Nathee’s Night
…Bird...
ผมมองออกไปยังหน้าต่างที่เห็นแสงแดดอุ่นๆส่องมารำไรผิดกับอุณหภูมิรอบกายที่เย็นจัดจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้มันเคยร้อนเสียจนผมแทบทนอยู่เฉยๆไม่ไหว
“จะกินอะไรรึเปล่าครับ เดี๋ยวให้คนไปทำมาให้”
เสียงทุ้มๆดังมาจากทางด้านหลัง ผมไม่ได้หันกลับไปมองจึงทำเพียงแค่ส่ายหัวเบาๆแทนคำตอบไปเท่านั้น ริมฝีปากสีคล้ำปล่อยควันสีเทาให้ลอยไปทั่วห้องอย่างสำราญ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงความสุขชั่วคราวที่พร้อมจะหายไปแค่เพียงเสี้ยววินาที แต่มันก็สวยงามเสียจนผมหยุดที่จะทำมันไม่ได้
“เมียมึงจะกลับมาเมื่อไหร่”
ผมเอ่ยถามเจ้าของห้องที่เพิ่งกลับออกมาจากห้องอาบน้ำ พิภพที่ตัวสูงชะลูดพอๆกันเดินถือรายงานการซื้อขายที่ยังตรวจสอบไม่เสร็จดีมาแล้วทรุดนั่งลงตรงหน้า โดยไม่สนใจเลยว่าผมกำลังดื่มด่ำกับวิวของที่นี่อยู่
“อาทิตย์หน้ามั้งครับ เงินหมดเมื่อไหร่เดี๋ยวก็กลับมาเอง”
“งั้นก็ระงับวงเงินบัตรซะสิ ถ้าอยากให้เมียกลับมาเร็วๆ”
“งั้นเปลี่ยนเป็นไม่จำกัดวงเงินน่าจะดีกว่า”
พิภพพูดติดตลก แต่ทำไมผมจะไม่รู้ว่าหมอนี่มันคิดจะทำอย่างที่พูดจริงๆ
“หึ ถ้าเบื่อเขาขนาดนั้นทำไมไม่หย่าไปซะให้จบๆ”
“พูดมันง่ายนี่ครับ ไหนจะค่าเลี้ยงดู ไหนจะลูก พูดแล้วยิ่งโมโห นี่ก็ใกล้จะคลอดแล้วยังคิดจะออกไปตะลอนๆข้างนอกอยู่ได้ แต่ที่สำคัญที่สุด...”
“...”
“ต่อให้ผมหย่า ผมก็ยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการอยู่ดี”
ผมนั่งฟังมันบ่นไปเรื่อยตามประสาโดยไม่ออกความคิดเห็นใดๆ แม้ว่าหูจะรับฟังแต่ภายในใจกลับเกิดขบคิดถึงเรื่องประหลาด ที่ยิ่งเมื่อได้มองเห็นรอยแดงเป็นจ้ำตามผิวกายของพิภพ ผมยิ่งถามตัวเองบ่อยขึ้นทุกที
‘ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ผมคิดว่าการนอนกับผู้ชายเป็นเรื่องธรรมดา’
ใบหน้าของ ‘รัตติกาล’ ลอยขึ้นมาทุกครั้งที่ผมถามตัวเองแบบนั้น แม้ว่ากาลจะไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่ผมนอนด้วย แต่คงพูดได้ว่าเขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้ผมหวั่นไหว ไม่ใช่เพราะใบหน้าคมที่ติดหวานนิดๆ หรือการวางตัวที่ดูดีเสมอนั่นหรอกนะ ที่ทำให้ผมตัดสินใจคบกับกาลแม้ว่าก่อนหน้านั้นสำหรับผมการมีเซ็กซ์กับผู้ชายจะเป็นเพียงแค่ความท้าทายเล็กๆบนเตียงนอน
