ตอนที่ 13
“มึงเป็นพ่อของเด็กในท้องเขาหรือเปล่า” ---
“มึงรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
นานหลายนาทีกว่าความเงียบจะถูกทำลายขึ้นด้วยเสียงทุ้มสั่นพร่า ยิ่งได้ยินหินเอ่ยถามยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่เข้าใจคือความจริงโดยไม่ต้องให้เจ้าตัวยืนยัน
ทำไม...
“กูจะรู้เรื่องนี้ได้ยังไงมันไม่สำคัญเท่ากับทำไม...ทำไมมึงถึงทำให้เขาต้องฆ่าตัวตาย”
สุดท้ายน้ำตาที่พยายามกักเก็บเอาไว้ก็ร่วงพรู เสียงที่ถามกลับสั่นยิ่งกว่าตอนหินเอ่ย กายบางสั่นเทิ้ม แม้จะพยายามเบี่ยงหน้าหนีไม่ให้อีกคนเห็นแค่ไหน แต่ท่าทางสั่นไหวนี้ก็ไม่อาจปกปิด
“แฟน ฟังกู”
ร่างสูงปราดเข้ามาประชิดตัว ดวงตาคมฉายแววเจ็บปวด กระทั่งแรงขืนจากแฟนมีมากจนท้ายที่สุดแล้วต้องรั้งคนตรงหน้าเข้ามากอดเอาไว้ทั้งตัว
เพิ่งรู้วันนี้เองว่าน้ำตาของแฟนรุนแรงกว่าอะไรทั้งหมด
“ทะ ทำไม บอกกูสิว่าทำไม”
เสียงตะคอกถามสั่นไหว ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องของหินจะส่งผลต่อตัวเองเพียงนี้ แต่อย่างไรในหัวของแฟนก็อื้ออึงไปด้วยความเจ็บปวดเกินกว่าจะคิดถึงเรื่องอื่น
ทำไม...
“กูไม่ได้เป็นพ่อของลูกปริม” ท่อนแขนใหญ่รัดแน่นพร้อมทั้งกระซิบบอก คำตอบนั้นเรียกให้คนดิ้นหนีชะงักค้าง แรงขัดขืนค่อยๆโอนอ่อนลงอย่างไม่ควรเป็นไป พร้อมทั้งใจที่ร้องเตือนไม่ให้เชื่อหินโดยง่าย
“ไม่จริง...เขาท้อง”
“ใช่ ปริมท้อง แต่ไม่ได้ท้องกับกู และไม่มีวันท้องกับกู”
เปลือกตาหนาปิดลงเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วความเจ็บปวดแล่นวาบเข้ามาในอกเหมือนแผลที่กลัดหนอง
สิ่งที่เสียใจที่สุดคือไม่อาจรั้งชีวิตเพื่อนและหลานของตัวเองเอาไว้ได้ถ้าไม่เพราะอยู่คนละประเทศคงมาถึงเร็วกว่านั้น
“กูกับปริมเป็นเพื่อนสนิทกัน ไม่เคยคิดอะไรมากกว่านั้น เราผ่านทุกความลำบากมาด้วยกัน ผ่านวันที่มีความสุข ผ่านวันที่มีน้ำตา แต่วันที่เพื่อนเสียใจที่สุดจนอยากจบชีวิต...กูกลับไม่ได้อยู่ตรงนั้น”
“มึง...”
“เพราะขึ้นมหาลัยเราเรียนคนละที่ ตอนนั้นปริมเริ่มมีโอกาสได้เข้าวงการ เราคุยกันบ้างตามประสาแต่ก็ไม่ทุกเรื่องเพราะว่าเวลา กว่ากูจะรู้ว่ามีปัญหามากมายก็วันที่ปริมตัดสินใจไปแล้ว”
กลายเป็นร่างสูงใหญ่ที่สั่นเทิ้ม ร่างกายของหินเกร็งสั่นจนแฟนที่ยังมึนงงต้องสลัดทุกอย่างทิ้งแล้วยกมือขึ้นกอดอีกฝ่ายตอบ ฝ่ามือเล็กไล้ไปมาบนแผ่นหลังกว้างปลอบประโลม
แม้จะยังไม่เชื่อทั้งหมดแต่เกินกว่าครึ่งก็เชื่อไปแล้วทั้งใจ
“มึงไม่ได้โกหกกูใช่ไหม”
คำถามนั้นทำให้หินค่อยๆผละออกห่าง ดวงตาแดงก่ำจับจ้องอยู่บนใบหน้าสวยที่ยังมีคราบน้ำตาปรากฏ มือซึ่งยังคงสั่นวางแนบลงบนแก้มเนียนพลางใช้ข้อนิ้วเช็ดออกแผ่วเบา
“กูไม่เคยโกหกมึง ขอโทษที่ไม่ได้บอกทุกอย่างแต่แรกจนมึงคิดไปขนาดนั้น”
ถึงอยากโพล่งบอกทันทีที่เห็นแฟนร้องไห้ แต่ความเจ็บปวดข้างในก็มากเกินกว่าจะเอ่ยเรื่องราวออกมาโดยง่าย
“...”
