Chapter 5 : ความป๋าของหมอเต้ 1/2
“ไอ้สัสเต้ มึงจะไปไหน อย่าคิดตอแหลกูเชียว ท่าทางมึงแปลกๆ มาตั้งแต่เมื่อวาน แล้ว! จู่ๆ ก็หายหัวไป หวยก็ไม่ได้แทง!” รวินท์โวยวายกับเพื่อนรัก พร้อมทั้งเอา ตะเกียบคีบผักในบะหมี่เขวี้ยงใส่ ขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งกินมื้อเที่ยงที่ผู้ช่วยซื้อ มาให้ในห้องทางด้านในคลินิก “เมื่อวานก็ทิ้งกูกับพิงค์กับพวกน้องๆ ไปรอบละนะ แล้วแซนดี้ก็บอกว่าเมื่อวันศุกร์ก่อนนู้นมึงก็ทิ้งน้องๆ ให้ดูหนังกันเอง มึงทำอะไร ลับๆ ล่อๆ แอบขายยาเพิ่มขนาดในเน็ตเหรอวะ”
“โห มาเป็นชุดเลยนะมึง” เตชิตทำหน้าจ๋อย แค่เขาบอกมันว่าตอนเย็นหลังเลิกงาน จะไม่อยู่แค่นี้ แม่งด่ายาวเลย “คือ... ก็จะไปกับคนเมื่อวานน่ะแหละ”
“คนที่เอากล้วยไม้มาให้มึงอะเหรอ”
“อือ”
“เขาเป็นใคร ชื่ออะไร ไว้ใจได้เปล่าวะ”
เตชิตเห็นภาพตัวเองเมื่อก่อนที่เคยทำตัวเป็นพ่อไอ้เพื่อนรักชัดเลย มันต้องถือ โอกาสแก้แค้นเขาอยู่แน่ๆ
“มึงรอแป๊บ” ทันตแพทย์หนุ่มวิ่งปรู๊ดขึ้นไปยังห้องพักของตนเองที่ชั้นสาม ไม่นา นก็วิ่งกลับลงมา เขานั่งหอบฮั่กๆ อยู่หน้าชามบะหมี่ แล้วจึงส่งถุงของฝากที่ได้รับ มาจากคีรีให้ “เอ้า ของฝากมึงอีกอย่างจากตอนที่กูไปประชุมที่เชียงราย กูลืมไว้ เขาเลยแวะเอามาให้”
รวินท์รับถุงมาเปิดออก หยิบช้างไม้ที่แกะสลักชื่อเขาออกมาดูแล้วอมยิ้ม “เออ น่า รักดี ขอบใจเว้ย”
“ชอบใช่มะ”
“อือ”
“ขอรางวัลเป็นจุ๊บทีดิ”
“ไอ้เหี้ย!” รวินท์ใช้ตะเกียบคีบผักเขวี้ยงใส่อีกฝ่ายไปอีกรอบ “มึงไม่ต้องมาเนียน เปลี่ยนเรื่อง บอกกูมา เขาเป็นใคร ทำไมเขาถึงมีของที่มึงลืมไว้ได้วะ มึงไปลืมไว้ที่ ไหนเนี่ย!”
โห บทจะฉลาดแม่งก็ฉลาดเนอะ ไอ้สัสวิน!
