◑
คุ ณ ไ ม่ ต ร ง ป ก
ตอนที่ 3 : อ่อย
_________
“ไม่ยากเลยครับ ภัทรจัดการเองตามที่บอกหมดเลย”
กระจกใสของคอนโดชั้นสิบเก้าส่องสะท้อนภาพชายหนุ่มที่ถือแก้วไวน์พร้อมกับมีรอยยิ้มประดับตลอดเวลาที่คุยกับปลายสาย มือเล็กหมุนแก้วในมือไปมาช้าๆ จนของเหลวสีแดงก่ำไหลเอียงไปตามการเคลื่อนไหว
(คุณภัทรได้แยกเอกสารตามที่พี่บอกไหมคะ อันนี้สำคัญมากเลยนะ) เสียงผู้หญิงวัยกลางคนดังจากโทรศัพท์เครื่องเล็กที่ชิดแนบหู ใบหน้ายิ้มแย้มจางหายไปเหลือเพียงสีหน้าตั้งอกตั้งใจของคนได้รับคำแนะนำ
“แยกแล้วนะครับ แต่ไม่รู้ว่าจะเรียบร้อยดีไหม” เขาเว้นช่วง “ภัทรไม่ใช่คนเจ้าระเบียบเท่าไหร่
พี่หน่อย”ก็รู้
(ฮ่าๆ) อีกคนหัวเราะคล้ายชอบใจ ไวน์ในแก้วถูกยกขึ้นดื่มอีกครั้ง (ถือโอกาสฝึกไปในตัวไงคะคุณภัทร กลับมาจะได้บริหารงานต่อจากคุณพ่อได้ทันที)
ภัทรเบ้ปาก คำว่าบริหารงานจากปากเลขาคนสนิททำเอาเลขาตัวปลอมรู้สึกขยาดไปชั่วครู่ ถึงแม้งานของป๊าจะเป็นด้านที่ตัวเองถนัดและเล่าเรียนมาเป็นอย่างดีแต่เขากลับรู้สึกว่ามันไม่หลงเหลือความสนุกเหมือนตอนเรียนเลยสักนิด
ชีวิตการทำงาน..เป็นแบบนี้นี่เองสินะ
“แล้วรายนั้นเขาว่าไงบ้างครับ ช่วงนี้ไม่เห็นติดต่อมาบ้างเลย ภัทรก็ไม่ได้ติดต่อเขากลับไปด้วย”
(ตอนนี้คุณท่านอยู่เวียดนามค่ะ กลับพรุ่งนี้ตอนบ่าย)
“แล้วพี่หน่อยไม่ไปด้วยหรอ?”
(พี่เป็นแค่ผู้ช่วยเลขาของคุณท่านเท่านั้นนะคะ รอคนแถวนี้กลับมาเหมือนกันจะได้เป็นเลขาจริงๆเต็มตัวสักที)
“ฮ่าๆ” ภัทรหัวเราะร่าให้กับความจริงที่อีกฝ่ายพูด การที่เขาลาออกจากตำแหน่งของบริษัทเดิมก็ส่งผลกระทบกับบางเรื่องเช่นกัน
“คิดถึงจังเลยครับ” เจ้าของคำหวานออดอ้อนอีกฝ่าย ใบหน้าที่มักจะมีแต่รอยยิ้มปรากฏอยู่ในความคิดแม้จะไม่สามารถมองเห็นจากห้องนอนของตัวเองได้
นอกจากจะเป็นเลขาส่วนตัวแล้ว พี่หน่อยยังเป็นคนที่เขาเคารพรักมากที่สุดอีกคนในชีวิตเลยก็ว่าได้ ผู้หญิงที่ทำงานกับคุณลุงผู้ก่อตั้งบริษัทมาตั้งแต่แรกเริ่มหลายปีก่อนจะถูกโยกย้ายมาสอนงานหลานรักแบบเขาเพียงเพื่อหวังจะให้สืบสานกิจการต่อ เป็นคนที่ภัทรนับถือเสมือนแม่คนที่สองหลังจากแม่ผู้ให้กำเนิดได้จากเขาไปไม่มีวันกลับ เป็นคนที่คอยช่วยเหลือเกี่ยวกับงานเลขาที่ต้องแกล้งทำเพียงเขาบอกอีกฝ่ายแค่ว่าตนเองนั้นชอบคีรติมากเพียงใด
คนที่คอยสนับสนุนเขาทุกอย่างและคนที่รักในสิ่งที่เขาเป็นโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ
เช่นเดียวกันกับป๊า...