“ถ้ากูเป็นพ่อของลูกปริมจริง กูจะไม่มีวันให้อดีตของกูต้องมาทำร้ายใคร”
โดยเฉพาะกับคนตรงหน้า...
หินรู้แล้วว่าความเจ็บปวดที่แท้จริงคือการเห็นคนที่
เรารักเจ็บปวด
เมื่อกี้เหมือนเรื่องของปริมจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปในทันทีเมื่อเทียบกับการได้เห็นน้ำตาของแฟน
“กูเป็นแฟนมึง กูรับได้ทุกอย่างถ้ามึงพูดออกมาให้กูฟัง...ยอมรับว่าเสียใจถ้ามึงเป็นพ่อของลูกเขาจริงๆ แต่ยังไงกูก็คงอยู่ตรงนี้”
ถึงตอนนี้จะได้รู้ความจริงแต่ใจก็ยังคงสั่นอย่างไม่อาจควบคุม หินมองใบหน้าสวยที่แสดงออกถึงความไม่มั่นคงภายในจิตใจ แม้อยากจะดึงร่างเล็กเข้ามากอดและปลอบโยนด้วยจูบ แต่เพราะที่นี่คือวัดจึงทำได้เพียงเอื้อมมือไปจับมือบางเอาไว้
สองฝ่ามือบีบกระชับเข้าหากันจนแน่น
“ขอบคุณ ไม่ว่ายังไงก็อย่าไปจากกูเลย...ขาดมึงไม่ได้แล้ว”
ไม่มีแววตาอ่อนหวาน ทว่าเปี่ยมไปด้วยความจริงจังมั่นคง
ไม่มีสุ่มเสียงเว้าวอน อ้อนขอ ทว่าหนักแน่นดั่งชื่อเจ้าของ
ไม่มีคำบอกรัก...แต่ราวกับกำลังถูกบอกรัก
ความร้อนรนเหมือนใจจะสลายก่อนหน้าแทบไม่หลงเหลือเหมือนโดนพายุพัดหายในวูบเดียว
“ห้ามทำกูเสียใจ” แฟนเอ่ยเสียงแผ่วแต่แววตากลับคล้ายจะขู่อยู่กลายๆ
“จะพยายาม”
คนถูกสั่งรับคำ ถึงรอยยิ้มจะเซียวกว่าทุกวันแต่ก็มากพอจะทำให้คนมองโล่งใจไปอีกเปราะ
“แต่เมื่อกี้ก็เสียใจไปแล้ว”
“กูไม่รู้ว่ามึงรู้เรื่องนี้ด้วย”
“เพื่อนกูรู้มาจากคนอื่นอีกที ช่างมันเถอะ เรื่องของเราค่อยกลับไปเคลียร์กัน ตอนนี้ไปทำบุญให้คุณปริมก่อนดีกว่า”
“อืม”
ใบหน้าคมหันมามองรูปที่สลักอยู่บนหินอ่อน มองสบกับเพื่อนราวกับนั่นคือปริมที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยคำขอโทษอย่างที่ทำมาตลอด
ขอโทษที่ตอนนั้นมาถึงช้าไป
--
“กูขอเข้าไปในห้องทำงานแป๊บนึง”
หินเอ่ยบอกกับคนข้างตัวทันทีที่กลับมาถึงห้อง ขณะที่แฟนก็มองอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วงก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเดินตรงไปยังห้องนอนเพื่อล้างหน้าล้างตา
เสียงโทรทัศน์ที่ถูกเปิดไว้ดังก้องไปทั่ว แต่คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าจอกลับไม่ได้ให้ความสนใจ ความคิดและสายตาของแฟนจดจ่ออยู่กับเพียงคนที่อยู่ในห้องทำงาน ทุกอย่างเงียบเชียบ ไร้การเคลื่อนไหว และไม่มีทีท่าว่าหินจะออกมาจนนึกเป็นห่วง
กระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงชั่วโมงครึ่งจึงไม่อาจทานทน ร่างบางผุดลุกขึ้นเดินตรงไปแล้วเปิดประตูเข้าไปอย่างถือวิสาสะ
