Ep. 13
[ธนู]
ผมไม่คิดว่ารบจะอยากรู้เรื่องที่ผมแอบชอบมันมานานขนาดนั้น
มันตั้งใจทำงาน รอคอยให้เวลามันมาถึงตอนที่ผมกับมันนัดกันเอาไว้ บอกตามตรงว่าผมเองก็ไม่ค่อยอยากจะเปิดเผยให้มันรู้เรื่องราวในส่วนนี้ของผมเท่าไหร่ เนื่องจากตอนนี้นั้นเรียกได้ว่าผมแม่งบูชารบยิ่งกว่าพระพุทธรูปองค์ไหนๆ (บาปของไม่กินกบาลผมใช่มั้ย) ถ้ามันรู้อีกผมกลัวว่ามันจะได้ใจ...
ก็ในเมื่อตอนนี้...มันได้ใจผมเยอะชนิดที่ว่าผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าผมจะหลงใหลมันอะไรขนาดนั้น
มันเขกกะโหลกผม...ผมไม่โกรธ
มันเสียงดังใส่ผม...ผมก็ไม่โกรธ
แบบนี้จะไม่ให้เรียกว่าผมหลงมันได้ยังไง ยิ่งมันต้องการจะฟังในสิ่งที่ผมเพียรพยายามจะปิดบังเอาไว้แม้กระทั่งกับเพื่อนสนิท ผมก็ยิ่งรู้เลยว่าแม่งต้องใช้เรื่องนี้มาวางอำนาจข่มผมแน่ๆ
แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องยอมแม่งอยู่ดี
“ทำไมรบยังไม่เก็บของกลับบ้านอีกวะ” การ์ดเดินเข้ามากระซิบถามผม “ปกติมันติดบ้านจะตาย เอ๊ะ หรือว่าวันนี้มันจะนอนกับมึงอีกคืน”
ผมไม่ตอบ เอาแต่สบตากับมันแล้วก็ยิ้ม
“ได้ งั้นกูกับเพื่อนจะถอยให้” การ์ดตบไหล่ผม
“ขอบใจ” ไม่ต้องพูดอะไรมากเพื่อนแม่งก็รู้ใจผม
“พวกกูกลับมาที่นี่พรุ่งนี้ตอนหกโมงเช้านะเว้ย”
“อ่าฮะ”
“หกโมงเช้า...เป๊ะนะ” การ์ดย้ำ
“สัด คนบ้าอะไรจะทำถึงตอนหกโมงเช้า” ผมหลุดปากกับเพื่อน โชคดีที่มันรู้ใจผมมากพอที่จะไม่ล้อเลียน
แม้รบจะไม่อยากให้คืนนี้มีอะไรเกิดขึ้น...แต่ผมกับมันอยู่ด้วยกันแค่สองคนแถมบรรยากาศยังเป็นใจโคตรๆ ยังไงก็ต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นนั่นแหละ
การ์ดยิ้มเบาๆ ก่อนที่มันจะเดินไปหาเพื่อนๆ เพื่อแจ้งข่าวนี้
ผมเชื่อว่าเพื่อนๆ ของผมคงจะรับรู้ได้ในทันทีหลังจากฟังสิ่งที่การ์ดพูด เพราะทันทีที่พวกมันเคลียร์ทุกอย่างในร้านหลังจากที่ร้านปิด พวกมันก็เริ่มคุยๆ กันว่าวันนี้จะไปนอนบ้านใครดี
บ้านของไอ้ก้องคือบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุด...ผมแอบรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ทำให้เพื่อนๆ ต้องระหกระเหินไปนอนกันที่อื่น แต่จะให้ผมทำยังไง บางทีผมก็อยากอยู่กับรบแค่สองต่อสอง...
พวกกูสองคนขอแค่คืนนี้นะเพื่อน...