(พี่ก็คิดถึงเราค่ะ...แต่คงไม่เท่ากับคุณท่าน)
ภัทรก้มหน้าลงเพื่อปกปิดรอยยิ้มจากคนในกระจก สองเท้าปรากฏอยู่ในสายตาเมื่อพิงตัวเข้ากับโต๊ะด้านหลัง
“ฝากบอกป๊าด้วยนะครับว่าภัทรก็คิดถึงป๊ามากๆ”
(ได้เลย แต่คุณท่านก็ฝากพี่มาบอกเราด้วยเหมือนกันนะ)
“ครับ?” คนที่รอฟังแปลกใจ ก่อนที่อีกฝ่ายจะทำให้เขาอ้าปากค้างพร้อมกับกำโทรศัพท์ในมือไว้แน่น
(คุณภาคย์บอกว่าถ้าจับผู้ชายคนนั้นไม่ได้ ก็แนะนำให้ปล้ำเลยค่ะ)
ตู๊ดด!
มือเล็กยกขึ้นลูบใบหน้าเชื่องช้าเมื่อปลายสายถูกตัดไปอย่างรวดเร็ว ภาพสะท้อนกลับมาให้เห็นอีกครั้งเมื่อเจ้าตัวเงยหน้าขึ้น เขายืดตัวตรง ก้าวเดินไปยังหน้ากระจกเพื่อทอดมองบรรยากาศของเมืองใหญ่ที่ประดับไว้ด้วยแสงไฟสีสวย ไวน์ในแก้วถูกกลืนกินจนหมดในรวดเดียวก่อนที่รอยยิ้มมุมปากของคนในกระจกจะบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวนั้นพอใจกับแผนการของตัวเองในตอนนี้เป็นอย่างมาก
แค่คิดว่าพรุ่งนี้ต้องเข้าหาคุณด้วยวิธีไหนก็รู้สึกตื่นเต้นจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
มือเล็กเอื้อมวางแก้วไว้กับโต๊ะที่อยู่ด้านหลัง เขาหมุนตัวเดินไปยังอีกทาง นิ้วชี้ลูบไล้สาบเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวบริเวณลำคอจนมาถึงสายรัดเอว ออกแรงปลดเปลื้องมันเล็กน้อยแล้วปล่อยเสื้อตัวยาวตกลงตามแรงโน้มถ่วงยังพื้นห้อง ร่างเปลือยเปล่ายังไม่หยุดก้าวเท้าเดินไปตามทางที่ตั้งใจไว้ ไม่สนว่าจะมีใครมองเห็นจากภายนอกเพราะผ้าม่านที่เปิดโล่งไปโดยทั่ว รอยสักรูปดอกกุหลาบดอกเล็กบริเวณเอวด้านซ้ายขยับไปตามการเคลื่อนไหวของเจ้าของ มันพาดเยื้องกระดูกเชิงกรานเป็นแนวเฉียงโดยตั้งใจให้โผล่พ้นกับขอบกางเกงอย่างหมิ่นเหม่ตอนสวมใส่ ยิ่งมันกระทบกับแสงไฟสีนวลยิ่งขับให้ร่างกายของเขาดูมีเสน่ห์มากขึ้นเท่าตัว
สายน้ำที่ไหลผ่านช่วยระงับอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูงโดยไม่รู้ตัวได้เป็นอย่างดี นิ้วเรียวไล้ไปตามสัดส่วนโค้งเว้าอย่างที่ทำเป็นประจำก่อนเขาจะเงยหน้าขึ้นเพื่อเรียกสติให้กลับมาเป็นดังเก่า
ทำไมกันนะ
ทำไมแค่คิดถึงคุณมันถึงได้ทำให้เขามีความต้องการมากถึงขนาดนี้...
