]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)  (อ่าน 165073 ครั้ง)

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ชอบตอนนี้จังครับอบอุ่นดี

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ซันไปไหนอ่ะ แล้วไปกะใคร อยากรู้จัง o12

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ต้นนะต้น ทำไมถึงได้กดดันเมฆขนาดนี้ล่ะ ใจร้าย :m15:

nartch

  • บุคคลทั่วไป
 :a5:
ไม่ใช่ว่าซันไปกะแบงค์...กลับมากะแบงค์ เมฆเห็น ...  :serius2:
ไมมันวุ่นวายดีแท้น้ออออออ อ่านแล้วเหนื่อยยยยยยย
งี้ต้อง  :เตะ1:      ฆ่ามานนนนน  :m16:

ซันกะเมฆสู้ ๆๆๆๆๆ คืนดีกันไวไว ๆๆๆๆ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ชุลมุนวุ่นวายไปหมดแล้ว   :serius2: :serius2: :serius2:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 38


เลยเที่ยงคืนไปแล้วผมก็ยังคงนั่งรอไอ้ซันอยู่ในห้องของลุงอี๊ดเหมือนเคย มีอยู่สองครั้งที่ผมลองเดินไปเรียกไอ้ซันที่หน้าห้องของมันดูอีกบ้าง แต่ว่ามันก็ยังคงไร้วี่แว่วเช่นเคย ผมจึงเลิกเข้าๆออกๆและตัดสินใจนั่งรอมันอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยดีกว่า และโชคดีที่โซฟาในห้องนั่งเล่นของลุงอี๊ดอยู่ไม่ห่างจากประตูมากนัก ทำให้ถ้ามีเสียงใครเดินอยู่ข้างนอกล่ะก็ ผมก็น่าจะรู้ตัวได้ไม่ยาก แต่เมื่อความเหนื่อยอ่อนจากหลายๆอย่างเริ่มถาโถมเข้าหาผม มันจึงทำให้ผมเผลอผล็อยหลับไปในที่สุด ทว่าถึงอย่างนั้นก็ตาม โสตประสาทของผมก็ยังคงทำงานอย่างไม่หยุดพัก ไม่ว่าจะเสียงอะไรเล็กน้อยแค่ไหนผมก็สามารถได้ยินและมีปฏิกิริยาขึ้นมาได้ทันที และแน่นอนว่าแม้แต่เสียงเปิดประตูห้องนอนของลุงอี๊ดที่ชะโงกหน้าออกมาเช็คดูผมขณะแสร้งทำเป็นหลับอยู่ก็ด้วยเช่นกัน จนกระทั่งเวลาราวๆตีสองผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆเดินอยู่นอกห้อง ผมจึงลุกขึ้นมาและลอบส่องมองที่ตาแมวออกไปจึงเห็นว่า จริงๆแล้วมันเป็นเพียงเสียงฝีเท้าตรวจตรายามดึกของพนักงานรักษาความปลอดภัยเท่านั้นเอง

ผมสะดุ้งสุดตัวขึ้นมาอีกครั้งตอนตีสี่นิดๆเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆมากกว่าหนึ่งคน และเสียงพูดคุยกันเบาๆผ่านหน้าห้องของลุงอี๊ดไป ผมจึงรีบลุกขึ้นมาเอาตาแนบทางตาแมวดูอีกครั้ง และคราวนี้หัวใจของผมมันก็เต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอก เมื่อผมเห็นคนที่เดินผ่านหน้าของผมไปอย่างชัดเจน และคนๆนั้นก็คือไอ้ซันนั่นเอง แต่ทว่ามันที่เดินอยู่ทางฝั่งนี้ก็บังคนที่เดินโอบบ่ามันอยู่ข้างๆไปจนหมด

ผมรู้สึกถึงความตื่นเต้นที่เพิ่มสูงขึ้นที่สุดในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ผ่านมาเลยทีเดียว ความรู้สึกในตอนนี้นั้นมันเทียบกับเหตุการณ์ที่ผมเพิ่งผ่านมากับพี่วินไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ผมทั้งกังวลและสับสนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี และแน่นอนว่าผมยังกลัวมากด้วยว่าอะไรๆมันจะแย่ลงไปกว่านี้อีกมั๊ย ผมจึงยืนสับสนอยู่คนเดียวอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งก่อนจะตัดสินใจได้ว่าถ้าผมไม่ลงมือทำอะไรลงไปเลยนั่นแหละ มันถึงจะไม่มีอะไรดีๆเกิดขึ้นมาเลย และสุดท้ายผมก็คงจะต้องสูญเสียมันไปทั้งๆที่มันยังเข้าใจผมผิดอยู่แบบนี้ ผมจึงตัดสินใจเปิดประตูห้องออกอย่างช้าๆเพื่อชะโงกหน้าออกไปตรงทางเดินเพื่อลอบมองไอ้ซันเป็นครั้งสุดท้ายแบบไม่ให้มันรู้ตัวก่อนที่จะเดินออกไปคุยกับมัน

ผมก้าวไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องของลุงอี๊ด ก่อนที่จะหันไปยังทิศของห้องของไอ้ซัน แต่ทว่าภาพที่ผมเห็นก็กลับทำให้ผมต้องหยุดยืนอยู่กับที่ด้วยลำตัวที่แข็งทื่อ ความสับสน ความกังวล และความรู้สึกต่างๆ คำพูดที่คิดอยากจะอธิบายให้มันฟังให้มันเข้าใจพลันหายไปจากจิตใจของผมจนหมดสิ้น เมื่อผมเห็นไอ้ซันที่กำลังค่อยๆโน้มตัวไปจูบปากกับไอ้แบ๊งค์ที่ยืนเอาหลังพิงประตูห้องเอาไว้อย่างดูดดื่ม

ใช่แล้ว.......... อย่างดูดดื่ม

มันดูเหมือนกับผมกำลังดูหนังที่กำลังฉายแบบสโลว์โมชั่นเลยทีเดียว ผมเห็นตั้งแต่วินาทีแรกที่ไอ้ซันดันไหล่ของไอ้แบ๊งค์เข้าไปชิดกับประตูห้อง ก่อนที่จะค่อยๆโน้มใบหน้าของตัวเองเข้าไปหามันช้าๆ และประกบริมฝีปากของตัวเองลงไป สายตาของผมจับจ้องและเห็นทุกจังหวะที่ผมริมฝีปากและลิ้นของทั้งคู่ขยับเคลื่อนไหวได้ในทุกๆวินาที

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งจะถูกตบหน้าฉาดใหญ่ๆเลยทีเดียว

ผมยื่นตัวแข็งทื่อ ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้เห็นและเป็นสักขีพยานเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งทั้งสองคนถอนปากออกจากกันก็ยังดูไม่มีท่าทีว่าใครจะสังเกตเห็นผมยืนอยู่ตรงนี้สักคนเดียว จนเมื่อไอ้แบ๊งค์โน้มตัวดึงไอ้ซันเข้ามากอดและหันมาเห็นผมนั่นแหละ สติของผมจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้งพร้อมๆกับที่มันรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่กับไอ้ซันแค่ตามลำพัง

“เมฆ!” ไอ้แบ๊งค์ร้องอุทานขึ้นก่อนจะดันตัวไอ้ซันออก ทำให้ไอ้ซันที่ผมเพิ่งเห็นว่าคงจะกำลังเมาไม่น้อยหันมามองยังผมด้วยเช่นกัน

สายตาของเราสองคนประสานกัน โดยที่ไม่มีใครยอมหลบตาให้แก่กันเลยแม้แต่นิดเดียว แว่บแรกผมก็มองเห็นความประหลาดใจจากดวงตาเฉียบคมคู่นั้นได้อยู่เหมือนกัน แต่เพียงแค่หลังจากนั้นไม่นาน มันก็กลับมาเป็นไอ้ซันคนเดิม ไอ้ซันคนที่สามารถซ่อนความรู้สึกนึกคิดต่างๆไว้ภายใต้ดวงตาคู่นั้นได้อย่างแนบเนียน

ผมนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าผมควรจะพูดอย่างไรออกไป คำพูดต่างๆที่ผมนั่งนึกนั่งคิดมาตลอดทั้งคืนมันดูราวกับถูกหลุมดำดูดกลับคืนหายไปเสียจนหมดพร้อมๆกับความรู้สึกต่างๆที่สั่งสมมาตลอดทั้งวันด้วยเช่นกัน ผมทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ ทั้งสับสนชนิดที่ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนี้มาก่อน ผมรู้สึกถึงร่างกายของตัวเองที่สั่นเทา และริมปากที่สั่นระริก ก่อนจะได้ยินเสียงของตัวเองพูดออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับผมกำลังยืนอยู่ห่างจากที่นี่ไปสักล้านปีแสงว่า...........

“กู...... ขอโทษ”



ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1

artkung

  • บุคคลทั่วไป
อ้าว ทำไมซันทำแบบนั้นล่ะ เริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่โปรยไว้ตั้งแต่แรกแล้วสิเนี่ย

พี่ต้น อย่าจบเศร้านักนะคร้าบ ฮืออออ  :m15:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 39 : “ขอโทษ........”


“กูขอโทษ.............” ผมพูดออกมาก่อนจะหันกลับเข้าไปในห้องของลุงอี๊ดและปิดประตูลง

ประตูที่ปิดลงพร้อมกับคำสัญญาและความไว้วางใจทั้งหมดที่ผมเคยมี............

ผมนั่งลงเอาหลังพิงกำแพงแล้วร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ภาพที่ผมเพิ่งเห็นมันทำให้ใจของผมแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เรื่องรูปถ่ายของนัทนั้นแน่นอนว่าไอ้ซันเป็นฝ่ายเข้าใจผิด แต่ทว่าสิ่งที่ผมเห็น การที่มันไปจูบกับไอ้แบ๊งค์นั้น จะบอกว่าผมเข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ......... จะบอกว่านั่นเป็นอุบัติเหตุหรือว่ามันไม่ได้ตั้งใจหรือยังไงกัน

ผมปล่อยให้น้ำตามันไหลลงมาอาบหน้าของผมไปเรื่อยๆ ปล่อยให้มันช่วยชำระล้างความเสียใจออกไป และหวังว่ามันจะช่วยทุเลาความเจ็บปวดตรงหน้าอกข้างซ้ายนี้ไปได้บ้าง........ นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้ร้องไห้เพราะความเจ็บปวดมากมายถึงเพียงนี้ และนานแค่ไหนแล้วนะ ที่ผมไม่ได้รู้สึกเหมือนถูกหักหลังมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต แต่ถึงผมจะโกรธและเกลียดสิ่งที่ผมเพิ่งเห็นไปมากเท่าไหร่ก็ตาม ผมก็ไม่สามารถห้ามความคิดงี่เง่าๆที่หวังจะได้ยินเสียงเคาะประตูและเสียงของไอ้ซันร้องเรียกให้ผมกลับไปฟังมันอธิบายบ้างไม่ได้ ถึงผมจะไม่ต้องการรับรู้และรับฟังอะไรจากมันอีกแล้วในตอนนี้ แต่การที่ไม่มีเสียงเรียกชื่อผมหรือปฏิกิริยาที่จะตามผมกลับไปเพื่ออธิบายอะไรสักนิดเลยมันก็ทำให้ผมยิ่งรู้สึกแย่มากไปกว่าเดิมได้อีกเช่นกัน

ผมเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนกลับเป็นชุดของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะเขียนโน๊ตขอบคุณลุงอี๊ดสั้นๆทิ้งเอาไว้และเปิดประตูคอนโดออก ผมหันไปมองทางห้องของไอ้ซัน ไม่เห็นแม้วี่แว่วของทั้งสองคนอยู่ที่นั่นอีกแล้ว และไม่มีแม้วี่แว่วที่ไอ้ซันจะคิดมาตามตัวผมกลับไปอีกด้วย ภาพของไอ้ซันที่เดินเข้าไปในห้องนั้นพร้อมกับไอ้แบ๊งค์มันทำให้ผมต้องรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอกอีกครั้ง ผมจึงหันหลังและเดินจากมาเพื่อหนีไปให้ไกลจากที่นี่มากที่สุดเท่าที่ทำได้.........