“อะไรวะนั่นน่ะ” รบมองดูเพื่อนๆ ของผมนั่งรถออกไปกันหมด ก่อนจะหันมาหาผม “ผลงานของมึงใช่มั้ย”
“เปล่าสักหน่อย พวกมันไปเอง” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่ยังไงรบมันก็ไม่มีทางเชื่อผมแน่นอน มันรู้จักผมดีจะตาย
ดูจากการหรี่ตามองผมก็รู้ “มึงไม่เห็นใจกูบ้างเลยเหรอ”
“หืม”
“เมื่อคืนมึงจัดหนักมาแล้วนะเว้ย”
“จัดหนักก็จัดอีกได้...”
“ไอ้...” มันเอาศอกมาถองผม
“ขึ้นไปอาบน้ำก่อนเถอะ กูขอไปล็อกร้านก่อน”
“อื้ม”
คู่อื่นเป็นยังไงผมไม่รู้นะ แต่ผมกับรบคุยกันตรงๆ แบบนี้มันก็ดีไปอีกแบบ แม้ว่าปากมันจะด่าผม แต่ผมเชื่อว่าถ้าหากคืนนี้มีอะไรเกิดขึ้น ยังไงมันก็ต้องยอมผมอยู่ดีนั่นแหละ
เพราะผมคิดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว...อยู่กันสองกันสองในตึกที่มีแต่ป่าล้อมรอบ บรรยากาศแม่งโคตรจะเป็นใจอย่างยิ่ง
แม้ว่าก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้น...ผมต้องกล้ำกลืนฝืนทนตอบคำถามที่ทำให้ผมเขินอายฉิบหายก็ตาม
ผมอาบน้ำเสร็จตอนเกือบเที่ยงคืน
รบกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงระหว่างที่ผมกำลังเช็ดผมอยู่
“มึงใส่เสื้อหน่อยก็ได้” มันพูดขึ้นมา...ผมนึกว่ามันจะสนใจโทรศัพท์มากกว่าผมอยู่ซะอีก “กูเปิดแอร์หนาว”
“กูไม่ใส่” ผมสวนกลับยิ้มๆ “หุ่นกูดี กูอยากอวด”
มันทำหน้าเบื่อโลกใบนี้ใส่ผม แต่ก็วางโทรศัพท์ลงตอนที่ผมขึ้นไปบนเตียงเพื่อนั่งข้างๆ ผมเห็นมันนั่งนิ่งๆ แล้วก็จ้องหน้าผมอยู่นาน จึงทำให้ผมต้องถามมันว่ามันรออะไรอยู่
“อะไรของมึงวะ”
“เอ๊า...จูบไง” มันพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องที่มันต้องเขินอะไร
อา...ไอ้สัดเอ๊ย น่ารัก “ก็จูบสิ...รออะไรล่ะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ แต่มือของมันมาขวางหน้าผมเอาไว้ซะก่อน
“มึงบอกแล้วนะว่าหนึ่งจูบต่อหนึ่งคำถาม”
ผมยักไหล่ “กูพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว”
มันพยักหน้ารับ ก่อนจะค่อยๆ เลียริมฝีปากล่างของตัวเอง ริมฝีปากของเราทั้งสองเขยิบเข้าไปใกล้กันเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ประกบกัน ผมสอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของมันแทบจะในทันที จากนั้นเสียงดูดดุนของริมฝีปากก็กลายเป็นเสียงที่ดังที่สุดในห้องของผม
“พอ!” มันดันตัวผมออกทั้งๆ ที่ปากมันเริ่มจะบวมแดงนิดๆ “มัน...เกินไปแล้ว”
“ก็คำถามมึงมันเป็นความลับของกู...มึงก็ต้องทำอะไรให้มันคุ้มหน่อย”
“กูจะถามแล้ว” รบเอามือปาดริมฝีปากของตัวเองแล้วเริ่มถาม “มึงชอบกูตั้งแต่ตอนไหน”
เจอคำถามแรกเข้าไป...ผมก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเลย คือมันเขินน่ะครับ มันไม่ได้มีเหตุผลอื่นเลย
“ไม่รู้” ผมตอบความจริง “เอาล่ะ กูตอบแล้ว...อยากถามอีกป่ะ ถ้าอยากถามอีกก็ต้องจูบอีก”
มันกำกำปั้นแล้วเขกหัวผม “อย่ากวนตีน”
“ก็มันไม่รู้จริงๆ” ผมเถียง “จำหน้าได้ตั้งแต่วันรายงานตัว...แล้วก็มองๆ มาโดยตลอด”
“อืมมม” รบนิ่งคิดเหมือนพยายามนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ “กูก็จำมึงได้ตั้งแต่วันนั้นเหมือนกัน”
ไม่ยักรู้มาก่อนแฮะ “ใช่เหรอ วันนั้นมึงไม่ได้มองกูเลยนะ”
“สาด” รบร้อง “คนอย่างมึงมองจากไกลๆ ก็เห็นมั้ง”
ผมยิ้มมุมปาก “งั้นก็แสดงว่า...วันนั้นมึงก็แอบมองกูเหมือนกันเหรอวะ”
“ก็...” มันตัดสินใจก่อนจะโบกมือปัดๆ “คำถามที่สอง...”
ผมเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้มันก่อนที่มันจะถาม มันส่ายหน้าอย่างระอาใส่ผม แต่มันก็...เลื่อนใบหน้าเข้ามาจูบผมอีกครั้ง คราวนี้ทั้งอ่อนโยนและก็อ่อนหวาน หวานซะจนผมไม่อยากให้มันผละริมฝีปากออกไปจากผมเลย
“โห...จูบเสร็จแล้วก็มาเลียปากล่างให้กูดู แบบนี้ให้กูทำไงอ่ะ”
“คำถามที่สอง...” มันทำเป็นไม่สนใจเสียงโอดครวญของผม แต่ก็ยอมให้ผมรั้งเอวของมันให้ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น “จริงๆ แล้วมึงไม่ได้เกลียดหรือโกรธกูเลยสักครั้งใช่มั้ย”
คำถามนี้ง่ายแฮะ...
“ใช่ มากสุดก็คือเซ็ง เพราะมึงเอาแต่มองไอ้การ์ด” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อหวังให้มันจูบผมอีก
คราวนี้มันจูบไวมาก แม่งเรียกว่าจุ๊บน่าจะถูกกว่า “คำถามต่อไป...ที่ผ่านมามึงชอบกูมากมั้ย”
รู้สึกเสียเปรียบฉิบหาย แต่ก็นั่นแหละ...ผมยอมไอ้คนตรงหน้านี่ตลอดเวลาอยู่แล้ว คร่ำครวญในใจไปก็เสียเวลาเปล่าๆ
“อืม...มากจนล้น มันระเบิดออกมาตั้งแต่กูสวมรอยเป็นการ์ดนั่นแหละ”
ใบหน้าของรบแดงแปร๊ด ผมเลือกที่จะหยุดมองมันอยู่แบบนั้นแทนที่จะบุกเข้าไปจูบมันอีก
“แล้วมึงล่ะ...ชอบกูบ้างป่ะ” ผมถามบ้าง
มันพ่นลมใส่หน้าผม “ถ้ากูไม่ชอบ...วันนั้นกูคงเตะผ่าหมากมึงไปนานแล้ว”
ลองนึกย้อนกลับไป...คืนนั้นไอ้รบเองมันก็เคลิ้มๆ
“ไม่ใช่มั้ง เพราะมึงเป็นคนหื่นกับทุกคนหรือเปล่า” ผมถามต่อเพื่อต้องการหาความฟินใส่ตัวเอง
“ธนู...มันไม่ใช่แบบนั้นนะ” รบเอื้อมมือมากอดรอบคอของผม สงสัยแม่งกลัวว่าผมจะคิดมากกับเรื่องนี้ล่ะมั้ง เมื่อเห็นอย่างนั้นผมจึงแกล้งทำหน้าบูดบึ้งต่อไป “วันนั้นกูดี๊ด๊าที่จะนอนกับการ์ดก็จริง แต่ถ้าคืนนั้นเป็นการ์ด แทนที่จะเป็นมึง...กูคงทำไม่ลงว่ะ”
ผมเบ้ปาก... “เชื่อดีมั้ยเนี่ย” กิตติศัพท์ไอ้นี่ยาวเป็นหางว่าว...โดยเฉพาะในแวดวงผู้ชายตัวเล็กๆ จะให้ผมเชื่อมันได้ยังไง
“เชื่อกูเถอะนะ”
ตอนนี้รบกำลังคิดไปเองว่าผมซีเรียสเรื่องนี้อยู่ ทั้งๆ ที่ผมมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จริงๆ แล้วผมเป็นคนขี้หึงครับ แต่เพราะการกระทำของมันในคืนนั้นบอกผมไปหมดแล้วว่ามันคิดยังไงกับผม ฉะนั้นผมจึงไม่กลับไปคิดเล็กคิดน้อยหรอก
แต่ตอนที่มันอยู่ใกล้ๆ ไอ้การ์ดเมื่อเร็วๆ นี้...ผมหึงจริง ผมยอมรับเลย
ก็พวกแม่งเล่นคุยกันงุ้งงิ้ง ผมนั่งหัวโด่อยู่บนระเบียงแท้ๆ ยังจะมายิ้มหน้าระรื่นเย้ยผมอีก (?)
