บทที่สามสิบสอง
วันรุ่งขึ้นหลังทานอาหารเช้าเสร็จ กรินออกจากบ้านโดยมีชวิศาเดินตามไม่ห่างไปยังหอตำราเมือง สถานที่แห่งนี้เก็บบันทึกประวัติศาสตร์เมืองและตำราเวทเก่าแก่ไว้หลากหลาย เป็นสถานที่ที่อนุญาตให้ชาวเมืองใช้งานได้ แต่ผู้คนน้อยนักที่จะให้ความสนใจกับตำราเก่าเก็บ เนื่องจากเล่าลือกันว่า คาถามนตราหลายส่วนไม่สามารถใช้จริงได้ บ้างมีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ผลสะท้อนของมนตราย้อนเข้าสู่ตัว ผู้คนที่มุ่งมั่นฝึกฝนการใช้เวทจึงสมัครเข้าสำนักศึกษามากกว่าอ่านตำราเอาเอง
แต่ตำราเหล่านี้ล้วนแต่เป็นแหล่งอ้างอิงชั้นยอด
“เจ้าสนใจตำราเล่มใด จงลองอ่านดู ในหอตำราแห่งนี้ เก็บรวบรวมมนตราไว้มากมาย”พูดแล้วก็หยิบตำราออกมาชั้น เปิดกางสุ่มไปหน้าหนึ่งและดึงมือของชวิศาข้างที่สวมแหวนบรรจุมนตราถ้อยวจีมาทาบวาง
“เฮ้ย”เขาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “ผมรู้เรื่อง” เขามองตัวอักษรยึกยือบนหน้ากระดาษอีกครั้ง ชวิศาอ่านอักษรของฮัชดาลลาร์ไม่ได้และไม่มีความคิดที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมด้วย เขาจดจำเฉพาะอักขระซึ่งต้องถูกเขียนในระเบียนมนตราเท่านั้น
“คุณกรินไม่บอกแต่แรกล่ะครับ ตอนที่เรียนในห้องผมลำบากมากเลยรู้หรือเปล่า”
“เจ้าต้องสัมผัสกับมันเท่านั้นและแผ่พลังเวทออกไป”กรินกล่าวอธิบายต่อไปว่า “เจ้ารับรู้แค่ใจความของสารแต่ไม่ได้หมายความว่าสามารถอ่านออก”
“ก็เหมือนกันแหละ แถมแบบนี้สบายกว่าพยายามฝึกเขียนตัวอักษรอีก”
“ไม่มีสิ่งใดได้มาโดนง่าย ขอให้จำไว้”
ชวิศาเบ้ปาก “รู้แล้วครับ” แต่มีพลังเวททำให้ชีวิตเขาง่ายขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะ น่าจะมีมาตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้น สอบทุกครั้งเขาต้องได้คะแนนเต็มแน่ เอ๊ะ! หรือเขาจะพยายามฝึกมนตราย้อนกาลให้ได้แล้วกลับไปแก้ผลการเรียน ดีไหมนะ ชวิศาคิดด้วยความขำขัน
กรินแยกตัวไปอีกทางแล้ว ชวิศาจึงทรุดตัวลงนั่งแถวนั้นแล้วลองหยิบหนังสือมาอ่าน เขาวางมือลงบนหน้ากระดาษพร้อมกับแผ่พลังเวทออกไป ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเข้าใจเนื้อหาในหนังสือได้ซึ่งมันไม่เหมือนกับการที่มีคนอ่านให้ฟัง แต่เป็นเขารับรู้ข้อความเนื้อหาเหล่านั้นขึ้นมาเอง
ชวิศาจึงอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลิน แต่เพลิดเพลินในการใช้พลังเวทเพื่อรับข้อมูลเนื้อหามากกว่าจะตั้งใจจดจำรายละเอียดในหนังสือ
“โอ๊ะ ช่างน่าแปลกนักที่ข้าได้พบท่าน”