ขณะที่ขับรถ ผมก็คิดถึงพ่อของผมขึ้นมาทันที ผมจึงตัดสินใจจะกลับบ้านไปหาพ่อแทนที่จะขับไปที่อื่นๆตามที่ใจต้องการ แหวนของพ่อที่ผมสวมอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายส่องประกายสะท้อนกับแสงไฟจากหน้ารถคันที่ขับผ่านไป มันทำให้ผมเริ่มน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง ผมจอดรถลงที่ข้างทางและหยิบรูปแม่ของผมออกมาเปิดดู ใบหน้ายิ้มแย้มของแม่ที่กำลังอุ้มเอาตอนเป็นเด็กทารกเอาไว้มันกลับทำให้ผมยิ่งรู้สึกถึงความสูญเสียมากขึ้นไปอีก

“ผมขอโทษนะครับแม่......... ผมอ่อนแออีกแล้ว และตอนนี้แหวนของแม่กับพ่อ ก็ดูท่าจะไม่ได้อยู่คู่กันเหมือนอย่างที่มันควรจะเป็นซะแล้วล่ะครับ.......” ผมวางรูปลงพร้อมๆกับถอดแหวนออกและเก็บมันเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพร้อมๆกับความเจ็บปวดและน้ำตาที่ไหลรินขึ้นมาจนท่วมท้นหัวใจ

แล้วตอนนี้แหวนอีกวงนึงนั้นมันจะยังคงถูกสวมอยู่บนนิ้วนางของไอ้ซันรึเปล่านะ.........

ผมขับรถกลับมาถึงที่หน้าหมู่บ้านและเห็นว่ายามที่เฝ้าหมู่บ้านกำลังหลับอยู่ ก็เลยต้องบีบแตรเรียกให้เขาตื่นขึ้นมาเปิดประตูให้ และเมื่อผมเลี้ยวรถมาถึงหน้าบ้าน ผมก็เห็นถึงความผิดปกบางอย่างขึ้นมาทันที เพราะผมเห็นแสงไฟลอดออกมาจากห้องนอนของพ่อบนชั้นสองกับที่ห้องนั่งเล่นด้วย

ผมจอดรถไว้ที่หน้าบ้านแล้วเดินตรงเข้าไปจะไขกุญแจเข้าบ้าน แต่ก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อพบว่าประตูหน้าบ้านไม่ได้ถูกล็อคเอาไว้อยู่อย่างที่มันควรจะเป็น

“กลับมาแล้วเหรอ เมฆ” พ่อเอกทักผมทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในบ้าน และนอกจากพ่อแล้ว ไคล์ก็ยังคงนั่งอยู่ที่โซฟารับแขกข้างๆพ่อด้วยเหมือนกัน

“ทำไมทั้งสองคนยังไม่นอนอีกล่ะครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนผนังเพราะผมลืมคาดนาฬิกาข้อมือของตัวเองกลับมาด้วย “นี่มันก็ดึกมากแล้วนี่.......” ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังอ่อนแอมาก และยังไม่ต้องการที่จะตอบปัญหาหรือเผชิญหน้ากับใครหรืออะไรในตอนนี้ทั้งนั้นเลยจริงๆ

“ตีห้าแล้วนะศิลา เราสองคนตื่นกันแล้วต่างหาก”

“อ้อ........ ถ้างั้นผมขอตัวไปนอนหน่อยก่อนก็แล้วกันนะครับ” ผมพูดพร้อมกับเดินผ่านทั้งสองคนไป

“เดี๋ยวเมฆ” เสียงของพ่อเรียกให้ผมหยุดเอาไว้ และช่วงเวลาที่ผมไม่ต้องการจะเผชิญมากที่สุดก็ใกล้เข้ามาแล้ว ถึงจะเป็นพ่อก็เถอะ แต่ผมก็ไม่พร้อมที่จะคุยอะไรในตอนนี้เลยจริงๆ “กินอะไรมารึยัง ก่อนนอนก็ไปหาอะไรกินสักหน่อยก่อนมั๊ย พ่อเตรียมข้าวต้นร้อนๆไว้ให้กินแล้วนะ”

เมื่อได้ยินเพียงเท่านั้น น้ำตาของผมมันก็เริ่มจะไหลรินออกมาทันที ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พ่อก็ยังเป็นพ่อคนคนที่รัก เข้าใจ และเป็นห่วงผมมากที่สุดกว่าใครๆอยู่เสมอจริงๆ มีแต่ผมเองคนเดียวที่เอาแต่บิดเบือนความหวังดีของพ่อไปด้วยความเห็นแก่ตัวของผมเอง

“ขอบคุณนะครับพ่อ........” ผมตอบพลางใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบที่หัวตาทั้งสองข้างเบาๆเพื่อบังคับไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา “ผมขอโทษนะครับ”

“ไปเถอะ ไปหาอะไรกินสักหน่อย นะ ท่าทางเราจะเหนื่อยมากแล้วนี่ เดี๋ยวพ่อจะพาไคล์ออกไปใส่บาตรที่วัดสักหน่อย ฝากบ้านด้วยก็แล้วกันนะ เมฆ”

เนื่องจากผมยืนหันหลังให้กับทั้งสองคนอยู่ ทั้งคู่จึงไม่สามารถเห็นสีหน้าของผมในตอนนี้ได้ แต่ว่าผมเองก็ไม่สามารถห้ามอาการตัวสั่นเทาที่เกิดการร้องไห้ในตอนนี้ของตัวเองได้เหมือนกัน พ่อเป็นพ่ออย่างนี้เสมอจริงๆ เป็นคนที่เข้าใจผมมากที่สุด เป็นคนที่อบอุ่นและสามารถแสดงความรักและความห่วงใยออกมาได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด โดยไม่ทำให้ผมต้องรู้สึกแย่หรือเขินอาย และถึงพ่อจะไม่พูดมันออกมา แต่ว่าความรักความห่วงใยของพ่อก็ถูกส่งออกมายังผมได้อย่างเต็มเปี่ยม

“ครับ..... ผมขอโทษนะครับ.........” ในตอนนี้แม้แต่ตัวผมเองก็ยังสามารถได้ยินเลยว่าเสียงของตัวเองมันสั่นเครือมากขนาดไหน

“งั้นพ่อกับไคล์ไปก่อนนะ อย่าลืมกินข้าวสักหน่อยล่ะ” พ่อเอกพูดก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงของทั้งสองคนลุกขึ้นจากโซฟาและประตูบ้านที่เปิดออก และตอนนั้นเองที่ผมถูกคนๆหนึ่งกอดเข้าจากทางด้านหลัง

“ไม่เป็นไรนะครับ ศิลา พี่คือพี่ชายของผมเสมอนะ ผมรักพี่นะครับ” ไคล์พูดสั้นๆ ก่อนจะหอมแก้มผมแล้วเดินจากไป

หลังจากที่ผมได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถค่อยๆจากออกไป สิ่งที่เหลืออยู่ในบ้านตอนนี้ก็มีเพียงความว่างเปล่า ความเงียบเหงา และผมที่ต้องอยู่กับมันให้ได้เท่านั้นเอง

ผมเช็ดน้ำตาออกและเดินไปสำรวจข้าวเช้าที่พ่อทำเตรียมไว้ให้ผม พ่อเตรียมข้าวต้มกระดูกหมูเอาไว้ให้ผมโดยไม่ลืมที่จะเปิดไฟอุ่นเลี้ยงให้มันยังร้อนอยู่เสมอ เพื่อที่ผมจะได้กินมันตอนร้อนๆไม่ว่าผมจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ตาม และเมื่อผมเปิดตู้เย็น ผมก็เห็นนมที่ถูกรินจนเต็มแก้วเอาไว้แก้วหนึ่งพร้อมกับโน้ตให้กำลังใจที่แปะเอาไว้ด้วยลายมือของไคล์เป็นภาษาอังกฤษว่า “Be strong, bro”

ผมเอื้อมมือไปหยิบมันออกมาถึงรู้สึกว่าแก้วนั้นเย็นเจี๊ยบเลยทีเดียว และพอผมลองเปิดช่องแช่แข็งและดูกระดูกหมูส่วนที่เหลือจากการเอามาทำข้าวต้มนี้ ผมก็เห็นว่ามันเองก็แข็งโป๊กจนเป็นน้ำแข็งเหมือนเดิมไปแล้วเหมือนกัน ซึ่งนั่นก็แปลว่าทั้งสองคนคงจะตื่นขึ้นมาเตรียมอาหารและรอผมอยู่อย่างน้อยก็ไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วแน่ๆ

“ผมขอโทษนะครับพ่อ........... พี่ขอโทษนะ ไคล์ แต่ว่า.......... แต่ว่า............” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ น้ำตาค่อยๆไหลรินออกมาอย่างช้าๆ “มันคงจะจบแล้วล่ะ ในเมื่ออีกคนนึงเค้าก็ไม่ได้ต้องการจะพูดคุยกับพี่อีกต่อไปแล้วเช่นกัน เพราะฉะนั้น........... ทุกอย่างมันจบลงแล้ว.......... ทุกสิ่งทุกอย่างของเรามันจบลงแล้ว”

..................................

ผมนอนไม่หลับเลยจริงๆ ถึงผมจะเพิ่งไปเที่ยวไปกินเหล้าข้างนอกมาจนเกือบจะเช้าแบบนี้ แต่ผมก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้เลย....... แต่ก็แหงล่ะ เวลาแบบนี้ เพิ่งเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมา ใครมันจะไปหลับลงกัน

ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงช้าๆ หันไปมองเห็นไอ้แบ๊งค์ที่ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง มันก็คงจะหลับไปแล้ว เพราะว่าวันนี้มันเองก็เหนื่อยกับผมมามาก ผมจึงค่อยๆเดินย่องออกจากห้อง และไปทิ้งตัวนอนลืมตาอยู่บนโซฟาท่ามกลางความมืด ปล่อยให้ความเหงาและความเจ็บปวดมันค่อยๆกัดกินหัวใจของผมต่อไปทีละน้อยๆ.........

