ก้าวที่สิบเก้าสู่ปลายทางสุดท้าย
ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อในห้องมืดสนิทแล้ว และสิ่งแรกที่ผมรู้สึกก็คือความอบอุ่นจากร่างกายของใครบางคนในอ้อมแขน แว่บแรกผมคิดว่าเป็นไอ้ซัน แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าผมกำลังนอนกอดพีจากทางด้านหลังอยู่ ผมผงกหัวขึ้นมองไปรอบๆห้องและหลับตาลงอีกครั้ง รู้สึกสบายตัวกับความอบอุ่นที่ได้จากผ้าห่มนุ่มๆและเนื้อกายแน่นๆของพี แต่ว่าผมก็ทำแบบนั้นได้อีกเพียงแค่ไม่นาน เพราะอีกไม่กี่นาทีถัดมาเสียงปลุกจากนาฬิกาหัวเตียงของพีก็ดังขึ้น
ผมชันตัวขึ้นเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกามาปิดพร้อมกับเสียงัวเงียของพีที่ขยับตัวตื่น แต่แทนที่จะลุก ผมกลับซุกตัวกลับลงไปนอนข้างใต้ผ้าห่มอีกครั้ง
“พี่เมฆ ตื่นได้แล้วครับ ไปอาบน้ำแต่งตัวกันเถอะ เดี๋ยวจะไปไม่ทัน”
“ไปไม่ทันอะไรครับ”
“ก็เดี๋ยวเราจะออกไปข้างนอกกันไง” พีลุกขึ้นนั่งแล้วดึงผ้าห่มออก “ไปเร็วครับ รีบอาบน้ำเร็ว เดี๋ยวผมไปทำอะให้กินรอ”
ผมถอนหายใจก่อนจะยอมแพ้ “ก็ได้ครับ ก็ได้”
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็มายืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจกตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย และก็อดที่จะนึกไม่อยากไปไม่ได้จริงๆ แต่ว่าผมก็รับปากกับพีเอาไว้แล้ว และผมก็ไม่อยากทำให้เค้าต้องเป็นห่วงไปมากกว่านี้แล้วด้วยเหมือนกัน ผมยืนมองหน้าตัวเองอยู่ครูหนึ่งแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองมีสภาพโทรมเหลือเกิน ถึงแม้จะได้พักผ่อนไปบ้างแล้ว แต่ทว่าขอบตาของผมก็ยังคงคล้ำและช้ำแดงจากการอดนอนและร้องไห้อยู่อย่างเห็นได้ชัด ผมพ่นลมหายใจออกมางจมูกยาวๆก่อนจะหันไปทางประตูแล้วก็พบว่าพีกำลังยืนมองดูผมอยู่
“พี่เมฆไม่อยากไปเหรอครับ”
“เปล่าๆ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ”
“ผมเห็นพี่ถอนหายใจนะครับ และดูหน้าพี่ตอนส่องกระจกเมื่อกี๊อยู่ผมก็พอรู้แล้ว”
“คือว่า........” ผมถอนหายใจเบาๆ “พี่ขอโทษครับ แต่พี่แค่ไม่ค่อยมีอารมณ์เท่านั้นจริงๆ พี่ดีใจสำหรับสิ่งที่พีทำให้พี่นะ แต่ว่าพี่ไม่อยู่ในอารมณ์จะไปเที่ยวอะไรแบบนั้นจริงๆ และที่สำคัญไปกว่านั้น พี่กลัวว่าพี่จะทำพีเบื่อน่ะสิครับ แค่วันนี้ทั้งวันพี่ก็ทำให้พีกังวลจะแย่พออยู่แล้ว”
“พี่เมฆจะไม่ทำให้ผมเบื่อหรอกครับ” พีเดินตรงเข้ามาหาผม “พี่ไม่ต้องกังวลเรื่องความรู้สึกของผมหรอก เรื่องนั้นน่ะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมคนเดียวพอ โอเคมั๊ยครับ”
