน้ามองพี่ชาย อยากจะตอบว่าไม่ได้แต่เฉลียวคิดได้ว่า คนอื่นบอกว่าสุดฟ้าอยู่ในนี้ และมนตราตามหาคุณกรินก็หายเข้าไปในนี้ มีแต่ต้องลองดู เขาจึงพยักหน้าถึงจะไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำอะไรได้หรือไม่ก็ตาม

อย่างไรก็ดี ชวิศายังยืนนิ่งจ้องมองแผ่นไม้ชิ้นนั้นอยู่อีกครู่ใหญ่ คนอื่นอาจจะมองอย่างแปลกใจ แต่ความจริงชวิศากำลังนึก เขาเคยให้กรินใช้พลังหายตัวเปลี่ยนสถานที่ตั้งหลายครั้ง ซึ่งนั้นเป็นพลังอำนาจของธาตุพิเศษแต่เขาไม่รู้ว่าในกรณีนี้ควรเอามาใช้อย่างไร ที่แน่ ๆ เขาเคยโดนกรินบ่นที่ส่งพลังเวทเข้าไปในร่างตรง ๆ ตอนที่เผลอหยุดเวลาทั้งเมือง เพราะฉะนั้นคงส่งพลังเวททั้งหมดเข้าไปในแผ่นไม้บาง ๆ ไม่ได้เช่นเดียวกัน

แต่แล้วภาพอันเกิดจากพลังการทำนายของกิรานาก็แว็บเข้ามา ภาพของสุดฟ้าที่นอนหลับอยู่ในสถานที่มืดมิด

เขาหลับตาสองมือถือแผ่นไม้ซึ่งเป็นหมุดเวทไว้ เมื่อไม่รู้คาถาที่ต้องใช้จึงดึงเรียกเฉพาะพลังอำนาจของอากาศธาตุพร้อมตั้งจิตมั่นว่าต้องการไปยังสถานที่มืดมิดที่สุดฟ้าอยู่ แต่แล้วเสียงร้องรอบตัวกลับทำให้เขาต้องลืมตาขึ้น

ชวิศาถูกพี่ชายกอดร่างเอาไว้ ขณะที่สองมือหายเข้าไปในแผ่นไม้

“ทำได้แล้ว”เขาร้องอย่างดีใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะสามารถใช้มนตราได้ง่ายดายขนาดนี้

“ซี”

“คุณกริน”เสียงที่ดังขึ้นมาในหัวนั้นเป็นเสียงที่เขาจำได้ดี

“คว้าจับโดยใช้อำนาจธาตุไม้”เสียงอีกฝ่ายดังขึ้นอีกครั้งเพื่อกำกับสั่งการในสิ่งที่เขาต้องทำ เมื่อทำตามที่กรินสั่ง เขาก็รู้สึกว่ามือได้สัมผัสกับของบางสิ่งจริง

“ค่อย ๆ ดึงมือกลับ”

ชวิศาทำตามแม้จะแปลกใจเพราะของนั้นเบามากจนเหมือนไร้น้ำหนัก แต่ว่าเมื่อสองมือพ้นจากแผ่นไม้ออกมาแล้วกลับรู้สึกว่าของที่จับอยู่นั้นหนักมาก “ช่วยดึงหน่อย”

โยธินจึงดึงจับมือของน้องชายเพื่อช่วยออกแรงตามที่ถูกร้องขอ สิ่งที่พ้นจากแผ่นไม้ตามออกมาคือร่างกายมนุษย์

“สุดฟ้า”ฝาแฝดร้องเรียกชื่อเพื่อนสมัยเด็กพร้อมกันก่อนจะช่วยเข้าไปประคองชายหนุ่มเจ้าของชื่อและพยุงให้เอนตัวลงนอนบนพื้น สุดฟ้ายังคงหลับตานิ่งทุกคนจึงกรูเข้ารุมล้อม ธัชนนท์อังมือที่ปลายจมูกเมื่อพบว่ายังมีลมหายใจเข้าออก เขาก็โล่งใจ

“ยังหายใจอยู่”

วินาทีต่อมาร่างโปร่งใสของกรินได้ลอยออกมาจากร่างของสุดฟ้า

“คุณกริน”ชวิศาร้องเรียกด้วยความดีใจ แต่กรินทำเพียงมองหน้าชวิศาก่อนกวาดสายตามองรอบกาย ชายหนุ่มร่างเล็กจึงเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ทำไมที่นี่ถึงเป็นแบบนี้ไปได้”

“อาณาเขตของเจ้าสลายไปแล้ว ทุกสรรพสิ่งย่อมเป็นไปตามวัฏจักรของมัน”

“ตกลงที่ฮัชดาลลาร์อุดมสมบูรณ์มาจนถึงทุกวันนี้ได้ทั้งที่รอบข้างกลายเป็นทะเลทรายไปหมดแล้วเป็นเพราะพลังของผมอย่างนั้นเหรอ”เจ้าของคำถามพูดด้วยความตื่นเต้น แต่อีกฝ่ายกลับดับความตื่นเต้นของเขาไปทันควัน

“ใช่เสียที่ไหน พลังของเจ้าจะดำรงอยู่มาถึงสองพันปีได้อย่างไร”

“อ้าว!!!”เสียงร้องอุทานดังออกมาจากปากของทุกคนที่นั่งฟังอยู่

“หลังจากที่ข้าส่งเจ้ากลับไปประมาณห้าสิบปีเขตแดนก็เริ่มเสื่อม หลังจากนั้นข้าจึงเฉลี่ยดึงเอาพลังเวทและจักระของคนในเมืองมาใช้ในการดำรงอาณาเขตมนตรา”

“แล้วทำไมคุณไม่ปล่อยให้อาณาเขตสลายไป”ฝาแฝดคนพี่เอ่ยถามขึ้นบ้าง

“เจ้าไม่รู้หรอก ว่าการมีพลังอยู่เหนือผู้อื่นมันสนุกแค่ไหน”กรินยกยิ้มราวกับตัวร้ายในละครจนชวิศาต้องชี้นิ้วเตือน “คุณกริน คุณเหมือนตัวโกงอีกแล้ว” กรินหัวเราะอย่างไม่รู้สึกรู้สากับคำว่ากล่าวนั้น

“ถ้าคุณสนุกแล้วทำไมถึงปล่อยให้ศิลาถูกขโมยไปล่ะ”

“สุดฟ้า/คุณสุดฟ้า”ทั้งฝาแฝดบ้านสุวราลักษณ์และชวิศาต่างร้องประสานเสียงเรียกชื่อออกมาพร้อมเพรียงกัน เจ้าของชื่อถึงกับต้องยกมือขึ้นอุดหู เมื่อกวาดสายตามองพื้นที่โดยรอบเขาก็เดาสถานการณ์ได้ทันที จริง ๆ เขาพอจะคาดเดาได้ตั้งแต่ตอนที่ศิลาเป็นรอยร้าวและมีร่างวิญญาณของกรินออกมาจากศิลาแล้ว เพียงแต่เจ้าของบ้านอย่างเจ้าชายฟาลิฮ์ยังสนใจแต่การสู้รบตรงหน้า คนนอกอย่างเขาย่อมไม่มีเหตุต้องสนใจกับภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นเหมือนกัน

“ตื่นเต้นอะไร ฉันแค่หลับไปเท่านั้นเอง”จากนั้นจึงหันไปถามร่างโปร่งใสด้วยคำถามเดิมอีกครั้ง

“เจ้าอยากรู้เพราะนึกห่วงประเทศนี้ขึ้นมาอย่างนั้นรึ”กรินถามรวนกลับไป

“ที่ถามก็เพราะอยากรู้ อยากรู้ก็แค่อยากรู้ จะต้องมีเหตุผลอื่นหรือไง”

“อืม เห็นแก่ที่เจ้ามีส่วนทำให้ซีหลุดย้อนเวลากลับไป ข้าจะยอมบอกให้ฟังก็ได้”กรินยิ้มระรื่น

“เพราะข้าเบื่อแล้ว”

“คุณกรินทำหน้าเหมือนตัวร้ายอีกแล้ว”คนฟังทำเพียงหัวเราะไปกับคำว่ากล่าวนั้น “บางทีที่ข้าดำรงอยู่ อาจเพราะเพื่อรอเจอเจ้าก็เป็นได้กระมัง ซี”

“รอเจอผม?”

“ข้าอยากจะให้เจ้าช่วยคลายผนึกให้แต่เพราะเผลอออกไปเที่ยวเล่นซะก่อน ปะเหมาะโดนเจ้าทำลายผนึกอย่างไม่รู้ตัว เรื่องมันจึงกลายเป็นเช่นนี้”

“ช่วยตอบความจริงมาซะทีได้ไหม”สุดฟ้ากลอกตาอย่างเบื่อหน่าย

“ข้าก็พูดความจริง”

“ใช่ ผมก็คิดว่าจริง”ชวิศาสนับสนุน “วัน ๆ คุณกรินไม่ค่อยชอบอยู่ว่างหรอก ไม่นั่งอ่านตำราเป็นตั้ง ๆ ก็ทดลองทำโน่นทำนี่อยู่ตลอด”

“ใช่ ตำราความรู้ การศึกษาทดลองเกี่ยวกับพลังเวทในฮัชดาลลาร์ข้าก็เรียนรู้จนทะลุปรุโปร่ง พอมีคนมุ่งหวังต้องการขโมยผนึกออกไปนอกฮัชดาลลาร์ ข้าจึงไปกับเขา ไม่นึกว่าซีจะโดนพวกพลังอ่อนด้อยควบคุมเอาง่าย ๆ ลำพังแค่ผนึกโดนพลังของผู้อื่นไม่มีทางทำให้ร้าวอยู่แล้ว”

“อืม...ตอนนั้นศิลาโดนมนตราทำให้ต้องดูดจักระของคนที่สัมผัสด้วยนี่นา”ธัชนันท์พูดขึ้นมาบ้าง

“หึ”กรินและสุดฟ้าส่งเสียงขึ้นจมูกพร้อมกัน

“มนตราแบบนั้นมันมีจริงซะที่ไหน”สุดฟ้าพูด

“ตัวข้าคือศิลาที่ผู้คนยกย่องว่าบันดาลได้ทุกสิ่ง หากไม่ทำให้คำขอนั้นเป็นจริง ก็ไม่ใช่ศิลาสารพัดนึกนะสิ”

“แล้วอย่างนี้ ศิลามันแตกได้ยังไง”ธัชนนท์ถาม

“เจ้าคนอ่อนด้อยผู้นั้นที่ควบคุมซีอยู่ บังคับให้ซีอัดพลังเวทใส่เข้าไปในศิลาอย่างเต็มที่ เมื่อโดนพลังที่เท่าเทียมกันซัดเข้าใส่ซ้ำ ๆ แม้ข้าจะพยายามดูดซับถ่ายเทพลัง สุดท้ายผนึกก็ทนรับพลังเวทขนาดนั้นไม่ได้”

อย่างไรก็ดี การสนทนาของพวกเขาถูกขัดจังหวะด้วยแรงสั่นสะเทือนของพื้นดิน พวกเขาศีรษะโยกตัวสั่นคลอนไปตามแรง จะมีก็แต่กรินเท่านั้นที่ลอยนิ่งอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน จนเมื่อแผ่นดินไหวหยุดลงแล้วชวิศาจึงได้ถามกรินว่า

“ไม่มีทางช่วยเลยหรือครับ”

“เจ้าจะช่วยอะไร”

“ก็ระงับเหตุการณ์แผ่นดินไหวอะไรนี่อย่างไรล่ะครับ”

“นี่คือสิ่งที่พวกเขาเลือก เจ้าจะช่วยเหลือไปทำไม”

“แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เลือกให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น”ธัชนันท์เอ่ยค้านความคิดของกริน

“แล้วอย่างไร เจ้าคิดว่าจะมีคนยอมผูกพันอยู่ในผนึกไปตลอดกาลหรือ”กรินถาม “หรือถ้ามี เจ้าคิดว่าคนผู้อื่นจะยอมอยู่ใต้อำนาจของศิลาอีกหรือ”

“ผมขอให้คุณหาทางช่วยก่อน ส่วนเรื่องนั้นก็ให้คนในประเทศนี้ตัดสินใจกันเอง”ชวิศาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยว ถึงพลเมืองในประเทศนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเขาและเขาไม่รู้จักใครเป็นพิเศษนอกจากเจ้าชายฟาลิฮ์ แต่ชวิศาก็ไม่สามารถปล่อยให้ผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายไปได้

“ได้ ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น”กรินบอกให้ชวิศาเขียนวงเวท แต่ชวิศายังคงเป็นชวิศาที่ยังจำอักขระธาตุและสัญลักษณ์พลังเวทได้บ้างไม่ได้บ้าง

“คุณกรินมาเขียนเองไม่ได้เหรอ”ชายหนุ่มร่างเล็กโอดครวญ “หรือไม่ก็บอกคาถามาให้ผมใช้เลย”

“ข้าเหลือเพียงดวงจิตที่ไร้พลังจะหยิบจับสิ่งใดแล้ว จะบอกคาถาให้เจ้าแล้วกัน”

ชวิศาพยักหน้า

“จารันซา”

“ฮะ?”

“หยุดการเคลื่อนไหวของพื้นดินด้วยพลังประยุกต์วัฏสูญสิ้นของธาตุน้ำ”

“อ้อครับ”ชวิศาพยักหน้ารับ หยุดคิดไปอีกนิดแล้วเงยหน้าถามต่อว่า “คือ ทำยังไงถึงจะดึงพลังประยุกต์ออกมาใช้ได้ล่ะครับ”

“อ้าว”สุดฟ้ากับพี่น้องสุวราลักษณ์ต่างอ้าปากค้าง จะมีก็แต่โยธินที่กล่าวปกป้องญาติผู้น้องที่รักเสมือนน้องแท้ ๆ “คุณอธิบายยากเกินไปแบบนั้นไม่มีใครเข้าใจหรอก”

“เช่นนั้นข้าจะอธิบายให้พวกเจ้าฟังด้วย ธาตุทั้งห้าและธาตุพิเศษล้วนมีคุณสมบัติหลักของตัวเอง”กรินเริ่มพูดบรรยายคุณสมบัติอำนาจธาตุโดยไม่สนใจการไหวของพื้นดินที่เริ่มสั่นสะเทือนขึ้นอีกรอบ “ธาตุไม้คือมุ่งสู่ด้านบน ธาตุไฟคือแผ่ขยายและร้อนแรง ธาตุดินคือมุ่งสู่ศูนย์กลาง โลหะคือแข็งแกร่งและซ่อนตัว ธาตุน้ำคือไม่คงรูปและเคลื่อนไหว คุณสมบัติเหล่านี้แบ่งเป็นวัฏส่งเสริม ที่หมายถึงการก่อเกิด การกำเนิดขึ้น และวัฏสูญสิ้นที่หมายถึงการทำให้หายไปหรือสูญสลาย ส่วนคุณสมบัติหลักของธาตุพิเศษคือ กระแสเวลา ความว่างเปล่าไม่มีอยู่จริง

นอกจากคุณสมบัติหลัก อำนาจธาตุแต่ละธาตุยังสร้างสรรค์ได้ตามชื่อ เช่นเรียกใช้อำนาจพลังธาตุน้ำย่อมสามารถสร้างน้ำได้ ควบคุมน้ำได้ และคุณสมบัติประยุกต์คือการใช้อำนาจพลังธาตุในทางอื่นที่ไม่ตรงกับคุณสมบัติหลักเสียทีเดียว หลักการคิดให้นึกเปรียบเทียบกับทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติว่าสิ่งเหล่านั้นทำอะไรได้บ้าง อาทิ ต้นไม้นั้นเป็นยารักษาโรค มีพลังชีวิตของตัวเอง เวลารักษาอาการเจ็บป่วยจึงต้องใช้อำนาจพลังธาตุไม้เป็นหลัก เป็นต้น

ธาตุทั้งห้านั้นล้วนส่งเสริมและเป็นปฏิปักษ์กันเอง ธาตุดินเป็นปรปักษ์กับธาตุน้ำ แต่คุณสมบัติหลักของธาตุน้ำคือเคลื่อนไหว ถ้าเรียกใช้ด้วยวัฏสูญสิ้นคือทำให้ไม่เคลื่อนไหว กระนั้นต่อให้ตัวมันไม่เคลื่อนไหวก็ไม่อาจต้านทานแผ่นดินที่ทรุดสลายลงทุกขณะได้ พลังประยุกต์ที่ว่าคือการทำให้น้ำนั้นแข็งตัว”


“อ้อ”แต่ละคนที่ได้ฟังต่างส่งเสียงครางรับรู้

“แล้วจะทำให้น้ำมันแข็งตัวอย่างไรล่ะครับ”ชวิศายังถามต่อ

กรินกลอกตาด้วยความระอา

“เอาไปแช่ตู้เย็นไงซี”ฝาแฝดคนน้องพูดบอก แฝดผู้พี่จึงโบกศีรษะดังผลัวะ “มันใช่เวลามาพูดเล่นไหม”

“ก็สั่งด้วยความคิดนั่นแหละ”สุดฟ้าบอกชวิศา

“แล้วทำไมถึงสร้างดินขึ้นมาเฉย ๆ ไม่ได้”ธัชนันท์ถามขึ้นมาอีก สุดฟ้าจึงแบมือไปตรงหน้าหุ่นยนต์พ่อบ้านร้องขอดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์พร้อมเอ่ยปากสั่งให้สเตบาสเตียนดึงภาพที่เขาเคยตรวจสอบไว้ออกมา

“นี่เป็นภาพแนวตัดขวางของฮัชดาลลาร์”

ภาพที่สุดฟ้าแสดงให้เห็นบนหน้าจอเป็นภาพระดับความต่างของพื้นที่นอกกำแพงภูเขากับพื้นที่ในเมือง พื้นดินในเมืองนั้นสูงกว่าพื้นทะเลทรายด้านนอกหลายเมตร

“ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ”คำถามแสดงความสงสัยถูกเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ก็น่าจะเป็นเพราะพลังเวท”สุดฟ้าพูดตอบก่อนหันไปถามกริน “ใช่ไหมครับ”

กรินพยักหน้า “ภูเขาหินที่ล้อมรอบเมืองอยู่ก็เป็นข้าที่สร้างขึ้นมา”

“แล้วจู่ ๆ มีภูเขาหินเกิดขึ้น ชาวเมืองไม่ตื่นเต้นกันเหรอ”ธัชนนท์ถาม

“ข้าควบคุมให้องค์ราชาในยุคสมัยนั้นประกาศเรื่องนี้แก่ชาวเมือง”

“เรื่องการทดลองเกี่ยวกับขอบเขตพลังของศิลาสารพัดนึกก็เป็นคุณด้วยที่บงการพวกเขา”สุดฟ้าพูดถามเมื่อได้ยินคำตอบของกริน

“ใช่”

“คุณถึงไม่แปลกใจที่มีชาวเมืองลุกฮือต่อต้าน ทั้งยังยอมออกจากเมืองไปง่าย ๆ”

กรินไม่ตอบคำถามนี้ที่สุดฟ้าเอ่ยถาม เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า “ข้าเคยตอบคำถามของเจ้าเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ไปแล้ว”

“เออ ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ กลับมาที่ทำไมถึงสร้างแผ่นดินขึ้นมาเฉย ๆ ไม่ได้ดีกว่า”แฝดผู้น้องกลัวว่าเพื่อนสนิทจะตีกับวิญญาณไปเสียก่อน เขาจึงพูดออกไป

สุดฟ้าจึงเปิดโปรแกรมเครื่องคิดเลข กดคำนวณพื้นที่ของเมืองให้ดู “ขนาดพื้นที่เท่านี้ยังไม่สำคัญเท่าไหร่เพราะชวิศาเคยสร้างอาณาเขตเวทมนตร์มาแล้ว แต่ที่ไม่รู้คือจะต้องสร้างพื้นดินลึกลงไปอีกเท่าไหร่การเคลื่อนตัวของหน้าดินจะหยุดลง อีกอย่างใต้พื้นดินมีสถานีรถไฟที่มีคนติดอยู่ด้วย ฉันเดาว่าการสร้างพื้นดินที่ว่าคงคล้ายกับการออกแบบในระบบคอมพิวเตอร์คือต้องยืดจากระนาบด้านบน”

“เท่ากับคนที่ติดอยู่ในรถไฟอาจจะโดนอัดจนเละไปด้วย”เจ้าของข้อสงสัยพยักหน้ารับรู้

“การใช้เวทมนตร์คือการตั้งสมาธิรวมกับการจินตนาการ ให้นายนึกถึงน้ำในดินจับตัวกันกลายเป็นน้ำแข็ง”สุดฟ้าหันไปแนะนำ ชวิศาผู้ซึ่งเป็นเจ้าของพลังเวทอันมหาศาลจึงสูดลมหายใจเข้าปอดพร้อมพยักหน้า เขาวางสองมือลงกับพื้นตั้งสมาธิทำตามที่สุดฟ้าบอก ทว่าแทนที่มนตรานั้นจะทำให้แผ่นดินหยุดทรุดตัวกลับปรากฏเป็นแผ่นน้ำแข็งปกคลุมผิวดินกระจายไปทั่ว

“เจ้าคงเป็นพี่ชายสินะ”กรินพูดกับโยธิน “เจ้าน่ารู้เช่นกันว่าน้องชายของเจ้ามีระดับมันสมองมากน้อยเพียงใด”



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//หลังจาก ‘อะไรวะ’กับ ‘เล่นง่าย ๆ อย่างนี้เลยเหรอ’ จากตอนที่แล้วก็อย่าเพิ่งเลิกอ่านเรื่องนี้นะ//*

ออฟไลน์ A_bookworm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
ไรเตอร์หายไปไหนอ่าาาา คิดถึงงงงแล้วววว

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สี่สิบเอ็ด



“ขอโทษครับ”ชวิศาหน้าหงอย แปลกใจตัวเองว่าทำไมถึงเรียกใช้มนตราอย่างที่ต้องการไม่ได้อีกแล้ว

“ไม่เป็นไรหรอก”สุดฟ้าพูด ฝาแฝดคนน้องจึงเสริมขึ้นมาว่า “ทำให้น้ำแข็งมันละลายได้ไหม รู้สึกว่ามันจะทำให้เย็นขึ้นหรือเปล่า”

เจ้าของเวทพยักหน้ารับวางมือลงกับพื้นดินที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งอีกครั้ง พร้อมคิดอยู่ในใจ เอ... ทำให้มันละลาย ให้กลายเป็นน้ำเหมือนเดิม ชวิศาหลับตาตั้งสมาธิ ทว่าแทนที่น้ำแข็งจะคลายความเย็นกลายเป็นน้ำอย่างเดิม กลับกลายเป็นว่าแผ่นดินใต้ฝ่าเท้าอ่อนตัวจนทรุดร่วงลงตามแรงโน้มถ่วงไปอีก