ดูเหมือนใบหน้าเซ็งๆ ของผมจะได้ผล...เพราะตอนนี้รบกำลังง้องอนผมอย่างหนัก พอเพื่อนๆ ของผมไม่อยู่ ไอ้รบมันกล้าแสดงออกกับผมมากเลยแฮะ...
แบบนี้ปลูกบ้านให้เพื่อนแม่งแยกไปอยู่อีกหลังดีมั้ยนะ
มันเข้ามากอดผมจนตัวของมันคร่อมผมไปหมดทั้งตัว ผมได้แต่อ้าปากค้างมองดูคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาตื่นตาตื่นใจ
“เอางี้ดีมั้ย...” ผมค่อยๆ พูด รู้สึกว่าตัวเองต้องกลืนน้ำลายกับการออดอ้อนของคนตรงหน้า “กูแอบชอบมึงก็คือแอบชอบมึง การแอบชอบมันต้องเป็นยังไง กูก็เป็นไปตามนั้นทุกอย่างนั่นแหละ”
“ก็แค่อยากฟัง...ไม่ได้เหรอวะ”
ถ้าผมปล่อยมันให้รอดเงื้อมมือไป...อย่าเรียกผมว่าธนูเลยดีกว่า
“เสียใจ...กูไม่ได้ชอบมึงแล้ว”
มือของผมเอื้อมไปปิดสวิตช์ไฟจนเหลือแต่แสงไฟสลัว
“แต่กูรักมึงเลย”
ผมไม่รู้ว่าผมสามารถปลุกอารมณ์อีกฝ่ายได้หรือเปล่า แต่การที่จู่ๆ รบขยับเข้ามาจูบริมฝีปากผมชนิดที่ว่าทั้งฝังลึกและดื่มด่ำ ผมเชื่อว่ามันได้ผลอยู่บ้าง...
มันจูบผมนานกว่าที่ผมคิด...ความรู้สึกของความปรารถนาระหว่างผมกับมันเหมือนผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน จนรบต้องครางฮือออกมาขณะที่กำลังจูบผมอยู่
“จูบครั้งนี้กูให้สามคำถามเลย...” ผมกระซิบบอกคนตรงหน้า...เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้นี่เองว่าแสงไฟช่วยสร้างบรรยากาศได้มากโขเลยทีเดียว
“ใจดี” มันยิ้มกริ่ม ริมฝีปากของมันยังไม่ห่างจากริมฝีปากของไปไหน ทวงท่าของมันคล้ายกับเหยื่อที่กำลังอ่อยเสือ ซึ่งทำให้ผมกลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า “ถ้าชอบกูมากขนาดนั้น ทำไมไม่เข้าหากูตั้งแต่แรกๆ วะ”
“ก็ดูสเปกมึงแต่ละคนดิ กูต่างจากนั้นฉิบหาย” ผมใช้มือเกลี่ยใบหน้าของมันอย่างแผ่วเบา
“ไม่ลองจะไปรู้ได้ยังไง”
“นั่นสิ” ผมยิ้ม “ถ้ารู้ว่าจะเป็นงี้...กูพุ่งเข้าหามึงนานแล้ว”
“มึงไม่สนใจสายตาคนรอบข้างเหรอวะ สมมติถ้าเราคบกัน” ตอนนี้มันเริ่มถามไปเรื่อยเปื่อย บางทีมันอาจจะกำลังเขินสายตาของผมก็เป็นได้ หรือไม่ก็พยายามไม่โฟกัสกับมือของผมที่เปลี่ยนมากอบกุมสะโพกของมันพร้อมกับบีบคลึงไปมา
“ใครจะกล้ามาว่าอะไร” ผมไม่เคยแคร์ใครหน้าไหนอยู่แล้ว...นอกจากเพื่อนๆ และก็มัน
“ไม่รู้สิ เราเป็นผู้ชายตัวควายทั้งคู่นะ”
ผมแกล้งหน้าบึ้งไปทีหนึ่ง “งั้นก็แสดงว่า...ตอนเปิดเทอมปีสี่มึงจะปิดเรื่องกูคบกับมึงที่มอใช่มั้ย”
“เปล่าซะหน่อย” มันจูบผมแรงๆ ราวกับอยากเอาอกเอาใจ “ขี้งอนจังวะ”
“ก็ดูคำถามมึงดิ”
“กูก็แค่ถามดู”
“...”
“บรรยากาศมันจะต่างจากที่เคยเป็นมาสักหน่อย...มึงต้อง...”
ผมไม่ยอมให้มันพูดต่อ เพราะผมขยับใบหน้าเข้าไปจูบมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คราวนี้มันคงตัดสินใจเลิกคุยกับผมแล้ว ดูจากมือที่กอดลำตัวของผมอย่างแนบแน่น
มันทั้งจูบทั้งเอียงใบหน้าเข้ามาไซร้ซอกคอของผม...การที่มันอยู่เหนือผมนิดๆ แบบนี้ทำให้มันกลายเป็นฝ่ายควบคุมเกมรักของเราที่กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง
มันจูบไปทั่วลำตัวท่อนบนของผม...มือปัดป่ายไปทั่วร่างอย่างแผ่วเบาแต่ทว่าร้อนแรง ผมไม่แน่ใจว่ามันรีบหรือว่าอะไร...เพราะริมฝีปากบางเฉียบนั่นเลื่อนไปถึงบริเวณหน้าท้องของผมแล้ว
“เคยมีพุงมั้ยเนี่ย” มันพูดไปจูบไป
“ชอบป่ะล่ะ” ผมแกล้งเอามือประสานท้ายทอยตัวเองเพื่อให้มันกระทำให้ผมอย่างสบายใจเฉิบ จนมันอดส่งสีหน้าหมั่นไส้มาให้ผมไม่ได้
ผมแอบเห็นมันยิ้มกริ่ม
เราทั้งคู่ชอบเอาชนะกันอยู่เสมอ...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ตาม
“ยิ้มให้ได้ตลอดนะ” มันดึงกางเกงของผมออกโดยดึงอันเดอร์แวร์ของผมไปด้วย ผมแอบสะดุ้งเล็กน้อยเพราะจังหวะการถอดของมันว่องไวมากจนผมตั้งตัวไม่ทัน
มือของรบลูบตามต้นขาผมจนผมขนลุกเกรียวไปหมด...น้องชายผมที่ตั้งตระหง่านเด่นตรงหน้ามันทำให้มันรู้ดีว่าอารมณ์ของผมกำลังพวยพุ่งเพราะสัมผัสของมันขนาดนั้น
“ยิ้มให้ได้ตลอด” มันย้ำ...ก่อนที่มันจะทำในสิ่งที่ผมต้องขยับตัวเล็กน้อยอย่างตื่นตกใจ
มันใช้ปากโอบรอบส่วนนั้นของผม กลืนกินทั้งหมดจนมิด เสียงลิ้นกระทบกับส่วนนั้นทำให้ผมต้องเลื่อนมือมากุมศีรษะมันเอาไว้เพราะมันให้ความรู้สึกร้อนแรงและวาบหวามเกินไป
มันทำให้ไอ้นั่นของผมเป็นไอติมแท่งโปรด...ไม่ปราณีสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผมซึ่งผสมผสานกับเสียงคราง ริมฝีปากของมันที่โอบรอบขยับรัวเร็วพอๆ กับศีรษะขึ้นๆ ลงๆ ของมันตรงกลางระหว่างขาของผม
สมองของผมขาวโพลนไปหมด...แต่สัมผัสได้ถึงความรักความลุ่มหลงที่รบมันส่งมาให้ ความวาบหวามปนความอ่อนหวานของมันทำให้ผมรู้สึกละลาย...จนตอนที่ถึงปลายทาง ผมก็อดจะส่งเสียงออกมาอย่างขึ้นสวรรค์ขั้นสูงสุดไม่ได้
คนที่กำลังเช็ดริมฝีปากที่กำลังเปื้อนของตัวเองดูพึงพอใจ...