/
ปกติแล้วภัทรไม่ถูกกับการประชุมมากเท่าไหร่ พูดได้ว่าเกลียดเลยด้วยซ้ำ
แต่คงไม่ใช่การประชุมที่มีคีรติร่วมอยู่ด้วย
”โครงการ Wild 11 เกิดขึ้นจากแนวคิด For those who are signature themselves เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 29 ชั้น ทั้งหมด 83 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 420,000 บาทต่อตารางเมตร โดยมีขนาด 2-4 ห้องนอน เพนท์เฮ้าส์แล—"เสียงของผู้ชายที่ยืนอธิบายหน้าห้องไม่ได้เข้าสู่โสตประสาทการรับฟังของเขาเลยสักนิดเมื่อสายตาของคีรติได้แย่งความสนใจของมันไปจนหมด ท่าทางเคร่งขรึมดูตั้งอกตั้งใจกับการสาธยายโครงการใหม่ที่จะเกิดขึ้นของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่กลับเป็นเพียงแค่สิ่งที่เจ้าของมันใช้ปกปิดความจริงเพียงเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้ว เจ้าตัวกำลังแอบจับจ้องไปยังเลขาที่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความลงในโน๊ตบุ๊คเสียมากกว่า
“แล้วโครงการนี้มีราคาสูงกว่า Wild 7 กี่เปอร์เซ็นต์?” ชายมีอายุคนหนึ่งที่นั่งด้านซ้ายเอ่ยถาม ใบหน้าหล่อเหลาหันกลับมายังหน้าห้องเมื่อรู้ตัวว่าการนำเสนอแสนยาวนานได้สิ้นสุดลงเป็นที่เรียบร้อย
“ถ้าเทียบราคาขายทั้งหมดแล้วก็ราวๆยี่สิบเปอร์เซ็นต์ครับ เพราะเราใช้เฟอร์นิเจอร์ที่สั่งตรงจากต่างประเทศและส่วนมากจะเป็นซัพพลายเออร์รายใหม่ทำให้ไม่สามารถขอดิสเคาท์เพิ่มเติมได้”
“ถ้าใช้ซัพพลายเออร์เจ้าเดิมจะพอลดคอสส่วนนี้ได้ไหม?”
คีรติพูดขึ้นก่อนสอดมือประสานกันไว้ตรงหน้า รังสีความเยือกเย็นยามพูดทำให้คนในห้องนั่งเกร็งกันทั้งแถว อาจเป็นเพราะสีหน้าจริงจังและคิ้วที่ขมวดมุ่นตลอดเวลาทำให้เจ้าตัวดูน่ากลัวมากกว่าปกติ
“ลดได้ครับ แต่อาจจะน้อยมาก เพราะโรงงานของซัพพลายเออร์รายเก่าเขาแจ้งว่าไม่สามารถผลิตเฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นของทางผู้ออกแบบได้ ทางเราเลยต้องหาซัพพลายเออร์รายใหม่และคิดว่าจะสะดวกกว่าถ้าเราใช้ของเจ้านั้นแค่เพียงเจ้าเดียวคิดจากราคาและความสะดวกในการขนส่ง”
“อืม”
คนนั่งหัวโต๊ะพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ กวาดมองเอกสารที่อยู่ตรงหน้าสักครู่แล้วถามผู้หญิงผมยาวที่นั่งเกือบปลายแถว
“จากกราฟปัจจัยของราคาที่สูงขึ้นคุณนฤมลมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ เราควรปรับเปลี่ยนตรงไหนให้ได้กำไรสูงสุดบ้างรึเปล่า”
เจ้าของชื่อหันขวับเมื่อโดนเรียก ภัทรเห็นว่าเจ้าตัวรีบเช็คข้อมูลที่ตัวเองเตรียมมาอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยตอบอย่างฉะฉาน
“ก็เหมาะสมตามที่คุณเล็กเคยบอกไว้นะคะ ส่วนเรื่องปรับเปลี่ยนเราเคยคุยกันไปแล้วว่าเพนท์เฮ้าส์จะทำแค่ไม่กี่ห้องแต่คุณคีบอกว่าตามแบบที่ทำออกมาก็ดีแล้วและทุกคนก็เห็นด้วย ส่วนเรื่องราคามลก็มีความเห็นตรงกับคุณค่ะว่าถ้าลดลงได้อีกสักหน่อยก็คงจะดีเพราะมันเหมือนเป็นคอสที่ฟุ่มเฟือยมากจนเกินไป”