มีเพียงไฟบนโต๊ะทำงานกว้างที่ถูกเปิดเอาไว้ บรรยากาศในห้องจึงมืดสลัว หินนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ เหม่อมองรูปที่เคยเก็บอยู่ในลิ้นชัก ไม่แม้แต่จะสนใจคนที่เข้ามา
รอบตัวของหินราวกับเต็มไปด้วยประกายแห่งความเจ็บปวด แม้ไม่มีน้ำตาสักหยดแต่ดวงตาคมก็หม่นมองเหมือนน้ำทะเลตอนกลางคืนที่ดูดซับทุกสิ่งอย่างเอาไว้
แฟนพาตัวเองก้าวมาจนหยุดยืนอยู่ด้านหลัง เหลือบมองภาพบนโต๊ะนั้นเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวลงแล้วสอดแขนโอบรอบตัวอีกคน
ยามนี้เหมือนคนตัวโตตัวเล็กลงเสียยิ่งกว่า
“กูอยู่ตรงนี้นะ” การจากลาของเพื่อนสนิทคงเป็นสิ่งที่เจ็บปวดใจไปชั่วชีวิต
แค่คิดว่าถ้าเป็นเพื่อนของตัวเองแฟนก็เข้าใจคนในอ้อมกอดอย่างลึกซึ้ง รู้ดีว่าไม่มีคำปลอบประโลมใดจะทำให้หินหายเศร้าได้เพราะเป็นเรื่องเกินเยียวยา แต่ก็หวังว่าภาษากายจะทำให้คนกำลังเศร้ารู้ว่ายังมีใครอยู่ตรงนี้
ถึงไม่มีคำตอบรับแต่มือหนาก็วางทับลงบนท่อนแขน แรงกระชับนั้นตอบกลับมาเพื่อสื่อสารกลับว่ารับรู้ถึงการอยู่เคียงข้าง ก่อนแฟนจะโอบกอดหินแน่นขึ้น พร่ำบอกอีกคนในใจว่าตัวเองอยู่ตรงนี้
--
เช้าวันต่อมาความรู้สึกแรกเมื่อตื่นขึ้นคือสัมผัสนี่แนบชิดอยู่ตรงช่วงไหล่ เมื่อดวงตาปรับสภาพให้คุ้นชินกับแสงในห้องแฟนจึงเลื่อนสายตาลงมอง ก่อนจะพบเข้ากับกลุ่มผมของคนข้างกาย
หินหลับไปทั้งท่านี้ ท่อนแขนพาดอยู่รอบเอวเล็กไม่ต่างจากเมื่อคืน
เมื่ออีกคนไม่มีทีท่าว่าจะตื่นจึงค่อยๆขยับตัวลุกขึ้น พยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวนคนนอนหลับ พร้อมทั้งขยับผ้าห่มคลุมตัวให้จนถึงไหล่
คิดย้อนไปถึงเรื่องเมื่อวานลมหายใจแห่งความสงสารก็ถูกพรูออก สายตาที่จับจ้องคนบนเตียงอ่อนแสง
หวังว่าพอผ่านวันครบรอบที่ย้ำเตือนความรู้สึกเมื่อสองปีก่อนแล้วหินจะดีขึ้น
2 ชั่วโมงต่อมา“ไปไหนมา”
เสียงทุ้มของคนที่นั่งอยู่บนโซฟากลางห้องเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างบางเดินเข้ามาหลังจากได้ยินเสียงประตู ถุงของมากมายเต็มไม้เต็มมือทั้งสองข้าง ดูจากสายตาแล้วส่วนมากล้วนเป็นของกินจากร้านอาหารชื่อดัง
“ซื้อกับข้าว มึงตื่นนานรึยัง”
วางของทั้งหมดลงบนโต๊ะพลางเดินมาหาอีกคนที่ยังไม่อาบน้ำ ผมเผ้าชี้เด่ไม่เป็นทรง ส่วนบนซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามเปลือยเปล่า
ทุกอย่างรวมกันแล้วช่างเป็นภาพที่น่ามอง
“ครึ่งชั่วโมงได้”
เมื่อร่างบางทรุดตัวนั่งลงข้างตัว มือใหญ่ก็คว้าหมับเข้าที่เอวเล็ก ก่อนจะยกแฟนมานั่งบนตัก จนคนไม่ได้ตั้งตัวหลุดเสียงร้อง
“อะไร?”
