ASHTRAY
ขี้เถ้า กับ การเผาไหม้
ตอนที่ 17
เดือนกว่าแล้วนับจากวันที่ธีร์กลับมาพร้อมกับพายุฤดูร้อน หลังจากวันนั้นเจ้าตัวก็หายไปสักพักเพื่อจัดการเรื่องที่ค้างคา จนได้ข้อสรุปว่าชายหนุ่มกับภรรยาจะแยกกันอยู่โดยที่ยังไม่จดทะเบียนหย่า ธีร์สามารถไปหาลูกได้เสมอที่บ้านซึ่งตอนนี้เขายกให้เนตรกับเมษา โดยที่ตัวเขาย้ายกลับไปบ้านพ่อแม่ตัวเองแทน พอเคลียร์เรื่องทุกอย่างลงตัว แขกประจำก็แวะเวียนมาหายังบ้านไม้สองชั้นหลังนี้บ่อยครั้งจนเหมือนย้อนกลับไปวันเก่าๆ มันจึงเป็นภาพปกติที่เมื่อโชคกลับมาถึงบ้าน เขาจะเห็นอาธีร์นั่งเล่นกับมะลิอยู่ที่ตั่งไม้บนเฉลียง
“วันนี้เป็นไงบ้างครับโชค” ธีร์เอ่ยทักถามถึงวันแรกของการเปิดเรียนชั้นมัธยมปีที่สองของเด็กชาย
“ก็ดีครับ วันแรกยังไม่ค่อยได้เรียนเท่าไหร่” เด็กชายวางกระเป๋าพิงขาตั่งแล้วนั่งลงกับพื้นเพื่อเล่นกับแมวสาวบ้าง
“ครั้งก่อนที่อาเห็นเราใส่ชุดนักเรียนยังเป็นชุดเด็กประถมอยู่เลยแท้ๆ แปบเดียวโตเป็นหนุ่มแล้วนะ” ฝ่ามือใหญ่เลื่อนวางลงบนศีรษะที่เคยเล็กกว่ามือเขา แต่ตอนนี้กลับใหญ่พอดีแล้ว
“ผมเพิ่งม.สองเอง น้าแก้วบอกยังเด็กอยู่เลย” ประโยคหลังโชคลดระดับเสียงลงราวกับพึมพำกับตัวเอง ธีร์หัวเราะน้อยๆ กับท่าทางของอีกฝ่าย ขยี้หัวเด็กชายด้วยความมันเขี้ยว
“เป็นเด็กอีกไม่นานหรอก เดี๋ยวก็โตทันอาแล้ว”
“ถึงตอนนั้นอาก็แก่แล้วสิ”
เสียงหัวเราะร่าเริงดังมาจากเฉลียง ปกคลุมบ้านทั้งหลังให้หวนกลับไปสู่วันเก่าๆ ในความทรงจำ เด็กชายเติบโตขึ้นมาก แต่โชคก็ยังเป็นเด็กน้อยคนเดิมที่ชื่นชอบและนับถือคุณอาคนโปรด ส่วนธีร์เองก็ยังคงเป็นชายคนนั้นที่ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มและแววตาแสนอบอุ่น...
อบอุ่นเสียจนโชครู้สึกร้อนในท้องอย่างบอกไม่ถูก
“โชค” เจ้าของชื่อหลุดออกจากห้วงความคิดที่ฟุ้งกระจายสะเปะสะปะกลับมาหาต้นเสียงที่ยังคงรอยยิ้มเจิดจ้า
“ครับ”
“เหม่อๆ นะเรา คิดอะไรอยู่”
“..ผมกำลังคิดว่าเย็นนี้จะทำอะไรกินดี” โชคตอบออกไปเสียงใส ทิ้งหัวลงไปพิงกับเข่าแข็งของคู่สนทนาขณะที่ยื่นมือไปเกาคอมะลิเล่นไปด้วย
เมื่อเข้าสู่อาทิตย์ที่สามของเดือนมิถุนายน เด็กชายก็อายุครบสิบห้าปี งานเลี้ยงฉลองถูกจัดขึ้นที่หน้าทีวีเช่นเคย พิซซ่าถาดใหญ่กับไก่ทอด และสปาเก็ตตี้บนโต๊ะถูกจัดการเรียบในเวลาเพียงไม่นานนัก หลังจากนั้นเค้กครีมก้อนใหญ่กว่าของปีก่อนเล็กน้อยปักเทียนตัวเลขสิบหกที่มากกว่าอายุจริงไปหนึ่งปีก็ถูกนำออกมา เสียงร้องเพลงวันเกิดจากผู้ใหญ่ทั้งสองคนซ้อนทับกับคืนวันที่เด็กชายอายุแปดขวบ ในงานวันเกิดครั้งแรกของเขาที่มีอาธีร์เป็นนักร้องนำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง และน้าแก้วที่ร้องคลอตามเพียงแผ่วเบาด้วยแววตาอ่อนโยน
“แฮปปี้เบิร์ตเดย์นะครับโชค” ของขวัญชิ้นแรกถูกส่งมาให้โดยคนตัวใหญ่ ถุงกระดาษสีเข้มถูกแกะออกดูของข้างในทันที
“ขอบคุณครับอาธีร์” เด็กชายตาลุกวาวเมื่อเห็นของข้างใน ของขวัญจากอาธีร์ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังจริงๆ กล่องสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่กำลังฮิตกันในหมู่วัยรุ่น ซึ่งราคาไม่ได้เหมาะกับวัยรุ่นด้วยเลยสักนิดนอนนิ่งอยู่ก้นถุง โชครีบล้วงออกมาแกะดูข้างในอย่างตื่นเต้น