เสียงพูดดังขึ้นเรียกความสนใจของเขาให้เงยหน้าขึ้นมอง
“คุณสุดฟ้า!!!”ชวิศาเด้งตัวลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตะลึง คุณสุดฟ้าก็มาอยู่ที่นี่เหมือนกัน!!! ชายหนุ่มกำลังจะยกยิ้มด้วยความดีใจ ทว่าคนตรงหน้ากลับพูดดับความหวังของเขาไปเสียก่อน
“ต้องขออภัย นามของข้าคือทานันศิระ ไม่ใช่ ‘คุณสุดฟ้า’ ของท่าน”
“เอ๊ะ”ชายหนุ่มร่างเล็กถึงได้พิจารณามองดูให้ชัดอีกครั้ง ชายผู้เป็นเจ้าของนาม ‘ทานันศิระ’ มีใบหน้าคล้ายสุดฟ้า ศิริกรอยู่หลายส่วน แต่ทานันศิระมีเส้นผมสีดำยาวซึ่งถูกมัดรวบครึ่งศีรษะไว้และแววตารอยยิ้มดูสุภาพเป็นมิตร ชวิศาจึงพิศดูด้วยความเสียดาย
กรินได้ยินเสียงของชวิศา เขาจึงเดินย้อนกลับมาหาและเมื่อเห็นคู่สนทนาของคนที่ตนให้ความช่วยเหลือดูแลอยู่ เขาจึงรีบสาวเท้าเข้าไปสมทบ
“ถวายพระพรเจ้าชาย”
“ขอความสุขจงมีแด่ท่านเช่นกัน”
“เจ้าชายมาอ่านตำราเหมือนกันหรือขอรับ”กรินเอ่ยถามต่อ ก้าวเท้าขึ้นไปพยายามบังตัวชวิศาไว้ด้านหลังด้วยไม่อยากให้คนทั้งคู่มีโอกาสได้ปฏิสันถารกัน กระนั้นชายหนุ่มร่างเล็กผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวกลับพยายามชะเง้อชะแง้เพราะอยากมองหน้าเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ให้แน่ใจ
“ไม่เชิงนัก แต่เห็นท่านเดินทางมาที่หอตำรา เราจึงมาที่นี่ด้วยหวังจะได้พูดคุยกับท่าน”
“นับว่าเป็นเกียรติยิ่ง แต่ข้าความรู้อ่อนด้อยเกรงว่าจะทำให้เจ้าชายผิดหวัง”
“ถ่อมตัวเกินไปแล้ว เช่นท่านเรียกว่าความรู้อ่อนด้วย ผู้ใดเล่าจะกล้าอ้างตัวว่าเก่งกาจ”เจ้าชายทานันศิระตรัสชมเยินยอกรินพร้อมแย้มพระโอษฐ์ “ถ้าอย่างไร เราขอเชิญท่านร่วมทานอาหารด้วยกันสักมื้อ คุณชายท่านนี้ด้วย”ทรงผายพระหัตถ์ไปทางชวิศาซึ่งเจ้าของชื่อได้ตอบตกลงทันควันจนกรินต้องนิ่วหน้าใส่
“มีเหตุขัดข้องประการใดหรือ”
“ไม่มีอันใดขอรับ”
ด้วยเหตุนี้เจ้าชายจึงเสด็จนำทั้งคู่ออกไปด้านนอก ที่หน้าอาคารหอตำราเมืองมีรถเทียมม้าสองตัวจอดรออยู่แล้ว ผู้มีฐานันดรศักดิ์เป็นเจ้าชายผายพระหัตถ์เชื้อเชิญอีกครั้ง
ตัวรถทำจากไม้ต่อประกอบเป็นทรงสี่เหลี่ยมมีหลังคาโค้ง เจาะช่องหน้าต่างประตูและติดบานพับให้สามารถเปิดปิดได้ ที่ช่องหน้าต่างมีการห้อยม่านบังแดด
คนบังคับม้าทำหน้าที่เปิดประตูพร้อมวางบันไดให้พวกเขาก้าวขึ้นไป ภายในเป็นม้านั่งยาวบุเบาะผ้าสีแดงเลือดนก กรินดึงให้ชวิศาทรุดตัวทางเบาะนั่งด้านซ้ายอันเป็นธรรมเนียมยามโดยสารรถเทียมม้าร่วมกับผู้มีศักดิ์สูงกว่าสำหรับชาวเมืองฮัชดาลลาร์
