IT is เต็มสิบ.19
“ผมไม่กลับบ้านนะ คืนนี้ผมจะค้างที่บ้านคุณ”
ถึงจะทำให้รู้สึกดีด้วยขนาดไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ทำตามใจชอบได้อย่างที่ต้องการหรอกนะ
ธีรพลส่ายหน้าและรีบปฏิเสธไม่ให้เต็มสิบค้างด้วยและเต็มสิบก็ส่ายหน้าตอบกลับแบบที่ธีรพลทำ
“ผมไม่มีเน็ตใช้ ลืมจ่ายค่าเน็ต เนี่ยมันจำเป็นมากเลยนะ ไม่งั้นงานผมไม่เสร็จแล้วผมจะทำยังไง”
หาข้ออ้างที่สมเหตุสมผลได้ แต่ธีรพลก็ยังส่ายหน้าไม่ยอมให้ค้างด้วยอยู่ดี
“ธีอ่า”
นี่ตีสนิทด้วยการเรียกชื่อเล่นสั้น ๆ แบบนี้เลยเหรอ คิดว่ามันจะทำให้อะไรง่ายขึ้นหรือไง
“ไม่ให้ค้าง ไม่ต้องพูดมาก กลับบ้านไป”
โดนไล่ให้กลับบ้าน และเต็มสิบก็ทำหน้ายุ่ง รีบชี้มือไปที่นาฬิกาให้ธีรพลดูเวลา
“กลับไม่ได้ มันดึกแล้ว อันตรายด้วย ซอยบ้านผมเปลี่ยวมาก”
เหตุผลเรื่องความปลอดภัยก็น่าจะพอได้อยู่นะ
“กลับบ้านไป”
ใจร้ายใจดำ ทำไมถึงทำกันได้ลงคอ
เต็มสิบไม่ยอมกลับและทิ้งตัวลงนอนบนพื้นกอดแตงกวาที่นอนอยู่เอาไว้แน่นและทำท่างอแงเหมือนเด็ก ๆ ดูแล้วไม่ได้น่ารักแต่ชวนให้น่าหมั่นไส้มากกว่า
“นอนกรงหมากับแตงกวาก็ได้ น๊า ขอค้างหน่อย น๊า”
ธีรพลได้แต่ส่ายหน้าและถอนหายใจยาว มองคนที่ลงไปนอนกอดหมาโกลเด้นตัวโตอยู่บนพื้นแล้วก็พูดอะไรไม่ออก
“เสื้อผ้าก็ไม่มีให้หรอก จะนอนทั้งเน่า ๆ อย่างนั้นก็ตามใจ”
นี่ไม่ใช่ปัญหาเลย นี่มันคือเรื่องเล็กมว้ากกกกกกกกกกก
เต็มสิบลุกขึ้นนั่งและส่งยิ้มให้ธีรพลที่ไม่ยอมให้ค้างด้วย
“นี่ไง ครบ ผ้าขนหนูก็มี”
ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่เต็มสิบหยิบแปรงสีฟันออกมาจากกระเป๋าเป้และแสดงให้ธีรพลได้รู้ว่ามีการเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี
“คุณเต็มสิบ!”
โดนเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงดุ ๆ และเต็มสิบก็ยิ้มกว้าง ไม่ได้สำนึกกับการถูกเรียกแบบนี้เลยสักนิด
“คนเรามันต้องมีการเตรียมพร้อมไง ผมนอนออฟฟิศบ่อย จะแปลกอะไรที่จะมีเสื้อผ้าแล้วก็ของใช้จำเป็นติดกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา ชิมิ”
ชิมิบ้าอะไร
“ใครเชื่อก็โง่แล้ว”
หมอนอิงที่วางอยู่บนโซฟาถูกขว้างใส่และเต็มสิบที่นั่งยิ้มก็รับหมอนที่ธีรพลขว้างมาได้และกอดหมอนอิงเอาไว้แน่น เป็นการหยอกล้อที่ไม่จริงจัง เพราะคนขว้างหวังผลแค่ให้หายหมั่นไส้แค่นั้นเอง
“ผมค้างได้แล้วชิป่ะ”
การลอยหน้าลอยตาและพูดจาด้วยภาษาแปลก ๆ ของเต็มสิบยิ่งเพิ่มระดับความน่าหมั่นไส้ขึ้นไปอีกสิบเท่า ธีรพลอยากจะพูดอะไรมากกว่านี้อีกหน่อย แต่เต็มสิบรีบลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ ทำเหมือนเป็นบ้านตัวเองและธีรพลก็ได้แต่มองตาม
ไม่ได้เคร่งครัดขนาดจะยอมไม่ได้ แต่การกระทำที่ดูจงใจแบบนี้ของเต็มสิบมันก็ดูล้นจนเกินไปจนกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ต้องหัวเราะออกมาด้วยความขำ