ผมพยักหน้าช้าๆอย่างยอมแพ้ พีจึงชะโงกหน้ามาหอมแก้มผมเบาๆหนึ่งทีก่อนที่เขาจะบอกให้ผมไปกินข้าวในครัวรอเค้าอาบน้ำแต่งตัวก่อน และเมื่อถึงเวลาสองทุ่มครึ่งและเราสองคนก็พร้อมที่จะเดินทางอีกรอบแล้ว และในครั้งนี้พีก็ยังคงเป็นคนขับรถพาผมออกไปอีกครั้ง แต่ว่าเขาไม่ยอมบอกผมว่าคราวนี้เขาจะพาผมไปที่ร้านไหน แต่เมื่อผมเห็นทิศทางที่พีกำลังพาผมไป ผมก็เริ่มรู้แล้วว่าจุดหมายที่พีกำลังพาผมไปก็คือร้านที่ชื่อ “ไลฟ์สโตน” ซึ่งเป็นร้านที่พวกเราทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้วนั่นเอง
ไลฟ์สโตน เป็นบาร์ขนาดเล็กที่จุคนได้ราวๆสิบห้าถึงยี่สิบ หรือบางทีอาจจะได้มากถึงสามสิบคน มันถูกตั้งชื่อตามเจ้าของที่ชื่อว่า ไทเลอร์ สโตนส์ ซึ่งตอนนี้น่าจะอายุราวๆสักสี่สิบปีได้แล้ว ภายในร้านตบแต่งเป็นลักษณะของห้องนั่งเล่น ทุกที่นั่งจะเป็นเบาะหรือไม่ก็โซฟา มีเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม และมีเวทีเล็กๆสำหรับวงดนตรีประจำ ซึ่งส่วนมากแล้วจะเปิดให้ลูกค้าสามารถขึ้นไปแสดงความสามารถอะไรก็ได้มากกว่า ดังนั้นลูกค้าที่มาที่นี่ส่วนมากแล้วจึงจะเป็นลูกค้าขาประจำ และทุกคนต่างก็รู้จักและคุ้นเคยกับไทเจ้าของร้านแห่งนี้ดีเพราะความเป็นกันเองของเขา และเขายังเคยเป็นรุ่นพี่ที่จบจากมหาวิทยาลัยเดียวกับพวกเราด้วย ดังนั้นที่นี่จึงเป็นแหล่งนัดสังสรรของนักศึกษาหลายคนที่ชอบความเรียบง่ายและเป็นกันเอง และที่สำคัญ ร้านนี้ยังเป็นสถานที่ที่มักจะใช้จัดงานนัดพบหรืองานปาร์ตี้ต่างๆหลายต่อหลายครั้งด้วย
“นึกว่าจะพาพี่ไปที่ไหนซะอีก” ผมพูดขึ้นเมื่อพีจอดรถเรียบร้อยแล้ว
“พี่ไม่ชอบเหรอครับ”
“เปล่าหรอก” ผมพูดขณะเปิดประตูรถออก “พี่เองก็คิดถึงที่นี่เหมือนกัน”
“ผมฝากกุญแจรถหน่อยนะครับพี่เมฆ กางเกงผมมันมีแค่กระเป๋าเดียวน่ะ” พีพูดพร้อมกับยื่นพวงกุญแจรถให้กับผม
เราสองคนเดินออกจากลานจอดรถไปหยุดอยู่ที่หน้าร้าน เสียงเพลงจากแผ่นดังแว่วออกมาจนถึงที่ๆเราสองคนยืนอยู่ คนสามสี่คนกำลังเดินเข้าๆออกๆกันอยู่ตรงหน้าประตู ผมเห็นบางคนที่ดูออกจะคุ้นๆหน้าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจนักเพราะว่ามันค่อนข้างจะมืดแล้วผมก็เห็นแค่เพียงไวๆด้วย
“เดี๋ยวพี่เมฆรอผมที่นี่ก่อนนะครับ ผมขอเข้าไปดูข้างในแป๊บนึงว่าจะมีที่ให้พวกเรารึเปล่า” พีหันมาบอกผมก่อนจะเดินตรงเข้าไปในร้าน
ผมยืนมองรอบๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าผมลืมทิ้งโทรศัพท์มือถือเอาไว้ในรถ จึงเดินกลับไปยังลานจอดรถที่ตั้งอยู่ด้านข้างของร้าน ผมเดินเลี้ยวผ่านตรงมุมตึกไปแล้วก็ต้องชะงักฝีเท้าหยุด เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังยืนคุยกันอยู่ตรงประตูหลังร้านนั้นคือไอ้ซันกับคนที่ผมเจอเมื่อเช้าที่ชื่อคริสนั่นเอง
แสงไฟถนนส่องลงบนพื้นตรงตำแหน่งที่ทั้งสองคนยืนอยู่พอดี ทำให้ผมแน่ใจได้ว่าผมไม่ได้ตาฝาดหรือคิดไปเองแน่ ทั้งสองคนยืนคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่คริสจะยื่นมือออกมาให้ไอ้ซันจับแล้วเขย่าเบาๆ จากนั้นประตูหลังร้านก็เปิดออก ใครบางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังประตูพูดบางอย่างกับทั้งคู่ ผมเห็นไอ้ซันพยักหน้าและเดินกลับเข้าไปในร้านพร้อมกับคริส และต่อมาประตูก็ถูกปิดลง
ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งด้วยความสับสน จนกระทั่งพีเดินเข้ามาหาผมจากทางด้านหลัง
“พี่เมฆ ทำอะไรอยู่ครับ”
“อ้าว อ๋อ เปล่าหรอก” ผมหันหลับมาหาพี แล้วก็หันกลับไปมองทางประตูหลังนั้นอีกครั้ง “ไม่มีอะไรหรอกครับ”
“งั้นเราเข้าไปข้างในกันเถอะครับ” พีดึงแขนผม ผมก็เลยต้องออกเดินตามเขาไป แต่เมื่อมาถึงหน้าร้าน ผมก็หยุดฝีเท้าลงอีกครั้ง “เป็นอะไรไปครับ พี่เมฆ” พีถามผมด้วยสีหน้าสงสัย
“พี่ไม่ค่อยอยากเข้าไปแล้วครับพี”
“พี่เมฆ........”
“พี่ขอกลับได้มั๊ยครับ ตอนนี้พี่รู้สึกไม่ค่อยดีจริงๆ”
“ไม่ได้ครับ ผมขอร้องล่ะนะครับพี่ พี่อยู่กับผมเถอะนะ” พีขอร้อง
“พี่ขอโทษนะครับ พี แต่เรื่องนี้พี่คงให้ไม่ได้จริงๆ” ผมหันหลับกลับและเตรียมจะออกเดินอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเรียกของคนๆหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“เฮ้ เมฆ!” เสียงของฝรั่งคนหนึ่งร้องทักผม ทำให้ผมต้องหันกลับไปมองที่มาของเสียง และคนที่เรียกผมเมื่อครู่นั้นก็คือ ปีเตอร์ เพื่อนที่เคยเรียนกับผมที่มหาลัยนั่นเอง “ให้ตายสิ! เราไม่ได้เจอกันมานานมากแล้วจริงๆนะเนี่ย เป็นยังไงมั่ง สบายดีรึเปล่า”
ผมเองก็รู้สึกประหลาดใจที่ได้เจอเขาที่นี่เช่นกัน “ไง ปีเตอร์ มึงมาทำอะไรอยู่ที่นี่เนี่ย”
“อ้าว คนเราเวลามาที่บาร์เค้าจะมาทำอะไรกันล่ะ โง่รึเปล่า” ปีเตอร์ยิ้มกว้าง จากนั้นก็หันไปทักทายพี ก่อนจะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง และคราวนี้เขาไม่พูดเปล่า แต่โอบไหล่ผม ดึงผมให้เดินเข้าไปในร้านกับเขาด้วย “มาๆเร็ว เข้ามา มาคุยกันหน่อยซิ”