ชวิศาค่อนข้างตื่นเต้นเพราะตั้งแต่หลุดย้อนเวลามาโผล่ที่ฮัชดาลลาร์ในยุคอดีต เขายังไม่เคยมีโอกาสได้นั่งรถม้าเลยสักครั้ง จะไปไหนมาไหนกรินก็พาเขาเดินไปอย่างเดียว เขาเคยเห็นมีผู้คนใช้รถม้าในการเดินทาง บ้างใช้สำหรับบรรทุกของ บางคนขี่ม้าตัวใหญ่เป็นพาหนะสัญจรในเมือง แต่เพราะสำนักศึกษาอยู่ไม่ห่างจากคฤหาสน์ของกริน เขาเลยมองข้ามเรื่องนี้ไป
“ทำไมคุณกรินไม่เดินทางด้วยรถม้าบ้างละครับ”ชวิศาหันไปถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างตัว เบื้องหน้าเจ้าชายทานันศิระกำลังก้าวพระบาทขึ้นมาประทับในรถ เมื่อผู้โดยสารทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อย คนบังคับม้าจึงปิดประตูและกลับขึ้นไปยังที่ของตนด้านหน้า จับสายบังเหียนกระตุ้นให้ม้าย่างเท้า
“เพราะมันมีราคาสูง”
“แต่บุตรชายของปราชญ์ลำดับที่หนึ่งน่าจะพอหาซื้อได้กระมัง”เจ้าชายตรัสแทรกออกความคิดเห็น
“แต่ถ้าให้บุตรทั้งห้ามีรถเทียมม้าไว้ในครอบครองเป็นของส่วนบุคคล เกรงว่าท่านบิดาคงจะไม่มีอัฐมากพอขอรับ”
“สกุลของท่านร่ำรวยมากยังกล่าวว่าไม่มีอัฐ ชาวบ้านทั่วไปคงเรียกว่ายากจนข้นแค้นเทียวล่ะ”
กรินคงรอยยิ้มประดับไว้บนหน้าแม้จะรู้สึกโดนว่ากระทบ
“อย่าคิดมากไป เราแค่กล่าวหยอกล้อท่านเท่านั้น”ทรงแย้มพระสรวลให้เช่นกัน “เรากับพี่ชายของท่านก็นับว่าเป็นสหาย ท่านเองเปรียบเหมือนน้องชายของเราผู้หนึ่ง ทั้งอีกไม่นานเราจะสมรสกับพี่สาวของท่าน นับได้ว่า เราและท่านใกล้จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
“สมรส? แต่งงานนะเหรอ? ทำไมจะแต่งงานแล้วล่ะครับ”ชวิศาเอ่ยถามออกไปบ้าง เพราะถึงคนตรงหน้าจะไม่ใช่สุดฟ้า แต่ต้องมาเห็นคนที่หน้าเหมือนสุดฟ้าแต่งงาน เขาก็รับไม่ได้หรอกนะ
“อืม... มันก็เป็นเวลาที่สมควรแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้กรินฉุกใจ
“อย่าเพิ่งแต่งเลย รอให้ผมกลับไปก่อนไม่ได้เหรอครับ”ชวิศาบอก
“ท่านจะกลับไปที่ไหนหรือ”
“กลับบ้านนะสิ”
“อ้อ”เจ้าชายทานันศิระพยักพระพักตร์ “ข้าเห็นรายชื่อท่านจะเข้าร่วมการประลองในประเพณีมาดามายาด้วย จึงนึกว่าท่านต้องการมาแสวงหาชื่อเสียงในเมืองหลวงเสียอีก”
“ใช่ซะที่ไหนล่ะครับ เพราะคุณกรินอยากให้ผมร่วมประลองด้วยต่างหาก”
กรินเหล่มองคนพูดอย่างนึกฉุน ที่เจ้าตัวปูด ‘เรื่องที่ควรปิดบังไว้บ้าง’ ไปเสียหมด เขาหันเหสายตากลับมาจดจ้องจับสังเกตมองหาพิรุธจากคู่สนทนาตรงหน้าอีกครั้ง เจ้าชายยังแย้มพระโอษฐ์บางเบาประดับบนพระพักตร์ จนเขาไม่อาจพบร่องรอยความรู้สึกใด หากไม่มีข่าวสารจากเมดิน เขาคงยังคิดว่า เจ้าชายทานันศิระเป็นองค์ชายผู้มีน้ำพระทัยดีและมีพระจริยวัตรเรียบง่าย
