เพลงรักที่หายไป
เพลงพิเศษ เพราะผูกพัน
ศิลปิน สมิทธ์ – เชน
(นกฮูก)
‘ผมเสพติดความสมบูรณ์แบบ’
ผมจะเรียกพฤติกรรมของตัวเองแบบนี้ได้ไหม
“เจ๋ง ทุกคนมาดูดิ นกฮูกต้องวางดินสอให้มีระยะห่างเท่ากันตลอดเลย ไม่ใช่แค่ดินสอนะ ทุกอย่างเลย ใครไปขยับก็ไม่ได้”
“ดูนกฮูกสิ แค่เอาพิซซ่าใส่ไมโครเวฟยังต้องเล็งกล่องให้อยู่ตรงกลางพอดีเลย วันนี้น้องเกลจะได้กินไหมนกฮูก”
“ทำไมนกฮูกต้องเรียงแพนเค้กให้ซ้อนกันพอดีด้วยล่ะ มันจะอร่อยกว่าเหรอ ขอเราชิมบ้าง”
“เฮ้ย! นกฮูก นี่มันในซุปเปอร์มาร์เก็ตนะ ทำไมต้องไปเรียงผักให้เขาด้วย มันไม่ใช่หน้าที่เรานะ”
ผมตอบคำถามของเพื่อนๆ ไม่ได้ รู้แต่ว่าทำแล้วมันสบายใจ ผมชอบให้ทุกอย่างเป็นระเบียบและมีระยะห่างที่พอดี ช่วงแรกเพื่อนๆ ก็คงอึดอัดใจกับนิสัยของผม แต่สุดท้ายทุกคนก็เริ่มทำอะไรให้เป็นระเบียบเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเห็นผมเสียเวลาทำสิ่งเหล่านั้นเอง
ทุกคืนก่อนนอนผมจะไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ข้าวของทุกอย่างบนโต๊ะถูกจัดวางเหมือนเดิม ไม่ว่าขนาดของหนังสือที่ต้องเรียงจากเล่มใหญ่ไปจนถึงเล่มเล็กสุด สันของหนังสือจะต้องอยู่ในระนาบเดียวกัน ปากกา ดินสอหรือดินสอสีถูกแยกประเภท ดินสอจะถูกเหลาจนแหลมและต้องมีขนาดเท่ากัน โทนสีของสิ่งของก็ต้องไล่เฉดกัน นั่นคือตัวอย่างความพอดีของผม แต่มันคงเกินความพอดีของคนอื่นๆ
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผมมานั่งอยู่ตำแหน่งนี้ทุกคืนก่อนนอน
ผมแค่อยากเห็นใครบางคนก่อนที่ผมจะหลับตาลงเพื่อรอเริ่มต้นวันใหม่ วันใหม่ที่ก็ใช้ชีวิตแบบเดิมวนไป ชีวิตที่รักษาระยะห่างเพื่อความสมบูรณ์แบบ
พ่อกับแม่ของผมเป็นหมอทั้งคู่ ท่านไม่ได้กดดันว่าผมจะต้องเป็นหมอเหมือนท่าน แต่ผมอยากเป็นในสิ่งที่ท่านเป็นเพราะท่านคือแบบอย่างที่ดี แล้วทำไมผมจะต้องเดินไปในทิศทางอื่น
ชีวิตของผมเกือบจะสมบูรณ์แบบอย่างที่ผมวาดฝันเอาไว้ มีเพียงเรื่องเดียวที่ผมไม่สามารถทำให้มันสมบูรณ์ได้...คือเรื่องของใครคนนั้น
เขาคือคนที่อยู่บ้านข้างๆ ห้องของเขาอยู่ตรงกันข้ามกับห้องของผม หน้าต่างห้องของเราตรงกันและห่างกันไม่ถึงสามเมตร ใกล้ขนาดที่ว่าถ้าจะปีนมาหากันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ผมเห็นเขาทุกคืนแต่เขาคงไม่เคยเห็นผม นั่นเพราะหน้าต่างของเขาไม่เคยปิดม่าน...ซึ่งต่างจากผม นอกจากเสพติดความสมบูรณ์แบบแล้ว ผมอาจจะเป็นพวกถ้ำมองก็ได้
“ป้าย พ่อบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าให้คิดดีๆ จะไปเรียนศิลปะอะไรนั่นพ่อว่ามันไม่มั่นคง ไหนจะเรื่องเป็นนักดนตรีอะไรนั่นอีก ดูอย่างลูกคุณหมอสิ แกทำไมไม่เอาอย่างเขาบ้าง”
ประโยคเดิมๆ ของคุณลุงเจตที่ตำหนิลูกชายดังมาให้ผมได้ยินเป็นประจำจนผมแทบจะท่องตามได้ แต่ผมก็ไม่เคยได้ยินเสียงลูกชายของคุณลุงตอบกลับเลยสักครั้ง เงียบ...เป็นความเงียบที่คงยั่วโมโหผู้ที่เป็นพ่อไม่น้อย ดูได้จากเสียงกระแทกประตูที่ดังขึ้นทุกครั้งเมื่อคุณลุงเจตเดินออกจากห้องของลูกชายตัวเองไป
เขาคิดอะไรอยู่...ทำไมเขาไม่บอกความต้องการของตัวเองไป ลุงเจตน่าจะเข้าใจ ความเงียบไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
