วันสอบเสร็จ
วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายแล้วครับ และนี่ผมก็เพิ่งออกจากห้องสอบ วิชาสุดท้ายของผม รู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก อย่างที่เคยบอกว่าแม้ผมจะไม่ได้เก่งขนาดจะได้เกียรตินิยม แต่ผมก็น่าจะจบตามหลักสูตรพอดีนี่แหละครับ หลังจากเคร่งเครียดกันมาหลายวันก็กะว่าจะไปฉลองกันให้สุดเหวี่ยงไปเลยครับ ก็นัดกับพวกไอ้การ์ดไว้นี่แหละครับ
“เป็นไงทำได้ไหม”คนที่ผมนั่งรอเอ่ยถามขึ้นทันทีที่เดินมานั่งข้างๆ ผม พร้อมกับที่บรรดาไอ้การ์ดและเพื่อนๆ ที่ตามกันมาอย่างพร้อมเพรียง
“มึงจะไปถามมันทำไม ออกก่อนใครขนาดนี้ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ใช่ล่ะ”ไอ้การ์ดชิงตอบโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้อ้าปากเลยครับ แต่ก็จริง ของมันแหละครับ วิชานี้ผมทำได้ และค่อนข้างมั่นใจทีเดียว
“แล้วมึงทำไม่ได้หรือไงไอ้การ์ด ถึงมาแขวะสุดที่รักกูเนี่ย”โอ้ยไอ้นี่ก็ไม่ต้องย้ำมากก็ได้ ชาวบ้านเค้ารู้กันทั้งมหาวิทยาลัยแล้วว่าเราเป็นแฟนกัน ไม่ต้องมาพูดบ่อยๆ ครับคุณแฟน กูไม่ชิน
“แตะไม่ได้เลยนะ สุดที่รักมึงเนี่ย หมั่นไส้โว้ยยย”ไอ้การ์ดตะโกนพร้อมกับชูสองแขนเป็นระบายความหมั่นไส้ แต่คนอื่นๆ ได้แต่ส่ายหน้าหน่ายๆ กับพฤติกรรมของไอ้การ์ด
“พอๆ สอบเสร็จแล้ว ตกลงเย็นนี้ว่าไงคร๊าบทุกๆ คน เจอกันที่เดิมนะ ใครไม่ไปเลิกคบ”ผมรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่บทสนทนามันจะวนอยู่ที่ความสัมพันธ์ของผมกับไอ้เชษซ์
“จัดไปสิครับเพื่อนตี๊ฟ ถ้าคืนนี้ไม่เมาเหมือนหมาก็อย่ามาเรียกกูว่าการ์ด”เดี๋ยวๆ ครับ นั่นมันน่าภูมิใจตรงไหนกันครับไอ้เมาเหมือนหมาเนี่ย
พวกเรานัดแนะเรื่องเวลากันอีกเล็กน้อยก็แยกย้ายกันกลับ ก็ค่อยไปเจอกันอีกทีช่วงค่ำๆ จะว่าไปก็ใจหายเหมือนกันนะครับ อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี เจอกันแทบจะทุกวัน แต่จากนี้ไปหลังจากเรียนจบ แต่ละคนก็ต้องแยกย้ายกันไป เพื่อนๆ หลายๆ คนก็ได้งานเรียบร้อย เตรียมตัวไปทำงานกันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ส่วนผมด้วยความที่เกรดอาจจะไม่ได้สวยหรู เลยกะว่าคงทำงานก่อน สักปีสองปี แล้วค่อยเรียนต่ออีกที แหละครับ ไม่ได้รีบร้อนอะไร ส่วนงานก็คงเข้าไปช่วยงานที่บ้านนั่นแหละครับ ส่วนไอ้คุณแฟนผมเนี่ยคุณชายท่านวางแผนเรียนต่อไว้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วละครับ
“ตี๊ฟ”อยู่ๆ พ่อพนักงานคนขับรถกิตติมศักดิ์ของผมก็ลงจากรถตามมาเรียกผมที่กำลังจะเดินเข้าบ้าน