เตชิตถอนหายใจ “เรื่องมันยาว”
“ยาวกูก็จะฟัง มึงอย่าลีลาให้มาก จะให้กูซักมึงคนเดียว หรือจะให้กูเรียกพิงค์ แซนดี้ ซัน ขิง ดิว มาช่วยกันซักมึงด้วย”
“เขาชื่อคีรี เป็นเด็กชาวเขา” เตชิตรีบตอบ ไอ้วินซักคนเดียวเขาก็ซีดจนไม่รู้จะซีด ยังไงแล้ว ถ้าขืนให้ยกมาทั้งพวงเขาคงโดนจิกทึ้งไม่เหลือซาก
“ฮะ? ชาวเขาเหรอ เป็นเด็ก? อายุเท่าไหร่วะ”
“เห็นว่าสิบแปด”
“แล้วไปรู้จักกันได้ไง”
“ไอ้คืนสุดท้ายในเชียงรายที่กูบอกมึงว่าไปไนต์บาร์ซาอะ คือในตลาดแม่งมีเรื่องไง มีเสียงเหมือนระเบิดดัง แล้วคนก็วิ่งหนี วิ่งชนกันล้ม พอดีไอ้ตอนที่กูใส่ตีนหมาโก ยอยู่ก็มีเด็กผู้หญิงเป็นชาวเขาคนนึงพลัดหลง ถูกเบียดมาข้างๆ กู กูเลยช่วยเขาไว้ แล้วคือกูก็ไปไหนต่อไม่ถูกไง เด็กก็เอาแต่ร้องไห้ พอคุยกันก็งงๆ ไปอีก ก็ได้คีรีนี่ แหละมาช่วยพาไปหลบ เขาน่าจะเป็นพี่หรือญาติของเด็กคนนั้น หรือไม่ก็รู้จักกันดี คงเป็นคนบ้านเดียวกันน่ะแหละ พอเจอพ่อแม่ของเด็กแล้วเขาก็ขี่มอไซค์มาส่งกูที่ โรงแรม ไอ้ของนี่มันคงหล่นตอนชุลมุนน่ะ” เตชิตหยุดไว้แค่นั้น ถ้าให้เล่าต่อจากนี้ เขายอมโดนซักจนซีดตายดีกว่า
หากสีหน้าของรวินท์เปลี่ยนเป็นขรึม เขาแสดงความรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนรักออกมา ทางสายตาอย่างชัดเจน “ทำไมมึงไม่เคยเล่าให้กูฟังเลย ไอ้ห่า แล้วมึงบาดเจ็บรึ เปล่า”
“ก็กูรู้ว่ามึงต้องเป็นห่วง กูเลยไม่อยากพูดถึง กูไม่ได้เป็นอะไรด้วย ยังกลับมาหามึง ได้ มีครบสามสิบสองส่วนด้วยนี่ไง” เตชิตเอื้อมมือไปลูบศีรษะเพื่อนรักเบาๆ “ขอโทษที่ไม่ได้เล่านะ”
“กูจะฟ้องพ่อแม่มึง”
“อ้าว ไอ้เพื่อนเวร หาเรื่องให้กูแล้วมั้ยล่ะ”
“มึงนี่ ต้องไปทำบุญกี่วัดถึงจะดวงขึ้นบ้างวะ ไปออกหน่วยแม่งก็โดนน้ำป่า ไปประ ชุมก็เจอระเบิด ครั้งหน้ามึงจะเจออะไรวะเนี่ย”
“อย่าเพิ่งแช่งกูสิเว้ย”
“แล้วทำไมไม่พาเขามาให้กูกับน้องๆ รู้จักบ้างวะ”
เตชิตชะงักกึก เขาพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ ไม่ให้เพื่อนรักจับพิรุธได้ “เอาไว้ ก่อนละกัน ยังไม่สนิทเท่าไหร่ว่ะ พวกมึงก็เป็นเหมือนครอบครัวของกู ยังไงถ้าสนิท กันมากขึ้นกูก็ต้องพามาให้รู้จักแหละ”
“มึงพูดเหมือนจะพาเมียมาให้กูดูตัวเลยสัส”
“เย้ย~ ไม่ใช่เว้ย! คือแบบ... ตอนนี้เขายังเป็นแค่คนรู้จักไง ตอนมึงไปออกหน่วย รู้จักใครใหม่มึงก็ไม่ได้พาทุกคนมาให้กูกับไอ้พวกนั้นรู้จักปะวะ” เตชิตตอบเสียงสู งมาก แบบที่ทั้งชีวิตยังไม่เคยต้องใช้โทนเสียงสูงขนาดนี้
รวินท์ขมวดคิ้ว แต่ก็เออออ “เออ ก็จริง”
“แล้วเมื่อวานเขาเลี้ยงข้าวกู เอากล้วยไม้มาให้กู วันนี้กูก็เลยจะเลี้ยงเขาบ้าง ก็ แค่นั้นแหละ”
“อือๆ โอเค เคสนี้ผ่านก็ได้”
เตชิตยกมือไหว้ “ขอบคุณครับพ่อ!”
พอถึงเวลาเลิกงาน ทันตแพทย์หนุ่มก็ขับรถตรงไปที่คอนโดมิเนียมใกล้ๆ กับหอพัก ของเด็กหนุ่มตามนัด ขับไปก็ระแวงหลังไปตามประสาคนมีชนักปักหลัง เพราะไม่รู้ ว่าไอ้วินกับไอ้พวกน้องๆ จะบ้าจี้ขับตามมาดูด้วยหรือไม่ เมื่อเล็งดูแล้วว่าไม่มีใคร ตามมาแน่ๆ เขาจึงเลี้ยวรถเข้าไปจอดในที่จอดรถใกล้ๆ กับสวนสาธารณะ
หลังจากจอดรถเสร็จก็กะว่าจะโทรตามเด็กหนุ่ม เขามาถึงก่อนเวลาตั้งครึ่งชั่วโม งกว่า ที่รีบออกจากคลินิกมาก็เพราะตอนแรกคิดว่าต้องขับรถวนไปวนมาเพื่อสลัด พวกที่ขับรถไล่ตามแบบในหนังเจมส์บอนด์ เวรกรรมแท้
ทว่าขณะที่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก็หันไปเห็นคนที่เขานัดไว้นั่งอยู่ที่ตรงม้านั่งใต้ ต้นไม้ใหญ่ในสวนสาธารณะเข้าพอดี
วันนี้เด็กหนุ่มใส่เสื้อผ้าฝ้ายคอจีนเหมือนเมื่อวานแต่คนละสี มีลายปักตรงสาบเสื้อ สวมทับเสื้อยืดข้างใน ส่วนกางเกงเป็นกางเกงผ้าขายาวสีเข้ม และรองเท้าแตะหนัง
เตชิตอมยิ้มเล็กน้อย เขาคิดว่าที่บ้านของคีรีคงจะปลูกฝังให้รักผ้าพื้นเมืองหรือไม่ ก็ตัดเสื้อผ้าใส่กันเองละมั้ง เพราะเด็กหนุ่มแต่งตัวแบบนี้ทุกครั้งที่เจอกัน
ทันตแพทย์หนุ่มก้าวออกจากรถเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย ยิ่งพอเข้าไปใกล้ เห็นท่า ทางกระวนกระวายของเด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าเอ็นดูดีเหมือนกัน
คีรีนั่งขยำขยี้หมวกแก๊ปในมือ สายตามองพื้น ถอนหายใจเฮือกๆ ทุกสิบวินาที ท่าทางเหมือนคนที่ตื่นเต้นมากๆ และกำลังพยายามสงบจิตสงบใจ
เตชิตย่องเข้าไปยืนใกล้ๆ หยุดยืนอยู่ทางด้านหลังแล้วค้อมตัวลง ให้ริมฝีปากอยู่ ในระดับเดียวกันกับใบหูของคนอ่อนวัยกว่า ห่างออกมาประมาณหนึ่งคืบ “มานั่ง ถอนหายใจอะไรตรงนี้น่ะคุณ”
คีรีหันขวับไปทางด้านหลัง “คุณเตชิต! ผมตกใจหมดเลย!”
เตชิตหัวเราะ แล้วเดินไปนั่งลงข้างเด็กหนุ่ม
“ทำไมคุณมาเร็ว”
“พอดีออกมาได้เร็วกว่าที่คิดไว้น่ะ แล้วคุณล่ะ มานั่งทำไรตรงนี้”
“รอคุณน่ะสิ”
“มารอตั้งแต่กี่โมง”
“ไม่นานหรอกครับ ก่อนสี่โมงนิดๆ”
“คุณจะรีบมานั่งรอผมทำไม นัดกันห้าโมงไม่ใช่เรอะ”
“โธ่ ให้รอคุณเตชิต รอตั้งแต่เช้าจนมืดสนิทก็ยังรอได้”
เตชิตส่ายหน้าไปมา ไอ้คำพูดที่ฟังดูกะล่อนแบบนี้กับใบหน้าที่ดูซื่อๆ แม่งไม่เข้ากัน ซะเลย “เอาจริงๆ แบบไม่ต้องมีมุกลุงผสมได้มะ”
คีรีประสานสายตากับทันตแพทย์หนุ่ม ก่อนจะพูดเสียงอ่อย “ก็ผมตื่นเต้น ตั้งแต่ เช้ามาทำอะไรก็ติดขัดไปหมด ยิ่งตอนบ่ายยิ่งแย่ ผมเลยเลิกทำหมดทุกอย่าง แล้ว มานั่งรอคุณดีกว่า”