“เหวอ!!!”ฝาแฝดสองพี่น้องร้องเสียงหลงรีบตะกายหาที่เกาะยึด โยธินกำลังจะเข้าไปช่วยน้องชายแต่เห็นสุดฟ้าคว้าตัวชวิศาไว้แล้วจึงมองหาพื้นที่มั่นเพื่อตั้งหลัก แต่ไม่ว่าจะเหยียบเท้าไปที่จุดไหนพื้นดินก็พร้อมใจกันยวบลงเป็นหลุม เสียงครืนโครมดังขึ้นทุกครั้งที่แผ่นดินทรุดตัวไล่ตามหลัง

ระหว่างนั้นสเตบาสเตียนได้เปิดใช้งานไอพ่นใต้ฝ่าเท้า พามาริเอะและเดย์ที่อยู่ใกล้ตัวลอยขึ้นสูงก่อนบินเข้าไปช่วยเจ้านายผู้สร้างพร้อมกับสั่งให้มอเตอร์สเปซลอยขึ้นจากพื้น จากนั้นพาทั้งสองไปปล่อยไว้บนหลังคาของยานยนต์ก่อนจะกลับไปช่วยอีกสามคนที่เหลือ

หลังผ่านช่วงหนีตายอย่างทุลักทุเลและพวกเขาสามารถหยุดยืนบนพื้นดินอันมั่งคงได้แล้ว ทุกคนต่างมองไปยังหลุมกว้างที่มีแต่สีดำมืดมองไม่เห็นก้น โชคดีว่ามนตรานั้น ชวิศาใช้พลังแค่เพียงเล็กน้อยพื้นดินที่ทรุดหายไปจึงกินบริเวณไม่กว้างนัก

ชวิศามีท่าทีซึมเศร้าเสียใจอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่ใช่ความผิดของน้องหรอก อย่าคิดมากเลย”โยธินกล่าวปลอบ

“ข้าขอบอกอีกครั้งว่า เจ้าไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือพวกเขา ผู้คนในฮัชดาลลาร์ล้วนใช้พลังเวทได้ทั้งนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคราวนี้ พวกเขาก็จะหาทางแก้ไขกันเอง”

“แต่ผมรู้สึกว่า ที่ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ก็เพราะผม”ชวิศาโต้แย้ง

“เจ้ากำลังคิดว่าการทำตามที่ข้าสั่งคราวนั้นเป็นความผิดของตัวเองอย่างนั้นรึ”กรินพูด “โง่เง่าเหลือเกิน”

“เกินไปแล้วนะ ซีกำลังเสียใจอยู่ คุณยังพูดแบบนี้อีก”โยธินออกโรงปกป้องน้องชาย

“เจ้าก็เป็นพี่ชายที่ไม่ได้ความ ปกป้องดูแลซีเสียจนเจ้านั่นทำอะไรไม่เป็น”

“พอเถอะครับ”ธัชนนท์ส่งเสียงดังห้ามปราม “ทะเลาะกันไปก็เปล่าประโยชน์ ตอนนี้พวกเราช่วยซีกับสุดฟ้าได้แล้ว พวกผมจะเดินทางกลับกันแล้วครับ”

“ไม่ใจดำไปหน่อยหรือไง”โยธินพูด

“ผมให้พนักงานที่บริษัทจัดหาถุงยังชีพส่งมาให้แล้วครับ พวกเราทำได้แค่นี้แหละ”

เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นของแผ่นดินซึ่งกำลังถล่มดังสนั่นขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาหันไปมองยังภูเขาหินที่เห็นอยู่ไกล ๆ มันกำลังทลายลงมาอย่างช้า ๆ

“ตรงนั้นคือกำแพงหินที่ล้อมเมืองไว้หรือเปล่า”

“น่าจะใช่”สุดฟ้าตอบขณะพยุงเจ้าของคำถามให้ลุกขึ้น

ยานพาหนะมีแค่มอเตอร์สเปซ ถ้าตัดสเตบาสเตียนที่มีไอพ่นบินได้กับมาริเอะออก ยังเหลือพวกเขาอีกหกคนที่ต้องเบียดกันไปในห้องโดยสาร

“เหมือนคุณบาซิมจะเคยบอกว่า ในภูเขาหินก็มีคนอยู่”

“ใช่ครับ เขตภูเขาหินก็มีการทำเหมืองและเกษตรกรรม”มาริเอะช่วยกล่าวเสริมความเข้าใจของชวิศา

“พื้นที่ที่เคยอยู่ในอาณาเขตมนตราจะต้องหายไปหมดเลยเหรอ”ธัชนันท์ถามแม้ไม่เจาะจงแต่กรินก็เป็นคนตอบคำถามนั้น

“ใช่ เมื่อตัวข้าสลายหายไปเมื่อไหร่ พื้นดินที่เคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรฮัชดาลลาร์ก็จะหายไปด้วย”

ความจริงนั้นทำให้ทุกคนแตกตื่นสังเกตร่างของกรินที่โปร่งใสมากขึ้นเรื่อย ๆ  และเป็นฝาแฝดผู้น้องที่ถามอย่างร้อนรนอีกว่า “แล้วอีกนานแค่ไหนเนี่ย”

“ไม่รู้สิ”คนตอบคำถามยังทำหน้าระรื่น

“รีบกลับไปแจ้งเจ้าชายเถอะ”ธัชนนท์บอกกับทุกคน พวกเขารีบพากันเข้าไปในพาหนะและเพื่อไม่ให้ต้องเบียดเสียดกันเกินไป ธัชนันท์จึงนั่งที่เบาะด้านหลังโดยให้เดย์นั่งซ้อนตัก มีสุดฟ้าที่พยายามเกาะติดกับชวิศาตามเข้ามายังที่นั่งตอนหลังด้วย

พวกเขากลับไปเจ้าชายรัชทายาทของประเทศฮัชดาลลาร์โดยใช้เวลาไม่นาน และจริงดังที่กรินกล่าวไว้ ผู้คนในเมืองส่วนใหญ่ล้วนใช้พลังเวทได้ ภัยพิบัติร้ายแรงจึงดูไม่หนักหนานัก แต่เพราะในตอนแรกทุกคนต่างตื่นตระหนกกับการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายกับเกิดขึ้นอย่างกะทันหันไม่ทันตั้งตัว ทั้งฮัชดาลลาร์นั้นเป็นเมืองที่สงบสุขปราศจากภัยพิบัติร้ายมาเป็นพันปี

ตอนที่พวกเขาไปถึงผู้คนที่ติดค้างอยู่ในที่ต่าง ๆ ได้รับความช่วยเหลือเป็นส่วนใหญ่แล้ว คนที่รับบาดเจ็บได้รับการรักษา แม้จะมีคนล้มตายก็มีจำนวนน้อย พื้นที่โดยรอบที่เห็นมีการตั้งเต็นท์พยาบาลที่พักพิงกระจายไปทั่ว

“ซี!!!”พรลภัสร้องเรียกลูกชายพร้อมวิ่งตรงเข้ามาหา ชุดผ้าไหมของเธอยังดูสะอาดดุจเดิม จะมีเพียงแต่รอยเปื้อนเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ที่ตามมาด้านหลังคือสุมุนตราและเจ้าชายรัชทายาท

“แม่”สองแม่ลูกโอบกอดกัน ก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะผละตัวออกเพื่อตรวจดูบาดแผลความสมบูรณ์แข็งแรงของลูกชาย

“ปลอดภัยดีใช่ไหม”

“ครับ ผมปลอดภัยดี”

“จะเป็นอันตรายร้ายแรงได้อย่างไร พลังเวทของหลานแข็งแกร่งขนาดนั้น”สุมุนตราเอ่ยบอกลูกสาว คนที่ถูกเรียกว่าหลานจึงทำหน้าเหลอหลามองหญิงสาวสวยที่ยืนอยู่ข้างกายมารดา

“นี่คุณยาย ซีอาจจะจำไม่ได้ เจอกันครั้งล่าสุดน่าจะตอนที่หนูอายุสักเจ็ดขวบ”

ได้ยินคำแนะนำอย่างนั้น ชวิศายิ่งแปลกใจ คุณยายยังสาวยังสวยกว่ามารดาเสียอีก ก่อนจะเอะใจว่ามันอาจจะเป็นพลังของมนตรา

“คุณยายใช้มนตราทำให้ยังดูสาวหรือครับ”

“แหม ก็รูปลักษณ์นี้มันดีต่อใจ”พูดจบก็คลายมนต์ ใบหน้าที่เคยสวยใสเต่งตึงค่อยหย่อนคล้อยเห็นริ้วรอย แต่กระนั้นเมื่อการคลายพลังเวทสิ้นสุด ใบหน้าของเธอกลับดูไม่แก่ชรามากนักดูคล้ายหญิงที่มีอายุสักห้าสิบถึงหกสิบปีเท่านั้น

“นี่คือคลายมนตราหมดแล้วใช่ไหมครับ”ชวิศาถามย้ำ ชายหนุ่มคนอื่น ๆ อย่างสุดฟ้า โยธิน ธัชนนท์และธัชนันท์มองด้วยอึ้งทึ่ง

“ใช่สิ ถ้าฝึกจักระและการใช้พลังเวทดี ๆ ก็จะช่วยคงรูปลักษณ์ให้อ่อนเยาว์ได้”เธอกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่างมนตราประเภทเปลี่ยนรูปลักษณ์น่ะเปลืองพลังเวทจะตาย ถ้าจักระไม่แข็งแกร่งพอแค่คงมนตราไว้ก็หืดขึ้นคอแล้ว”

ชวิศาได้ยินคำอธิบายนั้นจึงหันไปหากริน “ที่องค์ราชาเสียทีในการต่อสู้กับเจ้าชายเพราะเหตุนี้หรือครับ”

กรินพยักหน้าพร้อมเอ่ยเตือนว่า “เจ้าไม่บอกเรื่องแผ่นดินนี้แก่ฟาลิฮ์แล้วหรือ”

“อ๊ะใช่ เจ้าชายครับ”คำเรียกขานชายสูงศักดิ์เขาเปลี่ยนมาใช้ภาษาอังกฤษ หลังจากที่พูดคุยกับมารดาและยายด้วยภาษาไทยมาตลอด

“ต้องรีบอพยพคนออกจากเมืองให้หมดเลยครับ อีกไม่นานแผ่นดินตรงนี้ก็จะไม่มีอีก”

“อ้อ...ขอบคุณครับ”ทรงกล่าวพลางเหลือบพระเนตรไปยังร่างที่เหลือแต่ดวงจิตของกริน ก่อนหันกลับมาคุยกับชวิศาอีกครั้ง“แต่เรื่องนั้นคุณชวิศาไม่ต้องเป็นห่วงครับ ตอนนี้นักเวทระดับสูงกระจายตัวไปประจำจุดต่าง ๆ รอบเมืองแล้ว พวกเราจะใช้มนตราบูรณะเมืองขึ้นมาใหม่”

“ทำได้ด้วยหรือครับ”สุดฟ้าถาม มันน่าตื่นตะลึงกับความคิดนั้นและฟังดูไม่น่าเป็นไปได้เช่นกัน

“ได้ไม่ได้ก็ต้องลองดูครับ”

“แล้วพวกกลุ่มจันทร์พยัคฆ์ล่ะครับ พวกเขาจะไม่มาขัดขวางหรือสร้างความวุ่นวายอีกหรือครับ”ธัชนนท์ถามด้วยความเป็นห่วง

“ตอนนี้ฮัชดาลลาร์ไม่มีศิลาสารพัดนึกแล้วนี่ครับ และแผ่นดินของประเทศนี้เองก็ไม่มีแร่มีค่าให้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์แล้ว พวกเขาก็คงไม่อยากเป็นผู้ครอบครองแล้วละครับ”

“ถ้าอย่างนั้นผมขออาสาช่วยเจ้าชายด้วยครับ”ชวิศาพูดอย่างกระตือรือร้น

“ใช้มนตราร่วมกับผู้อื่นไม่ใช่สักแต่ส่งพลังเข้าไป แต่ต้องประสานพลังของตนเข้ากับพลังของผู้อื่น เจ้าที่เรียกใช้มนตราสัมฤทธิผลบ้าง ล้มเหลวบ้างเดี๋ยวก็พานทำให้แย่ยิ่งกว่าเดินหรอก”

“งั้นคุณกรินก็หัดมาช่วยบ้างสิ ที่เรื่องทั้งหมดเป็นแบบนี้ก็เพราะคุณเลยนะ”ชวิศาร้องบอกอย่างโมโหฉุนเฉียว

“ไม่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองแล้วหรือไร”

“คุณกริน!!!”ชายหนุ่มร้องตวาด แต่กรินกลับทำเฉยลอยหน้าลอยตาไม่เดือดร้อน สุดฟ้าเห็นการต่อปากต่อคำของทั้งสองคนแล้วทะแม่ง ๆ จึงเข้ามาขวาง

“ปกติคุณให้ชวิศาใช้พลังเวทผ่านสิ่งที่เรียกว่าวงเวทหรือครับ”

“ใช่ครับ”ชวิศารีบตอบ

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยบอกวิธีการเขียนวงเวทให้ได้ไหม ที่นี่มีคนที่ใช้พลังเวทได้มากมายแค่คุณบอกให้เขียนวงเวทอย่างไร พวกเขาคงเขียนให้ได้”

การสื่อสารในช่วงที่ผ่านมาพวกเขาใช้ภาษาอังกฤษตลอด เจ้าชายฟาลิฮ์จึงรีบตรัสว่า “เรื่องวงเวทไม่ต้องห่วงครับ ในช่วงเวลาหลายร้อยปีมานี้มีการเรียนการศึกษาเกี่ยวกับวงเวทมาตลอด ถ้าอย่างไรเดี๋ยวผมจัดการให้ครับ”จากนั้นสาวพระบาทไปหาทำเลในการเขียนวงเวทให้ชวิศา

เขตที่พวกเขาอยู่ในขณะนี้เป็นเขตเมืองเก่าซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวังซูบราฮ์ซึ่งภายหลังถูกบูรณะปรับเปลี่ยนให้เป็นมหาวิทยาลัยอินดราจาร์ หรือก็คือเมืองหลวงเดิมของอาณาจักรฮัชดาลลาร์ และพระราชวังซูบราฮ์ก็คือคฤหาสน์ของกรินที่ชวิศาเป็นผู้เนรมิตขึ้น อาณาเขตมนตราของชวิศาจึงมีจุดศูนย์อยู่ที่คฤหาสน์แห่งนั้น ตอนที่กรินสร้างกำแพงรอบเมือง เขาก็ยึดจุดอ้างอิงจากคฤหาสน์เช่นเดียวกัน เนื่องจากการสร้างเขตแดนนั้นเป็นการใช้พลังกำหนดพื้นที่ที่อยู่ใต้อาณัติ การแผ่ขยายพลังกระจายไปรอบด้านเท่า ๆ กันย่อมทำได้ง่ายกว่าการกำหนดให้เป็นรูปทรงอื่น

“ที่จริงคุณก็เตรียมการสำหรับรับมือภัยพิบัตินี้ไว้แล้ว”สุดฟ้าพูดกับกริน

“เพราะข้าคิดว่าจะให้ซีคลายมนตราให้ ไม่ว่ามนตราจะเสื่อมคลายลงด้วยวิธีใด เมือง แผ่นดิน ความอุดมสมบูรณ์และทุกสิ่งที่เคยอยู่อาณาเขตก็ต้องเปลี่ยนแปลงสลายไป เพราะความสมบูรณ์พร้อมของอาณาจักรฮัชดาลลาร์ดำรงอยู่ได้ด้วยพลังเวท”

“แล้วไม่มีทางจะทำให้คุณกลับมาเป็นมนุษย์เหมือนเดิมเหรอ”ธัชนันท์ถาม

“ข้าก็เป็นเช่นคนตายที่ไม่อาจฟื้นคืนชีพได้”

“ผมขอโทษทั้งที่สัญญาว่าจะช่วยคลายเวทให้คุณแท้ ๆ”ชวิศาพูดด้วยใบหน้าสลด

“ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรข้าก็อยู่มานานเกินควรแล้ว นั่นฟาลิฮ์เรียกเจ้าแล้ว”ประโยคหลังเขาบอกเมื่อรัชทายาทหนุ่มเงยพระพักตร์จากพื้น ชวิศาและคนอื่น ๆ จึงก้าวตามไปหยุดที่พื้นที่ตรงนั้น

วงเวทของเจ้าชายฟาลิฮ์เป็นวงเส้นและอักขระสีฟ้าอันเกิดจากพลังเวท “ที่จริงแล้ว การที่ผมยังอยู่ที่นี่เพราะผมเป็นหนึ่งของผู้ที่ต้องใช้พลังจากจุดศูนย์กลาง รวมกับนักเวทสี่คนที่เหลือเพื่อเชื่อมโยงมนตราจากทุกทิศ”ทรงผายพระหัตถ์ไปทางนักเวทที่ทรงกล่าวถึง

“ให้เขียนตำแหน่งผู้ใช้เวทแต่ละทิศเพิ่ม”กรินเอ่ยบอก “ชวิศาเคยเป็นเจ้าของอาณาเขตมนตรามาก่อน เขาสามารถซ่อมแซมฟื้นฟูพื้นที่ได้ทั้งหมด”

“อ้าว ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณกรินไม่ให้เขียนวงเวทเพื่อใช้พลังของผมคนเดียวเลยล่ะครับ”

“หากเวลาผ่านไปและพลังของมนตราเสื่อมลง เจ้าจะมาช่วยซ่อมแซมให้อีกหรือ”

“แน่นอนสิครับ”ชวิศาตอบ สุดฟ้าจึงส่งเสียงพูดขัดออกไปว่า “ไม่ได้หรอก มันจะมีช่วงเวลาที่นายมาซ่อมแซมมนตราไม่ได้”

“ช่วงที่ผมมาไม่ได้?”ชายหนุ่มร่างเล็กหันกลับไปถาม

“ถ้าเจ้าไม่มีลมหายใจ พลังของมนตราจะหายไปทันที การสร้างมนตราโดยใช้พลังร่วมกับผู้อื่นจะทำให้มนตรานั้นยังคงอยู่แม้นักเวทคนใดคนหนึ่งจะเสียชีวิตไปก็ตาม”กรินอธิบาย

“อ้อ เข้าใจแล้วครับ”ชวิศาพยักหน้ารับรู้ เมื่อชายหนุ่มร่างเล็กไม่มีข้อสงสัยแล้ว กรินจึงพยักพเยิดให้เจ้าชายรัชทายาทเพิ่มเติมอักขระลงบนวงเวท

ชายหนุ่มซึ่งเคยใช้มนตราผ่านวงเวทมานับไม่ถ้วนจึงเดินไปหยุดยืนอยู่กลางวง กระนั้นองค์ชายหนุ่มก็ร้องบอกรั้งให้เขารอเวลาก่อน

เหตุการณ์พื้นดินสั่นสะเทือนเกิดขึ้นอีกครั้งเหมือนเร่งเตือนให้พวกเขาดำเนินการเสียที เมื่อมันหยุดลง พวกเขายังต้องรออีกครู่ใหญ่กว่าเจ้าชายผู้เป็นรัชทายาทสืบต่อการปกครองเมืองจะส่งสัญญาณให้ชวิศาถ่ายเทพลังลงเข้าสู่วงเวทได้

ชวิศาปล่อยพลังเวททั้งหมดของตนเข้าสู่วงเวทนั้น พลังเวทของเขาไหลวนจนครบวัฏจักรก่อนจะแผ่ขยายออกไป พวกสุดฟ้าที่ไม่เคยเห็นการใช้เวทด้วยวิธีการนี้มาก่อนต่างอยู่ในอาการตกตะลึง มองแสงเรืองรองไหลเอ่อไปตามพื้นดิน

พลังเวทของชวิศาแผ่พุ่งไปประสานกับพลังของนักเวทคนอื่นที่ประจำอยู่แต่ละทิศ โดยมีองค์ราชาองค์ราชินีของฮัชดาลลาร์ประจำอยู่ทิศเหนือและใต้ มีปราชญ์ลำดับต่าง ๆ ประจำอยู่แต่ละทิศทั้งหก ซึ่งแม้ชวิศาจะไม่ทราบว่านักเวทที่ประจำแต่ละทิศเป็นใคร แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งของบุคคลเหล่านั้นเช่นเดียวกัน

เมื่อพลังเวททุกสายบรรจบกันแล้ว สิ่งมหัศจรรย์ได้พลันบังเกิดขึ้นให้พวกสุดฟ้าตื่นตาอีกครั้ง ตึกอาคารบ้านเรือนที่เคยทลายลงมาเพราะแผ่นดินไหว สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ ถนนหนทางที่เคยเละเทะระเนระนาดค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมของมันที่พวกเขาเคยเห็นก่อนเกิดภัยพิบัติร้ายแรง

ธัชนนท์ ธัชนันท์ร้องว้าวอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่เว้นแม้แต่สเตบาสเตียนและมาริเอะซึ่งเป็นหุ่นยนต์ ทั้งสองหันมองรอบตัวด้วยใบหน้าที่บ่งบอกถึงความทึ่งกับสิ่งที่เห็น

จะมีก็เพียงแต่ชีวิตมนุษย์และสัตว์เท่านั้นที่ชวิศาและนักเวทคนอื่นไม่อาจจะทำให้ฟื้นคืนชีพกลับมาได้

เวลาผ่านไปไม่ช้าไม่นาน เมืองที่อยู่ในขอบเขตของกำแพงหินก็กลับคืนสู่สภาพเดิม

ชวิศาล้มตัวลงนอนแผ่กับพื้น โยธินกับสุดฟ้าจึงตรงเข้าไปหา

“ไหวหรือเปล่า”คนเป็นพี่ชายถาม

“ไหวครับ แต่ขอผมพักแป๊บ”

“ขอบคุณคุณชวิศามาที่ให้การช่วยเหลือในครั้งนี้ คุณสุมุนตราและคุณพรลภัสด้วยครับ คุณสุดฟ้ากับทุกท่านด้วยเช่นกัน ต้องขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับการช่วยเหลือทุกอย่างครับ”เจ้าชายฟาลิฮ์ทรงกล่าวในฐานะที่พระองค์เป็นตัวแทนของประชาชนของประเทศ

“ถ้าอย่างไร ผมขอเชิญทุกท่านไปพักผ่อนก่อน และตอนเย็นผมจะจัดเลี้ยงอาหารเป็นการขอบคุณอีกครั้ง”

