CHAPTER 17
“อยากจะร้องไห้ อยากให้เวลาเดินช้าๆ... ขอเวลาสักหน่อย
อยากมองหน้ากัน อยากหยุดวันเวลานี้ไว้ นานเท่านาน...ก่อนจะต้องไป”
(อยากหยุดเวลา – ปาล์มมี่)
ผมได้ยินเสียงน้ำหยดดังเปาะแปะตอนตื่นขึ้นมาและข้างกายว่างเปล่า
สองสามนาทีผมถึงได้สติ กชอินทร์ที่นอนหลับข้างๆ ผมเมื่อคืนไปไหนไม่รู้ ผมตาลีตาเหลือกลุกขึ้นจากเตียง เปิดประตูห้องน้ำแต่พบว่าไม่มีใคร
ณ เวลานั้นความหวาดกลัวเกาะกุมทุกจังหวะลมหายใจ
ผมกลัวว่าตัวเองฝันไปกับคำบอกรักเมื่อคืน กลัวว่าตัวเองฝันไป ผมรีบเดินไปเปิดประตูออกจากห้องนอน สายตากวาดไปทั่วก่อนที่จะรู้สึกชื้นในเมื่อเห็นว่ากชอินทร์กำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นถัดไปไม่เท่าไหร่ สวมเสื้อยืดของผมกับกางเกงบ็อกเซอร์ขาสั้น ในมือมีโทรศัพท์ มันหันมามองหน้าผมเล็กน้อยก่อนที่จะหันกลับไป
ผมเดินไปใกล้ สวมกอดมันด้วยความหวาดกลัว ซุกใบหน้าลงบนบ่าเล็กของอีกฝ่าย
“ครับ ครับ... ผมขอโทษจริงๆ ครับ จะให้เสร็จภายในสองชั่วโมงนี้แน่นอน... ครับ”
เสียงติดแหบของอีกฝ่ายเอ่ยเอื้อนกลับปลายสาย พูดคำว่าขอโทษซ้ำไปมาอีกราวสองสามนาทีก่อนที่จะวางโทรศัพท์มือถือลง มันไม่ได้หันมามองผมด้วยซ้ำไป
“ทำไมตื่นแต่เช้า” ผมกระซิบ “นึกว่า...”
“เงียบน่ะ” มันตัดบท พยายามแกะแขนของผมที่โอบเอวมันไว้หลวมๆ อยู่ “ไปทำงานเดี๋ยวนี้”
“ฮะ?” เป็นผมเองที่ร้องออกมาเสียงฉงน
กชอินทร์ผลักผมออก ปัดมือผมอย่างไร้เยื่อใย “ลืมไปแล้วรึยังไงฮะว่าต้องเขียนบทความ ไปเอามาเขียนเดี๋ยวนี้!” พูดเสียงดังเกือบจะเป็นตะคอกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
ผมนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะครางตอบรับในลำคอ คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีเรื่องเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย มันตีท่อนแขนผมอีกทีเมื่อเห็นว่าผมไม่กระตือรือร้นจะขยับไปไหน
“พีท!” ผมต้องเป็นบ้าแน่ๆ... ที่แค่มันเรียกชื่อผมเหมือนเดิมก็ทำให้ผมยิ้มกว้างได้ขนาดนี้
อินทร์ถลึงตามองผม เอื้อมมือทำท่าจะประทุษร้ายกันอีกรอบจนผมต้องจับมือของมันกันไว้ก่อนและยื่นหน้าเข้าไปใกล้ มันผงะไปนิดหน่อย แววตาของอีกคนจ้องผมกลับอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่จะผลุบลงต่ำ ผมเลื่อนสายตาไปที่ใบหูของมันที่เริ่มจะแดงขึ้นมาก่อนที่จะวาดยิ้มบางๆ
“ไปเฝ้าหน่อย...” เอ่ยออดอ้อนอีกฝ่ายด้วยความสุข
มันสบถคำหยาบออกมาเบาๆ แล้วพูดกับผมในที่สุด “ก็ต้องเฝ้าสิ ถ้าอู้อีกจะทำยังไง” คำพูดยืดยาวแปลความหมายได้ว่าตกลง
ผมดึงมือขึ้นให้มันลุกขึ้นยืน สังเกตได้ตอนนั้นเองว่ามันค่อนข้างทุลักทุเลจากเรื่องเมื่อคืน อา... ให้ตาย ผมคิดว่าผมถนอมมันมากแล้ว แต่ยังไงบริบทของมันก็ทำให้มันเสียเปรียบอยู่ดี ผมเลือกที่จะประคองมันไว้หลวมๆ ไม่อยากแสดงอาการให้อีกฝ่ายเห็นมากเพราะกลัวมันจะหงุดหงิดแล้วพยายามทำอะไรอวดดีออกมาในเวลาที่ร่างกายไม่เอื้ออำนวย
กชอินทร์นั่งลงบนเตียงอย่างกระอักกระอ่วน มันเบี่ยงเบนความเขินของมันโดยการสั่งให้ผมไปทำงานทั้งที่หน้าของมันแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
เรื่องเมื่อคืนผมไม่ได้ฝันจริงๆ...
คำใดที่มันพูดออกมาเป็นสิ่งที่ผมได้ยินจริงๆ ฝ่ามือของมันได้ผมได้สัมผัสก็เป็นเรื่องจริง ร่างของมันที่ผมตระกองกอดไว้ก็เป็นของจริง ยิ่งคิดถึงเรื่องพวกนั้นยิ่งทำให้ผมมีความสุข ช่วงเวลาที่แสนอึดอัดก่อนหน้านี้แตกต่างกับตอนนี้โดยสิ้นเชิงแม้ว่าผมจะต้องนั่งพิมพ์บทความบนคีย์บอร์ด พอเสียงเคาะเงียบหายไปหน่อยก็โดนอีกฝ่ายโวยวายขึ้นมาเสียงดังว่ารีบทำต่อสิ
ผมอยากจะหยุดเวลาเหล่านี้เอาไว้ เก็บเวลาที่เหมือนฝันนี้ไว้ให้นานที่สุด...ก่อนที่จะต้องตื่นขึ้นสู้กับความเป็นจริง
ผมให้ไฟล์งานที่เสร็จสมบูรณ์กับอีกฝ่ายหลังจากนั้นเกือบชั่วโมง
อินทร์เอาโน๊ตบุ๊คของตนเองมาทำงานต่อบนเตียงของผมในห้องของผมขณะที่มันใส่ชุดของผม พอได้มองมันหลังได้สติจริงๆ ทำให้ผมรู้สึกอุ่นไปทั่วหัวใจ ผมนั่งมองมันอยู่พักใหญ่โดยไม่เข้าไปใกล้มากเพราะโดนมันทำร้ายร่างกายทุกครั้งเวลาผมเข้าใกล้มันมากกว่าหนึ่งเมตร
อินทร์หน้านิ่วคิ้วขมวดแทบจะตลอดเวลายามจ้องหน้าจอ มันแทบไม่ขยับส่วนไหนนอกจากมือสองข้างและปลายนิ้ว บางทีก็ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอออกมา เป็นแบบนั้นอยู่นานทีเดียว ผมไล่สายตาไปที่ต้นคอ รอยฟันของผมประทับอยู่บนนั้นราวกับเป็นตราจองว่ามันเป็นของผมแล้ว ยิ่งมันเป็นคนผิวขาวซีดยิ่งเห็นได้ชัดแต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่ามันยังไม่เห็น ไม่เช่นนั้นมันต้องด่ากราดผมเป็นแน่
“เลิกจ้องได้ไหม”
“ไม่” ผมตอบในทันที
อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปชั่วครู่ มันเม้มริมฝีปากเข้าหากันและกัดปากล่างแบบที่ชอบทำแล้วหันไปสนใจกับหน้าจอตรงหน้ามันต่อ
ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องทำตัวเหมือนคนบ้า นั่งจ้องมันเป็นชั่วโมงโดยไม่ขยับตัวไปไหนแต่ผมละสายตาไปจากมันไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันนิ่งอยู่ตรงนั้น นานทีเดียวจนผมรู้สึกว่าตัวเองหิวแล้วเลยเอ่ยปากถามว่ามันอยากจะกินอะไรเป็นอาหารเช้าและเดินออกมาทำอาหาร
วันนี้ไอ้เก้ไม่ได้มาปลุกผม มันอาจจะคิดว่าผมคงทำงานดึกหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมแอบแวบไปดูมันที่เตรียมเปิดร้านก่อนทำอาหารเสร็จ
“ทำไมวันนี้เฮียเหมือนผีบ้าเลยวะ”
ถ้าไม่ติดว่าอารมณ์ดีมันอาจจะโดนผมต่อยปากแหก แต่เพราะอารมณ์ดีผมเลยไม่ได้ทำอะไร สั่งงานมันนิดหน่อยก่อนที่จะเดินออกมา ตอนเดินเข้าไปอาบน้ำอินทร์ก็ยังคงทำงานอยู่ในท่าเดิม
“อาหารเสร็จแล้วนะ”
“อื้อ” มันตอบรับสั้นๆ
พอเดินออกมาผมก็เหลือบมองมันเป็นระยะ อินทร์ไม่ละสายตาจากจอเลยจริงๆ ผมเลยบอกมันว่าถ้าทำงานเสร็จค่อยออกไปทานข้าวก็ได้ มันตอบรับนิดหน่อย ส่วนผมได้แต่เดินออกมาทานข้าวคนเดียวเพราะไม่อยากกวนมัน คิดไปคิดมาไอ้คนสร้างปัญหาให้กชอินทร์มันก็คือผมเองนี่นา จะไปเสนอหน้ามากก็ดูไม่ค่อยดีเสียด้วย รั้งจะทำให้มันหงุดหงิดมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ
หลังจากผมทานข้าวเสร็จเกือบครึ่งชั่วโมงมันถึงจะเดินออกมา
“ไม่ต้องเข้ามาเลยนะ” อินทร์กัดฟันขู่ตอนที่ผมจะเดินไปช่วยพยุงมันออกมา
เห็นไหม...บอกแล้วว่ามันไม่ชอบอะไรแบบนี้จริงๆ
ผมไม่ได้พูดอะไร ถอยหลังกลับมานั่งเหมือนเคย อินทร์เดินมานั่งแล้วกินอาหารเช้าง่ายๆ ที่ผมเตรียมไว้ให้โดยไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว
“งานโอเคไหม”
อีกฝ่ายพยักหน้า “วันหลังไม่เอาแบบนี้อีกแล้วนะ”
“เลตไปกี่ชั่วโมง?” ผมถามอย่างรู้สึกผิด “ตอนนั้นไม่ได้บอกว่าสี่ทุ่มเหรอ”
“มีเผื่อเวลาไว้นิดหน่อย” อินทร์ตอบกลับมาแค่นั้นด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจนัก “แต่มันก็เลตไปอยู่ดีนั่นแหละ” มองผมเหมือนจะบอกว่านั่นมันคือความผิดของผมนั่นแหละ ซึ่งผมเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
พวกเราตกอยู่ในความเงียบพักใหญ่จนมันทานอาหารเสร็จ ผมเป็นฝ่ายอาสาว่าจะล้างจานให้และมันก็นั่งรออยู่แบบนั้น พอเสร็จผมถึงได้กลับมานั่งตรงกันข้ามมัน มองตามัน
รอยยิ้มมันค่อยๆ จางหายไป อินทร์ผลุบตาลงต่ำ ริมฝีปากของมันเม้มเข้าหากันไม่แตกต่างจากผม
ถึงเวลาที่เราเลี่ยงมาตลอด ผมรู้ดี เราต่างไม่พูดถึงสิ่งที่ควรพูด เราไม่คุยกันว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป เราแค่โยนความเป็นจริงทิ้งไว้ด้านหลัง แต่ถึงเราจะไม่พูดมันต้องมีบ้างที่เราจะคิดถึงมัน หลังจากนี้เราจะทำอะไรต่อ เรารักกันได้หรือยัง ช่วงเวลาที่มีแต่ความเงียบตอนที่ผมจ้องมองมัน คำถามเหล่านี้มันผุดขึ้นมาทุกครั้ง
เมื่อคืนผมไม่ได้คิดตอนที่ตระกองกอดบอกรักมัน แต่ผมตระหนักได้ว่ามันยังมีใครอีกคน พริมาคือคนนั้น และผมไม่กล้าจะร้องขอมันว่าทิ้งอีกฝ่ายมาหาผมซะ การคบกับผู้หญิงทำให้มันไม่มีปัญหากับน้อง ไม่เหมือนสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นถ้าหากมันคบกับผม
แต่ผมไม่อยากจากมันไป ไม่เคยอยาก...ไม่เคยต้องการ
“อินทร์...” ผมเป็นคนทำลายความเงียบเหล่านั้นก่อน
เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้น มันพยายามจะยิ้มแต่มันเป็นรอยยิ้มที่โง่ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นจากมัน
“ยังคิดว่าจะหลอกกันได้อีกหรือ”
เหมือนคำถามของผมทำให้ความพยายามของอีกฝ่ายหมดลง มันก้มหน้า มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นวางอยู่บนโต๊ะ นั่นยิ่งยืนยันว่าที่ผมคิดน่ะถูกแล้ว ไม่ใช่พวกเราลืมแต่พวกเราแค่ไม่พูดมันออกมาเท่านั้น
“ขอโทษนะ” เสียงของมันแผ่วเบาเหมือนกระซิบ
“...อินทร์” ผมหลับตาลง สูดลมหายใจลึก
“จะหนีอีกแล้วใช่ไหม” มันไม่ยอมตอบอะไร
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากริมฝีปากนั่น อินทร์นิ่งเงียบ มีเพียงเสียงลมหายใจที่ทำให้ผมรู้ว่ามันยังมีตัวตนอยู่ตรงหน้า นี่มันไม่ผิดไปจากความคิดเลย
“เรา...ยืดเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้เหรอ” ผมถามคำถามโง่ๆ ออกมา
อีกฝ่ายส่ายหน้า นั่นทำให้ผมถอนหายใจอย่างจนปัญญา
เวลาแห่งความฝันจะจบลงเท่านี้หรือ เรากำลังจะต้องหยิบสิ่งที่โยนทิ้งไปเมื่อคืนกลับมาใช่หรือไม่ นี่คือผลลัพธ์ที่เราไม่คุยกันมาสิบปีเหรอ เรามีสิทธิ์มีความสุขอยู่แค่เวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงงั้นหรือ
ผมจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น
มือของผมเลื่อนไปกุมมืออีกฝ่าย คลายมันออกเบาๆ เพื่อให้มันจับมือของผมไว้ เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบที่สุด
“จะหนีจริงๆ เหรอ...” เสียงของผมแผ่วเบาอย่างน่าสมเพช “อย่าไปได้ไหม”
“มันยาก...” คำตอบของมันถูกหยิบยื่นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “มันยาก... เมื่อคืนก็บอกไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ...”
ผมสูดลมหายใจลึก ใช่ มันบอกแล้ว และผมเองก็ทำความเข้าใจว่าเรื่องเหล่านั้นมันยากเย็นเท่าไหร่ที่จะยอมรับ แล้วผมเองก็มั่นใจว่ากชอินทร์ต้องแบกรับภาระมากกว่าที่ผมคิดแน่นอน
แต่ว่า...
“มันอาจจะช้าไป... แต่ช่วยเชื่อกันหน่อยได้ไหม” ผมพูดคำนี้ช้าไปไหมนะ ถ้าตอนนั้นผมพูดมันไปตั้งแต่ต้น บอกว่าเราจะผ่านเรื่องเหล่านั้นไปด้วยกัน ตอนนี้จะเปลี่ยนไปไหม เราจะเสียเวลาเป็นสิบปีหรือเปล่า
ผมไม่รู้และคิดว่าเราไม่มีโอกาสจะรู้ มันย้อนเวลาได้ที่ไหน ที่ผ่านมาผมตั้งคำถามไปทำไม
อีกฝ่ายตัวสั่นเล็กน้อย มันไม่พยายามที่จะให้ผมปล่อยมือแต่กำมือผมไว้แน่นกว่าเดิม ผมได้ยินเสียงสูดลมหายใจเหมือนกับพยายามตั้งสติ มันไม่พยายามพูดว่าเป็นไปไม่ได้หรือถ้อยคำที่รั้งให้เรารู้สึกแย่กว่าเดิม มันทำเพียงรับฟังผมอย่างเงียบๆ และเงยหน้าขึ้นมา
“ผ่านมันไปด้วยกันได้ไหม” ผมกลั้นหายใจอยู่นานตอนพูดคำนั้นออกมา รอคอยคำตอบด้วยใจลุ้นระทึก ผมอาจจะร้องไห้ได้เลยถ้าหากมันปฏิเสธบอกว่าเรื่องระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้
จนสุดท้าย กชอินทร์พยักหน้าเล็กน้อยเหมือนจะตอบรับ นั่นทำให้ผมลุกขึ้นเดินไปด้านหลังมัน โอบกอดมันไว้ให้แน่นที่สุด จับมือมันไว้ให้มั่นที่สุด กระซิบคำพูดบอกมันว่าผมจะอยู่กับมันตรงนี้
นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ควรทำตั้งแต่ต้น... ไม่ใช่การตั้งคำถามและคาดคั้นหาคำตอบ แต่เป็นการบอกมันว่าผมอยู่ตรงนี้ พูดให้มันฟัง ทำให้มันไว้ใจผมมากพอที่จะเอนกายซบผมยามที่มันอ่อนแอที่สุดและผ่านช่วงเวลาที่อาจจะเลวร้ายที่สุดไปด้วยกันโดยไม่ปล่อยมือกัน
ผมกับอินทร์แทบไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีกแม้ว่าเราตกลงว่า ‘จะผ่านมันไปด้วยกัน’
ผมปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยมันก็ไม่ได้หายไปอย่างไร้สาเหตุ กชอินทร์บอกผมว่ามันยุ่งกับงานบรรณาธิการ อย่าโทรหรือติดต่อไปในช่วงสัปดาห์นี้เลย ผมไม่รู้ว่ามันเป็นคำโกหกหรือเปล่าแต่เพื่อที่จะสบายใจ ผมเลือกที่จะเชื่อว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ
ฝั่งนั้นกำลังยุ่ง ผมเองก็ไม่แพ้กัน ตกลงเพิ่มเมนูตามที่พ่อครัวได้เสนอมาแล้ว ผมเองก็วุ่นกับการจัดการบัญชีอะไรหลายอย่างในช่วงอาทิตย์นี้ไม่แพ้อินทร์นั่นแหละ
หลังจากจบอาทิตย์ตามที่อีกฝ่ายบอกผมก็เลือกที่จะโทรหาอีกคน แต่มันเริ่มทำให้ผมกระวนกระวายใจเมื่อการโทรไปหามันและปรากฏว่าสายไม่ว่างตลอดเวลา ไลน์ไปไม่ตอบ
ใช่ ผมกระวนกระวาย ผมหวาดกลัว ผมนึกถึงคำพูดถามมันว่ามันจะไม่หนีไปใช่ไหม
วันนั้นผมติดต่อมันเป็นร้อยๆ สายด้วยซ้ำแต่เบอร์ที่เมมไว้ไม่สามารถช่วยอะไรผมได้เลย
เช้าวันถัดมาผมตั้งใจว่าจะไปหามันที่สำนักพิมพ์หลังจากดูแลร้านเรียบร้อยแล้ว เพราะไอ้เก้โทรมาบอกว่าติดธุระตอนเช้า ลูกจ้างอีกคนก็ลาออกไปแล้วและผมยังหาคนใหม่มาแทนไม่ได้ แน่นอนว่าผมไม่สามารถปล่อยให้คุณจีระวิ่งวุ่นทั้งทำอาหารและรับลูกค้าคนเดียวก็ไม่ได้เสียด้วย
ผมนั่งมองนาฬิกา ทุกครั้งที่ว่างก็หยิบโทรศัพท์ เกือบเที่ยงแล้วแต่ไอ้เก้ไม่โผล่หัวมาสักที นั่นยิ่งทำให้ผมอยู่ไม่สุข
ผมอยากเจออินทร์ อยากจะกอดมันไว้เพราะผมไม่ปรารถนาให้มันหนีผมไปอีกเป็นครั้งที่สอง มันหนีมามากพอแล้ว
กริ๊ง
ผมรีบหันไปที่ประตู ตอนแรกผมนึกว่าจะเจอไอ้เก้วิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ผมกลับคิดผิด
หญิงสาวที่เป็นลูกค้าเดินเข้ามาหาผมในชุดกางเกงและเสื้อที่ดูเป็นทางการเล็กน้อยรวมถึงรองเท้าส้นสูง เธอคลี่ยิ้มให้ผมและเอ่ยปากทักทายด้วยริมฝีปากสีส้มนั่น
“สวัสดีค่ะพี่พีท”
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก มองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ ไม่มีเหตุผลที่เธอจะมาปรากฏตัวแล้วยิ้มให้ผมแบบนี้ ไม่มีเลยแม้แต่น้อย
“พริมา?”
“ขอบคุณที่จำชื่อได้ค่ะ” เธอพยักหน้าให้เล็กน้อย
“ฉันจะมาเป็นบก. คนใหม่ของพี่พีทนะคะ” ผมรู้สึกเหมือนโดนค้อนปอนทุบหัวเข้าอย่างแรงกับคำพูดนั้น เธอพูดอะไร ผมไม่เข้าใจเลยแม้แต่อย่างเดียว ทำไมทุกคนชอบทำให้ผมเป็นคนโง่นัก โดยเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับอินทร์ เหมือนพวกเขารู้ทุกเรื่องแต่ผมไม่เข้าใจอะไรแม้แต่น้อย
“อินทร์ล่ะ”
เธอวาดยิ้มอีกครั้ง “ฉันเลยมาหาคุณถึงนี่ไงคะ”
------------------------------------------------------------
วันพรุ่งนี้จะเปิดเทอมแล้วค่ะ
หลังจากนี้จะอัพช้าลงหน่อยนะคะ ขอโทษด้วยค่ะ
(ตอนนี้ขึ้นม.หกแล้ว ช่วงเวลาพีคสุดในชีวิตเลย ฮาา)
อีกไม่นานเรื่องนี้ก็จะจบแล้วค่ะ