ตอนที่6
เสวี่ยหมิงเดินทางเท้าผ่านป่าเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บัดนี้เขาได้เดินทางมาถึงเมืองตงถิงทเมืองอันศิวิไลแห่งแรกนอกจากป่าเขาและหมูบ้านเล็กๆที่พบเจอมาตลอดทาง ดังนั้นเขาจึงคิดหาที่พักในเมืองก่อนจะออกเดินทางต่อไป
เสวี่ยหมิงมีเงินกระดาษหลายตำลึงทองที่ได้มาจากท่านอาจารย์ นอกจากนั้นก่อนจากกันอาจารย์ยังให้แหวนมังกรคาบมุกซึ่งตัวเรือนประดับด้วยอัญมณีหลากสีติดตัวมาด้วย อาจารย์บอกว่าสิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของประมุขพรรคหากพบเจอคนในพรรคสามารถใช้แหวนวงนี้อ้างถึงตัวอาจารย์แล้วใช้สอยคนเหล่านั้นได้ตามสะดวก
ถึงอาจารย์จะกล่าวเช่นนั้น แต่เสวี่ยหมิงไม่เห็นประโยชน์ที่จะนำแหวนไปอวดอ้างใช้สอย เขาไม่ชอบแสดงตัวเอิกเกริกยังคงตัดสินใจจะเดินทางเงียบๆมุ่งสู่หุบเขาหมื่นปีโดยไม่คิดงานเจ้าแหวนวงนี้ถึงแม้จะสวมมันติดตัว
ในเมืองตงถิงช่างคึกคักและมีผู้คนมากหน้าหลายตาเสวี่ยหมิงแวะซื้อหมั่นโถจากร้านแผงลอยที่มีผู้คนเข้าแถวยาวเหยียดคาดว่ารสชาติคงล้ำเลิศ พอได้ลิ้มลองแล้วพบว่าไม่ผิดหวังแม้แต่น้อย ระหว่างที่จะกัดหมั่นโถอีกคำ ตอนนั้นเองก็พบว่ามีขอทานน้อยผู้หนึ่งยืนมองเขาตาไม่กระพริบ
เสวี่ยหมิงเมื่อมองตอบกลับไปขอทานน้อยก็หาได้หวั่นเกรงต่อสายตาของเขาไม่ มันยังคงใช้สายตาจ้องมาราวกับต้องการอะไรบางอย่าง
หรือว่าจะหิวมาก เสวี่ยหมิงมองดูหมั่นโถในมือสลับกับขอทานน้อย เด็กหนุ่มผู้นั้นอายุน่าจะราวๆ15-16ปี รูปร่างผอมแต่สูง ถึงจะสูงไม่เท่ากับเขาแต่ก็นับว่าสูงกว่าเขาก่อนที่จะได้รับการถ่ายพลังวัตร กายแต่งกายมอมแมมสมกับเป็นขอทาน แต่ด้วยหน้าตาที่ค่อนข้างฉลาดทำให้รู้สึกติดใจอยู่ไม่น้อย
“เจ้าหนู” ถึงจะเรียกขอทานน้อยว่าเจ้าหนู แต่แท้จริงแล้วอายุของเขากับมันน่าจะไม่ต่างกัน เพียงแต่ด้วยรูปร่างที่โตขึ้นของเขายังควรต้องเรียกขานขอทานน้อยให้เหมาะสมเพื่อมิให้แปลกประหลาด
“เจ้าหนูมานี่สิ” เรียกอีกครั้งเพราะคิดว่าขอทานน้อยอาจไม่ได้ยิน
“ท่านเรียกข้ารึ” ขอทานน้อยถาม
“ใช่แล้วข้าเรียกเจ้า” ขอทานน้อยเดินตรงมาหาเขา ท่วงท่าการเดินเหินดูทะมัดทะแมงต่างกับกลุ่มคนที่เป็นขอทานโดยสิ้นเชิง ดูแล้วชวนให้คิดว่าเด็กน้อยผู้นี้น่าจะมีดีอยู่ในตัว
“เรียกข้าทำไมรึพี่ชาย” เมื่อเดินมาถึงขอทานน้อยก็ยกยิ้มพร้อมทั้งยักคิ้วหลิ่วตาให้ ความทะเล้นนี้ช่างไม่เหมือนกับผู้คนที่เป็นขอทาน การที่อีกฝ่ายมีความสุขแม้จะลำบากอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้ มันทำให้เสวี่ยหมิงทั้งทึ่งทั้งนับถือ