“บอกแล้วว่ายิ้มให้ได้ตลอด...เฮ้ยยยย”
ผมไม่ยอมให้มันยิ้มเย้ยผมได้นานนักหรอก เพราะผมจับตัวมันให้นอนราบลงกับเตียงเป็นที่เรียบร้อย ศีรษะของมันอยู่ทางปลายเตียง...แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา
“ไอ้เหี้ยธนู!” ถ้าจะวัดความเร็วมือล่ะก็...ผมเชื่อว่าผมเองก็เร็วไม่แพ้มันนะ ตอนนี้กางเกงนอนของมัน (ซึ่งทางเทกนิคแล้ว...มันจิ๊กมาจากตู้ของผม) ไปกองรวมกับรองเท้าฟองน้ำที่พื้นแล้ว
ไอ้รบน้อยตั้งเด่นเป็นสง่า...กำลังแข็งชูชันได้ที่ ผมจับมันพร้อมกับนวดคลึงเล่นๆ สีหน้าไอ้รบตลกมากเพราะผมกำลังทำในแบบที่มันไม่ได้ตั้งแต่มาก่อน
“อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่ากูชอบมึงขนาดไหนน่ะ”
คนฟังกลืนน้ำลาย...ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะสัมผัสจากมือของผมหรือจากคำพูดของผม
“วัดจากนี่ได้มั้ย”
มันไม่ได้ตอบกลับ...เพราะมัวแต่ลุ่มหลงอยู่กับสัมผัสที่ผมมอบให้ การที่ผมใช้ปากโอบรอบส่วนที่กำลังตั้งเด่นของมันน่าจะเป็นกระตุ้นความจำได้ว่าผมไม่เคยทำสิ่งนี้กับใคร
ผมเชื่อว่ามันรู้...
คืนนั้นผมลงเอยกับมันหลายต่อหลายครั้ง เราทั้งคู่ส่งเสียงกันดังมากซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกโล่งใจนักที่ผมบอกให้เพื่อนๆ ไปค้างที่อื่น รบขี้เล่นมาก มันไม่ยอมหยุดอยู่แค่ที่เตียง...มันลากผมไปที่ระเบียงที่นั่งประจำของผม ลำตัวของเราสอดประสานกันโดยรบใช้ระเบียงเป็นที่จับและยึดเหนี่ยว
ราวกับว่านี่เป็นคำตอบของคำถามที่ผมสงสัย แสงสลัวนั้นอาจจะช่วยสร้างบรรยากาศให้ผมกับรบได้ การที่รบครางเสียงดัง โอนอ่อนคล้อยตามการชักนำของผมในทุกท่วงท่าและทุกพื้นที่อาณาเขตบริเวณชั้นสอง สิ่งเหล่านี้ก็น่าจะบอกผมได้แล้ว
แต่อันที่จริง...ผมคิดว่าเพราะเราทั้งคู่อยู่กันสองต่อสองในสถานที่ที่เราสองคนสบายใจต่างหาก
มันไม่ได้อ่อนแออย่างที่ผมคิดเอาไว้ตั้งแต่แรก ติดจะแข็งแรงมากกว่าคู่ขาหลายต่อหลายคนที่เคยผ่านมาของผมด้วยซ้ำ ลำตัวของผมเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและหลักฐานรอยขีดข่วนซึ่งเป็นฝีมือของรบ และมันเองก็ไม่ได้มีสภาพที่ต่างไปจากผมเท่าไหร่
ต้องขอบคุณหลายสิ่งหลายอย่างที่บันดาลให้คนรักของผมแข็งแรง
มันเป็นความสุขที่ผมซ่อนมันความสุขเอาไว้ไม่ได้จริงๆ ...และทุกอย่างบนร่างกายของรบที่ผมกระทำต่อมันนั้นเป็นสิ่งที่ผมอยากให้มันรู้ว่าการที่ผมมีอะไรกับมันนั้นผมมีความสุขแค่ไหน
ไม่มีวินาทีไหนที่ผมอยากลืมมันเลย...