ถึงตอนนี้มันใกล้จะถึงเวลารุ่งเช้าแล้ว แต่ว่าทั่วทั้งห้องที่ยังคงปิดไฟทุกดวงเอาไว้จนมืดสนิท บวกกับผ้าม่านสีน้ำเงินเข้มที่ถูกรูดปิดอย่างมิดชิดก็ไม่ปล่อยให้แสงตะวันอ่อนๆยามเช้าที่ปลายฟ้าเล็ดลอดเข้ามาได้เลยแม้แต่นิดเดียว

ลมหายใจแรกของพระอาทิตย์ที่จะส่องสว่างให้โลกทั้งโลกกลับมาสู่ความมีชีวิตชีวาอีกครั้ง........ แสงอันอ่อนโยนที่เป็นพลังและมอบความสดชื่นให้แก่มนุษย์ตัวเล็กๆทุกคน แสงแห่งความมีชีวิตชีวาและอบอุ่นจากดวงอาทิตย์อันยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลเหนือทุกสิ่ง แสงที่นอกจากตอนมันลาลับขอบฟ้าแล้วก็จะมีเพียงแค่ไม่กี่นาทีในช่วงเช้าอย่างนี้เท่านั้นที่เราจะสามารถสัมผัสถึงมันได้...........

พระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า........... ช่วงเวลาที่ไอ้เมฆชอบมากที่สุดนั่นเอง

เมื่อคิดถึงมันขึ้นมา ภาพใบหน้าของมันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่ผมเห็นตรงหน้าประตูห้องนี้ก็ทำให้ผมต้องรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในอกอีกครั้ง น้ำตาที่ผมร้องจนแห้งเหือดเหลือเป็นเพียงคราบจางๆบนใบหน้า ก็ดูจะชุ่มชื้นขึ้นมาอีกทันทีเมื่อน้ำหยดใสๆเริ่มก่อตัวขึ้นที่ดวงตาทั้งสองของผมอีกครา

ผมได้ยินเสียงดังก๊อกแก๊กเบาๆลอดออกมาจากในห้องนอนของผม นี่ก็แปลว่าไอ้แบ๊งค์เองก็คงจะตื่นแล้วหรือไม่จริงๆแล้วมันก็คงจะนอนไม่หลับเหมือนๆกัน ผมใช้นิ้วปาดน้ำตาออกอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่ามันจะเดินออกมาตามหาผมและเห็นผมแบบนี้เข้าได้ เพราะนี่ผมก็อุตส่าห์เดินหนีมันออกมานอนอยู่บนโซฟาคนเดียวแบบนี้แล้วนี่นะ แต่ทว่าความเจ็บปวดกับหนทางที่ผมได้เลือกทำลงไป มันก็ไม่สามารถช่วยเยียวยาหัวใจที่กำลังร้องไห้อยู่ภายในอกข้างซ้ายของผมได้เลยแม้แต่น้อย.........

“กูขอโทษ เมฆ.......... แต่ว่า หลังจากนี้ เราสองคนมันก็คงต้องเป็นได้เพียงแบบนี้เท่านั้นแล้ว........ ใช่มั๊ย”

ผมกำก้อนหินสีขาวของผมเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่ามันจะแตกสลายเป็นผุยผงลงตรงหน้าของผม
ผมกำมันเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่ามันจะกลิ้งหนีหายผมไปและไม่มีวันคืนกลับมา
ผมกำมันเอาไว้แน่น........... ราวกับมันเป็นหัวใจเพียงหนึ่งเดียวของผมที่ผมมีเหลืออยู่

และแหวนวงนั้น ที่ผมยังมีค่าพอที่จะยังคงสวมมันเอาไว้อยู่อีกหรือ.............


..................................

ผมได้ยินเสียงของไอ้ซันลุกขึ้นใส่เสื้อแล้วเดินออกจากห้องไป...........

ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันผิด.......... แต่ว่าผมมีทางเลือกด้วยหรือ
ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำมันเลว.......... แต่ว่าทางเลือกไหนล่ะ ที่ผมจะมีสิทธิ์เลือก

ความรักที่ผมมีนั้นมันไม่เคยเป็นไปได้มาตลอดหลายปี และถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้อีกหลายสิบปีนับจากนี้ไปมันก็คงไม่มีทางเกิดขึ้นจริงได้เหมือนกัน แต่ว่าผมก็ยังคงดิ้นรนเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด ดิ้นรนเพื่อที่ตัวเองจะได้หลีกหนีความจริงที่ไม่อาจเลี่ยงได้

ทว่าตอนนี้ผมได้ก้าวเดินไปในเส้นทางที่ผมไม่ควรเดินแล้ว

และสุดท้ายแล้วสิ่งที่มีค่าของมันคืออะไร
และสุดท้ายแล้วผมจะยังคงเหลืออะไรอยู่อีกไหม...........

นับตั้งแต่นาทีแรกที่ผมเห็นหน้าไอ้ซันอีกครั้ง หัวใจของผมก็เริ่มหวั่นไหวขึ้นมาอีกครา ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ใช่คนของผมอีกต่อไป ทั้งๆที่รู้ว่าเขาจะเป็นได้เพียงคนในความทรงจำของผมเท่านั้น แต่ว่าทำไมสุดท้ายแล้วหัวใจของผมมันจึงไม่สามารถเลิกดิ้นรนได้ง่ายๆ..........

จนท้ายที่สุดทางเดินของผมมันก็เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียว

ผมเอามือแตะที่ริมฝีปากเบาๆ........ สัมผัส รสชาติ ความนุ่มนวล และความอ่อนโยนจากจูบแรกของคนที่ผมเฝ้ารักและรอคอยเขามาตลอดยังคงเหลือติดอยู่ที่ปลายลิ้น ความหวังและความฝันทั้งหมดของผมได้เกิดขึ้นจริงแล้วเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้นี่เอง..........

“ไอ้ซัน........... ขอบใจนะ กูรักมึงจริงๆ และไอ้เมฆ........ กู......... ขอโทษ”


..................................

ความรักคือการครอบครอง และการได้ครอบครองก็คืออำนาจ และแน่นอนว่าอำนาจก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต้องมีในชีวิต ดังนั้น ความรักจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดของชีวิต และมันก็ไม่สำคัญด้วยว่าผมจะได้มันมาครองด้วยวิธีการใดก็ตาม.......

ความท้าทายของความปรารถนาก็คือวิธีการ และความท้าทายของวิธีการก็คือตัวเป้าหมายเอง และตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้เห็นเมฆ ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเป้าหมายในครั้งนี้ของผมมันน่าท้าทายมากขนาดไหน เขาเป็นคนหน้าตาดี อันนี้แน่นอนอยู่แล้ว แต่นอกจากนั้นแล้วเขายังเป็นคนดีมากแบบไม่น่าเชื่ออีกด้วย เป็นคนดีที่ทั้งเก่งและมีความสามารถซึ่งหาได้ยากยิ่งในสมัยนี้

และนั่นมันก็ยิ่งทำให้ผมอยากครอบครองเขามากขึ้นไปอีก

“ขอโทษทีนะซัน แต่ว่าพี่ชอบเมฆจริงๆว่ะ และไม่ว่ายังไง พี่ก็จะต้องทำให้เมฆเป็นของพี่ให้ได้ด้วย”

ไม่มีสิ่งไหนที่ผมอยากได้และไม่เคยได้ ไม่มีใครที่เคยขัดขวางผมจากสิ่งที่ผมต้องการ แม้แต่พ่อหรือแม่ของผมก็ตามที.........


..................................

“ขอโทษนะเมฆ......... แต่ว่านัทไม่มีทางเลือกจริงๆ”

ใครจะเข้าใจบ้างไหม ว่าความเจ็บปวดของการถูกทิ้ง ความเจ็บปวดของการถูกบอกลามันทำร้ายลึกมากถึงเพียงใด โดยเฉพาะความรู้สึกของการถูกคนที่เรารักหักหลังนั้นมันทำร้ายจิตใจและฝังรากลึกลงไปได้มากขนาดไหน.......

หนึ่งมิตรภาพ
หนึ่งความรัก
หนึ่งความเจ็บปวด

ฉันยังจำเป็นต้องเลือกเลยใช่ไหม จะมีทางไหนบ้างที่ฉันจะเดินต่อไปโดยไม่ทำให้ใครต้องมาเจ็บปวด หรือแม้แต่สร้างบาดแผลให้ตัวเองอยู่อย่างนี้........

ทั้งๆที่รัก ทั้งๆที่ไว้ใจ แต่สุดท้ายฉันก็ถูกหักหลัง
ความอัปยศ ความอดสู ที่ฉันอาจจะต้องเผชิญอีกต่อไปข้างหน้า มันทำให้ฉันต้องทรมานราวกับตกนรกทั้งเป็น

น้ำตาและความเสียใจที่เคยมีก็พลันจะเหือดแห้ง จนเหลือเพียงความหลังอันเลวร้ายให้ฝังแน่นอยู่ในใจราวกับแผลเป็นที่ไม่มีทางรักษาหาย และสุดท้าย....... คนที่ฉันเคยรักก็ต้องมาเจ็บปวดแทนฉันอีกครั้งจนได้

ใครบ้าง ที่จะอยากให้มันออกมาเป็นแบบนี้.............
และใครบ้าง ที่มันอยากจะเสียใจ............



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
แอร๊ยยยส์ส์!! โดนบังคับให้มาโพสตอนต่อไปโดยไว จะพิมตอนต่อไปไม่ทันแว้วคับเนี่ยยย !!

T__T

55555


น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
แหม เรื่องนี้แข่งกันเจ็บปวดนะ
แล้วตกลงใครจะเจ็บมากกว่ากันนะนี่

nartch

  • บุคคลทั่วไป
:o
สามคนหลังน่าสงสารตรงไน๋กัน...ที่น่าสงสารคือเมฆกับซันต่างหาก
ต้องมาวุ่นวายกับความเห็นแก่ตัวของสามคนหลัง  โดยไม่รู้เรื่องราว

แต่งเก่งขึ้นเรื่อย ๆ อ่านแล้วอึดอัดแทบบ้า...ขนาดเดาถูกแล้วนะว่าจะ
เป็นแบบนี้แต่ก็ยังต้องร้องไห้...สงสารเมฆจัง...เป็นงี้ทุกคนไม๊....
เวลาเมา...นึกจะกอดจะจูบกับใครก็ได้งั้นเหรอ...แล้วความไว้ใจอยู่ไน๋
ทำไปแล้วจะมานั่งร้องไห้ทำบ้าไร...ทำให้คิดไปอีกว่าคืนก่อนที่ค้างกับ
ไอ้เจ้าแบงค์ไม่เรียบร้อยไปแล้วรึ...ถ้าจะเลิกกันก็สมควร... :เตะ1:

ออฟไลน์ Ryuse

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +69/-1
 :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:

ทนไม่ไหวแล้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว

และแล้วซันก็มีอะไรกับแบ็งค์จนได้ . . . คือ . . . อื้อหือ . . . พูดไม่ออกอ่ะ

จะบอกว่าแบ็งค์คือคนๆเดียวที่ทำให้ปองเกลียดขี้หน้าได้ ขนาดแฟนนัทปองยังไม่เกลียดเท่าไอ้เวรนี่เลย

เลว เห็นแก่ตัว ต่ำ รู้ว่าผิดก็ยังทำ ชั่วไม่มีที่สิ้นสุด :angry2: :angry2: :angry2:

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
อ๊าก พี่ชาย
ไม่ต่อโดยด่วนมีเคืองอ้ะ
น้องจะสอบพุ่งนี้แร้ว  :m15:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
อ๊าก พี่ชาย
ไม่ต่อโดยด่วนมีเคืองอ้ะ
น้องจะสอบพุ่งนี้แร้ว  :m15:

คุณคือจุดอ่อน.....
เชิญค่ะ!!