“อาเลือกสีดำมาให้ ชอบรึเปล่า” เจ้าของของขวัญเท้าคางมองเด็กชายพร้อมรอยยิ้มกว้าง เอ่ยถามทั้งที่มั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องชอบมันแน่ๆ อยู่แล้ว
“อื้ม ชอบครับ ขอบคุณนะครับอาธีร์” เด็กชายที่กลายเป็นเด็กหนุ่มแล้วยิ้มร่าตอบ จะสีอะไรเขาก็ชอบหมดนั่นแหละ ในเมื่อมันเป็นของที่เขาอยากได้ แต่ไม่เคยกล้าเอ่ยปากขอมาตลอดนี่
โชคกำลังรื้อตัวเครื่องออกมาสำรวจดู แต่ไม่นานก็เก็บลงไปเช่นเดิมเมื่อคิดขึ้นได้ว่ายังมีอีกคนที่รอให้ของขวัญเขาอยู่ แก้วยิ้มบางเมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตาตน ดวงตาคมคู่สวยทอประกายวิบวับด้วยคาดหวังเต็มเปี่ยม
“ของฉันไม่ได้เว่อร์เท่าของธีร์หรอกนะ แต่คิดว่าเธอน่าจะได้ใช้” แก้วบอกขณะที่ยื่นถุงกระดาษใบใหญ่ข้ามโต๊ะไปให้เด็กหนุ่ม เขารู้ว่าสำหรับโชคแล้ว ไม่ว่าของที่ได้จะราคาถูกหรือแพงแค่ไหน โชคก็จะรักษาของทุกชิ้นที่ได้รับมาเป็นอย่างดีเท่ากันหมด และนั่นเป็นหนึ่งในข้อดีมากมายของเด็กชายที่เขาเลี้ยงมา “สุขสันต์วันเกิด”
“ขอบคุณครับน้าแก้ว” คนที่ได้รับของขวัญไปกอดถุงใบใหญ่นั้นไว้แนบอก กล่าวขอบคุณด้วยเสียงสดใสเช่นเดียวกับสีหน้าตื่นเต้นดีใจเหมือนตอนเด็กไม่มีผิด โดยเฉพาะในดวงตาคู่นั้นที่ฉายแววออกมาอย่างซื่อตรง
“เปิดดูก่อนสิ” แก้วเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ เช่นเดียวกับธีร์ที่ขยับมานั่งข้างเพื่อนสนิทในท่าเดียวกัน
“น้าแก้วให้อะไรมาผมก็ชอบหมดนั่นแหละ” โชคพึมพำขณะที่เปิดดูของข้างใน
ของขวัญจากแก้วเป็นรองเท้ากีฬาแบรนด์ดัง แต่เป็นดีไซน์ที่เอาไว้ใส่แฟชั่นมากกว่าเล่นกีฬาจริงๆ สีที่ชายหนุ่มเลือกมานั้นก็เป็นสีพื้นที่ใส่ได้ง่ายในชีวิตประจำวัน เป็นของที่ใช้งานได้จริงที่ผ่านการคิดไตร่ตรองมาดีแล้ว โชคไม่ได้สนใจเรื่องแบรนด์รองเท้ามากนัก แต่เขาก็ชอบรองเท้าคู่นี้ เพราะมันสมกับเป็นของขวัญจากน้าแก้วดี
“ชอบไหม”
“ชอบครับ ชอบมากเลย”
“ชอบก็ดีแล้วล่ะ”
ภายในห้องนั่งเล่นของบ้านไม้สีขาวสองชั้นยังคงมีเสียงพูดคุยและเสียงโทรทัศน์ดังออกมาให้ได้ยินจนดึกดื่น หลังจากที่เด็กชายลองรองเท้าที่ได้จากน้าแก้วแล้ว ธีร์ก็ช่วยเอาโทรศัพท์เครื่องใหม่ของเด็กชายไปเสียบชาร์จแบตไว้ และเริ่มสอนวิธีใช้คร่าวๆ ให้จากเครื่องของตัวเองที่เป็นรุ่นเก่ากว่าเล็กน้อย แต่ฟังก์ชั่นส่วนใหญ่ยังคงเหมือนกัน
เจ้าของบ้านหนุ่มยืนกอดอกพิงบานประตูหน้าบ้านอยู่ด้านนอก ปล่อยควันสีหม่นไหลผ่านริมฝีปากให้ลอยล่องไปในสายลมชื้นจากละอองฝนที่ตกเมื่อตอนเย็น ดวงตาสีเข้มจับจ้องภาพของชายสองคนในบ้านของเขาที่เคยเห็นอยู่เป็นประจำ แต่ก็ยังคงรู้สึกคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก
จะเป็นเพราะช่องว่างเกือบห้าปีนั้น ที่ทำให้เขารู้สึกว่าภาพตรงหน้าไม่ใช่ความจริง และหวาดกลัวว่ามันจะเป็นแค่ความฝันของเขาเอง
