Part 3
“เฮ้อ……………..ทำไมสองสามเดือนมานี่ขายมะพร้าวได้น้อยจัง เป็นแบบนี้บ่อยๆก็แย่นะสิ”
วนัสบ่นอุบกับตัวเอง ด้วยพอเขาเข้ามาดูแลสวนแทนพ่อ ยอดขายมะพร้าวแก่ส่งโรงงานกลับได้น้อยกว่าช่วงที่พ่อดูแลซะอีก
ตอนเขาจ่ายเงินค่าลิงขึ้นมะพร้าวก็ประมาณ 4,000 บาท เขาน่าจะมีมะพร้าวไว้ขายพ่อค้าคนกลางประมาณ 8,000 ลูก หักมะพร้าวลูกเล็กลูกน้อยที่ไม่ได้ขนาดกับสอยตกลงมาแตกขายไม่ได้ ก็ไม่น่าจะน้อยขนาดนี้ เพราะเดือนนี้เขามีผลผลิตไว้ขายไม่ถึง 4,000 ลูก ๆละ 10 บาท สรุปเขามีรายได้เดือนนี้ 30,000 กว่าบาทเท่านั้น นี่เขามีมะพร้าวไม่ได้ขนาดขายเกือบครึ่งหนึ่งเลยเหรอ แล้วไอ้มะพร้าวแตกบ้างลูกเล็กบ้างก็ต้องเอาไปผ่าตากแดดแคะขายเป็นเนื้อมะพร้าวตากแห้งอีกที ซึ่งก็ต้องรอรวบรวมให้ได้เยอะๆก่อนแล้วถึงจะขาย กว่าจะได้เงินก็อีกนาน ช่วงก่อนหน้านี้มันแล้งจัดรึไงน่ะ ถึงได้เป็นแบบนี้
“เฮ้อ………….ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ คงมีเงินไม่พอจ้างคนงานแน่ๆ ไหนจะค่าดูแลสวนอีก ไม่ใช่น้อยๆเลยนะ”
ร่างโปร่งถอนหายใจเป็นรอบที่สองแล้วจึงเอนตัวลงนอนบนเก้าอี้ยาวที่ตั้งไว้ที่ระเบียงหน้าบ้าน
“ต้องหางานทำเสริมก่อนซะละมั้ง” วนัสพึมพำก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอนของตนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับออกไปข้างนอก
ร่างโปร่งบางค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าอย่างไม่เร่งรีบ จนชิ้นสุดท้ายหลุดออกจากร่าง เผยผิวขาวเนียนสะอาดสะอ้านตลอดศีรษะจรดปลายเท้า วนัสมองร่างเปลือยของตนเองผ่านกระจก ใครๆก็ว่ารูปร่างหน้าตาเขากระเดียดไปทางแม่ ก็คงจะจริง เป็นผู้ชายแท้ๆกลับมีส่วนเว้าส่วนโค้ง อาจเพราะผอมด้วยละมั้ง ถึงได้ไม่ดูหนาบึกบึนเหมือนผู้เป็นพ่อ จนถูกล้อว่าเป็นกะเทยบ่อยๆ ก็ช่วยไม่ได้นี่ ของพ่อแม่ให้มายังไงก็ยังงั้น เขาไม่ได้นึกกังวลเลยสักนิด
วนัสเลือกใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีด พร้อมสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนาทับอีกที วันนี้ต้นเดือนเขาจะต้องไปเก็บค่าเช่าห้องแถวในตัวเมืองชุมพรส่งไปให้พี่สาวที่อยู่ไกลถึงเชียงใหม่ ห้องแถวขนาดสี่สิบห้องทำให้พี่สาวเขามีรายได้พอจับจ่ายใช้สอยสะดวกมือ ทั้งยังออกปากอนุญาตให้เขาเอาเงินส่วนนี้ไปใช้ได้หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น แต่เขาไม่คิดจะนำเงินส่วนนี้มาโปะผลขาดทุนในสวนที่เขาดูแลแน่นอน ก็ถ้าคิดจะอยู่ที่นี่ก็ต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ ไม่งั้นคงถูกลากตัวขึ้นไปอยู่เชียงใหม่แน่ๆ หากพี่รู้ขึ้นมา