(ฮา)



ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เหล่าเสียงกระซิบจากสายลม.......


เอ็น

“มึงว่าไงนะ! นี่มึงพูดจริงงั้นเหรอ ไอ้ซัน!” ผมถามมันออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “นี่มึงกับไอ้เมฆกำลัง........... มึงพอเลย แล้วทำไมมึงไม่คุยกับมันให้รู้เรื่อง มึงตอบกูมาเดี๋ยวนี้ว่ามึงทำแบบนั้นลงไปจริงๆรึเปล่า........”

หลังจากที่ไอ้เมฆมันโทรมาบอกผมว่าไอ้ซันกำลังเข้าใจมันผิดอยู่และพยายามติดต่อหาไอ้ซันทุกวิถีทาง ผมก็คอยพยายามโทรหาไอ้ซันอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเช้าวันต่อมามันถึงได้เปิดมือถือขึ้น และผมก็ต้องได้ยินเรื่องราวที่ผมไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเข้าจนได้ มันเป็นเรื่องที่ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าท้ายที่สุดแล้วมันจะเลยเถิดมาได้ถึงขั้นนี้

“มึงจูบไอ้แบ๊งค์ แล้วไอ้เมฆก็มาเห็น! แล้วมึงทำแบบนั้นไปทำไมวะ............ มึงตอบกูสิวะ ไอ้ซัน ทำไมมึงถึงทำแบบนั้น อย่าเงียบสิวะ! ไอ้เหี้ยเอ๊ยย! แล้วอย่างนี้มึงกับไอ้เมฆก็........... ไม่ กูไม่ยอมรับหรอก ไอ้ซัน กูไม่รู้นะเว้ยว่ามึงเป็นเหี้ยอะไรของมึง แต่มึงต้องคุยกับไอ้เมฆอีกครั้ง ไม่ มึงไม่ต้องพูดอะไรเลย มึงไม่ต้องบอกอะไรกับกูก็ได้ กูรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่มึงต้องไปอธิบายและคุยกับไอ้เมฆให้เข้าใจ จากนั้นจะเป็นยังไงต่อไป ก็เรื่องของมึง มึงจำไว้เลยนะ กูไม่มีทางยอมให้ไอ้คนสองคนที่มันสอนให้กูรู้จักความรักต้องมาจมน้ำตายเพราะความรักของพวกมันเองหรอกนะเว้ย!”


ไคล์กับพี

ตอนนี้ผมรู้ว่าคนที่ผมรักสองคนกำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของพวกเขาทั้งคู่ ช่วงเวลาที่จะพิสูจน์ความรักและความจริงใจของคนสองคน ช่วงเวลาที่จะตัดสินว่าความรักหรือความผูกพันจะเป็นฝ่ายเลือกให้คนทั้งคู่ได้เคียงคู่กันไปจนถึงวินาทีสุดท้าย.......

แต่ผมคงไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ผมไม่รู้เลยว่าพวกเขามีปัญหาอะไรกัน ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรหรือไม่ได้คุยอะไรกันไปบ้าง และผมก็ไม่รู้ด้วย ว่าบททดสอบในครั้งนี้ของพวกเขานั้นเป็นอย่างไร

แต่ผมเชื่อว่าความรักของทั้งสองคนจะต้องฟันฝ่ามันไปได้อย่างแน่นอน.......... ผมเชื่อในตัวของพี่ชายทั้งสองที่ผมรู้จักดีจากเบื้องลึกของจิตใจ

“พีท ผมไม่รู้จริงๆนะว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป ซันก็ไม่ค่อยจะเล่าเรื่องพวกนี้ให้ผมฟังอยู่แล้ว ช่วงหลังๆศิลาเองก็เงียบลงไปตั้งเยอะ เหมือนเค้ามีเรื่องให้คิดอยู่ตลอดเวลายังไงไม่รู้” ผมถามพีทแฟนของผมทางโทรศัพท์หลังจากที่ผมกับลุงเอกออกมาจากบ้านในตอนเช้า และผมได้อยู่ตามลำพังแล้ว

“ผมว่าไคล์อย่าคิดมากเลย ผมเองก็เป็นห่วงพวกเค้าสองคนนะ แต่ไคล์จำได้มั๊ยว่าคนที่ช่วยเหลือเราและสนับสนุนเราสองคนมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันนั้นคือใคร”

“จำได้สิครับ ผมจะลืมได้ยังไง.......”

“ใช่แล้ว ทั้งสองคนน่ะเข้มแข็งมาก เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำได้คือเชื่อมั่นในตัวพวกเขา และคอยเป็นเหมือนกำลังใจที่จะผลักดันพวกเขาอยู่ห่างๆเท่านั้นเอง ผมเองคงทำอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่เพราะผมอยู่ไกลถึงขนาดนี้ แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยๆสิ่งที่ไคล์ทำได้ในตอนนี้คือ ทำยังไงก็ได้ให้เขาได้คุยกันให้เข้าใจ หรือถ้าเขาจะไม่เข้าใจกันเราก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แต่ว่า......”

“แต่ว่าถ้าไม่มีการพูดคุยกัน มันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย....... ครับ ผมเข้าใจ” ผมพยักหน้าให้กับตัวเองเบาๆ “และผมก็ทำไปแล้วล่ะ ตอนนี้ศิลากลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว แต่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่ผมโทรหาซันยังไงก็โทรไม่ติด แต่ว่าพอเขาเปิดเครื่องปุ๊บ เขาจะต้องเห็นเมสเสจของผมทันทีแน่..........”


อีฟกับวิท

“มึงรู้เรื่องแล้วของไอ้ซันกับเมฆแล้วใช่มั๊ย อีฟ”

“อืมม รู้แล้ว กูเพิ่งรู้จากไอ้เมฆเมื่อกี๊นี้เอง มันโทรมาเล่าให้กูฟังคร่าวๆแล้ว ดูมันแย่มากๆเลยว่ะ แล้วมึงล่ะรู้จากไหน นี่กูก็คิดจะโทรไปหามึงอยู่พอดีเลยเหมือนกัน วิท”

“ไคล์มันโทรมาบอกกูแต่เช้าเลย มันบอกว่ามันไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะไอ้ซันก็พี่มัน ส่วนไอ้เมฆมันก็รักโคตรๆ แต่ไอ้ซันดันเสือกหนีออกจากบ้านไปแบบนี้และไม่บอกอะไรมันสักคำ แถมมันก็ยังคงอาศัยอยู่บ้านไอ้เมฆอยู่ มันก็เลยเครียดและทำตัวไม่ถูกนั่นแหละ....... โธ่ ไอ้เหี้ยเอ๊ยยย สุดท้ายแม่งก็เป็นแบบนี้จนได้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้กูไม่เห็นจะรู้เลยนะเว้ยว่ามันจะมีแวว”

“กูก็ไม่คิดหรอกนะ แต่กูก็ตงิดๆอยู่เหมือนกัน นี่กูยังเพิ่งจะเตือนๆไอ้เมฆเรื่องนัทไปเอง ว่าอย่าทำให้ไอ้ซันมันต้องคิดมากนักน่ะ แต่สุดท้ายนี่มันก็เกิดจากเพราะอะไรกันแน่ กูก็ไม่รู้ว่ะ มึงจะเอาไงดีวะ กูไม่อยากอยู่เฉยๆแล้วเห็นมันเป็นแบบนี้เลย ไอ้วิท”

“กูเองก็เหมือนกันนั่นแหละ เอางี้ กูจะลองเข้าทางไอ้ซันเอง แต่ก็นะ คนอย่างไอ้ซัน กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากูจะทำอะไรได้บ้าง ส่วนมึงก็.........”

“อืม เดี๋ยวกูดูไอ้เมฆให้ แต่กูว่าเราอย่าเพิ่งเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเลยก็แล้วกันนะ”

“กูก็ว่างั้นแหละ เพราะถ้าเกิดคนอื่นรู้ว่ามันสองคนมีเรื่องถึงเลิกกันแบบนี้ พวกมันจะตกใจและเป็นห่วงพวกมันมากขนาดไหน แต่ก็แค่ไอ้สองคนนี้มันไม่ค่อยจะรู้ตัวเลยก็เท่านั้น.........”

“ใช่ มันไม่ค่อยรู้หรอกว่ามันมีเพื่อนๆรักมันกันอยู่มากแค่ไหน พูดจริงๆนะ กูรักพวกมันโคตรๆเลยโดยเฉพาะไอ้เมฆน่ะ และกูก็จะไม่ยอมปล่อยให้พวกมันเลิกกันง่ายๆแบบนี้แน่นอนด้วย”

“ใช่ กูก็เหมือนกัน อีฟ กูก็เหมือนกัน..........”


วิน

“อย่างนั้นหรอ เมฆ...........” ผมได้รับโทรศัพท์จากเมฆตอนหกโมงเช้านิดๆและได้ยินข่าวร้ายที่ผมกลัวมาตลอดว่ามันจะเกิดขึ้นจนได้......... ผมคงจะลงมือช้าเกินไป

ที่จริงผมก็ไม่ค่อยจะเข้าใจไอ้เรื่องความรักความคาดหวังของคนรักอะไรนี่เท่าไหร่นักหรอก ถ้าถามผมตรงๆและถ้าหากผมเป็นเมฆล่ะก็ ผมคงจะไม่รู้สึกเสียใจอะไรมากเท่านี้แน่ๆ และถึงเมฆจะไม่ได้พูดออกมาว่าเขาเสียใจมากหรือไม่ได้ร้องไห้ออกมาให้ผมเห็นต่อหน้าหรือแม้แต่ทางโทรศัพท์เมื่อครู่ ผมก็ยังคงรับรู้ได้จากทุกคำพูดของเขาเลยทีเดียวว่าเขาเสียใจกับมันมากแค่ไหน

ถ้าเกิดว่ามันเป็นผมที่ต้องไปเห็นคนรักของผมทำเรื่องแบบนั้นกับตาขึ้นมา ผมก็คงจะปล่อยมันไปก็เท่านั้นเอง เพราะถ้าหากมันอยากจะมีชีวิตที่มันเลือกและคิดว่าดีแบบนั้นแล้วละก็........ เชิญเลย เพราะผมไม่เคยเชื่อในความรักของหนุ่มสาวหรืออย่างน้อยๆก็ความรักที่เกิดจากความใคร่พวกนี้อยู่แล้ว

สิ่งเดียวที่ผมเชื่อก็คือความรักความห่วงใยจากเพื่อนที่ผมเลือกมีแค่เพียงหยิบมือ และความรักจากครอบครัววัฒณประเสริฐกุล.......... ความรักจากพ่อของเมฆและเมฆที่มีให้แก่ผมแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความสุขของคนสองคนนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด และผมจะไม่ยอมให้คนที่ผมรักต้องทนทุกข์ใจเศร้าใจแบบนี้แน่นอน

“พี่เคยรับปากเมฆเอาไว้แล้วว่าพี่จะช่วยเหลือเมฆ และพี่ก็เคยรับปากพ่อของเมฆเอาไว้แล้วว่าพี่จะรักและดูแลเมฆให้ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็นอย่างไรหรือเมื่อไหร่ก็ตาม และพี่ไม่เคยผิดสัญญา ดังนั้นพี่ก็จะทำหน้าที่ของพี่ให้ดีที่สุด ไม่มีอะไรจะมาขวางพี่ได้ แต่พี่จะต้องขอเมฆเพียงอย่างเดียว อย่างเดียวที่พี่ไม่เคยเข้าใจและไม่สามารถทำแทนเมฆได้ นั่นก็คือ เข้าไปคุยกับซันซะ จะเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่าพี่ไม่รู้ แต่พี่เชื่อในตัวเมฆ พี่เชื่อในความใจกว้างและให้โอกาสตัวเองอีกครั้งของเมฆ เรื่องนี้เท่านั้นที่พี่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเมฆจะทำด้วยตัวของตัวเอง พี่จะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับซัน แต่ส่วนที่เหลือพี่ขอให้เมฆปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของพี่เอง..............”