ความสัมพันธ์ของผมกับกาลเหมือนเรื่องตลก แรกเริ่มเราทั้งคู่มองกันราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรู กาลเห็นผมเป็นตัวอันตราย ในขณะที่ผมมองอีกฝ่ายเหมือนนกที่ลอยสูงอยู่บนฟ้า ล่อตาล่อใจนายพรานอย่างผมจนอดไม่ได้ที่จะลั่นไกปืนออกไปหมายจะคว้ามาเชยชม แต่รัตติกาลทั้งฉลาดและรู้เท่าทันอยู่เสมอ ผมจึงทำได้เพียงมองนกตัวนั้นจากตรงพื้นดินด้วยความรู้สึกที่ไม่แย่เท่าไหร่
ผมสามารถเป็นตัวเองได้เสมอเวลาอยู่ต่อหน้าคนคนนี้
และผมสามารถแสดงความร้ายกาจออกมาได้
โดยไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะแตกสลาย
รัตติกาลแข็งแกร่งจนน่าประหลาดใจ
ผมคิดแบบนั้น จนกระทั่งวันที่ปีกของมัน...หักลง
ภาพแผ่นหลังของกาลที่คุดคู้จนไม่เหลือสภาพยังคงฝังแน่นอยู่ในหัวของผมจนถึงทุกวันนี้ คนที่ไม่เคยเสียน้ำตาให้กับเรื่องอะไรกลับต้องมาร้องไห้แทบขาดใจเพราะไม่อาจเหนี่ยวรั้งคนที่ตนรักไว้ได้ แม้จะรู้ดีว่าสักวันเราทุกคนต้องจากกัน แต่ความอ่อนแอของมนุษย์นั้นกลับมีอยู่ในตัวคนทุกคน ไม่เว้นแม้แต่รัตติกาล
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ผมก็ไม่ได้เกลียดชังความอ่อนแอของกาลหรอกนะ นกถึงแม้จะร่วงหล่นจากฟ้าแต่มันก็ยังเป็นนกอยู่วันยันค่ำ แม้ว่าจะเสียปีกไปจนบินไม่ได้แต่ความสวยงามนั้นก็มีค่าพอที่ผมจะจับมันขังไว้ในกรงแทนที่จะปล่อยให้มันสิ้นลมไปซะเฉยๆ
ผมทำให้รัตติกาลมีชีวิตต่อไปทั้งที่ในใจสิ้นหวัง ผมเฝ้าดูแลนกตัวนั้นที่ถึงแม้จะไร้ปีกบินแต่ก็ยังคงมองตรงไปข้างหน้าตลอดเวลา... วันแล้ววันเล่าจนกระทั่งความเจ็บปวดจากการสูญเสียค่อยๆจางหาย แล้วสุดท้ายนกตัวนั้นก็เคยชินกับกรงทองที่ผมสร้างไว้ให้โดยไม่รู้ตัว
“นที ฟังอยู่รึเปล่า”
“หื้ม?”
“เหม่อเชียว ง่วงหรอ”
“เปล่า พอดีคิดอะไรอยู่นิดหน่อย”
“คิด? อย่าบอกนะว่าเรื่องของสองคนนั้น”
พิภพเผยรอยยิ้มร้ายๆออกมา ในขณะที่ผมทำแค่หัวเราะเบาๆ
“หึ คงอย่างนั้นมั้ง”
“แล้วตกลงคิดได้รึยังว่าจะเลือกใคร เมียเก่า...หรือว่าเมียใหม่”
“หมายถึงใครล่ะวะเมียเก่าเมียใหม่ที่ว่า”
“นั่นสินะ เมียเก่าที่เลิกไปแต่ดันยูเทิร์นกลับมาใหม่...กับเมียใหม่ที่กำลังจะกลายเป็นของเก่า ฮ่าๆ นิยามให้ไม่ถูกเลย”
พิภพว่าเยาะๆก่อนจะแย่งบุหรี่ไปสูบหน้าตาเฉย ผมไม่ได้แสดงท่าทางยินดียินร้ายออกไป เพียงแค่คว้าคออีกฝ่ายมากัดไปจนเต็มเขี้ยวเพราะนึกหมั่นไส้ท่าทางกวนประสาทของมันที่ทำให้ผมรู้สึกร้อนรุ่มได้เสมอ พิภพร้องซี๊ดออกมาอย่างถูกใจ อาจจะเป็นเพราะผมดันไปกระตุ้นสันดานเดิมของมันมากไปหน่อย พิภพจึงพยายามคว้าบ่าของผมไปกัดเล่นบ้าง
เพี้ยะ!