คนถูกถามไม่ตอบหากแต่ซบหน้าลงกับไหล่ ท่าทางคล้ายกับจะออดอ้อนจนมือบางวางแตะลงบนไหล่แกร่งแล้วลูบไล้ไปมาแผ่วเบา
“เป็นอะไร” น้ำเสียงที่เอ่ยถามเจือไปด้วยความเป็นห่วง
“ขอบคุณ”
“...”
“สำหรับเมื่อวาน”
สัมผัสหนักๆบนไหล่ผละออกห่างก่อนหินจะเงยหน้าขึ้นมาแนบริมฝีปากเข้าหาแนบแน่น นิ่งค้างไว้อย่างนั้นชั่วครู่แล้วผละออกโดยไม่มีการรุกล้ำใดๆ
“อืม”
แฟนรับคำพลางพยักหน้ารับ ริมฝีปากสีสดคลี่ออกเป็นรอยยิ้มบางพร้อมทั้งขยับตัวเล็กน้อยให้ท่าทางนี้ถนัดถนี่มากขึ้น จากนั้นท่อนแขนเรียวก็ยกขึ้นโอบรอบลำคอของคนตรงหน้าแล้วถามไปอีกเรื่อง
“หิวรึยัง กูซื้อกับข้าวมาเต็มเลย”
“หิว”
“งั้นก็ไปกินข้าวกัน”
ร่างเล็กขยับลงจากตัวของอีกคนไปยืนบนพื้น ไม่เอ่ยบอกให้หินไปล้างหน้าล้างตาเพราะได้กลิ่นหอมอ่อนของยาสีฟันจากการจูบกันเมื่อครู่ อีกทั้งใบหน้าคมยังผ่องใส บ่งบอกว่าเจ้าตัวล้างหน้าแล้วเป็นที่เรียบร้อย
“กอดกูทำไม”
เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเมื่อทั้งร่างถูกโอบกอดเอาไว้ด้วยร่างสูงด้านหลัง มือหนาวางอยู่บนเอว ปลายคางแกร่งก็วางอยู่บนหัว สองขาเกี่ยวกระหวัดกันเล็กน้อย
หลังจากกินข้าวและหินอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยบริเวณหน้าโทรทัศน์ก็ถูกเปลี่ยนเป็นที่นอนชั่วคราว บรรดาผ้าห่มและหมอนถูกขนออกมากองรอบตัว หนังถูกเปิดเสียงดังก้องราวกับโรงหนังจำลอง ขณะที่อีกคนก็ดึงตัวเข้าไปนั่งซ้อนทางด้านหน้า เอนตัวพิงหลังกับโซฟากว้างเอาไว้
หินนั่งกอดกันอยู่แบบนี้มาจนเกือบหนึ่งชั่วโมงโดยไม่เอ่ยอะไร
“อยากกอด ไม่ได้รึไง?” ใบหน้าสวยเอียงมองคนด้านหลังก่อนจะหันกลับมามองหน้าจออีกครั้ง
“รัดกูเป็นงูเหลือมแล้ว”
“ไม่ชอบ?”