ผมพยายามแหวกผ้าม่านของผมมากกว่าเดิมเพราะรู้ดีว่าหลังจากที่เขาโดนตำหนิ เขาจะปีนหน้าต่างออกมานั่งบนหลังคาเรือนไม้ประดับแล้วสูบบุหรี่ระบายอารมณ์ เขาจะใส่แค่กางเกงยีนส์เพียงตัวเดียว ผมแอบสงสัยในใจว่าเขาไม่หนาวรึไงกัน อยากรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ใบหน้าเรียบเฉยที่เหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดสนิทนั้น...กำลังคิดอะไรอยู่
“ฮัลโหล พรุ่งนี้ที่เดิมเหรอครับ ได้ครับ”
เขารับโทรศัพท์ ผมได้ยินทุกถ้อยคำ เขามักจะมีนัดหมายกับปลายสายเสมอ อาจจะเป็นเพื่อนหรือไม่ก็...คนรัก
ผมค่อยๆ ละสายตาจากเขา ม่านของผมที่เผยอเพียงเล็กน้อยถูกปิดให้สนิทอย่างเดิม ก็แค่นี้เอง ชีวิตของผม ชีวิตยามค่ำคืนของนกฮูก
....
วันนี้เป็นวันเสาร์ เพื่อนนัดกันไปดูหนังแต่ผมปฏิเสธเพราะอยากไปที่ห้องสมุดของจังหวัดมากกว่า ผมอยู่มัธยมปลายแล้ว อีกปีเดียวก็จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถึงมั่นใจว่าสอบติดมหาวิทยาลัยที่ต้องการแต่ผมอยากทำคะแนนให้สูงที่สุด ผมไม่ได้อยากให้ใครมาชื่นชม แค่คิดว่าจะทำอะไรทั้งทีก็ควรทำให้ดีที่สุดแค่นั้นเอง
ผมใช้เวลาอยู่ในห้องสมุดจนเย็น ขณะที่กำลังยืนเรียงหนังสือในชั้นให้เป็นระเบียบ คนที่มาใช้บริการคงเสียบเก็บส่งๆ จนผมรู้สึกรำคาญสายตา ต้องจัดเรียงใหม่ตามตัวอักษร เวลาคนมาค้นหาจะได้ง่ายขึ้น เผอิญว่าสายตาเหลือบไปเห็นเจ้าของห้องตรงกันข้ามกับผมมานั่งอ่านหนังสืออยู่ เขาไม่ได้อ่านที่โต๊ะเหมือนคนอื่นๆ แต่มานั่งอ่านบนพื้นในซอกเล็กๆ ด้านในของห้องสมุด เป็นบริเวณที่มีแสงสว่างน้อยอีกต่างหาก
“มันไม่มืดเหรอครับ ซอกก็แคบ น่าอึดอัด” ผมเอ่ยถาม
“เป็นนกฮูกไม่ชอบความมืดเหรอ” เขาถามผมกลับ
“แล้วพี่ไม่ใช่นกฮูก ถ้าอย่างนั้นมานั่งตรงนี้ทำไม” ผมย้อนถามกลับไปอีกรอบ
“พี่ชอบความมืด ยิ่งมืดมากๆ ยิ่งดี”
เราไม่ต้องทำความรู้จักกันเพราะเราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก บ้านเราอยู่ติดกัน พ่อแม่ของเราสองคนก็สนิทสนมกันดี พี่เขาชื่อป้าย มีน้องชายฝาแฝดชื่อแปะ แต่พี่แปะเป็นคนอารมณ์ดีและมักจะเป็นฝ่ายเข้ามาทักทายผมก่อนเสมอ ส่วนพี่ป้ายจะเป็นคนเงียบๆ บางทีผมว่าพี่เขาเงียบจนเกินไป
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” ผมไม่รู้จะชวนพี่เขาคุยอะไรต่อ ผมก็ไม่ใช่คนคุยเก่ง ที่สำคัญคือผมไม่อยากเผลอแสดงอาการให้เขารู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับเขา
ห้องสมุดในตอนนี้เงียบมากเพราะไม่มีใครใช้บริการแล้ว เหลือแต่พี่บรรณารักษ์ที่สนิทกับผมพอสมควร พี่เขารู้ว่าผมชอบมาเรียงหนังสือให้เลยปล่อยให้ผมทำแม้จะใกล้เวลาที่ปิดทำการแล้ว
“นกฮูก พี่ฝากเฝ้าห้องหน่อยนะ วันนี้ท้องเสีย สงสัยยำมะม่วงทำพิษ”
ผมพยักหน้าให้แทนคำตอบรับ หนังสือเล่มสุดท้ายถูกเก็บเข้าชั้นเรียบร้อย ผมไม่รู้ว่าพี่ป้ายกลับไปหรือยัง แอบหวังสัก 10 เปอร์เซ็นต์ว่าพี่เขาจะชวนกลับบ้านด้วยกัน แต่คิดว่าอีก 90 เปอร์เซ็นต์น่าจะเป็นไปได้มากกว่า
‘ซี๊ดดดด อืมมมม’
ผมได้ยินเสียงครวญครางดังมาจากซอกเล็กๆ ที่พี่ป้ายนั่งอ่านหนังสือ ขาของผมก้าวเดินตามเสียงไปและไปหยุดอยู่ในชั้นหนังสือข้างๆ มือของผมหยิบเอาหนังสือในชั้นออกหนึ่งเล่มเพื่อจะได้เห็นว่าต้นตอของเสียงเกิดขึ้นเพราะอะไร