ความรู้สึกสีควันบุหรี่อยู่กับแก้วไม่นานนักเมื่อมีสัมผัสอุ่นนุ่มคลอเคลียอยู่ที่เท้า
“ว่าไงมะลิ” แก้วย่อตัวลงนั่งยองเพื่อลูบขนสวยของแมวสาวใหญ่ ดวงตาสีเขียวเหลืองจ้องสบกับเขาราวกับล่วงรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเจ้านาย “มาปลอบใจฉันเหรอ”
เหมี๊ยว..
แก้วคีบบุหรี่ไว้ในมือข้างที่รองคางตัวเอง ส่วนมืออีกข้างไล้ขนฟูจากลำคอขึ้นไปเกาคางให้แมวสาว ก่อนจะกระซิบออกมาแผ่วเบา “ขอบใจนะ”
ห้าทุ่มกว่าแล้วในตอนที่พวกเขาเริ่มเก็บกวาด และเพราะวันถัดไปเป็นวันหยุด เด็กนักเรียนจึงไม่ได้ถูกไล่ให้รีบขึ้นไปนอนเหมือนวันปกติ เจ้าของบ้านรับหน้าที่เป็นคนรอล้างจานอยู่ในครัว โดยมีเพื่อนสนิทและเด็กหนุ่มเก็บรวบรวมถ้วยจานไปให้ จากนั้นทั้งสองคนก็กลับไปเก็บขยะเช็ดโต๊ะช่วยกันจนสะอาดหมดจรดพอดีกับที่แก้วล้างจานเสร็จ
“โชค” เจ้าของชื่อชะงักเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันได หันกลับมาสบตากับต้นเสียง
“ครับน้าแก้ว”
แก้วไม่ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปทันที แต่กลับยืนมือไปวางบนศีรษะของเด็กหนุ่มที่สูงเกือบถึงปลายคางเขาแล้ว “โตขึ้นมากเลยนะ”
“..ครับ” เสียงตอบรับนั้นเจือด้วยความงุนงงอยู่บ้าง แต่โชคก็ยังคงยิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม เฝ้าจดจ้องเงาสะท้อนของตนบนนัยน์ตาสีเข้มที่ทอดมองมาอย่างเงียบงันจนเสี้ยวนาทีนั้นดูยาวนานกว่าความเป็นจริง
“โชค” แก้วเรียกชื่อเขาซ้ำอีกครั้ง แววตาอ่อนโยนทอประกายเช่นเดียวกับรอยยิ้มบางและน้ำเสียงที่พูดออกมาอย่างหนักแน่นชัดเจน “เธออยากเป็นลูกฉันไหม”
“...ครับ?” ครั้งนี้เสียงของโชคสูงขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถามมากกว่าตอบรับ เด็กหนุ่มรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะเพราะตามสิ่งที่คนตรงหน้าพูดไม่ทัน
“อยากมาเป็นลูกฉันไหม” แก้วเอ่ยย้ำคำเดิมอีกครั้ง ก่อนจะอธิบายต่อเมื่อเด็กหนุ่มยังคงนิ่งงันคล้ายว่ายังไม่เข้าใจความหมายที่เขาถาม “ลูกบุญธรรมตามกฎหมายน่ะ เธอจะได้มีสิทธิ์ทุกอย่างเหมือนเป็นลูกแท้ๆ ของฉัน”
ดวงตาใสซื่อของเจ้าหมากระพริบปริบๆ คล้ายกำลังประมวนผล แก้วไม่ได้เร่งเร้าเอาคำตอบทันที เช่นเดียวกับคนในห้องน้ำที่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดแต่ยังคงไม่ออกมาขัดจังหวะของเจ้าบ้านทั้งสอง มันเป็นเรื่องของแก้วและโชคที่ธีร์ไม่เกี่ยว ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเพราะเพื่อนสนิทไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อนเลยก็ตาม
“เป็นลูกน้าแก้วเหรอครับ” โชคพึมพำกับคนตรงหน้า แต่ก็เหมือนพูดกับตัวเองลำพัง ในหัวของเด็กหนุ่มกับลังวิ่งวุ่น และเมื่อจับใจความได้แล้วใบหน้าครุ่นคิดเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง ริมฝีปากเผยออ้าออกเตรียมตอบกลับไปอย่างมั่นใจ
“...” แต่สุดท้ายกลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดจากลำคอเด็กหนุ่มเลย ใบหน้าที่ฉีกยิ้มกว้างหม่นลงเมื่อหัวใจเขาตีความรู้สึกสวนทางกับสมอง
“โชค?”