“เจ้าไม่ใช่รึที่มองข้าอยู่เป็นนาน ข้าต่างหากที่ต้องถามว่าเจ้ามีอะไรกันแน่”
เผลอพูดในสิ่งที่คิดออกไปนึกอีกทีแล้วก็เห็นว่าไม่เข้าท่า จุดประสงค์ของเขาคือต้องการมอบหมั่นโถวให้ขอทานน้อยผู้นี้ไปกินไม่ใช่หรือ การที่เขาพูดคุยกับขอทานน้อยในลักษณะนี้อาจเป็นเพราะประหลาดใจต่อดวงตาพราวระยับที่ขอทานน้อยใช้มองมาที่เขาก็เป็นได้
“เฮ้อช่างเถอะ เจ้าเอาหมั่นโถวนี่ไปเสีย” กล่าวจบก็ยัดเยียด หมั่นโถวใส่มือให้ขอทานน้อย เสวี่ยหมิงไม่เสียเวลาสนทนาให้มากความเขาสาวเท้าเดินจากไป ไม่คาดว่า เจ้าขอทานน้อยจะเดินตามมาตลอดทาง
เหตุใดจึงตามเขามานะ เสวี่ยหมิงไม่ทราบจุดประสงค์ของขอทานน้อย ตั้งแต่แรกก็พบว่าอีกฝ่ายมองมาที่ตนยังเข้าใจว่ามองเพราะหิว แต่ตามติดไล่หลังมาเช่นนี้ไม่เข้าใจจริงๆว่าต้องการอะไร
“นายท่านๆ มาพักทางนี้สิเจ้าค่ะ”
หญิงสาวมากมายหน้าตางดงาม พวกนางแต่งตัวประชันโฉมราวกับนกหลากสี เสวี่ยหมิงงุนงงอย่างหนักเมื่อถูกหญิงเหล่านั้นห้อมล้อมต้อนเขาเข้าไปในตึกที่มีป้ายเขียนว่าหอสุราสวรรค์ซึ่งเป็นหอนางโลม เด็กหนุ่มคาดว่าคงเป็นคนิกาซึ่งคอยเรียกแขกแล้วเขาก็เป็นแขกที่พวกนางหมายตา
“เอ่อแม่นางข้าแค่กำลังหาที่พักเท่านั้น” เสวี่ยหมิงพูดกับเหล่าหญิงคนิกาที่ห้อมล้อมเขาอยู่ไม่ห่าง
“คุณชายหอสุราสวรรค์ของเราก็มีที่พักนะคะ ไม่แค่ที่พักธรรมดาคุณชายยังจะได้สนุกกับพวกเราทั้งค่ำคืนอีกด้วย”
เสวี่ยหมิงหน้าแดงซ่านเมื่อนึกถึงความนัยที่หญิงคนิกากล่าว เด็กหนุ่มเคยได้ยินมาบ้างว่าพวกนางปฏิบัติเช่นไรต่อชายหนุ่มที่มาเยือน แต่ไม่เคยมีเลยซักครั้งที่เขาจะได้สัมผัสสถานที่เช่นนี้
กลิ่นแป้งหอมๆและเนื้อตัวนุ่มนิ่มซึ่งบดเบียดเข้ามาพาความคิดให้เกือบล่องลอยเตลิดไป แค่ถูกรุกเร้าหนักหน่วงจากสตรีเหล่านี้ใบหน้าก็แดงก่ำมือไม้สั่นเทาจนปฏิบัติตนแทบไม่ถูก พวกนางล้วนแล้วแต่เป็นหญิงงาม อาจจะงามกว่าคุณหนูถิงเสียอีกด้วย กริยายิ้มแย้มแช่มช้อยช่างเอาอกเอาใจ ถึงเสวี่ยหมิงจะไม่ต้องการเข้าไปสนิทแนบชิด แต่ก็ไม่กล้าแสดงท่าทีเย็นชาหยาบกระด้างทำร้ายน้ำใจ
“ตายแล้วเจ้าขอทานน้อยใครใช้ให้เจ้าเข้ามาที่นี่”
“ใครก็ได้ลากมันออกไปที”
เสียงโหวกเหวกโวยวายของนางคนิกาหันเหความสนใจของเขาจากเหล่าหญิงสาวไป ตอนนั้นก็ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวด เป็นเสียงที่เคยได้ยินมาก่อน เสวี่ยหมิงจำเสียงนี้ได้มันคือเสียงเจ้าขอทานน้อยที่ไล่ตามเขามา เวลานี้มันกำลังถูกคนคุมหอทุบตีไม่ยั้ง หากเสวี่ยหมิงไม่เข้าไปห้ามมันคงเลือดตกยางออกเป็นแน่แท้