ผมเห็นภาพหญิงสาวคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น ใบหน้ากำลังจดจ่ออยู่ที่ส่วนกลางของฝ่ายชาย เธอกำลังดื่มด่ำกับส่วนนั้นราวกับว่ามันเอร็ดอร่อยจนไม่อยากถอนริมฝีปากออก ผมไม่รู้จักเธอ แต่ผมรู้จักเขา ‘พี่ป้าย’
ผมยืนอึ้งและก้าวขาไม่ออก นานจนกระทั่งได้ยินเสียงพี่บรรณารักษ์เรียกหาผม ผมเห็นว่าหญิงสาวมีท่าทางตกใจเล็กน้อยแต่พี่ป้ายดึงเธอขึ้นมาแล้วดันตัวเธอไปชิดกำแพง จากนั้นพี่เขาก็เดินเข้าไปประกบ ผมไม่ได้ดูต่อ รีบเดินออกมาหาพี่บรรณารักษ์เพราะกลัวว่าเขาจะเดินมาตรงนี้ ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงอยากปกป้องคนสองคนที่ทำอะไรน่าอายแบบนั้น
ผมคุยอยู่กับพี่บรรณารักษ์ครู่ใหญ่จนพี่ป้ายกับผู้หญิงคนนั้นเดินออกมา ผมไม่ได้หันไปมองพี่เขาเลย เห็นแต่แผ่นหลังตอนที่เขาเดินออกไป
“สงสัยมาทำอะไรบ้าๆ ในนี้แน่เลย พี่ขอไปดูความเรียบร้อยหน่อย”
“ผมไปดูให้ครับ พี่รีบเก็บของดีกว่าจะได้ปิดห้องสมุด” ผมรีบบอกก่อนจะเป็นฝ่ายเดินกลับไปที่ซอกมืดนั่น
ภาพเมื่อครู่ยังคงฉายชัดในหัวของผม ใจของผมเต้นรัว เกิดมาไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน ทำไมพี่เขาถึงไม่กลัวคนจับได้ ผมถามตัวเองว่าถ้าเป็นผม ผมจะกล้าทำแบบนั้นไหม
‘Friend service’ ผมหยิบนามบัตรที่ตกอยู่ นามบัตรสีดำสนิทและมีรูปนกฮูกอยู่ตรงกลาง มันมีไอดีไลน์และเว็บไซต์พิมพ์อยู่บนบัตร ผมตัดสินใจเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินออกไปบอกพี่บรรณารักษ์ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี
“ไปกินไอติมกันไหม” คนที่ผมคิดว่ากลับไปแล้วยืนรอผมอยู่ที่หน้าห้องสมุด แถมยังเอ่ยปากชวนผมไปกินไอศกรีม เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจมาก
“ครับ” แล้วผมก็ตอบรับอย่างง่ายดาย
พี่เขาพาผมนั่งรถสองแถว มาลงแถวๆ ตลาด พาผมเดินมาถึงร้านไอศกรีมเล็กๆ ที่ซ่อนตัวในตรอกลึก ร้านนี้ตกแต่งน่ารักมากจนผมอดคิดถึงเพื่อนๆ ไม่ได้ เพื่อนสนิทในกลุ่ม The zoo ของผมชอบหาร้านขนมกิน ยิ่งตกแต่งน่ารักยิ่งชอบ
“คิดถึงเพื่อนเหรอ เอาไว้พามาสิ” พี่เขาเป็นฝ่ายชวนผมคุย
“พี่รู้ได้ไงว่าเพื่อนผมชอบ”
“ก็ได้ยินเวลาคุยกัน”
ผมอึ้งไปนิดหน่อย ลืมไปว่าผมเองยังได้ยินเวลาคุณลุงเจตหรือพี่แปะเข้ามาคุยกับพี่ป้ายในห้อง พี่เขาก็คงได้ยินเหมือนกัน บ้านของเราสองคนเกือบจะเป็นบ้านแฝดเพราะแต่เดิมเจ้าของบ้านทั้งสองหลังเป็นพี่น้องกันจึงปลูกติดกันมาก แล้วพ่อของผมกับพ่อของพี่ป้ายก็มาซื้อต่อพร้อมกับตกแต่งใหม่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“พี่ชอบกินรสไหน” ผมถามพี่ป้ายหลังจากที่พนักงานเอาเมนูมาให้ดู
“กะทิ”
“แก่จัง” ผมยิ้มเมื่อได้ยินไอศกรีมรสโปรดของพี่เขา
“เกี่ยวตรงไหน”
“รสโบราณ โรยถั่วกับนมด้วยไหม”
“ชอบ” พี่เขาตอบสั้นๆ เพราะกำลังพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์อยู่
“เอารสกะทิโรยถั่วกับนมสดสองที่ครับ” ผมสั่งพนักงาน ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของพี่เขา