ร่างโปร่งหยิบกุญแจรถอันเป็นมรดกเก่าแก่อีกชิ้นหนึ่งที่พ่อเหลือไว้ หลังจากซ่อมเสร็จในอาทิตย์ถัดมา ก็ผ่านมาหลายเดือนมันก็ยังไม่เกเรอีก เขาจึงยังตัดใจปลดระวางมันไม่ลง คิดถึงรถใจมันก็พาลนึกระเรื่อยไปถึงชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ให้ภาพพจน์ดูอบอุ่นในความรู้สึกของเขาขึ้นมาอีก ตั้งแต่วันนั้นก็ยังไม่ได้พบเจอกันอีก แต่คิดว่าน่าจะระแวกนี้ละเพียงแต่เวลายังไม่มาบรรจบให้เขาได้พบเจอก็เท่านั้น
ผู้หญิงคนไหนน้า………ที่ได้เป็นภรรยาของชายหนุ่ม ช่างโชคดีที่มีสามีดูเป็นแฟมมิลี่แมนขนาดนี้ เขานับถือจริงๆ อาจเพราะเขามีพ่อเป็นตัวอย่างที่ดีในการเป็นเสาหลักของครอบครัว ทั้งยังรักและให้เกียรติแม่ ครอบครัวจึงมีความสุข ทำให้เขารู้สึกถูกอกถูกใจกับบุคลิกที่ดูรักครอบครัวแบบนั้น จนติดตาติดใจเก็บมานึกถึง
“วันนี้ก็ตั้งใจทำงานละเพื่อนยาก ถ้าไม่เกฉันจะเอาแกไปล้างอัดฉีดให้สะอาดเอี่ยมเชียว”
วนัสพูดขู่กับรถคันเก่าของตนเหมือนมันมีชีวิต ก็อยู่คนเดียวนี่ จะให้ไปคุยกับใครที่ไหน พูดๆจะได้อุ่นใจเหมือนมีเพื่อนอยู่ด้วยไงละ ไม่งั้นประสาทกินตาย หมู่บ้านก็เล็กคนก็น้อย ถ้าเขาไม่ได้ออกไปไหนก็แทบไม่ได้เจอผู้คนเลย จะไปซื้อของร้านยายติ๋มก็ต้องขอผ่าน เพราะลูกสาวแกแทบจะลากเขาเข้าห้องอยู่แล้วตอนนี้ แรกๆ เขาก็ไม่ได้คิดอะไรกับอาการทอดสะพานให้เขาจนเกินงามของเด็กดาวนั้น แต่ยิ่งเจอเขาก็ยิ่งกลัวสาวเจ้าขึ้นทุกวัน นี่ถ้ามอมเหล้าเขาได้อย่างในหนังคงทำไปแล้ว
หึๆ เขายังไม่อยากได้เมียตอนเมาหรอกนะ ตอนนี้เขาเลยรู้สึกทั้งขำทั้งระอากับอากัปกิริยาทุกๆอย่างที่เด็กสาวทำ ก็ไม่ได้รังเกียจเพียงแต่ยังไม่ใช่คนที่เขาจะใช่ชีวิตอยู่ด้วยก็เท่านั้น เลยกลายเป็นว่าเขาต้องคอยหลบคอยเลี่ยงเด็กดาวนั้นไปเลย เวลาเข้าไปในตัวเมืองชุมพรเขาก็จะซื้อข้าวของมาตุนไว้ครั้งละมากๆแทนการไปใช้บริการร้านยายติ๋ม
“RRRRRRRRRRRRRRR” เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นหลังจากวนัสเก็บค่าเช่าเสร็จและกำลังจับจ่ายซื้อของใช้จำเป็น ชื่อก้องภพปรากฏโชว์บนหน้าจอ
“หวัดดีก้อง” เสียงสดใสทักทายเพื่อนตน “อืม……เราสบายดี ………อยู่ได้ๆ ไว้ว่างๆนายมาเที่ยวสิ…………” เพื่อนซี้คุยกันอีกพักใหญ่ก่อนตัดสัญญาณไป
เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องแข่งกันให้ดังระงม เมื่อวนัสขับรถมาหยุดหน้าบ้านลุงชัดเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
“ไง…ไอ้หนุ่มหน้าหยก” ลุงชัดทักทายเชิงหยอกเย้าเสมือนลูกหลานตัวเอง เมื่อร่างสูงโปร่งเดินเข้าไปนั่งบนตั่งใต้ถุนบ้านใกล้ๆแกนั้นละ
“ก็พูดกันไปเองทั้งนั้นละลุง” วนัสส่งยิ้มแกนๆให้ชายสูงวัย
“ฮ้าๆ เออๆ ลุงรู้น่ะ นังดาวนั้นลุงก็เห็นมาตั้งแต่มันยังไม่นุ่งผ้า ก็ถ้าไม่อยากได้มันเป็นเมียก็ห่างๆมันไว้หน่อย แล้วไปไหนมาละเนี่ยเรา” ลงชัดถามอย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นสีหน้าปูเลี่ยนๆของหลานชาย
“ไปในเมืองมานะลุง แล้วก็จะมาขอปรึกษาเรื่องงานกับลุงหน่อยครับ”
“เอาสิ ว่ามาๆ”
“ผมอยากจะหางานทำเสริม นอกจากงานในสวนนะครับ พอจะมีที่ไหนแนะนำบ้างมั้ยลุง”
ชายสูงวัยมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาอย่างค้นคว้าหาอะไรบางอย่าง บนใบหน้านั้นก่อนจะตอบ
“มีไร่มีสวนของตัวเองแล้วจะไปทำอะไรที่ไหนอีกละเจ้านัส”
“ก็ใช่ครับ แต่ผมยังทำได้ไม่เท่าพ่อมันเลยไปไม่ได้ดีเท่าไร เลยจะค่อยๆหาประสบการณ์กันไป แล้วอยู่อย่างนี้ผมก็แทบไม่ได้คบหาสมาคมกับใคร เลยจะหางานอื่นทำไปก่อน ส่วนงานในสวนก็มีคนงานคอยดูแลอยู่สองคนแล้วก็พอจะถูๆไถๆไปได้ก่อน จนกว่าจะพร้อมกว่านี้”
“งั้นหรอ………แต่แถวนี้มันก็มีแต่งานไร่งานสวนนะเจ้านัส อีกทีก็ในเมืองโน้นเลย”
“ผมก็มาฝากบอกลุงชัดไว้น่ะครับ เผื่อจะเห็นที่ไหนเขารับคนทำงานอย่างผมบ้าง”
“เออๆ แต่จะว่าไปที่ไร่ภูผาก็กำลังหาคนทำบัญชีอยู่นะ แต่เรามันจบมาทางภาษาๆ อะไรนั้นไม่ใช่รึ มันคนละทางกันเลย” วนัสยิ้มกับคำเรียกคณะที่เขาเรียนจบมา
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าที่อื่นมีงานที่ผมทำได้ก็บอกผมด้วยนะครับ”
“อืม……แล้วลุงจะดูๆให้น่ะ แต่คงลำบากหน่อย”
“งานอะไรก็ได้ลุง จะเป็นเสมียนหน้าห้องก็ได้ครับ ถ้าผมทำได้”
“เอางั้นน่ะ แต่วันนี้กินข้าวเย็นมารึยังละ อยู่กินด้วยกันสิ เห็นว่าแม่ไอ้หนูทำแกงส้มปลาช่อนไว้” ลุงชัดตั้งท่าดึงร่างโปร่งอยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน แต่วนัสซึ่งตุนอาหารไว้ในท้องจนเต็มคราบจากในเมืองต้องขอปฏิเสธ แล้วลากลับบ้านในเวลาต่อมา
เรื่องที่ไม่คาดฝันมักเกิดขึ้นกับชีวิตคนเราบ่อยๆ ด้วยสองวันให้หลัง ลุงชัดก็มาหาเขาที่บ้าน บอกให้ไปลองสัมภาษณ์งานที่ไร่ภูผา
“ก็เขารับคนทำบัญชีไม่ใช่เหรอลุง?”