“หยุดๆก่อนพี่ๆทั้งหลาย ได้โปรดหยุดทุบตีขอทานน้อยเถอะ” เสวี่ยหมิงขอร้อง ทำให้พวกชายคุมหอหยุดการกระทำ ขอทานน้อยตอนนี้คู้กายขดตัวกลมอยู่บนพื้นดูแล้วน่าเวทนาอย่างยิ่ง
“เหตุใดนายท่านถึงมาห้าม ขอทานผู้นี้มันไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เข้ามาสร้างความวุ่นวายในหอเรา ท่านไม่เห็นรึมันรบกวนลูกค้าคนอื่น”
“ข้าแค่ตามพี่ชายมาเท่านั้น” ขอทานน้อยกล่าวเสียงระโหย เสวี่ยหมิงไม่แปลกใจเพราะพบว่ามันตามเขามาตลอดทางตั้งแต่แรก
“เจ้าขอทานน้อยอย่ามาโกหก พวกข้าจะสั่งสอนเจ้าอีกรอบจะได้สำนึก” เหล่าชายผู้คุมหอตั้งท่าจะเล่นงานขอทานน้อยซ้ำ เสวี่ยหมิงเห็นไม่ได้การจึงตัดสินใจออกรับหน้า
“หยุดก่อน เด็กน้อยนี่มากับข้าเอง” กล่าวจบก็ยัดเงินกระดาษให้กับเหล่าผู้คุมหอ
“จะได้อย่างไรนายท่าน มันเป็นขอทาน” เหมือนผู้คุมหอจะยังไม่ยอมง่ายๆ ตอนนั่นเองหญิงคนิกาได้ตามแม้เล้ามาไกล่เกลี่ย
“นายท่านๆ หากว่าท่านจะจ่ายให้ขอทานน้อยเราก็จะถือว่าขอทานน้อยนี่เป็นคุณชายผู้หนึ่ง ขออภัยที่คนของทางเราเสียมารยาทนะคะ”
เมื่อแม้เล้าเข้าใจสถานการณ์ต่างๆได้โดยง่ายเสวี่ยหมิงก็เบาใจ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าเขาต้องเข้าพักในหอนางโลมจนได้ เสวี่ยหมิงถูกพาไปยังห้องส่วนตัวบนชั้นสองพร้อมกับขอทานน้อยที่เดินตามมาติดๆ
ทันทีที่เข้าไปในห้องรับรอง หญิงสาวจำนวนมากก็พากันเอาอกเอาใจทั้งเขาทั้งขอทานน้อย เสวี่ยหมิงนั่งลงกับเก้าอี้ใช้สายตามองดูขอทานน้อยซึ่งดูมีความสุขต่อการเอาอกเอาใจของหญิงคนิกา
ไม่ว่าใครก็ชื่นชอบให้หญิงสาวมาเอาอกเอาใจสินะ เสวี่ยหมิงส่ายหน้ายิ้มอ่อนใจ เมื่อขอทานน้อยสนุกสนานจนลืมไปสิ้นว่าก่อนหน้านั้นพบเจออะไรมาบ้าง เสวี่ยหมิงไม่รีบร้อนนักนั่งละเลียดอาหารที่เหล่าคนิกานำมาวางตรงหน้า รอคอยให้ขอทานน้อยรู้ตัวเสียทีว่าเขารออยู่
“พี่ชายขอบคุณมากนะที่ช่วยข้าไว้” ในที่สุดเจ้าขอทานน้อยก็รู้ตัวเสียทีหลังจากเด็กน้อยนี่ทั้งกินทั้งดื่มเข้าไปมากจนเรียกได้ว่าเกินขนาดตัวอย่างน่าตกใจ
“เจ้าพูดกับข้าได้แล้วรึ ไหนบอกว่าสิว่าทำไมเจ้าถึงแอบเดินตามข้ามามีจุดประสงค์อะไร”
เสวี่ยหมิงรอคำตอบ เจ้าขอทานน้อยครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง สองมือแบมาข้างหน้าราวกับยอมจำนนต่อเขา
“บอกตามตรงข้าคิดใช้ท่านให้เป็นประโยชน์เพราะว่าท่านดูใจดีเพียงเท่านั้น”
“ข้านะหรือดูใจดี” เสวี่ยหมิงเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจเหตุใดแค่พบกันไม่กี่ครั้งจึงได้คิดเช่นนั้น
“แน่นอนหากท่านไม่ใจดีแล้วใครจะใช่อีกเล่า พี่ชายยอมให้ของกินแก่ขอทาน ยอมให้ข้าเข้ามาพัวพันท่านถึงแม้ว่าข้าจะลอบตามพี่ชายมาแล้วก่อเรื่อง คนปกติหากไม่ใช่พี่ชายคงไล่ตะเพิดข้าไปแล้วไม่มานั่งพูดคุยด้วยเช่นนี้”
“ข้าไม่ใช่คนดีขนาดนั้นหรอก แค่เห็นเจ้าอดอยากหรือถูกทุบตีต่อหน้ามันทำให้ข้ามาสบายใจเท่านั้น”
เสวี่ยหมิงจิบน้ำชาเล็กน้อย ก่อนกล่าวปฏิเสธหญิงคนิกาที่รินเหล้าแล้วยื่นจอกมาให้
“ท่านแค่สงสารก็ยอมให้ข้าเข้ามาวุ่ยวายในชีวิตท่านได้แล้วหรือ ถามหน่อยท่านเป็นอย่างนี้กับทุกคนที่ผ่านมาในชีวิตท่านหรือเปล่า”
“เจ้าพูดเช่นนี้ข้าไม่รู้จะกล่าวอย่างไร สำหรับข้าหากมีคนมาขอความช่วยเหลือ ถ้าช่วยได้ข้าก็จะช่วย แต่คงไม่สามารถช่วยได้ไปหมดทุกคนหรอก”
“ท่านพูดอย่างนี้ข้าค่อยโล่งอกหน่อย หากท่านพูดในทำนองที่ว่าท่านจะช่วยทุกคนที่ผ่านเข้ามา ข้าคงไม่พ้นคิดว่าท่านเป็นผู้ดีจอมปลอม นับว่าข้าโชคดีแล้วที่ได้พี่ชายเมตตา”
คำพูดคำจาของขอทานน้อยดูมีหลักการอยู่ไม่น้อย ท่วงท่าการวางตัวก็ดูมีสง่าราศีผิดกับการแต่งกายซอมซ่อ กริยามารยาทไม่ว่าจะเป็นการนั่งการทานดูคล้ายกับผู้มีอันจะกิน ชวนให้เสวี่ยหมิงนึกสงสัย
“เจ้ายังไม่ได้บอกชื่อข้าเลย ไหนลองเล่ามาสิว่าเจ้าไปยังไงมายังไงถึงมาเป็นขอทานที่นี่”
ตอนนี้เองที่ขอทานน้อยทำหน้าสลด เสวี่ยหมิงเห็นมันหุบยิ้มครานี้เป็นครั้งแรก
“ข้าว่าอยู่ว่าเสี่ยวหลง แต่เดิมอาศัยอยู่กับท่านพ่อที่เป็นบัณฑิต ทว่าตอนนี้ท่านพ่อมาหายตัวไป ตอนแรกข้ามีทรัพย์สินพอต่อค่าใช่จ่ายอยู่บ้าง แต่พอตามหาท่านพ่อไปนานๆเข้าทรัพย์สินก็ร่อยหลอสุดท้ายจึงต้องมาเป็นขอทานเช่นนี้”
“แล้วพ่อของเจ้าชื่ออะไร บางทีข้าอาจจะเคยรู้จักบ้างก็ได้”
“ท่านพ่อของข้าชื่อซือเยว่ ท่านคงไม่รู้จักกระมัง ไม่ใช่ผู้ที่มีชื่อเสียงอันใดเลย”
เสวี่ยหมิงยอมรับว่าเขาไม่รู้จักจริงๆ จนปัญญาที่จะช่วยเสี่ยวหลงได้
“ขอโทษนะที่ช่วยเจ้าไม่ได้เลย”
“ท่านช่างใจดีนัก อันที่จริงไม่จำเป็นต้องขอโทษ อืม...ทำไมนะข้ารู้สึกว่าท่านช่างน่ารักยิ่ง” เสี่ยวหลงส่งยิ้มหวานมาให้ ดวงตาคมของมันดูพราวระยับราวกับมีดวงดาวอยู่ในนั้น
“จริงสิแล้วพี่ชายจะไปที่ใดหรือ พี่ชายเดินทางคนเดียวคงมีภารกิจกระมัง”