“ตกลงครับ แต่พรุ่งนี้พวกผมคงต้องขอตัวเดินทางกลับเสียที”ธัชนนท์พูดตอบ

เจ้าชายรัชทายาททรงตรัสตอบตกลง

ขณะนั้นเอง กรินก็ได้ส่งเสียงเรียกชวิศาและเมื่อชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของนามหันกลับมาหา เขาเอ่ยว่า “ข้าก็คงต้องไปแล้วเช่นกัน”คำพูดนั้นเรียกความสนใจจากทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เจ้าชายฟาลิฮ์ที่หันมารวมกลุ่มด้วยความตกพระทัย เพราะแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ทรงเห็นรูปลักษณ์ของดวงจิตผู้พิทักษ์อาณาจักร แต่ทรงคิดอยู่เสมอดวงจิตนั้นเป็นอมตะไม่ติดอยู่ในวัฏสงสาร

“คุณกรินจะไปไหนหรือครับ”

“ก็ที่เขาเคยบอกไว้ว่า กำลังจะสลายไป”สุดฟ้าเอ่ยเตือน

“ไม่ใช่ว่า คุณกรินจะสลายไปถ้าพื้นดินถล่มหายไปหมดหรือครับ”

“การตีความของเจ้าก็มีปัญหาด้วยรึ”กรินยิ้มขำก่อนจะเปลี่ยนไปกล่าวอีกเรื่อง “ยังอยากรู้เรื่องราวของเมดินหลังจากที่เจ้ากลับมายังช่วงเวลานี้อยู่หรือเปล่า”

“อยากสิครับ”ชวิศารีบบอก นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความใคร่รู้คล้ายลืมเรื่องที่ดวงจิตของกรินต้องสลายไปชั่วขณะ

“ในพิธีมาดามายาปีนั้น เมดินก็ไม่ได้เป็นราชาอย่างที่หวังเพราะข้าสนับสนุนผู้อื่นให้ได้ครองราชย์”เนื่องจากใช้พลังเวทได้แล้ว เขาจึงใช้พลังของตนเพื่อสนับสนุนชายผู้มีนิสัยซื่อสัตย์คนหนึ่ง แลกกับการเก็บตัวเงียบไม่ให้ใครรับรู้เรื่องอาณาเขตมนตราและพลังที่มี

“เมดินจึงจำต้องยอมดำรงตำแหน่งปราชญ์ลำดับที่หนึ่งโดยอ้างเหตุผลว่าบ้านเมืองเพิ่งผ่านการสูญเสียและไม่มั่นคงสงบสุข”

ผู้ฟังพยักหน้ารับ

กรินนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น คงเป็นเพราะสนุกสนานกับการดักทางเปลี่ยนแปลงแผนการร้ายของเมดิน เขาจึงเลือกดูดซับพลังเวทของผู้คนในเมืองมาใช้แทนที่จะปล่อยให้อาณาเขตสลายไป

“เมดินมีชีวิตอยู่อย่างยาวนานเชียวล่ะ แต่เขาเต็มไปความเคร่งเครียดทุกข์ตรมที่ไม่ว่าคิดการใดก็ไม่สำเร็จดั่งใจหมาย ก่อนจะสิ้นลมไปด้วยโรคภัยที่รุมเร้ามากมาย”

“อ้าว แล้วเขาไม่ใช้เวทรักษาหรือครับ”

“โรคที่ยากต่อการรักษาย่อมต้องใช้พลังเวทมากตามไปด้วย โรคภัยที่เกิดจากกรำความคิดยิ่งรักษายากยิ่งกว่า เพราะเจ้าตัวไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุ”

ชวิศาไม่ค่อยเข้าใจคำอธิบายนั้น จึงได้แต่ทำหน้าสงสัยแต่เพราะคำพูดประโยคถัดมาทำให้เขาละคำถามเพื่อขอคำอธิบาย

“ส่วนเจ้าชายผู้ซึ่งมีใบหน้าคล้ายชายผู้เป็นที่รักของเจ้า หลังจากที่เจ้าอาละวาดก่อเรื่อง พระองค์ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย”

“ฮะ? เป็นไปได้อย่างไร”

“ข้าไม่รู้เหมือนกัน”

“หรือว่าคุณสุดฟ้าจะคือเจ้าชายทานันศิระจริง ๆ”

“ไม่ใช่ล่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก พวกเรารู้จักกับสุดฟ้ามาตั้งเกิด”สองพี่น้องฝาแฝดพูดพร้อมกัน จากนั้นธัชนันท์ได้พูดบอกแม้จะไม่รู้ว่าเจ้าชายทานันศิระคือใครก็ตาม แต่ฟังจากบทสนทนาน่าจะไม่ใช่บุคคลในยุคปัจจุบัน “ยังมีรูปตอนตัวกะเปี๊ยกที่ถ่ายด้วยกันเก็บไว้อยู่เลย”

“เป็นอันว่าเจ้าคงหายจากอาการอยากรู้แล้ว”

ชวิศาขมวดคิ้วฉับเพราะคำพูดนั้นเหมือนคำด่ากลาย ๆ

“คงถึงเวลาของข้าเสียที”

ในนาทีนี้ ชวิศากลับรู้สึกว่าไม่อยากให้กรินจากไป ขณะเดียวกันเจ้าชายฟาลิฮ์ได้สาวพระบาทเข้ามาให้พร้อมยกมือขึ้นประทับบนพระอุระอันเป็นท่าทางซึ่งแสดงออกถึงความเคารพตามธรรมเนียมของเมือง

“เราขอเป็นตัวแทนของประชาชนชาวฮัชดาลลาร์ทุกคน ขอกล่าวขอบคุณท่านที่ช่วยปกป้องแผ่นดินนี้มาเนิ่นนาน”ภาษาที่ทรงใช้เป็นภาษาประจำชาติ แต่เนื่องจากชวิศายังสวมแหวนที่ผนึกมนตราสื่อสารเขาจึงเข้าใจถ้อยคำนั้น

“ข้าไม่ได้ทำสิ่งยิ่งใหญ่อันใด ทุกสิ่งที่ทำล้วนเพื่อปกป้องตัวเอง”

“ถึงท่านจะกล่าวเช่นนั้น แต่เราก็ต้องขอขอบคุณท่านอยู่ดี”

กรินจึงยอมพยักหน้ารับ ร่างกายของเขาเริ่มเลือนรางมากขึ้นเรื่อย ๆ

“คุณกริน”ชวิศาร้องเรียกอีกครั้ง มองรอยยิ้มที่ส่งมาให้ด้วยใบหน้าเหยเก ภาพร่างกายของชายหนุ่มตรงหน้าค่อย ๆเลือนหายกลายเป็นแสงอย่างช้า ๆ

การที่ดวงจิตของเขาดำรงอยู่ผ่านกาลเวลายาวนานทำให้รับรู้เหตุผลที่ภาพนิมิตจากพลังการทำนายของกิรานามองเห็นความตายของเธอและเขา ทั้งที่ชวิศาไม่เกี่ยวข้องกับอันใดกับพวกเขาทั้งคู่ ในทีแรกกรินคิดว่าเพราะตนเองเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้อีกฝ่ายสามารถเดินทางกลับไปยังช่วงเวลาที่จากมาได้ แต่ความจริงนั้นไม่ใช่

ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอะไร ลูกชายของเขากลับมาสามารถเรียกใช้มนตราอันก่อเกิดจากพลังของอำนาจอากาศธาตุ ที่แต่เดิมไม่เคยปรากฏพลังนี้ในนักเวทที่เป็นบุรุษ และชวิศาเองก็เป็นทายาทสายหนึ่งของบุตรชายของเขา

เมื่อรับรู้เช่นนี้ กรินจึงไม่แปลกใจที่ตนจะรู้สึกถูกชะตาและชวิศาจะรู้สึกผูกพันกับเขา แม้ว่ามันอาจจะมาจากการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่งก็ตาม

“ขอให้เจ้าโชคดี”กรินกล่าวคำนั้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ทั้งร่างจะเพียงเหลือแสงระยิบระยับและล่องลอยหายไปในอากาศ

“คุณกริน!!!”ชวิศายื่นมือออกไปคว้าร่างกายของอีกฝ่ายพร้อมน้ำตาที่หลั่งออกมาเป็นสาย ถึงจะโดนบ่น โดนดุ โดนใช้งานแต่กรินก็ดูแลเขามาอย่างดีตลอด ต้องมาเห็นคนที่รู้จักจากไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ เขาจึงทำใจไม่ได้ ผู้เป็นมารดาดึงเขาเข้าไปกอดปลอบ แม้จะเป็นช่วยระยะเวลาสั้น ๆ แต่ความทรงจำที่ชวิศาได้รับมามีมากมายเหลือเกิน

ตลอดช่วงเวลาก่อนถึงงานเลี้ยงชวิศาจึงมีท่าทีเศร้าซึมอยู่เช่นเดิม

“ซีต้องทำใจนะลูก เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นเรื่องธรรมดาของโลก”พรลภัสเอ่ยปลอบ บุตรชายพยักหน้ารับแต่กระนั้นท่าทางที่แสดงออกก็ไม่ได้ร่าเริงขึ้น มาริเอะซึ่งมีหน้าที่ดูแลชวิศาตามคำสั่งของสุดฟ้า จึงเอ่ยชวนคุย

“ผมได้ยินคุณชวิศาพูดถึงผู้ชายที่หน้าตาเหมือนคุณสุดฟ้า เขาเป็นใครหรือครับ”

“ทรงเป็นเจ้าชาย”ชวิศาจึงเริ่มเล่าเรื่องของเจ้าชายทานันศิระให้มาริเอะฟัง

พวกเขากลับมาพักผ่อนที่เรือนรับรอง ที่นั่งรวมกลุ่มอยู่ในห้องนั้นนอกจากมาริเอะยังมีมารดา สุมุนตรา และลูกพี่ลูกน้องอย่างโยธิน ส่วนสุดฟ้าขอปลีกตัวไปนอนปล่อยให้สเตบาสเตียนเก็บของ สองพี่น้องสุวราลักษณ์ยังคงอยู่ในเมืองเพื่อติดต่อเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับธุรกิจของตน

ก่อนหน้านี้ชวิศาบอกเล่าแค่เหตุการณ์คร่าว ๆ แต่เมื่อโดนมาริเอะถามเขาจึงได้เล่าเรื่องราวที่ตนได้มีโอกาสย้อนเวลากลับไปในอดีตของฮัชดาลลาร์โดยละเอียดอีกครั้ง

จากคำบอกเล่าของหลานชายทำให้สุมุนตราติดใจมนตราย้อนกาลที่ถูกกล่าวถึง ไม่ต่างกับโยธินที่สนใจการเดินทางข้ามเวลาของน้องชายเช่นเดียวกัน

“แล้วซีใช้มนตราที่ว่าไม่ได้หรือ”โยธินถาม ชวิศาสั่นศีรษะปฏิเสธ ถ้าเขาใช้คาถาบทนั้นได้เขาจะไม่ลังเลที่จะใช้มันเพื่อกลับไปช่วยกรินเลย ก่อนฉุกคิดบางอย่างและหันไปถามสุมุนตรา

“คุณยายละครับ คุณยายใช้มนตราย้อนกาลได้หรือเปล่า”

“ยายเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกเนี่ยแหละ ปกติมนต์คาถาที่เกี่ยวกับช่องว่างมิติหรือการย่นย่อระยะทาง กว่าจะฝึกฝนจนสำเร็จหรือเรียกใช้ได้ก็ยากอยู่แล้ว นี่ครั้งแรกก็สามารถทำให้มนตราสัมฤทธิผลได้เลย”สุมุนตราพยักหน้าอย่างยอมรับนับถือ

“อืม เรื่องนั้นช่างมันเถอะ หลานอยากจะฝึกฝนการใช้พลังเวทต่อหรือเปล่า”

“อยากครับ”ชวิศารีบตอบทันควัน เพราะคิดแค่ว่าอยากจะย้อนเวลากลับไปช่วยไม่ให้กรินต้องตายเท่านั้นโดยไม่ได้นึกถึงเรื่องอื่นอยู่ในหัว

“ดีเลยหลานรัก อย่างนั้นหลังงานเลี้ยงคืนนี้ เราเดินทางกันเลย”

“เดินทาง? ไปไหนหรือครับ”

“อ้าว! ก็ไปฝึกฝนการใช้พลังเวทอย่างไรล่ะ”

“อ้อ คุณมาริจะไปด้วยหรือเปล่าครับ”ชวิศาหันไปถามหุ่นยนต์ที่หน้าเหมือนตัวเอง ครั้งนี้ไม่ว่าจะไปไหน เขาจะเกาะมาริเอะแน่น ๆ เลย จะได้ไม่ต้องลำบากมากอย่างครั้งที่แล้วอีก

“ผมคงต้องขออนุญาตด็อกเตอร์ก่อนน่ะครับ”

“ยายไม่อนุญาตให้หลานพาคนอื่นไปด้วยหรอกนะ”สุมุนตราพูดแทรกเสียงขุ่น

“เอ๋!!! ถ้าอย่างนั้นผมไม่ไปหรอกครับ”ชายหนุ่มร่างเล็กกลับคำอย่างรวดเร็ว ถ้าต้องไปลำบากอยู่คนเดียวแถมไม่ได้เจอสุดฟ้าอีกละก็ เขาก็ไม่อยากฝึกมันแล้ว การใช้พลังเวทอะไรนั่น...


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//ขออภัยค่ะ พอดีอาทิตย์ก่อนโน้นที่บ้านเราไฟดับ เราจึงไปหยิบนิยายที่ซื้อเก็บไว้มาอ่าน หลังจากนั้นก็ติดงอมแงม
สำหรับนิยายตอนที่สี่สิบเอ็ดนี้ไม่ได้รวบตัดจบนะ เราตั้งใจให้เป็นประมาณนี้อยู่แล้ว ส่วนการต่อสู้ของกลุ่มที่เราให้ชื่อว่าจันทร์พยัคฆ์ มันเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอกในเรื่องนี้อะ อย่างที่ฝาแฝดและสุดฟ้าแสดงจุดยืนมาตลอด//*

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สี่สิบสอง



เพราะชวิศายืนยันเสียงแข็งว่าจะไม่เดินทางไปที่ไหนอีกนอกจากเดินทางกลับบ้านพร้อมสุดฟ้า หลังงานเลี้ยงฉลองในค่ำคืนนั้นจบลงและรุ่งเช้าวันใหม่มาเยือน สุมุนตราจึงตัดสินใจเดินทางกลับพร้อมหลานชาย ทั้งโยธินและพรลภัสจึงได้เดินทางกลับด้วยเครื่องบินลำเดียวกับพวกสุดฟ้า

องค์ราชา ราชินี เจ้าชายรัชทายาท และปราชญ์นักเวทอีกหลายคนต่างเดินทางมาส่งพวกเขากันอย่างพร้อมหน้า

“เราขอขอบคุณทุกท่านที่มาเยือนฮัชดาลลาร์ในครั้งนี้”องค์ราชาทรงตรัสเป็นภาษาอังกฤษ “ทั้งยังให้การช่วยเหลือพวกเราหลายอย่าง”

“ไม่เป็นไรมิได้ครับ ต้องถือว่าเป็นเกียรติเสียมากกว่าที่พวกผมมีโอกาสได้ช่วยเหลือพระองค์”สุดฟ้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม แม้ใจจริงจะคิดว่าเป็นการตกกระไดพลอยโจน แต่จะให้บอกไปตามนั้นมันก็ดูไม่ดี

จากนั้นองค์ราชาทางหันไปสนทนากับสุมุนตรา โดยกล่าวขอให้กลับมาเยี่ยมเยียนฮัชดาลลาร์บ้าง เนื่องจากงานเลี้ยงเมื่อคืนมีนักเวทอาวุโสหลายท่านเข้าร่วมงานและมีการสอบถามสืบกลับที่มาที่ไปของเธอ กระทั่งทำให้ทราบว่า เธอเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในยุคหนึ่งของเมือง ซ้ำยังมีการจารึกชื่อไว้ในประวัตินักเวทที่มีผลงานโดดเด่น

หลังจากกล่าวลากันเสร็จเรียบร้อย พวกเขาทั้งสิบคนจึงเดินทางออกจากเมือง มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกอันเป็นที่ตั้งของสนามบิน

ขากลับธัชนนท์ให้ขนมอเตอร์สเปซขึ้นเครื่องแทนที่จะปล่อยให้มันขับเคลื่อนอัตโนมัติกลับไปเอง

เมื่อผู้โดยสารก้าวเท้าขึ้นเครื่องบินกันครบ อากาศยานลำใหญ่ก็พร้อมขึ้นบิน ชวิศาทอดสายตามองผ่านหน้าต่าง อาคารสนามบินขนาดเล็กพ้นมุมมองสายตาไปอย่างรวดเร็วเมื่อเครื่องบินเริ่มเคลื่อนตัวบนรันเวย์ กลายเป็นผืนทรายสุดลูกหูลูกตาและหมู่ภูเขาหินที่เห็นอยู่ไกลลิบ

สุดฟ้านอนหลับสนิทเฉกเช่นทุกครั้งที่ต้องเดินทางด้วยยานพาหนะประเภทนี้

ชวิศาเคยเดินทางไปต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง การพบผู้คน สถานที่ และอาหารอร่อยทำให้เขาตื่นตาตื่นใจเสมอ แต่ไม่มีการเดินทางครั้งไหนที่น่าตื่นเต้นได้เท่าครั้งนี้ เพราะนอกจากได้พบเจอเรื่องราวแปลกประหลาด เขายังมีโอกาสได้ค้นพบความสามารถที่ถูกซ่อนไว้ของตัวเองอีกอย่างหนึ่ง แม้ว่ามันจะมีประโยชน์บ้างไม่มีประโยชน์บ้างก็ตาม

เขาก้มมองกำไลข้อมือทำจากเงินซึ่งมีอัญมณีสีดำประดับอยู่กับแหวนที่นิ้วกลาง มันทำให้นึกถึงคนที่ให้ของสองสิ่งนี้มา

แต่เขาไม่ได้นอกใจสุดฟ้านะ แค่คิดถึงกรินในฐานะเพื่อนเท่านั้นเอง ชวิศาพูดย้ำอยู่ในใจ

“คุณชวิศารับของว่างหรือเครื่องดื่มไหมครับ”สเตบาสเตียนเดินมาถาม

หลังจากเครื่องบินทะยานสู่ระดับเพดานบิน ทุกคนก็ปลดเข็มขัดเซฟตี้และไปทำกิจกรรมที่ตนเองสนใจ สองพี่น้องธัชนนท์และธัชนันท์กำลังดวลเกมอยู่ตรงหน้าจอโทรศัพท์จอยักษ์ เขาเห็นคุณยายกับคุณแม่นอนอยู่บนเตียงสปา กำลังให้มาริเอะมาร์กหน้า พี่โยธินนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ สุดฟ้าถูกย้ายที่ไปนอนบนเตียง

เขากลอกตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็สั่นศีรษะปฏิเสธ ปลดเข็มขัดที่เก้าอี้ลุกขึ้นเดินไปล้มตัวนอนข้างสุดฟ้า และหลับตาลงเพื่อเข้าสู่นิทรา

ใช้เวลาเดินทางประมาณเก้าชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงประเทศไทย ที่สนามบินมีคนของธีรวัฒน์ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นอาของสองพี่น้องฝาแฝดบ้านสุวราลักษณ์มารอรับอยู่แล้ว แต่สุดฟ้ามีรถยนต์ซึ่งมีหมายเลขทะเบียนที่สามารถขับขี่บนท้องถนนได้ เขาจึงใช้รถยนต์ของตัวเอง

โยธิน พรลภัสและสุมุนตราขึ้นรถยนต์อีกคันซึ่งจะพาพวกเขาไปส่งยังบ้านพักที่ไม่ห่างจากบ้านของสุดฟ้านัก ส่วนธัชนนท์และธัชนันท์แยกขึ้นรถอีกคันเพื่อเดินทางกลับบ้านของตัวเอง ก่อนแยกย้ายก็ย้ำกับเพื่อนสนิทสมัยเด็กว่าจะไปหาวันพรุ่งนี้

แน่นอนว่าชวิศาเดินมาขึ้นรถยนต์คันเดียวกับสุดฟ้า แต่กว่ามารดาและคุณยายจะยินยอมก็โต้เถียงอธิบายกันอยู่นาน

ตอนที่มาถึงเป็นช่วงกลางดึก แต่เพราะสุดฟ้านอนหลับมาเต็มอิ่มจึงยังไม่ง่วง กระนั้นสารถีก็ยังคงเป็นพ่อบ้านสุดหล่ออย่างสเตบาสเตียนอยู่ดี

เมื่อรถยนต์มาจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าประตูบ้าน สุดฟ้าต้องเดินลงจากรถไปเปิดระบบการควบคุมของบ้านเป็นอันดับแรก เขาเสียบสายเชื่อมต่อระหว่างดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์เข้ากับแผงคอนโทรล ดึงโปรแกรมควบคุมและสั่งให้เก็บชัตเตอร์ขึ้น เปิดระบบไฟฟ้าภายในบ้าน และโอนถ่ายหน้าที่การเป็นแม่ข่ายคืนให้กับสเตบาสเตียน  ตอนที่เดินกลับไปยังหน้าบ้านจึงเป็นช่วงที่หุ่นยนต์พ่อบ้านนำรถยนต์เก็บในโรงรถใต้พื้นพอดี ส่วนมาริเอะและชวิศาก็กำลังลากกระเป๋าเข้าไปเก็บ

“ว่าจะถามตั้งหลายทีแหละ แหวนนั่นมันอะไร”สุดฟ้าเอ่ยถามเมื่อพวกเขาจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยและพาตัวเองมานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นแล้ว

ขณะที่หุ่นยนต์พ่อบ้านได้ลงมือทำความสะอาดบ้านตามหน้าที่ของตน โดยเริ่มจากห้องนอนของผู้เป็นเจ้านาย

ชวิศายกมือข้างที่สวมแหวนเป็นเชิงถาม เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าจึงได้พูดว่า “แหวนของคุณกรินครับ” คนฟังถึงกับคิ้วกระตุกเพราะความไม่ชอบใจระหว่างความสัมพันธ์ของชวิศากับไอ้หมอนั่น ถึงมันจะสลายหายไปแล้วก็เถอะ แต่ไม่ชอบใจก็คือไม่ชอบใจอยู่ดี

“ทิ้งไปซะ ฉันไม่ชอบให้นายใส่แหวนของใครก็ไม่รู้”

“เอ๋!!! ไม่เอาหรอก แหวนนี่ดีมากแล้วนะครับ ต่อให้ใครพูดภาษาอะไรมาผมก็เข้าใจหมด”

“จริงดิ”สุดฟ้าถามซ้ำ ชวิศาจึงเล่าที่มาที่ไปของแหวนวงนี้ให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้ฟัง “นี่นะ กำไลนี่ก็ไม่ใช่กำไลธรรมดานะ อัญมณีตรงนี้บรรจุมนตราช่องว่างมิติไว้”คนพูดเล่าไปพลางสาธิตให้อีกฝ่ายดูไปพลาง จากนั้นก็ดึงของที่อยู่ข้างในออกมาให้สุดฟ้าได้ดู แน่นอนว่าคนฟังถึงกับตาลุกวาว

เนื่องจากสุดฟ้ายังไม่ทิ้งความฝันที่จะใช้เวทมนตร์ได้ แต่เขาก็ไม่อยากอยู่ที่ฮัชดาลลาร์ต่อแล้วเหมือนกัน ยิ่งโดนบอกให้ไปฝึกสมาธิมาใหม่ด้วยนี่ เขายิ่งคับแค้นใจ ทั้งที่เขาฉลาดขนาดนี้ เขาต้องมีสมาธิดีเยี่ยมอยู่แล้วสิ!!!