เมื่อพี่เขาสนใจแต่โทรศัพท์ผมก็เลยไม่ได้ชวนคุย พนักงานเอาช้อน แก้วน้ำและทิชชูมาวางให้ ผมเห็นว่ามันเอียงเรียงไม่เป็นระเบียบจึงจัดทุกอย่างใหม่ วางจนได้องศาและระยะห่างที่สวยงามแล้วถึงได้เงยหน้าขึ้นมา พี่เขากำลังเท้าคางมองผมอยู่พร้อมกับริมฝีปากที่ยกยิ้มน้อยๆ
“มันสบายตา” ผมบอกทั้งที่พี่เขาไม่ได้ถาม
“อืม สบายตาเวลามอง” พี่เขาพูดตอบกลับมา ผมได้ยินแล้วรู้สึกแปลกๆ
“ผู้หญิงคนนั้นแฟนพี่เหรอ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมกล้าถาม
“เพื่อน”
คำตอบของพี่ป้ายยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจ เพื่อนกันทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ
“แล้วนกฮูกมีแฟนรึยัง”
“ยัง”
“ไม่อยากมีเหรอ”
“ผมยังเด็กอยู่เลย”
“เด็กดี” พี่เขาชมผม
“พี่มีแฟนไหม” ผมถามเขาบ้าง
“อยากมี แต่ไม่มี”
“ถ้าพี่อยากมีทำไมถึงไม่มี” ผมถามเพราะสงสัยจริงๆ พี่ป้ายเป็นคนหน้าตาดี หาแฟนได้ง่ายๆ ไม่เหมือนผมที่หน้าตาธรรมดา ใส่แว่นหนา ตัวก็เล็ก ไม่อยากใช้คำว่าเตี้ยเพราะมันสะเทือนใจ
“มาตรฐานพี่สูงมั้ง”
“แอบชอบคนสวยเหรอครับ” ผมแซว
“เปล่า ชอบคนดี ดีจนไม่อยากชอบ”
คำตอบของพี่ป้ายทำให้ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จนกระทั่งไอศกรีมมาตั้งตรงหน้าเราสองคนถึงได้กินกันเงียบๆ เงียบจนมาถึงหน้าบ้านของเราสองคน พี่เขารอส่งผมเข้าบ้าน พอผมกลับเข้าบ้านแล้วพี่เขาถึงได้เดินเข้าบ้านเขาเช่นกัน
......
‘หาก...ว่าเธอเคยเหงาใจ เมื่อเธอคิดถึงใคร จะรู้ว่าปวดร้าว...หรือเปล่า
หาก...ว่าเธอเคยรักใครและเธอต้องเสียใจ จะรู้และเข้าใจ...ถึงฉัน’เสียงเพลงจากห้องตรงกันข้ามลอยมาให้ได้ยิน ผมแอบแหวกม่านดูก็เห็นว่าพี่ป้ายกำลังออกกำลังกายอยู่ในห้องพร้อมกับเปิดเพลงเสียงดัง น่าแปลกที่เป็นเพลงช้าแทนที่จะเป็นเพลงเร็วสร้างความคึกคักในการออกกำลังกาย
‘ในความผูกพัน นั้นเจ็บปวด แค่คิดถึงกัน ก็ทรมาน’ผมลองพิมพ์เนื้อเพลงใส่ลงในช่องค้นหา แล้วชื่อเพลงนี้ก็ปรากฏขึ้นมาที่หน้าจอคอม ‘เพราะผูกพัน’ ผมลองค้นหาเนื้อเพลง เมื่อเจอก็นั่งไล่อ่านทุกตัวอักษร เนื้อหามันดูเจ็บปวด ยิ่งได้ยินเสียงเพลงที่ลอยมาจากห้องตรงข้ามผมยิ่งสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด หรือว่าพี่เขากำลังแอบรักใครแล้วผิดหวัง
‘สักวัน เธออาจจะเข้าใจ เธออาจจะรู้ใจ ในสิ่งที่ฉันเป็นอยู่
สักวัน เธอขาดคนรักไป เธออาจจะได้รู้ แล้วเธอจะเข้าใจเป็นอย่างดี’ผมแหวกม่านดูอีกครั้งก็เห็นว่าพี่เขาออกมานั่งสูบบุหรี่อยู่ที่หลังคาเรือนไม้ประดับแล้ว ผมตัดสินใจหยิบนามบัตรสีดำที่เก็บได้ในห้องสมุดขึ้นมาแล้วพิมพ์ตามเว็บไซต์ที่ปรากฏอยู่บนบัตร อยากรู้ว่านามบัตรนี้เป็นของพี่ป้ายหรือเปล่า
บอกตรงๆ ว่าผมรู้สึกตกใจ มันคือเว็บไซต์ที่ให้บริการคลายเหงา มือของผมสั่นพอๆ กับหัวใจ
ผมหยิบโทรศัพท์สำรองอีกเครื่องหนึ่งที่ผมไม่ค่อยได้ใช้แล้วแอดไอดีไลน์ตามนามบัตรไป ผมเห็นพี่ป้ายคาบบุหรี่พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา สักพักไลน์ของผมก็ถูกกดรับเป็นเพื่อน นามบัตรนี้เป็นของพี่ป้ายแน่แล้ว ผมไม่ได้รู้สึกผิดหวังหรือรังเกียจเมื่อรู้ความจริง ผมแค่ไม่เข้าใจ พี่เขามีความสุขกับการได้ทำสิ่งนี้อยู่จริงๆ น่ะหรือ
Nightmanสวัสดีครับ