[การ์ด]
ผมกับเพื่อนกลับมาตอนหกโมงเช้าเป๊ะ
สิ่งแรกที่ผมเห็นคือชั้นล่างซึ่งมีสภาพไม่ต่างอะไรจากเมื่อคืน แต่ทว่าบนพื้นกลับมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ สิ่งนั้นก็คือ...กระดาษทิชชูสองสามก้อนที่ผ่านการใช้งาน
ผมถึงกับถลึงตามองอย่างตื่นตะลึงไปยังชั้นสองเลยทีเดียว
“ข้างล่าง...ด้วยเหรอวะ” ไอ้ยุกระซิบถามผมอย่างมีความหมาย
“ไม่ใช่...ถ้าข้างล่างด้วย โต๊ะเก้าอี้แถวนี้ก็ต้องไม่ต่างจากที่เราเก็บสิ” ไอ้โฮมก็กระซิบเช่นกัน
“งั้น...” ผมลองใช้ความคิดดู
“ระเบียงไง เจ้าพวกโง่” ก้องทำเสียงดูถูกพวกผม “คงเสร็จตรงนั้น”
ในบรรดาทั้งสี่คน...มีผมคนเดียวที่หน้าแดงแปร๊ดกับอะไรเทือกๆ นี้ เจ้าพวกนี้มันมีประสบการณ์เยอะ สาวๆ ที่ไหนก็อยากนอนกับพวกแม่งทั้งนั้น เพราะทั้งหล่อ ทั้งขยัน แถมยังมีอารมณ์ศิลปิน...ส่วนผมน่ะเหรอ ผมก็แค่ผู้ชายที่ตัวเล็กอย่างกับกุ้งแห้งคนหนึ่ง และยังเสือกดึงดูดคนเพศเดียวกัน ซึ่งผมยอมรับเลยว่าผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมมีรสนิยมเป็นเพศอะไร
ตั้งแต่เด็กจนโตผมยังไม่เคยรู้สึกชอบใครเลย...
สิ่งที่ผมรู้สึกมากที่สุดในเวลานี้ก็คือความรักที่มีมอบให้เพื่อนทั้งหมดและความเคารพที่มีแต่ไอ้ธนูเท่านั้น นอกนั้นผมไม่รู้สึกอะไรใดๆ เลย ความโกรธความเกลียดต่อผู้ชายที่เคยเข้ามายุ่งด้วยก็ไม่มี มันน่าแปลกมั้ยล่ะครับ
เจ้าความรักที่ว่าเนี่ย...มันจะสวยงามขนาดไหนกันนะ
ตอนที่รบเดินลงมาจากชั้นสอง ความสงสัยของผมนั้นก็ยังมีอยู่
“อรุณสวัสดิ์” มันทักทายอย่างเขินๆ ผมกับเพื่อนยิ้มให้มันเบาๆ “วันนี้กะจะทำข้าวเช้าให้ธนูมันกินว่ะ ขอแย่งหน้าที่มึงได้มั้ยโฮม”
ทุกคนดูตกตะลึง แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดไอ้รบ โฮมเดินนำมันเข้าไปในครัว ส่วนไอ้ยุกับไอ้ก้องก็ขยับเข้ามาให้ความเห็นเรื่องนี้กับผม
“มึงคิดว่าเชื้อสายฝรั่งอย่างไอ้รบจะทำอะไรให้ธนูมันกินวะ” ก้องขมวดคิ้ว
“ก็ต้องอเมริกันเบรกฟาสต์สิวะ มึงคอยดูก็แล้วกัน” ยุเอ่ยออกมา
แต่แทนที่รบมันจะทำอาหารเช้าเป็นอเมริกันเบรกฟาสต์อย่างที่พวกเราเข้าใจกัน สิ่งที่มันทำกลับกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นนั่นก็คือก๋วยจั๊บญวน
ไอ้เชี่ยโฮมแม่งไปซื้อเส้นมาเก็บไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย
กลิ่นก๋วยจั๊บญวณร้อนๆ โชยเข้าจมูกผมจนผมเผลอกลืนน้ำลายไปหลายรอบ โชคดีที่รบทำเผื่อเราทุกคนไว้ด้วย มื้อนี้พวกเราจึงได้ทานก๋วยจั๊บญวนกันอย่างเอร็ดอร่อย
ระหว่างที่รอไอ้ธนูมันตื่น รบเล่าให้ฟังว่าแม่มันเป็นศิลปินนักวาดภาพที่มาจากจังหวัดอุบลฯ ซึ่งก๋วยจั๊บญวนเป็นของดีประจำจังหวัดนี้ ปกติแล้วแม่มันจะอยู่กับมันและครอบครัวที่กรุงเทพฯ แต่ทว่าตอนนี้เดินทางออกไปหาแรงบันดาลใจที่ต่างประเทศ ภาระเรื่องการดูแลลูกๆ จึงตกอยู่กับแดดดี้หมด จากที่คิดจะเลี้ยงแบบอเมริกันสไตล์ แดดดี้ก็ต้องผสมผสานการเลี้ยงดูแบบไทยเข้าไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นเวลากลับบ้านดึกรบมันก็ต้องโทรรายงาน ทั้งๆ ที่มันก็อายุยี่สิบกว่าๆ แล้ว
มันยังเล่าอีกว่าจริงๆ แดดดี้อยากปล่อยปะละเลยมันจะตาย แต่ที่ยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่ก็เป็นเพราะแม่นั้นกำชับเอาไว้ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...รบมันก็รู้สึกว่าไม่ได้ถูกเลี้ยงดูจนแทบไม่ได้ทำอะไรหรือคิดอะไรด้วยตัวเอง เพราะมันคือความผสมผสานกันระหว่างพ่อแม่ฝรั่งและไทยที่แท้จริง
ฟังไปฟังมาก็สนุกดี...ที่ผ่านมาผมหมั่นไส้แม่งได้ยังไงวะเนี่ย ดูมันออกจะเป็นคนง่ายๆ เข้ากับคนอื่นได้ดีฉิบหาย
หรือเป็นเพราะหนังหน้าลูกครึ่งที่แลดูเกินเอื้อมกันนะ
“หอมว่ะ” ท่านหัวหน้าได้ฤกษ์เสด็จลงมาแล้ว...กลิ่นของมันหลังอาบน้ำเสร็จนั้นหอมฉุยแถมยังดูมีเสน่ห์สุดๆ เมื่อคืนคงฟินหนักล่ะสิท่า “อรุณสวัสดิ์”
มันแม่งโอบรอบด้านหลังของรบที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ จากนั้นก็จูบแก้มไอ้รบให้พวกผมดู...
ผมจะไม่พูดถึงความเกรงใจ เพราะธนูมันไม่เคยมีอยู่แล้ว
รบลุกให้ธนูนั่งที่หัวโต๊ะ ก่อนที่มันจะย้ายไปนั่งที่นั่งข้างๆ พวกมันสองคนคุยกันด้วยท่าทางสบายๆ แต่ทว่ากระหนุงกระหนิง กลิ่นของความรักนี่หอมตลบอบอวลไปหมด...
นี่หรือเปล่าวะที่เรียกว่าความรักน่ะ
การตื่นนอนแต่เช้าเพื่อทำอาหารให้อีกฝ่ายทาน แถมไอ้คนที่ถูกทำอะไรให้ทานก็มาจูบแก้มให้รางวัล แบบนี้จะให้ผมนิยามความรักไปในทิศทางอื่นได้ยังไง
มันสวยงามอย่างงี้นี่เอง...
[ มีต่อนะคะ ]