“หืม...ว่าไง”ผมหันไปตอบด้วยความสงสัยหน่อยๆ เพราะฟังน้ำเสียงที่เรียกชื่อผม ดูจะมีความกังวลอยู่ในน้ำเสียงนั้น
“น้าชาเล่าให้ฟังว่ามึงถามถึงเรื่องแม่กูเหรอ”เอาแล้วไง นี่โกรธผมหรือเปล่าว่ะเนี่ย จริงๆ จากวันที่ผมเคยถามน้าชาไป ก็กะว่าจะมาถามไอ้เชษฐ์มันอยู่เหมือนกันแหละครับ แต่จากที่น้าชาบอกว่าเชษฐ์มันก็ตั้งใจจะบอกผมอยู่แล้ว ผมเลยรอให้มันเล่าเอง ไม่ได้อะไรกับเรื่องนี้อีก
“อืม...มึงไม่ชอบหรือเปล่าที่กูไปถามเรื่องนี้กับน้าชา ถ้าไม่ชอบกูก็ขอโทษแล้วกันนะ”คือไม่รู้มันจะเคืองอะไรหรือเปล่าแต่ผมก็ชิงขอโทษไว้ก่อนแล้วกันครับ ถือว่าขอโทษก่อนได้เปรียบ
“ไม่ต้องขอโทษหรอก กูต่างหากที่น่าจะเป็นคนต้องขอโทษ ที่ไม่ได้เล่าให้มึงฟังตั้งแต่แรก”พอได้ยินไอ้เชษฐ์พูดแบบนี้ผมก็แอบหวั่นๆ เหมือนกันนะครับ คือจากตอนแรกก็คิดแหละครับว่าคุณแม่ของไอ้เชษฐ์อาจจะคล้ายๆ กรณีเหมือนน้าชาในตอนแรก ที่จะไม่ยอมให้ผมกับไอ้เชษฐ์คบกันต่อ แต่พอเห็นไอ้เชษฐ์เว้นระยะในการคุยเรื่องนี้กับผมมานานเลยคิดว่า มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หรือไม่ก็มีการปรับความเข้าใจกันไปแล้ว แต่พอดูทีท่าของมันวันนี้ ทำให้ผมหวั่นๆ ใจว่าจริงๆ แล้วอาจจะมีปัญหาใหญ่ก็ได้ แต่เมื่อมาถึงขนาดนี้ก็ไม่มีอะไรที่ผมต้องกลัวอีกแล้วละครับ ผมมีเวลาเตรียมใจกับเรื่องนี้มานานแล้ว ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรผมก็พร้อมที่จะเผชิญกับมัน
“แล้วตอนนี้พร้อมเล่าแล้วเหรอ”ผมพยายามปรับเสียงให้ดูสบายๆ เพราะไม่อยากกดดันทั้งตัวผมเอง และก็ไอ้เชษฐ์ด้วย
“เข้าไปนั่งคุยในบ้านแล้วกัน”ไอ้เชษฐ์บอกก่อนจะเปิดประตูเดินนำผมเข้าบ้าน ว่าแต่นี่บ้านใครกันแน่ ทำไมมันทำตัวยังกะเจ้าของบ้านเนี่ย
“ว่ามากูพร้อมฟังแล้ว”ผมนั่งจ้องอีกฝ่ายที่ยังเหมือนอ้ำอึ้งไม่ยอมเล่าเสียที
“คือตอนแรก ที่แม่กูรู้เรื่องที่เราสองคนคบกัน แม่กูเค้าก็ไม่ยอมรับ และว่าจะมารับกูไปอยู่ด้วยตั้งแต่ตอนที่รู้เลย”สรุปนี่ผมโดนแม่สามีไม่ปลื้มตั้งแต่ยังไม่เคยเจอกันเลยเหรอนี่ โถชีวิตไอ้ตี๊ฟ ว่าแต่นี่มันใช่เวลาที่ผมต้องมาไร้สาระไหมเนี่ย
“แต่น้าชาขอไว้ว่า ไหนๆ กูก็จะเรียนจบแล้ว ก็ให้เรียนให้จบก่อน เป็นการถ่วงเวลาในการตกลงกับแม่ว่ากูจะไม่ไปอยู่เมืองนอก”มาถึงตรงนี้ ผมชักเริ่มเครียดจริงๆ แล้วสิครับ เพราะถ้าให้ผมเดา ผมขอเดาว่าที่มันไม่ยอมเล่าให้ผมฟังเพราะคิดว่าจะกล่อมคุณแม่ให้ยอมรับเรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคน แล้วค่อยมาบอกผมหลังจากที่คุณแม่ยอมเข้าใจแล้วแต่ที่เห็นวันนี้กับท่าทางของไอ้เชษฐ์ผมแทบจะมั่นใจได้เลย ว่ามันตกลงกับคุณแม่ไม่ได้