คนที่ทำให้ธีรพลยอมอ่อนข้อให้แบบนี้มีไม่มากนัก และเต็มสิบก็เป็นหนึ่งในนั้น สิ่งที่ธีรพลทำคือเดินขึ้นไปบนบ้านและไปหยิบผ้าห่มลงมาหนึ่งผืน
ถึงจะยอมให้ค้างได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้อย่างที่ใจต้องการไปหมดทุกเรื่อง วันนี้ก็ให้ได้แค่นี้ นอนที่โซฟาไปก่อนแล้วกัน ส่วนเรื่องของวันหน้าค่อยมาว่ากันอีกที
+++
“หยิบเสื้อผ้ากับผ้าขนหนูให้หน่อยได้มั้ย ผมลืมหยิบเข้ามาด้วย”
เสียงตะโกนจากในห้องน้ำทำให้ธีรพลที่กำลังพับผ้าห่มวางเอาไว้บนโซฟาต้องหันไปมองที่กองเสื้อผ้าของเต็มสิบที่วางเอาไว้ไม่ได้เอาเข้าไปในห้องน้ำด้วย
แล้วทำไมไม่หยิบเข้าไปด้วย จะวางทิ้งไว้ตรงนี้ทำไม
“นี่ ผมเห็นนะว่าตอนที่คุณเดินไปคุณเอาเสื้อผ้าเข้าไปด้วย แล้วทำไมตอนนี้ยังวางอยู่ตรงนี้อีก คุณตั้งใจใช่มั้ย”
ถามไปไม่รู้จะได้คำตอบที่แท้จริงหรือเปล่า แต่เสียงตะโกนที่ตอบกลับมาทำให้ธีรพลต้องส่ายหน้าและถอนใจยาว
“ตอนแรกก็ว่าจะตั้งใจนั่นแหละ แต่ตอนเดินออกไปเอาที่โกนหนวดผมก็ถือติดมือไปด้วย กลายเป็นลืมจริง ๆ เลยทีนี้ งั้นไม่เป็นไรเดี๋ยวผมเดินออกไปเอาเองก็ได้ แต่เสื้อผ้าที่ผมใส่ผมซักหมดแล้ว ตอนนี้ผมไม่ได้ใส่อะไรเลยนะ”
มีใครทำได้แบบนี้อีกมั้ย
ยอมรับว่าตั้งใจและสุดท้ายกลายเป็นลืมจริง ๆ
ธีรพลไม่รู้จะพูดยังไง ทำได้แค่ถือเสื้อผ้าและผ้าขนหนูที่เต็มสิบต้องใช้และเดินไปที่หน้าห้องน้ำ และคนที่อยู่ในห้องน้ำก็เปิดประตูออกมาในสภาพที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเปียกโชกไปหมดทั้งตัวและไม่มีเสื้อผ้าติดกายเลยสักชิ้นอย่างที่พูดจริง ๆ
“คุณนี่เป็นคนที่ไม่มีความละอายดีนะ”
นั่นเรียกว่าคำชมหรือเปล่าไม่รู้ และสิ่งที่เต็มสิบทำคือยักไหล่และส่งยิ้มน้อย ๆ ให้คนที่ส่งเสื้อผ้าให้
“ขอบคุณที่ชมนะครับ แต่ผมไม่รู้ว่าจะอายไปทำไม ต่อไปก็ต้องเห็นกันหมดอยู่แล้ว”
ดีนะ พูดจาชัดเจนไม่อ้อมโลกดี
เต็มสิบรับเสื้อผ้ามาพาดไว้ที่บ่า และใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัว ทั้งที่ธีรพลยังยืนอยู่ตรงหน้า
“คุณจะอาบน้ำกับผมมั้ยล่ะ ให้อาบอีกรอบพร้อมคุณผมก็โอเคนะ”
เต็มสิบเอียงคอเล็กน้อยและหันไปทางห้องน้ำเพื่อชวนให้ธีรพลเข้าไปอาบน้ำด้วยกันและธีรพลก็เบะหน้า ไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเต็มสิบอีก
“ผมจะขึ้นบ้านนอนแล้ว ผ้าห่มอยู่บนโซฟา ร้อนก็เปิดพัดลมเอาแล้วกัน”
เต็มสิบฟังที่ธีรพลบอก หลังจากเช็ดตัวเรียบร้อยและเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่ชุดลำลองที่เป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นแล้วก็เดินตามธีรพลมาที่โซฟา เต็มสิบนั่งลงบนพื้นและเริ่มจัดการงานที่ค้าง
“คุณลืมจ่ายค่าอินเตอร์เน็ตจริง ๆ เหรอ”
โดนถามอีกครั้งและเต็มสิบก็หันมามองคนที่ถาม
“อือ ผมหาบิลไม่เจอ ปกติที่บ้านจะไปจ่าย แต่เขาไปเมืองจีนกันหมด สงสัยลืม”
ก็แปลว่า จำเป็นต้องทำงานจริง ๆ อย่างที่พูด