“โห น่ารักเนอะ” เตชิตเอื้อมมือไปลูบศีรษะเด็กหนุ่ม “ตื่นเต้นทำไมน่ะ เมื่อวานก็ เพิ่งเจอกัน ก่อนหน้านั้นคุณก็หายไปได้เป็นอาทิตย์”
คนอ่อนวัยกว่าจับมือทันตแพทย์หนุ่มมากุมไว้ “ผมไม่ได้หายนะ แต่ยุ่งมากจริงๆ จะโทรหาคุณทีไรก็กลัวแต่ว่าคุณจะรำคาญ กลัวคุณไม่รับสาย กลัวว่าคุณจะทำงา นอยู่ กลัวไปสารพัด”
เตชิตหลุบตาลงมองมือของตนในมือของเด็กหนุ่ม ทว่าก็ปล่อยให้อีกฝ่ายกุมไว้ อย่างนั้น “คิดไว้รึยังว่าอยากกินอะไร”
“อะไรก็ได้ครับ แล้วแต่คุณเตชิตเลย”
“งั้นไปเซ็นทรัลกัน”
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น “เซ็น...เซ็นทรัล”
“อือ ปะ” ทันตแพทย์หนุ่มจับมือที่กุมมือเขาไว้แล้วลุกขึ้นพรวด กึ่งลากกึ่งจูงคน อ่อนวัยกว่าตรงไปยังรถที่จอดอยู่ “ไปๆ ขึ้นไปนั่ง”
เมื่อรถเคลื่อนออกจากที่จอดรถแล้ว คีรีก็พูดขึ้นเสียงอ่อย “เอ่อ ไปที่อื่นไม่ได้เห รอครับ”
“ทำไมล่ะ”
“คนเยอะ”
“อือ ก็จริง แต่ผมอยากไปซื้อของด้วย”
“หะ...หา!” เด็กหนุ่มเบิกตาโพลง
“มีอะไรรึไง”
“หมายความว่าคุณเตชิตจะไปเดินซื้อของด้วยเหรอครับ”
“ใช่ ไม่ได้เหรอ คุณว่างไม่ใช่รึไง”
“ว่าง... ว่างครับ” คีรีหันหน้าออกไปทางหน้าต่างกระจกรถ ก่อนจะเอาหมวกแก๊ป ในมือที่ขยำจนยับขึ้นมาสวม
ใช้เวลาไม่นานรถของเตชิตก็เคลื่อนเข้าไปจอดในที่จอดรถของห้าง จากนั้นทันต แพทย์หนุ่มก็เดินนำคนอ่อนวัยกว่าเข้าไปข้างใน
“หิวรึยัง”
“นิดหน่อยครับ”
“งั้นไปกินกันก่อนเนอะ แล้วค่อยมาเดิน” เตชิตเดินไปมองดูป้ายบอกแผนผัง ภายในห้าง “กินอาหารทะเลมั้ย แพ้รึเปล่า”
“ไม่แพ้ครับ”
“โอเค”
เมื่อทั้งสองคนนั่งลงที่โต๊ะ คีรีก็เอาแต่ก้มหน้า เตชิตจึงต้องเป็นคนสั่งอาหารให้ ทันตแพทย์หนุ่มได้แต่มองคนที่นั่งตรงข้ามกันอย่างงงๆ อะไรจะตื่นคนขนาดนี้วะ
“นี่คุณไม่ค่อยได้มาเดินห้างรึไงวะ”
คีรีพยักหน้าหงึกๆ
“ทำงานโรงแรมน่าจะชินกับคนเยอะๆ นะ แล้วหมวกน่ะ จะใส่ทำไม ไม่เกะกะหน้า เรอะ”
คราวนี้คนอ่อนวัยกว่าส่ายหน้ารัว “เห็นคนเยอะๆ แล้วผมประหม่า มือสั่นไปหมด เลย แบบนี้แหละดีแล้วครับ”
“เป็นนางอายเหรอวะคุณน่ะ” เตชิตขมวดคิ้ว จากจุดที่เขานั่งมองไม่เห็นหน้าเด็ก หนุ่มเลยด้วยซ้ำ เพราะอีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตา แต่เอาเถอะ เขาเองก็ไม่อยาก ทำให้เด็กหนุ่มอึดอัดใจไปมากกว่านี้ เดี๋ยวจะหนีลงไปขุดรูข้างใต้โต๊ะเสียก่อน
หลังจากกินมื้อเย็นกันเสร็จ ทันตแพทย์หนุ่มก็ชวนอีกฝ่ายไปกินไอศกรีมต่อ
“ไม่กินได้มั้ยครับ”
“อ้าว ไม่ชอบเหรอ”
คีรีส่ายหน้าไปมา “มันเย็น”
“เอ้า ไอติมไม่เย็นจะเป็นไอติมมั้ย หรือว่า...” ทันตแพทย์หนุ่มทำหน้าเครียดใส่ให้ คนอ่อนวัยกว่าหน้าเสีย
“หรือว่า...อะไรครับ”