พี่เขาทักผมมาก่อน ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ส่งข้อความกลับไป
Mr.perfect
สวัสดีครับ
Nightmanต้องการใช้บริการอะไรครับ
Mr.perfect
มีบริการอะไรบ้างครับ
Nightmanตามในเว็บเลยครับ เข้าไปดูก่อน อยากทราบรายละเอียดอื่นค่อยไลน์มาถามครับ
ผมวางโทรศัพท์ลงก่อนจะเข้าไปดูในเว็บไซต์อีกครั้ง ในนั่นมีรายการให้เลือก ทั้งไปกินข้าว ดูหนัง ไปร้องคาราโอเกะ แต่ไม่เห็นมีบริการอย่างที่พี่ป้ายทำกับผู้หญิงคนนั้น ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความอีกครั้ง
Mr.perfect
มีบริการอื่นนอกเหนือจากในเว็บไหมครับ
Nightmanคุณเป็นผู้ชาย ต้องการอะไรนอกเหนือจากนั้นเหรอครับ
Mr.perfect
เพื่อนนอน
ผมกดส่งข้อความไปแล้วก็เอามือมาทาบหัวใจของตัวเอง ผมกำลังทำอะไรอยู่ มันเป็นสิทธิ์ของพี่เขาว่าจะเลือกอนาคตของตัวเองยังไง ผมไม่น่าเข้าไปยุ่งกับงานพิเศษของเขา ที่สำคัญ...ผมทำเพราะอยากรู้หรือทำเพราะอยากลอง
Nightmanราคาสูงนะครับ
Mr.perfect
เท่าไหร่
‘หาก....ว่ามีใครซักคน ที่เธอเคยทุ่มเทและรักเขาอย่างฉันรักเธอ
หาก...ตัดใจจากเขาไปและเธอต้องเสียใจ เธอคงจะเข้าใจ...ถึงฉัน’ผมใจเต้นเมื่อต้องรอคำตอบ เสียงเพลงยังคงเล่นวนซ้ำๆ ผมรอนานจนผมต้องแอบแหวกม่านไปดูพี่เขาอีกครั้ง ผมเห็นพี่เขาต่อบุหรี่อีกมวนและเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า จนบุหรี่เกือบหมดมวนพี่เขาถึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์
Nightmanผมไม่รับงานที่ต้องการเพียงเซ็กส์
Mr.perfect
ผมเหงา
ผมตัดสินใจพิมพ์สิ่งรู้สึกลงไปหลังจากที่ได้อ่านข้อความของพี่ป้าย
Nightmanเหงาเพราะอะไร
Mr.perfect
อืม...คงเพราะผมแอบหลงรักใครบางคนแต่เขาไม่เคยมีผมในสายตา
Nightmanทำไมไม่ลองบอกเขาไป
Mr.perfect
เรารู้จักกัน ผมไม่อยากให้ความรู้สึกของผมทำให้เรากลายเป็นคนไม่รู้จักกัน
Nightmanถ้านอนกับผม คุณจะตัดใจจากเขาได้เหรอ คุณจะมีความสุขขึ้นหรือเปล่า
Mr.perfect
คงไม่
Nightmanแล้วทำไมถึงตัดสินใจแบบนี้
Mr.perfect
ผมแค่อยากแบ่งปันความเหงาให้ใครสักคน
คราวนี้พี่ป้ายเงียบไปอีก ผมไม่ได้แหวกม่านดู สายตาของผมนั่งจ้องจอโทรศัพท์เพื่อรอคำตอบ พี่เขาเงียบไปนานจนผมคิดว่าพี่เขาคงปฏิเสธที่จะรับงานนี้ ผมถอนหายใจและเตรียมตัวเข้านอน จนได้ยินเสียงข้อความตอบกลับดังมาถึงได้รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
Nightmanร้านไม้ขีด บ่ายโมง ไปถึงร้านแล้วบอกกับพนักงานว่ามาหาไนท์แมน เขาจะพาไปรอที่ห้อง
Mr.perfect
คิดค่าบริการเท่าไหร่ครับ
Nightmanค่าบริการ = ความเหงาของคุณ
‘สักวัน เธออาจจะเข้าใจ เธออาจจะรู้ใจ ในสิ่งที่ฉันเป็นอยู่
สักวัน เธอขาดคนรักไป เธออาจจะได้รู้ แล้วเธอจะเข้าใจเป็นอย่างดี’ผมไม่ได้คิดมาก่อนว่าถ้าพี่เขาตอบตกลงผมจะทำยังไง ผมทำตามที่หัวใจมันสั่งเลยไม่ได้ใช้สมองไตร่ตรองสักนิดเดียว คนเสพติดความสมบูรณ์แบบและชอบวางระยะห่างที่พอดีอย่างผมกำลังทำลายระยะห่างและความสมบูรณ์แบบลง เพียงเพราะผมอยากให้คนที่ป้ายสัมผัสในมุมมืดคนนั้นเป็นตัวเอง ผมยอมทำเรื่องที่น่าอายนี้เพียงเพราะอยากแบ่งปันความคิดถึง ความทรมานจากการ ‘คิดถึง’ ที่ผมต้องอยู่กับมันทุกวันทุกคืน
....