ผมวางโทรศัพท์ลงพร้อมกับเตรียมตัวที่จะเริ่มต้นจัดการปัญหาและไอ้ตัวปัญหาที่เหลืออยู่ให้เรียบร้อยเสียที



น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






nartch

  • บุคคลทั่วไป
รับรู้ความปรารถนาดีของคนรอบข้างซักพันคน

ก็ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลยยยยยยยย

เมฆ กะ ซัน เป็นไงบ้างน๊า....... :serius2:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 40 : วินาทีสุดท้าย.......


หลังจากผมวางโทรศัพท์จากทุกคน ความเหนื่อยอ่อนและความอ่อนเพลียก็เข้ามาเล่นงานผมทันที แต่ว่าผมก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะนอนจริงๆ และถึงผมจะมีเวลา ผมก็คงจะนอนไม่หลับอยู่ดี ผมจึงตัดสินใจขับรถไปหาอีฟที่บ้านอย่างที่มันชวนแกมบังคับ แต่พอผมไปถึงปุ๊บ อะไรๆมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด นั่นก็คืออีฟไม่ได้ซักไซ้หรือถามรายละเอียดอะไรผมเลย และผมเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะอยากเล่าอะไรให้ใครฟังเหมือนกัน แต่มันสำคัญก็ตรงที่ความรู้สึกดีๆที่ได้มีเพื่อนอยู่ข้างกายในเวลาแบบนี้เท่านั้นเอง

“เราว่าแกพักผ่อนหน่อยเถอะ นอนที่โซฟานี่แหละ เดี๋ยวเราออกไปซื้อของกลับมาทำข้าวเที่ยงให้แกกินเอง” อีฟบอกผมเมื่อมันเห็นผมมีท่าทางเพลียเต็มแก่แล้วจริงๆ

“ก็ได้ ขอบใจนะเว้ยที่อุตส่าห์คิดถึงกู” ผมพูดพร้อมกับเอนหลังลงนอน และเนื่องจากพ่อกับแม่ของมันไม่อยู่บ้านวันนี้ แถมพวกท่านเองก็รู้จักผมดีและไว้ใจผมมากอยู่แล้ว ผมจึงไม่ต้องรู้สึกเกรงใจอะไรมากมายนัก

“พวกเราก็คิดถึงแกเสมอแหละ ไอ้บ้า” อีฟเดินเอาหมอนอิงมาตีลงบนหน้าผมเบาๆหนึ่งที “นอนไปซะ เดี๋ยวเราทำกับข้าวอะไรเสร็จแล้วเรามาเรียก”

“อืมม รบกวนหน่อยก็แล้วกัน เมื่อวานแม่งเจอมาเยอะว่ะ ไปนั่นไปนี่ แถมยังไม่ค่อยได้นอนอีก”

“เราเข้าใจ แต่ว่าแกฟังเรานิดนึงนะเมฆ เรารู้ว่าแกยังไม่อยากคุยเรื่องนี้ และเราก็ไม่ได้คิดจะคุยอะไรกับแกหรอก แต่ว่าเราอยากให้แกคุยกับไอ้ซันมันนะ เพราะนิสัยแกมันก็ไม่ใช่แบบนี้นี่หว่า แกน่ะต้องคุยให้รู้เรื่องก่อน แล้วถึงจะตัดสินใจทำอะไรลงไป จริงมั๊ยล่ะ”

“........ก็คงอย่างนั้นมั๊ง” ผมตอบออกมาเบาๆ

“เอาเถอะๆ ตอนนี้นอนไปก่อนเถอะ คิดมากแล้วเดี๋ยวจะพลอยนอนไม่หลับเอาอีก” อีฟบีบหัวไหล่ผมเบาๆก่อนจะเดินออกไป

และด้วยความเหนื่อยอ่อนที่ทับถมกันมาตั้งแต่เมื่อวาน ในที่สุดผมก็ผล็อยหลับลงไปจนได้...........

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของตัวเองดังขึ้น ผมหันไปมองรอบๆห้องหานาฬิกา ผมจึงรู้ว่าผมหลับไปแล้วเกือบชั่วโมงนึงเลยทีเดียว จากนั้นผมจึงหยิบมือถือขึ้นมาดูว่าใครที่เป็นคนโทรเข้ามา และชื่อคนที่โทรเข้ามานั้นก็ทำให้ผมต้องหันไปรอบห้องเพื่อดูว่าอีฟอยู่ใกล้ๆหรือเปล่า และพอผมเห็นเงาของมันที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในครัวแว้บๆ ผมจึงลุกขึ้นยืนและเดินออกไปนอกบ้านพร้อมกับกดปุ่มรับสาย

“ฮัลโหล..........”


..................................

หลังจากผมเปิดเครื่องปุ๊บ ไอ้เอ็นก็โทรเข้ามาหาผมทันที ผมจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมดให้มันฟัง ดูท่าทางมันเองก็ไม่พอใจในตัวผมมากเลยเหมือนกัน ไม่พอใจทั้งสิ่งที่ผมทำลงไปและไม่พอใจทั้งที่ผมไม่ยอมอธิบายอะไรให้มันฟังด้วย และพอหลังจากวางสายจากมันไป ผมก็เปิดเมสเสจที่เพิ่งได้รับเข้ามาอ่าน อันแรกเป็นของไคล์ที่บอกว่าเขารักผมมาก และอยากให้ผมทำอะไรเพื่อเขาสักอย่าง นั่นก็คือให้ผมไปคุยกับเมฆให้เรียบร้อย เพราะถ้าเป็นแบบนี้เขากับพีคงไม่สบายใจไปจนวันตายแน่ ส่วนอีกอันมาจากไอ้วิท มันบอกว่ามันมีเรื่องสำคัญมากที่จะคุยกับผม ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะรู้เรื่องของผมกับเมฆแล้วด้วยเหมือนกัน ผมจึงตัดสินใจไม่สนใจมันซะ เพราะถึงยังไงตอนนี้ผมก็ไม่มีอารมณ์จะไปพบไปคุยอะไรกับใครทั้งนั้นแล้ว

“ซัน” ไอ้แบ๊งค์ที่เดินออกมาจากห้องนอนเรียกผมจากหน้าประตู

“ว่าไง”

“มึงจะเอายังไงต่อไป.........”

“กูจะเอายังไงต่อน่ะเหรอ........” ผมแค่นยิ้ม “มึงพูดเหมือนกับกูเลือกได้งั้นแหละนะ”

ไอ้แบ๊งค์ก้มหน้าและหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องนอนเหมือนเคย ผมเองก็หลับตาลง และเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาตัวเองเหมือนกัน หลังจากนั้นผมก็เดินมาเปิดม่านออกให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในห้อง

“จะสิบโมงแล้ว.........” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ นึกสงสัยว่าตอนนี้ไอ้เมฆมันจะเป็นยังไงมั่งนะ เมื่อคืนผมกับมันก็เจอกันด้วยสภาพที่เรียกได้ว่าเลวร้ายที่สุดเลยทีเดียว อาการปวดหัวเพราะการเมาค้างและอดนอนเริ่มเข้ามาทำร้ายผมทีละน้อยๆ ผมจึงเดินไปหยิบพาราออกมากินสองเม็ด ก่อนกลับมาล้มตัวลงไปนอนบนโซฟาเหมือนเคย

“งั้นกูขอตัวกลับก่อนนะ ซัน” ไอ้แบ๊งค์ที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากในห้องนอน “ถ้าเกิดมึงมีอะไร..........”

“อืม กูรู้แล้ว มึงกลับไปเถอะ” ผมตอบทั้งๆที่ยังคงหลับตาอยู่ ภาพที่เราสองคนจูบกันเมื่อคืน......... ไม่สิ ภาพที่ผมจูบมันไปเมื่อคืนฉายซ้ำขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้ง ตามมาด้วยสีหน้าของไอ้เมฆที่เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี ส่วนหลังจากนั้นก็.........

“กูรักมึงนะ ซัน.........” ไอ้แบ๊งค์พูดทิ้งท้าย แต่คราวนี้ผมไม่ได้ตอบกลับไป และสิ่งถัดมาที่ผมได้ยินก็คือเสียงประตูคอนโดที่ถูกปิดลง เหลือเพียงความเงียบและความว่างเปล่าอยู่ในห้องกับผมตามลำพังเท่านั้น แต่ทว่าภายในใจของผมนั้นมันกลับสับสนไปด้วยปัญหาและคำถามต่างๆมากมายเหลือเกิน........

ถึงตอนนี้มันอาจจะยังเช้าอยู่มากและอาจจะเช้าเกินไปด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่สามารถปล่อยให้ความสงสัยและความกังวลของผมผ่านไปเฉยๆได้ ผมจึงลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวและเดินออกจากห้องไปยังห้องข้างๆทันที และหลังจากเคาะประตูอยู่สามสี่ครั้ง ลุงคนนั้นที่ผมไม่รู้จักชื่อก็เปิดประตูออก

“อ้าว เข้ามาก่อนสิ ซัน........”


..................................

“ครับ พี่จ๊อบ” ผมรับโทรศัพท์พร้อมกับถอนหายใจ “พี่มีธุระอะไรกับผม”

“ก็นิดหน่อยนะครับ อย่าเพิ่งทำเสียงแบบนี้สิ พี่ก็แค่ยังข้องใจเรื่องคำตอบของเมฆที่บอกพี่มาเมื่อวันก่อนนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

ผมหลับตาแล้วเม้มริมฝีปากตัวเองเบาๆ “คำตอบงั้นเหรอครับ..........”

“ใช่ครับ คือ พี่ว่ามันก็แปลกๆนะ ที่เมฆปฏิเสธเงื่อนไขพี่ แต่ก็ยังบอกพี่ว่าขอเวลาเมฆอีกนิดหน่อยน่ะ มันเหมือนเมฆจะถ่วงเวลาพี่ทั้งๆที่คิดจะปฏิเสธพี่นะ และที่สำคัญพี่อยากรู้ด้วยว่าพี่จะต้องรอไปอีกนานเท่าไหร่น่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นพี่ก็คงต้อง...........”

“พี่ไม่ต้องรอแล้วครับ” ผมพูดแทรกขึ้น “ไอ้ซันย้ายออกไปอยู่ที่คอนโดแล้ว ทุกอย่างมันเป็นอย่างที่พี่ต้องการแล้วทุกอย่าง พอใจรึยัง”

“งั้นเหรอ ถ้างั้นพี่ก็ขออะไรเมฆอีกนิดหน่อยก็แล้วกันนะครับ.............” พี่จ๊อบพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงชัยชนะเล็กน้อย

นี่ผมจะต้องเดินไปในเส้นทางนี้จริงๆอย่างนั้นหรือนี่............