หลังจากนั้นกรินจึงปล่อยหน้าที่การดำเนินบทสนทนาให้เป็นของชวิศาไปเสีย ซึ่งชายหนุ่มร่างเล็กดูเหมือนจะชื่นชอบการพูดคุยกับเจ้าชายอยู่ไม่น้อยเพราะแม้ในยามที่ทานอาหารชวิศายังชวนอีกฝ่ายคุยไม่หยุดปาก กระทั่งเจ้าชายทานันศิระได้ให้รถเทียมม้ามาส่งพวกเขา และได้อยู่กันตามลำพังแล้วกรินถึงได้พูดว่า
“อย่าเชื่อใจเจ้าชายทานันศิระให้มากนัก”กรินพูดขณะก้าวเท้าเข้าไปในสถานศึกษา
“ทำไมล่ะ เจ้าชายไม่ดีตรงไหน ผมว่าทรงเป็นมิตรดีออก”ชวิศาเอ่ยแย้ง สาวเท้าตามกรินซึ่งเดินเลี้ยวไปยังห้องทำงานเมดิน ชายหนุ่มร่างสูงซึ่งเดินนำอยู่ด้านหน้าเคาะประตูก่อนเปิดเข้าไปโดยไม่รอฟังเสียงอนุญาต
เมดินนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานของตนเมื่อเห็นคนที่เพิ่งเดินเข้ามาจึงยกกล่องไม้ใบเล็กขึ้นมาวางและเลื่อนไปด้านหน้า กรินรับมาถือ เปิดฝาและหยิบเครื่องประดับที่มีอัญมณีสีดำเข้มประดับอยู่กลางตัวเรือน
“ของเจ้า”
“ให้ผมทำไม”ชวิศาถามด้วยความสงสัย
“ก็เอาไว้ให้เจ้าเก็บกระดาษคาถา”ชายหนุ่มพูดพลางแบมือ ชวิศาวางมือของตนลงไปบนมือข้างนั้น ฝ่ายนั้นยื่นกำไลข้อมือสีเงินเรียบมาให้เขาถือและวางฝ่ามือทับบนอัญมณี เมื่อกรินยกมือออก เขาจับกำไลมาสวมให้ที่ข้อมือข้างซ้าย
“ถ้าจะใช้งานก็ถ่ายเทพลังเวทลงไปพร้อมกับนึกถึงสิ่งที่เจ้าจะหยิบออกมาใช้”หรืออันที่จริงใช้เพียงแค่จักระก็สามารถใช้งานได้ แต่เพราะชวิศาไม่รู้จักการแยกใช้งานระหว่างจักระและอำนาจพลังธาตุ กรินไม่อยากต้องมาอธิบายอีกยาวเลยไม่ได้พูดบอก “เออ... ถ้าใช้ด้วยพลังเวทมันจะเป็นการเปิดช่องมิตินี่นา ลองใช้ดู”ประโยคหลังชายหนุ่มพูดบอก ชวิศาจึงไม่รอช้าเขาถ่ายเทพลังเวทลงไปในอัญมณี พลันปรากฏเป็นรอยแยกของห้วงอากาศที่ภายในเป็นสีดำสนิท
“อยากเอาอะไรเข้าไปเก็บก็ตามใจเจ้า”จากนั้นกรินจึงเดินไปที่มุมห้อง หยิบลังกระดาษมาส่งให้
“นี่เป็นกระดาษสำหรับใช้เขียนคาถา ให้เจ้าไปเขียนวงเวทเอาเอง”
“คุณกรินน่าจะเขียนวงเวทของมนตราย้อนกาลให้ด้วย”
“เขียนให้ได้ แต่เจ้าจะหลุดไปอยู่ช่วงเวลาใดหรือ ณ ที่แห่งใดข้าคงไม่สามารถบอกได้”
“ทำไมอย่างนั้นล่ะ”ชวิศาถาม “คุณโกหกหรือเปล่าเพราะยังไม่อยากให้ผมกลับ”
กรินส่งเสียงหึขึ้นจมูก เหลือบมองเจ้าของประโยคนั้นด้วยหางตาก่อนคว้ากระดาษและปากกาขนนกของเมดินขึ้นมาถือพร้อมกับเขียนวงเวทลงไป
วงเวทต่างจากระเบียนมนตราตรงที่เป็นการเขียนทั้งวัฏจักรพลังธาตุลงในกระดาษและเขียนอักขระกำกับคาถาลงไป เป็นการใช้มนตราที่ต้องใช้เวลาเตรียมการหลายอึดใจ อย่างมนตราที่กรินกำลังเขียนวงเวทนั้นเป็นมนตราขนาดใหญ่ที่เขาต้องเขียนอักขระมากมายจนเกือบเต็มแผ่นกระดาษ