“ก็ชอบ”
การได้ตกอยู่ในอ้อมแขนของหินไม่เคยก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดแต่กลับรู้สึกอบอุ่นและสบายตัวราวกับเจอที่พึ่งพิงซึ่งวางใจได้ ทว่าความรู้สึกนี้ต้องถูกกดเก็บ ไม่เผยออกไปให้เจ้าตัวได้ใจ
“หึ...เรื่องปริม”
“...” แฟนเงียบเพื่อรอฟังต่อ
“เลยทำให้กูไม่อยากเข้าไปในวงการนี้ ไม่อยากก้าวไปอยู่ในจุดที่ปริมเคยอยู่ กูอาจจะทำงานด้านนี้บ้างแต่ทุกอย่างก็ต้องเป็นเพราะว่ากูอยากทำ กูพึงพอใจ”
ประโยคยืดยาวไหลออกมาจากริมฝีปากแสนหนักอย่างเชื่องช้า คำพูดของเพื่อนมากมายก้องไปมาอยู่ในหัวทำให้หินตัดสินใจเล่าความในใจของตัวเอง
“มึงถึงไม่อยากไปทำงานกับพี่ต้นอะไรนั่นสินะ”
แฟนเอ่ยเสียงเบาเมื่อคิดตาม เกิดความรู้สึกแปลกใจเมื่อหินเปิดปากเล่าขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ถึงอย่างนั้นก็พร้อมรับฟัง
“อืม...ตรงนั้นมันไม่สวยหรูหรอก ต้องทำในสิ่งที่บางครั้งไม่อยากจะทำ ต้องเอาความฝันเข้าแลกกับอิสระชั่วชีวิต”
น้ำเสียงของคนพูดเจือไปด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับแรงรัดรึงรอบตัวที่แน่นขึ้น
“กูถามได้ไหม”
“ได้สิ ถ้ามึงอยากรู้”
“แล้วพ่อของลูกเขาล่ะ”
ริมฝีปากบางขบเม้มเข้าหากันด้วยความไม่แน่ใจ ถึงรู้ว่าอาจไม่เหมาะสมกับการจะถามถึงแต่ความอยากรู้ก็มีมากกว่า
ถ้าไม่ใช่หินแล้วเป็นใคร
“เป็นคนเบื้องหลัง กูจัดการไปแล้ว”
“มึงฆ่าเขาเหรอ”
แฟนหันขวับกลับไปถาม ดวงตาเบิกขึ้นด้วยความตกใจเมื่อได้ยินคำตอบ
“เห็นกูโหดเหี้ยมขนาดนั้นเลย”
รู้สึกขำกับความคิดของคนตรงหน้าแต่เพราะอยู่ในอารมณ์ที่ไม่อยากจะหัวเราะเลยได้แต่เอ่ยถามกลับ ท่าทางตกใจนั้นบ่งบอกว่าแฟนคงเข้าใจความหมายคำว่าจัดการไปอีกแบบ
“ก็มึงบอกว่าจัดการแล้ว” คนคิดไกลเอ่ยเสียงเบา
“กูแค่ทำให้มันไม่มีหน้าอยู่ในสายงานนี้อีก ตัดสิ่งที่จะทำให้มันสุขสบายทุกทาง”
แล้วก่อนจะปล่อยไปก็แค่ซ้อมปางตาย...
“มึง...ไม่เคยคิดอะไรกับเขาจริงๆเหรอ”
เรื่องของปริมไม่ใช่สิ่งที่อยากรู้ที่สุดแต่คำถามที่ยังค้างคาใจคือหินไม่เคยคิดอะไรกับคนที่ตายไปแล้วจริงหรือ
ชายหญิงเป็นแค่เพื่อนสนิทกันได้จริงๆใช่ไหม
“คิดอะไร เพื่อนก็คือเพื่อน พวกกูเห็นสันดานกันมาหมด ไม่เคยแม้แต่สักวินาทีเดียวที่จะคิด”
ได้ยินคำตอบความอึดอัดเมื่อครู่ก็ลดลงจนรู้สึกโล่ง จากแค่เพียงเอี้ยวตัวไปหาจึงกลายเป็นขยับไปนั่งประจันหน้า ก่อนท่อนแขนจะยกขึ้นคล้องลำคอแกร่ง บดเบียดร่างกายเข้าหาอิงแอบแนบชิด
ดูเหมือนจะกลายเป็นท่าประจำไปเสียแล้ว
“พรุ่งนี้ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่กัน มึงใส่สีดำมาสองปีแล้ว”
“...”
“ให้คนจากไปเขาได้สบายใจและหมดห่วงนะ”
เพราะไม่อยากเห็นหินจมอยู่กับเรื่องราวในอดีตมากไปกว่านี้จึงเอ่ยปากบอก อาจไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นสีสันฉูดฉาดแต่หินก็ควรออกจากการไว้ทุกข์เสียที
“อืม”
--
“ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นมึงไปเล่นดนตรีเลย”
แฟนเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อศุกร์ เสาร์ กระทั่งวันอาทิตย์หินก็ยังไม่ออกไปไหน มีเพียงการไปทำธุระช่วงบ่ายแต่ตอนกลางคืนกลับไม่ได้ออกไปทำงาน
“กูเปลี่ยนงานแล้ว”
“เปลี่ยนงาน?”
คำตอบนั้นทำให้แฟนถามกลับด้วยเสียงฉงน ขณะทรุดกายนั่งลงบนเตียงเตรียมตัวเข้านอน
“อืม ลืมบอกมึงไป”
โทรศัพท์ในมือถูกกดล็อกก่อนจะถูกวางลงที่โต๊ะข้างหัวเตียง จากนั้นก็ขยับไปหาคนที่นั่งหน้าบึ้ง มุมปากได้รูปยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
หน้าบึ้งแต่กลับน่าเอ็นดู
“งอนกูเหรอ”
เสียงทุ้มเอ่ยถามยามเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ ผิวหน้าใสที่เคลือบด้วยครีมบำรุงปรากฏให้เห็นทุกรูขุมขน
ทุกอย่างบนใบหน้าของแฟนประกอบกันอย่างลงตัว แต่สิ่งที่ทำให้อยู่ด้วยกันได้ไม่ใช่รูปลักษณ์แต่เป็นจิตใจข้างใน
เพราะแฟนเป็นแบบนี้ หลายอย่างมันบ่งบอกแล้วว่าเขาเลือกคนไม่ผิดจริงๆ
“มึงก็เป็นอย่างนี้ มีอะไรไม่ชอบพูด” แฟนเอ่ยด้วยเสียงเง้างอน
“อันนี้ลืมจริงๆ ไม่ได้จะไม่บอก”
“แล้วเปลี่ยนไปทำงานอะไร”
“อาจารย์พิเศษในมหาลัย” คิ้วได้รูปเลิกขึ้นเมื่อได้ฟังคำตอบ
“จริงจัง”
“จริงจังสิ กูขี้เกียจจะตาย”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นก่อนหินจะผละออกไปนั่งพิงหลังกับพนักเตียง ร่างเล็กจึงเป็นฝ่ายขยับตาม ใบหน้ายังคงฉายแววใคร่รู้
“แล้วทำไมถึงเปลี่ยน”
“อาจารย์ที่กูสนิทด้วยเขาขอมา พอดีมีวิชาพิเศษที่เขาจะเปิดขึ้นแล้วเห็นว่ากูมีความรู้ทางด้านนี้ ยังดีที่สอนไม่เยอะ อาทิตย์ละสองวัน”
ช่วงที่ผ่านมาจึงเป็นเวลาของการเตรียมตัว ทั้งเรื่องเอกสาร การสอบ และสัมภาษณ์ แม้จะเป็นเพียงอาจารย์พิเศษแต่ก็ต้องมีการทำทุกอย่างเพื่อดูความสามารถโดยรวม
อะไรที่มีระเบียบบังคับเป็นขั้นเป็นตอนคือสิ่งน่าเบื่อ หากไม่ถูกร้องขอคงไม่ทำ
“แล้วงี้อีก5วันมึงจะทำอะไร”
“กูมีงานอื่นๆอีก อาจมีไปช่วยดูเด็กที่ผับเดิมบ้าง ดูเรื่องดนตรีให้คนอื่นบ้าง”
“ทำไมงานเยอะ” แฟนขมวดคิ้วมุ่น
“คนเก่ง”
รอยยิ้มมุมปากที่ถึงแม้จะยังไม่เหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นแต่ก็ทำให้คนมองใจชื้น ถ้อยคำมั่นใจนั้นน่าหมั่นไส้จนแฟนเบะปาก ก่อนปากเล็กๆจะถูกลงโทษด้วยจูบและแรงขบกัดเบาๆจากหิน
“อื้อ!” ความเจ็บแปลบส่งผลให้คนถูกจูบส่งเสียงในลำคอ
“ดื้อนัก”
หินเอ่ยพูดยามละริมฝีปากออกห่าง เหมือนจะเป็นการลงโทษแต่คนทำรู้ใจตัวเองดีว่าเป็นเพราะใจตัวเองอยากจะทำ
ติดสกินชิพแฟนจนเกินไปแล้ว
“ไม่ดื้อ เป็นเด็กดีสุดๆ” มือเล็กยกขึ้นมาเช็ดน้ำสีใสบนปากของตัวเองพลางเอ่ยเถียง
“กล้าพูด”
“กล้าเพราะเป็นความจริง”
หินถึงกับส่ายหัว แต่ถึงอย่างนั้นความคิดวุ่นวายในหัวก็ลดน้อยลงเพราะคนตรงหน้า ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าสวยอยู่ชั่วครู่ กระทั่งคนถูกมองเลิกคิ้วถามจึงเปลี่ยนไปเป็นขยับตัวลงนอนเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับความรู้สึกได้
“มึงจะนอนแล้วเหรอ”
“อืม ปิดไฟได้แล้ว พรุ่งนี้มึงทำงาน รีบนอนซะ”
“ก็ได้”
--
“ได้ยินข่าวจากพ่อว่าแฟนเราแวะมาหาที่บริษัทเหรอหืม”
น้ำเสียงแสนอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ดังขึ้นเมื่ออีกฝ่ายแวะมาหาที่บริษัท ขณะที่คนเป็นพ่อก็นั่งอมยิ้ม ทิ้งระเบิดลูกเล็กๆไว้ให้แฟนจัดการ
“พอดีแฟนลืมเอกสารประชุมเลยให้พี่หินเอามาให้เฉยๆ”
“ชื่อหินงั้นเหรอ?”
คนเผลอหลุดปากเม้มริมฝีปากเข้าหากันยามได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอจากพ่อของตัวเอง
“ครับ ชื่อหิน” แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังตอบคำถามเสียงเบา
การต้องมานั่งคุยกันเรื่องคนที่คบด้วยไม่เคยเกิดขึ้นในครอบครัว แฟนจึงไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร
“ว่างๆก็พามากินข้าวที่บ้านบ้างสิ นี่เวลาเราลงไอจีสตอรีอะไรนั่นน้องเราเอามาฟ้องแม่ใหญ่ บอกด้วยว่าดูจากทรงแล้วต้อง
หล่อแน่ๆ”
รอยยิ้มอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ประดับอยู่บนใบหน้าไม่ห่างหายยามเอ่ยกับคนเป็นลูก
“ก็ดีนะ แต่พ่อหล่อกว่า”
“หืม พ่อก็ช่างกล้า”
แฟนหลุดหัวเราะให้กับประโยคของพ่อ ส่วนแม่นั้นทำหน้าคล้ายกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเนื่องจากความหลงตัวเองของสามี
“เอาไว้ถ้ามีเวลาแฟนจะพาไปทานข้าวที่บ้านนะ”
“ดีจ้ะ แม่ตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นว่าคนที่มีความอดทนเป็นเลิศนั้นเป็นใคร”
“แม่อ่ะ”
แล้วเสียงหัวเราะร่วนของทั้งพ่อและแม่ก็ดังขึ้นจนใบหน้าสวยทอความเง้างอน ทว่าข้างในกลับรู้สึกดีกับความรักและความเข้าใจของคนในครอบครัว
ก็อยู่ที่ว่าหินจะพร้อมเข้าไปหาพ่อกับแม่เขาหรือเปล่า
“เขาเป็นคนดีใช่ไหมหืม”
มือเล็กของผู้เป็นแม่วางลงบนหัวพลางลูบไล้ไปมาสองสามครั้ง ขณะใบหน้าที่ถ่ายทอดความสวยมาให้เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“ครับ พี่หินเป็นคนดี”
แปลกที่แฟนตอบคำถามนี้ได้อย่างไม่ลังเล
พอผ่านเรื่องกังวลใจมาได้ความรู้สึกข้างในก็เหมือนจะเพิ่มมากขึ้น เพียงแค่นึกถึงใบหน้าคม ปากก็ราวกับอยากจะฉีกยิ้มอย่างเป็นเอามาก
คำตอบที่คนเป็นแม่ยิ้มกว้างออกมายิ่งกว่าเดิม
“ดีแล้วจ้ะ”
--
“กลับมาไวจัง”
เสียงพึมพำกับตัวเองดังขึ้นท่ามกลางความเงียบยามมือบางผลักประตูเข้ามาแล้วพบกับร่องรอยการกลับมาของอีกคน
หินบอกว่าวันนี้มีธุระ ก่อนหน้าบอกกำลังกลับห้องแต่ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาถึงเร็วกว่า
เท้าเรียวภายใต้สลิปเปอร์ก้าวเอื่อยเฉื่อยไปวางกระเป๋าลงบนโซฟา จากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งลงด้วยความหมดแรงเนื่องจากสูญเสียพลังงานไปกับงานและการจราจรในกรุงเทพ เปลือกตาบางปิดลงเพื่อพักสายตา กระทั่งได้ยินเสียงกุกกักจากในห้องนอนจึงลืมตาขึ้น ก่อนจะหยัดกายลุกจากโซฟาเพื่อเดินเข้าไปหาหิน
ปึก
ทว่าหัวเข่าซึ่งกระแทกอะไรบางอย่างบนโต๊ะพลันทำให้ต้องหยุดชะงัก แฟ้มเอกสารบางอย่างล่วงหล่นลงมากองตรงปลายเท้า แรงกระแทกนั้นมากพอจะส่งผลให้เอกสารบางส่วนเลื่อนออกจากซอง
แฟนโน้มตัวลงไปเก็บ คิ้วได้รูปขมวดเป็นปมยามค่อยๆกวาดสายตามองใบปริญญาบัตรในมือ
‘Mozarteum University of Salzburg’
‘Mr.Sila Kananon’
สองประโยคที่ปรากฏเด่นหราอยู่บนใบปริญญาบัตรจบการศึกษาระดับปริญญาตรีทำให้แฟนนิ่งอึ้ง อ่านวนตัวอักษรนั้นเป็นสิบรอบก่อนจะพบว่าตัวเองไม่ได้อ่านชื่อผิดหรือตาฝาดไป
“กลับมาแล้วเหรอ”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นดึงสติอันสับสนมึนงงให้กลับมาอยู่ตรงหน้า แฟนเงยหน้ามองคนที่เอ่ยถาม ขณะในมือยังคงถือแฟ้มและใบปริญญานั้นเอาไว้แน่น
“มึง...”
“เห็นแล้วเหรอ”
“...”
“ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องบอกไหม แต่มันอาจดีกว่าถ้ามึงรู้จากตัวกูเอง...เรื่องที่กูจบปริญญาโทจากที่นี่กูไม่ได้โกหก แต่แค่ไม่ได้บอกมึงว่าก่อนหน้านั้นกูจบปริญญาตรีจากที่อื่น”
TBC.
มาแล้วววว มาไวมากกกก รู้ว่าทุกคนอยากอ่านตอนนี้มากเลยมาเร็วค่ะ น่ารักใช่ม๊า? อิอิ
ดราม่าชามเล็กนิดดดเดียวเอง จริงๆตอนนี้ไม่ได้ตั้งใจม่าอยู่แล้วค่ะ(แต่ตั้งใจให้ค้างจริงๆ5555555)
แต่เป็นเหตุการณ์ที่จะทำให้คนทั้งสองได้เห็นอะไรในตัวกันและกันมากขึ้น
เห็นไหมว่าไม่มีอะไรเล้ย กลับมาหวานกันแล้ว คึคึ
แอบทิ้งระเบิดไว้ตอนท้าย พี่หินยังมีอะไรให้เซอร์ไพร์สอีกเยอะเลยค่ะะะ^^
พอผ่านเรื่องปริมเขาก็คิดได้มากขึ้นว่าบางเรื่องที่คิดว่าไม่จำเป็นอาจจะต้องพูดออกมาบ้าง
แล้วมาทำความรู้จักพี่หินไปพร้อมๆกับน้องแฟนกันนะคะ...รักกกกกก
เจอกันตอนหน้าค่าาาา
แฟนเพจ : https://www.facebook.com/writerexsoull/
Twitter : https://twitter.com/exsoull_ ฝากติดแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยนะคะ