จูบที่เก้า ผมรู้สึกผิดหวัง...ใครโดนแบบนั้นเข้าก็คงผิดหวัง
แต่อย่างน้อยมันก็สอนให้รู้ว่า...ในเวลาที่เราคิดว่าเรารู้จักคนๆ หนึ่งดีพอ ความจริงเราอาจไม่ได้รู้จักเขามากขนาดนั้น
หรือบางที ผมอาจไม่เคยรู้จักธีร์ ดำรงเดชเลยสักนิด
“ครับ กลับดึกหน่อยนะแม่ เจอกันที่บ้านครับ”
ผมกดวางสายจากแม่ที่บอกว่ากำลังจะกลับจากโรงพยาบาล มืออีกข้างหวดเข้าแก้มขวากะจะคร่าชีวิตยุงลายตัวที่ดูดเลือดผมอยู่สองนาน แต่ปรากฏว่าคว้าน้ำเหลว ไอ้ยุงผีบินหลบทัน ผมเลยโชว์โง่ตบหน้าตัวเองเต็มแรงไปหนึ่งที
“โอ๊ย”
โฟกัสที่นั่งข้างๆ ขมวดคิ้วงุนงง “มึงง่วงเหรอจุ๊บ”
“เปล่า... เมื่อไหร่อาจารย์จะออกมาว้า เลือดกูจะหมดตัวแล้วเนี่ย”
สามทุ่มแล้ว ผมยังอยู่ที่คณะ เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมรุ่น พี่ปีสาม และน้องปีหนึ่งจำนวนหนึ่ง กิจกรรมเชียร์ถูกสั่งให้งดชั่วคราวเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวาน และตอนนี้เรากำลังรอฟังชะตากรรมอยู่หน้าห้องประชุมของผู้บริหาร ที่ซึ่งแสงไฟริบหรี่ เซ็งแซ่ไปด้วยเสียงบ่น และเสียงตบยุง
มือถือผมสั่น จังหวะนั้นในใจหวังว่าจะเป็นคนที่ผมโทรหาตลอดทั้งวัน ดาราวัยรุ่นคนนั้นที่ผมคิดว่าผมรู้จักเขาดี
ธีร์แยกออกว่าอะไรถูกผิด และเขาจะต้องรู้ว่าสิ่งนี้มันไม่ถูกต้อง เขาจะไม่หายไปเฉยๆ แล้วทิ้งทุกอย่างไว้แบบนี้ เมื่อวานเรายังคุยกันเรื่องการปรับปรุงตัวอยู่เลย...
พอยกหน้าจอขึ้นกลับพบว่าเป็นข้อความจากป้าสุดที่รัก
เด้าผู้เร้าใจ: จะไปอียิปต์
เด้าผู้เร้าใจ: เอาไรปะ
เด้าผู้เร้าใจ: ผ้าห่อมัมมี่?
เด้าผู้เร้าใจ: ขี้แมว? ผมถอนหายใจกึ่งขำกึ่งหน่าย ยังไม่ทันพิมพ์ตอบเสียงประตูเปิดก็ดังขึ้น คณบดีก้าวออกมาด้วยสีหน้าตึงเครียด วินาทีนั้นทุกเสียงบ่นเงียบลง ผมเก็บโทรศัพท์ทันที
ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอย่างเคย เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มรุ่นพี่ปีสามซึ่งรวมตัวกันอยู่ใกล้ประตูห้องที่สุด นักศึกษาเกือบร้อยชีวิตลุกขึ้นยืนรอฟังชะตากรรมของกิจกรรมเชียร์ในคณะ บรรยากาศรอบข้างเงียบจนน่ากลัว
ผมได้ยินเสียงยุงบินวนเวียนอยู่ข้างหู มั่นใจว่าครั้งนี้ผมต้องคว้ามันไว้ได้แน่ๆ แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือปัด
คณบดีขยับกรอบแว่น เขาเม้มปากด้วยความลำบากใจก่อนจะเริ่มพูดกับพี่ประธานเชียร์ที่อยู่ด้านหน้าสุดของแถว
“คณะผู้บริหารลงความเห็นกันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องเป็นไปตามระเบียบของมหา’ลัย เรื่องที่เกิดขึ้นร้ายแรงและส่งผลเสียต่อตัวมหา’ลัยมากเพราะข่าวออกไปด้วย” เขาเม้มริมฝีปากอีกครั้ง “และ...อาจารย์จำเป็นต้องให้ประธานเชียร์พักการเรียนเพื่อแสดงความรับผิดชอบ”
ความตื่นตกใจปรากฏบนใบหน้านักศึกษาทุกคน ทันใดนั้นคำถามจากประธานเชียร์ที่เพิ่งโดนลงโทษหมาดๆ ก็ดังขึ้น
“โอเคครับ ผมพักการเรียน แต่แผนเชียร์หลังจากนี้ก็ยังเหมือนเดิมใช่ไหมครับ”
อีกครั้งที่ความกดดันพุ่งไปยังชายวัยกลางคนจนเขาไม่สามารถปิดความลำบากใจบนสีหน้าได้ “อาจารย์พยายามช่วยแล้วจริงๆ แต่มหา’ลัยลงมติว่ากิจกรรมเชียร์ของคณะเราในปีการศึกษานี้...คงต้องยกเลิก”
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงัด คณบดีพูดจบก็เดินไปตบไหล่พี่ประธานเชียร์ที่ยังนิ่งค้างอยู่ตรงนั้นและรับปากว่าพรุ่งนี้เช้าจะสื่อสารกับบอร์ดของมหา’ลัยเพื่อพิจารณาลดโทษอีกครั้ง แล้วเขาก็เดินฝ่าเหล่านักศึกษาเข้าลิฟต์ไป ครู่เดียวเท่านั้นเสียงก่นถึงความไม่ยุติธรรมก็ดังเซ็งแซ่
ผมรู้สึกแย่กว่าเดิม ในขณะเดียวกันก็ฉุน แบบนี้มันไม่โอเคเลยสักนิด
ผมล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า ตัดสินใจโทรหาต้นเรื่องอีกครั้ง สัญญาณรอสายยาวนาน และเป็นแบบนั้นจนสายตัดไป
กดโทรอีกครั้ง ในจังหวะที่เสียงลิฟต์ดังขึ้น การปรากฏตัวของคนที่ก้าวออกมาก็ทำให้ทั้งโถงเงียบสนิท
ผมมองไม่เห็นในตอนแรกเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือคณบดีกลับมาอีกครั้งเพื่อแจ้งข่าวสารบางอย่าง กระทั่งผมได้ยินเสียงเรียกเข้าเป็นเพลงแสนคุ้นหู เคล้าไปกับจังหวะสัญญาณรอสายของตัวเอง
ฉันเพียงอยากขอหยุดเวลาไว้ก่อน เพียงชั่วคราวหากเธอรับรู้ว่ามันไม่ง่ายดายเท่าเดิม เพลงนั้นจากวันเฟรชชี่ไนท์ดังขึ้น พร้อมกับการกลับมาของเขา
คู่เวรคู่กรรมคนนั้นที่ผมรู้จักดี
ธีร์ยังคงน่ามองเหมือนอย่างเคยแม้จะอยู่ในสารรูปที่มันไม่ควรจะน่ามองเลย เขาใส่ชุดนักศึกษาผิดระเบียบ ปล่อยชายเสื้อลุ่ยออกนอกกางเกงและไม่ได้สวมเนคไท รอยช้ำจางๆ ตรงมุมปากกับผ้าก๊อซผืนบางตรงหางคิ้วกลับทำให้เขาดูเท่ขึ้นแทนที่จะดูแย่ ในมือข้างหนึ่งถือถุงพลาสติกที่ใส่อะไรบางอย่างไว้
ผมกดวางสาย วินาทีนั้นเสียงเรียกเข้าของเขาก็หยุดลง
ธีร์เดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ปลายทางเดิน ในขณะที่อีกด้านหนึ่งคือเหล่านิเทศชนที่เหลือที่ค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปชิดกันเป็นกลุ่มใหญ่ ภาพตอนนี้เหมือนสงครามการประจันหน้าระหว่างเด็กปีหนึ่งที่คิดต่อกรกับรุ่นพี่และเพื่อนกว่าร้อยชีวิต วัดกันที่จำนวนคนคงไม่ยุติธรรม
แต่ถ้าวัดกันที่อำนาจ ตอนนี้คนเป็นดาราได้เปรียบกว่าอยู่แล้ว
“มึงยังจะกล้าโผล่หน้ามาอีกเหรอ” น้องโต้งประธานรุ่นถามเสียงกร้าวเหมือนธีร์ไปตีคนในครอบครัวตัวเอง หัวร้อนอะไรปานน้าน
พี่ประธานเชียร์อาจจะเห็นท่าไม่ดีเลยรีบก้าวเข้าไปกันน้องสองคนไว้ก่อน แต่บอกตรงๆ ผมก็หวั่นกับทีท่าพี่เขาเองด้วยเหมือนกัน เพราะเขาคือคนที่ต้องโดนลงโทษทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด ส่วนตัวการที่ทำผิดก็กำลังยืนสบตากับเขาตรงหน้า แววตาฝั่งนั้นก็นิ่งไม่ได้แสดงความรู้สึกใด
“คุณจะมาหาเรื่องใครอีกครับ” พี่ประธานเชียร์ถามเสียงเย็นเยียบ แต่ธีร์กลับจ้องเงียบไม่ตอบอะไร ทำให้คนโดนพักการเรียนแค่นหัวเราะประชดและทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างให้อีกฝ่ายสำนึก ใจผมก็ภาวนาให้เขาแสดงท่าทีสำนึกออกมาสักที เรื่องทุกอย่างมันจะได้ง่ายกว่านี้อีกนิด
ภาพในหัวผมคือธีร์โดนว้ากจนกองลงกับพื้นแล้วตอนนั้น แต่ก่อนที่จะมีใครพูดอะไรออกมา เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ทำบางอย่างที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน
อยู่ๆ ธีร์ก็คุกเข่าลงกับพื้น และก้มหัวให้กับรุ่นพี่ตรงหน้า เขาไม่ได้พูดอะไรหากเราก็รู้ในสิ่งที่เขาต้องการสื่อโดยอัตโนมัติ
ธีร์ก้มอยู่อย่างนั้นเกือบนาที ในขณะที่พี่เชียร์ตรงหน้าก็อึ้งกินไปตามๆ กัน...รวมทั้งผม
สุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นยืนเหมือนเดิม ยืดตัวตรงและพูดออกมาด้วยโทนเสียงธรรมดา ทว่ากังวาน
“ผมรู้ว่ามันอาจไม่ได้ช่วยอะไรมาก และการมาพูดตอนนี้มันอาจไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
“...”
“แต่ผมขอโทษ ผมรู้ว่าผมล้ำเส้น ทั้งกับรุ่นพี่และเพื่อนทุกคน”
ธีร์ไม่ได้พยายามมาก แววตาของเขาไม่ได้ฉายแววของความรู้สึกผิดจนใครต่อใครมองแล้วต้องเห็นใจ แต่ผมแน่ใจว่านั่นเป็นการกระทำที่จริงใจที่สุดที่เขาพอจะทำได้แล้ว
“ป่าน...ใช่ไหม” เขาเดินแทรกตัวไปหาน้องผู้หญิงคนที่โดนลูกหลงจากเหตุการณ์เมื่อวาน เด็กหญิงผมยาวที่ยืนเกาะกลุ่มอยู่กับน้องปีหนึ่งอีกหลายสิบคนซึ่งธีร์จำชื่อได้โดยไม่แม้แต่จะชายตามองป้ายชื่อสักนิด
“สิ่งที่เราทำมันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายควรทำกับผู้หญิง และเราเสียใจที่ทำแบบนั้นกับเธอว่ะ”
“...”
“กูเสียใจที่ทำกับพวกมึงทุกคน” เขาหันไปพูดกับเพื่อนคนที่เหลือ ยื่นถุงพลาสติกสีขาวในมือแล้วแกะออกต่อหน้าทุกคน ด้านในมียาทาแผลหลายชนิดกองรวมกันอยู่ในนั้น
“ไม่ได้ทำให้แผลพวกนั้นหายไปหรอก แต่...มันน่าจะทำให้แผลหายเร็วขึ้น”
แววตาแสดงความเห็นใจเริ่มปรากฏบนดวงตาของน้องปีหนึ่งหลายคน ในขณะที่น้องบางคนยังดูออกว่าโกรธจากแววตาที่แข็งกร้าว โดยเฉพาะน้องโต้งประธานรุ่นที่จู่ๆ ก็เดินเข้าไปปัดถุงในมือธีร์ทิ้ง
ถุงพลาสติกสีขาวหลุดออกจากมือ ขวดยาและปลาสเตอร์ปะแผลหล่นกระจายไปบนพื้น เสียงร้องด้วยความตกใจดังมาจากหลายทิศ น้องโต้งเดินเข้าไปประจันหน้าธีร์ใกล้ขึ้น มองหน้าคนเป็นดาราด้วยแววตาหาเรื่อง
“มึงจะมาไล่ต่อยเขาไปทั่วแล้วก็เอายามายื่นให้ แบบนี้มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอวะ”
“ตบหัวแล้วลูบหลังปะ”
“สายเกินไปหรือเปล่า พี่เขาโดนพักการเรียนเพราะมึงนะรู้ยัง”
มีเสียงสมทบจากน้องผู้ชายหลายคนในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย รวมไปถึงเสียงของฝั่งที่รับคำขอโทษของธีร์ก็ดังขึ้นเช่นกัน
“ให้อภัยดิ น้องเขาก็สำนึกผิดแล้วนะ”
“เพื่อนกันอย่าโกรธกันนานเลยแก”
“เอางี้ ให้เรื่องมันจบ เราขอเสียสละให้ธีร์ไปนอนห้องเราคืนนึง!” เสียงเจื้อยแจ้วจากน้องผู้หญิงคนหนึ่งทำให้ทุกคนเงียบและหันขวับไปมองทันที แล้วก็พบว่าเป็นน้องเก๋ไก๋สไลเดอร์อดีตประธานสีเขียวของผม...เจริญแล้วครับน้อง ว่าแต่ข้อเสนอนั่นมันเกี่ยวอะไรกับห้องเชียร์ฟะ
“อุ่ย ผิดเวลาไปหน่อย ขอโทษค่ะ” น้องยิ้มแหย และก่อนจะเกิดความวุ่นวายและทุกคนแบ่งฝักแบ่งฝ่ายมากกว่านี้ เสียงของคนๆ หนึ่งที่ผมไม่คิดว่าเขาจะออกมาปกป้องธีร์ก็ดังขึ้นซะก่อน
“น้องครับ พอเถอะนะ”
พี่ประธานเชียร์ที่เพิ่งถูกสั่งให้พักการเรียนพูดเสียงหนักแน่น เขาเดินเข้ามาคั่นกลางระหว่างเด็กหนุ่มดาราดังกับฝั่งที่เหลือ ยกมือขึ้นดันทั้งคู่ออกห่างจากกันช้าๆ อย่างประณีประนอม สร้างความเงิบให้แก่ทุกคนไปตามๆ กัน
“น้องรู้ไหมว่าพี่เปิดห้องเชียร์ขึ้นมาทำไม” เขาหันไปถามน้องโต้งที่กำลังตกอยู่ในอาการเหวอ ผู้เป็นประธานรุ่นมองหน้ารุ่นพี่ตาปริบๆ แล้วส่ายหัวช้าๆ “ใช่ ห้องเชียร์เป็นสถานที่ที่ฝึกวินัยให้น้องปีหนึ่ง แต่สิ่งที่พี่อยากเห็นมากกว่าวินัย คืออยากให้น้องทุกคนสามัคคีกัน
“แล้วดูตอนนี้สิ นี่แหละสิ่งที่พี่ไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุด” เขาปรนลมหายใจด้วยความผิดหวัง “โอเคพี่เสียดายที่ต่อจากนี้จะไม่ได้รับน้องอีก แต่ช่างแม่งห้องเชียร์ ช่างเรื่องพี่โดนพักการเรียน พี่โอเคกับผลของทุกอย่างแล้ว แต่สิ่งที่พี่ไม่โอเคคือที่น้องทะเลาะกันแบบนี้ เข้ามาพร้อมกัน ควรจะรักกัน ช่วยเหลือกัน เราควรเป็นเพื่อนกันหรือเปล่า”
นาทีนั้นฝ่ายต่อต้านธีร์ก็ต่างก้มหน้าละอายใจกับความหุนหันพลันแล่นเกินเหตุของตัวเอง หลายคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดเตือนสติของอดีตประธานเชียร์ที่นาทีนี้เราไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาจึงถูกเลือกเป็นผู้นำของพี่และน้องทุกชั้นปี
เมื่อพี่เขาเห็นว่าทุกคนดูใจเย็นลง เขาเดินเข้าไปตบบ่าธีร์เบาๆ
“กูดีใจที่มึงคิดได้นะ กูรับคำขอโทษของมึง มึงแม่งใจ” ธีร์ยิ้มเจื่อนให้รุ่นพี่ตอบ กระซิบขอบคุณแผ่วเบา จากนั้นพี่ประธานเชียร์ก็หันไปบอกกับคนที่เหลือ
“เป็นเพื่อนกันอย่าโกรธกันนานเว้ย ถือว่าพี่ขอ”
เขาเข้าไปตบบ่าน้องโต้งและน้องปีหนึ่งอีกสองสามคน พูดประโยคทิ้งท้ายว่า ‘ไม่มีห้องเชียร์แล้วรุ่นนี้อาจจะเป็นนิเทศรุ่นที่สนิทกันที่สุดก็ได้ ใครจะรู้’ แล้วกลับหลังหันเดินออกจากตรงนั้น ทำให้พี่ปีสามผู้ใส่เสื้อสีแสดเอกลักษณ์ของนิเทศศาสตร์และปีสองกรูกันเข้าไปให้กำลังใจธีร์และน้องปีหนึ่งคนอื่นก่อนจะเดินตามกันไป
น้องผู้หญิงคนที่โดนลูกหลงจากการกระทำของธีร์เก็บยาที่เกลื่อนกลาดกับพื้นขึ้นมาและกระซิบขอบคุณเขา แน่นอนว่ามีทั้งเพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคนที่แสดงความเข้าใจ หากก็ยังมีบางส่วนที่ดูออกว่ายังไม่ให้อภัยเขาง่ายๆ อย่างเช่นน้องโต้งที่เดินออกไปเฉยๆ แบบไม่พูดอะไรสักคำ
คิดในแง่ดี ไม่พูดอะไรก็ยังดีกว่าสาดความหัวร้อนใส่กันล่ะนะ
“มึง กลับละปะ” โฟกัสถามผม ขณะที่คนบนระเบียงเริ่มบางตาลงเรื่อยๆ
“มึงกลับก่อนเลย กู...อยากอยู่นี่สักพัก”
“จะอยู่คุยกับน้องอะดี้” มันแซว ผมยู่ปากไม่ตอบอะไร โบกมือลาโฟกัสและเพื่อนคนอื่นที่กลับไปก่อน ราวกับเรานัดกันในใจ เพราะธีร์ก็ยังยืนอยู่ที่เดิมไม่กลับไปไหนเช่นกัน เรารอจนกระทั่งมั่นใจว่าระเบียงกว้างนี้เหลือแค่เรา ฝั่งนั้นเป็นฝ่ายที่เดินเข้ามาหาผม
เขาอ้าปาก แต่ผมชิงพูดก่อน
“ไม่ต้องพูดแล้วว่าขอโทษ วันนี้พูดเยอะไปแล้วเน้อ”
เขายิ้มมุมปาก โปรยเสน่ห์ออกมาแม้ว่าไม่ได้ตั้งใจจะโปรยอย่างเดิม “จะถามว่าปกติเป็นคนนอนดึกไหมต่างหาก”
ผมขมวดคิ้ว “ทำไมถามงั้น”
“จะชวนไปทำอะไรก่อนนอน”
“ฮะ?”
“ปะ”
“บอกก่อนดิว่าจะพาไปไหน”
“ไม่บอก”
“งั้นไม่ไป”
“โห่ ไม่พาไปปล้ำหรอกน่า” เขาแหวอย่างน่าตี “มาไหม”
เขายักคิ้วติดผ้าก๊อซหนึ่งจึ้กแล้วยื่นมือออกมาเชิงขออนุญาต ผมมองฝ่ามือกว้างนั้นแล้วทำท่าลังเลใจอยู่หลายวินาที
มีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้วแหละ แค่อยากแกล้งให้เขาเก้อเล่นเฉยๆ
“ไปก็ได้” ผมยักคิ้วตอบ ส่งมือให้เขาจับแต่โดยดี
(ต่อด้านล่าง)
ไปกรี๊ดกันมันส์ๆ ที่แท็ก #จุ๊บที ในทวิตเตอร์กันจ้ะ