“สรุปว่ามึงต้องย้ายไปเมืองนอกเหรอ”ผมเอ่ยถามออกไปเสียงแผ่ว
“มันก็ไม่เชิงหรอก”
“แล้วมันยังไง แล้วทำไมมึงเพิ่งจะมาบอกกูตอนนี้”ผมเผลอขึ้นเสียงเล็กน้อย ด้วยความรู้สึกน้อยใจ กังวล เสียใจ มันตีกันปนเปไปหมด ผมพยายามคิดมาตลอดว่าคงไม่ได้มีปัญหาอะไรที่ใหญ่โต และทั้งที่เราเคยตกลงกันว่าไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร ก็จะฝ่าฝันไปด้วยกัน แต่นี่มันไม่แม้แต่จะเล่าให้ผมฟัง จนนี่มันอาจจะมาถึงทางตันแล้วถึงมาเล่าให้ผมฟัง
“มึงฟังกูให้จบก่อนได้ไหม”ผมพยายามสูดลมหายใจเข้า เพื่อพยายามปรับอารมณ์ให้เย็นลง ก่อนจะนั่งเงียบๆ รอฟัง
“ตอนแรกแม่กูก็ไม่ยอมท่าเดียว จะให้กูไปอยู่กับเค้าเพราะต้องการให้เราสองคนเลิกกัน แต่น้าชาก็ช่วยพูด และน้าชาก็เอาเรื่องกฎ 100 วันที่น้าชาตั้งให้เรา เล่าให้แม่กูฟัง ว่าน้าชาจะทำการพิสูจน์ ว่าเราจริงใจต่อกันจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ แม่กูก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี จนน้าชาต้องมีข้อเสนอใหม่ให้กับแม่กู”ไอ้เชษฐ์หยุดเว้นวรรค มองหน้าผมเหมือนกำลังลำบากใจที่จะพูดต่อ
“มึงจำที่กูบอกหลังจากเรียนจบนี่จะเรียนต่อเลยได้ใช่ไหม”ขออย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย ผมได้แต่พยักหน้าให้มัน เพราะจำได้อยู่แล้วเรื่องที่ไอ้เชษฐ์มันจะเรียนต่อ
“น้าชายื่นข้อเสนอให้แม่กู ว่าจะให้กูไปเรียนต่อที่เมืองนอกกับแม่กู แล้วถ้าเรียนจบทั้งกูและมึงยังไม่เปลี่ยนใจไปมีคนอื่น แม่กูจะยอมให้เราสองคนคบกันได้”พอฟังจบผมไม่รู้จะรู้สึกยังไงดี จะดีใจ เสียใจ บอกไม่ถูกจริงๆ ครับ มันงงๆ เบลอๆ เพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อดี ผมจะทนห่างกับมันได้เป็นปีๆ ไหม หรือผมจะตามมันไปเรียนต่อ ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะผมไม่ได้วางแผนเรื่องนี้ไว้เลย
“แล้วมึงต้องไปเมื่อไหร่”ผมถามออกไปเสียงเรียบ
“เร็วที่สุดภายในเดือนสองเดือนนี้แหละ กูขอโทษที่ไม่ได้บอกมึงแต่เนิ่นๆ กูยอมรับเลยว่ากังกูกังวล ยิ่งเรื่องของกูมันมาซ้ำรอยในสิ่งที่มึงเคยเจอมา มันยิ่งทำให้กูกังวล กูกลัวมึงจะทำกับกูเหมือนที่มึงเคยทำกับมันส์ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น กูก็คงทนไม่ได้ แต่ถ้าจะให้กูขัดคำสั่งแม่ ตัดแม่ตัดลูกกันกูก็คงทำไม่ได้เช่นกัน เพราะเค้าก็เป็นผู้ให้กำเนิดกู”พอได้ยินมันพูดแบบนี้และท่าทีเศร้าๆ ของมันแล้วจากตอนแรกที่อยากจะโกรธมัน ที่เพิ่งมาเล่าให้ผมฟัง ก็กลายเป็นว่าไม่กล้าโกรธมันเลยครับ
“แล้วถ้ากูจะตามไปเรียนต่อกับมึงด้วยล่ะ”ผมลองถามเผื่อไว้เพราะถ้าผมบอกกับที่บ้านว่าอยากเรียนต่อ พ่อกับแม่ผมก็คงไม่ได้ติดปัญหาอะไร แต่อาจจะต้องคุยกันยาว ถ้าต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ
“คงจะไม่ได้ เพราะเป็นหนึ่งในข้อตกลง ว่าห้ามมึงไปเรียนต่อที่เดียวกับกู”โหดเหมือนกันนะเนี่ยครับคุณแม่ แต่คุณแม่คอยดูเถอะว่าผมนี่แหละจะพิสูจน์ให้ดูว่าเราสองคนจริงจังกันแค่ไหน
“อืม โอเค โอเค”ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องเลิกกันถูกไหม”ผมพูดติดตลก
“มึงจะรอกูใช่ไหม”ไอ้เชษฐ์เอื้อมมือมากุมมือผม พร้อมกับขยับเข้ามาใกล้ๆ มองตาผมเพื่อขำคำยืนยัน
“ขอมีกิ๊กได้ป่ะ”ผมแกล้งพูดแหย่ เพราะไม่อยากให้มันเครียดมากเกินไป เอาจริงๆ ผมก็ใจเสียไปเหมือนกันแหละครับย แต่อย่างที่บอกว่าผมเตรียมใจมาพักใหญ่แล้ว ต่อให้มาถึงขั้นว่าคุณแม่จะยืนยันให้เราสองคนเลิกกันผมก็พร้อมรับมือ เพราะงั้นตอนนี้ผมอยากทำให้คนตรงหน้าสบายใจขึ้นมากกว่า อีกอย่างตัวไอ้เชษฐ์เองก็คงเครียดกับเรื่องนี้มาพอสมควรแล้วแหละครับ
“ไม่ได้ ห้ามมีเด็ดขาด”ดูทำท่าขึงขังเข้า แค่พูดเล่นนะเนี่ย แฟนน่ารักขนาดนี้ใครจะไปอยากมีคนอื่นกันละครับ กว่าจะได้มาเจอคนที่จริงใจกับเราขนาดนี้ เจอแล้วใครจะยอมปล่อยให้หลุดมือไปได้กันเล่า
ไอ้เชษฐ์ค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาหาผม ก่อนจะประทับจูบที่อ่อนโยนนั้นมาที่ริมฝีปากของผม เราต่างส่งผ่านความรู้สึกมากมายให้แก่กันและกัน เราอาจจะมีเวลาเหลือที่จะใช้ด้วยกันอีกไม่มากในตอนนี้ แต่เพื่อการยอมรับจากผู้ใหญ่ในทุกๆ ฝ่าย เราก็ต้องยอมแลกกับการแยกจากเพียงชั่วคราว เพื่อการจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป
“มาช้ากันนะครับผัวเมียคู่นี้”ทันทีที่ผมกับไอ้เชษฐ์ถึงโต๊ะที่บรรดาไอ้การ์ดและชาวคณะมาถึงก่อนแล้ว เสียงทักทายของจ่าฝูงอย่างไอ้การ์ดก็ส่งเสียงมาทันทีครับ
“หวัดดีแหม๋ว สอบเป็นไงบ้าง”ผมหันไปทักทายหญิงสาวหนึ่งเดียวในโต๊ะแทนที่จะสนใจไอ้การ์ด เพราะไม่ได้เจอกับแหม๋วมาพักนึงแล้วเหมือนกัน แหม๋วเรียนคนละคณะกับพวกผม พอช่วงสอบก็ต่างคนต่างอ่านหนังสือ เลยไม่ค่อยเห็นแหม๋วมาหาไอ้การ์ดที่คณะเลย
“ก็ดีนะ ตี๊ฟล่ะ ทำได้ไหม”เราก็ทักทายพูดคุยกันอีกนิดหน่อย ก่อนจะโดนคนอื่นๆ แย่งพูดเพราะไอ้การ์ดและชาวคณะมาก่อนผมกับไอ้เชษฐ์พอสมควร มันเลยล่วงหน้าเมากันไปก่อนแล้ว ทีนี้ก็สนุกสนานกันเต็มที่ละครับ ก็ดื่มกันไปตะโกนคุยกันไป ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องตะโกนเพราะลานเบียร์เสียงเพลงเค้าก็ไม่ได้ดังขนาดว่าจะคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่อย่างว่าแหละครับพอเมาก็เริ่มเสียงดัง กัน แถมวันนี้อาจจะเป็นวันส่งท้ายที่จะได้มาดื่มกันพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้
เพราะจากนี้ไปก็อย่างที่บอกแหละครับ แต่ละคนก็ต้องแยกย้ายกันไป บางคนเรียนต่อ บางคนทำงาน และที่ทำงานของแต่ละคนก็อยู่กันคนละที่ กว่าจะได้รวมตัวกันอีกทีคงลำบากน่าดู
“กูมีเรื่องจะบอก”ไอ้เชษฐ์ยืนขึ้นจนทุกคนต้องหยุดพูด ไอ้นี่ก็ดูจะเป็นทางการไปนะ แต่เพื่อนทุกคนก็รอตั้งใจรอฟังกันยังกับรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญงั้นแหละ
“กูจะไปเรียนต่อเมืองนอก”พอไอ้เชษฐ์พูดจบ ทุกคนก็มีอาการแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะตอนแรกทุกคนก็เข้าใจว่าไอ้เชษฐ์จะเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ไทยนี่แหละครับ
“มึงไปด้วยป่ะว่ะตี๊ฟ”ไอ้การ์ดเป็นคนแรกที่หันมาถามผม และคนอื่นๆ ก็จ้องมาที่ผมเพื่อรอคำตอบ แต่ผมเพียงส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธว่าไม่ได้ไปก่อนจะกระดกแก้วเบียร์
“แล้วนี่ไปเมื่อไหร่ว่ะมึง”อยู่ๆ บรรยากาศก็เงียบผิดกับตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด
“ก็คงรอเรื่องอนุมัติจบอะไรเรียบร้อยเตรียมเอกสารเสร็จก็คงไปเลยมั้ง น่าจะเร็วๆ นี้แหละว่ะ”และก็อีกเช่นเคยที่พอไอ้เชษฐ์พูดจบทุกคนก็หันมามองหน้าผมแทบจะพร้อมเพรียงกันเลยทีเดียว นี่พวกมันเป็นอะไรกันนักกันหนา จากที่ตอนแรกผมจะไม่รู้สึกอะไรแล้วนะ แต่ตอนนี้พอโดนพวกมันบิ๊วมากๆ ผมชักจะเริ่มไม่โอเคขึ้นมาบ้างแล้วสิ
“ก็ถือว่าวันนี้เป็นการฉลองเลี้ยงส่งไอ้เชษฐ์ไปในตัวด้วยไง เพราะตอนจะไปพวกมึงอาจจะไม่ว่างมาฉลองด้วยกันแล้วก็ได้”ผมเอ่ยขึ้นยิ้มๆ พร้อมกับชูแก้วเป็นสัญญาณให้พวกมันทุกคนยกแก้วขึ้นมาชน
แล้วบทสนทนาก็กลายมาเป็นเรื่องที่ไอ้เชษฐ์จะไปเรียนต่อทันที จนในที่สุดไอ้เชษฐ์ก็ต้องเล่าให้เพื่อนๆ ทุกคนฟังว่าทำไมต้องไปเรียนต่อที่เมืองนอก
“ไปห้องน้ำก่อนนะ”ผมลุกออกจากโต๊ะเพราะยิ่งฟังเรื่องราว ทำไมมันยิ่งทำให้ผมเศร้าเนี่ย ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะเข้มแข็ง เพราะมันก็แค่การแยกกันชั่วคราว ผมรีบเดินให้เร็วที่สุดเพราะเหมือนน้ำตามันคลอขึ้นมาเสียแล้ว
ผมรีบปาดน้ำตาและล้างหน้าล้างตาทันทีที่ถึงห้องน้ำ ผมยืนมองตัวเองในกระจกห้องน้ำ พร้อมกับบอกตัวเองในใจ ว่าผมต้องผ่านการทดสอบนี้ไปให้ได้ ระยะเวลาแค่ ไม่เกิน 2-3 ปีที่เชษฐ์มันไปเรียน มันไม่นานหรอกน่า ผมพยายามบอกกับตัวเอง