“นี่คุณตั้งใจมาค้างบ้านผมตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ย”
เต็มสิบไม่ได้ตอบ แต่พยักหน้ารับ และยังสนใจอยู่กับงานของตัวเองที่ยังค้างอยู่และต้องเร่งให้เสร็จภายในคืนนี้
“อืม”
ยอมรับออกไปตรง ๆ และธีรพลก็พยักหน้าตาม
ชัดเจนดีนะ
ไม่อ้อมโลก และไม่ต้องให้เสียเวลาต้องคิดหรือเดา
“จะทำถึงกี่โมง”
เรื่องนั้นมันยากเกินกว่าที่เต็มสิบจะสามารถคาดเดาได้ มองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังรันข้อมูลและลุกขึ้นไปนั่งบนโซฟาข้าง ๆ ธีรพลและขมวดคิ้วมุ่น
“ไอ้เฟืองมันพูดว่ามันจะออก งานของมันอาจจะต้องโอนมาที่ผมทั้งหมด ผมก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จกี่โมงเหมือนกัน ผมเหนื่อยมากเลยนะช่วงนี้”
แบบนี้เรียกว่าอะไร แค่เล่าเรื่อง หรืออ้อน หรือขอความเห็นใจ
“บอกผมทำไม”
เต็มสิบไม่รู้ว่าบอกเรื่องนี้กับธีรพลทำไม ถ้าจะหาเหตุผลก็คงไม่มี สิ่งที่เต็มสิบมีก็แค่ทำหน้าเหมือนคนที่กำลังเหนื่อยกับงานมาก ถอนหายใจยาวและดึงมือของธีรพลมาจับเอาไว้
“ทำอะไร”
นี่ก็อีกเรื่องที่ไม่รู้ว่าทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้ไปทำไม
เต็มสิบเขย่ามือของธีรพลเล่นระหว่างที่รอให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลข้อมูลไปเรื่อย ๆ
“นี่ผมอ้อนคุณอยู่นะ ช่วยเห็นใจผมหน่อยเถอะ พูดอะไรก็ได้ให้ผมรู้สึกว่าคุณให้กำลังใจผมหน่อยได้มั้ยครับ ผมอยากได้แค่นี้เอง”
อ่อ
“ผมไม่พูดจาแบบนั้นหรอกนะ มันไร้สาระ คุณเลิกหวังได้เลย”
เต็มสิบหัวเราะออกมาเสียงเบา ไม่ได้โกรธเคืองสิ่งที่ธีรพลพูดเลยสักนิด มองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลข้อมูลเสร็จเรียบร้อยและเต็มสิบก็ลงมานั่งอยู่บนพื้น เพื่อทำงานของตัวเองต่อไป
และธีรพลก็ลุกขึ้น เพื่อจะเตรียมตัวขึ้นนอนเพราะเมื่อมองไปที่นาฬิกาก็เห็นว่าดึกมากแล้ว
“เต็ม”
เรียกคนที่กำลังนั่งทำงานและเต็มสิบก็ขานรับและหันมาตามเสียงเรียก
“หืม”
“..............”
“..............”
“..............”
“ทำงานเสร็จแล้วก็รีบนอน อย่าให้ดึกมากแล้วกัน”
เต็มสิบก็แค่พยักหน้ารับและหันกลับมาสนใจกับงานของตัวเองที่ค้างอยู่
ธีรพลเดินขึ้นบ้านไปแล้ว และเต็มสิบก็นั่งทำงานไปคนเดียวเงียบ ๆ
ใบหน้าที่เรียบเฉย เริ่มมีรอยยิ้มจุดขึ้นที่มุมปาก และเริ่มยิ้มกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ธีรพลทำก่อนที่จะเดินขึ้นไปนอน
ธีรพลก็แค่จูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากของเต็มสิบแค่นั้น
แต่มันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ทำให้เต็มสิบยิ้มได้
ไม่ยอมพูดจาให้กำลังใจ แต่การกระทำของธีรพลมันทำให้มีกำลังใจมากกว่าคำพูดไม่รู้กี่สิบเท่า
เต็มสิบทำงานไปยิ้มไปอย่างมีความสุขและธีรพลที่นอนอยู่บนเตียงก็ค่อย ๆ หลับตาลงอย่างช้า ๆ พร้อมกับรอยยิ้มอย่างมีความสุขไม่ต่างกัน
TBC.