“ข้ากำลังจะเดินทางไปสถานที่แห่งหนึ่งตามคำสั่งของอาจารย์”
“บอกได้หรือไม่ว่าอาจารย์ของท่านคือผู้ใด” เสี่ยวหลงดูกระตือรือร้น หากแต่เสวี่ยหมิงไม่ต้องการบอกความจริงแก่ใคร
“ยังคงเก็บไว้เป็นความลับ เจ้าอย่าได้ซอกแซกเรื่องของข้าเลย นี่ก็ดึกมากแล้วเจ้าเองก็ไปพักผ่อนเถอะ”
กล่าวจบเสี่ยวหลงก็ทำหน้ายินดีอย่างที่สุด เหล่าหญิงคนิกาสองคนห้อมล้อมเด็กน้อยนำพามันไปยังห้องข้างๆ เหลือหญิงคนิกาอีกนางหนึ่งอยู่ในห้องคาดว่ารอคอยรับใช้เขาตามหน้าที่
“คุณชายอยากถอดเสื้อผ้าเองหรือให้ข้าถอดให้คะ”
หญิงสาวชม้ายตามองมาดูระยิบระยับ ใบหน้าซับสีกับท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความเอียงอายบอกชัดถึงความรู้สึก นางกำลังตื่นเต้น ส่วนเขาเองก็ตกประหม่า เสวี่ยหมิงไม่เคยคิดมาก่อนจะมีวันได้เขามาเหยียบในหอคนิกา
การที่มีหญิงสาวมาเอาใจทั้งยังเสนอตัวเป็นรสชาติแปลกใหม่อย่างยิ่ง เพราะว่าเขามัวแต่อ้ำอึ้งหญิงสาวจึงเข้ามาปฏิบัติหน้าที่โดยไม่รอคำสั่ง มือเรียวพยายามจะปลดผ้าคาดเอวของเขา เสวี่ยหมิงคว้าจับมือนิ่มหยุดการกระทำเอาไว้ได้ทันท่วงที
“ให้ข้าได้อยู่ลำพังเถอะ”
“ข้าไม่ถูกใจนายท่านหรือคะ” หญิงสาวมีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เสวี่ยหมิงไม่รู้จะจัดการอย่างไร จึงได้ยื่นอัฐให้หญิงสาวไปจำนวนหนึ่ง
“เจ้าไปพักผ่อนเถอะ คืนนี้ข้าอยากอยู่เงียบๆจริงๆไม่ใช่ว่าเจ้าไม่งดงามหรือมีตรงไหนบกพร่องหรอกนะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ ทว่าหากท่านเปลี่ยนใจเรียกข้าได้ตลอดนะคะ” หญิงสาวผละไปอย่างอิดออดเมื่อนางออกไปแล้วเสวี่ยหมิงก็ถอนหายใจโดยแรง หัวใจเขาเต้นระทึกยิ่งกว่าจังหวะรัวกลอง ใช่ว่าอยากจะปฏิเสธ แต่หากตนเองตื่นเต้นถึงเพียงนี้คงไม่พ้นทำเรื่องเปิ่นๆน่าชายหน้าออกไปเป็นแน่แท้
เสวี่ยหมิงไม่เคยใกล้ชิดกับสตรีในทางชู้สาวมาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกยังไม่ทันได้เตรียมใจ จากเรื่องดีงามที่ควรเกิดเลยกลายเป็นไล่นางออกจากห้อง ระหว่างที่ลังเลว่าควรจะเรียกนางกลับมาดีหรือไม่ ประตูก็เปิดออก เสี่ยวหลงเดินเข้ามาในห้องหน้าตายิ้มแย้มสมใจ
“เจ้าเหตุใดถึงมาที่นี่ ยังไม่ไปทำเรื่องดีงามของเจ้าอีกหรือ”
“เรื่องดีงามอันใดแค่กอดหญิงสาวคนสองคนเป็นเรื่องดีงามถึงเพียงนั้นเชียวหรือพี่ชาย”
คำกล่าวของเสี่ยวหลงทำให้เสวี่ยหมิงมึนงงไปหมด เด็กน้อยนี่พูดคล้ายกับว่าเคยทำเรื่องดีงามเช่นนี้มาจนชิน