พี่วินครับ........ ผมชักเริ่มรู้สึกอยากให้พี่ช่วยจัดการไอ้คนๆนี้ให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวให้กับผมหน่อยเหลือเกินแล้วจริงๆ


..................................

“เมื่อวานลุงเป็นคนให้เมฆเค้ามาพักอยู่ที่นี่เองน่ะ เพราะเค้ายืนยันว่าเค้าจะรอซันกลับมาให้ได้ ลุงก็เลยไม่อยากให้เค้าไปนั่งรออยู่ที่หน้าประตูแบบนั้น แถมเมื่อวานเมฆเองก็ดูแย่มากเลยด้วย ทั้งเลือด ทั้งฝุ่น ทั้งเหงื่อ เต็มไปหมด”

“เลือดงั้นเหรอครับ” ผมถามด้วยความตกใจ “มันบาดเจ็บมาเหรอครับ”

“ดูเหมือนจะไม่ใช่นะ” ลุงอี๊ดส่ายหัวพลางยกแก้วกาแฟของตัวเองขึ้นจิบก่อนจะถามขึ้นอีก “ว่าแต่เราสองคนได้คุยกันรึยังล่ะ”

“............นั่นมันนาฬิกาของไอ้เมฆนี่ครับ” ผมไม่ตอบ แต่ชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกทางฝั่งของลุงอี๊ด

“อ๋อ ใช่ ท่าทางเมฆเค้าจะลืมไว้น่ะ งั้นลุงฝากซันไปคืนเลยก็แล้วกันนะ”

ผมนั่งนิ่งไม่ได้ยื่นมือออกไปรับนาฬิกาที่ลุงอี๊ดยื่นให้แก่ผมมา

เวลา........
ท้องฟ้า.........
ความผูกพัน.........

ทุกอย่างมันอาจจะถึงเวลาที่นาฬิกาของเราสองคนกำลังจะหยุดเดินแล้ว นับจากนี้ไป ท้องฟ้าก็คงต้องโดดเดี่ยวอีกครั้ง และเวลาที่เราสองคนเคยมีก็คงจะหยุดลงและไม่สามารถเดินร่วมกันต่อไปได้อีก......... อย่างนั้นจริงๆน่ะหรือ

“ลุงว่านะ.......” ลุงอี๊ดพูดพร้อมกับวางนาฬิกาลงเมื่อเขาเห็นว่าผมไม่ได้ยื่นมือไปรับมันมา เพราะถึงยังไง ผมก็คงไม่มีหน้าจะไปเจอมันและเอาของไปคืนมันได้อยู่แล้ว “ซันไปคุยกับเมฆก่อนเถอะ อย่าให้อะไรๆมันทำร้ายตัวเองด้วยการวิ่งหนีปัญหาเลย.......... การพูดคุยกันให้รู้เรื่องน่ะ สำคัญมากนะ ความเข้าใจผิดกันและไม่ได้แก้ให้มันเป็นถูก มันสามารถส่งผลเสียได้อย่างที่ซันคิดไม่ถึงเลยทีเดียว..........”

“ลุงหมายความว่ายังไงครับ”

“ไม่ได้หมายความว่ายังไงหรอก” ลุงอี๊ดเหลือบมองไปทางกรอบรูปตรงมุมห้องที่วางหันหน้าออกไปทางหน้าต่างเอาไว้ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง “แต่เมฆเค้าบอกลุงนะว่าซันน่ะเข้าใจเค้าผิด แล้วเราก็ออกจากบ้านมาก่อนที่จะยอมฟังอะไรเค้าซะอีก ก็เลยยังไม่ทันได้คุยกันให้รู้เรื่อง”

ไม่หรอก ผมเข้าใจเรื่องทั้งหมดดีหมดแล้ว ไม่ได้เข้าใจอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย มันก็แค่ผมถึงเวลาที่จะต้องเลือกแล้วว่าผมจะเดินต่อไปในหนทางไหนดีก็เท่านั้นเอง.......... แต่ว่ามันต่างหากที่ยังคงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่ทางฝั่งผมบ้าง........ ยังคงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา

ความผิดพลาดที่ผมทำลงไปและไม่สามารถชดเชยให้กับความรักที่มันมีให้แก่ผมได้

“ก็ได้ครับ ถ้ามันจำเป็นมากนักที่ผมจะต้องพูดกันให้รู้เรื่อง งั้นผมก็คิดว่าผมคงต้องคุยกับมันจริงๆ”


..................................

ผมบอกลาและขอโทษอีฟที่ไม่สามารถอยู่กินข้าวเที่ยงกับมันได้ แต่เหตุผลที่ผมบอกมันไปก็กลับทำให้มันยิ่งเร่งให้ผมรีบออกจากบ้านมันให้เร็วๆมากขึ้นไปอีก

“ใจเย็นๆนะเมฆ เดินทางดีๆ แล้วก็อย่าใจร้อน เข้าใจมั๊ย แกยังมีพวกเราอยู่นะ” อีฟพูดย้ำเป็นครั้งที่สองเมื่อเดินมาส่งผมที่รถ

“อืม ขอบใจมาก แล้วเอาไว้เดี๋ยวเราโทรหาแกเองนะ” ผมบอกลามันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขับรถออกจากบ้านของมันไปยังสถานที่นัดหมาย

สถานที่ที่ไอ้ซันเพิ่งโทรมานัดให้ผมออกไปคุยกับมัน


..................................

เราสองคนนัดเจอกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งเดิมที่เราไปกันประจำ ท้องไส้ของผมเริ่มปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อใกล้จะถึงเวลานัด หัวใจของผมมันเริ่มบิดเป็นเกลียวเมื่อถึงเวลาที่ผมต้องพูดความจริงและเผชิญหน้ากับมัน แต่นี่ก็เป็นเพราะเราจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนี้นี่เอง ผมจำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้ และมันก็จะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าเราใช้โทรศัพท์เป็นตัวกลางในการปิดกั้นความรู้สึกและสีหน้าที่แท้จริงเอาไว้

ผมคาดหวังเอาไว้ในส่วนเล็กๆของหัวใจว่ามันจะเข้าใจว่าผมเองก็รู้สึกแย่และลำบากใจแค่ไหนเช่นกัน......... ความหวังลมๆแล้งๆที่มันจะเข้าใจผมและเราไม่จำเป็นต้องจบลงแบบนี้............

ผมนั่งหมุนแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายเล่นอย่างกังวลขณะที่รอมัน และก้อนหินสีขาวก้อนนั้นก็ยังคงห้อยอยู่ที่หน้าอกของผมเหมือนเดิม

ผมไม่อยากจะจากลาของสองสิ่งนี้ไปเลย..........


..................................

ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองในตอนนี้กำลังเปราะบางแค่ไหน แต่ผมก็รู้ดีด้วยว่าแท้จริงแล้วผมควรจะเข้มแข็งมากให้ได้เพียงใดเพื่อที่จะได้เท่าเทียมกับไอ้ซัน ผมบอกกับตัวเองอยู่เงียบๆว่าผมจะต้องไม่ร้องไห้ออกไปเด็ดขาดไม่ว่าจะยังไงก็ตาม แต่ทว่าเมื่อผมได้เห็นใบหน้าของไอ้ซัน ใบหน้าและสีหน้าที่ดูราวมันกับมันพร้อมที่จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆอยู่ได้ทุกเมื่อของมันที่ผมคาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นนั่น.........

ความอ่อนไหวก็เริ่มกลับเข้ามาครอบคลุมจิตใจของผมอีกครั้งทันที

ผมรู้ว่ามันรักผม และผมรู้ดีอยู่แก่ใจเลยว่าผมเองก็รักมันมากและระหว่างเราก็ไม่จำเป็นต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย แต่ทำไม แต่ทำไมกัน.......

“ซัน” ผมเรียกชื่อมันพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ที่ฝั่งตรงข้ามกับที่มันกำลังนั่งอยู่ “กูมาถึงแล้ว.......”


..................................

“กูไปคุยกับลุงอี๊ดห้องข้างๆมา.......... เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นรึเปล่าเมฆ มึงเป็นอะไรรึเปล่า” ผมถามออกไป แต่แล้วก็มารู้ตัวหลังจากพูดจบว่าว่าคำถามของผมนี้มันช่างงี่เง่าสิ้นดี

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก มีเรื่องนิดหน่อยแค่นั้นเอง........... ถ้ามึงหมายถึงเรื่องก่อนที่กูจะไปคอนโดของมึงน่ะนะ”

“กูคิดว่าเราต้องคุยกัน......... ลุงอี๊ดเองก็บอกว่ามึงคิดว่ากูเข้าใจมึงผิด”

“ใช่....... ถ้าเรื่องนั้นมันยังสำคัญอยู่นะ” ผมเห็นสีหน้าปวดร้าวที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้ดวงตาคู่นั้นได้เป็นอย่างดี ไอ้เมฆเองก็ไม่ได้เก่งเรื่องซ่อนความรู้สึกของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ผมเชื่อว่ามันเองก็คงต้องเห็นสิ่งเดียวกันจากแววตาของผมด้วยเช่นกัน เพราะในวันนี้ผมไม่คิดจะซ่อนไอ้สิ่งเหล่านั้นไว้เลยแม้แต่นิดเดียวถ้าไม่จำเป็นจริงๆ...........

ผมหวังอย่างลมๆแล้งๆเหลือเกินว่ามันจะเข้าใจผมได้.........


..................................

ผมรู้สึกแย่จริงๆ......... หัวใจของผมมันยิ่งกำลังถูกบีบคั้นมากขึ้นไปเรื่อยๆในทุกๆคำที่เราพูดกันออกมา และยิ่งพอได้เห็นสีหน้าปวดร้าวของไอ้ซันแบบนี้ด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเข้าไปอีก ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเราถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเราสองคนถึงต้องมานั่งอยู่ที่นี่ในวันนี้แบบนี้

“กูขอร้องล่ะซัน กูทนไม่ไหวอีกแล้ว มึงบอกกูมาเถอะ ว่าไอ้สิ่งที่กูเห็นนั่นมันหมายความว่ายังไง ทำไมมึงถึงทำแบบนั้นลงไป มึงทำไปเพราะเพื่อที่จะประชดกูอย่างนั้นเหรอ หรือว่าเป็นเพราะมึงเมา มันยังไงกันแน่”

ใช่แล้ว ถ้ามันเป็นเพราะเหตุผลนี้ ผมก็อาจจะยังพอรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง ถึงจะแค่นิดหน่อยก็เถอะ

“เปล่า กูไม่ทำอะไรลงไปเพราะประชดหรอก มึงก็รู้นิสัยกู” ไอ้ซันส่ายหน้า และผมก็รู้สึกถึงน้ำตาของตัวเองที่เริ่มเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงต้องพยายามกล้ำกลืนมันลงไปไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้มันเห็น “และก็ไม่ใช่เพราะกูเมาด้วย..........”