“ทำไม...” โชคเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้ปกครองที่กำลังขออนุญาตเป็นพ่อเขาด้วยแววตาสับสน มีแต่คำถามว่าทำไมเต็มไปหมด แต่ไม่ใช่คำถามที่เขาอยากถามน้าแก้ว เขาอยากถามตัวเองมากกว่าว่าทำไม...
ทำไมเขาถึงได้ลังเลที่จะตอบตกลง ทั้งที่หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงดีใจไปสามวันที่จะได้เป็นครอบครัวเดียวกับน้าแก้วจริงๆ เสียที
ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำ มันอึดอัดจนหายใจไม่ออก และความปวดร้าวก็แล่นริ้วไปทั่วทั้งอกจนรู้สึกแสบตาไปหมด
และทำไม..เขาถึงรู้สึกถึงคำตอบของคำถามทั้งหมดนั้นได้ชัดเจนขนาดนี้
เขาไม่ได้อยากให้น้าแก้วเป็นพ่อของเขาอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาก็ไม่ได้อยากเป็นแค่ลูกของน้าแก้วเหมือนกัน “ทำไมอะไรเหรอ” แก้วถามถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมาก่อนหน้านี้ มืออุ่นเลื่อนลงมาสัมผัสข้างลำคอคู่สนทนา เรียวนิ้วแตะผิวแก้มนุ่มที่มีรอยนูนจากสิวตามวัยอยู่ประปรายอย่างแผ่วเบา รอคอยให้ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นผ่อนคลายลงแล้วเอ่ยตอบกลับมา
โชคหลุบตาลงเมื่อความคิดในหัวชัดเจนแล้ว เขาไม่กล้าสู้หน้าชายหนุ่มเพราะรู้สึกหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะล่วงรู้ว่าเบื้องหลังแววตาของเขาซุกซ่อนความรู้สึกแบบไหนเอาไว้อยู่ เด็กหนุ่มจึงได้แต่ถามคำถามที่โผล่เข้ามาในจังหวะนั้นออกไปแทน
“ทำไมอยู่ๆ ถึงถามล่ะครับ”
“อืม ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ก็ถามหรอก ฉันคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนเข้าโรงพยาบาลแล้ว” ชายหนุ่มผละมือจากตัวเด็กหนุ่มแล้วเดินนำไปที่ห้องนั่งเล่นเป็นเชิงว่าเรื่องที่เขาจะพูดคงไม่เหมาะให้ยืนคุยกันที่หน้าบันไดสักเท่าไหร่ ระหว่างทางตอนผ่านหน้าห้องน้ำก็บังเอิญสบตากับคนข้างในที่เปิดประตูไว้อยู่แล้วเข้า ในแววตาของธีร์มันดูตัดพ้อและเต็มไปด้วยคำถาม แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา และไม่ได้เดินตามเข้าไปในห้องนั่งเล่นด้วย ชายร่างสูงทำเพียงแค่เดินสวนพวกเขาขึ้นไปชั้นสองของบ้าน โดยที่ยังไม่วายส่งฝ่ามือใหญ่มาขยี้หัวเด็กหนุ่มพร้อมรอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกปลอดภัยมาให้ด้วย
ในห้องนั่งเล่นเงียบงันเมื่อเหลือเพียงเจ้าบ้านสองคน แก้วนั่งลงที่โซฟามุมประจำ ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังลังเลว่าควรนั่งตรงไหนดี
“นั่งสิ” คนโตกว่าเป็นฝ่ายเอ่ยปาก ตบที่ว่างข้างตัวเพื่อเป็นสัญญาณให้เด็กหนุ่มนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน
โชคนั่งลงที่สุดขอบโซฟาคนละฝั่งกับแก้ว ซุกมือลงตรงหว่างขา ไล้นิ้วสัมผัสกับวัสดุหุ้มหนังสีอ่อนอย่างทำตัวไม่ถูกนัก เป็นครั้งแรกเลยที่เขารู้สึกแบบนี้ และเด็กหนุ่มก็ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ที่ว่าเลยสักนิด
“ตอนอยู่ที่โรงพยาบาล..” แก้วเริ่มพูดขึ้น เขาอยากสบตากับคู่สนทนา แต่ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการแบบเดียวกันในตอนนี้ "ตอนนั้นฉันเกิดกลัวขึ้นมาน่ะ ถ้าฉันไม่โชคดีแค่พักผ่อนน้อยจนเป็นลมไป แต่เป็นโรคร้ายแรง หรืออาจจะเกิดอุบัติเหตุแล้วฉันตายไปขึ้นมา ถึงตอนนั้นเธอจะอยู่ยังไง”
“...เพราะเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันตามกฎหมายเลย” ฝ่ามืออุ่นที่คุ้นเคยวางลงในตำแหน่งเดิมเป็นครั้งที่นับพันนับหมื่น ลูบเรือนผมสั้นเกรียนอย่างอ่อนโยน “โชค ถ้าฉันตายไปตอนนี้ บ้านหลังนี้ เงินทั้งหมดที่ฉันมี ทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน มันจะไม่เหลืออะไรไว้ให้เธอเลย ฉันไม่อยากทิ้งเธอเอาไว้แบบนั้น อย่างน้อยฉันก็อยากเหลือสิ่งที่ฉันสร้างมาทั้งหมดนี้ไว้ให้กับเธอ”
“..ทำไมน้าแก้วพูดเหมือนตัวเองกำลังจะตายแบบนี้ล่ะ” คนฟังที่เอาแต่เงียบพึมพำออกมาแผ่วเบา แต่ความขุ่นเคืองและสั่นเครือในน้ำเสียงกลับชัดเจน
“ฉันแค่พูดเผื่อไว้ก่อน ความตายมันไม่ได้บอกเราล่วงหน้าหรอกนะโชค ถ้าวันนั้นมาถึงฉันอาจจะไม่มีโอกาสได้บอกลาเธอด้วยซ้ำ”
“ผมไม่อยากให้น้าแก้วตาย”
“ฉันก็ไม่อยากตายเหมือนกัน”
“ผมไม่ชอบที่น้าแก้วพูดว่าตัวเองจะตายด้วย”
“แต่สักวันคนเราต้องตาย เธอเองก็ด้วย”
“ทำไมล่ะ” เด็กหนุ่มเสียงสั่น รอบดวงตาคู่สวยแดงเรื่อ ก่อนที่หยดน้ำจะรินไหลออกมา หยดแล้วหยดเล่า แต่ก็ยังไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ภาพของเด็กหนุ่มในวันนี้ซ้อนทับกับเด็กชายตัวเล็กที่กลั้นเสียงสะอื้นไห้เมื่อเก้าปีก่อนอย่างไม่ผิดเพี้ยน
“นั่นสินะ” แก้วขยับเข้าไปโอบเด็กน้อยของเขาเข้ามาแนบอก ลูบแผ่นหลังสั่นเทาเพื่อปลอบโยน พอดีกับที่สายฝนทิ้งตัวลงมาจากหมู่เมฆสีดำ คำถามและคำตอบที่เหมือนจะเคยออกจากปากพวกเขามาแล้ว แต่ก็เนิ่นนานจนเลือนรางไปแล้วเช่นกัน
โชคนอนมองเพดานห้องในความมืด มีเพียงแสงสลัวจากเครื่องปรับอากาศ และดวงดาวสีเขียวส่องแสงจางๆ ที่เขาและน้าแก้วเอามาแปะไว้เมื่อตอนที่เขาอายุได้สิบเอ็ดปี
‘เธอคงสับสนที่อยู่ๆ ฉันก็พูดเรื่องนี้ ขอโทษนะ แต่ที่ฉันมาถามเธอวันนี้ก็เพราะฉันอยากให้เธอตัดสินใจด้วยตัวเอง ไว้เอาไปคิดดูก่อนแล้วค่อยตอบก็ได้’
น้าแก้วบอกกับเขาแบบนั้น เกือบสี่เดือนแล้วหลังจากที่ชายหนุ่มเข้าโรงพยาบาล ความคิดที่จะรับเด็กชายเป็นบุตรบุธรรมตามกฎหมายเขาก็ได้ตัดสินใจไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่เหตุผลที่เขารอจนถึงวันนี้ก็เพื่อให้เด็กหนุ่มมีสิทธิ์ตัดสินใจเอง เพื่อให้โชคได้มีสิทธิ์เซ็นเอกสารยินยอมด้วยตัวเองเมื่ออายุครบสิบห้าปี
โชคพลิกตัวตะแคงมองชั้นหนังสือเตี้ยๆ ข้างเตียงนอน คว้าเอาสมุดภาพเล่มเก่าเก็บแต่ยังสภาพดีอยู่ออกมาเปิดดูซ้ำ เรื่องของวาฬสีน้ำเงินที่เขาชอบมากที่สุด และสิ่งที่เขาชอบมากกว่าเรื่องราวในนั้น ก็คงเป็นเสียงของน้าแก้วเวลาที่อ่านให้เขาฟัง ดวงตาสีเข้มจับจ้องตัวอักษรบนแผ่นกระดาษในช่วงแรกๆ แต่พอนานวันเข้าก็เริ่มละสายตาจากในนั้นหันมาสบตากับเขาเป็นระยะจนจบเรื่อง
จากวันนั้นมันใช้เวลากี่ปีกันนะกว่าชายหนุ่มจะจำเรื่องราวของวาฬเจ้าสมุทรได้ขึ้นใจ แล้วมันกี่ปีแล้วกันนะที่เขาได้เฝ้ามองใบหน้าด้านข้างของชายคนนั้น
จากเด็กชายจนกลายเป็นเด็กหนุ่ม โชคคิดว่ามันก็เป็นระยะเวลาที่นานพอดูเลยทีเดียว
แต่ตอนไหนในระหว่างการเติบโตกัน ที่เขาไม่ได้มองอีกฝ่ายเป็นผู้ปกครองที่แสนดีอีกต่อไป เมื่อไหร่กันที่น้าแก้วไม่ได้เป็นแค่น้าคนโปรด แต่กลายมาเป็น
คนโปรดของเขา
และเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ภาพใบหน้าที่ถูกริ้วแสงตกกระทบใต้อุโมงค์อควาเรียมยักษ์ก็เด่นชัดขึ้นมาทันที ในตอนนั้นโชครู้สึกตัวชัดเจนว่าเขาตกหลุมรักเข้าแล้ว แต่เพิ่งจะมาตระหนักถึงความหมายของคำว่ารักที่แตกต่างไปจากเดิมได้เอาตอนนี้เอง
ใบหน้าเด็กหนุ่มเห่อร้อนขึ้นมาทันที ความรู้สึกประหลาดวิ่งเต้นไปทั่วทุกส่วนราวกับไหลเวียนผ่านไปกับเส้นเลือด รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดพร้อมกับหัวใจ
เขินอาย ประหม่า และรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน
เขาไม่ควรมีรู้สึกในเชิงนั้นให้กับน้าแก้ว ไม่ควรเลยจริงๆ
โชคยกหมอนขึ้นปิดหน้า บดบังภาพเบื้องหน้าให้มืดสนิท เช่นเดียวกับที่ปิดซ่อนใบหน้าเขาไว้ไม่ให้ใครได้เห็น ความรู้สึกของเขาจะไม่ทำร้ายใครหากมันถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในที่ของมัน จนกว่าวันที่ความรู้สึกผิดที่ผิดทางนี้จะจางลงไปตามกาลเวลา จนกว่าวันที่เขาจะสามารถมองหน้าอีกฝ่ายได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจอีกต่อไปจะมาถึง
จนกว่าจะถึงตอนนั้นเขาก็จะซ่อนมันเอาไว้ให้ลึกที่สุด
“คุยกันเสร็จแล้วเหรอ” ร่างสูงใหญ่ของแขกประจำก้าวเข้ามาในเขตห้องนั่งเล่น แต่ไม่ได้ตรงไปทิ้งตัวลงนั่งข้างเพื่อนสนิทที่กำลังสูบบุหรี่อยู่อย่างที่เคย ธีร์ยืนพิงฉากไม้โปร่งที่ช่วยบังสายตาของคนในห้องนั่งเล่นกับบันไดออกจากกันด้วยท่าทางสบายๆ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับไม่สบายตามเลยสักนิด
“อืม แต่โชคยังไม่ตอบหรอก” แก้วตอบพร้อมไอควันที่พรูออกมาพร้อมคำพูด
“เริ่มเข้าวัยนั้นแล้วก็คงต้องใช้เวลาหน่อย” ธีร์บอกยิ้มๆ แต่แก้วกลับไม่รู้สึกชอบรอยยิ้มแบบนั้นของอีกฝ่ายเลย
“ธีร์”
“หืม”
“เป็นอะไร”
“ไม่รู้สิ” คำตอบไม่ช่วยให้คิ้วที่ขมวดมุ่นของเจ้าของคำถามคลายลงแม้แต่น้อย ธีร์เม้มปากครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “อาจจะน้อยใจ แล้วก็หงุดหงิดนิดหน่อย”