“เจ้าพูดราวกับว่าเจ้ารู้เรื่องราวของชายหญิงดี”
“ย่อมแน่นอนพี่ชาย ทั้งเสี่ยวอิงทั้งวาวาน้อยล้วนสยบอยู่ใต้ความใหญ่โตของข้ามาแล้วทั้งนั้น”
เสวี่ยหมิงหน้าแดงซ่านเมื่อนึกตาม
“พี่ชายหน้าแดงถึงเพียงนี้ทำราวกับเป็นสาวบริสุทธิ์ไม่เคยต้องมือชายอย่างไรอย่างนั้น” เสี่ยวหลงทำหน้าเจ้าเล่ห์
“ท่านยังเป็นหนุ่มบริสุทธิ์ใช่หรือไม่เพราะอย่างนั้นจึงเขินอายไล่แม่นางคนนั้นออกไปอย่างนี้”
เสวี่ยหมิงอ้ำอึ้ง คล้ายกับมีน้ำท่วมปาก นั่นยิ่งทำให้ข้อสันนิษฐานของสี่ยวหลงชัดเจนขึ้น เด็กน้อยลอบหัวร่อฮิฮะ ที่แท้แล้วพี่ชายท่านนี้ยังเป็นมือใหม่ในด้านนี้นี่เอง
“เจ้าช่างพูดมากนัก ทำไมเจ้าไม่กลับไปทำเรื่องดีงามที่ห้องของเจ้ากันเล่า” เสวี่ยมหมิงปัดรำคาญด้วยการกล่าวถึงเรื่องของเสี่ยวหลง
“ไม่ดีกว่า คืนนี้ข้าอยู่เป็นเพื่อนพี่ชายดีกว่า ท่านเป็นคนจ่ายอัฐแต่กลับไม่ได้แนบชิดหญิงสาว ข้าจะเกินหน้าเกินตาพี่ชายได้อย่างไร นะนะ ขอข้านอนที่นี่ด้วยคนนะพี่ชาย”
เสวี่ยหมิงสับสนงุนงงไปหมด อยากจะลุกไปทุบตีเจ้าเด็กน้อยน่าตายนี่นัก แต่หากให้คิดอีกทีถึงเขาทุบตีมันก็ใช่ว่าจะทำให้มันลืมเรื่องน่าอายของเขาไปได้ ดังนั้นจึงแกล้งทำบ้าใบ้ ล้มตัวลงนอนหันหลังให้เสี่ยวหลงหวังว่ามันจะเข้าใจแล้วล่าถอยกลับไป
ไม่คาดว่า มันกลับหน้าด้านดับไฟในตะเกียงก่อนจะลดตัวลงนอนข้างๆบนเตียงเดียวกับเขา เสวี่ยหมิงหงุดหงิดคล้ายไม่หงุดหงิด ไม่ทราบได้ว่าอยากไล่มันไปหรืออยากให้มันอยู่เป็นเพื่อนกันแน่
“พี่ชายข้ายังไม่รู้ชื่อท่านเลย”
“เสวี่ยหมิง”
“ชื่อไพเราะยิ่ง ข้าเรียกท่านว่าพี่หมิงได้หรือไม่” เสวี่ยหมิงถอนหายใจก่อนจะผลิกหันกลับมาเผชิญหน้ากับเสี่ยวหลง มันส่งยิ้มทั้งยักคิ้วมาให้
“เจ้าจะไม่นอนหรือเสี่ยวหลง”
“ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากคุยกับท่านไปเรื่อยๆจนกว่าจะง่วง พี่หมิงท่านอยากฟังเรื่องบนเตียงของข้าไหม”
“เจ้านอนไปเถอะข้าไม่อยากฟัง”
“คืออย่างนี้นะครั้งแรกของข้ามันเริ่มเมื่อตอนอายุได้สิบสาม....”
น่าตายนัก เสวี่ยหมิงจนใจเพราะไม่รู้ว่าจะจัดการกับปากช่างจ้อนี่อย่างไรดี เขาทำได้แต่นอนหันหลังให้แล้วอุดหูตัวเองปล่อยให้เสี่ยวหลงพูดพล่ามไปจนกว่าจะพอ ซึ่งนั้นยอมรับว่าเกือบทั้งคืน แถมเรื่องที่พูดยังมีแต่เรื่องราวระหว่างชายหญิงไม่มีเรื่องอื่นปลอมปน
ตัวละครใหม่โผล่ 55555 เป็นตัวละครที่สำคัญตัวหนึ่งนาใบ้ได้แค่นี้
เม้นเป็นกำลังใจกันบ้างนะ