“มึงบอกกูว่ากูรู้นิสัยมึงอย่างนั้นเหรอ ไอ้ซัน ถ้ากูรู้จริง ตอนนี้กูจะมานั่งถามประโยคเมื่อกี๊กับมึงอยู่มั๊ย” ผมถามออกไปและพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้มากที่สุด “มึงเห็นแหวนวงนี้มั๊ย ซัน” ผมชูแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของผมขึ้น “มึงรู้มั๊ยว่ากูถอดมันออกไปครั้งหนึ่งแล้วด้วยซ้ำนะ แต่สุดท้ายกูก็สวมมันกลับลงไปอีกพร้อมกับความหวังที่กูจะได้ยินคำตอบที่แตกต่างออกไปจากนี้ แล้วมึงล่ะ มึงยังคงทำเรื่องแบบนั้นได้ทั้งๆที่มึงก็สวมแหวนของแม่กูอยู่อย่างนั้นน่ะเหรอ”

“กูขอโทษ เมฆ แต่ว่ากู..........” ไอ้ซันนิ่งเงียบลงไปเหมือนกับไม่รู้จะหาคำมาอธิบายความรู้สึกของตัวเองหรือสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดอยู่ยังไง

“แต่ว่ามึงทำไม......... มึงบอกกูมาสิว่ามึงคิดยังไงอยู่กันแน่ มึงรักกูบ้างมั๊ยซัน กูขอร้องล่ะนะ มึงบอกความจริงกูมาเถอะ อย่าทรมานกูอยู่อย่างนี้เลย” ผมพูดออกไปอย่างอ่อนใจ “มึงคิดยังไงกับไอ้แบ๊งค์กันแน่ มึงชอบมันจริงๆอย่างนั้นเหรอ”

ไอ้ซันเบือนหน้าหนีผมไปเล็กน้อยก่อนจะหันมาสบตากับผมด้วยสายตาที่ปวดร้าวแต่ก็แลดูมุ่งมั่นในขณะเดียวกัน “บางทีมันอาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆก็ได้..........”


..................................

ผมมันทำพลาดไปเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเลย......... ผมไม่น่าจะทำร้ายจิตใจของไอ้เมฆเพราะเรื่องนี้เลยจริงๆ และผมก็ไม่สามารถห้ามความคิดชั่วๆของตัวเองที่ว่า ถ้าแค่มันไม่มาเห็นตอนที่ผมจูบกับไอ้แบ๊งค์นั่นล่ะก็........ เรื่องทุกอย่างมันก็อาจจะง่ายกว่านี้เยอะแล้วก็ได้

ใช่......... ผมอาจจะเป็นฝ่ายเดินจากมันไปได้ง่ายกว่านี้ก็เป็นได้

“กูไม่ได้ตั้งใจจะให้มึงมาเห็นไอ้สิ่งที่มึงเห็นเลยจริงๆ”

ไอ้เมฆนั่งนิ่งไปด้วยสีหน้าแบบเดียวกับตอนที่มันเห็นผมจูบกับไอ้แบ๊งค์เมื่อคืนนี้อีกครั้งทันที แต่ทว่าก็ยังคงเป็นสีหน้าที่มั่นคงและสงบนิ่งที่สุดเท่าที่ผมเห็นมาวันนี้เลยทีเดียว

“มึงไม่ได้ตั้งใจให้กูเห็นอย่างนั้นเหรอ..........” ทันทีที่มันพูดขึ้น ความเจ็บปวดทั้งหมดที่หายไปครู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งทั้งในแววตาและนำเสียงของมันอีกครั้ง

และมันก็กำลังฉีกหัวใจของผมออกเป็นชิ้นๆเช่นกัน

“มึงหมายถึงว่าถ้ากูไม่รู้เรื่องพวกนี้ มึงกับมันก็คงจะ..........” ไอ้เมฆหยุด หลับตาและก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อรวบรวมบางอย่างข้างในออกมาก่อนจะพูดต่อ “ก็คงจะมีความสุขกันไปมากกว่านี้แล้วสินะ มึงก็คงจะมีอะไรกับมันได้โดยไม่ต้องมาคิดถึง ไม่ต้องมาพะวงถึงความรู้สึกของกูแบบนั้นใช่มั๊ย”

“กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” ผมปฏิเสธ

“แต่มึงยืนยันว่าที่มึงทำนั้นมึงทำลงไปเพราะความเต็มใจ มึงทำลงไปทั้งๆที่รู้ตัว และสิ่งที่มึงพูดมาก็เป็นความจริงทั้งหมดอย่างนั้นใช่มั๊ย”

ผมนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าออกมา รู้ตัวว่าสิ่งที่กำลังจะมาถึงนั้นคืออะไร และน้ำตาที่ถูกเก็บเอาไว้ภายในก็เริ่มจะก่อตัวขึ้นเรื่อยๆแล้วด้วยเช่นกัน...........

ในที่สุดช่วงเวลานี้ก็มาถึง.......... แต่ว่าผมไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นเลยจริงๆ

ใครเล่าจะรู้บ้างว่าเมื่อยามที่ท้องฟ้าและพระอาทิตย์ต้องร่ำไห้ให้กับการสูญเสียก้อนเมฆอันเป็นที่รักนั้น มันเจ็บปวดมากเพียงใด.............



................................................................................................

เธอจะมองสายตาของฉันนานๆได้ไหม แฝงอะไรข้างใน
อยากให้เธอค้นหา  เธอนั้นก็จะเข้าใจว่า ฉันกำลังปวดร้าว
เมื่อจะไม่ได้เห็นเธอ เพราะเธอจะทิ้งฉันไปหาเขา
และก็คงไม่เหลือแม้เงา ต้องมองดูเธอเดินไป ด้วยดวงใจที่บอบช้ำ

อยากให้เธอรู้ ให้เธอเห็น ว่าฉันเป็นอย่างไร เมื่อยามไม่มีเธอ
อยากให้เธอรู้ ได้ยินไหม หากฉันต้องขาดเธอก็คงต้องเสียใจ เพราะรักเธอ..........

หากเธอมองสายตา แล้วย้อนเวลากลับไป ถึงที่เคยผูกพัน
ที่เราเคยรักกัน เธอนั้นก็จะเข้าใจ ว่าฉันกำลังปวดร้าว
เมื่อจะไม่ได้เห็นเธอ เพราะเธอจะทิ้งฉันไปหาเขา
และก็คงไม่เหลือแม้เงา ต้องมองดูเธอเดินไป ด้วยดวงใจที่บอบช้ำ

อยากให้เธอรู้ ให้เธอเห็น ว่าฉันเป็นอย่างไร เมื่อยามไม่มีเธอ
อยากให้เธอรู้ ได้ยินไหม หากฉันต้องขาดเธอ ก็คงต้องเสียใจ
อยากให้เธอรู้ ให้เธอเห็น ว่าฉันเป็นอย่างไร เมื่อยามไม่มีเธอ
อยากให้เธอรู้ ได้ยินไหม หากฉันต้องขาดเธอ ก็คงต้องเสียใจเพราะรักเธอ..........


................................................................................................





ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10

niph

  • บุคคลทั่วไป
ดูท่าทางเรื่องจะไปกันใหญ่แล้วนะ
แบบนี้ต่อให้เจอคนบงการก็คงช่วยอะไรไม่ได้

และจากการอ่านรวบยอด จากวินาทีที่ 35
อ้างถึง
“แล้วตอนนี้มึงได้อะไรไปแล้วบ้าง พยายามบอกมาให้หมด อย่าให้กูต้องยิงออกไปอีกหนึ่งนัด” พี่วินถาม

“กูรู้แค่ว่าตอนนี้การเคลื่อนไหวของไอ้หน้าอ่อน...... ของไอ้เมฆนี่เป็นไปตามที่นายกูเค้าต้องการทุกอย่างเท่านั้นเอง”

“แล้วเรื่องของคนที่ตามซันอยู่ล่ะ มึงคิดจะพูดเองมั๊ย” พี่จ๊อบถามพร้อมกับทำท่าจะเหนี่ยวไก “หรือจะให้กูถาม”

“เดี๋ยวๆๆ! กูกำลังจะบอกอยู่แล้วนี่ไง!” ไอ้หัวเกรียนรีบพูดเมื่อเห็นปืนที่ถูกเลื่อนมาเล็งอยู่ที่หัวไหล่อีกข้างของตัวเอง “เพื่อนกูมันบอกมาแล้วว่าตอนนี้แฟนของมัน ไอ้คนที่ชื่อซันน่ะ ขนของออกจากบ้านไปแล้ว แต่นอกนั้นกูก็ไม่รู้แล้วจริงๆ! กูสาบาน!!”

เอ้อ เหตุการณ์นี้ ... เมฆกะพี่วินมะใช่เหรอ ... พลาดอีกแระนะ  :m12:


ปล. มันยังจะมีอะไรมาพลิกผันอีกมั๊ยเนี่ย

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
^
^

แอ๊ยยยย ขอโทษคับ พลาดอีกแล้ว!!

เสือกเอาของเก่าในคอมมาโพส ไม่ใช่ใน flash drive

 :serius2: :serius2: :serius2:

อายยๆๆๆๆ

 :a6: :a6: :a6: :a6:


ออฟไลน์ Ryuse

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +69/-1
เฮ้อ...........................................................................................

ขอบคุณครับ คุณเพชรฌฆาต

คำถามปองได้คำตอบแล้ว

วินาทีสุดท้ายก็จริง แต่ . . . สุดท้ายจริงเหรอครับ :a6:

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
พี่ช๊ายยยยยย
มาทิ้งระเบิดไว้อีกนะ
เกลียดดดดดๆๆๆๆๆๆๆ :m16:

อย่ามาทำให้พี่เมฆของผมต้องเปนแบบนี้นะ
เกลียดเว้ยยยยยยยยยยยย

ปล. ทำไมชอบไปเที่ยวกานตอนน้องสอบฟร้าาาาาาาาาาาา
โอ๊ยๆๆๆ อารมณ์เสียๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
เฮ้อ อ่านแล้วปวดหัวใจ ปวดตับลามไปถึงม้ามเลย :o12:

กลุ้มใจจัง :o12:

nartch

  • บุคคลทั่วไป
ต่อมรับรู้ภาษาไทยฉานผิดพลาดรึเปล่า    :a5:
จับใจความได้ว่าซันตั้งใจจูบแบงค์....ไม่มีอะไรแก้ตัว
แล้วมันคืออะไร ... กำลังทำอะไรกันแน่...
 :serius2:    คนอ่านหรือเมฆจะตายก่อนว้า.... :m15:


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ก่อนที่นาฬิกาจะหยุดเดิน.......


ความในใจของท้องฟ้า
ความเจ็บปวดของก้อนเมฆ
ความเสียใจของพระอาทิตย์
ความสูญเสียของก้อนหิน..........

และ “น้ำตา” ที่พาทุกสิ่งไปสู่จุดสุดท้ายของการเดินทาง

.
.
.

มันต้องเป็นแบบนี้จริงๆน่ะหรือ........

ผมเฝ้าถามตัวเองมาตลอดเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าความรักอย่างเดียวมันทำให้คนอยู่ด้วยกันไม่ได้ แล้วทำไมผมกับมันที่อยู่ด้วยกันมาตลอดสามสี่ปีถึงกลับต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ด้วย ความรักเราก็มีให้กัน ความผูกพันเราก็มีไม่แพ้คู่ไหนๆ ถ้าอย่างนั้นแล้วเรายังขาดอะไรอยู่กันอีก........