“เดี๋ยวปีเตอร์ กูไม่........” ผมพยายามจะหาช่องว่าง แต่เมื่อเดินเข้าไปถึงในร้าน ผมก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าแทบทุกคนในร้านนั้นเป็นคนรู้จักของผมเกือบทุกคน เกือบครึ่งหนึ่งนั้นเป็นเพื่อนของผม อีกเกือบครึ่งเป็นเพื่อนของไอ้ซัน หลายๆคนที่เป็นคนคุ้นหน้าที่ผมจำชื่อไม่ได้ แต่คลับคล้ายลับคลาว่าบางคนนั้นอาจจะเป็นเพื่อนของพีเอง และอีกแค่ไม่กี่คนที่เหลือคือคนที่ผมไม่รู้จักจริงๆ
จากนั้นสิ่งถัดมาที่ผมรู้สึกก็คือ ผมถูกเพื่อนๆของผมหลายคนห้อมล้อมและต้อนรับกันยกใหญ่ คนนั้นคนนี้ผลัดกันเข้ามาจับมือตบไหล่และพูดคุยกับผมจนกระทั่งปีเตอร์ ผม พี และเพื่อนของผมอีกสองคนนั่งลงที่โต๊ะ และในขณะที่เพื่อนผ้หญิงคนหนึ่งของผมเดินเข้ามาทักนั้น ผมก็เหลือบมองไปที่พีและเห็นว่าเขากำลังนั่งยิ้มให้กับผมอยู่
“ขอบคุณมากนะครับพี เป็นเซอร์ไพรส์ที่พี่คิดไม่ถึงจริงๆ” ผมชะโงกหน้าเข้าไปยิ้มให้เขา
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ ผมบอกแล้วไงว่าผมอยากให้พี่มาจริงๆ และพี่จะต้องชอบแน่”
“แต่ว่าทำไมคนถึงได้เยอะขนาดนี้ล่ะ คือ ก็ไม่ใช่ว่าคนมันจะเยอะอะไรมากมายเท่าไหร่หรอก แต่ที่พี่กำลังแปลกใจก็คือทำไมคนรู้จักของทั้งพี่และไอ้ซันมันถึงได้เยอะนัก.......” ผมมองไปรอบๆและชูแก้วขึ้นเมื่อเพื่อนของซันสองสามคนที่โต๊ะใกล้ๆชูแก้วของพวกเขาขึ้นก่อนเป็นการทักทาย “นี่พีทำได้ยังไงครับเนี่ย ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมก็แค่อยากให้พี่ได้เจอเพื่อนๆพี่แล้วก็รู้สึกดีขึ้นบ้างเท่านั้นเอง” พียิ้มกว้าง
ไทเลอร์เดินมาทักทายผมกับพีและเลี้ยงผมฟรีหนึ่งแก้ว ก่อนจะเดินกลับไปหลังเคาน์เตอร์ ปีเตอร์และเพื่อนของผมต่างก็ถามไถ่ถึงชีวิตของผมหลังจากกลับไปประเทศไทยแล้วว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครในที่นี้เลยที่เอ่ยถึงไอ้ซัน จนผมเริ่มรู้สึกแปลกๆว่าพวกเขาทุกคนจะรู้แล้วหรือเปล่าว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นระหว่างผมกับมัน แต่ว่านั่นมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
“สวัสดีครับ”
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองที่มาของเสียงแล้วก็ต้องตกใจที่เห็นว่าคนที่ยืนยิ้มให้ผมอยู่ก็คือ คริส และนั่นก็ทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่ผมเพิ่งเห็นขึ้นมาได้ทันที......... และแน่นอน ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ด้วยเช่นกันว่าตอนนี้ไอ้ซันเองก็อยู่ที่ด้วย
“สวัสดีครับ” ผมตอบกลับตามมารยาท แต่ก็ไม่ได้สบตากับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
“คุณคือเมฆ ใช่มั๊ย ผมได้ยินเรื่องของคุณมามากเลยทีเดียวนะ”
“งั้นเหรอครับ” ผมหันไปยิ้มให้เขา “ไม่รู้เหมือนกันนะครับ ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรบ้าง”
“ไม่มีเรื่องไหนไม่ดีหรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ผมก็ไม่ได้ห่วงอะไรหรอกครับ” ผมวางแก้วเหล้าลงแล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หันไปพูดกับพีและทุกคน “ขอตัวสักครู่นะ”
“พี่เมฆ” พีร้องห้ามผมขึ้น
ในตอนที่ผมกำลังจะด้าวขาเดินผ่านคริสไปนั้นเองก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินตรงเข้ามายังเรา และเขาก็เดินไปโอบเอวของคริสเอาไว้และจูบเขาที่แก้มเบาๆ ก่อนจะหันมายิ้มให้ผมและยื่นมือให้ผมจับ
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเอมิลี่ค่ะ”
ผมจับมือของเธอเขย่าเบาๆด้วยความงุนงง “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“เอมิลี่คือภรรยาของผมเองครับ” คริสพูดขึ้น
ผมหันไปมองเขาด้วยความแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็พยายามเก็บอาการสงสัยนั้นเอาไว้เป็นอย่างดี
“ฉันได้ยินเรื่องของคุณสองคนมามากเลยทีเดียว ดีใจจริงๆที่ได้เจอตัวจริงสักที หวังว่าคุณจะมีความสุขในคืนนี้นะคะ”
“อ่า ครับ ขอบคุณมากครับ” ผมเหลือบไปมองพีงงๆ ก่อนที่เราจะได้ยินเสียงปรบมือดังขึ้นทางด้านหลังของเรา ผมและทุกคนหันไปมองทางเวทีที่ตอนนี้ไทเลอร์กำลังถือไมค์ยืนอยู่บนนั้น โดยมีวงดนตรีกำลังจัดเตรียมเครื่องดนตรีอยู่ทางด้านหลัง
พีดึงแขนผมให้กลับมานั่งลง ก่อนที่คริสกับเอมิลี่จะขอตัวเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง จากนั้นเสียงดนตรีที่เคยเปิดอยู่ก็ค่อยๆเบาลงจนเงียบไปในที่สุด
“สวัสดีและยินดีต้อนรับทุกๆท่านครับ” ไทเลอร์พูดขึ้นเมื่อเสียงปรบมือเริ่มซาลงแล้ว “ผมคงไม่มีอะไรจะพูดมากนัก นอกจากขอให้ทุกคนมีความสุขร่วมกันในค่ำคืนนี้เหมือนอย่างที่เคย..........” ไทหันมามองทางผมแล้วขยิบตาให้หนึ่งที “และเวทีของเราในวันนี้ก็พร้อมจะเปิดโอกาสให้ทุกท่านมาสนุกร่วมกันเหมือนอย่างเคย โดยนักร้องคนแรกของเราในวันนี้ได้แก่........ สก็อตต์” ไทโบกมือไปทางสก็อตต์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งของไอ้ซันตอนเรียนมหาลัย
ทุกคนในนั้นปรบมือต้อนรับสก็อตต์ที่กำลังเดินขึ้นเวทีเสียงดัง จากนั้นทุกอย่างก็เริ่มดำเนินไปตามปกติ นั่นก็คือนักร้องของเราก็จะร้องเพลงไป ส่วนคนอื่นก็นั่งคุยหรือนั่งดื่มกันไปตามปกติ แต่ว่าในตอนนี้ผมคงเป็นคนเดียวที่เริ่มจะรู้สึกไม่ปกติแล้ว หลังจากที่สก็อตต์เริ่มต้นร้องเพลงไปได้คูครู่หนึ่ง ผมก็ขอตัวลุกไปเข้าห้องน้ำ
ขณะที่ผมทำธุระเสร็จแล้วและกำลังล้างมืออยู่นั้นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่สก็อตต์กำลังร้องเพลงจบลงพอดี และอีกแค่ชั่วครู่เดียวเสียงเพลงที่สองก็ดังขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นส่องกระจก แล้วก็ต้องตกใจเมื่อประตูห้องน้ำทางด้านหลังถูกเปิดออกและคนที่เดินเข้ามานั้นก็คือ ไอ้ซัน
“เมฆ” ไอ้ซันเองก็มีท่าทางตกใจไม่แพ้ผมเช่นกัน
“ไง” ผมทักผ่านทางกระจกเงาใบใหญ่ตรงหน้า “มึงมากับใครล่ะ ทำไมกูไม่เห็นมึงนั่งอยู่ในร้านเลย”
“กูไม่คิดว่าจะมาเจอมึงที่นี่เลย” ไอ้ซันพูดขึ้น และมันก็ทำให้ผมต้องอึ้ง
“กูขอโทษ” ผมหันกลับไปมองหน้าของมันตรงๆ “ถ้างั้นกูกลับเลยก็แล้วกันนะ”
ผมพยายามจะเดินผ่านมันออกจากห้องน้ำไป แต่ก็ถูกมันคว้าข้อมือเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวเมฆ กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น กูแค่กำลังบอกว่ากูไม่คิดว่าจะมาเจอมึงในห้องน้ำนี่ก็เท่านั้นเอง”
ไอ้ซันรวบตัวของผมเขาไปโอบเอาไว้อย่างหลวมๆ และมันก็ทำให้ใบหน้าของเราสองคนชิดกันมากจนผมแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของมันอย่างชัดเจน แต่ที่สำคัญก็คือ หัวใจของผมกำลังเต้นแรงและผมก็รู้สึกเขินและทำตัวไม่ถูกอย่างที่ไม่เคยเป็นหรือรู้สึกกับมันแบบนี้มานานมากแล้วด้วยเหมือนกัน
“มึงหมายความว่ายังไง” ผมถามโดยไม่ได้พยายามจะดึงตัวออกเลยแม้แต่นิดเดียว
“มึงกำลังเข้าใจเรื่องของกูกับคริสผิดนะ คริสน่ะเค้าแต่งงานมีเมียมีลูกแล้ว เราไม่ได้มีอะไรต่อกันเลยแม้แต่นิดเดียว” ไอ้ซันอธิบาย
“ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็กูรู้แล้ว........” ผมพูดด้วยความรู้สึกผิดและละอายเล็กน้อย
“งั้นมึงไม่โกรธกูแล้วนะ”
“กูไม่รู้.......... แต่จริงๆกูก็ไม่ได้โกรธอะไรมึงเรื่องคริสอยู่แล้ว” ผมตอบไปตามความจริงและดันตัวเองออก ซึ่งไอ้ซันก็ยอมปล่อยผมแต่โดยดี “เราอย่าเพิ่งมาคุยกันที่นี่ตอนนี้เลยซัน กูคิดว่ามันคงไม่เหมาะหรอก และที่สำคัญ....... กูคงยังไม่พร้อมด้วย”
ไอ้ซันมองหน้าผมนิ่งครู่หนึ่ง แววตาของมันมีความอาวรณ์สะท้อนอยู่อย่างชัดเจน แต่มันก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ “กูรู้ กูผิดเอง กูเข้าใจมึง แต่ถ้ามึงไม่พร้อมที่จะฟังกูพูดล่ะก็ อย่างน้อยๆกูก็อยา.......”
ไอ้ซันยังพูดไม่ทันจะจบประโยคดี แต่ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออกเสียก่อน และคนที่โผล่หน้าเข้ามาก็คือพีนั่นเอง