ฝ่ามือหนาฟาดเข้าที่แก้มตอบของพิภพเต็มแรงจนเลือดสีแดงสดไหลออกที่มุมปาก ผมลุกขึ้นยืนแล้วกระชับเสื้อคลุมอาบน้ำที่หลุดไปให้เข้าที่ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองไอ้โรคจิตนั่นแม้แต่นิดเดียว
ใช่...ไอ้หมอนี่มันบ้า ผมตบไปแรงขนาดนั้นแต่มันกลับหัวเราะตามมาเหมือนกับกำลังมีความสุข แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะในระหว่างที่พิภพกำลังถูกใจกับความเจ็บปวดเล็กๆที่ผมฝากไว้ให้ มันเลยไม่ทันสังเกตเห็นว่าเอกสารสำคัญอีกชุดที่วางอยู่โต๊ะได้หายไปแล้ว
‘ไปสืบข้อมูลของเสี่ยวิชิตมา แล้วส่งให้กูก่อนเที่ยงวันนี้’
ผมนั่งอยู่ในห้องน้ำ ถ่ายรูปเอกสารทุกแผ่นไว้จนหมดก่อนจะส่งข้อความบอกให้ลูกน้องที่คอยรับใช้ผมอยู่ในเงามืดไปสืบหาข้อมูลที่มีสามารถชี้จุดอ่อนของเป้าหมายได้โดยไม่เกี่ยงว่ามันจะต้องใช้เงินมากขนาดไหน แน่นอนว่าต่อให้เสียเป็นล้านก็คุ้มเกินกว่าจะคุ้มเมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมหมายตามานาน ไม้พะยูงล็อตใหม่มูลค่ามหาศาลที่กำลังจะถูกขนเข้ามาผ่านชายแดนเป็นสิ่งที่คนค้าไม้ปรารถนาจะได้มารวมถึงผมด้วย แม้ว่าความตั้งใจที่จะนำมันไปใช้จะกำลังเป็นปัญหาอยู่ก็ตาม
รัตติกาล...หรือพะแพง
เป็นอย่างที่พิภพมันว่า ชีวิตของผมที่กำลังดำเนินไปกับนกน้อยในกรงทองอย่างกาลถูกสั่นคลอนเพียงเพราะการกลับมาของพะแพง...ผู้หญิงซึ่งเป็นคนที่ผมเคยรักและแม้แต่ในตอนนี้ก็อาจจะยังรักอยู่
ผมเจอพะแพงอีกครั้งด้วยความบังเอิญที่เธอเรียกมันว่าพรหมลิขิต ผู้หญิงคนที่ครั้งหนึ่งเคยนอกใจผมอ้อนวอนขอความเห็นใจด้วยเหตุผลที่ว่าหลังจากเลิกรากันไปเธอไม่อาจทำใจรักใครใหม่ได้ ผิดกับผมที่เลือกคบกับรัตติกาลผู้ที่เป็นน้องรหัสของพะแพงโดยไม่สนว่าใครจะรู้สึกยังไง ผมทำเป็นลืมว่าที่พะแพงเลือกคบกับชายคนอื่นก็เพราะว่าผมนอกใจเธอก่อน แต่สิ่งที่ผมตั้งใจทำคือการตัดสินใจคบกับกาลจะรู้ดีว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันและพะแพงไว้ใจกาลมากแค่ไหน
ผมทำลายมิตรภาพระหว่างสองคนนั้นด้วยความตั้งใจ
เพียงเพื่อให้คนหนึ่งรู้สึกแบบที่ผมรู้สึก
และเพราะเพียงหวังคำปลอบโยนจากใครอีกคน
อย่างที่บอกว่าตอนนี้ผมก็อาจจะยังรักพะแพงอยู่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ผมตัดสินใจนอนกับเธอลับหลังคนรักอย่างรัตติกาลที่มีความเชื่อใจให้ผมเต็มเปี่ยม แม้ว่าผมจะทำให้เขาเห็นร่องรอยที่คนอื่นฝากเอาไว้ให้ด้วยความตั้งใจของตัวเอง แต่เขาก็ยังทำเฉยจนความรักของเรามันพังลงถึงจุดที่ผมเพิ่งตัดสินใจบอกเลิก...แต่รัตติกาลก็ยังคงยืนยันว่าจะไม่ไปจากกรงของผมอยู่ดี
‘ผมจะไม่มีวันเลิกกับพี่!!!’
คำคำนี้เป็นคำสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนจะขับรถออกมาระบายความโมโหลงกับคนที่เต็มใจจะรับมันไว้อย่างพิภพ ไม่ใช่ว่าผมอยากจะกลับไปหาพะแพงจนตัวสั่น แต่อาจจะเป็นความลำเอียงของสวรรค์ก็ได้มั้ง ที่ทำให้ผมต้องตัดใจเลือกที่จะปล่อยนกน้อยในกรงทองของตัวเองไปทั้งที่ยังอยากจะเชยชมมันอยู่
พะแพงกำลังตั้งท้องลูก
ลูกที่กาลมีให้ผมไม่ได้...