บรรยากาศตึงเครียดในห้องประชุมเริ่มเกิดขึ้นเมื่อไม่มีใครพูดต่ออะไรต่อจากนั้น ข้อเสนอแนะของคนอื่นถูกพับเก็บเมื่อคีรตินั่งนิ่ง เสียงลมแอร์ภายในห้องประชุมสีขาวขนาดใหญ่ดูจะดังขึ้นเรื่อยๆ และนั่นมันคือสิ่งที่ภัทรไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก เขาเอนตัวเข้าหาคนด้านข้าง ความสนิทสนมจากการได้นั่งด้วยกันเป็นประจำทำให้ภัทรตีซี้ได้เพื่อนคนแรกในบริษัทเพิ่มมาอีกหนึ่ง
“ทำไมไม่ลดสเปคเฟอร์นิเจอร์ลงสักนิดแล้วหาราคาที่มันคุ้มกว่านี้ล่ะ
พี่เล็ก มันก็น่าจะมีบ้างแหละ”
“แบรนด์ที่ไม่มีเสียงนายเขาไม่ค่อยชอบกัน มันไม่ค่อยเป็นหน้าเป็นตาให้กับองค์กรมากเท่าไหร่ ยิ่งแบรนด์แพงๆเขาก็ยิ่งชอบเพราะบริษัทเราเคร่งเรื่องชื่อเสียงจะตาย ใครๆก็รู้”
คนหน้าหวานเบ้ปาก ไม่ค่อยเข้าใจความคิดพวกนั้นมากเท่าไหร่
“เรื่องลงทุนหรือกำไรอะไรนี่ไม่ค่อยเข้าใจเลย”
“แล้วมีเรื่องอื่นถนัดอีกไหมนอกจากกวนพี่?” อีกคนถามเชิงหยอกล้อ ภัทรอมยิ้มก่อนจะตอบกลับ
“อย่างภัทรก็ถนัดรับใช้คุณคี”
เสียงหัวเราะคิกคักจากฝั่งขวามือทำเอาเจ้านายเพ่งเล็งในทันใด ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนตัวเล็กก็คงจะโดนปรามเสียไม่น้อย แต่เพราะรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นบ่อยครั้งจึงทำให้คีรติเพียงปล่อยผ่านและหันไปถามคู่กรณีอีกคนแทน
“คุณเล็กมีอะไรจะเสนอไหมครับ?”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความชิดใกล้กับคนในครอบครองตนเองหรือเปล่าทำให้เสียงที่เปล่งออกไปเคร่งขรึมยิ่งกว่าทุกที เล็กยืดตัวตรง บอกความเห็นของภัทรออกไปโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะพูดแบบนั้น
“ถ้าเราพอจะลดสเปคลงมาหรือเปลี่ยนแบบที่สามารถให้รายเก่าเขาผลิตได้ก็คงจะดีนะครับ” มือใหญ่วาดไปตามการอธิบาย “ความเห็นจากภัทรเขาครับ”
ชื่อเขาจากบทสนทนาทำภัทรยืดตัวตรง สายตาทุกคนจับจ้องมาเป็นทางเดียวกันจนต้องยิ้มแหยแล้วพยักหน้าให้กับคีรติอย่างช่วยไม่ได้
พี่เล็กนะพี่เล็ก..ไม่ต้องพูดถึงเขาก็ได้ด้วยซ้ำ!
เสียงหัวเราะในลำคอเจ้านายดังขึ้นแผ่วเบา คีรติยิ้มเยาะชอบใจก่อนจะเปิดบทสนทนาเรื่องใหม่ในทันทีเมื่อการประชุมในครั้งนี้เริ่มกินเวลายาวนานกว่าที่ตั้งใจไว้
“คุณมลช่วยเก็บเรื่องนี้ไปคิดทีนะครับ แล้วเราค่อยหารือกันครั้งหน้า ขอการอนุมัติเรื่องสุดท้าย เชิญครับ”
/
เสียงถอนหายใจของคนที่ใช้สมองทำงานอย่างหนักดังขึ้นท่ามกลางโถงทางเดินขนาดใหญ่ มือซ้ายยกขนมปังที่หยิบจากห้องประชุมขึ้นกินจนแก้มพอง มือขวาพยายามหอบโน๊คบุ้คและเอกสารมากมายชิดตัวพร้อมกับเร่งฝีเท้าไปตามทางเพื่อหวังจะขึ้นลิฟต์ไปยังห้องทำงานของตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ยิ่งใกล้จะสิ้นปีมากเท่าไหร่ งานก็ดูจะเยอะมากขึ้นเท่านั้น
ติ๊ง!