“กินเย็นๆ แล้วเสียวฟันเหรอ”
“ไม่นะครับ” เด็กหนุ่มก้มหน้าลงพึมพำเสียงเบา “แต่ถ้าคุณเตชิตอยากชวนผม เสียว ทำอย่างอื่นก็ได้”
“โว้ย! ไอ้เด็กบ้า!” เจ้าของชื่อจ้องมองเด็กหนุ่มที่ยืนก้มหน้าก้มตาหลบทุกสิ่ง ราวกับว่าคนทั้งโลกเป็นเจ้าหนี้พลางถอนหายใจ พอหันมองไปทางร้านไอศกรีมก็ เห็นว่าคนเยอะด้วย ต่อแถวกันยาวเป็นหางว่าว “ไม่กินก็ไม่กิน งั้นปะ ไปซื้อของ กัน” เขาเดินนำเด็กหนุ่มเข้าไปในส่วนของตัวห้าง ตรงไปที่แผนกเสื้อผ้าจำพวกยีน เดนิม
คีรีหันรีหันขวาง เดินตามอีกฝ่ายไปก็ถอนหายใจไป แต่แล้วจู่ๆ ก็หยุดกึก
เตชิตเดินล่วงหน้าไปเล็กน้อย พอรู้สึกตัวว่าคนที่ควรจะเดินอยู่ใกล้ๆ กันหายตัว ไปก็หันกลับไปมองดู แล้วจึงพบว่าคนอ่อนวัยกว่ากำลังยืนคุยกับใครสักคนที่อยู่ ในชุดสูท เขารีบสาวเท้าเข้าไปหา
เมื่อคีรีหันมาเห็นเข้าก็รีบโบกมือลาคนที่ยืนคุยด้วย แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาทันต แพทย์หนุ่ม
“มีอะไรเหรอ”
“เปล่าครับ”
“คุยกับใครน่ะ”
“คนรู้จักที่ทำงานโรงแรมด้วยกันน่ะครับ”
“อ่อ” เตชิตมองตาม ทว่าคนที่คุยกับเด็กหนุ่มเมื่อครู่ก็เดินหายไปแล้ว “งั้นไปกัน ต่อเถอะ”
“ครับ”
ภายในแผนกยีนเดนิม ทันตแพทย์หนุ่มเลือกเสื้อยืดมาสองตัวกับกางเกงยีนอีก หนึ่งตัว แล้วส่งให้คนอ่อนวัยกว่า “เอ้า เอาไปลองให้ดูหน่อย”
“ฮะ! เดี๋ยวๆ จะให้ผมลองทำไม”
“ผมอยากเห็นคุณใส่เสื้อผ้าอย่างอื่นบ้าง”
คีรีอ้ำอึ้ง แต่ก็ไม่อยากขัดใจทันตแพทย์หนุ่ม เขารับเสื้อกับกางเกงมา แล้วเดินตรง ไปยังห้องลองเสื้อ โดยที่อีกฝ่ายเดินตามไปห่างๆ
พอเปลี่ยนเสื้อกับกางเกงเสร็จก็ชะโงกหน้าออกมาจากห้องลอง “เสร็จแล้วครับ”
“ก็เดินออกมาดิ๊”
เด็กหนุ่มก้าวออกมาช้าๆ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง จนคนที่นั่งรออยู่หัวเราะ ออกมาเบาๆ
“เขินอะไรวะคุณ ใส่แบบนี้ก็ดูดีออกนะผมว่า”
“คุณเตชิตชอบแบบนี้เหรอครับ”
“ก็ไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษหรอก แบบที่คุณใส่มาก็ดี ผมแค่อยากเห็นคุณแต่งตัว เหมือนวัยรุ่นทั่วไปบ้าง”
“คุณพูดเหมือนคุณเป็นลุงอายุสักหกสิบ”
เตชิตลุกขึ้น เดินไปจับเสื้อยืดที่คนอ่อนวัยกว่าใส่อยู่ พลางเดินมองวนไปรอบๆ “อือ ไซซ์พอดีเลยแฮะ กางเกงก็ไม่ต้องตัดขาด้วย
ผมไม่ค่อยเจอใครที่ไม่ต้องตัด ขากางเกงยีนเลยนะ เสื้อนี่ไม่คับไปใช่มั้ย” เขาพูดพร้อมกับสอดมือเข้าไปในตัว เสื้อ
พอปลายนิ้วทันตแพทย์หนุ่มสัมผัสถูกตัว คีรีก็สะดุ้งตัวเบาๆ สองแขนกระตุกยิกๆ แล้วยกขึ้นทำท่าจะรวบตัวคนที่มาด้วยเข้ามากอด
ทว่าเตชิตเงยหน้าขึ้นเสียก่อน “จะทำอะไรวะคุณ!”