“ก็ใช่ แต่คุณภูผาบอกว่าอยากได้ผู้ชายไปทำงานตรงนี้น่ะ ยังไงเราลองไปดูก่อนเถอะ”
แม้จะรู้สึกไม่แน่ใจในความถนัดของตัวเองแต่วนัสก็พยักหน้ารับคำ
“ขอบคุณลุงชัดมากครับ”
“งั้นพรุ่งนี้ลุงมารับไปด้วยกันกับลุงนะ”
วนัสยกมือไหว้ชายสูงวัย ก่อนจะรีบขึ้นบ้านไปเตรียมรีดเสื้อผ้าสำหรับวันพรุ่งนี้
อาณาเขตของไร่ภูผากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ถึงจะมีบริเวณติดกับสวนของวนัสบางส่วน แต่กว่าจะขับรถเข้าไปถึงที่ทำการของไร่ก็เกือบสิบกิโล อาคารก่ออิฐฉาบปูนชั้นเดียว มีป้ายปีกไม้เขียนสีตัวบรรจงว่า ไร่ภูผา บ่งบอกให้ผู้มาเยือนรู้ว่า ที่นี่คือที่ทำการของไร่ภูผา หลังที่ทำการไร่ประมาณ 100 เมตร มองเห็นบ้านปีกไม้ยกพื้นสูงประมาณหนึ่งศอก ล้อมรอบด้วยสวนที่ตกแต่งไว้สวยงามตั้งตระหง่านเป็นที่สะดุดตาอีกแห่งหนึ่งที่วนัสมองเห็น
“ปะ……..เข้าไปรอข้างในกัน”
ร่างโปร่งเดินตามลุงชัดเข้าไปภายในที่ทำการ ซึ่งถูกจัดเป็นสำนักงานขนาดย่อมๆ มีพนักงานหญิงสามคนนั่งทำงานอยู่ก่อนแล้ว
“คุณภูผาเข้ามารึยัง” ชายสูงวัยหันไปถามพนักงานหญิงที่อยู่ใกล้ตัว
“ยังจ๊ะลุง แต่คุณภูผาทราบแล้วว่าจะมีคนมาสัมภาษณ์ เดี๋ยวคงเข้ามา”
“อืม………”
ลุงชัดรับรู้แล้วหันกลับมาพยักหน้าให้วนัสเดินตามไปนั่งที่เก้าอี้รับแขกใกล้ประตูทางเข้า เหมือนจะคอยอยู่เป็นเพื่อนจนวนัสรู้สึกเกรงใจ
“ลุงชัดไปทำงานเถอะ ผมรอเองได้ครับ”
“เออๆ โตแล้วนี่นะ ถ้าเสร็จแล้วลุงจะให้คนงานขับรถไปส่งบ้าน”
“ครับ”
ชายสูงวัยจากไปชั่วขณะ เสียงฝีเท้าหนักๆจึงดังมาจากภายนอกให้ร่างบางได้เงยหน้ามองผู้มาใหม่
“อะ!…….” คุณหินนี่ ด้วยผู้ชายร่างสูงใหญ่ขนาด 190 เซนติเมตรมีให้เห็นไม่มากนักแถวนี้ แค่เห็นครั้งสองครั้งก็จำได้แม่น กอรปกับครั้งสุดท้ายได้ช่วยเหลือเขาไว้ จึงจำได้ตั้งแต่แว๊บแรกที่เห็น ยังคิดว่าคงต้องได้เจอกันซักวันแน่ๆ แต่คุณหินมาทำอะไรที่นี่
คำถามในใจร่างบางหาคำตอบได้ไม่ยาก เมื่อร่างสูงใหญ่เดินผ่านเขาไปยังโต๊ะทำงานของพนักงาน โดยไม่เหลือบมองข้างประตู่ที่มีเขานั่งจุมปุ๊กอยู่แม้แต่น้อย พนักงานหญิงที่ทำหน้าที่ของตนต่างละงานตรงหน้าหันมายกมือไหว้ชายหนุ่มกันหมดทุกคน
“สวัสดีค่ะคุณภูผา”
“อืม หวัดดี คุณวนัสมารึยัง”
“มาแล้วค่ะ นั่งอยู่ตรงนั้นน่ะค่ะ” พนักงานหญิงบอกพลางบุ้ยใบ้มายังที่ที่เขานั่งอยู่
วนัสที่กำลังใจเต้นตึกตักมองชายหนุ่มเลี้ยวหันมาทางตนเขม่ง ด้วยคนที่เขาเคยพบเจอมาก่อนหน้านี้คือเจ้าของไร่ภูผาที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่แห่งนี้นี่เอง ก็ตอนนั้นแนะนำตัวเองว่าชื่อหินนี่นา………แล้วใครจะไปรู้ได้ละ
ภูผาเดินเข้าไปใกล้วนัสที่ยังนั่งงง เมื่อร่างโปร่งบางนิ่งเงียบชายหนุ่มจึงต้องเอ่ยทักก่อน
“จำกันได้มั้ย” ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มให้ร่างบาง นัยน์ตาส่งประกายคาดหวังว่าร่างบางตรงหน้าจะจำกันได้
“จะ…..จำได้ครับ วันนั้นบอกว่าชื่อหิน” เสียงทักทำให้ร่างบางดึงความคิดออกจากภวังค์ได้
“อ๋อ………ชื่อเล่นน่ะ เข้าไปคุยกันในห้องเถอะ”
วนัสเดินตามเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวชองชายหนุ่ม ภูผาผายมือให้ร่างโปร่งบางนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามตัวเองโดยมีโต๊ะทำงานกันคนทั้งสองไว้
“ลุงชัดคงบอกแล้วว่าทางเราต้องการคนทำบัญชี”
“ครับ ผมจบอักษรศาสตร์มา นี่เอกสารทั้งหมด” เหมือนจะพูดคนละเรื่องเดียวกันแต่วนัสก็ยื่นเอกสารการสมัครงานให้ชายหนุ่ม ภูผารับมาเปิดดูคราวๆแล้วเงยหน้าพิจารณาคนตรงหน้า
“มันก็ไม่ตรงกับที่ทางเราต้องการหรอกนะ แต่หลักๆก็คือฉันต้องการผู้ชายมาทำงานในตำแหน่งนี้นะ และบัญชีในไร่นี้ก็เป็นแค่สมุดรับจ่ายเงินธรรมดาๆ ฝึกนิดหน่อยก็ทำได้ คุณคิดว่าคุณทำได้มั้ย”
วนัสเบิกตามองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกหลากหลายปะปนกัน
“……………” นี่ถ้าเขาตอบว่าทำได้ ก็หมายความว่าเขาจะได้ทำงานนี้ใช่มั้ย อะไรมันจะง่ายดายปานนี้ แต่เขาก็ขอไขว้คว้าไว้ก่อนละ
“ครับ”
“ดี” ร่างสูงยิ้มให้นิดเหมือนพออกพอใจในคำตอบ “งั้นเริ่มเรียนรู้งานเลยได้มั้ย คนเก่าออกไปนานแล้ว เลยอยากให้เป็นงานเร็วที่สุดน่ะ”
“ดะ………ได้ครับ” ไม่ให้ได้ตั้งตัวเลยแฮะ
ภูผายิ้มกว้างเมื่อร่างโปร่งตอบรับคำขอของตน ตอนลุงชัดมาถามไถ่เรื่องงาน เขาก็เห็นว่าเป็นคนเก่าคนแก่มาฝากฝั่งลูกหลานก็กะจะให้ไปทำงานที่โรงงานผลไม้กระป๋องต่างอำเภอ ซึ่งเขาเป็นเจ้าของเหมือนกัน แต่พอรู้ว่าเป็นใครจึงเสนอให้มาทำงานในตำแหน่งว่างที่ไร่นี้แทน
“อีกอย่างที่นี่มันต่างจังหวัด เธอจะได้รับเงินเดือนๆละ 7,500 บาท มันไม่เท่ากับที่เคยทำในกรุงเทพน่ะ”
“ครับ ผมทราบ”
“ยินดีที่ได้ร่วมงานครับ”
มือใหญ่ยื่นส่งมาจับมือขาวเขย่าเบาๆ วนัสเองก็โล่งใจที่ได้ทำงานในไร่ขนาดใหญ่แบบนี้ อยู่ที่นี่เขาคงได้เอาความรู้ที่ได้เห็นได้มอง กลับไปปรับใช้ในสวนของตัวเองได้บ้างอีกด้วย ถึงเงินเดือนจะไม่มากแต่ก็นับว่าสูงเมื่ออยู่ต่างจังหวัด และยังได้ทำงานกับคนที่ตนเองรู้สึกชื่นชมอย่างเงียบๆ ยิ่งทำให้ร่างบางยินดีเป็นพิเศษ
“ถ้าเย็นนี้ทางเราจัดเลี้ยงต้อนรับ คุณสะดวกมั้ย”
“หือ?………ไม่ต้องหรอกครับ ผม…..” หน้านวลทำท่าอึกอักเกรงใจผู้จ้าง
“ไม่ได้จัดอะไรใหญ่โตหรอก แค่ทำอาหารเลี้ยงกันเอง แล้วก็ถือโอกาสบอกคนงานในไร่ไปด้วยว่าเรามีเพื่อนร่วมงานคนใหม่ จะได้รู้จักกันไว้ พวกเราก็อยู่กันอย่างพี่ๆน้องๆ มีอะไรก็บอกกันได้ทุกเวลาน่ะ” ร่างสูงขยับอริยาบทให้รู้สึกสบายขึ้น
“ขอบคุณครับคุณภูผา แต่วันนี้ผมมากับลุงชัด ถ้าต้องอยู่ดึกผมคงต้องขอตัวกลับไปเอารถที่บ้านมาก่อนดีกว่า”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง งานเลี้ยงเลิกถ้าไม่กลับกับลุงชัด ฉันจะให้รถที่นี่ไปส่ง ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ”
เอางั้นเหรอ เพิ่งทำงานวันแรกคงต้องครับไว้ก่อนละน่ะ
“ครับ”
ตกลงกันเรียบร้อยภูผาก็แนะนำพนักงานหญิงชื่อ พิณ ให้เป็นพี่เลี้ยงสอนงานแก่เขา
โต๊ะทำงานของวนัสอยู่หน้าห้องเจ้าของไร่พอดิบพอดี พิณ หญิงสาวรูปร่างท้วมท่าทางใจดีและมีอายุเข้ามาถ่ายทอดบอกกล่าวภาระหน้าที่คราวๆว่าร่างโปร่งจะต้องทำอะไรบ้างเมื่อลับหลังร่างสูงใหญ่อย่างมีอัธยาศัย
วนัสเพิ่งรู้ว่าหน้าที่หลักของเขาคือการกุมหัวใจสำคัญของไร่ไว้ในมือ นั่นคือการทำเงินเดือนคนงานในไร่ และคุมห้องเบิกอุปกรณ์การเกษตร รวมทั้งปุ๋ยและยาต่างๆ นอกจากนี้ก็แล้วแต่เจ้านายจะสั่ง
ภูผาเฝ้ามองร่างบางตั้งอกตั้งใจเรียนรู้สิ่งที่พี่เลี้ยงสอนแล้วอมยิ้มให้กับตัวเอง เขาดูคนไม่ผิด หนุ่มน้อยคนนี้ไม่ใช่คนหยิบโหย่ง เพียงแต่ด้อยประสบการณ์เท่านั้น ขัดเกลาดีๆละก็ เก่งหาตัวจับยากเชียวละ อีกอย่างคงช่วยลดปัญหาส่วนตัวของเขาไปได้เยอะ ที่ผ่านมาเขาต้องเปลี่ยนพนักงานหญิงไปหลายคน ด้วยเจ้าหล่อนไม่ได้คิดจะมาหางานทำ แต่คงตั้งใจมาหาสามีซะมากกว่า โดยมีเขาเป็นเป้าหมายไงละ
เฮ้อ…………คิดแล้วเหนื่อยใจ
แต่กับหนุ่มน้อยหน้าใสผิวขาวผ่อง กิริยาท่าทางสุภาพแต่แฝงไว้ด้วยความฉลาดเฉลี่ยวคนนี้ ทำให้เขารู้สึกติดใจอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน ก่อนจะลุกจากเก้าอี้นั่งเดินไปยังพี่เลี้ยงร่างโปร่งบาง
“พี่พิณ ผมจะเข้าโรงงาน มีอะไรก็โทรหาละกันน่ะ แต่ตอนเย็นผมจะกลับเข้ามาร่วมงานเลี้ยง ผมสั่งให้คนงานเตรียมงานแล้วละ ยังไงพี่พิณช่วยบอกต่อๆกันไปด้วยน่ะ”
“ค่ะ คุณหิน”
ภูผาสั่งพนักงานหญิงที่อวุโสที่สุดในงานนี้อย่างเป็นกันเอง เพราะหญิงสูงวัยที่เขามอบหมายให้เป็นพี่เลี้ยงของวนัสอยู่กับเขามานานตั้งแต่ตอนพ่อเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องบอกอะไรมากก็เข้าใจ
ร่างสูงใหญ่หันมองร่างบางที่กำลังมองมายังตนเอง ใบหน้านวลส่งยิ้มให้เขาทั้งดวงตาและริมฝีปากจนเขาต้องยกยิ้มตอบร่างบางก่อนจะเดินเลยผ่านไป
TBC
ขอบคุณทุกคอมเมนท์นะคะ ดีใจที่ชอบกันนะคะ
จะบอกคนเเต่งให้ค่ะ จะได้มีกำลังใจเเต่งเรื่องใหม่เสร็จเร็วๆ
เดี่ยวมาต่ออีกทีวันศุกร์เย็นๆนะคะ มีประชุมวันศุกร์ ขอเตรียมงานนิดนึง
ตอนหน้า หึหึ