“นี่ของเจ้า”
ชวิศายิ้มกว้าง นึกค่อนขอดอีกฝ่ายที่น่าจะเขียนให้เขาแต่แรก
“แต่เจ้าต้องระบุช่วงเวลาและสถานที่ที่เจ้าต้องการเดินทางไปตรงนี้ ถ้าเจ้าไม่เขียนลงไป วงเวทนี้จะทำงานแบบสุ่ม”
“แค่นึกคิดจินตนาการแบบทุกทีไม่ได้เหรอ”
“ได้หรือไม่ได้ข้าก็ไม่รู้ เพราะข้าไม่มีพลังเวทให้ทดลองใช้มนตรานี้ได้”
“อ้าว”เขาร้องเสียงหลง มุ่ยหน้าด้วยความไม่ชอบใจ ชวิศาอยากลองแต่ถ้าหลุดไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้แบบที่กรินบอกจริง ๆ เขาคิดว่าตัวเองคงจะเอาตัวรอดไม่ได้ ที่สำคัญที่คือกลับบ้านไม่ได้ด้วยนี่สิ เมื่อมีแต่ความไม่แน่นอนแบบนี้ชวิศาจึงได้แต่เก็บกระดาษแผ่นนั้นไว้ในอัญมณีช่องมิติ
“ซีใช้กระดาษคาถาได้จริง ๆ เหรอ”เมดินที่นั่งเงียบฟังทั้งสองคนคุยกันอยู่นานเอ่ยถามขึ้น
“พูดถึงเรื่องนี้ข้าก็อยากจะให้เจ้าทดสอบดูเช่นกัน ออกไปข้างนอกเถอะ”กรินเดินนำทั้งสองคนออกไปยังลานฝึกซ้อมส่วนตัวของเมดินที่ยังคงไร้เงาบุคคลอื่นเฉกเช่นทุกครั้ง จากนั้นจึงเรียกกระดาษที่ตนเคยเขียนคาถาค้อนยักษ์ไว้ออกมาจากอัญมณี
“ลองดู”เมดินรับกระดาษมา คีบถือไว้ด้วยปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางพริบตาหนึ่งต่อมา มันได้กลายร่างเป็นค้อนปอนด์สีเหลืองทองขนาดใหญ่
“เยี่ยม”เมดินร้องออกมา “ซี เจ้าก็นำค้อนของเขาออกมาด้วยสิ”
ชวิศามีกระดาษคาถาที่กรินเคยเขียนให้ติดตัวไว้สองสามแผ่น เขาล้วงมันออกมาจากถุงผ้าที่ผู้คนในฮัชดาลลาร์นิยมมีติดตัวไว้ในเงินและของมีค่า
“เจ้ามีอัญมณีมิติเวทอยู่แล้ว ยังต้องห้อยถุงผ้าอีกหรือ”กรินเอ่ยทัก ชายหนุ่มร่างเล็กจึงโยนถุงผ้าใส่เข้าไปในช่องมิติที่เปิดกว้าง เหลือเพียงกระดาษคาถาในมือ ใช้เวลาตั้งสมาธิดึงพลังออกมาใช้ไม่ต่างจากเมดินนัก ค้อนอันใหญ่ยักษ์กว่าของเมดินถึงสองเท่าพลันปรากฏของในมือ
“โธ่ อย่างนี้ข้าจะไปสู้ได้อย่างไร”เมดินร้อง เมื่อแบมือแกค้อนในมือก็หายไปพร้อมกระดาษแผ่นนั้นที่ลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน
“เห็นเช่นนี้เจ้าคงอุ่นใจแล้วใช่ไหม”
“แต่กระนั้นเถอะ เพิ่งเริ่มฝึกเวทอย่างซีก็น่ากังวลอยู่ดี”
“ใช่ ๆ น่ากลัวออกจะตาย คุณกรินยังคะยั้นคะยอให้ผมร่วมประลองอยู่ได้”ชวิศาพูดขึ้นมาบ้าง
“ขอโทษด้วยที่ต้องทำให้เจ้าต้องลำบาก”
ชวิศามองเจ้าของคำพูดด้วยความแปลกใจ เพราะแทนที่คำพูดทำนองนี้จะออกมาจากปากของกริน ชายหนุ่มอีกคนกลับเป็นคนพูดออกมาเสียแทน
“ข้าเป็นคนขอร้องให้กรินช่วยพยายามยับยั้งเหตุการณ์ร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเอง ได้ยินว่า วันนี้เจ้าสองคนไปร่วมรับประทานอาหารกับเจ้าชายทานันศิระที่วังส่วนพระองค์ ข้าอยากบอกให้เจ้ารู้ไว้ ว่าเจ้าชายมีแผนที่จะก่อกบฏ”
“เอ๊ะ”ชวิศาร้องอุทานด้วยสีหน้าตกใจ
“ข้าคิดว่าประเพณีมาดามายาในปีนี้ เจ้าชายคงจะบังคับให้องค์ราชาลงจากบัลลังก์เป็นแน่”ประโยคหลังเมดินหันไปพูดกับกรินมากกว่าจะพูดกับชวิศา
“เจ้าไม่ต้องห่วง ชวิศาจะได้ชัยเหนือผู้ใด”
“เอ๋!!!”ชายหนุ่มร่างเล็กร้องอุทานออกมาอีกรอบพร้อมทั้งโอดครวญต่อไปว่า “อย่าเพิ่งมั่นใจนักจะได้ไหม ขนาดตัวผมเองยังไม่มั่นใจขนาดนั้นเลย”
“จำคำของข้าไว้ เวลาประลองให้เจ้าใช้มนตราค้อนยักษ์ฟาดใส่คู่ต่อสู้เต็มแรง แค่นั้นข้ารับรองว่าเจ้าจะชนะแน่นอน”
เมดินส่งเสียงหัวเราะเมื่อได้ยินประโยคนั้น “ข้าเห็นด้วย ชักอยากให้ถึงวันประลองเร็ว ๆ แล้วสิ” คงมีแค่ชวิศาเท่านั้นที่หน้าตายังคงเหยเกอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อถือคำพูดของกรินสักเท่าไหร่
เมื่อหมดธุระ กรินจึงขอตัวกลับมีชวิศาเดินตามติดไปไม่ห่าง เส้นทางเดินจากสำนักศึกษาของเมดินและคฤหาสน์ของกรินยังมีระยะทางเท่าเดิม มีผู้คนสัญจรไปมาประปราย เนื่องจากสำนักศึกษาของเมดินอยู่ในแหล่งชุมชน พ้นจากหมู่อาคารบ้านเรือนซึ่งตั้งติดชิดกัน เป็นกำแพงรั้วยาวของบ้านคหบดีมีชื่อในเมือง เดินเลี้ยวไปอีกแยกจึงจะเป็นคฤหาสน์หลังโตของปราชญ์ลำดับที่หนึ่ง
ที่หน้าประตูรั้ว มีชายรับใช้ยืนรอด้วยอาการกระสับกระส่าย เขาร้องเรียก ‘คุณชาย’ ออกมาทันทีเมื่อเห็นกรินเดินมาแต่ไกล ซ้ำยังสาวเท้าด้วยความเร่งรีบเข้ามาหา
“นายท่านเชิญคุณชายไปพบที่ห้องหนังสือครับ”
“ข้า?”ปกติกรินไม่มีธุระพูดคุยกับบิดาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้มีหน้าที่อันใดเกี่ยวข้องกับวังหลวงหรือการบริหารงานในอาณาจักร
“สีหน้านายท่านไม่ค่อยดีนัก ทีแรกออกคำสั่งให้ส่งคนไปตามท่านที่สำนักศึกษา แต่เพราะท่านไม่อยู่ที่นั่น นายท่านจึงให้ข้ามาคอยท่าขอรับ”
กรินขมวดคิ้ว คิดเดาเอาว่าน่าจะมีเรื่องร้ายแรง เมื่อลองไตร่ตรองทบทวนดู เรื่องร้ายแรงนั่นอาจจะมีกิรานาเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาหันไปสั่งความกับชวิศาว่าให้ไปรอที่ห้อง ก่อนจะรีบก้าวเท้าตรงไปยังห้องหนังสือ
ห้องหนังสือที่ว่าเป็นห้องทำงานส่วนตัวที่จ้าวสกุลได้รับการสืบทอดมาหลายรุ่น นั่นหมายความว่า หากจ้าวสกุลคนต่อไปมาจากตระกูลสายรอง พวกเขาทั้งห้าอาจจะต้องย้ายออกจากคฤหาสน์
“ท่านบิดา”กรินเอ่ยเรียกเสียงเบาพอให้ชายสูงวัยซึ่งนั่งทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างได้รู้สึกตัว วิโยมันหันกลับมาหาบุตรชาย เขากล่าวเข้าเรื่องโดยไม่คิดอารัมภบท
“เช้านี้ท่านหญิงกิรานาทรงประชวรพระวาโยกลางที่ประชุม หมอหลวงบอกว่า เพราะกำลังทรงพระครรภ์ เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่”แม้เรื่องที่บุตรชายคนที่ห้ากำลังคบหาดูใจกับองค์หญิงตราตั้งจะไม่เป็นที่รับรู้ของคนทั่วไป แต่ในฐานะที่เขาเป็นพ่อ ย่อมรับรู้การไปมาหาสู่ในยามวิกาลของคนทั้งคู่เป็นอย่างดี
กรินชะงักงันเมื่อได้ยินคำบอกเล่า ท่าทีของเขายังอยู่ในภาวะสงบตอนที่กล่าวยอมรับผิดกับการกระทำที่ผิดธรรมเนียม “เด็กคนนั้นเป็นลูกของข้าเองขอรับ”
“แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อไป”
“ข้าจะแต่งงานกับนางให้เร็วที่สุด”
“ดี หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือใด จงบอกกล่าวมาแล้วกัน”
การแต่งงานของหญิงชายในอาณาจักรฮัชดาลลาร์นั้น ไม่จำเป็นต้องให้พ่อแม่ฝ่ายชายไปทาบทามหรือสู่ขอฝ่ายหญิงดั่งเช่นในบางประเทศ หากชายหญิงคู่นั้นมีอายุเกินยี่สิบปีบริบูรณ์ เนื่องด้วยถือว่าพ้นความเป็นผู้เยาว์ที่ต้องอยู่ในความดูแลปกป้องจากบิดามารดาแล้ว อีกประการหนึ่งคือ ชาวเมืองฮัชดาลลาร์ส่วนใหญ่จะแต่งงานเมื่อมีอายุล่วงสี่สิบถึงห้าสิบปี ดังเช่น ‘ดิวา’ พี่สาวของกรินซึ่งปีนี้มีอายุครบสี่สิบปีแล้ว
เรื่องการแต่งงานที่มาถึงก่อนแผนที่กำหนดไว้ ไม่ได้สร้างความหนักใจให้กรินเท่าใดนัก เขาโดนกิรานารบเร้ามาตั้งแต่ที่เจ้าตัวรู้เรื่องเจ้าชายทานันศิระหมายตาความสามารถการพยากรณ์ เพราะถ้าคิดจะรุกรานยึดครองอำนาจเหนืออาณาจักรอื่น ความสามารถของกิรานาจะช่วยสนับสนุนกองทัพได้มากมายมหาศาล
เพียงแต่เขาคิดว่าจะประวิงเวลาให้สามารถไปจัดพิธีหลังประเพณีมาดามายาก็เท่านั้น
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”ชวิศาเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาในห้อง เขาเงยหน้าขึ้นจากกระดาษที่ตนกำลังเขียนวงเวท
“ข้าต้องแต่งงานกับกิรานาแล้วนะ”
“ฮะ?! แล้วผมจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ ผมไม่มีทางไปนอนห้องอื่นเด็ดขาด”ชวิศาพูดบอกอย่างแข็งกร้าว
“ข้ายกห้องนี้ให้เจ้า”
ชวิศาขมวดคิ้ว “แล้วคุณกรินจะไปอยู่ที่ไหน”
“ข้าต้องไปสร้างบ้านใหม่อยู่กับภรรยาของข้านะสิ”เรื่องนี้ต่างหากที่เป็นปัญหา เขาไม่มีทางสร้างบ้านได้เสร็จทันก่อนงานแต่งแน่ๆ สงสัยต้องยืมห้องในคฤหาสน์อยู่อาศัยไปก่อน
“งั้น ผมไปด้วย”ชายหนุ่มยกไม้ยกมือร้องบอก
“บ้านของข้าคงไม่เสร็จในเร็ววันหรอก ไม่แน่ว่าเจ้าคงอาจจะได้กลับบ้านของเจ้าก่อน”
“คุณกรินหาทางส่งผมกลับบ้านได้แล้วเหรอครับ”
“ได้แล้วสิ”กรินบอกออกไปแค่นั้น ที่เขาไปหอตำราเมื่อเช้าก็ด้วยเรื่องนี้ เขากำลังหาทางสร้างผนึกพลังอีกชิ้นโดยใช้เหตุการณ์นองเลือดที่กิรานาเห็นในนิมิตให้เป็นประโยชน์
แต่เดิมนั้น ผนึกดวงจิตก็เป็นมนตราขาวกึ่ง ๆ คำสาปอยู่แล้ว แต่เพราะสามารถใช้พลังคลายผนึกทำให้เจ้าของดวงจิตกลับมามีชีวิตได้ ในอดีตจึงใช้มนตราเพื่อดำรงชีวิตอมตะมากกว่าดึงเอาพลังเวทมาใช้ ส่วนผนึกชิ้นใหม่ที่เขาจะสร้าง มันมาจากพลังด้านมืดอย่างแท้จริง ใช้เลือดเนื้อของผู้คนที่เสียชีวิตเป็นเครื่องสังเวย
“เออ แล้วเวลาสร้างบ้านไม่ใช้พลังเวทในการสร้างหรือครับ แบบ... โอม บ้านหลังน้อยจงปรากฏ อะไรแบบนี้”
เสียงถามของชวิศาทำให้เขาหลุดจากภวังค์ มองชายหนุ่มร่างเล็กชูนิ้วโบกมือไปมาและชี้นิ้วลงกับพื้นไม้ของโต๊ะตรงหน้า ทันใดนั้นบ้านหลังน้อยก็ปรากฏขึ้นมาจริงๆ ชวิศาร้องโอ้โฮตาโต ใช้นิ้วมือข้างนั้นจิ้มลงที่ส่วนของหลังคาบ้าน เมื่อชักมือออก หลังคาสีน้ำตาลของบ้านหลังน้อยกลับเป็นรอยบุ๋มลงไป
“นี่มันเค้กล่ะ”ชวิศาร้องบอกเมื่อลองชิมครีมที่เลอะปลายนิ้วมือแล้ว เขาหยิบมันขึ้นมาและกัดเข้าไปเต็มปากเต็มคำ “อร่อยด้วย คุณกรินเอาไหมเดี๋ยวผมเสกให้อีกอัน”เขาหันไปถามชายหนุ่มอีกคนด้วยความกระตือรือร้น
กรินส่ายศีรษะปฏิเสธ นึกอิจฉาพวกที่มีพลังเวทมากมายอีกรอบ ก่อนจะฉุกใจเกิดประกายความคิดขึ้นมา
“ถ้าข้าจะให้เจ้า สร้างบ้านให้ข้าสักหลัง เจ้าจะมีปัญหาหรือเปล่า”
“ฮะ?!”
+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
แม้จะงงๆอยู่บ้าง แต่ก็สนุก ชอบ
อื้อหือ ตอนแรกก็แนววิทยาศาสตร์ ไหงกลายมาเป็นไสยศาสตร์ได้เนี่ย แถมตอนแรกก็เป็นเรื่องรัก แต่จู่ๆก็กลายเป็นกู้ชาติไปงั้น มึนฮะ
ตอนที่อ่านคอมเมนต์ของคุณ WaterProof เราก็คิดอยู่ว่า หรือเราเขียนบรรยายเรื่องได้น่างุนงงเกินไป แต่ถ้าเป็นแบบที่คุณ noozzz เขียนอธิบายล่ะก็ เราขอตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า ก็พล็อตมันออกทะเลจ้า
ตอนที่เรื่องมันเริ่มจะไถล เรากลับมานั่งคิดดูแล้วรู้สึกว่า ถ้าพ้นจากช่วงต้นเรื่องไปแล้ว ซี ชวิศาจะไม่ค่อยมีบท เราเลยเขียนเรื่องเพื่อพัฒนาความสามารถตัวละครโดยเฉพาะ มันเลยกลายเป็นประมาณนี้
อย่าเพิ่งเลิกติดตามนะคะ แม้พล็อตเรื่องจะห่างจากฝั่งไปบ้าง แต่ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไหร่ มันจะไปจบที่ตรงไหน แต่จะยังไงก็ต้องไปให้ถึงจุดหมายค่ะ