“ที่กูไม่ปรึกษามึงเรื่องนี้น่ะเหรอ”
“เปล่า ไม่เกี่ยวกันเลย” เพราะเสียงของแก้วเริ่มจะแข็งกร้าวขึ้นอย่างหาได้ยาก ธีร์เลยยอมข่มอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเองแล้วตอบเสียงอ่อนลง ขยับกายเข้าไปนั่งลงข้างๆ คว้าเอามือข้างที่ว่างของอีกคนมากุมไว้หลวมๆ “เรื่องของมึงกับโชคเป็นเรื่องของมึงกับโชค กูเข้าใจว่าทำไมมึงถึงตัดสินใจไปแบบนั้น แล้วต่อให้กูไม่เข้าใจ กูก็รู้ว่ามึงคิดมาดีแล้ว”
แก้วไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก เมื่อไหล่ถูกคนตัวใหญ่โถมน้ำหนักทิ้งหัวลงมาซบอิงเอาไว้ มือเรียวยื่นบุหรี่ไปขยี้ลงบนที่เขี่ย ก่อนจะย้อนกลับมาโอบกอดแผ่นหลังของคนตรงหน้า เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าธีร์หมายถึงเรื่องไหน และใจเย็นมากพอที่จะรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากออกมาเอง
“มึงเข้าโรงพยาบาลตอนไหน”
“กุมภา”
“ทำไมกูไม่รู้เรื่องเลย”
“กูไม่ได้บอกมึง”
“แล้วทำไมถึงไม่บอก”
“กูไม่ได้เป็นไรมาก แค่เป็นลมเพราะช่วงนั้นอดนอนติดกันเฉยๆ”
“แก้ว” ไอร้อนของลมหายใจที่ทอดถอนออกมาจากปลายจมูกลามเลียผิวอ่อนตรงลำคอเจ้าของชื่อ ธีร์ผละถอยไปให้ไกลพอที่จะสบตากันได้ชัดเจน “โทรหากู”
“...”
“ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน โทรหากูนะ”
“กูไม่ได้เป็น...”
“ขอร้อง” เพราะเสียงของธีร์ชัดเจนหนักแน่น แต่ก็สั่นเครือด้วยอารมณ์มากมายในนั้น แก้วเลยได้แต่ทิ้งหัวลงไปแนบหน้าผากกับแผ่นอกอุ่น ปล่อยตัวเองไว้ในอ้อมกอดที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยมากกว่าที่ใดบนโลกใบนี้
และเพราะเป็นผู้ชายคนนี้ แก้วถึงปฏิเสธไม่ได้เลย
“อืม ไว้จะโทร”
โชคนั่งอยู่บนขั้นบันได เอนหัวพิงราวไม้อย่างเลื่อนลอย เขาตั้งใจจะลงไปหาอะไรดื่มเพื่อให้ลำคอที่แห้งผากชื้นขึ้นสักหน่อย แต่บังเอิญได้ยินบทสนทนาของผู้ใหญ่สองคนที่ไม่น่าเข้าไปรบกวนพอดีเลยได้แต่นั่งรออยู่อย่างนั้น และเพราะฉากไม้โปร่งที่กั้นบังสายตาของคนในห้องนั่งเล่นไม่ได้บังสายตาของคนอีกฝั่ง เขาจึงมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน
น้าแก้วที่อยู่ในอ้อมกอดของอาธีร์ ดูผ่อนคลายกว่าเวลาที่อยู่ในอ้อมแขนเล็กๆ ของเด็กชายและแมวตัวจ้อยในวันหลังคืนพายุโหมนัก เช่นเดียวกับที่ในดวงตาสีเข้มยามสะท้อนภาพชายคนนั้น ที่มันช่างหวามไหวและเปี่ยมรัก
รัก...ในแบบที่แตกต่างจากความรักที่เขามีให้เด็กหนุ่มอย่างสิ้นเชิง
และโชคก็รู้ดี ว่าที่ตรงนั้นจะไม่มีวันเป็นของเขา ในหัวใจของแก้วจะเป็นที่ของธีร์ตลอดไป
โชคหลับตาลง เมื่อก่อนเขาชอบเวลาที่ได้เห็นสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน เพราะมันจะมีความสุขลอยฟุ้งอยู่ในอากาศอย่างบอกไม่ถูก น้าแก้วของเขาจะดูมีความสุขเสมอเมื่อมีอีกคนอยู่ใกล้ๆ แต่ตอนนี้เขากลับไปไม่ชอบมันเลย ไม่อยากเห็นเลย ไม่อยากรับรู้เลย เพราะมันทำให้หัวใจของเขา...เจ็บ
ในขณะที่ความคิดในหัวกำลังก่อร่างขึ้นมาอย่างบิดเบี้ยว ก้อนขนอุ่นนุ่มก็แทรกตัวขึ้นมาบนตัก มะลิซุกตัวเข้าหาเด็กชายของเธอ ถูไถใบหน้าเรียวเล็กเข้ากับท่อนแขนมนุษย์อย่างออดอ้อน
โชคก้มลงมองแมวสาวตัวโตที่อ้าปากหาววอด ลูบสัมผัสกับขนอ่อนนุ่มและอุ่นร้อนจากอุณหภูมิของสัตว์เลือดอุ่น
“มะลิ” เด็กหนุ่มซุกหน้าเข้ากับแมวเหมียวในอ้อมกอด พึมพำกระซิบอู้อี้แผ่วเบาถึงสิ่งที่อยู่ในหัวให้อีกฝ่ายช่วยรับฟัง “ฉันชอบน้าแก้ว ชอบมากจริงๆ นะ”
และก็เพราะว่าชอบมากเหลือเกิน เขาจึงจะยอมเป็นในสิ่งที่เขาได้รับอนุญาตให้เป็น เพื่อที่อย่างน้อยมันจะยังคงมีบางสิ่งผูกโยงเขากับน้าแก้วไว้ด้วยกันอยู่บ้าง...
“ผมอยากเป็นครอบครัวเดียวกับน้าแก้วนะ” นั่นคือสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกไปในลานอิฐที่มีดอกแก้วสีขาวโปรยลงสู่พื้นที่ยังคงเหลือร่องรอยความชุ่มฉ่ำของหยาดฝน แสงแรกของวันส่องลงมาไล่ไอหมอกแต่ยังไม่ทำให้รู้สึกร้อนสักเท่าไหร่
“งั้นเหรอ” รอยยิ้มที่ฉาบด้วยแววของความดีใจส่องผ่านดวงตา สว่างจ้าและอบอุ่นกว่าแสงอาทิตย์ในความรู้สึกของคนที่มองอยู่ “ฉันดีใจนะ”
“อื้ม ผมก็ดีใจ” ที่จะได้อยู่เคียงข้างน้าแก้ว ...ไม่ว่าจะในสถานะอะไรก็ตาม
วันนั้นเป็นวันหนึ่งกลางฤดูฝนที่ท้องฟ้าแจ่มใส และไม่มีฝนตกลงมาเลย
TBC...
อาธีร์กลับมาแบบเต็มตัวแล้ววว น้องโชคก็กลายเป็นลูกชายโซนของน้าแก้วเต็มตัวแล้วเหมือนกัน หนทางยังอีกยาวไกลเลยล่ะค่ะ
แต่อย่าเพิ่งเบื่อกันเลยนะคะ อยู่ด้วยกันไปนานๆ น้า
ปล.อย่าลืมช่วยกันติดตาม ผลักดัน และสนับสนุน #สมรสเท่าเทียม ให้เกิดขึ้นจริงในสังคมไทยด้วยนะคะ เพราะนี่เป็นเรื่องสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนควรจะได้รับอยู่แล้ว และมันส่งผลต่อชาว LGBTQ+ โดยตรงจริงๆ เพราะเหมือนกับที่น้าแก้วบอกกับโชค ว่าเพราะไม่มีความเกี่ยวพันธ์กันทางกฎหมาย ทรัพสินย์ทั้งหมด หรืออำนาจการตัดสินใจทางการแพทย์และเรื่องอื่นๆ ทางกฎหมายอีกมากมายก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถตัดสินใจร่วมกันหรือตัดสินใจแทนกันได้ ทั้งที่ใช้ชีวิตร่วมกันแท้ๆ เช่นนั้นแล้วก็อย่าลืมช่วยกันเป็นเสียงเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยนะคะ
รีนเองก็ตั้งใจจะกล่าวถึงประเด็นนี้ในนิยายเรื่องนี้ โดยหวังว่าจะช่วยให้กลุ่มคนที่ได้อ่านตระหนักถึงประเด็นนี้ขึ้นมาไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว และในตอนนี้ก็พอดีกับที่มีโซเชี่ยลมูฟเม้นในเรื่องนี้พอดีเลย อย่างไรก็ขอฝากไว้ด้วยนะคะ มาช่วยกันทำให้โลกใบนี้สวยงามมากขึ้นสำหรับทุกคนกันเถอะค่ะ
ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจ และการอ่านเสมอค่ะ
See you on Thursday เจอกันวันพฤหัสบดีหน้าค่า!!