หรือบางทีผมอาจจะรู้ตัวแต่ไม่อยากยอมรับมันก็เป็นได้

“มึงจะเอาอย่างนี้จริงๆใช่มั๊ย เมฆ” ผมถามออกไปอีกครั้ง

“กูคิดว่ามันอาจจะดีที่สุดสำหรับเราสองคนแล้ว”

มันเป็นแบบนี้จริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเมฆเป็นคนที่เข้มแข็งกว่าที่ผมและคนอื่นๆคิดอยู่เสมอ และในวันนี้ก็ด้วยเช่นกัน สิ่งที่ผมทำได้ก็มีเพียงแค่ทำในสิ่งที่สถานการณ์และอารมณ์มันพาไป ส่วนเหตุผลคืออะไรน่ะหรือ ผมไม่รู้หรอก ผมมันโง่ ผมมันดิบ และหยาบกระด้าง ผมอาจจะทำพลาด ไม่สิ ผมมันทำพลาดไปเอง ผมจะโทษใครได้ ถ้าความรักและความสัมพันธ์ของเรามันจะจบลง ผมก็คงต้องทนยอมรับมันแต่เพียงเท่านั้น

เมฆค่อยๆดึงแหวนออกจากนิ้วนางข้างซ้ายช้าๆแล้ววางมันลงบนโต๊ะ ส่วนผมเองก็ทำเช่นเดียวกัน แหวนสองวงนี้เป็นแหวนของครอบครัวของมัน และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่มันจะกลับคืนสู่เจ้าของที่แท้จริง มันไม่สมควรจะมาอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของผมอีกต่อไป

ผมรู้สึกว่าน้ำตาของผมมันกำลังก่อตัวอยู่ภายในอกจนผมต้องพยายามกล้ำกลืนมันลงไป ผมไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น ผมไม่อยากจะให้เมฆเห็นความอ่อนแอของผม ผมเป็นท้องฟ้าที่ยิ่งใหญ่ ผมเป็นพระอาทิตย์ที่สาดแสง เพราะฉะนั้นผมก็ควรจะเป็นคนที่มั่นคงที่สุดสิ จนเมื่อแหวนหลุดออกมาจากนิ้วนางของผมแล้ว ผมก็วางมันลงบนโต๊ะข้างๆกับแหวนของมัน และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของคนที่ผมรัก ผมก็เห็นน้ำตาหยดใสๆกำลังไหลรินลงมาบนแก้มของเขา

ถึงเราจะกำลังนั่งกันอยู่ในร้านอาหารในห้างชื่อดังแห่งหนึ่ง ถึงรอบข้างของเราสองคนจะมีผู้คนเดินผ่านวนเวียนกันอยู่ไปมามากมาย ถึงเสียงรอบข้างจะจอแจและอื้ออึง แต่เมื่อผมเห็นน้ำตาของมันแล้ว ทุกๆสิ่งรอบตัวของผมเหล่านั้นมันก็ไม่ต่างจากอากาศธาตุที่อยู่ห่างไกลราวกับอยู่คนละมิติกับช่วงเวลาของเราสองคนในตอนนี้เลย

ผมค่อยๆเอื้อมมือออกไปช้าๆหมายจะจับมือของมันมากุมเอาไว้......... อาจจะเป็นการกุมมือครั้งสุดท้าย ผมไม่รู้หรอก และผมก็ภาวนาไม่ให้มันเป็นแบบนั้นด้วย แต่ทว่าเมฆก็ชักมือกลับไปเสียก่อน มันยกมือทั้งสองข้างขึ้นจับสร้อยคอที่ห้อยอยู่รอบคอ ผมรู้ทันทีว่ามันกำลังจะทำอะไร และหัวใจของผมก็กำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ต่างจากเมื่อคราวที่ผมต้องเห็นใบหน้ายามหลับของมันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ผมจะต้องขึ้นเครื่องบินจากคนที่ผมรักไปไกลเมื่อหลายปีก่อนนั้น

“เมฆ กูขอร้อง กูขอแค่เพียงอย่างเดียว อย่างสุดท้ายก็ได้ มึงอย่าเพิ่งถอดสร้อยเส้นนั้นออกมาจะได้มั๊ย” ผมรีบร้องห้าม

สร้อยคอเส้นนั้นเป็นสร้อยทำเองของเราสองคน จี้ของมันคือก้อนหินสีดำเนียนก้อนเล็กพอดีๆก้อนหนึ่งที่เราเก็บได้มาจากชายหาดเมื่อครั้งที่เราไปเที่ยวทะเลครั้งแรกหลังจากที่เรากลับมาถึงประเทศไทย ส่วนผมก็มีสร้อยคอแบบเดียวกันนั้นเช่นกัน เพียงแต่ของผมเป็นก้อนหินสีขาว แสดงให้เห็นถึงว่าผมมีมันที่เปรียบเป็นความขาวบริสุทธิ์อยู่ข้างกายตลอดเวลา ส่วนมันก็จะมีผมที่เป็นสีดำอันมั่นคงและอบอุ่นอยู่กับตัวเองตลอดเวลาด้วยเช่นกัน และไม่ว่ายังไงก็ตาม ถึงเรื่องของเรามันอาจจะจบ ถึงผมจะยอมถอดแหวนออก แต่ผมก็ยอมที่จะเห็นส่วนหนึ่งของผมที่อยู่เคียงข้างมันมาตลอดต้องพรากจากคนอันเป็นที่รักของผมไปตลอดกาลไม่ได้จริงๆ

“อย่างน้อยๆก็จนกว่าทุกอย่างมันจะชัดเจนนะ เมฆ ถือว่าเป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายจากกูแล้วกัน” ผมอ้อนวอนอีกครั้ง

“ก็ได้.......” เมฆลดมือลง ดวงตาของมันมีแววเจ็บปวด ซึ่งผมคิดว่าตอนนี้ จากเรื่องทุกอย่างทั้งหมดนี่ มันเองก็คงเจ็บปวดไปไม่น้อยกว่าผมสักเท่าไหร่หรอก ไม่สิ มันเองต่างหากที่เจ็บปวดมากยิ่งไปกว่าผมเสียอีก “กูรักมึงนะซัน มึงก็รู้ใช่มั๊ย.........”

“อืม กูรู้”

“กูไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย ให้ตายสิ ซัน กูรักมึงจริงๆ.......” เสียงของเมฆเริ่มสั่นเครือ และน้ำตาก็เริ่มปริ่มอยู่ที่ขอบตาของมันอีกครั้ง

“กูก็รักมึง เมฆ.......” ผมพูดออกไป แต่เมฆกลับส่ายหัว “มึงไม่เชื่อกูงั้นเหรอ”

“กูไม่รู้...... กูไม่รู้จริงๆ กูไม่รู้ว่าเรามาเป็นแบบนี้กันได้ยังไง ทำไมระหว่างเรามันถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย”

“กูก็เหมือนกัน...... แต่กูรักมึงจริงๆนะ ถึงยังไงๆกูก็รักมึง มันอาจจะฟังดูยากที่ให้เชื่อแบบนั้น แต่มันก็เป็นความจริง”

“พอเหอะ ซัน ตอนนี้เราสองคนอาจจะต้องการระยะห่างกันบ้างแล้ว เราคงอยู่ด้วยกันมามากเกินไป ถ้าหากว่าในแก้วมันมีน้ำใส่อยู่จนเต็มแล้ว ต่อให้มึงพยายามที่จะรินน้ำเพิ่มลงไปอีกสักเท่าไหร่มันก็คงมีแต่ล้นออกมาเท่านั้นเอง บางทีเราสองคนคงจะไม่ใช่เข็มนาฬิกาที่เดินอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาเรือนเดียวกันอีกต่อไปแล้วก็ได้ ถึงเวลาแล้วที่เวลาของเราคงจะต้องไหลไปแบบไม่เท่ากันอีกครั้ง”

ผมก้มหน้าลงแล้วกำหมัดแน่น รู้สึกอยากจะร้องตะโกนแล้วกระโดดตึกลงไปตายซะตรงนี้ตอนนี้เลย แต่ผมก็รู้ว่าคนที่เจ็บปวดที่สุดนั้นไม่ใช่ผม แต่เป็นไอ้เมฆคนนี้ต่างหาก

เมฆหยิบแหวนใส่กระเป๋าเสื้อแล้วลุกขึ้นยืน ผมรีบเงยหน้ามองใบหน้าของมันอีกครั้งทันที และหวังว่านี่คงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มองหน้ามันแบบนี้ด้วย

“เราจะได้เจอกันอีกครั้งใช่มั๊ย” ผมถามอย่างมีความหวัง

เมฆยิ้มน้อยๆให้แก่ผม เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมานานแล้วเหลือเกิน และเป็นรอยยิ้มที่กรีดลึกเข้าไปจนถึงขั้วหัวใจของผมด้วยเช่นกัน

“เมื่อไหร่ที่ขอบฟ้าของเราคือขอบฟ้าเดียวกันอีกครั้ง เมื่อนั้นกูกับมึงก็คงจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก ซัน”

เมื่อพูดจบ เมฆก็หันหลังกลับแล้วทำท่าจะเดินออกไป จนผมต้องรีบเรียกให้มันหยุดอีกครั้ง

“เดี๋ยวเมฆ........ กูขอถามอีกแค่คำถามเดียว”

เมฆหยุดอยู่กับที่ แต่ก็ไม่ได้หันกลับมามองผมเลย

“มึงเชื่อมั๊ย ว่ากูรักมึง ไม่สิ กูรู้ว่ามึงก็เชื่อ กูมั่นใจว่ามึงรู้ว่ากูรักมึงมากแค่ไหน และไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปนับแต่วันแรกที่เราพบกัน กูก็ยังคงรักมึงอยู่ตลอดเวลา และจะยังรักแบบนี้ตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนด้วย........ แต่ว่ามึงจะยังคงเก็บรักษาความรักนั้นไว้ให้กูต่อไปได้มั๊ย เก็บมันไว้จนกว่าท้องฟ้ากับก้อนเมฆจะได้ลอยอยู่เคียงคู่กันอีกครั้ง”

เมฆยืนนิ่งอยู่ราวๆหนึ่งนาที แต่ก็ดูยาวนานราวกับหนึ่งชั่วโมง จากนั้นเขาก็หันกลับมามองผมด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น

“ตราบจนขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที ซัน ตราบจนกว่าขอบฟ้าจะสั้นกว่าเข็มวินาที...........”

เมื่อพูดจบ เมฆก็หันหลังเดินจากไป...... จากไปพร้อมกับลมหายใจและสายใยสุดท้ายของท้องฟ้าที่พยายามจะเหนี่ยวรั้งก้อนเมฆของมันเอาไว้

ผมนั่งซบหน้าของตัวเองลงบนฝ่ามือแล้วปล่อยให้น้ำตามันไหลรินออกมาช้าๆ ผู้คนเดินผ่านไปมาแต่ผมไม่สนใจ ผู้คนที่นั่งอยู่โต๊ะอื่นๆอาจจะสงสัย แต่ผมก็ไม่แคร์ ผมมันเลวเอง ผมมันเป็นท้องฟ้าที่เอาแต่ใจและไร้ความคิด กับไอ้แค่การเหนี่ยวรั้งความรักของผมเอาไว้ ผมก็ยังทำไม่ได้

และนับต่อจากนี้ ท้องฟ้าที่ไร้เมฆผืนนี้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรกัน...............




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด