บทที่ 30
แผนบุกปราสาท
ข้าตัดสินใจจะบุกเข้าไปในปราสาทเพื่อช่วยผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ หลังจากพักฟื้นกำลังและรอจนพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วจึงเริ่มเคลื่อนกำลังพล
ในตอนนี้ที่ปราสาทคงไม่ได้มีแค่พวกทหารอย่างเดียว ลูซัสอาจส่งลูกน้องของตัวเองมาแทรกซึมด้วย และนั่นจะทำให้การบุกเข้าไปยากขึ้นด้วย
เพราะข้าคุ้นชินเส้นทางในปราสาทมากกว่าใครในที่นี้จึงต้องเป็นคนวางแผนการทั้งหมด เส้นทางหลังปราสาทไม่ค่อยมีใครใช้ผ่าน และมีทหารเฝ้ายามอยู่น้อยจึงเหมาะที่จะเป็นทางเข้าไป ซ้ำยังใกล้กับทางไปคุกใต้ดินมากที่สุด ผู้ที่จะร่วมบุกกับข้าในครั้งนี้มีแค่พวกโซแวน คาร์ริต้ากับซีวาลทำหน้าที่เฝ้าอยู่ที่นี่
แผนการคือแบ่งคนเป็นสามฝ่าย ข้า โซแวน และเร็นเป็นคนบุกเข้าไปก่อน นอร์ธวินด์จัดการดึงความสนใจจากทหารด้านนอกกับวารันที่รอทำหน้าที่เป็นพาหนะ ส่วนอาคีรัสนั้นเป็นกำลังเสริมที่จะเข้าไปก็ต่อเมื่อใครคนหนึ่งเจอปัญหาที่คาดไม่ถึง
“เตรียมพร้อมแล้วใช่ไหม” โซแวนถามข้าขึ้นเมื่อใกล้ถึงเวลา ข้าที่ยืนคิดแผนการอื่นอยู่จึงได้หันไปมองก็พบความประหลาดอย่างหนึ่ง
เขาไม่ได้อยู่ในร่างมนุษย์ เป็นสัตว์ประหลาดที่รูปลักษณ์เป็นสิงโตผสมแพะ และมีหางเป็นงู สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคิเมร่า
“แปลกตาจัง” ข้าพึมพำขึ้นพลางส่งยิ้มให้ แล้วเดินเข้าไปลูบแผงคอของเขา ความอ่อนนุ่มของมันทำให้รู้สึกหลงใหลขึ้นมา เจ้าตัวพอโดนลูบแล้วก็ส่ายศีรษะไปมา
“อย่าลูบสิ”
“แย่จัง ขนเจ้าออกจะนุ่มแท้ๆ” ข้าเอ่ยอย่างเสียดายก่อนที่จะหันไปมองตามเสียงย่ำเท้าที่ใกล้เข้ามา พวกนอร์ธวินด์ก็เตรียมตัวเสร็จแล้ว และเดินเข้ามาสมทบ
อีกคนหนึ่งที่ข้าแปลกใจก็คือเร็น เคยรู้มาว่าเขาเป็นยูนิคอร์นแต่ก็เพิ่งเคยเห็นตอนเขาแปลงกายอย่างนี้
เร็นเป็นม้าขนสีขาวสะอาดทั้งตัว แผงคอเป็นสีทองสวย ดวงตาสีทอง แต่เขาบนหัวกลับหายไปหรือแต่ตอทำให้ข้าอดสงสัยไม่ได้
“เร็น เขานาย...”
“หักไปตอนโดนทำร้ายน่ะขอรับ แต่ก่อนมีความเชื่อว่าเขาของยูนิคอร์นสามารถนำไปปรุงยาอายุวัฒนะได้” เขาตอบเสียงเรียบ ข้าอดลูบหัวเขาด้วยเป็นห่วงไม่ได้แต่เจ้าตัวก็ยืนยันกลับมาว่า “แต่ไม่เป็นไรหรอกขอรับ เสียพลังไปส่วนหนึ่งแต่ข้าเชื่อว่าถ้าอยู่กับท่านก็ไม่เป็นอะไรแน่นอน”
“ข้าจะพยายามไม่ทำให้เจ้าผิดหวังนะ” ข้าเอ่ยขึ้นแล้วยิ้มให้ม้าตรงหน้า ก่อนที่จะถูกคิเมร่าตัวหนึ่งเดินเข้ามาชนแขนแล้วออกคำสั่งใส่
“รีบไปได้แล้ว”
“อื้ม” ข้าตอบรับแล้วขึ้นขี่หลังเร็น ทั้งโซแวนและเร็นต่างก็เป็นสัตว์ที่เคลื่อนที่ได้เร็วและไม่ได้เป็นจุดสนใจบนท้องฟ้ามากนัก เพราะซีวาลบอกว่าหลังจากวารันไปอาละวาดทำลายปราสาทในครั้งนั้น พวกทหารก็เพิ่มความระวังในส่วนของท้องฟ้ามากขึ้น
ข้าขี่หลังเร็นไปพร้อมกับอาคีรัส ส่วนนอร์ธวินด์กับวารันขี่โซแวนไป จริงๆ แล้วสองคนหลังไม่ค่อยพอใจเท่าไรโดยเฉพาะโซแวน แต่เร็นให้เหตุผลว่าตามธรรมเนียมแล้วยูนิคอร์นนั้นยอมให้ขี่แต่ผู้บริสุทธิ์เท่านั้น อาคีรัสนั้นถึงจะมีอายุหลายช่วงคนแต่ตอนนี้ก็นับว่าไร้เดียงสากว่าคนอื่น ส่วนข้า...ตอนที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้นก็รู้สึกหน้าแดงขึ้นมา คิดว่าจะต้องขี่โซแวนแต่เขาบอกว่าให้ข้าขี่ได้ พอถามเหตุผลก็ตอบแค่ว่า “เพราะเป็นฝ่าบาท ไม่ว่าจะบริสุทธิ์หรือเปล่าข้าก็เต็มใจให้ขี่”
“ไอ้ม้าสองมาตรฐาน” เป็นคำสรรเสริญจากโซแวนและวารัน แต่ดูแล้วเจ้าตัวก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
เมื่อพร้อมแล้วทั้งสองก็ควบทะยานออกไปทันทีด้วยความรวดเร็ว ออกจากป่าต้องห้ามมุ่งสู่ป่าหลังปราสาท แสงไฟวูบไหวและเงาร่างของสิ่งก่อสร้างที่คุ้นตาทำให้ข้ารู้สึกคิดถึงขึ้นมา ข้าลงจากหลังเร็น แล้วทั้งสองคนก็แปลงกายกลับเป็นร่างมนุษย์
“ดูเหมือนวันนี้เวรยามจะน้อยเหมือนที่เจ้าพูดจริงๆ” วารันเอ่ยขึ้นขณะทอดสายตามองไปยังปราสาท ประตูเล็กด้านหลังนั้นมีทหารยามแค่สี่คนนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ และไม่มีคนอื่น
“ถ้างั้นตามแผนเลยไหมขอรับ” นอร์ธวินด์ถามขึ้น ข้าเลยพยักหน้าเป็นคำตอบ เขาจึงได้เตรียมนำผงเวทมนตร์ออกมา เจ้าตัวถนัดเวทสายลมอยู่แล้วจึงสามารถนำผงยาสลบพวกนั้นไปหาทหารได้อย่างง่ายดาย
ฤทธิ์ของยานั้นเพียงแค่สูดดมก็จะทำให้รู้สึกวิงเวียนและหลับไป พวกข้ารอไม่นานในที่สุดทหารยามคนสุดท้ายก็หมดสติไปจึงรีบออกมาจากที่ซ่อน ประตูล็อกไว้อย่างแน่นหนาแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสักเท่าไรเมื่ออยู่กับสัตว์ประหลาดพวกนี้ที่จัดการพังได้ในลูกถีบเดียว
ข้าสามคนรีบเข้าไปข้างในทันที ทหารยามแถวนี้มีน้อยจึงอาศัยหลบตามมุมอับสายตาได้ แต่ทางลงไปยังคุกใต้ดินนั้นมีกำลังทหารอยู่เฝ้าอยู่อย่างแน่นหนา
“เอายังไงดี” ข้าหันมาพึมพำกับคนที่เหลือหลังจากโผล่หน้าไปสังเกตการณ์จากที่ซ่อนตัว เร็นกับโซแวนรู้อยู่แล้วว่าข้าไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสีย แม้ว่าพวกเขาจะเป็นทหารในปราสาทแต่ก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
“ผงยาสลบใช้การไม่ได้หรือ” โซแวนถามขึ้น
“ข้าควบคุมลมไม่เก่งเหมือนนอร์ธวินด์ อีกอย่างที่นี่เป็นที่ปิด แน่นอนว่าฤทธิ์ยามันจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่พวกเราก็จะโดนไปด้วย” ข้าอธิบาย โซแวนเลยกลับไปครุ่นคิดเหมือนเดิม ตอนนั้นเองที่มีทหารคนหนึ่งโวยวายว่าเจอพวกที่สลบอยู่ด้านนอกทำให้พวกข้าตื่นตระหนก
ทหารที่เฝ้าอยู่ต่างตกใจแล้วรีบตรวจสอบกันทันที เร็นกับโซแวนเห็นท่าไม่ดีจึงคิดจะพาข้าหนี แต่จู่ๆ ตรงหน้าก็มีทหารนายหนึ่งมาดักไว้
“ผู้บุกรุก!” เขาตะโกนขึ้นทำให้ทหารคนอื่นมาล้อมดักทางพวกเราไว้ ข้ายืนนิ่งแต่ในใจยังคงกังวลอยู่ เพราะก่อนจะเริ่มแผนได้บอกไว้ จะทำร้ายพวกทหารได้ก็ต่อเมื่อเข้าตาจนเท่านั้น
แล้วดูเหมือนตอนนี้จะไม่มีทางเลือกอื่น...
“ฝ่าบาท...ไม่สิ องค์ชายทีอารีน...” ทว่าทหารที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้ากลับเบิกตากว้างเมื่อเห็นข้า คำพูดของเขาทำให้ทุกคนหยุดชะงักแล้วมีสีหน้าตื่นตะลึงไม่ต่างกัน ก่อนที่จะรีบคุกเข่าลง
“ค่อยยังชั่ว ท่านยังปลอดภัย พวกกระหม่อมดีใจจริงๆ” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความตื้นตันทำให้ข้าอดแปลกใจไม่ได้ จนกระทั่งนายทหารคนเดิมพูดขึ้นมา “ตอนนี้ข้าหลวงคนคนสำคัญต่างถูกผู้ชายคนนั้นควบคุมหมด พวกข้าแม้จะไม่เห็นด้วยแต่ไม่อาจทำอะไรได้เพราะเป็นเพียงผู้น้อยเท่านั้น ดีจริงๆ ที่ท่านมาที่นี่”
“ผู้ถูกเลือกที่ถูกจับมาขังอยู่ที่ไหน” โซแวนเอ่ยขึ้นทันทีทำให้พวกทหารเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่พวกข้ามา
“ท่านมาช่วยพวกเขาใช่ไหม พวกเขาถูกขังไว้ที่ชั้นใต้ดิน”
“นำทางข้าไปหน่อยได้ไหม” ข้าลองเอ่ยถามขึ้น ทหารผู้นั้นพยักหน้าด้วยความยินดี หันไปสั่งนายทหารให้เฝ้าสังเกตการณ์ไว้แล้วนำทางลงไปชั้นใต้ดิน โซแวนเดินตามลงไปก่อนที่เร็นจะให้ข้าเดินต่อแล้วเขาปิดท้าย ระหว่างนั้นข้าก็ได้ถามชื่อนายทหารคนนั้น “เจ้าชื่ออะไร”
“เอ็ดมอนต์ขอรับ” เขาหันมากล่าวด้วยรอยยิ้ม ดูแล้วก็ยังคงเป็นหนุ่มที่ดูกระตือรือร้น
“ท่านมาช้าไปสักหน่อย” เอ็ดมอนต์พึมพำขึ้นขณะที่ลงมาถึงชั้นที่เขาบอกว่าเป็นชั้นที่ไว้ขังพวกผู้ถูกเลือก “เมื่อวาน ชายคนที่อยู่กับพระราชาครีออนกลับมาแล้วมีสีหน้าโกรธใหญ่ เขาเลยสั่งพวกทหารให้จับผู้ถูกเลือกบางส่วนไป ข้าไม่แน่ใจนักแต่ได้ยินเขาบอกว่าเอาไปให้พวกอสูรกิน”
ข้าชะงักไปวูบหนึ่งทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น นั่นหมายความว่ามีบางส่วนที่ถูกสังหารไปแล้ว และตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงที่ลูซัสพาครีออนกลับมา เพราะพวกข้า เขาระบายความแค้นใส่ผู้ถูกเลือกที่เหลือ
“เจ้าสารเลวนั่น” ข้ากัดฟันกรอดแล้วกำหมัดแน่น หากสามารถช่วยคนที่เหลือได้เรียบร้อยแล้วจะกลับมาจัดการลูซัสอย่างแน่นอน
“ทางนี้ขอรับ” เอ็ดมอนต์พาข้ามาหยุดอยู่หน้ากรงขังใหญ่กรงหนึ่ง ในนั้นค่อนข้างมืดสลัวแต่ยังพอเห็นเงาร่างของคนอยู่บ้าง เมื่อนายทหารจุดคบเพลิงที่อยู่ริมกำแพง ทั่วทั้งบริเวณก็สว่างขึ้นมา ภายในกรงนั้นมีทั้งชายและหญิงนั่งอยู่ร่วมกัน เมื่อพวกเขาเห็นแสงสว่างก็หันมามองแล้วมีสีหน้าตกตะลึง
“ฝ่าบาท!?” พวกเขาอุทานขึ้นเสียงเบาก่อนจะถลามาข้างหน้าเพื่อขอความช่วยเหลือ
ข้าเข้าไปหาแล้วบอกกับพวกเขาเสียงเบา “ไม่ต้องกังวลนะ จะช่วยพวกเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้แหละ”
เมื่อกล่าวเช่นนั้นเสร็จ ข้าก็ถอยห่างออกมา โซแวนก้าวมายืนอยู่ข้างหน้าข้าแทนแล้วบอกให้พวกผู้ถูกเลือกที่ถูกขังอยู่ถอยห่างออกไป จากนั้นก็เรียกดาบออกมาฟันประตูจนซี่กรงเหล็กขาดออกจากกัน เมื่อมีช่องกว้างพอจะให้เดินออกได้แล้ว พวกเขาก็ทยอยเดินกันออกมา
เร็นกับทหารส่วนหนึ่งนำทางพวกเขาออกไปข้างนอกทันที เอ็ดมอนต์บอกว่าผู้ที่ถูกจับมาขังไว้ในคุกใต้ดินหมดแล้ว โซแวนจึงคิดจะกลับไปข้างบน แต่เพราะข้ายังยืนนิ่งเขาจึงเดินเข้ามาถาม “เป็นอะไรไป”
“ท่านพี่กับพวกเด็กๆ ล่ะ” ข้าหันไปถามเอ็ดมอนต์ อีกฝ่ายจึงนึกออก “จริงด้วย...ปกติแล้วพวกเด็กๆ กับท่านหญิงอีกท่านหนึ่งจะถูกขังแยกอยู่ที่ด้านบนขอรับ”
“ว่ายังไงนะ” ข้าชะงักก่อนที่จะขมวดคิ้ว มีที่ไหนที่จะใช้ขังพวกเขาได้บ้าง แต่ระหว่างนั้นเอ็ดมอนต์ก็พูดขึ้นมาทันที
“ห้องที่อยู่ในสุดของปีกปราสาทฝั่งตะวันตกขอรับ”
“ข้าจะไปที่นั่น โซแวน...จะมากับข้าใช่ไหม” ข้าตัดสินใจในทันที แล้วถามความเห็นกับคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า การมีเขาไปด้วยจะทำให้ข้าอุ่นใจมากขึ้น แต่หากโซแวนปฏิเสธข้าก็คิดจะไปคนเดียว เพราะยังไงก็ต้องช่วยพวกเด็กๆ หากไม่ทำเช่นนั้นแล้ว เมื่อลูซัสรู้ความจริงก็จะฆ่าพวกเขาอย่างแน่นอน
“มันก็แน่นอนอยู่แล้วน่ะสิ” โซแวนตอบก่อนที่จะเข้ามาจับมือข้าไว้แล้วหันไปบอกอ็ดมอนต์ “ไปหาผู้ชายที่มากับพวกข้าซะ แล้วบอกเขาว่าให้พาคนไปส่งก่อนแล้วรีบกลับมาที่นี่”
“ขอรับ” เมื่อเอ็ดมอนต์รับทราบแล้วโซแวนก็พาข้าวิ่งขึ้นไปข้างบน ปีกปราสาทฝั่งตะวันตกนั้นอยู่ไม่ไกลจากประตูด้านหลังปราสาทเท่าไรจึงวิ่งไปไม่นานก็ถึง แต่ที่แปลกใจคือบริเวณนี้ไม่มีทหารยามเลย
“เกิดอะไรขึ้น” ข้าชะลอฝีเท้าลงเพื่อดูสถานการณ์รอบๆ ก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อสังเกตเห็นบางสิ่งที่พื้นด้านหน้า
ร่างไร้ลมหายใจของทหารหลายคนนอนเกลื่อนอยู่บนพื้น คราบเลือดสดใหม่ชโลมไปทั่วจนกลิ่นเหม็นคาวจนแทบจะอาเจียน ข้ารีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไว้ไม่ให้มีเสียงร้องเมื่อเห็นสภาพตรงหน้าครั้งแรก จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่งก็ลดมือลง
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ข้าถามขึ้นด้วยความแปลกใจ ก่อนที่จะมองไปที่โซแวน เขาทำสีหน้าเครียดจัดก่อนที่จะวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ข้าจึงรีบวิ่งตามไป ตามทางยังคงมีศพของทหารอยู่เรื่อย ล้วนแล้วแต่ถูกสังหารด้วยอาวุธที่มีความคม
ขณะที่ใกล้ถึงด้านในสุดของทางเดิน เสียงหวีดร้องของเด็กๆ ดังขึ้นจึงเข้าใจว่าทำไมโซแวนถึงได้รีบวิ่งมา เขารีบพังประตูเข้าไปด้านในทันที
ข้าชะงักไปทันทีเช่นเดียวกับโซแวน ภาพเบื้องหน้าคือครีออนที่กำลังเงื้อดาบขึ้น แม้จะกระตุกไปครู่หนึ่งเพราะโซแวนพังประตูเข้ามาแต่ก็เตรียมลงดาบใส่เด็กๆ ที่นั่งกอดกันอยู่ตรงหน้า
หัวใจข้าพลันหล่นวูบไป เพราะไม่ต้องการให้ครีออนฆ่าคนไปมากกว่านี้ ข้าจึงรีบวิ่งเข้าไปขวางทันที “ครีออน หยุดเดี๋ยวนี้!”
“ทีอารีน อย่า!”
ฉัวะ!
โซแวนพยายามตะโกนร้องห้ามและจะคว้าตัวข้าไว้ แต่ข้าวิ่งเข้าไปรับคมดาบแทนพวกเด็กๆ ได้เสียก่อน แม้ความเจ็บจะแล่นไปทั่วแต่ข้าก็กัดฟันฝืนใจยืนขวางไว้อยู่ สองมือกางออกเผื่อปกป้องพวกเด็กๆ และท่านพี่ เมื่อเห็นดวงตาของครีออนก็คล้ายจะวูบไหวอยู่
“ครีออน เลิกทำอะไรบ้าๆ แบบนี้เสียที!” ข้าตะโกนขึ้นจากความโมโหที่เก็บอยู่ข้างใน ตัวเขาตรงหน้าข้าราวกับไม่ใช่น้องชายที่ข้ารู้จัก ไอหมอกสีดำที่ลอยอยู่รอบๆ คล้ายจะเข้มขึ้นกว่าครั้งก่อนที่เจอกัน เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด ดูก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่ฆ่าพวกทหารที่อยู่ด้านนอกนั่น
“ทีอารีน เจ้าทำบ้าอะไร แผลเจ้า...” โซแวนรีบเข้ามาอยู่ข้างข้าแล้วตำหนิขึ้น แผลที่ถูกครีออนฟันจากไหล่ขวาลงไปถึงเอวซ้ายไม่ใช่ตื้นๆ มันลึกพอจะทำให้ตอนนี้เลือดยังไม่หยุดไหล แต่สำหรับข้าแล้วมันไม่เป็นไร ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือการคุยกับคนตรงหน้าจึงหันไปบอกเขาว่า “ไม่ต้องห่วง เจ้าดูแลพวกเด็กๆ กับท่านพี่ไปก่อน”
ข้าลดแขนทั้งสองข้างลงแล้วเดินเข้าไปใกล้ครีออน เขาชะงักไปในทันที
“ครีออน ทำไมเจ้าถึงกลายเป็นแบบนี้” ข้าเอ่ยขึ้นด้วยความสับสน เขายังคงจับดาบแน่นเหมือนพร้อมทำร้ายคนที่อยู่ใกล้ได้ทุกเวลา
“ทำไม...ทำไม...ท่านถามว่าทำไมงั้นหรือ” เขาเริ่มเอ่ยขึ้น ดูแล้วน่าจะยังมีสติพอที่จะคุยด้วยได้อยู่ ครีออนกัดฟันแน่นก่อนจะแผดเสียงออกมา “เพราะข้าอยากช่วยท่านน่ะสิ!”
ข้าชะงักไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นอีก “ทั้งๆ ที่ข้าทำให้ท่านเห็นตั้งหลายครั้ง แต่ท่านก็ไร้เดียงสาสำหรับโลกนี้เสียจริง...”
“เจ้าจะพูดอะไร”
“มนุษย์ทุกคนล้วนโหดร้าย ไม่ควรค่าแก่การปกป้องสักนิด ท่านก็เห็น ยามที่ท่านถูกคำสาปไม่มีใครเห็นหัวท่านสักคน แต่ท่านก็ยังก้มหน้ารับมันต่อไป ยังยืนยันจะปกป้องพวกมัน ยังรักพวกมัน ทำไม...ทำไมถึงไม่เกลียดพวกมัน!” เขาเอ่ยถามขึ้นราวกับอัดอั้นตันใจมานาน ข้ายังไม่ทันได้ตอบอะไรเขาก็แผดเสียงขึ้นมา “ทั้งๆ ที่ข้าอยากปกป้องท่าน! ทั้งๆ ที่ข้าไม่ต้องการให้ท่านไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น แต่ท่านก็ยังไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดพวกนี้ ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ทุกคน คิดว่าตัวเองประเสริฐมาจากไหนกัน!”
“ครีออน...เจ้า” ข้ามองคนตรงหน้านิ่งเมื่อทำอะไรไม่ถูก เขากำลังสับสนและร้องไห้ออกมา
“ท่าน...ท่านเกลียดข้าสินะ เพราะท่านเกลียดข้าใช่ไหมถึงได้หนีออกไป”
ครีออนเงยหน้าขึ้นมาถามข้าแบบนั้นขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง ก่อนที่เขาจะร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวดแล้วกุมศีรษะแน่น
ครีออนกำลังสู้กับตัวเอง ตัวเองที่ถูกลูซัสควบคุม เขาเองแม้จะถูกสังคมรอบข้างทำร้ายมาตั้งแต่เด็กๆ จนเกลียดมนุษย์ไปก็ยังไม่ได้ทิ้งความเป็นมนุษย์ไปเสียทั้งหมด และความเป็นมนุษย์นั้นจะช่วยผลักดันเขาขึ้นมา
“โซแวน พาพวกเด็กๆ กับท่านพี่ออกไปก่อน” ข้าเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้หันไปบอกโซแวนที่อยู่ด้านหลัง เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะยอมตอบรับในที่สุด
“ข้าจะรีบกลับมา”
“ไม่ต้องกลับมา ข้าจะเป็นคนออกไปพบเจ้าเอง” ข้ายิ้มให้เขาก่อนที่จะปล่อยให้โซแวนแปลงร่างเป็นคิเมร่าแล้วพาพวกเด็กๆ ออกไป
“หยุดนะ!” ครีออนที่ยังมีท่าทีปวดหัวอยู่กัดฟันเงยหน้าขึ้นมาตะโกนสั่งแล้วทำท่าจะวิ่งตามไป แต่ข้าก็รีบใช้เวทแสงยิงดักหน้าเขาไม่ให้วิ่งออกไปและกลับมาสนใจข้า
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ข้าเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เขา ครีออนชะงักไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงสั่นอย่างบ้าคลั่ง
“อย่าเข้ามา” เขากัดฟันแน่น เอ่ยซ้ำๆ อย่างคนหวาดกลัว “อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา!!”
“ทำไมล่ะ?” ข้าถามขึ้นเสียงเรียบ ครีออนกระชับดาบในมือแน่นก่อนที่จะบอกด้วยแววตาสับสน
“ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้ ข้าต้องการที่จะสังหารทุกคน ถ้าท่านเข้ามา...”
“ต่อให้เจ้าสับร่างข้าเป็นชิ้นๆ ข้าก็จะไม่ตาย” ข้าบอกกลับไปเสียงเรียบ เพราะได้รับพลังของท่านลูซิฟรานมาทำให้ข้าตายไม่ได้ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง เนื่องจากเขาพยายามสู้กับตัวเองอย่างหนักทำให้ร่างกายของเขาเริ่มไม่ไหวและทรุดลงนั่งกับพื้น
“เจ้าคิดว่าข้าเอาแต่หนีเจ้าใช่ไหม ไม่ว่าจะพยายามจับข้าไว้มากเท่าไร ข้าก็จะเดินหนีเจ้าไปมากยิ่งขึ้นใช่ไหม” ข้าเอ่ยถามขึ้น เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ ข้าเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้นและเอ่ยต่อ “ถ้าทำให้เจ้ามีความสุขได้ งั้นข้าก็จะเดินกลับมาหาเจ้าก็ได้”
ข้าหยุดลงตรงหน้าเขาแล้วคุกเข่าลงนั่ง ดวงตานั้นวูบไหวไปชั่วขณะ “แล้วจะทำอะไรข้าต่อล่ะ? จะใช้ดาบนั้นฆ่าเลยไหม”
“อึก” เขากัดฟันแน่นคล้ายกับฝืนตัวเองอยู่ ข้าจึงเริ่มพูด
“งั้นก็ฟังข้าซะครีออน ก่อนอื่น เจ้าเองก็ไร้เดียงสาสำหรับโลกใบนี้” ข้ามองเขา มองลึกไปในดวงตาที่น่าสงสารนั้น
“เติบโตมาโดยรู้จักโลกเพียงด้านเดียว จริงๆ แล้วเจ้าก็คือคนโชคร้ายคนหนึ่งที่เกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้ดีสำหรับเจ้า เสด็จพ่อทำร้ายเจ้า ทุกคนทำร้ายเจ้า เจ้าถึงได้กลายเป็นแบบนี้”
เขาชะงัก แต่เหมือนกับว่าจะไม่มีใจจะสังหารข้าแล้ว “ตั้งแต่จำความได้ ข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นน้องชายที่น่าสงสาร ‘จะทำยังไงให้เจ้ายิ้มได้’ ข้าตั้งคำถามนี้กับตัวเองทุกเช้า ข้าอยากช่วยเจ้าให้หลุดพ้นจากความมืด แต่ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งทำให้เจ้าก้าวล้ำมันไปสินะ...”
ข้าไม่ได้คำนึงถึงความคิดที่เขาได้รับมาตั้งแต่เด็กมา ยิ่งข้าทำดีกับเขามากเท่าไร ครีออนก็ยิ่งอยากจะครอบครองข้า และนั่นก็ยิ่งทำให้เขาตกไปอยู่ในความมืดมากขึ้น
“เจ้าทำให้คนทั้งโลกเกลียดข้า แสดงให้ข้าดูว่ายามที่ตกต่ำก็ไม่มีใครมาช่วย แต่ข้าก็ยังช่วยพวกเขา รักพวกเขา เจ้าคิดอย่างนี้ใช่ไหม?” ข้าถามเขากลับไป ครีออนไม่ตอบอะไรกลับมาซึ่งก็เป็นส่วนที่ข้าก็คิดไว้แล้วจึงได้พูดต่อ “ทั้งหมดที่เจ้าคิดก็ไม่ผิดเสียทีเดียว ไม่รู้ทำไม แต่ก่อนอื่นข้าก็ไม่ได้รักมนุษย์เสียเท่าไร จะบอกว่าที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะไม่ต้องการเห็นใครเดือดร้อนก็ว่าได้”
ข้ามองเขาอีกครั้ง ครีออนกำลังหลบตาอยู่ แต่เขาไม่ได้ลุกหนีหรือคิดจะทำร้ายข้าแล้ว อาจจะยังสับสนอยู่ “แต่เจ้ารู้ไหม ข้าไม่ไว้ใจมนุษย์คนไหนเลยหลังจากที่โดนคำสาปมา”
ข้าหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนที่จะสวมกอดเขา อ้อมกอดนั้นออกจะกะทันหันจนครีออนเองก็ไม่ทนตั้งตัว เขานิ่งค้างไปขณะที่ฟังข้าพูด “มนุษย์คนเดียวที่ข้าเคยไว้วางใจก็คือเจ้า...ครีออน ต่อให้เจอกับสถานการณ์แบบไหน แต่ถ้ามีเจ้าอยู่ข้างๆ ก็จะไม่มีปัญหาอะไร ข้าเคยคิดแบบนั้น”
ข้าละกอดจากเขาขณะสูดลมหายใจเข้า น้ำเสียงของข้าเริ่มสั่นเมื่อคิดถึงความรู้สึกที่มากมายในอกนี้ ครีออนเองก็มีท่าทีตกใจและสับสน เขาก็คงรู้ดีในสิ่งที่ข้าจะสื่อ
ข้าพยายามทำให้ตัวเองไม่แสดงความรู้สึกที่เก็บอยู่ออกมา แต่ไม่เป็นผล เมื่อน้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาก็ยากที่จะห้ามหยดน้ำตาอื่นๆ ให้ไหลออกมาด้วย
“ข้าเคยไว้ใจเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าเป็นคนทำลายความเชื่อใจนั้นไป” ข้าสะอื้นไห้ตรงหน้าเขาอย่างไม่เกรงกลัว ความรู้สึกทั้งหมดที่อยู่ด้านในมันเต็มไปด้วยความเสียใจ “แต่ว่า...แต่ว่า...ต่อให้เจ้าทรยศข้า ต่อให้เจ้าเป็นคนที่ลงดาบใส่ข้า ข้าก็เกลียดเจ้าไม่ลงเลยสักครั้ง ไม่เคยเลย”
ครีออนยังคงเงียบอยู่ แต่แววตาที่สับสนนั้นคล้ายจะทอความเจ็บปวดมาด้วย
เมื่อตัวข้าเองเริ่มควบคุมอารมณ์ได้บ้างแล้วจึงถามต่อแม้เสียงจะยังสั่นเครือ “ครีออน...เจ้าอยากนำความเชื่อใจนั้นกลับมาหรือเปล่า”
เขาเบิกตากว้างทันทีด้วยความตะลึง ข้าอาศัยจังหวะที่เขายังไม่ทันตั้งตัวนั้นมอบจูบไปหนึ่งครั้ง แม้จะรู้ตัวว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องแต่ตอนนี้ข้าคิดว่าสิ่งที่จะปลอบใจเด็กคนนี้ก็มีเพียงแค่นี้
เมื่อคิดว่าเหมาะสมแล้วข้าจึงถอนจูบนั้นออกแล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “กลับมาสิ กลับมาเป็นครีออนที่ข้ารู้จัก กลับมาเป็นน้องชายของข้า ให้ข้าได้ปกป้องเจ้าในฐานะพี่ชาย”
“เสด็จ...พี่...” เขาเอ่ยออกมาสั้นๆ ก่อนที่จะร้องไห้ออกมาในที่สุด เขาระเบิดอารมณ์ผ่านน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา “เสด็จพี่...ฮึก...ข้าอยาก...อยากอยู่เคียงข้างท่าน แบบนี้มัน...ฮึก ทรมาน ทรมาน ข้า...ช่วยข้าด้วย”
“ครีออน” ข้าเอ่ยเรียกเขาด้วยความใจหาย ดูเหมือนว่าเขาจะปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการที่สับสนได้แล้ว ข้าจึงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของเขาออกแล้วกอดปลอบไว้ “ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่เป็นอะไร ข้าจะอยู่ข้างๆ เจ้า ปกป้องเจ้า”
ครีออนยกมือที่สั่นเทาขึ้นมากอดปลอบข้า ข้าคิดจะพาเขาหนี ทว่าเสียงปรบมือก็ดังขึ้นอย่างหนักแน่นก่อนที่ร่างหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้อง
“เป็นละครชีวิตที่น่าประทับใจจริงๆ พี่น้องกลับมาอยู่พร้อมหน้า น่าประทับใจจริงๆ หึๆ” เสียงหัวเราะอันแสนเยือกเย็นดังขึ้นจากลูซัสที่ก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ข้ารีบดึงครีออนให้ลุกขึ้นแล้วยืนขวางหน้าเขาไว้
“ลูซัส”
“กล้ามากที่เข้ามาในปราสาท...ไม่สิ กล้ามากที่มาคนเดียวแบบนี้” เขาเอ่ยขึ้นก่อนที่จะผายมือมาข้างหน้าแล้วมองไปทางครีออน “ฝ่าบาท มาหาข้าสิ”
ครีออนชะงักไปชั่วขณะ ข้ารีบยกมือขึ้นปกป้องเขาไว้ก่อนที่จะบอกกับลูซัสว่า “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายครีออนไปมากกว่านี้แล้ว”
“โอ้ ช่างเป็นคำพูดที่สมกับฐานะพี่ชายจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้นก่อนที่จะยิ้มเยาะออกมา ก่อนที่กระแสพลังรอบตัวเขาจะเริ่มก่อตัวขึ้น “งั้นก็แสดงพลังในฐานะพี่ชายดูสิ”
เขาปลดปล่อยพลังเวทออกมาอย่างมหาศาลทำให้ข้าเองยังขนลุกขึ้นมา ตัวข้าในตอนนี้ยังไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ ต้องหาทางหนี
ลูซัสพุ่งเข้ามาทันทีในขณะที่ข้ายังตั้งตัวไม่ได้ แต่ขณะนั้นภูตสีฟ้าที่ไว้ใช้ติดต่อกันก็เด้งตัวขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อของข้าแล้วเสียงอันคุ้นหูก็ดังขึ้น
“กำลังไปช่วยเดี๋ยวนี้ล่ะขอรับ!”
ตูม!
โครม!
เสียงคล้ายระเบิดดังกึกก้องขึ้น ก่อนที่ลูซัสจะกระเด็นไปติดกำแพงอีกฝั่ง ข้ารับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนและเศษอิฐที่ปลิวมาทำให้ต้องรีบกดครีออนลงนั่งเพื่อหลบมัน ฝุ่นสีน้ำตาลลอยคลุ้งไปทั่วห้อง
ข้าเงยหน้าขึ้นมองตามที่มาของเสียง พบว่ากำแพงของห้องนี้กลายเป็นรูกว้างจนเห็นทิวทัศน์ข้างนอก เมื่อฝุ่นจางลงไปแล้วจึงได้เห็นคนที่ยืนตรงหน้า
เด็กหนุ่มผู้มีเปลวไฟลอยวนอยู่รอบๆ บนแผ่นหลังของเขาปรากฏปีกเพลิงขนาดยักษ์อยู่ อาคีรัสรีบหันมากลับมาหาพวกข้าแล้วร้องถามว่า “ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนนะขอรับ”
“อื้ม ไม่ได้เป็นอะไร” ข้าตอบกลับไปแม้จะยังอึ้งอยู่ จริงๆ ตอนแรกก็เตรียมอาคีรัสไว้ช่วยในกรณีฉุกเฉินข้างนอกถ้าถูกไล่ตาม จึงกำหนดให้เขาอยู่ไกลจากปราสาทเสียหน่อย ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะมาด้วยการพุ่งมาทำลายกำแพงแบบนี้
“ถ้างั้นหนีกันเถอะขอรับ” เขาเอ่ยขึ้นแล้วเดินตรงมาโอบกอดข้าไว้ด้วยแขนอีกข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็คว้าเอวครีออนไว้ จากนั้นก็ยกขึ้นอุ้มพวกข้าอย่างง่ายดาย
“หึ ฝ่าบาท” เสียงเย็นเยือกของลูซัสดังขึ้น เมื่อข้าหันไปมองก็เห็นเขายืนนิ่งอยู่ตรงจุดที่อาคีรัสต่อยส่งไป แต่ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความโกรธมากกว่าปกติ “ถ้าเจ้าคิดจะหนีไป เจ้าจะต้องพบกับความเจ็บปวดถึงที่สุด”
ครีออนกับข้านั้นงุนงงกับคำกล่าวนั้น หากเป็นคนทั่วไปอาจจะคิดว่านี่เป็นประโยคตัดพ้อ แต่ถ้าออกมาจากปากลูซัสก็อาจแฝงความหมายอะไรไว้ แต่ตอนนั้นอาคีรัสก็กระโดดออกมาจากปราสาท กางปีกเพลิงที่แผ่สยายไปกว้างกว่าเดิมแล้วโผบินออกไปท่ามกลางราตรีที่ปราสาทเริ่มวุ่นวาย
เขาใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจุดรวมตัวที่ที่อยู่ในป่าต้องห้าม อาคีรัสวางข้ากับครีออนลง ข้ารีบเข้าไปหาน้องชายทันที แต่ตอนนั้นเองที่คล้ายกับตัวเขาแข็งค้างไปชั่วขณะแล้วทรุดลงกับพื้น ไอโขลกออกมายกใหญ่จนมีเลือดสีดำออกมา
ข้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ร่างกายของเขาตอนนี้โดนความมืดกัดกินไปมากจนมีอาการย่ำแย่ และตอนนี้เหมือนกับว่าไอความมืดที่ลูซัสมอบให้ครีออนเองก็เริ่มทำร้ายเขา
น้องชายของข้าไอโขลกด้วยความเจ็บปวดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะล้มลงไปท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคนโดยเฉพาะข้าที่คล้ายกับถูกบีบหัวใจให้แหละละเอียด
“ครีออน! ครีออน!”