สัญญาณไฟรอบกรอบตัวลิฟต์บ่งบอกว่ามันกำลังเดินทางมาถึง เขารอให้ผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาก่อนแล้วก้าวเท้าเข้าไปด้านในก่อนจะพบว่ามีอีกคนยืนอยู่ก่อนแล้ว
“เพิ่งเก็บของเสร็จหรอครับ?” คีรติเอ่ยถาม สองมือสอดเข้าที่กระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบาย
“ครับ” มือเล็กกดปุ่มปิดลิฟต์แล้วพูดต่อ “ภัทรนึกว่าคุณคีอยู่บนห้องทำงานแล้วซะอีก”
“ผมลงไปคุยงานมานิดหน่อย”
น้ำเสียงที่แปลกไปจากที่เคยได้ยินทำเอาร่างโปร่งรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย มันช่างแตกต่างกับน้ำเสียงของคนที่ชอบดุในห้องประชุมเป็นอย่างมากทั้งๆที่เป็นคนคนเดียวกัน เขาหันไปมองด้วยความสงสัย แต่อาจจะไม่ไวเท่าคีรติที่เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะโน้มลงจนใบหน้าเราอยู่ห่างเพียงคืบ
มือเขายกโน๊ตบุ๊คขึ้นแนบอกเพื่อกั้นกลางแม้อยากให้เราแนบชิดกันเสียมากกว่า
ภัทรหอบหายใจไม่เป็นจังหวะ อาการนี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติทันทีที่คีรติเข้าใกล้ เขากำลังตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่ได้และมันเป็นแบบนี้มาตลอดกับการแอบชอบผู้ชายตรงหน้า
ผู้ชายที่เป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวของเขา
นิ้วโป้งถูกยกขึ้นมาเช็ดริมฝีปากที่เปรอะเปื้อนเศษขนมปังของคนตัวเล็กกว่าอย่างตั้งใจ สายตาอีกคนจับจ้องไปยังปากบางแน่นิ่ง คีรติกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะลูบไล้มันอีกครั้งคล้ายต้องมนตร์ ภัทรกะพริบตาปริบ ยืนนิ่งให้อีกฝ่ายได้สัมผัสโดยไม่ขัดขืน
คล้ายเวลาผ่านไปเชื่องช้าจนกว่าเสียงลิฟต์จะดังบ่งบอกว่าเขาทั้งคู่ได้ถึงที่หมายเป็นที่เรียบร้อย ทันใด สมองเขาก็สั่งการให้ทำบางอย่างจนคนตรงหน้ากลับเป็นฝ่ายชะงักนิ่งไปเสียเอง
เหตุจากลิ้นร้อนที่ส่งมาแลบเลียนิ้วนั้นเชื่องช้าคล้ายไม่ตั้งใจทำเอาคนตัวสูงหักห้ามใจอย่างยากลำบาก
ภัทรเก็บซ่อนรอยยิ้มไว้ภายใน ถอยหลังก่อนจะรีบเดินออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อบ่งบอกว่าเขาเองก็เผลอที่ทำลงไปแบบนั้น
แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่…
เจ้าของการกระทำวาบหวามนั่งลงบนโต๊ะก่อนจะยกสองมือขึ้นปิดบังใบหน้าของตัวเองทันใด ไม่ใช่เพราะเขินอายกลัวว่าจะมีใครเข้ามาเห็นแก้มใสที่ขึ้นสี แต่เป็นเพราะเขาเก็บรอยยิ้มนั้นไว้ไม่ได้อีกแล้วต่างหาก
ให้ตายเหอะ
ชอบมากๆเลยแหละเวลาที่ได้อ่อยคุณอย่างแนบเนียนแบบนี้...#คุณไม่ตรงปก
041118
before30october