ในที่สุดผมก็มายืนอยู่ที่หน้าร้านไม้ขีดไฟ เป็นร้านขายของเก่าที่คนในจังหวัดรู้จักกันดี ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงกล้ามา การตัดสินใจในครั้งนี้มันอาจจะพังชีวิตของผมเลยก็ได้
“มาดูของเหรอครับ” พนักงานคนหนึ่งเดินมาถามผม
“มาหาไนท์แมนครับ”
“อ๋อ ตามมาเลย” พนักงานมองผมด้วยแววตาประหลาดใจ
พี่ป้ายอาจจะไม่เคยรับลูกค้าที่เป็นผู้ชายมาก่อน ผมไม่รู้ว่าพี่ป้ายสนิทกับพนักงานคนนี้แค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สงสัยอะไรเลย ได้แต่เดินนำผมขึ้นไปชั้นบนของร้าน พาผมมาหยุดอยู่ที่ประตูห้องที่ทาสีดำแล้วส่งกุญแจห้องให้ผม ผมไขกุญแจเข้าไปก็ได้ยินเสียงเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง เป็นเพลงเดียวกับที่พี่ป้ายเปิดเมื่อคืนนี้ ตอนนี้ใจของผมเต้นรัว คิดไปต่างๆ นาๆ ว่าถ้าพี่ป้ายรู้ว่าลูกค้าคนนั้นคือผมพี่เขาจะตกใจขนาดไหน
“มาแล้วเหรอเด็กดี” เสียงของพี่ป้ายทำให้ผมต้องหันไปมอง
“พี่รู้ว่าเป็นผมเหรอ” ผมประหลาดใจเพราะพี่เขาไม่มีท่าทีตกใจเลย
“เพิ่งรู้ตอนที่เห็นว่าเรามายืนทำหน้าสับสนอยู่ที่หน้าร้าน” พี่ป้ายมองไปทางหน้าต่างเหมือนจะบอกให้ผมรู้ว่าพี่เขาเห็นจากตรงนั้น
ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี เกร็งจนต้องยืนนิ่งๆ แล้วพี่ป้ายก็เดินมาจูงมือของผมมานั่งที่โซฟาผ้ากำมะหยี่สีดำสนิท ส่งน้ำมะพร้าวปั่นให้พร้อมกับจานขนม
“ผมไม่หิว” ผมบอกพี่เขา
“เดี๋ยวจะไม่มีแรง”
“พี่...คือ...” ผมทั้งตื่นเต้นทั้งสับสนจนหายใจแทบไม่ออก
“ให้เปลี่ยนใจ”
ผมมองหน้าพี่ป้าย รอยยิ้มแบบที่ผมแอบชื่นชมมาตลอดถูกส่งมาจนใจผมสั่น ผู้ชายคนนี้คือผู้ชายที่ผมรู้สึกสบายใจที่ได้มอง ทั้งที่เนื้อตัวของเขาไม่มีระเบียบอะไรเลย ผมก็ยาว แต่งตัวปอนๆ แม้เขาคือสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ในสายตาของผม แต่เขากลับเป็นคนที่เติมเต็มหัวใจของผมได้มากกว่าสิ่งใดๆ
“ผมเหงา” ผมตอบกลับไป
“ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ” พี่เขาถามอีกครั้ง ผมพยักหน้า
แล้วพี่เขาก็ขยับเข้ามาใกล้ๆ นิ้วเรียวยาวของพี่ป้ายเกลี่ยอยู่แถวใบหน้าของผมและมาหยุดตรงท้ายทอย ปลายนิ้วลูบไล้ที่ท้ายทอยเบาๆ ผมเงยหน้าขึ้นพร้อมกับหลับตารับสัมผัสที่อ่อนโยน จนกระทั่งพี่เขาฝังจมูกมาที่ลำคอผมถึงได้สะดุ้ง สัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นจากปลายลิ้นที่ลากจากคอขึ้นมาถึงคาง พี่เขาใช้ปลายนิ้วดันท้ายทอยของผมพร้อมกับแทรกปลายลิ้นเข้ามาที่ริมฝีปาก
จูบครั้งแรกของผม...จากผู้ชายที่ผมแอบรัก
ระหว่างที่ผมตกอยู่ใต้อำนาจของจุมพิต ความเยียบเย็นจากปลายนิ้วของพี่ป้ายก็ล้วงเข้ามาสัมผัสติ่งเล็กๆ ภายใต้เสื้อของผม แค่พี่เขาขยับปลายนิ้วหมุนคลึงเบาๆ ผมก็แทบทรงตัวไม่อยู่
“ให้เปลี่ยนใจ” พี่เขากระซิบที่หูของผม
“ไม่ครับ ไม่เปลี่ยน” ผมตอบกลับไปก่อนที่สติของผมจะกระจัดกระจายจนพูดไม่รู้เรื่อง
แล้วตัวของผมก็ถูกดันลงไปนอนราบบนโซฟาตัวใหญ่ เสื้อยืดสีขาวของผมถูกพี่เขาเลิกขึ้นมาจนพ้นศีรษะ เขาใช้เสื้อพันข้อมือทั้งสองของผมเอาไว้ด้วยกันพร้อมกับดันมันไปอยู่เหนือศีรษะ เมื่อปลายนิ้วของพี่ป้ายลูบเข้าที่ข้างลำตัว ผมถึงกับต้องบิดกายไปมา เสียงครางของตัวเองที่ไม่คิดว่ามันจะหลุดลอดออกมาก็ปรากฏให้ได้ยิน
ตอนนี้ผมไม่เหลือเสื้อผ้าติดตัวเลยสักชิ้น ได้ยินเสียงของพี่ป้ายบอกว่าสีผิวของผมตัดกับโซฟาดีจัง ผมไม่กล้ามองหน้าพี่เขา ได้แต่หลับตา จนยอดอกของผมได้สัมผัสกับความชื้นแฉะผมถึงเข้าใจได้ว่าตอนที่ใจจะขาดมันเป็นยังไง ยิ่งตอนที่พี่เขาใช้ฟันขบแล้วดึงมันขึ้นมาช้าๆ ผมต้องส่งเสียงร้องออกมาเพราะกลัวว่าความทรมานที่อัดแน่นจะแผดเผาร่างกายให้มอดไหม้
นั่นไม่ใช่ความรู้สึกจะขาดใจจริงๆ อย่างที่ผมคิด เพราะเมื่อปลายลิ้นของพี่เขาเปลี่ยนจุดหมายมาถึงส่วนกลางลำตัว มือทั้งสองข้างของผมเริ่มเป็นอิสระจากเสื้อยืดที่พันธนาการเอาไว้ พี่เขาปฏิบัติหน้าที่ด้วยความชำนาญ มือของผมรั้งที่ศีรษะของพี่ป้ายโดยอัตโนมัติ ไม่รู้ว่าทำพี่เขาเจ็บหรือเปล่าเมื่อเผลอไปขยำกลุ่มผมของพี่เขายามที่ร่างกายมันรู้สึกอยากจะบีบรัดใครสักคน
ลมหายใจติดขัด ร่างกายร้อนผ่าว ปวดหนึบและสุขสม ตัวเริ่มเบาเหมือนจะล่องลอยและอยากส่งเสียงร้องเมื่อทุกอย่างมันมาถึงจุดที่อยากปลดปล่อย พี่ป้ายยังไม่ยอมถอนริมฝีปากแม้ผมจะพยายามดันศีรษะพี่เขาออกจากส่วนนั้นเท่าไหร่ก็ตาม
...ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ไม่ไหวแล้ว...
“ภารกิจลุล่วงแล้วเด็กดี” พี่ป้ายยอมถอนริมฝีปากออก พี่เขาเช็ดริมฝีปากของตัวเองก่อนจะหยิบทิชชูแผ่นใหม่มาเช็ดส่วนอ่อนไหวให้ผม
ผมลุกขึ้นมานั่งแล้วพรูลมหายใจ ใจมันยังไหววูบไม่หาย แต่พอพายุอารมณ์มันพัดผ่านไปผมก็ทำหน้าไม่ถูก ทุกอย่างคือครั้งแรกของผม จูบแรก การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ถึงมันจะไม่ได้สมบูรณ์แบบแต่ผมได้เรียนรู้ทุกอย่างครั้งแรกจากผู้ชายที่ผมแอบหลงรักคนนี้
“หายเหงาไหม” พี่ป้ายถามผม
“ครับ” ผมพยักหน้า ยังไม่กล้ามองหน้าพี่เขา
“อย่าทำแบบนี้อีกนะ พี่อยากให้เราเป็นเด็กดี”
“แล้ว...พี่ทำแบบนี้ทำไม ต้องการเงินเหรอครับ” ผมตัดสินใจถามกลับไปบ้าง
“เปล่า”
“ทำไม”
“ไม่รู้สิ”
“พี่ทำเพราะเหงาเหมือนผมหรือเปล่า”
พี่ป้ายไม่ได้ตอบแต่เดินลุกไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่ให้ผม จากนั้นพี่เขาก็เดินไปจุดบุหรี่มาสูบ สายตาของพี่เขาดูว่างเปล่าจนผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะได้สัมผัสถึงคำว่าสูญเสีย
“รักใครก็ลองไปบอกเขาดู จะได้ไม่ต้องเหงา” พี่ป้ายพูดกับผม
ผมลุกเดินไปหาพี่เขา ดึงบุหรี่ออกจากปากพี่ป้ายแล้วเป็นฝ่ายจูบพี่เขาก่อน จูบไม่เป็นแต่อยากให้พี่เขารู้ความในใจ เราจูบกันเนิ่นนานจนพี่ป้ายเป็นฝ่ายจับไหล่ผมแล้วดันออกเบาๆ
“กลับบ้านนะ เป็นเด็กดีอย่างที่เคยเป็น เป็นทันตแพทย์ให้ได้ พี่เป็นกำลังใจให้”
“ผมรักพี่ ผมแอบรักพี่มานานแล้ว” ผมตัดสินใจบอกออกไปอย่างที่พี่ป้ายแนะนำ
พี่เขานิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะยิ้มออกมา แต่พี่เขาก็ไม่พูดอะไรอีกแล้ว ได้แต่ดับบุหรี่แล้วจูงมือของผมให้เดินลงมาด้านล่าง ผมมองหน้าพี่เขาเหมือนจะรอฟังว่าผมควรทำยังไงต่อไป แล้วผมก็ได้รับคำตอบเป็นความเงียบ
“ผมกลับก่อนนะครับ”
เหมือนโลกจะแตกสลาย ความเงียบคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด ผมถูกปฏิเสธแล้ว เวลาอกหักมันเป็นแบบนี้เอง
ทรมาน...เจ็บจนหายใจไม่ออก กลับไปร้องไห้ ร้องจนเหนื่อย ร้องจนหลับ แล้วมันก็จะผ่านไป
....
ผมไม่ได้เจอกับพี่ป้ายอีกเลย เว็บไซต์ของพี่เขาก็ปิดไปแล้ว ผมได้แต่มองชื่อไลน์
‘Nightman’ ทุกคืนโดยที่ไม่ได้กดส่งข้อความไป ตอนนี้ห้องตรงกันข้ามของผมมีม่านสีดำสนิทมาปิดเอาไว้จนผมไม่สามารถเห็นเจ้าของห้องนั้นได้อีกแล้ว
‘มันคงจบแล้วกับรักครั้งแรกของผม’
ผมกดเปิดเพลงในคอมฯ เพลงที่ผมชอบฟังมันมากที่สุด ‘เพราะผูกพัน’
มาถึงตอนนี้ผมทำได้อย่างที่ตั้งใจแล้ว ผมสอบติดคณะที่ตั้งใจด้วยคะแนนที่สูงที่สุด เพื่อนรักทุกคนยังอยู่กันครบและพวกเราก็สนิทกันมากกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยมีใครรู้เรื่อง ‘ความไม่สมบูรณ์แบบ” ของผม
ชีวิตวัยรุ่นที่สดใสกำลังเริ่มต้นที่นี่ เรื่องในอดีตมันก็คือความทรงจำ มันคงนอนหลับสนิทอยู่ในหัวใจ จนกระทั่งผมได้กลับมาเจอพี่ป้ายอีกครั้ง ความทรงจำที่หลับใหลอยู่ได้ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว
แต่ผมได้เรียนรู้แล้วว่าความผิดหวังมันเป็นยังไง บอกกับตัวเองว่าจะไม่มีวันกลับไปรู้สึกแบบนั้นอีก...เพราะผมได้รับวัคซีนแล้ว
‘ในความผูกพัน นั้นเจ็บปวด แค่คิดถึงกัน ก็ทรมาน สักวัน...เธออาจจะเข้าใจ เธออาจจะรู้ใจ ในสิ่งที่ฉันเป็นอยู่ สักวัน..เธอขาดคนรักไป เธออาจจะได้รู้ แล้วเธอจะเข้าใจเป็นอย่างดี’
โปรดติดตามตอนต่อไป
มาแบบสั้นๆ ชีวิตวัยเรียนก็เป็นแบบนี้
ไม่มีใครได้อะไรสมใจไปทุกเรื่อง แต่อย่าหมดศรัทธาในรักนะคะ
ทุกอย่างจะมาเมื่อถึงเวลาเอง สักวันต้องเป็นวันของเรา เย้
...รัก...
[ทางไปเพจ Loverouter จิ้มเลย][ทางไปทวิต Loverouter จิ้มเลย]