“แอร์มันเย็น ผมหนาวครับ”
“อย่ามาเว่อร์ สรุปว่าเสื้อคับมั้ย”
“อืม คุณเตชิตลองสอดมือเข้ามาวัดให้ผมอีกทีสิครับ”
ทันตแพทย์หนุ่มอยากจะถีบคนอ่อนวัยกว่ากลับเข้าไปในห้องลอง แต่ก็ยังพยายาม วางมาดสุขุมไว้ “ผมว่าพอดีแหละ ไปถอดออกได้ละไป”
แต่คีรียังยืนรีรอ เตชิตจึงถามต่อ “รออะไรวะคุณ”
“เข้ามาดูผมเปลี่ยนเสื้อมั้ยครับ มองมาผ้าหลุด” ไม่พูดเปล่าแต่จับชายเสื้อกระพือ ให้ทันตแพทย์หนุ่มเห็นซิกแพ็คของตัวเองแวบๆ ด้วย
เตชิตยกมือขึ้นคลึงขมับ “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไป๊”
คนอ่อนวัยกว่าทำหน้าเซ็งเล็กน้อย ผลุบเข้าไปในห้องแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ แล้วก็เดินออกมาอย่างว่องไว “เสร็จแล้วครับ”
ทันตแพทย์หนุ่มหยิบเสื้อผ้าจากในมืออีกฝ่ายมาถือไว้ ก่อนจะเดินเอาไปส่งให้พนัก งาน หากพอหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา เด็กหนุ่มก็คว้าแขนเขาไว้ทันที
“คุณจะทำอะไร”
“ก็จะจ่ายค่าเสื้อผ้าน่ะสิ” เตชิตส่งเงินให้พนักงาน แล้วหันกลับมาทางเด็กหนุ่ม “คุณจะได้มีเสื้อผ้าแบบอื่นไว้ใส่บ้างนะ”
“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้”
“เมื่อวานคุณยังเอาดอกกล้วยไม้มาให้ผมเลย ทำไมผมจะให้คุณบ้างไม่ได้” ทันต แพทย์หนุ่มยกมือขึ้นตบไหล่คนที่ยืนทำหน้าขรึมอยู่ตรงหน้า “รับไว้เถอะ ผมอยาก ให้ แล้วคราวหน้าใส่มาด้วยนะ”
คีรียิ้มมุมปาก “คราวหน้า... หมายถึงนัดของเราคราวหน้าใช่มั้ยครับ”
แววตาพราวระยับของเด็กหนุ่มเป็นผลให้เตชิตชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “เออ”
“งั้นก็ได้ครับ”
พอพนักงานเดินเอาถุงกระดาษมาส่งให้ เตชิตก็รับมาแล้วส่งต่อให้เด็กหนุ่ม “เอ้า”
คนอ่อนวัยกว่ายกมือไหว้ “ขอบคุณครับ”
ทันตแพทย์หนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยน เขาตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “ไปไหนกันต่อดี คุณอ ยากไปไหน หรือจะกลับ”
“ยังไม่กลับครับ!” คีรีรีบตอบ “ไป... ไปขึ้นดอยกันดีกว่า คุณเตชิตเคยขึ้นไปดูวิว เชียงใหม่บนดอยสุเทพรึยัง”
“ยังเลย ก็ดีเหมือนกันนะ งั้นไปกัน”
*TBC*
ป๋ามั่ยป๋า มีพาเด็กดอยมาเปย์ด้วย 555555 หลงเชื่อตาใสๆ หน้าซื่อๆ ไม่ได้รู้ตัว เล้ยยย คนเรา!
ส่วนที่มาของเรื่องที่หมอเต้เซนส์สิถีพกับชาวเขาแบบเต็มๆ นั้น อยู่ในเล่มของภู สอยเดือนแหละค่ะ งานหนังสือเดือนตุลาคมนี้เจอกับพี่วินและน้องพิงค์ได้ที่บูทเอ เวอวายน้า~ /เนียนขายของซะเรย กรีสสสส
ขอบคุณคนอ่านที่น่ารักทุกคนมากค่ะ ตอนนี้ลงสั้นๆ ก่อนน้า ขอเที่ยวก่องงง~