และไม่จำเป็นต้องให้ชวิศาอธิบายเขาก็พอจะเดาได้ว่าอักขระบนกระดาษเหล่านี้คือระเบียนมนตราและวงเวท ต่อให้เขาเคยเห็นของจริงมาแค่ครั้งเดียวก็จำได้ บนกระดาษเหล่านั้นเขาเห็นตัวอักษรภาษาไทยที่เขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อยระบุชื่อมนตราอยู่ด้านบน

“ขอได้ไหม”

“เอ๊ะ... ถ้าเป็นระเบียนมนตราก็ได้ครับ แต่ถ้าเป็นกระดาษคาถาก็ไม่ได้หรอกนะ”

“กระดาษคาถา?”สุดฟ้าจึงดึงแยกกระดาษที่ขนาดเล็กกว่าและบนกระดาษมีวงเวทเขียนไว้ออกมา “นี่เหรอ”

“อืม มนตราบางบทผมต้องเรียกใช้ผ่านกระดาษคาถา เพราะฉะนั้นพวกนี้ผมไม่ยกให้หรอก”ชวิศารีบคว้ากลับมาถือไว้

“ช่วยลองสาธิตวิธีใช้ให้ดูหน่อยได้ไหม”

ชวิศาไม่มีปัญหากับคำขอร้องนั้นอยู่แล้ว เขาเลือกหยิบกระดาษคาถาสำหรับการสร้างค้อนยักษ์ออกมา ถือไว้ในมือพอสั่งให้พลังเวทของตนไหลเข้าไปในกระดาษ มันก็กลายเป็นค้อนยาวประมาณท่อนแขนทันที

“อันแค่นี้เองเหรอ เอาไว้ทำอะไรเนี่ย”สุดฟ้าถามอย่างสงสัยและกังขาในมนตราดังกล่าว

“ที่จริงมันก็ใหญ่กว่านี้ได้ครับ แต่ผมเห็นว่าอยู่ในบ้านก็เลยลดพลังลง มันเป็นเวทต่อสู้นะแหละ”คนพูดยกยิ้มแหย ๆ เพราะเวทต่อสู้ของเขาเคยโดนเมดินฟาดมือผลัวะเดียวก็สลายไปเลย

“แต่เวทบางอย่างผมก็เรียกใช้ได้เลยโดยไม่ต้องใช้กระดาษคาถา”ชวิศาประกบมือเรียกนกตัวเล็กซึ่งมีสีเหลืองออกมา ปล่อยให้มันบินไปตรงหน้าสุดฟ้า “อันนี้สำหรับติดต่อสื่อสาร”

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านเห็นมันวนเวียนอยู่ตรงหน้าตนจึงยื่นมือไปแตะ ก่อนจะต้องผงะตกใจเมื่อมันระเบิดกลายเป็นควันพร้อมเสียงพูดที่ดังออกมาว่า “สวัสดีครับ” และที่สำคัญมันยังเป็นเสียงของชวิศา

เจ้าของมนตราหัวเราะก่อนเรียกเจ้านกตัวสีเขียวออกมาอีกตัว ปล่อยให้มันบินไปตรงหน้าสุดฟ้าอีกครั้ง คราวนี้มันกลายเป็นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่มีข้อความอยู่ด้านในเสียแทน

“ดูสะดวกดีเหมือนกันนะ”

“ไม่เลยครับ”คนพูดโบกมือบอกปฏิเสธ “เราต้องรู้ที่อยู่ของคนที่เราต้องการติดต่อครับ อาจไม่ต้องเป๊ะ ๆ แต่ต้องรู้คร่าว ๆ ว่าอยู่ที่ไหน เพราะมันถูกสร้างจากพลังเวทถ้าปล่อยให้มันเคลื่อนที่จนพลังเวทหมด มันก็สลายไปครับ”คำอธิบายดังกล่าวชวิศาพูดตามที่กรินเคยบอกไว้

สุดฟ้าพยักหน้ารับ จากนั้นจึงหันมาสนใจระเบียนมนตราในมือ เขาไล่กวาดสายตากระดาษแต่ละใบก่อนจะพบกระดาษใบหนึ่งที่เขียนวงเวทไว้และไม่มีชื่อมนตรากำกับ

“ใบนี้มันคาถาอะไรน่ะ”

ชวิศาทำท่านึก “น่าจะเป็นมนตราย้อนกาล”

“มันใช้ทำอะไรได้”สุดฟ้าถามเนื่องจากแต่ละครั้งที่ชวิศาเล่าเหตุการณ์มหัศจรรย์พันลึก เขาไม่เคยอยู่ด้วยเลยสักครั้ง

“คุณกรินว่ามันทำให้เดินทางข้ามเวลาได้”

“ฮะ!?”

ชวิศาจึงเท้าความตอนที่ตนหลุดไปอยู่ในยุคของอาณาจักรฮัชดาลลาร์ และกรินบอกว่า มนตราบทนี้จะทำให้เขาเดินทางกลับมายุคปัจจุบันได้

สุดฟ้าฟังคำอธิบายด้วยความตื่นเต้น ถ้าวงเวทนี่สามารถทำให้เดินทางข้ามเวลาได้จริง มันก็ง่ายยิ่งกว่าการสร้างไทม์แมชชีนเสียอีก

“แล้วถ้าใช้พลังของนายกับวงเวทจะทำให้เดินทางข้ามเวลาได้เลยหรือเปล่า”

“ไม่ ๆ ไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ คุณกรินบอกว่าต้องเขียนตำแหน่งที่จะไปลงในวงเวทด้วยครับ ถ้ามันใช้ได้ง่าย ๆ ผมคงกลับมาได้นานแล้ว”

“ตำแหน่งอย่างนั้นเหรอ?”ถ้าพูดถึงตำแหน่งน่าจะหมายถึงพิกัดเวลากับสถานที่ สุดฟ้าคิดอยู่ในใจ แต่ตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษเป็นอักขระที่เขาไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าการที่จะเขียนพิกัดลงไปจะต้องยึดหลักการอะไร เขาจึงส่งกระดาษแผ่นนั้นไปให้มาริเอะซึ่งนั่งเงียบฟังพวกเขาคุยกันอยู่ได้ดู

“อ่านออกหรือเปล่า”

“ไม่ครับ มันเป็นอักษรโบราณที่ปัจจุบันยังไม่สามารถถอดความได้หมด”มาริเอะตอบกลับไปหลังจากตรวจสอบตัวอักษรเหล่านั้นเทียบกับฐานข้อมูลแล้ว

สุดฟ้าพยักหน้ารับ

“เท่าที่รู้ การเขียนวงเวทจะต้องเขียนวัฏจักรธาตุและเขียนคำสั่งตามมนตราน่ะครับ”ชวิศาเอ่ยก่อนจะอ้าปากหาว ถึงจะนอนกับสุดฟ้ามาบ้างแล้ว แต่ก็รู้สึกง่วงอีกแล้ว

“ด็อกเตอร์เข้านอนก่อนไหมครับ ผมทำความสะอาดห้องกับเปลี่ยนผ้าปูให้แล้ว”สเตบาสเตียนโผล่ออกมาที่พวกเขาไม่รู้เนื้อรู้ตัวและพูดบอก

“นั่นสิ ๆ ไปนอนกันเถอะครับคุณสุดฟ้า”ชวิศาขยับเข้าไปเกาะแขนพลางเอ่ยชวนพร้อมหาวโชว์อีกรอบ

ที่จริงสุดฟ้าอยากคุยเรื่องตัวอักษรที่ใช้เขียนในวงเวทต่อ แต่คนที่น่าจะมีความรู้ที่สุดในตอนนี้อย่างชวิศาทำท่าเหมือนไม่พร้อมจะให้ข้อมูล เขาจึงตัดสินใจว่าจะไปนอนด้วย

“ก็ได้”

ทันทีที่เขาลุกขึ้นยืน มาริเอะก็ลุกขึ้นด้วยเช่นกัน

“ราตรีสวัสดิ์ครับ”สเตบาสเตียนกล่าวบอก

เป็นอันว่าคืนนั้น บนเตียงของสุดฟ้ามีทั้งชวิศาและมาริเอะมานอนด้วย ซึ่งมันเบียดเสียดมากเนื่องจากเตียงของสุดฟ้ากว้างพอสำหรับคนสองคนเท่านั้น แม้หลาย ๆ ครั้งพวกเขาจะนอนกอดนอนเกยกันเสียเป็นส่วนใหญ่ก็เถอะ

สุดฟ้านอนนิ่งอยู่บนเตียง เขายังไม่หลับเพราะสมองกำลังคิดทบทวนแผนการทำงาน เมื่อคิดถึงหัวข้อที่ปรับปรุงมาริเอะก็ลังเลใจว่าควรลบคำสั่งคนรักดีหรือไม่

“นอนไม่หลับหรือครับด็อกเตอร์”

ทั้งที่คิดว่าไม่ได้ขยับตัวหรือทำอะไรที่บ่งบอกว่ายังตื่นอยู่ แต่มาริเอะกลับรู้ได้ทันทีว่าเขาแค่เพียงนอนนิ่งอยู่เฉย ๆ

“ไม่ใช่หรอก เหมือนไม่ค่อยง่วงมากกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นผมช่วยไหมครับ ถ้าใช้แรงจนเหนื่อยอาจจะหลับง่ายขึ้น”มาริเอะยกศีรษะขึ้นมาซบบนแผงอกของเขาพร้อมลากมือป่ายไปถึงช่วงล่าง มืออุ่นร้อนของร่างหุ่นยนต์ปลุกเร้าเขาอย่างเชี่ยวชาญซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย เพราะสุดฟ้าเป็นคนเขียนโปรแกรมบรรจุความสามารถของมาริเอะเองกับมือ

และเขาก็ของขึ้นอย่างง่ายดาย!!!

ถึงอายุของสุดฟ้าจะเรียกว่าวัยรุ่นตอนกลางค่อนไปทางตอนปลาย แต่เรื่องพวกนี้เขายังเป็นเพียงหนุ่มรุ่นกระทง เพราะฉะนั้นความสามารถในการระงับยับยั้งจึงยังอ่อนด้อย อีกทั้งความกลัวว่าชวิศาจะรู้สึกตัวกลับทำให้เขาตื่นเต้นจนระงับไม่อยู่ รอบแรกสุดฟ้าจึงเสร็จไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้นมาริเอะจึงปีนขึ้นมาบนตัวและจัดการรีดน้ำรอบที่สองอย่างรวดเร็ว เมื่อหุ่นยนต์คนรักเห็นว่าร่างกายของเขายังคงตื่นตัว การรีดน้ำครั้งที่สามและสี่จึงตามมา จนสุดฟ้าต้องร้องบอกให้หยุด มาริเอะถึงยอมลงมานอนอยู่ข้างกายเหมือนเดิม ในที่สุด เขาก็หลับลงด้วยความเหนื่อยอ่อนอย่างที่มาริเอะบอกไว้

ทว่าสิ่งที่ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมากลับเป็นเสียงท้องร้อง ที่สำคัญมันไม่ได้มาจากตัวเขา

“หือ”

“คุณสุดฟ้าตื่นแล้ว”เสียงร้องด้วยความดีใจดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียงที่เด้งตัวลุกขึ้นนั่ง “ไปล้างหน้าแปรงฟันกันเถอะครับ จะได้ไปกินข้าวกัน”

สุดฟ้าลุกขึ้นนั่งพลางเอื้อมมือไปหยิบแว่นมาสวม “เมื่อกี้เหมือนได้ยินเสียงท้องร้อง”

“ของผมเองแหละ ผมหิวข้าวแล้ว”ชวิศายกมือลูบท้องตัวเอง เอ่ยบอกเสียงเบาด้วยท่าทางเขินอาย ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงหันไปมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง มันบอกเวลาเที่ยงกว่าไปแล้ว

“ถ้าหิวทำไมไม่ออกไปกินข้าว มาอดทนนอนหิวอยู่ทำไม”

“ก็คุณมาริเอะบอกว่า คุณสุดฟ้าชอบให้รอตื่นพร้อมกัน”

“คุณชวิศาพูดอย่างนี้จะโทษผมหรือครับ”มาริเอะเอ่ยถามกลับไปทันที

“เปล่า ๆ นะ”คนถูกกล่าวหารีบโบกมือปฏิเสธ “แต่ตอนนั้นที่ผมลุกจากเตียงออกไปก่อน คุณสุดฟ้าก็ทำเหมือนไม่พอใจจริง ๆ พอได้ยินสิ่งที่คุณมาริเอะบอกผมก็เข้าใจ”

ตอนนั้นของชวิศาคงหมายถึงช่วงแรก ๆ ที่สลับตัวเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ในฐานะของมาริเอะ ถ้าจำไม่ผิดเขายังไม่รู้ว่าเป็นชวิศาตัวจริงที่ไม่ใช่หุ่นยนต์ ถ้าไม่พอใจคงเพราะนึกว่าโปรแกรมผิดพลาดละมั้ง สุดฟ้าคิดในใจ

เออ... จะว่าไป อารมณ์ไม่ชอบใจแบบนี้ก็มีหลายครั้งเหมือนกันนี่นา

“ต่อไปไม่ต้องรอให้ฉันตื่นหรอก นายเองก็ด้วยมาริ”สุดฟ้าเอ่ยบอก ถ้าต้องปล่อยให้ชวิศาทนหิวก็เหมือนว่าเขาดูแลอีกฝ่ายไม่ดี ทั้งที่เคยพูดต่อหน้าครอบครัวของชวิศาไว้

ชวิศาพยักหน้ารับ

หลังจากใช้เวลาในการจัดการธุระส่วนตัวกันครู่ใหญ่จึงเดินออกจากห้องนอน และเมื่อประตูห้องเปิดออกพวกเขาก็พบแขกประจำของบ้านนั่งทานอาหารอยู่ที่โต๊ะ

“ตื่นแล้วเหรอ รีบมา ๆ สเตบาสเตียนทำกับข้าวไว้เยอะเลย”ธัชนันท์ส่งเสียงร้องเรียก พร้อมบอกว่าหิ้วของสดมาให้สเตบาสเตียนทำอาหารอย่างเต็มที่

“ทำไมว่างได้วะ พวกแกทิ้งงานไปตั้งนาน”

“แกไม่รู้จักนวัตกรรมที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ตเหรอสุดฟ้า โลกสมัยนี้ อยู่ห่างกันแค่ไหนก็เหมือนใกล้กัน พวกฉันเป็นบริษัทผลิตสินค้าเทคโนโลยีนะเว้ย จะให้มาทำตัวโลเทคอยู่ได้ยังไง”

“อ้อ เออ”เมื่อได้ฟังเหตุผลแล้ว สุดฟ้าได้แต่พยักหน้ารับ เมื่อเขาและชวิศาทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ หุ่นยนต์พ่อบ้านประจำตัวก็นำจานข้าวมาเสิร์ฟ

ชวิศาลงมือทานข้าวโดยคิดจะเอ่ยทักทายพูดจากับใคร

“เมื่อไหร่น้ำของฉันจะซ่อมเสร็จ”ธัชนนท์เอ่ยถาม

“สองสามวัน”

“แกอัพเกรดให้ล้ำ ๆ เท่ามาริเลยได้ไหม”แฝดคนน้องพูดต่อ

“ได้”สุดฟ้าตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “ถ้าพวกแกจ่ายมายี่สิบล้าน”

“กับเพื่อนกับฝูงไม่คิดจะลดราคาหน่อยเหรอวะ”แฝดน้องโวยวายต่อพร้อมไซโคอย่างต่อเนื่อง “พวกเราสนิทกันมากเลยนะเว้ย โตมาด้วยกันแล้วอย่างเหตุการณ์ที่ผ่านมา ลองคิดดูว่าถ้าความสามารถของเดย์กับน้ำเทียบเท่ากับมาริ เรื่องทุกอย่างมันจะแย่อย่างนั้นไหม”

สุดฟ้าโยนช้อนและส้อมในมือกระแทกกับจานดังเคร้ง คนที่กำลังเพลิดเพลินกับการกินอย่างชวิศาถึงกับสะดุ้งชะงักมือไปโดยอัตโนมัติ

“อ๊ะ ขอโทษ กินต่อเถอะ”สุดฟ้าพูดกับชวิศาก่อนหันไปหาธัชนันท์ เขาพูดเสียงแข็งปนความฉุนเฉียว “ฉันยังไม่ได้ชำระความที่พวกแกเอาหุ่นของฉันไปถอดสำรวจโดยไม่อนุญาตเลยนะ พวกแกยังกล้าพูดอีกเหรอ ถ้าไม่เพราะฉันมีหุ้นอยู่ในบริษัทด้วย พวกแกไม่ได้มานั่งอยู่ในบ้านของฉันหรอก”

สองพี่น้องหน้าซีด สบถอยู่ในใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“และอย่าตอแหลว่าไม่ได้ทำ”เขากล่าวต่อ ไม่ปล่อยให้คนทำพูดเถียง

“ก็... ของมันดีขนาดนี้ แกคิดว่าพวกฉันไม่ควรทำขายเหรอวะ”ธัชนนท์เอ่ย “ไม่ต้องห่วงน่า ฉันลดสเปกเพื่อให้ราคามันถูกลงอยู่แล้ว ไม่มีใครบ้าซื้อหุ่นยนต์ฟลูออปชันไปทำเรื่องอย่างว่าหรอก”

“ที่จริงแกสร้างหุ่นยนต์ได้ขนาดนี้มันต้องเปิดตัวสินค้าใหม่ในตลาดได้แล้วนะเว้ย”

“พวกแกอาจจะเห็นว่ามาริกับสเตบาสเตียนดูสมบูรณ์ แต่ที่จริงไม่ใช่ มันมีอีกหลายส่วนที่ต้องปรับปรุง”

“นี่ยังไม่พออีกเหรอ”

สุดฟ้าอธิบายเรื่องการเก็บค่าประสิทธิภาพกับผลกระทบ ปัจจัยความเสี่ยงทั้งหลายแหล่ให้สองพี่น้องสุวราลักษณ์ฟังยาวเหยียด ชายหนุ่มสองคนที่จับงานด้านการบริหารจัดการมากกว่าการทดลองวิจัยจึงต้องพยักหน้ารับอย่างจำยอม

“เออ แล้วแต่... แต่ตอนนี้แกต้องซ่อมน้ำให้ฉันก่อน”

“รู้แล้วน่าไม่ต้องย้ำ”สุดฟ้าพูดอย่างนึกรำคาญ

ทว่าหลังจากที่ฝาแฝดสองพี่น้องกลับไปแล้ว เขากลับหยิบกระดาษที่เขียนระเบียนมนตราและวงเวทขึ้นมาคุยกับชวิศาต่อ เขาถามความหมายของอักขระสัญลักษณ์ แต่น่าเสียดายที่ชวิศาจำได้แค่ธาตุหลักทั้งห้า ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนเคยเขียนคัดลอกถอดอักขระเมื่อครั้งที่กรินให้ฝึกคาถาด้วยตนเอง ชวิศาจึงนำกระดาษแผ่นนั้นออกมาให้สุดฟ้าด้วย

เพียงแต่อักขระที่ชวิศาถอดความไว้นั้น มันแค่เฉพาะมนตราบทเดียว

 “ที่จริงผมมีสมุดจดอีก แต่ไม่ได้เอามา มันอยู่ที่บ้านของคุณกริน พอดีว่าหลังจากที่คุณกรินคิดวิธีให้ผมใช้พลังเวทผ่านกระดาษคาถา ผมเลยไม่ค่อยได้สนใจอีก”

“นายบอกว่ามันเป็นอักษรโบราณที่ปัจจุบันยังไม่สามารถถอดความได้ทั้งหมดใช่ไหม”สุดฟ้าหันไปถามมาริเอะบ้าง “แล้วในกระดาษพวกนี้มีคำไหนที่นายอ่านออกบ้าง”

มาริเอะจึงทำการสแกนจับภาพอักขระบนกระดาษเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลและอัปโหลดส่งให้สุดฟ้า จากนั้นจึงเอ่ยแจ้งให้ชายหนุ่มตรวจสอบ

สุดฟ้าเปิดดิจิตอลไลต์มอนิเตอร์ อ่านคำแปลที่มาริเอะทำมาให้ บางอักษรที่ถอดความเป็นภาษาปัจจุบันไม่ได้ มาริเอะได้ใช้อักษรตัวนั้นดังเดิม ซึ่งเมื่อดูโดยรวม สุดฟ้าคิดว่ามันพออ่านออกทำความเข้าใจได้ แต่ทำความเข้าใจได้กับใช้งานได้มันต่างกัน และเขาไม่คิดว่าการลองผิดลองถูกไปมั่ว ๆ จะทำให้สามารถใช้คาถาได้

“นายว่า คุณยายของนายจะอ่านอักขระพวกนี้ออกหรือเปล่า”

“ไม่รู้สิครับ”

สุดฟ้าจึงหันทั้งตัวไปทางชวิศา ยกมือขึ้นประนมไหว้ก้มศีรษะลงต่ำพร้อมเอ่ยว่า “ขอร้องล่ะ ช่วยเอากระดาษพวกนี้ไปถามคุณยายของนายให้หน่อยสิ”


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สี่สิบสาม


ชวิศารู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่สุดฟ้ากล่าวขอร้องและพึ่งพิงเขา ถึงแม้ว่าเขาจะต้องนำกระดาษพวกนี้ไปถามคุณยายอีกทอดก็ตาม ด้วยเหตุนั้นตอนที่สุดฟ้าบอกจะให้สเตบาสเตียนไปเป็นเพื่อน เขาจึงกล่าวปฏิเสธเพราะคิดอยู่ในใจว่า ตอนนี้ตัวเองแข็งแกร่ง เนื่องจากเขามีพลังเวทที่โดนกรินเคี่ยวเข็ญจนอย่างน้อยที่สุดก็สามารถปกป้องตัวเองจากคนธรรมดาที่คิดร้ายได้อย่างสบาย ๆ ไม่มีกรณีต้องให้มาริเอะมาคอยปกป้องอีกแล้ว

นอกจากนี้ระยะห่างระหว่างบ้านพักของครอบครัวและบ้านสุดฟ้ายังไม่ไกลเท่าไหร่

เรื่องบังเอิญนี้ทำให้ชวิศารู้สึกว่าพรหมลิขิตมีจริง

เขาอยู่ที่บ้านหลังนี้กับครอบครัวของโยธินมาตั้งแต่เด็ก ๆ สมัยนั้นมีทั้งคุณย่า คุณลุงคุณป้า แต่เมื่อธุรกิจของครอบครัวเติบโตขึ้น คุณลุงกับคุณป้าจึงต้องไปต่างประเทศบ่อยครั้งเพื่อดูแลกิจการ หลังจากคุณย่าเกษียณตัวเองออกจากงาน ท่านก็รอให้เขาเรียนจบก่อนจะพาเขาย้ายไปอยู่ฝรั่งเศสด้วยกัน บ้านหลังนี้จึงถูกปิดไว้และมีคนเข้ามาดูแลในบางครั้ง

และเมื่อเขากลับมาประเทศไทยคราวนั้น ปรากฏว่า มีบ้านของสุดฟ้ามาตั้งอยู่ไม่ห่างกัน อย่างนี้ไม่เรียกว่าพรหมลิขิตแล้วจะเรียกว่าอะไร ชวิศาอมยิ้มยกมือกุมสองแก้ม

โอ๊ย!!! ดีต่อใจ

เขาเดินไปกระโดดตัวลอยไปพลางด้วยความรื่นเริง แม้แดดร้อนเปรี้ยงก็ไม่อาจทำให้เขาหงุดหงิดอารมณ์เสียได้

ตอนที่เปิดประตูเข้าไปในบ้าน ปรากฏว่าทั้งคุณแม่และคุณยายอยู่ครบทั้งคู่

“นึกว่าเจ้าจะสนใจแต่คนรักโดยไม่คิดจะมาหายายซะแล้ว”

ชวิศายิ้มเจื่อนเดินตรงเข้าไปหา ทำหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยมตอนที่ดึงเอากระดาษจดระเบียนมนตราออกมาจากอัญมณีช่องว่างมิติ ฝ่ายสุมุนตราเห็นหลานชายใช้งานอัญมณีจึงต้องอุทานออกมาด้วยความสนใจ

“ไม่นึกว่าหลานจะมีอัญมณีช่องว่างมิติด้วย”

“คุณกรินให้มาครับ”

สุมุนตราจึงพูดย้ำให้หลานชายดูแลรักษาให้ดี เพราะอุปกรณ์เวทชิ้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ซื้อหามาไว้ครอบครองได้ง่าย ๆ จากนั้นชายหนุ่มจึงพูดเข้าเรื่องที่ตนมาหาคุณยาย โดยกล่าวแค่ว่าอยากทบทวนเรื่องอักขระมนตราทั้งหลายซึ่งกรินเคยสอนไว้แต่ตอนนี้ลืมไปแล้วตามที่สุดฟ้าเขียนบทมาให้ เธอจึงยิ่งดีใจที่หลานฝักใฝ่เล่าเรียนการใช้พลังเวทที่มีติดตัว ก่อนบอกเล่าอธิบายให้ชวิศาได้จดข้อมูลลงกระดาษจนมือหงิก

ระหว่างที่ชวิศากำลังจดเนื้อหาการบรรยายการใช้มนตราตามที่สุมุนตรากำลังอธิบายให้ฟังอยู่นั้น สุดฟ้าได้พาตัวเองและหุ่นยนต์ทั้งสองเข้าไปในห้องทำงานเพื่อปรับปรุงโครงสร้างและประสิทธิภาพการทำงาน เขาซ่อมบำรุงมาริเอะก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องจากมาริเอะเคยโดยยำเสียเละตอนที่อยู่ฮัชดาลลาร์ โดยลืมเรื่องหุ่นยนต์ของแฝดพี่ที่โดนระเบิดหัวจนเหลือโครงสร้างตั้งแต่คอลงมาไปเสียสนิท

หลังเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นส่วนทั้งหลายเสร็จเรียบร้อย เขาพามาริเอะลงไปที่ชั้นใต้ดินซึ่งลึกลงไปอีกชั้น

โครงสร้างบ้านของสุดฟ้านั้น ส่วนเหนือพื้นดินจะมีลักษณะเป็นบ้านชั้นเดียวแต่ลึกลงไปใต้ดิน ชายหนุ่มได้ขุดเจาะสร้างพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นอีกสามชั้น ที่ใต้ดินชั้นที่หนึ่งเป็นพื้นที่สำหรับวางเครื่องมือเครื่องจักรอุปกรณ์การทำงานทั้งแขนกลกัดแผงวงจร เครื่องตัดนาโน เครื่องกลึง เครื่องประกอบชิ้นส่วน ปั๊มลม เครื่องสำรองไฟ และเครื่องจักรอุปกรณ์จำพวกตรวจสอบทดสอบ

ใต้ดินชั้นที่สองเป็นพื้นที่สำหรับการทดสอบสมรรถนะประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่สุดฟ้าสร้างขึ้นและชั้นสุดท้ายเป็นพื้นที่สำหรับเก็บวัตถุดิบและวัสดุ

ครั้งก่อนหลังจากที่สุดฟ้าสร้างมาริเอะและปรับปรุงรูปลักษณ์ของหุ่นยนต์พ่อบ้าน เขาไม่คิดจะทำการทดสอบเพื่อเก็บค่าสมรรถภาพเพราะไม่เคยคิดจะเอาหุ่นยนต์ไปสู้กับใคร ด้วยวัสดุที่ใช้ทำโครงสร้างและกำลังมอเตอร์ที่ใช้ในการขับเคลื่อน หุ่นยนต์ของเขาก็แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว

แต่พวกเขากลับต้องไปปะทะกับคนที่ไม่ธรรมดา

สุดฟ้าจึงต้องปรับปรุงหุ่นยนต์ของตัวเองเสียใหม่ คราวนี้ทั้งมาริเอะและสเตบาสเตียนต้องเทพ ซูเปอร์เทพ และอภิมหาเทพเท่านั้น!!!

“ด็อกเตอร์ครับ คุณชวิศากลับมาแล้วครับ”

สุดฟ้าเงยหน้าขึ้น ตรงหน้าของเขาคือจอภาพซึ่งกำลังแสดงเส้นกราฟวัดผลต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกับเซนเซอร์วัดการทำงานของมาริเอะในพื้นที่ควบคุมการทดลอง หุ่นยนต์หน้าตาคล้ายชวิศาอยู่ในห้องกระจกขนาดพื้นที่สามคูณสามตารางเมตร กำลังเตะต่อยกระสอบทรายรุ่นพิเศษสำหรับวัดแรงกระแทกด้วยกำลังมอเตอร์สูงสุด

“งั้นนายขึ้นไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันตามไป”เขาพูดก่อนจะหันไปกรอกเสียงใส่ไมโครโฟนเนื่องจากห้องทดลองที่ว่าแม้จะเป็นห้องกระจกแต่ถูกออกแบบให้ดูดซับเสียง ด้วยโครงสร้างกระจกสองชั้น ช่องว่างระหว่างแผ่นกระจกทั้งสองแผ่นเป็นพื้นที่สุญญากาศ “หยุดก่อนมาริ”

มาริเอะจึงหยุดยืนนิ่งเพื่อให้ระบบตรวจสอบความเสียหายของชิ้นส่วนอะไหล่ ประเมินผลการใช้พลังงาน สุดฟ้ามองดูค่าตัวเลขต่าง ๆ ที่ถูกส่งมายังหน้าจอ และสั่งเซฟเก็บลงในฮาร์ดดิสก์เพื่อรอให้เขากลับมาวิเคราะห์ทีหลัง

“เดี๋ยวกลับขึ้นไปข้างบนก่อนชวิศามาแล้ว”

มาริเอะจึงเดินเปิดประตูออกมาจากห้อง สภาพทั่วไปดูปกติไร้เม็ดเหงื่อไร้อาการเหนื่อยหอบเว้นแต่เสื้อผ้าที่ขาดเสียหายเล็กน้อยเพราะแรงเสียดสีจากการขยับตัวอย่างรวดเร็วเกินกำลังมนุษย์ธรรมดา

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”

“เปลี่ยนทำไมล่ะครับ แบบนี้ไม่เซ็กซี่เหรอ เสื้อผ้ารุ่ยนิด ๆ ขาดหน่อย ๆ”

สุดฟ้ากลอกตาวนไปวนอยู่สองสามรอบ “อย่าเลย เดี๋ยวชวิศาตกใจ” ก่อนจะเดินนำไปชั้นบน

ชวิศานั่งพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงราวกับเพิ่งผ่านสนามรบมาหมาด ๆ เมื่อเห็นสุดฟ้าเดินเข้ามาในห้องแล้วถึงได้ยันตัวนั่งดี ๆ พร้อมทั้งดึงกระดาษจดบันทึกออกมาจากอัญมณี เห็นจำนวนกระดาษที่ชวิศานำออกมาให้ดูแล้ว สุกฟ้าจึงพอเข้าใจได้ราง ๆ ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ดูเหนื่อยล้านัก เนื่องจากมันมีจำนวนร่วมสิบกว่าแผ่น

“ขอบใจมาก”สุดฟ้ารับมันมาถือไว้ในมือพร้อมทรุดตัวลงนั่งและเริ่มต้นอ่านตัวอักษรที่อยู่บนหน้ากระดาษ ชวิศาจึงถลาเข้าไปหา กอดแขนเกยคางไว้บนไหล่กว้างของชายหนุ่ม

“แค่ขอบใจเองเหรอ ไม่มีของรางวัลหรือครับ”

“อยากได้ของรางวัลอะไรล่ะ”

เจ้าของใบหน้าสวยจึงทำปากจู๋ สุดฟ้าหัวเราะและแนบปากลงไปหา ชวิศาจึงร้องเอาอีก เอาอีก พลางเอียงแก้มซ้ายแก้มขวาให้อีกฝ่ายกดจมูกลงมา

มาริเอะไม่อยากน้อยหน้า ซูเปอร์หุ่นยนต์สมองกลเดินเข้านั่งกอดแขนสุดฟ้าไว้อีกข้างและเอ่ยขอรางวัลบ้าง ชายหนุ่มคนกลางจึงต้องหันไปทำตามข้อเรียกร้อง สองหนุ่มหน้าตาเหมือนกันจึงยิ่งได้ใจ ขอให้เขาจูบปากจูบแก้มไม่หยุด สุดท้ายสุดฟ้าจึงพูดออกไปว่า

“ไปนั่งเล่นกันตรงโน้นก่อนไป ฉันจะทำงาน”เขาโบกมือไล่สองคนหย็อย ๆ ฝาแฝดคนละสายพันธุ์จึงออกอาการหน้างอโดยพร้อมเพรียงกัน กระนั้นก็จูงมือกันเดินห่างจากคนที่บอกว่าจะทำงาน

เมื่อไร้คนวุ่นวายแล้วสุดฟ้าจึงได้อ่านข้อมูลในกระดาษได้อย่างเต็มที่ เขาเข้าใจความสัมพันธ์ของธาตุต่าง ๆ และการเขียนวงเวทเพื่อเรียกใช้มนตราเมื่ออ่านจบ ตอนนั้นจึงลองเรียกชวิศาให้เข้ามาใกล้เพราะถึงจะเข้าใจวงเวทแต่ใช่ว่าเขาจะดึงพลังเวทของตัวเองออกมาใช้ได้

เพียงแต่ชวิศากับมาริเอะพร้อมใจกันทำเมินเขา

“ขอโทษน่า อย่าเพิ่งงอนเลยนะ มาช่วยฉันทำงานให้เสร็จก่อน ถ้าฉันทำงานเสร็จแล้วจะได้อยู่กับพวกนายสองคนนาน ๆ ไง”

“เชอะ!!!”ทั้งสองคนต่างสะบัดหน้าหนีไปคนละทาง

สุดฟ้าจึงต้องเป็นฝ่ายลุกไปหาและโอบทั้งคู่ด้วยวงแขนคนละข้าง ตามด้วยกดจมูกลงบนผิวแก้มเนียนใสทั้งสองฝั่ง “หายงอนนะ”

เป็นชวิศาที่ยอมคืนดีก่อน แต่มาริเอะแค่เห็นชวิศางอนเจ้านายผู้สร้างเขาจึงทำตาม เพราะต่อให้เป็นหุ่นยนต์สมองกลที่ฟังก์ชันการเรียนรู้ลอกเลียนนิสัยให้ใกล้เคียงมนุษย์แค่ไหน มาริเอะยังคงต้องเชื่อฟังคำสั่งของสุดฟ้าอยู่ดี

“ผมน่ะ ต้องหลุดไปอยู่ที่ไหนคนเดียวตั้งหลายเดือน คุณสุดฟ้าไม่รู้หรอกว่าผมคิดถึงคุณแค่ไหน ลำบากมากด้วย อยากกลับบ้านก็กลับไม่ได้”ชวิศาร้องบอกพร้อมหันไปกอดสุดฟ้าไว้

ที่แรกชายหนุ่มกำลังรู้สึกหน่ายใจกับการมีคนรัก แต่ก่อนเขาไม่ต้องเสียเวลาทำงานมาคอยเอาใจใคร กระนั้นพอได้ฟังสิ่งที่ชวิศาพูดจึงเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย เพราะถ้าคิดพิจารณาย้อนกลับไป ชวิศาก็ไม่เคยทำตัวมีปัญหาถ้าเข้าต้องทำงานข้ามวันข้ามคืน

หลังขอโทษขอโพยปรับความเข้าใจกันดีแล้ว ชวิศาจึงยอมให้ความร่วมมือช่วยเหลือเต็มที่

สุดฟ้าลองเขียนวงเวทมนตราง่าย ๆ เพื่อให้ชวิศาเรียกใช้สำหรับทดสอบความเข้าใจของตัวเอง แต่วงเวทบนกระดาษกลับไม่ทำงาน

“ไม่เข้าใจ ทำไมล่ะ”เขาบ่นกันตัวเอง ก่อนจะส่งกระดาษข้อมูลให้มาริเอะสแกนจับข้อความและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ดูบ้าง

“ลองเขียนบนกระดาษใบนี้ดูไหมครับ”ชวิศาเรียกกระดาษเปล่าซึ่งเป็นกระดาษคาถาที่กรินเคยให้ไว้ออกมาจากอัญมณี และปรากฏว่าวงเวทมนตราสร้างไฟที่สุดฟ้าเขียนกลับสามารถทำงานได้

“นึกว่าคุณสุดฟ้าจะเขียนวงเวทสร้างมนตรายาก ๆ เสียอีก”ชายหนุ่มเจ้าของพลังเวทพูดบ่น ก่อนจะลองเนรมิตเปลวไฟเล็ก ๆ ให้ลุกไหม้อยู่บนปลายนิ้วโดยไม่ต้องเพิ่งพาวงเวท

“ฉันเพิ่งลองเขียนวงเวทครั้งแรก ก็ต้องลองเขียนจากอะไรที่มันง่าย ๆ ก่อนสิ ทดลองดูว่าที่เข้าใจถูกต้องหรือเปล่า”และเอ่ยปากขอกระดาษแบบที่ชวิศาส่งมาให้อีกแผ่น

“ฉันขอเอาไปวิเคราะห์หน่อยว่ามันต่างจากกระดาษธรรมดายังไง”

จากนั้นชายหนุ่มเจ้าของบ้านจึงเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องทำงาน ออกมาอีกทีเวลาทำอาหารเย็นพร้อมผลการวิเคราะห์กระดาษคาถา

กระดาษแผ่นนั้นมีส่วนประกอบของเยื่อไม้ผสมกับโมเลกุลของธาตุบางชนิดที่เขาไม่รู้จัก เขาจึงส่งข้อความไปถามเจ้าชายของอาณาจักรฮัชดาลลาร์เกี่ยวกับการผลิตกระดาษนั่น และทำให้รู้ว่า คงต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าเขาจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้ ทั้งยังไม่สามารถประยุกต์ให้ชวิศาสามารถเรียกใช้เวทมนตร์ด้วยวิธีการง่าย ๆ

เมื่อเริ่มพบทางตัน ชายหนุ่มจึงหันมาให้ความสนใจกับงานอื่นที่เขาสามารถลงมือได้ก่อน อย่างปรับปรุงประสิทธิภาพของมาริเอะ สเตบาสเตียนและมอเตอร์สเปซ โดยหุ่นยนต์น้ำของธัชนนท์ไม่ได้อยู่ในตารางการทำงานอีกแล้ว

เมื่อผ่านไปสองสามวัน สองพี่น้องฝาแฝดสุวราลักษณ์ได้มาเยือนที่บ้านศิริกรตามที่สุดฟ้าเคยบอกกำหนดการไว้

คุณหุ่นยนต์พ่อบ้านออกมารับหน้าทั้งสองคนอีกเช่นเคย

ส่วนชวิศากลับไปบ้านที่มีมารดาและคุณยายอยู่อาศัยเนื่องจากสุดฟ้าไม่ว่างมาอยู่ด้วย มันทำให้เขาต้องอยู่คนเดียว ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าสวยจึงบอกว่าจะไปฝึกการใช้เวทกับคุณยาย ได้ยินอย่างนั้นเจ้าบ้านศิริกรยิ่งเห็นด้วยสนับสนุน

“ตกลงสุดฟ้ามันซ่อมน้ำเสร็จหรือยังเนี่ย”ธัชนนท์ถามสเตบาสเตียน

“ยังครับ”สเตบาสเตียนตอบตามตารางการทำงานที่สุดฟ้าได้บันทึกไว้

“อ้าว! ไหนมันบอกว่าสองสามวัน นี่มันทำอะไรอยู่ มันอยู่ไหนเนี่ย”

“ด็อกเตอร์กำลังปรับปรุงมอเตอร์สเปซอยู่ในห้องทำงานครับ แจ้งว่าไม่รับแขก ถ้าคุณไอซ์อยากพบต้องรอเวลาอาหารมื้อเย็นครับ”

ฝ่ายน้องชายจึงเข้ามาตบบ่าปลอบ “พี่จะเอายังไง รอมันไหม ผมว่ามันอาจจะเบี้ยวเล่นตัวเพื่อเก็บค่าแรงหรือเปล่า”

“ถ้ามันทำอย่างนั้นครั้งหน้าฉันก็จะยึดปันผลของมัน”

สองคนเดินตามกันทรุดนั่งที่โซฟาพลางพูดคุยปรึกษาหารือ

“หรือลองให้ฝ่ายดิวิล็อปที่โรงงานลองซ่อมให้ดี ครั้งก่อนก็ถอดวิเคราะห์ดูแล้ว พวกนั้นอาจจะซ่อมได้ก็ได้”ถึงธัชนันท์จะให้ทีมพัฒนาถอดชิ้นส่วนของหุ่นยนต์เพื่อลอกแบบโครงสร้าง แต่กระนั้นหุ่นยนต์รูปลักษณ์มนุษย์ที่พวกเขาต้องการผลิตเพื่อการจัดจำหน่ายยังอยู่ในช่วงพัฒนาเนื่องจากโปรแกรมการทำงานที่เพื่อนสนิทสมัยเด็กของพวกเขาเขียนเพื่อควบคุมไม่ได้คัดลอกกันได้ง่าย ๆ ทั้งยังต้องแก้ไขลักษณะรูปลักษณ์ให้เป็นผู้หญิง นอกจากนั้นยังติดเรื่องระบบพลังงานที่ซับซ้อน

“เออ ก็ได้ลองดู เพราะขืนปล่อยไว้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เจ้าสุดฟ้าจะซ่อมให้”ธัชนนท์พูดตอบน้องชายอย่างที่รู้นิสัยสุดฟ้าเป็นอย่างดี กรณีที่เจ้านั่นไม่ลงตารางงานซ่อมหุ่นยนต์ของเขาไปด้วย คงมีแค่สองอย่าง ไม่ลืมก็กำลังเล่นแง่ จากนั้นจึงหันไปพูดกับสเตบาสเตียน

“ฉันขอพาน้ำกลับไปได้ไหม”

สเตบาสเตียนไม่ได้ตอบปฏิเสธทั้งยังไปพาหุ่นยนต์มีเหลือแต่ตัวมาให้ทั้งสองคน พวกเขาจึงแน่ใจว่าเจ้าสุดฟ้าคงลืมแน่ ๆ

เมื่อรับหุ่นยนต์มาแล้วสองพี่น้องจึงเดินทางกลับ

ขณะเดียวกันสุดฟ้าที่กำลังง่วนอยู่กับการเขียนแก้คำสั่งยานพาหนะ บนหน้าจอซึ่งแสดงหน้าต่างโปรแกรมเขียนโค้ดคำสั่งก็ปรากฏแจ้งเตือนอีเมลเข้า ซ้ำร้ายการแจ้งเตือนยังเกิดขึ้นไม่หยุด

“อะไรวะ สแปมหรือไงเนี่ย”สุดฟ้าบ่นกับตัวเองพลางเปิดหน้าต่างกล่องรับเข้าอีเมลขึ้นมา หัวจดหมายที่ถูกส่งเข้ามาระบุข้อความว่า ‘ด่วนที่สุด สำคัญที่สุด’ แต่ชายหนุ่มคิดว่าคงมีคนกำลังโจมตีระบบของเขาเสียมากกว่า เพราะจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกส่งมาหลายสิบฉบับเป็นหัวข้อเดียวทั้งหมด

“อยากลองดีเหรอ”เขาขยับนิ้วมือเรียกหน้าต่างเขียนโปรแกรมคำสั่งอีกโปรแกรมหนึ่งขึ้นมา กำลังจะกดแป้นพิมพ์เพื่อดักจับเจ้าของจดหมาย ทว่าหัวข้อของอีเมลเหล่านั้นกลับเปลี่ยนไปเสียก่อน

‘ถ้าไม่อยากให้พ่อแม่แกตาย อ่านอีเมลเดี๋ยวนี้’

ชายหนุ่มสบถออกมาไม่เป็นภาษา

และเพราะมั่นใจว่าระบบความปลอดของตนจะไม่ถูกเจาะทำลายได้ง่าย ๆ เขาจึงยอมคลิกเปิดอีเมล ในนาทีนั้นเอง จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่เคยถูกส่งเข้ามาต่อเนื่องมากมายก็หยุดไปในฉับพลัน

เนื้อหาในจดหมายตรงไปตรงมาแสดงความต้องการที่ไม่ได้ปล่อยให้เขาปฏิเสธ มันเขียนไว้แค่ว่า “เอาแบบแปลนระเบิดมา แล้วพ่อแม่ของแกจะปลอดภัย”

สุดฟ้าอ่านทวนข้อความสั้น ๆ นั้นอยู่หลายนาที ทั้งในใจยังปรากฏหลายความรู้สึก

ว่ากันตามตรง เขาไม่ได้เจอพ่อแม่มานานหลายปี ครั้งล่าสุดคือเมื่อรับปริญญาตอนเรียนจบ พ่อและแม่มาแสดงความยินดีกับเขาด้วยสีหน้าชื่นมื่นเหมือนพ่อแม่คนอื่น หลังมาอยู่กับเขาครบอาทิตย์ทั้งสองคนก็หายตัวไปอีกซึ่งการกระทำนั้นไม่ได้ทำให้เขาตื่นเต้นเดือดร้อนเพราะไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้ยินข่าวการเสียชีวิตของทั้งคู่ เขาจึงคิดเอาว่าบุพการีทั้งสองสบายดี

สุดฟ้าหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา กดโทรออกด้วยเบอร์ยาวเหยียดต่อสายไปต่างประเทศ ทว่าสิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงเสียงตู๊ดตู๊ดที่ไม่สามารถติดต่อปลายสายได้ เขาพ่นลมหายใจ

“เป็นแบบนี้ทุกครั้งเลยเว้ย”นั่นเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เขาไม่มีโอกาสได้คุยกับบุพการีทั้งสอง เพราะโทรไปกี่ครั้งก็ไม่เคยติดต่อได้สักครั้ง ฉับพลันนั้นเขากลับฉุกคิดขึ้นได้ เขารีบกดโทรศัพท์หาฝาแฝดสองพี่น้องทันที

“ฉันมีเรื่องให้ช่วยหน่อย”

“ไม่ ช่วย เว้ย”ตอบกลับมาเช่นนั้นแล้วปลายสายก็ตัดไปอย่างรวดเร็ว

สุดฟ้าจึงสบถด่าอีกรอบพร้อมกดโทรออกซ้ำ เมื่อปลายสายกดรับ เขารีบกรอกเสียงลงไปว่า “ถ้าวางสายบ้านบึ้ม”

“เออ ๆ มีอะไรว่ามา”

“แกติดต่อพ่อแม่ของฉันได้หรือเปล่า”

“ไม่อะ”

“เลว!!! พวกแกหลอกฉันเหรอ”เขาจำได้ว่า ตอนที่อยู่ฮัชดาลลาร์แฝดพี่เอาชื่อพ่อแม่เขามาขู่ ทำท่าจะติดต่อหาพ่อแม่เขาได้เสียเดี๋ยวนั้น

“ไม่ได้หลอก”ธัชนนท์รีบตอบกลับ “พ่อแม่ฉันติดต่อได้”

“งั้นฝากถามคุณลุงคุณป้าหน่อย ตอนนี้พ่อแม่ฉันอยู่ไหน”

“อ้อ รออีกสองอาทิตย์นะ ตอนนี้พ่อกับแม่ฉันไปฮันนีมูนรอบที่สามสิบเลยติดต่อไม่ได้”

ชายหนุ่มได้ยินคำตอบจึงสบถด่าเสียงดังลั่น

“อะไรของแกเนี่ย อยู่ ๆ จะส่งสัตว์สงวนมาให้ฉันเพื่อ?”ธัชนนท์ที่อยู่ปลายสายเอ่ยถาม

“ทำไมถึงไปฮันนีมูนได้ถูกจังหวะขนาดนี้วะ”

“เกิดอะไรขึ้นหรือไง”

“มีอีเมลเข้ามาบอกให้เอาแบบแปลนบอมบ์พินาศไปแลกกับพ่อแม่”

คราวนี้เป็นฝาแฝดสองพี่น้องที่สบถอุทานออกมาพร้อมกัน เขาทั้งคู่ยังอยู่บนท้องถนน กำลังเดินทางออกนอกเมืองไปยังที่ตั้งโรงงานเพื่อนำหุ่นยนต์น้ำไปให้ทีมพัฒนา

“แกหาต้นตอที่มาของอีเมลหรือยัง”เสียงที่พูดประโยคนี้เป็นของฝาแฝดคนน้อง และแฝดผู้พี่ก็พูดแทรกขึ้นมาอีกประโยคว่า

“คุณลุงกับคุณป้าเนี่ยนะโดนจับตัวไป”

“นั่นดิ จะมีคนเจอตัวท่านทั้งสองง่าย ๆ ด้วยเหรอวะ”


“ถึงจะเจอตัวยากแต่ขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้มันมีแต่สองที่เปล่าวะ”สุดฟ้าพูดขึ้นบ้าง เท่าที่เขารู้แผนการเดินทางของบิดามารดา ท่านทั้งสองบอกแค่ว่าจะไปศึกษาเก็บข้อมูลการละลายตัวของน้ำแข็งแถวขั้วโลก

“ขั้วโลกนะเว้ย ไม่ใช่สยาม ขนาดหาคนที่สยามยังยากเลย ไปหาที่ขั้วโลกมันจะไม่ยากกว่าเหรอวะ เอ๊ะ...หรือว่ามันง่าย”ธัชนันท์พูดอย่างไม่แน่ใจ

“แทนที่จะมาคุยกันเองทำไมแกไม่ส่งข้อความไปถามคนที่ส่งอีเมลมาวะ หรือไม่ก็แฮ็กหาที่อยู่มันซะ”ธัชนนท์พูดขึ้นมาอีก

“เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วเว้ย”สุดฟ้าพูดพลางพิมพ์ข้อความส่งกลับไปถามอีกฝ่าย ขณะเดียวกันนิ้วทั้งสิบก็กดรัวคำสั่งเพื่อหาต้นตอแหล่งที่มาของจดหมายอิเล็กทรอนิกส์

“เออ งั้นแค่นี้ละกัน พวกฉันกำลังยุ่ง”

สุดฟ้าบ่นพึมพำอีกเล็กน้อยที่ฝาแฝดไม่นึกห่วงพ่อแม่ของเขาบ้างเลยหลังจากทั้งสองคนตัดสายไป แต่พูดถึงความคิดของเขาแรก ๆ ก็ยังรู้สึกว่าเหมือนการแกล้งกันเล่นมากกว่าเป็นเรื่องจริง ก่อนจะต้องชะงักไปชั่วครู่เมื่อไม่สามารถเจาะไปถึงต้นทางของอีเมลมากมายที่ส่งมาถึงเขาได้ พร้อมกันนั้น อีเมลที่ตอบกลับมาได้แนบรูปภาพบุพการีทั้งสองคนที่โดนมัดมือมันเท้าและมัดปิดปากส่งมาให้เขาดู

สุดฟ้ากะพริบปริบ ๆ มองภาพนั้นอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาเท่าไหร่นัก ทว่ากลับเริ่มลังเล

หรือข้อความพวกนี้จะเป็นเรื่องจริง!!!


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สี่สิบสี่



สุดฟ้ากดโทรศัพท์หาฝาแฝดสองพี่น้องอีกครั้ง ครั้งนี้เขาถามหารูปภาพของพ่อและแม่ที่ทั้งสองคนมีเก็บไว้

“รูปพ่อแม่แก ทำไมมาถามพวกฉันวะ”

“แล้วรูปที่ถ่ายตอนรับปริญญาหายไปไหนวะ แกไม่ได้เก็บไว้เหรอ”


เมื่อสองพี่น้องพูดอย่างนั้นเขาถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ สุดฟ้าตัดสายการเชื่อมต่อก่อนรีบลุกออกจากห้องไปค้นหาภาพถ่าย ตู้กระจกที่เก็บอัลบั้มรูปภาพตั้งอยู่ติดผนังเป็นเครื่องเรือนที่ดูไร้ประโยชน์อย่างเดียวในบ้านในความคิดของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ แน่นอนว่าเขาไม่มีไฟล์ภาพอยู่ในเครื่อง ในเมื่ออัดใส่กระดาษไว้แล้วจะต้องเก็บไฟล์ไว้อีกทำไม รูปภาพไม่ใช่แบบแปลนสิ่งประดิษฐ์ของเขาเสียหน่อย

เขาเปิดหาภาพที่ต้องการ เมื่อพบจึงนำรูปใบนั้นออกมาจากเล่มถือกลับเข้าไปในห้องทำงาน วางบนเครื่องสแกนที่เขาสั่งซื้อมาทางอินเทอร์เน็ต สำหรับสิ่งของที่มีขายอยู่แล้วเขาไม่คิดหาความลำบากให้ตัวเองด้วยการสร้างมันขึ้นมาใหม่

เครื่องสแกนจับรูปภาพพ่อแม่เขาส่งเข้าไปในคอมพิวเตอร์ จากนั้นสุดฟ้าเปิดหน้าต่างโปรแกรมดึงชุดคำสั่งที่เคยเขียนไว้สำหรับเปรียบเทียบรูปใบหน้าคนขึ้นมา ทว่าหลังผ่านการคำนวณของโปรแกรมสมองกลแล้ว กลับกลายเป็นว่าภาพของบิดามารดาที่ถูกส่งมาข่มขู่มีส่วนคล้ายกับภาพที่เขามีอยู่ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์

“ทำยังไงดีวะ”สุดฟ้ารำพึงรำพันกับตัวเอง เขามั่นใจว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะ แต่อัจฉริยะอย่างเขาก็มีเรื่องที่ชอบกับไม่ชอบ และเขาก็ไม่ชอบการคิดวางแผนไปจัดการกับมนุษย์คนอื่น เพราะนอกจากมนุษย์บางคนจะมีการคิดตัดสินใจที่ไม่สามารถอ้างอิงตามหลักเหตุผลในบางครั้ง เขายังต้องหาทางรับมือเป็นร้อยเป็นพันรูปแบบถ้าต้องการให้แผนสำเร็จจริง ๆ

เขากลอกตา จากนั้นเปิดหน้าต่างโปรแกรมข้อความเพื่อส่งข้อความคำสั่งให้หุ่นยนต์สมองกลทั้งสองตนมาหาเขา

เมื่อครู่ที่เขาออกไปด้านนอก เขาเห็นว่าสเตบาสเตียนกำลังทำงานพ่อบ้านอยู่ ส่วนมาริเอะอยู่ในห้องทดสอบเพื่อเก็บผลลัพธ์ค่าปริมาณการใช้พลังงานหลังจากที่เขาเปลี่ยนระบบแบตเตอรี่เป็นแบบใหม่

นั่งรอไม่นาน หุ่นยนต์ทั้งสองตนถึงได้มาปรากฏตัวยืนนิ่งรอคำสั่งอยู่ตรงหน้า

“มีใครก็ไม่รู้ส่งอีเมลว่า ตอนนี้พวกมันกำลังจับตัวพ่อแม่ของฉันไว้ และให้ฉันเอาแบบแปลนบอมบ์พินาศไปแลก”

พอพูดออกไปแล้ว สุดฟ้าถึงเพิ่งเอะใจนึกขึ้นได้ ‘ทำไมคนที่อยู่รอบตัวเขาถึงต้องโดนจับตัวไปหรือไม่ก็โดนลักพาตัวไปตลอดเลยนะ’

ครั้งแรกก็มาริเอะที่โดนชวิศากับพี่ชายลักพาตัวไป ถึงครั้งนั้นอาจจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการลักพาตัวอย่างเต็มปากเต็มคำก็เถอะ

ครั้งที่สองที่ฮัชดาลลาร์ ชวิศาและมาริเอะถูกจับตัวไปพร้อมกัน

ครั้งที่สามเป็นชวิศาคนเดียวทั้งที่เขาเพิ่งช่วยอีกฝ่ายออกมาได้ไม่นาน

และครั้งนี้ก็พ่อแม่ของเขา ถึงจะยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ถึงกระนั้นไม่ว่าอย่างไร เขาต้องยืนยันว่าบุพการีทั้งสองยังปลอดภัย

“พบพิกัดที่จะเป็นต้นทางของอีเมลแล้ว ด็อกเตอร์จะให้แสดงผลไหมครับ”มาริเอะเอ่ยรายงาน

“เฮ้ย!!! จริงดิ”ชายหนุ่มร้องอุทานพร้อมคิดอยู่ในใจ ทำไมมันเร็วอย่างนี้ ถึงจะเป็นคนลงมือปรับปรุงมาริเอะด้วยตัวเอง ทว่าเขายังไม่อยากเชื่อว่าประสิทธิภาพของมาริเอะจะก้าวกระโดดไปถึงเพียงนี้

“เดี๋ยว ๆ ใจเย็นก่อน”เขาบอกจากนั้นเอ่ยถาม “ฝั่งนั้นรู้ตัวหรือยัง”

“ยังครับ”

“มันต้องคิดให้รอบคอบหน่อย ฉันยังไม่รู้เลยว่าพ่อแม่โดนจับตัวไปจริงหรือเปล่า”

คำถามนี้ไร้คำตอบจากหุ่นยนต์ทั้งสองตน

“ในฐานข้อมูลของสเตบาสเตียนมีไฟล์วิดีโอที่ด็อกเตอร์เคยใช้โปรแกรมวิดีโอคอลกับคุณสุดเขตและคุณปานฟ้าเก็บไว้ ถ้าให้เจ้าของอีเมลต้นทางส่งไฟล์วิดีโอของท่านทั้งคู่มาตรวจสอบเปรียบเทียบก็น่าจะได้ผลที่น่าเชื่อถือได้นะครับ”มาริเอะพูดเสนอ

“ได้! อนุมัติทำเลย”

“ส่งอีเมลเรียบร้อยครับ กำลังรอการตอบกลับ”มาริเอะรายงาน “ต่อไปคือต้องตรวจสอบว่าสถานที่ต้นทางของอีเมลกับที่ที่คนร้ายจับตัวคุณสุดเขตกับคุณปานฟ้าไว้เป็นที่เดียวกันหรือไม่”

“เออใช่ พวกมันอาจจะพาพ่อแม่ฉันไปอยู่ที่อื่นก็ได้”ชายหนุ่มพูดอย่างเห็นด้วย

“เนื่องจากพิกัดตำแหน่งอยู่นอกพื้นที่แทรกแซงของสเตบาสเตียนผมจึงไม่สามารถตรวจสอบได้”

“แล้วพิกัดต้นทางของอีเมลอยู่ที่ไหน”

มาริเอะจึงบอกชื่อของตำแหน่งพิกัดนั้นซึ่งเป็นเขตหนึ่งในต่างประเทศ อย่างไรก็ดีพิกัดตำแหน่งที่ว่า มันห่างจากจุดที่พ่อแม่ควรอยู่ชนิดที่เรียกว่าข้ามทวีป กระนั้น ตัวเขาก็ไม่สามารถยืนยันได้อยู่ดีว่าตอนนี้บุพการีทั้งสองของเขาอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้กันแน่

“ตอนอยู่ฮัชดาลลาร์ ด็อกเตอร์เคยตามหาคุณชวิศาด้วยการใช้สิ่งของส่วนตัว”สเตบาสเตียนเอ่ยขึ้นมาบ้าง

“นั่นมันเวทมนตร์แต่ไม่ใช่ความสามารถของด็อกเตอร์สักหน่อย”มาริเอะหันไปบอกหุ่นยนต์พ่อบ้าน ซึ่งสเตบาสเตียนก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดโต้แย้งเพียงแต่เก็บบันทึกข้อมูลนั้นไว้

เนื่องจากทั้งสองเป็นหุ่นยนต์ กล้องจับภาพที่ดวงตาจึงไม่สามารถจับภาพกรินได้ แต่มาริเอะรับรู้การมีอยู่ของกรินได้จากระบบเซนเซอร์

ฝ่ายสุดฟ้าที่ได้ยินมาริเอะพูดเช่นนั้นก็เกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมา เพราะจนป่านนี้เขายังทำใจเรื่องที่ถูกติว่าสมาธิไม่ดีไม่ได้สักที

“ถ้าพูดถึงเวทมนตร์ อย่างนั้นให้คุณชวิศาช่วยก็ได้นี่ครับ”

“ชวิศาอาจจะช่วยไม่ได้เหมือนกัน”เมื่อนึกถึงผลลัพธ์การใช้เวทมนตร์ของชวิศาที่เคยเห็นแล้ว สุดฟ้าก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าคนที่ถูกพูดถึงจะช่วยเขาได้

เขาถอนหายใจเพราะเริ่มเจอทางตันอีกแล้ว

“ถ้าฉันเอาแบบแปลนไปให้พวกมัน...”

“ที่พวกมันบอกว่าจับคุณสุดเขตกับคุณปานฟ้าไว้ มีความเป็นไปได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าคิดในกรณีที่พวกนั้นจับท่านทั้งสองไปจริง ก็มีความเป็นไปได้ว่า หลังจากที่ด็อกเตอร์เอาแบบแปลนไปให้พวกมันแล้ว พวกด็อกเตอร์จะปลอดภัยโดยไม่บาดเจ็บกลับมาแค่สิบหกเปอร์เซ็นต์ ยังไม่นับรวมความเสี่ยงอันเนื่องจากไม่ทราบข้อมูลฝ่ายตรงข้ามด้วย”

สุดฟ้านิ่งคิด

ใช่ตามที่มาริเอะพูด เขาไม่มีข้อมูลใด ๆ ของฝ่ายตรงข้าม ขณะที่ฝ่ายนั้นน่าจะรู้ข้อมูลของเขาอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง มันถึงเป็นเรื่องยากในการต่อกรกับมนุษย์ด้วยกัน

แต่ไหนแต่ไรมา เขาได้แต่หมกตัวอยู่ในที่ปลอดภัยของตัวเอง ถ้าโดนโจมตีก็แค่ป้องกันไว้ซึ่งที่ผ่านมามีแต่พวกเจาะระบบเข้ามาขโมยข้อมูล หรือลอบเข้าบ้านเพื่อขโมยของ เขาไม่ต้องออกจากที่มั่นไปรบรากับคนอื่น เท่ากับว่าครั้งนี้พวกมันจับจุดอ่อนของเขาได้ชะงัดนัก

“ด็อกเตอร์ครับ ฝ่ายนั้นส่งอีเมลกลับมาแล้ว”สเตบาสเตียนแจ้งเตือน

“จัดการด้วยแล้วกัน”เขาเอ่ยสั่งขณะที่พยายามคิดหาหนทางที่ดีที่สุด ทว่ามาริเอะได้พูดขึ้นมาอีกว่า “ในกรณีนี้วิธีการที่ดีที่สุดคือถ่วงเวลาเพื่อสืบหาข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม”

“ถ่วงเวลาน่าจะไม่อยาก แต่จะสืบหาข้อมูลอย่างไร”

“ด็อกเตอร์ก็มีซูเปอร์หุ่นยนต์สมองกลอย่างพวกเราสองคนอยู่แล้วนี่ครับ”มาริเอะพูดพร้อมรอยยิ้ม “ครั้งก่อนตอนที่ผมทำหน้าที่คุ้มครองคุณชวิศา ถ้าได้ใช้อาวุธอย่างไรผมก็ไม่แพ้หรอก” อาวุธที่มาริเอะกล่าวถึงถูกระงับใช้งานจนกว่าจะมีการทดสอบ

สุดฟ้าติดอาวุธจำพวกปืนกลไว้ในร่างหุ่นยนต์ แต่เขาติดไว้เพื่อถ่วงน้ำหนักโครงร่างหุ่นยนต์ให้เหมือนมนุษย์

ทั้งโครงสร้าง ระบบขับเคลื่อนและระบบควบคุมภายใน เขาเลือกใช้วัสดุน้ำหนักเบา ดังนั้นหลังประกอบชิ้นส่วนทุกอย่างแล้ว น้ำหนักของมาริเอะและสเตบาสเตียนจึงเบากว่ามนุษย์จริง อีกประการ เขาวางแผนไว้เผื่อต่อยอด แน่นอนว่า เขาอุตส่าห์สร้างหุ่นให้เหมือนมนุษย์ เพราะฉะนั้น หุ่นยนต์สองตนต้องมีพิษสงมากพอที่ไม่จะไม่โดนใครที่ไหนมาขโมยไปง่าย ๆ 

“ผลการวิเคราะห์เสร็จแล้วครับ”สเตบาสเตียนแจ้งเตือนอีกรอบ และพูดรายงานผลต่อทันที “เสียงของสุดเขตและคุณปานฟ้ามีการตัดต่อ การขยับปากช้ากว่าเสียงพูดเหมือนมีการดีเลย์ของสัญญาณ”

“ก็มีความเป็นไปได้สองกรณี คนที่ส่งอีเมลมาให้ฉันอยู่คนละที่กับสถานที่ที่พ่อแม่ถูกจับตัวอยู่ กรณีที่สอง ตอนนี้พ่อแม่ของฉันยังปลอดภัยดี”

“แต่ก็ไม่แน่ว่า คุณสุดเขตกับคุณปานฟ้าอาจจะปลอดภัยอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกควบคุมอยู่ก็ได้”

“หือ?”ชายหนุ่มขานเสียงในลำคอด้วยความสงสัย ทว่าก็ไม่มีคำตอบที่แน่ชัดออกมาจากมาริเอะ จากนั้นเขาหันหน้าเข้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง เรียกเปิดไฟล์ข้อมูลเวทมนตร์ที่มาริเอะเคยจัดเก็บไว้ ไล่ดูเนื้อหาความสัมพันธ์เหล่านั้นอีกครั้ง และเปิดโปรแกรมออกแบบแผงวงจรขึ้นมา

“กลับไปทำงานของตัวเองได้แล้ว ถ้ามีอะไรเดี๋ยวฉันเรียก”

สเตบาสเตียนรับคำสั่งพร้อมก้าวเท้าออกไปจากห้อง

“ให้ผมกลับไปทดสอบต่อหรือเปล่าครับ”มาริเอะเอ่ยถาม

“ไม่ต้องทดสอบเรื่องพลังงานแล้ว”สุดฟ้าตอบหลังจากเปิดกราฟข้อมูลที่ถูกบันทึกผลไว้ขึ้นมาดู ขณะเดียวกันทั้งสองมือก็พิมพ์คำสั่งเพื่อปรับเปลี่ยนห้องทดสอบ “ทดสอบหัวข้อการใช้งานอาวุธเลยก็ได้”

หลังจากนั้นเขาสับเปลี่ยนหน้าต่างกลับมาที่โปรแกรมออกแบบแผงวงจรเพื่อสร้างอุปกรณ์ที่จะช่วยทำให้ชวิศาใช้พลังเวทได้ง่าย ๆ

อุปกรณ์ที่เขาต้องการสร้างอ้างอิงแนวคิดตามการใช้งานกระดาษคาถาที่ชวิศาเคยใช้ ถึงจะเข้าใจหลักการวิธีเขียนวงเวท กระนั้นเขาก็มีความรู้ในการใช้พลังเวทอยู่ในระดับหางอึ่งเท่านั้น

หลังจากเขียนแบบแผ่นวงจรเรียบร้อย เขาลงบันไดไปยังชั้นใต้ดิน จัดการตัดแผงวงจรมาเข้าเครื่องและโหลดแบบวงจรที่เพิ่งเขียนเสร็จ สั่งให้โปรแกรมของแขนกลทำงานตามนั้น

ขั้นตอนต่อไปคือการทำกรอบพลาสติกด้านนอก

ที่เขาต้องการทำคือเครื่องพิมพ์ขนาดเล็ก ใช้หน้าจอระบบสัมผัสรูปแบบคล้ายโทรศัพท์เช่นเดิม สุดฟ้ามีอะไหล่หน้าจอทัชสกรีนอยู่แล้ว เขาจะเชื่อมต่อมันเข้ากับแผงวงจร และใช้หัวพิมพ์ในรูปแบบการยิงความร้อนเนื่องจากกระดาษที่ใช้เป็นรูปแบบเฉพาะและเขาไม่ต้องการให้มีการใช้กล่องหมึก แม้ตอนแรกจะไม่ค่อยมั่นใจกับแนวคิดนี้ กระนั้นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ของเขาก็เสร็จเรียบร้อยในช่วงเย็น

สุดฟ้าจึงนำมันออกมาให้ชวิศาลองใช้ ทว่ามันมีปัญหาเกี่ยวกับการป้อนคำสั่งเพื่อให้อุปกรณ์ชิ้นนั้นสร้างวงเวท ผลของมนตราไม่ตรงกับความต้องการของชวิศา ซึ่งจากการสังเกตหลังให้ชวิศาทดลองป้อนคำสั่งไปสองสามครั้ง ทำให้เขารู้ว่าถ้าจะทำให้มันสำเร็จ เขาต้องวิเคราะห์รูปแบบวิธีการใช้คำของชวิศาเพิ่มมาอีกอย่าง

“คุณสุดฟ้าก็เขียนให้เลยไม่ได้หรือครับ”

“ถ้าฉันไม่อยู่กับนายหรือว่าอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ฉันเขียนให้ไม่ได้ละ”

“อืม งั้นก็ให้คุณมาริเขียนให้”

สุดฟ้าจึงหันไปมองหุ่นยนต์ที่มีหน้าตาเหมือนชวิศา มาริเอะยกยิ้มให้อยู่เช่นเดิม เขาถอนหายใจส่งอุปกรณ์ที่เสียเวลาค่อนวันสร้างมันขึ้นมาไปให้สเตบาสเตียน

“เอามันไปเก็บไว้ในกล่องความล้มเหลว”

“กล่องความล้มเหลว?”ชวิศาเอ่ยถาม

เมื่อเห็นแล้วว่าเจ้าของกล่องใบนั้นไม่อยากให้คำตอบ มาริเอะจึงได้ผายมือไปผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลกล่องใบนั้น

“เป็นกล่องที่เก็บชิ้นงานล้มเหลวตามชื่อของมันครับ”

“ถ้าอย่างนั้นให้ผมลองใช้มันดูอีกครั้งก็ได้ครับ”

“ไม่ต้องฝืนหรอก”สุดฟ้ารีบบอก “ฉันเคยสร้างของไร้สาระไม่มีประโยชน์มาเยอะแยะแล้ว ไม่ต้องคิดมาก”

“แต่คุณสุดฟ้าอุตส่าห์ทำมาให้ผมใช้”

“อือ... งั้นไว้รอให้ฉันปรับปรุงมันให้ดีกว่านี้ก่อนแล้วกัน แต่ตอนนี้มาคุยเรื่องพลังเวทของนายดีกว่า เป็นอย่างไรบ้าง ช่วงที่ผ่านมานายได้ไปเรียนเวทมนตร์กับคุณยายมานี่”

“ฮะ ฮะ ฮะ”ชวิศาหัวเราะแห้งแล้ง แล้วต่อประโยคเสียงอ่อย “คุณยายก็ยอมแพ้ไปแล้วครับ ไม่กระเตื้องขึ้นสักนิด”

สุดฟ้าโคลงศีรษะรับรู้ เขาเป็นพวกพูดปลอบใจไม่เก่งจึงไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไร กับฝาแฝดก็ได้แต่ด่ากันไปด่ากันมา “แต่นายยังใช้เวทจากกระดาษคาถาได้ ไม่เป็นไรหรอกและก็ทำอย่างที่นายว่า เดี๋ยวฉันหรือมาริจะเป็นคนเขียนวงเวทให้เอง”

ชวิศาพยักหน้ารับก่อนจะเอะใจคิดขึ้นได้ “คุณมาริก็เขียนวงเวทได้ด้วยเหรอ” ถึงมาริเอะจะเป็นซูเปอร์หุ่นยนต์สมองกลแต่เขาเพิ่งมาฉุกคิดว่า วงเวทมันยากจะตาย มาริเอะอาจจะเขียนไม่ได้ก็ได้

“วิธีการเขียนวงเวทมันก็เป็นระบบเหมือนกัน มีหลักการของการใช้คำสั่ง เพราะงั้นมาริต้องเขียนได้อยู่แล้ว” สุดฟ้าพูด “เดี๋ยวลองให้มาริเขียนวงเวทเพื่อก๊อบปี้กระดาษคาถาพวกนี้ดูก่อนละกัน”

หลังจากที่เจ้าชายฟาลิฮ์ติดต่อมาอีกครั้ง ทรงแจ้งว่ามีชาวเมืองครอบครัวหนึ่งได้สืบทอดวิธีการทำกระดาษคาถามารุ่นต่อรุ่น แต่เนื่องจากมีผู้ใช้งานจำนวนน้อย กระดาษเหล่านี้จะถูกทำขึ้นก็ต้องเมื่อมีการสั่งซื้อเท่านั้น เจ้าชายจึงทรงถามเขาว่ายังต้องการหินที่ใช้ผสมในกระดาษหรือกระดาษพวกนั้นด้วย สุดฟ้าจึงตอบกลับไปว่าต้องการทั้งสองอย่าง กระนั้นของที่สั่งต้องรอการขนส่งอีกสี่ถึงห้าวัน เขาถึงให้ลองก๊อบปี้พวกมันเพื่อสำรองให้งานไปก่อน

ขณะที่มาริเอะเขียนวงเวทเพื่อเพิ่มจำนวนกระดาษคาถา สุดฟ้าก็เขียนวงเวทเพื่อตามหาที่อยู่ของพ่อและแม่

เขาเคยเห็นเจ้าชายฟาลิฮ์เขียนวงเวทกับพื้น นั่นแสดงว่า วงเวทไม่ได้จำกัดการใช้อยู่แค่บนกระดาษคาถา แต่วงเวทของเจ้าชายนั้นทรงเขียนด้วยพลังเวท เมื่อลองเปรียบเทียบกับกระดาษคาถาที่ชวิศาใช้และการที่เขาใช้กระดาษธรรมดาแต่เวทมนตร์ไม่ทำงาน นั่นเพราะเส้นและอักขระข้อความของวงเวทเชื่อมโยงกันด้วยธาตุทั้งห้าหรืออย่างน้อยต้องธาตุใดธาตุหนึ่ง

กระดาษคาถาของชวิศามีขนาดเล็กเพียงประมาณฝ่ามือ เขาจึงนำมันมาวางเรียงซ้อนกัน ร้องบอกให้สเตบาสเตียนหยิบอัลบั้มรูปออกมาให้ ส่วนตัวเขาก็เขียนวงเวทบนกระดาษที่วางเรียงต่อกันเป็นกระดาษคาถาแผ่นใหญ่

ฝ่ายมาริเอะที่ลองเขียนวงเวทให้ชวิศาก๊อบปี้เพิ่มจำนวน ปรากฏว่ามันเพิ่มได้ในรูปแบบการคูณสองเท่านั้น หมายถึง หากต้นแบบเท่ากับหนึ่ง มันจะมีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแผ่น ครั้งที่สองมาริเอะจึงให้ชวิศาถือกระดาษต้นฉบับสิบแผ่น หลังพลังของมนตราสิ้นสุดจึงมีกระดาษคาถาเป็นจำนวนยี่สิบแผ่น และทดสอบประสิทธิภาพของพวกมันด้วยวงเวทเพิ่มจำนวนกระดาษคาถาเช่นเดิม ตอนนี้พวกเขาจึงมีกระดาษคาถาเพิ่มขึ้นมาอีกประมาณสามสิบแผ่น

“ชวิศามาทางนี้หน่อย”สุดฟ้าเอ่ยเรียกเมื่อเขาเขียนวงเวทเสร็จ ชายหนุ่มเจ้าของชื่อมองวงเวทที่ถูกเขียนอยู่บนกระดาษซึ่งวางซ้อนต่อกันอยู่ด้วยความแปลกใจเล็กน้อย

“มีอะไรหรือ”

ชวิศารีบเอ่ยปฏิเสธ เขาไม่แน่ใจว่าการเขียนวงเวทบนกระดาษที่เรียงต่อกันแบบนี้จะใช้ได้ แต่เพราะตนเองก็ไม่ค่อยมีความรู้เช่นกัน จึงไม่กล้าเอ่ยแย้ง

“วงเวทสำหรับทำอะไรหรือครับ”

“ตามหาพ่อแม่ฉัน เอ่อ... แต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ประมาณ... ดูว่าพวกท่านทั้งสองถูกจับไปจริง ๆ หรือยังอยู่สุขสบายดี”

ชวิศาพยักหน้ารับรู้ ถึงจะตีความอักขระในวงเวทไม่ออกแต่เพราะใช้งานวงเวทขนาดใหญ่มาหลายครั้ง เขาจึงพออนุมานการตั้งต้นจุดเริ่มเพื่อขับเคลื่อนวงเวทได้ ชวิศาเดินอ้อมไปวางมือระหว่างอักขระธาตุไฟซึ่งการกระทำนั้นเป็นรายละเอียดที่สุดฟ้าไม่รู้ ชายหนุ่มผู้เขียนวงเวทจึงเลิกคิ้วแต่ยังคงเงียบเสียงมองดู

ชวิศาถ่ายเทพลังเวทลงไป เมื่อพลังนั้นเคลื่อนที่วนบรรจบครบวัฏจักร รูปภาพของบุพการีทั้งสองของสุดฟ้าจึงลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิง ทว่ามันกลับปรากฏให้เห็นภาพของพวกท่านทั้งสองที่ยังดูสุขสบายดีไม่ได้พบเจออันตรายอย่างที่ในอีเมลนั้นข่มขู่

หลังภาพถ่ายลุกไหม้หมด แผ่นกระดาษที่ใช้เขียนคาถาก็กลายเป็นเถ้าถ่านด้วยเช่นกัน

สุดฟ้านิ่งคิด เขาลังเลไม่แน่ใจว่าวงเวทที่ตนเขียนจะถูกต้อง แต่ผลลัพธ์การใช้เวทมันเกิดขึ้นแล้ว และผลลัพธ์นั้นกลับขัดกับสิ่งที่เขียนระบุไว้ในอีเมล เท่ากับว่าไม่สามารถยืนยันอะไรได้เลย

“อ๊ะ”สุดฟ้าร้องอุทานออกมา เขาทดลองวงเวทนี้โดยใช้ตรวจสอบพี่น้องฝาแฝดคู่นั้นก่อนก็ได้นี่นา

เขารีบเปิดหารูปของธัชนนท์และธัชนันท์ จากนั้นเริ่มลงมือเขียนวงเวทอีกครั้ง

ชวิศาได้แต่มองอยู่ใกล้ ๆ เพราะหันไปมองมาริเอะและสเตบาสเตียน ทั้งสองคนก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายปล่อยให้ชายหนุ่มเจ้าของบ้านทำสิ่งที่ตัวเองคิดไปตามลำพัง แต่เห็นสุดฟ้าเขียนวงเวทแล้ว เขานึกทึ่งมาก สุดฟ้าเพิ่งได้เห็นและรู้จักอักขระที่ใช้ในวงเวทเมื่อไม่กี่วันก่อนเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับเขียนได้คล่องแคล่วเหมือนว่าจดจำทุกอย่างได้ขึ้นใจ

“ชวิศามาลองดูใหม่”

“อ้อ ครับ”เขาเดินตรงไปยังอักขระธาตุไฟเช่นเดิม

“เออ ว่าจะถามอยู่ ที่ไปวางมือตรงจุดนั้น มีเหตุผลหรือเปล่า”

“ถ้าจำไม่ผิด จะต้องถ่ายเทพลังเวทตามธาตุที่เป็นฐานของมนตรา ที่ผมเข้าใจ… เวทตามหาจะใช้คุณสมบัติของธาตุไฟเป็นหลัก”

“ ‘แผ่ขยาย’ สินะ”สุดฟ้าเอ่ยทวนความจำ ก่อนพยักพเยิดให้ชวิศาเริ่มลงมือได้

หลังรูปภาพของฝาแฝดสองพี่น้องถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิงที่เกิดจากพลังเวทจนปรากฏภาพนิมิตของทั้งคู่ให้เห็น สุดฟ้าจึงโทรศัพท์ไปหาสองคนนั้นซึ่งผลที่ได้ก็ตรงกับภาพนิมิตที่ถูกสร้างด้วยมนตรา

“มันใช้ได้”สุดฟ้าร้องบอก ชวิศาก็ยกยิ้มดีใจเช่นกัน กระนั้นมันก็มีสิ่งที่สุดฟ้าต้องคิดต่อไป “พวกที่ส่งอีเมลมาต้องโกหก แต่มันกล้าโกหกแบบนี้ได้ยังไง”

“พวกมันอาจรู้ว่าด็อกเตอร์ไม่สามารถติดต่อกับคุณสุดเขตและคุณปานฟ้าได้”มาริเอะเอ่ย

“ถ้าพวกมันรู้ ก็แสดงว่าพวกมันอยู่กับพ่อแม่นะสิ”

“อีกกรณีคือพวกมันมีสายอยู่ใกล้ ๆ ตัวด็อกเตอร์”

ชวิศาสะดุ้งโหยง ยกมือขึ้นโบกปฏิเสธพัลวันเมื่อสุดฟ้าตวัดสายตาหันมามองตน “ไม่ใช่ผมนะ ผมไม่รู้เรื่อง”

“ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”ชายหนุ่มร่างสูงยกยิ้ม ขยับเข้าไปดึงชวิศาเข้ามากอด

“ก็คุณสุดฟ้ามองแบบนั้น” ชวิศาสอดแขนกอดตอบอีกฝ่าย “ที่ผมเคยโกหกก็ตอนที่เข้ามาอยู่ในบ้านนี้แทนคุณมาริอย่างเดียวนะ ผมไม่เคยเป็นสายให้ใครหรือคอยสืบเรื่องของคุณไปบอกใครด้วย”

 มาริเอะเห็นทั้งคู่กอดกันจึงเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างสุดฟ้าพร้อมกอดชายหนุ่มไว้บ้างราวกับไม่อยากน้อยหน้า สุดฟ้าจึงต้องวาดแขนโอบร่างหุ่นยนต์ของมาริเอะไว้เช่นเดียวกันพลางกล่าวย้ำบอกชวิศาแม้จะเผลอคิดว่าชวิศาเป็นสายลับไปชั่วแว็บหนึ่งก็ตาม

“ฉันเชื่อ ไม่ต้องคิดมากนะ”

“แล้วอย่างนี้คุณสุดฟ้าจะทำอย่างไรล่ะครับ”

“ถึงจะรู้ว่าพ่อแม่ฉันไม่ได้โดนจับไปจริง ๆ แต่ก็ต้องตรวจสอบก่อนล่ะ ว่าตกลงมันมีที่มาที่ไปยังไงกันแน่”

แต่สุดท้ายแล้ว ค่ำคืนนั้นพวกสุดฟ้าก็ทานอาหารมื้อเย็นและเข้านอนโดยพักเรื่องที่คิดว่าจะตรวจสอบไว้ทีหลัง


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ตอนที่สี่สิบห้า



อีเมลข่มขู่ถูกส่งมาถึงสุดฟ้าอีกครั้งหลังจากที่เขาทำตัวเมินเฉยมันไปถึงหนึ่งสัปดาห์ จนชายหนุ่มรู้สึกว่าพวกผู้ร้ายกลุ่มนี้ก็ช่างใจเย็นมีความอดทนมากเหมือนกัน

รอบนี้เขาจึงตอบข้อความกลับไปว่า ‘กำลังเขียนแบบแปลนอันใหม่ให้อยู่ เนื่องจากแบบแปลนอันเก่าถูกทำลายไปแล้ว’

กระนั้นในระหว่างหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ก็ใช่ว่าเขาจะอยู่เฉย ๆ แต่ไม่ได้กำลังเขียนแบบแปลนอย่างที่ตอบอีเมลกลับไป เพราะเวลาที่ใช้สำหรับเขียนแบบแปลนสิ่งที่เคยสร้างสำเร็จไปแล้วครั้งหนึ่งนั้น เขาแค่เจียดเวลาสักแค่ชั่วโมงเดียวมันก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว

ระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ว่าหมดไปกับการปรับปรุงสเตบาสเตียน ซ่อมมอเตอร์สเปซ และช่วยให้ชวิศาใช้มนตราตรวจสอบสถานะของบุคคลเป้าหมายได้

พวกเขาทั้งหมดลงมาขลุกกันอยู่ที่ชั้นใต้ดิน กระทั่งเมื่อสองสามวันก่อนที่เก็บค่าประสิทธิภาพของหุ่นยนต์พ่อบ้านเสร็จแล้ว สเตบาสเตียนถึงได้กลับไปทำหน้าที่พ่อบ้านตามเดิม

“คุณมาริกับคุณสุดฟ้าคิดว่ายังไงบ้างล่ะครับ”

ชายหนุ่มเจ้าของชื่อเหลือบตาขึ้นมองเจ้าของคำถาม ก่อนหน้าคำถามนั้น ชวิศาเล่าเรื่องผู้ชายที่ชื่อเมดินกับแผนการกำจัดเจ้าชายทานันศิระที่มีหน้าตาเหมือนเขาและองค์กษัตริย์ของฮัชดาลลาร์ให้ฟัง แต่สุดฟ้าก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะช่วงที่ต้องลงโปรแกรมให้ระบบขับเคลื่อน เขาจะมุ่งสมาธิอยู่ที่โค้ตคำสั่งเพียงอย่างเดียว

“พูดกันตามจริง มันขาดรายละเอียดไปเยอะมากเลยครับคุณชวิศา ถ้าให้ตั้งสมมติฐานแบบคนนอก แม้แต่คุณกรินของคุณชวิศาก็เชื่อถือไม่ได้”มาริเอะเอ่ยตอบ

“คุณกรินไม่ใช่ของผมนะ”ชวิศาโวยวาย จากนั้นใบหน้าก็แดงเรื่อทำท่าเขินอายพร้อมพูดประโยคต่อไปด้วยความดังเสียงที่เบาลง “ผมรักคุณสุดฟ้าคนเดียว”

“โอ๊ะ น่ารักจัง มาจุ๊บที”สุดฟ้าเดินเข้าไปหาคนที่ยิ้มร่ารับคำชมทั้งยังเงยหน้าขึ้นรับจุมพิตของเขาอย่างว่าง่าย กระนั้นเมื่อเขาจูบชวิศาแล้ว จำต้องหันไปจูบมาริเอะด้วยไม่อย่างนั้นเขาจะต้องพบกับอาการหุ่นยนต์งอน

“แล้วคุณกรินเชื่อถือไม่ได้ยังไงล่ะ”ชวิศาหันไปให้ความสนใจกับหัวข้อที่พูดคุยค้างกันไว้อีกหน เขาและมาริเอะกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นไม่ห่างจากจุดที่สุดฟ้ากำลังทำงานมากนัก

“ก็อย่างที่คุณชวิศาสงสัยนั่นแหละครับ วัน ๆ คุณกรินมัวแต่อ่านหนังสือในหอตำราจะไปรู้เรื่องราวความเป็นไปของคนอื่นได้อย่างไร แต่ถ้าคิดว่าคุณกรินก็มีสายสืบก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ส่วนเรื่องที่คุณชวิศาเห็นคุณเมดินปรากฏตัวที่ลานกว้างหลังอาณาเขตมนตราคลายไปแล้ว ก็มีความเป็นไปได้อีกว่า คนคนนั้นอาจจะไม่ใช่คุณเมดิน”

“อ้าว ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ”

“ถ้าสมมติฐานคือ มนตราสามารถทำได้ทุกสิ่ง ผู้ร้ายจะไม่สร้างภาพคุณเมดินให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์เข้าใจผิดหรือครับ อีกประการหนึ่ง ถ้าคุณเมดินเป็นคนที่ทำร้ายคุณกรินจริง เขาจะยังกล้าไปหาคนที่ตนเองตั้งใจเอาชีวิตได้หรือครับ”มาริเอะเอ่ยตอบ

“ในฐานข้อมูลการวิเคราะห์รูปแบบนิสัยและปฏิกิริยาของมนุษย์ที่ผมเก็บไว้ คนร้ายอาจย้อนกลับไปหาเหยื่อหรือพยานอีกครั้ง แต่ส่วนใหญ่ล้วนย้อนกลับไปตรวจสอบว่าเหยื่อหรือพยานจะไม่พูดถึงตัวเองหรือไม่ก็ย้อนกลับไปเพื่อทำให้เหยื่อหรือพยานพูดไม่ได้อีก แต่ปฏิกิริยาของคุณเมดินที่คุณชวิศาเล่าให้ฟัง ผมวิเคราะห์ว่ามันค่อนข้างเฉื่อยชา เขาดูไม่เดือดร้อนกับการที่คุณชวิศาหรือคุณกรินยังมีชีวิตเดินไปเดินมาอยู่ในเมืองได้ ผลสรุปของผมจึงกลายเป็นว่า ทั้งสองมีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่” มาริเอะยกยิ้มเมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย

ชวิศาทำหน้าตาแปลก ๆ คล้ายกับคิดตามไม่ทันก่อนจะหันไปถามสุดฟ้าซ้ำ “แล้วคุณสุดฟ้าคิดว่ายังไงบ้างล่ะครับ”

สุดฟ้ายิ้มแหย “ขอโทษนะ เรื่องเล่าที่ผ่านคนกลางมักจะถูกบิดเบือน มันจึงยากที่จะบอกว่าอะไรจริงอะไรเท็จ”

ชวิศาเอียงศีรษะขณะแปลคำพูดของชายหนุ่ม “อ๊ะ! คุณสุดฟ้าจะบอกว่า ผมพูดโกหกงั้นเหรอ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” ชายหนุ่มเจ้าของชื่อหันกลับไปโบกมือปฏิเสธ “ฉันหมายความว่า... เอ่อ... อาจจะเป็นไปได้ว่าสิ่งที่นายรับรู้มันถูกบิดเบือนไป นอกจากคำพูดของบุคคลอื่นแล้ว เราต้องสังเกตรายละเอียดสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วยถึงจะพอคาดเดาได้เหตุการณ์หรือความเป็นไปที่เป็นจริงได้”

“ก็อย่างที่ผมบอกไปทีแรกนะแหละครับ เรื่องที่คุณชวิศาเล่าให้ฟังยังขาดรายละเอียดอีกเยอะ”

“งั้นไว้ครั้งหน้าผมจะสังเกตรอบตัวดี ๆ” ชวิศาพูดด้วยใบหน้ามุ่งมั่น

“อืม งั้นตอนนี้ลองเช็กพ่อแม่ฉันให้ดูหน่อย”ข้อความประโยคนั้นของสุดฟ้าหมายถึงให้ชวิศาใช้พลังเวทตรวจสอบสถานะความเป็นอยู่ของบิดาและมารดา

เพราะการเขียนวงเวทแต่ละครั้งต้องใช้เวลาพอสมควรและกระดาษคาถาที่ผ่านการเรียกใช้มนตราไปแล้วจะไม่สามารถใช้งานได้อีก เมื่อเป็นเช่นนั้นสู้ทำให้ชวิศาใช้พลังเวทได้ด้วยตัวเองเลยจะดีกว่า เขาเข้าใจวิธีการสร้างมนตราแต่เพราะไม่สามารถรับรู้สิ่งที่เรียกว่าอำนาจพลังธาตุได้ด้วยตนเอง ดังนั้นจึงเริ่มต้นด้วยให้ชวิศาเรียกใช้มนตราที่เจ้าตัวใช้งานได้โดยไม่ต้องใช้กระดาษคาถา เขาพูดคุยสอบถามความคิดความรู้สึกขณะที่ชวิศาเรียกใช้พลังเวท และดูเหมือนว่าในกรณีของชวิศานั้น การไม่คิดกำหนดตั้งใจใช้อำนาจพลังธาตุใดเป็นพิเศษ อีกฝ่ายจะเรียกใช้มนตราได้สำเร็จมากกว่า

เพราะฉะนั้น เขาจึงให้ชวิศาทำเพียงตั้งสมาธิถึงสิ่งที่ต้องการเท่านั้น มันไม่สำเร็จในครั้งแรก แต่ก็ดีขึ้นในครั้งต่อมา จนในที่สุด ชวิศาก็สามารถเรียกงานมนตรานั้นได้คล่องแคล่ว

ชวิศาแบมือ ภาพพ่อแม่ของสุดฟ้าก็ปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือข้างนั้น

หญิงชายวัยกลางคนในภาพนิมิตอยู่ในชุดป้องกันความหนาวเนื้อหนา ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังอยู่ในยานพาหนะซึ่งกำลังเคลื่อนที่ไปที่ไหนสักแห่ง ทว่ายังไม่ทันได้สังเกตรายละเอียดอื่น ๆ ภาพที่ปรากฏเหนือฝ่ามือของชวิศาก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว

ถึงชวิศาจะเรียกใช้มนตรานี้ได้คล่องแคล่วแต่เขาก็ยังไม่สามารถหน่วยพลังเวทที่ใช้ให้คงอยู่ได้ยาวนานอย่างที่ต้องการ

“หวา!!! หายไปแล้ว”

“แต่ครั้งนี้คุณชวิศาเรียกใช้มนตรานี้ได้นานกว่าเดิมตั้งสองวินาทีเลยนะครับ”

ชวิศาย่นจมูกเบ้หน้าด้วยท่าทางประหลาด ๆ

“ทำหน้าแบบนั้นจะดีใจหรือเสียใจกันแน่”สุดฟ้าเอ่ยถามพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ

“ผมก็ตัดสินใจไม่ถูกเหมือนกัน เวทมนตร์นี่เหมือนง่ายแต่ก็ยาก เหมือนยากแต่ก็ง่าย ...งง ไม่เข้าใจ คุณกรินบอกว่ามีแยกย่อยเป็นคำสาปด้วย”

“คำสาป?”สุดฟ้าเอ่ยถามด้วยความสนใจ

“ผมไม่เข้าใจเหมือนกัน ให้อะไรย้อนกลับก็ไม่รู้”

ทว่ามันก็ไปจุดประกายความคิดของสุดฟ้าเข้าอย่างจัง เขายกยิ้มเพิ่มหัวข้อที่ต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติมไว้ในหัว ก่อนจะพยายามพักความสนใจนั้นไว้เพื่อกลับมาสู่เรื่องที่ไอ้พวกใจกล้าเอาเรื่องพ่อแม่ของเขามาหลอกก่อน

“รออีกสองสามวัน ฉันก็จะปรับปรุงมอเตอร์สเปซเสร็จแล้ว เรื่องแผนจะเอาอย่างไรดีล่ะมาริ”

“ผมคิดว่าเราควรแยกเป็นสองกลุ่ม ด็อกเตอร์เอาแบบแปลนของปลอมไปให้พวกมัน อีกกลุ่มหนึ่งคอยไปอยู่คุ้มครองคุณสุดเขตกับคุณปานฟ้า”

“อ้อ... ถ้าพวกมันรู้ว่าแบบแปลนเป็นของปลอม มันก็ต้องมาเล่นงานพวกเรา ทีนี้เราก็จะจัดการพวกมันให้สิ้นซาก”

“ใช่แล้วครับ ด็อกเตอร์ก็เตรียมของไปให้พร้อมล่ะ”

“ว้า... ฉันจะเอามอเตอร์สเปซไป ท่าทางจะขนของไม่พอ สงสัยต้องไปลิสต์รายการที่จำเป็นจริง ๆ ก่อนละมั้งเนี่ย”

“เอ่อ ถ้าจะขนของ มาฝากไว้ในนี้ก็ได้มั้งครับ”ชวิศาพูดแทรกพร้อมชี้มือไปยังอัญมณีสีดำที่ประดับอยู่บนกำไลข้อมือ




หลังปรับปรุงมอเตอร์สเปซเสร็จ สุดฟ้าใช้เวลาอีกหนึ่งวันในการขนของที่อยากเอาไปด้วย เก็บไว้ในอัญมณีช่องว่างมิติของชวิศา จากนั้นต้องตกลงเรื่องแบ่งกลุ่มซึ่งเกิดเป็นปัญหาน่าปวดหัวที่สุด

พวกเขามีสี่คน ถ้าแบ่งแบบลงตัวคือกลุ่มละสองคนแต่บังเอิญว่าทั้งชวิศาและมาริเอะต่างอยากไปกับเขา

“งั้นฉันอยู่กลุ่มเดียวกับสเตบาสเตียน”

“ไม่ตกลง”สองคนที่มีใบหน้าเหมือนกันประสานเสียงตอบ

“อย่างนั้นก็เป่ายิ้งฉุบ”

“นั่นก็ไม่เอาเหมือนกัน ผมอยากไปกับคุณสุดฟ้า ถ้าผมแพ้เราก็จะไม่ได้อยู่ด้วยกันนะ”ชวิศาพูดเสียงอ้อน เกาะแขนเขาไว้พร้อมส่งสายตาน่าสงสารมาให้

“ให้สเตบาสเตียนไปหาคุณสุดเขตกับคุณปานฟ้าแค่คนเดียว ก็เห็นเป็นไรเลย ด็อกเตอร์จะไม่คิดถึงผมหรือครับ”มาริเอะถามอ่อย

“ไม่ได้หรอก เผื่อเกิดเรื่องผิดแผน”สุดฟ้าค้าน

“จะผิดแผนอะไร คุณสเตบาสเตียนเก่งจะตาย”

“ใช่ ๆ สเตบาสเตียนให้เป็นสุดยอดพ่อบ้านไม่ใช่เหรอ เกิดเรื่องอะไรสเตบาสเตียนก็รับมือได้อยู่แล้ว จริงไหมคุณซูเปอร์หุ่นยนต์พ่อบ้าน”ประโยคหลังมาริเอะหันไปถามหุ่นยนต์พ่อบ้านที่ยืนนิ่งไม่มีปากมีเสียง

“ไม่ทราบครับ แต่ตั้งแต่ที่ผมถูกสร้างมา ยังไม่มีเหตุการณ์ใดที่ผมรับมือไม่ได้ นอกจากระบบขัดข้องจนตัดการทำงานซึ่งกรณีนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของผม”

“นั่นไง ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นอีกมันควรมีตัวช่วยสำรอง”

“ด็อกเตอร์”

“คุณสุดฟ้า”

แฝดคนละฝาอย่างมาริเอะและชวิศาต่างส่งเสียงออดตะแง้ว ๆ สุดฟ้าที่โดนรบเร้าอย่างหนักถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกตีสีหน้าปูเลี่ยน ๆ กระทั่งชายหนุ่มเอ่ยปากยินยอมให้ทำอย่างที่ทั้งสองคนต้องการนั่นแหละ สองหนุ่มเจ้าของใบหน้าสวยที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วถึงหันไปตีมือกันเองและยอมเงียบเสียงลง

สุดฟ้ารู้สึกว่าตัวเองเสียทีให้กับทั้งคู่อย่างง่ายดายเหลือเกิน หรือเขาต้องเข้าสมาคมกลัวเมียแล้วหรือเนี่ย!?

สรุปว่า จะมีแค่สเตบาสเตียนที่ไปหาพ่อแม่ของเขา สุดฟ้าจึงคิดว่าเขาควรปรับแผนนิดหน่อย ด้วยการยกขบวนไปหาพ่อแม่ก่อน แล้วเขาค่อยไปจัดการธุระที่เหลือ

อย่างไรก็ตาม พวกเขายังไม่ทันได้ออกเดินทาง ตัวป่วนอีกสองหน่อก็ปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน ที่สำคัญเขาได้เห็นหุ่นยนต์น้ำในสภาพปกติ

“พวกแกทำได้ยังไงเนี่ย” เจ้าของดั้งเดิมร้องถาม

“ทำไม ทีมพัฒนาของบริษัทก็ไม่ใช่เล่น ๆ นะเว้ย มีคนเทพถึงขนาดซ่อมหุ่นยนต์ของแกได้แล้วกัน”ธัชนันท์พูดอวด

ไอ้เรื่องซ่อมกันเองได้ เขาไม่ห่วงหรอก แต่เขากังวลว่าระบบการทำงานของน้ำยังคงเชื่อมต่ออยู่กับเซิร์ฟเวอร์หลักหรือเปล่านี่สิเรื่องสำคัญ แต่สุดฟ้าไม่กล้าเอ่ยถามสเตบาสเตียนต่อหน้าฝาแฝด เพราะกลัวสองพี่น้องนั่นจะจับได้

“เออ ก็ดี”เขาพูดตอบรับไปแกน ๆ มองพี่น้องสุวราลักษณ์เดินไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาและเปิดทีวีราวกับอยู่บ้านตัวเอง

“อ้าว ไฟดับเหรอวะ” เพราะเปิดโทรทัศน์ไม่ติดธัชนนท์จึงหันหน้ามาถาม

“ออ ก็ทำนองนั้น นี่ว่ากำลังจะออกไปเดินเที่ยวห้างกัน” สุดฟ้าโกหกเพราะตัดระบบไฟฟ้าในบ้านเตรียมตัวออกเดินทางกันแล้ว

“งั้นเหรอ อย่างนั้นบอกให้สเตบาสเตียนรีบทำกับข้าวเลย ไฟดับ ตู้เย็นคงไม่ทำงานใช่ไหม ต้องรีบทำกับข้าวนะ เดี๋ยวของสดเสีย”

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านคิ้วกระตุก เขาจำได้ว่าไม่ว่าเมื่อไหร่ที่สองพี่น้องสุดแสบมาที่บ้านของเขาก็ให้สเตบาสเตียนทำกับข้าวทุกที ยังมีหน้ามาอ้างเรื่องไฟดับ ทำเป็นห่วงเรื่องของสดในตู้เย็นของเขาอีก

“ไม่มีหรอก ก็เนี่ยไม่มีอะไรเหลือในตู้เย็นเลย ก็ว่าจะไปหาอะไรกินข้างนอกด้วย” สุดฟ้าพูดและรีบเอ่ยปากไล่ “พวกแกก็กลับไปได้แล้ว”

“อะไรวะ ทำไมวันนี้ถึงดูกระตือรือร้นอยากออกไปข้างนอกจัง”

“ใช่ ปกติถ้าไม่ใช่งานแฟนมีตติ้งคิขุแมน ต่อให้เอารถถังมาลาก แกก็แทบไม่ยอมก้าวออกจากบ้านเลยไม่ใช่หรือไง”

ถึงทุกอย่างจะเป็นจริงอย่างที่สองพี่น้องฝาแฝดพูด แต่ก็ไม่เห็นต้องย้ำเลย สุดฟ้าคิดในใจ

“ไม่ใช่ซะหน่อย ...ถ้ามีงานต้องทำฉันก็ยอมออกจากบ้านเหอะ หรือต่อให้ไม่ใช่เรื่องงาน ฉันก็ออกไปเที่ยวบ่อยจะตาย”

“อ๋อเหรอ”ธัชนนท์และธัชนันท์ต่างลากเสียงยาวพร้อมกัน

“แล้วครั้งนี้ แกไปเรื่องงานหรือไปเที่ยวล่ะ”ธัชนนท์ถามต่อ

“ไป...”สุดฟ้าชะงักพลันฉุกคิดว่า เขาไม่มีทางหลงกลหรอก “ฉันจะไปเดินเที่ยวห้างกับชวิศาและมาริ พวกแกอยากจะไปเป็นก้างขวางคอฉันเหรอ”

“อ้อ” สองพี่น้องขานเสียงรับพร้อมกันอีกครั้ง พวกเขาลุกขึ้นยืนทำท่าจะเดินทางกลับแต่โดยดี แต่สุดฟ้ายังไม่วางใจ ชายหนุ่มจึงเดินไปส่งเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กที่หน้าประตู

“พวกฉันไม่ทำลายการไปเดตของแกอยู่แล้วล่ะน่า”ธัชนนท์เอ่ยย้ำ เขาและน้องชายยอมขึ้นรถกลับไปแต่โดยดี จากนั้นสุดฟ้าจึงหันไปถามสเตบาสเตียน

“น้ำยังคงเชื่อมต่อกับระบบเซิร์ฟเวอร์กลางอยู่หรือเปล่า” ถึงหุ่นยนต์ของสุดฟ้าจะมีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์แต่เขาไม่ได้ออกแบบให้ระบบควบคุมอยู่ที่ศีรษะเหมือนมนุษย์ปกติ เขาติดตั้งระบบประมวลผลกลางไว้ที่กลางหน้าอกเพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นจุดที่ดูปลอดภัยมากที่สุด

“ระบบการทำงานของน้ำถูกตัดขาดไปตั้งแต่ที่ชิ้นส่วนเสียหายครับ สถานะปัจจุบันก็ยังขาดการเชื่อมต่อเหมือนเดิม”

“แล้วเดย์ล่ะ”

“ยังอยู่ในการควบคุมครับ”

ตอนที่สุดฟ้ากำลังพูดคุยกับสเตบาสเตียน มาริเอะก็พาชวิศาออกมาจากห้องนอนหลังจากต้องหลบอยู่ภายในนั้นเป็นนานสองนาน

“ทำไมผมต้องซ่อนตัวด้วยล่ะ”ชวิศาถาม สุดฟ้าได้ยินคำถามจึงเป็นคนเอ่ยคำตอบด้วยตนเอง

“ฉันไม่อยากให้นายโดนเจ้าพวกนั้นซักไซ้”

ชวิศาทำหน้าฉงนยิ่งกว่าเดิม

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ พวกเราเดินทางกันดีกว่า” สุดฟ้าร้องบอกตัดบทพร้อมออกคำสั่งให้สเตบาสเตียนนำรถออก

การเดินทางครั้งนี้ของพวกเขาไม่มีกระเป๋าสัมภาระพะรุงพะรัง ข้าวของทุกอย่างเก็บอยู่ในอัญมณีของชวิศา ทุกคนจึงเดินไปขึ้นพาหนะตัวเปล่า มีสเตบาสเตียนนั่งประจำที่นั่งคนขับเช่นเดิม สุดฟ้านั่งอยู่ด้านข้าง ส่วนชวิศาและมาริเอะนั่งอยู่ข้างหลัง

“ขับออกไปแบบปกติก่อน และตรวจสอบแผนที่หาจุดที่ไม่มีคนด้วย”

สุดฟ้าเห็นสองพี่น้องฝาแฝดสุวราลักษณ์ขึ้นรถกลับบ้านไปแล้ว แต่ด้วยความระแวงส่วนตัวเขาจึงต้องแสร้งทำเป็นว่ากำลังเดินทางไปห้างสรรพสินค้าตามที่เคยพูดไว้

“เราจะไปไหนหรือครับ ไม่ไปหาพ่อแม่คุณสุดฟ้าหรือ”ชวิศาถาม เมื่อเห็นว่ามอเตอร์สเปซเคลื่อนที่ไปบนถนน

“ฉันอยากเช็กให้แน่ใจว่าเจ้าสองคนนั้นไม่ตามเรามา”

“หือ ไม่ใช่ว่าถ้าเราสั่งให้มอเตอร์สเปซลอยขึ้น ไอซ์กับอาทก็ตามพวกเรามาไม่ได้แล้ว ไม่ใช่หรือ”

“ถึงพวกนั้นจะตามพวกเรามาไม่ได้ในทันที แต่ก็คงหาทางตามที่อยู่ของฉันทันทีเหมือนกัน”

“ทำไมคุณสุดฟ้าต้องพยายามหนีฝาแฝดขนาดนั้นด้วย ต่อให้สองคนนั้นตามมาจริงก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”

“จำที่ผมเคยตั้งข้อสันนิษฐานว่ารอบตัวของด็อกเตอร์อาจจะมีสายลับคอยรายงานความเคลื่อนไหวของด็อกเตอร์อยู่ได้ไหมครับ”มาริเอะพูด

“อ๊ะ คุณมาริคิดว่าเป็นสองคนนั้นเหรอ อย่างนั้นหรือครับคุณสุดฟ้า” ชวิศาส่งเสียงด้วยความตกใจปนความประหลาดใจเป็นอย่างมาก จากที่เขาเห็น สองคนนั้นไม่น่าจะเป็นสายให้กับพวกคนร้ายได้เลย

“ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่แค่อยากให้การเดินทางครั้งนี้ของฉันมีคนรู้น้อยที่สุดเท่านั้นเอง”

“แย่แล้ว!!!” ชวิศาร้องอุทานออกมาอีกครั้ง ก่อนจะตีหน้าแหยพูดเสียงอ่อยอย่างสำนึกผิด “ผมบอกคุณแม่ คุณยาย และพี่โยไปหมดแล้ว ว่าจะไปพบพ่อแม่คุณสุดฟ้า”

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งชะงักงันไปทันที ทว่าสมองของเขากลับคิดหาทางออกได้อย่างรวดเร็ว

“งั้นต้องหลอกล่อกันหน่อย”



หลังจากธัชนนท์และธัชนันท์ออกจากบ้านของสุดฟ้ามาแล้ว ฝาแฝดคนพี่ที่นั่งอยู่ที่นั่งตอนหลังของรถยนต์คันหรูได้หยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออก ส่วนคนน้องทำหน้าที่สารถีขับรถพาพวกเขาทั้งคู่กลับบริษัท

“พี่โยหรือครับ พอดีกว่าผมจะขอเบอร์โทรศัพท์ของซีนะครับ ...อืม ผมไปหาที่บ้านสุดฟ้าแล้วแต่บ้านปิด ...อ้อ ครับ ๆ เอาเบอร์ด้วย” ธัชนนท์ดึงปากกาที่หนีบอยู่กับกระเป๋าเสื้อออกมาถือ จังหวะนั้นน้ำก็ยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ มาตรงหน้าเขาจึงหันไปยิ้มให้ และลงมือจดหมายเลขที่ถูกแจ้งมาตามสาย

“โอเคครับ ขอบคุณมากนะครับพี่โย”เขาวางสายแล้วพูดบอกเล่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาให้น้องชายฟังต่อ

“พี่โยบอกว่า ซีกำลังจะเดินทางไปพบพ่อแม่ของสุดฟ้า”

“เฮ้ย ไอ้สุดมันรู้ด้วยเหรอว่าคุณลุงกับคุณป้าอยู่ที่ไหน” น้องชายส่งเสียงโต้ตอบกลับไป

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าเราตามสัญญาณโทรศัพท์ของซี เราก็อาจจะรู้ว่าคุณลุงคุณป้าอยู่ไหน” ธัชนนท์พูดพลางกดเข้าแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ กดหมายเลขสิบตัวบนกระดาษลงในช่องค้นหา

“แล้วไอ้ที่เมื่ออาทิตย์ก่อน มันบอกว่าได้รับอีเมลที่คุณลุงคุณป้าถูกจับตัวไป มันอะไรกันวะพี่”

“ถามฉัน แล้วฉันจะรู้ไหม เจ้าสุดฟ้าเองก็เฉยไม่เห็นเดือดร้อนอะไรเลย” เขามองภาพจุดตำแหน่งบนหน้าจอโทรศัพท์ซึ่งกำลังเคลื่อนที่ ทิศทางของมันมุ่งตรงไปยังห้างสรรพสินค้าตามที่สุดฟ้าได้พูดไว้

“หรือว่ามันโกหก”

“บ้าเหรอ สุดฟ้ามันจะโกหกเราเพื่ออะไร”

“งั้นมีอย่างเดียวคือมันได้คุยกับคุณลุงคุณป้าแล้ว”

“ก็อาจจะเป็นไปได้”ธัชนนท์พูดตอบรับโดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่า คำสนทนาเหล่านั้นถูกบุคคลที่สามดักฟังอยู่ตลอดเวลา


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2018 06:01:14 โดย ตีสี่ »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด