วินาทีที่ 40 : วินาทีสุดท้าย.......
หลังจากผมวางโทรศัพท์จากทุกคน ความเหนื่อยอ่อนและความอ่อนเพลียก็เข้ามาเล่นงานผมทันที แต่ว่าผมก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะนอนจริงๆ และถึงผมจะมีเวลา ผมก็คงจะนอนไม่หลับอยู่ดี ผมจึงตัดสินใจขับรถไปหาอีฟที่บ้านอย่างที่มันชวนแกมบังคับ แต่พอผมไปถึงปุ๊บ อะไรๆมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด นั่นก็คืออีฟไม่ได้ซักไซ้หรือถามรายละเอียดอะไรผมเลย และผมเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะอยากเล่าอะไรให้ใครฟังเหมือนกัน แต่มันสำคัญก็ตรงที่ความรู้สึกดีๆที่ได้มีเพื่อนอยู่ข้างกายในเวลาแบบนี้เท่านั้นเอง
“เราว่าแกพักผ่อนหน่อยเถอะ นอนที่โซฟานี่แหละ เดี๋ยวเราออกไปซื้อของกลับมาทำข้าวเที่ยงให้แกกินเอง” อีฟบอกผมเมื่อมันเห็นผมมีท่าทางเพลียเต็มแก่แล้วจริงๆ
“ก็ได้ ขอบใจนะเว้ยที่อุตส่าห์คิดถึงกู” ผมพูดพร้อมกับเอนหลังลงนอน และเนื่องจากพ่อกับแม่ของมันไม่อยู่บ้านวันนี้ แถมพวกท่านเองก็รู้จักผมดีและไว้ใจผมมากอยู่แล้ว ผมจึงไม่ต้องรู้สึกเกรงใจอะไรมากมายนัก
“พวกเราก็คิดถึงแกเสมอแหละ ไอ้บ้า” อีฟเดินเอาหมอนอิงมาตีลงบนหน้าผมเบาๆหนึ่งที “นอนไปซะ เดี๋ยวเราทำกับข้าวอะไรเสร็จแล้วเรามาเรียก”
“อืมม รบกวนหน่อยก็แล้วกัน เมื่อวานแม่งเจอมาเยอะว่ะ ไปนั่นไปนี่ แถมยังไม่ค่อยได้นอนอีก”
“เราเข้าใจ แต่ว่าแกฟังเรานิดนึงนะเมฆ เรารู้ว่าแกยังไม่อยากคุยเรื่องนี้ และเราก็ไม่ได้คิดจะคุยอะไรกับแกหรอก แต่ว่าเราอยากให้แกคุยกับไอ้ซันมันนะ เพราะนิสัยแกมันก็ไม่ใช่แบบนี้นี่หว่า แกน่ะต้องคุยให้รู้เรื่องก่อน แล้วถึงจะตัดสินใจทำอะไรลงไป จริงมั๊ยล่ะ”
“........ก็คงอย่างนั้นมั๊ง” ผมตอบออกมาเบาๆ
“เอาเถอะๆ ตอนนี้นอนไปก่อนเถอะ คิดมากแล้วเดี๋ยวจะพลอยนอนไม่หลับเอาอีก” อีฟบีบหัวไหล่ผมเบาๆก่อนจะเดินออกไป
และด้วยความเหนื่อยอ่อนที่ทับถมกันมาตั้งแต่เมื่อวาน ในที่สุดผมก็ผล็อยหลับลงไปจนได้...........
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของตัวเองดังขึ้น ผมหันไปมองรอบๆห้องหานาฬิกา ผมจึงรู้ว่าผมหลับไปแล้วเกือบชั่วโมงนึงเลยทีเดียว จากนั้นผมจึงหยิบมือถือขึ้นมาดูว่าใครที่เป็นคนโทรเข้ามา และชื่อคนที่โทรเข้ามานั้นก็ทำให้ผมต้องหันไปรอบห้องเพื่อดูว่าอีฟอยู่ใกล้ๆหรือเปล่า และพอผมเห็นเงาของมันที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในครัวแว้บๆ ผมจึงลุกขึ้นยืนและเดินออกไปนอกบ้านพร้อมกับกดปุ่มรับสาย
“ฮัลโหล..........”
..................................
หลังจากผมเปิดเครื่องปุ๊บ ไอ้เอ็นก็โทรเข้ามาหาผมทันที ผมจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมดให้มันฟัง ดูท่าทางมันเองก็ไม่พอใจในตัวผมมากเลยเหมือนกัน ไม่พอใจทั้งสิ่งที่ผมทำลงไปและไม่พอใจทั้งที่ผมไม่ยอมอธิบายอะไรให้มันฟังด้วย และพอหลังจากวางสายจากมันไป ผมก็เปิดเมสเสจที่เพิ่งได้รับเข้ามาอ่าน อันแรกเป็นของไคล์ที่บอกว่าเขารักผมมาก และอยากให้ผมทำอะไรเพื่อเขาสักอย่าง นั่นก็คือให้ผมไปคุยกับเมฆให้เรียบร้อย เพราะถ้าเป็นแบบนี้เขากับพีคงไม่สบายใจไปจนวันตายแน่ ส่วนอีกอันมาจากไอ้วิท มันบอกว่ามันมีเรื่องสำคัญมากที่จะคุยกับผม ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะรู้เรื่องของผมกับเมฆแล้วด้วยเหมือนกัน ผมจึงตัดสินใจไม่สนใจมันซะ เพราะถึงยังไงตอนนี้ผมก็ไม่มีอารมณ์จะไปพบไปคุยอะไรกับใครทั้งนั้นแล้ว
“ซัน” ไอ้แบ๊งค์ที่เดินออกมาจากห้องนอนเรียกผมจากหน้าประตู
“ว่าไง”
“มึงจะเอายังไงต่อไป.........”
“กูจะเอายังไงต่อน่ะเหรอ........” ผมแค่นยิ้ม “มึงพูดเหมือนกับกูเลือกได้งั้นแหละนะ”
ไอ้แบ๊งค์ก้มหน้าและหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องนอนเหมือนเคย ผมเองก็หลับตาลง และเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาตัวเองเหมือนกัน หลังจากนั้นผมก็เดินมาเปิดม่านออกให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในห้อง
“จะสิบโมงแล้ว.........” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ นึกสงสัยว่าตอนนี้ไอ้เมฆมันจะเป็นยังไงมั่งนะ เมื่อคืนผมกับมันก็เจอกันด้วยสภาพที่เรียกได้ว่าเลวร้ายที่สุดเลยทีเดียว อาการปวดหัวเพราะการเมาค้างและอดนอนเริ่มเข้ามาทำร้ายผมทีละน้อยๆ ผมจึงเดินไปหยิบพาราออกมากินสองเม็ด ก่อนกลับมาล้มตัวลงไปนอนบนโซฟาเหมือนเคย
“งั้นกูขอตัวกลับก่อนนะ ซัน” ไอ้แบ๊งค์ที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากในห้องนอน “ถ้าเกิดมึงมีอะไร..........”
“อืม กูรู้แล้ว มึงกลับไปเถอะ” ผมตอบทั้งๆที่ยังคงหลับตาอยู่ ภาพที่เราสองคนจูบกันเมื่อคืน......... ไม่สิ ภาพที่ผมจูบมันไปเมื่อคืนฉายซ้ำขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้ง ตามมาด้วยสีหน้าของไอ้เมฆที่เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี ส่วนหลังจากนั้นก็.........
“กูรักมึงนะ ซัน.........” ไอ้แบ๊งค์พูดทิ้งท้าย แต่คราวนี้ผมไม่ได้ตอบกลับไป และสิ่งถัดมาที่ผมได้ยินก็คือเสียงประตูคอนโดที่ถูกปิดลง เหลือเพียงความเงียบและความว่างเปล่าอยู่ในห้องกับผมตามลำพังเท่านั้น แต่ทว่าภายในใจของผมนั้นมันกลับสับสนไปด้วยปัญหาและคำถามต่างๆมากมายเหลือเกิน........
ถึงตอนนี้มันอาจจะยังเช้าอยู่มากและอาจจะเช้าเกินไปด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่สามารถปล่อยให้ความสงสัยและความกังวลของผมผ่านไปเฉยๆได้ ผมจึงลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวและเดินออกจากห้องไปยังห้องข้างๆทันที และหลังจากเคาะประตูอยู่สามสี่ครั้ง ลุงคนนั้นที่ผมไม่รู้จักชื่อก็เปิดประตูออก
“อ้าว เข้ามาก่อนสิ ซัน........”
..................................
“ครับ พี่จ๊อบ” ผมรับโทรศัพท์พร้อมกับถอนหายใจ “พี่มีธุระอะไรกับผม”
“ก็นิดหน่อยนะครับ อย่าเพิ่งทำเสียงแบบนี้สิ พี่ก็แค่ยังข้องใจเรื่องคำตอบของเมฆที่บอกพี่มาเมื่อวันก่อนนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
ผมหลับตาแล้วเม้มริมฝีปากตัวเองเบาๆ “คำตอบงั้นเหรอครับ..........”
“ใช่ครับ คือ พี่ว่ามันก็แปลกๆนะ ที่เมฆปฏิเสธเงื่อนไขพี่ แต่ก็ยังบอกพี่ว่าขอเวลาเมฆอีกนิดหน่อยน่ะ มันเหมือนเมฆจะถ่วงเวลาพี่ทั้งๆที่คิดจะปฏิเสธพี่นะ และที่สำคัญพี่อยากรู้ด้วยว่าพี่จะต้องรอไปอีกนานเท่าไหร่น่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นพี่ก็คงต้อง...........”
“พี่ไม่ต้องรอแล้วครับ” ผมพูดแทรกขึ้น “ไอ้ซันย้ายออกไปอยู่ที่คอนโดแล้ว ทุกอย่างมันเป็นอย่างที่พี่ต้องการแล้วทุกอย่าง พอใจรึยัง”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นพี่ก็ขออะไรเมฆอีกนิดหน่อยก็แล้วกันนะครับ.............” พี่จ๊อบพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงชัยชนะเล็กน้อย
นี่ผมจะต้องเดินไปในเส้นทางนี้จริงๆอย่างนั้นหรือนี่............
พี่วินครับ........ ผมชักเริ่มรู้สึกอยากให้พี่ช่วยจัดการไอ้คนๆนี้ให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวให้กับผมหน่อยเหลือเกินแล้วจริงๆ
..................................
“เมื่อวานลุงเป็นคนให้เมฆเค้ามาพักอยู่ที่นี่เองน่ะ เพราะเค้ายืนยันว่าเค้าจะรอซันกลับมาให้ได้ ลุงก็เลยไม่อยากให้เค้าไปนั่งรออยู่ที่หน้าประตูแบบนั้น แถมเมื่อวานเมฆเองก็ดูแย่มากเลยด้วย ทั้งเลือด ทั้งฝุ่น ทั้งเหงื่อ เต็มไปหมด”
“เลือดงั้นเหรอครับ” ผมถามด้วยความตกใจ “มันบาดเจ็บมาเหรอครับ”
“ดูเหมือนจะไม่ใช่นะ” ลุงอี๊ดส่ายหัวพลางยกแก้วกาแฟของตัวเองขึ้นจิบก่อนจะถามขึ้นอีก “ว่าแต่เราสองคนได้คุยกันรึยังล่ะ”
“............นั่นมันนาฬิกาของไอ้เมฆนี่ครับ” ผมไม่ตอบ แต่ชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกทางฝั่งของลุงอี๊ด
“อ๋อ ใช่ ท่าทางเมฆเค้าจะลืมไว้น่ะ งั้นลุงฝากซันไปคืนเลยก็แล้วกันนะ”
ผมนั่งนิ่งไม่ได้ยื่นมือออกไปรับนาฬิกาที่ลุงอี๊ดยื่นให้แก่ผมมา
เวลา........
ท้องฟ้า.........
ความผูกพัน.........
ทุกอย่างมันอาจจะถึงเวลาที่นาฬิกาของเราสองคนกำลังจะหยุดเดินแล้ว นับจากนี้ไป ท้องฟ้าก็คงต้องโดดเดี่ยวอีกครั้ง และเวลาที่เราสองคนเคยมีก็คงจะหยุดลงและไม่สามารถเดินร่วมกันต่อไปได้อีก......... อย่างนั้นจริงๆน่ะหรือ
“ลุงว่านะ.......” ลุงอี๊ดพูดพร้อมกับวางนาฬิกาลงเมื่อเขาเห็นว่าผมไม่ได้ยื่นมือไปรับมันมา เพราะถึงยังไง ผมก็คงไม่มีหน้าจะไปเจอมันและเอาของไปคืนมันได้อยู่แล้ว “ซันไปคุยกับเมฆก่อนเถอะ อย่าให้อะไรๆมันทำร้ายตัวเองด้วยการวิ่งหนีปัญหาเลย.......... การพูดคุยกันให้รู้เรื่องน่ะ สำคัญมากนะ ความเข้าใจผิดกันและไม่ได้แก้ให้มันเป็นถูก มันสามารถส่งผลเสียได้อย่างที่ซันคิดไม่ถึงเลยทีเดียว..........”
“ลุงหมายความว่ายังไงครับ”
“ไม่ได้หมายความว่ายังไงหรอก” ลุงอี๊ดเหลือบมองไปทางกรอบรูปตรงมุมห้องที่วางหันหน้าออกไปทางหน้าต่างเอาไว้ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง “แต่เมฆเค้าบอกลุงนะว่าซันน่ะเข้าใจเค้าผิด แล้วเราก็ออกจากบ้านมาก่อนที่จะยอมฟังอะไรเค้าซะอีก ก็เลยยังไม่ทันได้คุยกันให้รู้เรื่อง”
ไม่หรอก ผมเข้าใจเรื่องทั้งหมดดีหมดแล้ว ไม่ได้เข้าใจอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย มันก็แค่ผมถึงเวลาที่จะต้องเลือกแล้วว่าผมจะเดินต่อไปในหนทางไหนดีก็เท่านั้นเอง.......... แต่ว่ามันต่างหากที่ยังคงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่ทางฝั่งผมบ้าง........ ยังคงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา
ความผิดพลาดที่ผมทำลงไปและไม่สามารถชดเชยให้กับความรักที่มันมีให้แก่ผมได้
“ก็ได้ครับ ถ้ามันจำเป็นมากนักที่ผมจะต้องพูดกันให้รู้เรื่อง งั้นผมก็คิดว่าผมคงต้องคุยกับมันจริงๆ”
..................................
ผมบอกลาและขอโทษอีฟที่ไม่สามารถอยู่กินข้าวเที่ยงกับมันได้ แต่เหตุผลที่ผมบอกมันไปก็กลับทำให้มันยิ่งเร่งให้ผมรีบออกจากบ้านมันให้เร็วๆมากขึ้นไปอีก
“ใจเย็นๆนะเมฆ เดินทางดีๆ แล้วก็อย่าใจร้อน เข้าใจมั๊ย แกยังมีพวกเราอยู่นะ” อีฟพูดย้ำเป็นครั้งที่สองเมื่อเดินมาส่งผมที่รถ
“อืม ขอบใจมาก แล้วเอาไว้เดี๋ยวเราโทรหาแกเองนะ” ผมบอกลามันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขับรถออกจากบ้านของมันไปยังสถานที่นัดหมาย
สถานที่ที่ไอ้ซันเพิ่งโทรมานัดให้ผมออกไปคุยกับมัน
..................................
เราสองคนนัดเจอกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งเดิมที่เราไปกันประจำ ท้องไส้ของผมเริ่มปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อใกล้จะถึงเวลานัด หัวใจของผมมันเริ่มบิดเป็นเกลียวเมื่อถึงเวลาที่ผมต้องพูดความจริงและเผชิญหน้ากับมัน แต่นี่ก็เป็นเพราะเราจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนี้นี่เอง ผมจำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้ และมันก็จะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าเราใช้โทรศัพท์เป็นตัวกลางในการปิดกั้นความรู้สึกและสีหน้าที่แท้จริงเอาไว้
ผมคาดหวังเอาไว้ในส่วนเล็กๆของหัวใจว่ามันจะเข้าใจว่าผมเองก็รู้สึกแย่และลำบากใจแค่ไหนเช่นกัน......... ความหวังลมๆแล้งๆที่มันจะเข้าใจผมและเราไม่จำเป็นต้องจบลงแบบนี้............
ผมนั่งหมุนแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายเล่นอย่างกังวลขณะที่รอมัน และก้อนหินสีขาวก้อนนั้นก็ยังคงห้อยอยู่ที่หน้าอกของผมเหมือนเดิม
ผมไม่อยากจะจากลาของสองสิ่งนี้ไปเลย..........
..................................
ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองในตอนนี้กำลังเปราะบางแค่ไหน แต่ผมก็รู้ดีด้วยว่าแท้จริงแล้วผมควรจะเข้มแข็งมากให้ได้เพียงใดเพื่อที่จะได้เท่าเทียมกับไอ้ซัน ผมบอกกับตัวเองอยู่เงียบๆว่าผมจะต้องไม่ร้องไห้ออกไปเด็ดขาดไม่ว่าจะยังไงก็ตาม แต่ทว่าเมื่อผมได้เห็นใบหน้าของไอ้ซัน ใบหน้าและสีหน้าที่ดูราวมันกับมันพร้อมที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆอยู่ได้ทุกเมื่อของมันที่ผมคาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นนั่น.........
ความอ่อนไหวก็เริ่มกลับเข้ามาครอบคลุมจิตใจของผมอีกครั้งทันที
ผมรู้ว่ามันรักผม และผมรู้ดีอยู่แก่ใจเลยว่าผมเองก็รักมันมากและระหว่างเราก็ไม่จำเป็นต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย แต่ทำไม แต่ทำไมกัน.......
“ซัน” ผมเรียกชื่อมันพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ที่ฝั่งตรงข้ามกับที่มันกำลังนั่งอยู่ “กูมาถึงแล้ว.......”
..................................
“กูไปคุยกับลุงอี๊ดห้องข้างๆมา.......... เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นรึเปล่าเมฆ มึงเป็นอะไรรึเปล่า” ผมถามออกไป แต่แล้วก็มารู้ตัวหลังจากพูดจบว่าว่าคำถามของผมนี้มันช่างงี่เง่าสิ้นดี
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก มีเรื่องนิดหน่อยแค่นั้นเอง........... ถ้ามึงหมายถึงเรื่องก่อนที่กูจะไปคอนโดของมึงน่ะนะ”
“กูคิดว่าเราต้องคุยกัน......... ลุงอี๊ดเองก็บอกว่ามึงคิดว่ากูเข้าใจมึงผิด”
“ใช่....... ถ้าเรื่องนั้นมันยังสำคัญอยู่นะ” ผมเห็นสีหน้าปวดร้าวที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้ดวงตาคู่นั้นได้เป็นอย่างดี ไอ้เมฆเองก็ไม่ได้เก่งเรื่องซ่อนความรู้สึกของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ผมเชื่อว่ามันเองก็คงต้องเห็นสิ่งเดียวกันจากแววตาของผมด้วยเช่นกัน เพราะในวันนี้ผมไม่คิดจะซ่อนไอ้สิ่งเหล่านั้นไว้เลยแม้แต่นิดเดียวถ้าไม่จำเป็นจริงๆ...........
ผมหวังอย่างลมๆแล้งๆเหลือเกินว่ามันจะเข้าใจผมได้.........
..................................
ผมรู้สึกแย่จริงๆ......... หัวใจของผมมันยิ่งกำลังถูกบีบคั้นมากขึ้นไปเรื่อยๆในทุกๆคำที่เราพูดกันออกมา และยิ่งพอได้เห็นสีหน้าปวดร้าวของไอ้ซันแบบนี้ด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเข้าไปอีก ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเราถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเราสองคนถึงต้องมานั่งอยู่ที่นี่ในวันนี้แบบนี้
“กูขอร้องล่ะซัน กูทนไม่ไหวอีกแล้ว มึงบอกกูมาเถอะ ว่าไอ้สิ่งที่กูเห็นนั่นมันหมายความว่ายังไง ทำไมมึงถึงทำแบบนั้นลงไป มึงทำไปเพราะเพื่อที่จะประชดกูอย่างนั้นเหรอ หรือว่าเป็นเพราะมึงเมา มันยังไงกันแน่”
ใช่แล้ว ถ้ามันเป็นเพราะเหตุผลนี้ ผมก็อาจจะยังพอรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง ถึงจะแค่นิดหน่อยก็เถอะ
“เปล่า กูไม่ทำอะไรลงไปเพราะประชดหรอก มึงก็รู้นิสัยกู” ไอ้ซันส่ายหน้า และผมก็รู้สึกถึงน้ำตาของตัวเองที่เริ่มเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงต้องพยายามกล้ำกลืนมันลงไปไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้มันเห็น “และก็ไม่ใช่เพราะกูเมาด้วย..........”
“มึงบอกกูว่ากูรู้นิสัยมึงอย่างนั้นเหรอ ไอ้ซัน ถ้ากูรู้จริง ตอนนี้กูจะมานั่งถามประโยคเมื่อกี๊กับมึงอยู่มั๊ย” ผมถามออกไปและพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้มากที่สุด “มึงเห็นแหวนวงนี้มั๊ย ซัน” ผมชูแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของผมขึ้น “มึงรู้มั๊ยว่ากูถอดมันออกไปครั้งหนึ่งแล้วด้วยซ้ำนะ แต่สุดท้ายกูก็สวมมันกลับลงไปอีกพร้อมกับความหวังที่กูจะได้ยินคำตอบที่แตกต่างออกไปจากนี้ แล้วมึงล่ะ มึงยังคงทำเรื่องแบบนั้นได้ทั้งๆที่มึงก็สวมแหวนของแม่กูอยู่อย่างนั้นน่ะเหรอ”
“กูขอโทษ เมฆ แต่ว่ากู..........” ไอ้ซันนิ่งเงียบลงไปเหมือนกับไม่รู้จะหาคำมาอธิบายความรู้สึกของตัวเองหรือสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดอยู่ยังไง
“แต่ว่ามึงทำไม......... มึงบอกกูมาสิว่ามึงคิดยังไงอยู่กันแน่ มึงรักกูบ้างมั๊ยซัน กูขอร้องล่ะนะ มึงบอกความจริงกูมาเถอะ อย่าทรมานกูอยู่อย่างนี้เลย” ผมพูดออกไปอย่างอ่อนใจ “มึงคิดยังไงกับไอ้แบ๊งค์กันแน่ มึงชอบมันจริงๆอย่างนั้นเหรอ”
ไอ้ซันเบือนหน้าหนีผมไปเล็กน้อยก่อนจะหันมาสบตากับผมด้วยสายตาที่ปวดร้าวแต่ก็แลดูมุ่งมั่นในขณะเดียวกัน “บางทีมันอาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆก็ได้..........”
..................................
ผมมันทำพลาดไปเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเลย......... ผมไม่น่าจะทำร้ายจิตใจของไอ้เมฆเพราะเรื่องนี้เลยจริงๆ และผมก็ไม่สามารถห้ามความคิดชั่วๆของตัวเองที่ว่า ถ้าแค่มันไม่มาเห็นตอนที่ผมจูบกับไอ้แบ๊งค์นั่นล่ะก็........ เรื่องทุกอย่างมันก็อาจจะง่ายกว่านี้เยอะแล้วก็ได้
ใช่......... ผมอาจจะเป็นฝ่ายเดินจากมันไปได้ง่ายกว่านี้ก็เป็นได้
“กูไม่ได้ตั้งใจจะให้มึงมาเห็นไอ้สิ่งที่มึงเห็นเลยจริงๆ”
ไอ้เมฆนั่งนิ่งไปด้วยสีหน้าแบบเดียวกับตอนที่มันเห็นผมจูบกับไอ้แบ๊งค์เมื่อคืนนี้อีกครั้งทันที แต่ทว่าก็ยังคงเป็นสีหน้าที่มั่นคงและสงบนิ่งที่สุดเท่าที่ผมเห็นมาวันนี้เลยทีเดียว
“มึงไม่ได้ตั้งใจให้กูเห็นอย่างนั้นเหรอ..........” ทันทีที่มันพูดขึ้น ความเจ็บปวดทั้งหมดที่หายไปครู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งทั้งในแววตาและนำเสียงของมันอีกครั้ง
และมันก็กำลังฉีกหัวใจของผมออกเป็นชิ้นๆเช่นกัน
“มึงหมายถึงว่าถ้ากูไม่รู้เรื่องพวกนี้ มึงกับมันก็คงจะ..........” ไอ้เมฆหยุด หลับตาและก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อรวบรวมบางอย่างข้างในออกมาก่อนจะพูดต่อ “ก็คงจะมีความสุขกันไปมากกว่านี้แล้วสินะ มึงก็คงจะมีอะไรกับมันได้โดยไม่ต้องมาคิดถึง ไม่ต้องมาพะวงถึงความรู้สึกของกูแบบนั้นใช่มั๊ย”
“กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” ผมปฏิเสธ
“แต่มึงยืนยันว่าที่มึงทำนั้นมึงทำลงไปเพราะความเต็มใจ มึงทำลงไปทั้งๆที่รู้ตัว และสิ่งที่มึงพูดมาก็เป็นความจริงทั้งหมดอย่างนั้นใช่มั๊ย”
ผมนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าออกมา รู้ตัวว่าสิ่งที่กำลังจะมาถึงนั้นคืออะไร และน้ำตาที่ถูกเก็บเอาไว้ภายในก็เริ่มจะก่อตัวขึ้นเรื่อยๆแล้วด้วยเช่นกัน...........
ในที่สุดช่วงเวลานี้ก็มาถึง.......... แต่ว่าผมไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นเลยจริงๆ
ใครเล่าจะรู้บ้างว่าเมื่อยามที่ท้องฟ้าและพระอาทิตย์ต้องร่ำไห้ให้กับการสูญเสียก้อนเมฆอันเป็นที่รักนั้น มันเจ็บปวดมากเพียงใด.............
................................................................................................
เธอจะมองสายตาของฉันนานๆได้ไหม แฝงอะไรข้างใน
อยากให้เธอค้นหา เธอนั้นก็จะเข้าใจว่า ฉันกำลังปวดร้าว
เมื่อจะไม่ได้เห็นเธอ เพราะเธอจะทิ้งฉันไปหาเขา
และก็คงไม่เหลือแม้เงา ต้องมองดูเธอเดินไป ด้วยดวงใจที่บอบช้ำ
อยากให้เธอรู้ ให้เธอเห็น ว่าฉันเป็นอย่างไร เมื่อยามไม่มีเธอ
อยากให้เธอรู้ ได้ยินไหม หากฉันต้องขาดเธอก็คงต้องเสียใจ เพราะรักเธอ..........
หากเธอมองสายตา แล้วย้อนเวลากลับไป ถึงที่เคยผูกพัน
ที่เราเคยรักกัน เธอนั้นก็จะเข้าใจ ว่าฉันกำลังปวดร้าว
เมื่อจะไม่ได้เห็นเธอ เพราะเธอจะทิ้งฉันไปหาเขา
และก็คงไม่เหลือแม้เงา ต้องมองดูเธอเดินไป ด้วยดวงใจที่บอบช้ำ
อยากให้เธอรู้ ให้เธอเห็น ว่าฉันเป็นอย่างไร เมื่อยามไม่มีเธอ
อยากให้เธอรู้ ได้ยินไหม หากฉันต้องขาดเธอ ก็คงต้องเสียใจ
อยากให้เธอรู้ ให้เธอเห็น ว่าฉันเป็นอย่างไร เมื่อยามไม่มีเธอ
อยากให้เธอรู้ ได้ยินไหม หากฉันต้องขาดเธอ ก็คงต้องเสียใจเพราะรักเธอ..........................................................................................................