ผมไม่ปฏิเสธว่าตัวเองเลว เอาจริงๆผมออกจะชอบความชั่วช้าของตัวเองด้วยซ้ำ ผทชอบที่จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ดีกว่าจมอยู่ในกรอบที่คนใครก็ไม่รู้มาสร้างไว้แล้วทำให้ตัวเองไม่มีความสุข แต่ถึงอย่างนั้นคนเลวอย่างผมก็มีความฝันเหมือนกัน...ความฝันที่จะสร้างครอบครัวอันสมบูรณ์ขึ้นมา
ครอบครัวทางแม่ของผมพื้นเพเดิมเป็นคนจังหวัดลำปาง ความจริงผมคงยังมีญาติอยู่ที่นั่นบ้าง แต่เพราะถูกเลี้ยงดูมาโดยพ่อผู้ซึ่งเป็นคนกรุงเทพเพียงลำพังผมจึงไม่เคยได้รู้จักคนที่นั่นเลย แม่ของผมตายตั้งแต่ผมยังเล็ก ชีวิตวัยเด็กของผมจึงถูกบ่มเพาะโดยความทะเยอทะยานของพ่อ แต่ผมไม่ได้ขาดความอบอุ่นหรอก พ่อเลี้ยงดูผมมาดีมาก ถือว่าดีเกินไปด้วยซ้ำ
ชายที่สูญเสียภรรยาไปเพราะโรคร้ายคนนั้นพยายามสร้างฐานะให้ผมซึ่งเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก่อนจะตายไปด้วยโรคหัวใจเพราะฝืนทำงานหนัก ผมในวัยสิบแปดปีไม่ได้กล่าวโทษใครทั้งนั้น เพียงแค่รู้สึกว่าบ้านหลังใหญ่ที่มีเพียงเงาของผมคนเดียวมันดูเงียบเหงาเสียจนอยากร้องไห้ออกมา
ใช่...ผมก็เป็นเพียงมนุษย์ที่มีความอ่อนแอเหมือนกับคนอื่นๆ
ก่อนหน้าที่พะแพงจะกลับมา ผมบอกตัวเองให้ทำใจเรื่องลูกแล้วเริ่มคุยกับกาลไว้ว่าอยากจะสร้างที่ที่เป็นของเราขึ้นมา เราอยากมีบ้านที่ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์แต่ก็เป็นที่ของเราจริงๆ ผมกับคนรักสร้างความฝันนั้นขึ้นมาด้วยกัน เริ่มจากบ้านไม้หลังพะยูงหลังเล็กที่มือของเราทั้งสองคนค่อยๆประกอบมันขึ้นมาทีละชิ้นจนมันเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันจะเสร็จสมบูรณ์ ความเป็นมนุษย์ของผมก็กำลังเล่นตลกกับเราอีกครั้ง
วันที่ผมกอดพะแพง กาลบังเอิญทำบ้านไม้หลังเล็กนั่นตกลงพื้น
วันที่ผมคอยไปเฝ้าพะแพงที่ป่วยไว้ทั้งคืน กาลก็ต้องซ่อมมันเพียงลำพัง
และในวันที่พะแพงบอกกับผมว่าเธอกำลังอุ้มท้องลูกของเรา
กาลก็เข้ามาบอกกับผม...ว่าอยากให้เราอยู่ด้วยกันตลอดไป
การที่ฝันซึ่งผมทิ้งมันไปแล้วครั้งหนึ่งกลับมาเป็นจริงได้ ทำให้ผมไม่กล้าตอบรับคำพูดนั้น แม้แต่คำโกหกที่ผมมักใช้มันเสมอก็ไม่สามารถใช้กลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองได้อย่างเคย ผมเคยพอใจกับคำว่า ‘ครอบครัว’ ที่ไม่สมบูรณ์แต่ตอนนี้กลับหันหลังให้มันเพราะคำว่า ‘ลูก’ ซึ่งเป็นเหมือนแผ่นไม้ชิ้นสุดท้ายที่จะเข้ามาเติมเต็มความฝันของผมให้กลายเป็นจริง
ความฝัน...ที่ไม่มีกาลอยู่ในนั้น
ผมถอนหายใจแรงๆ บอกตามตรงว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าควรตัดสินใจยังไง ภาพของบ้านไม้หลังใหญ่ที่ควรจะมีเพียงผมและกาลถูกแทรกขึ้นโดยภาพของหญิงสาวที่กำลังลูบหน้าท้องซึ่งพองนูนออกมาด้วยความรักใคร่ บ้านที่ถูกสร้างขึ้นโดยความรักแต่ไม่อาจเสร็จสมบูรณ์เพราะขาดสิ่งสำคัญที่สุดไป ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรเดินไปทางไหนแต่สุดท้ายไม่ว่าผมจะตัดสินใจยกมันให้กับใคร ผมก็คงเสียใจกับการเลือกของตัวเองอยู่ดี
ผมตัดสินใจลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอีกชุดที่เตรียมมาจนเรียบร้อยก่อนจะเดินไปเพื่อเปิดประตูห้อง แต่สิ่งที่รอผมอยู่กลับเป็นใบหน้ายิ้มแย้มของพิภพที่กำลังส่งรอยยิ้มน่าขนลุกมาให้
“อาบน้ำนานจังนะครับ”
“แล้วไง? หลบไป กูจะกลับแล้ว”
“คุณเอาเอกสารผมไปรึเปล่า”
ผมไม่คิดว่ามันจะถามออกมาตรงๆ แต่ยังดีที่ประสบการณ์ในวงการนี้ทำให้ผมไม่เป็นสองรองใครเรื่องตีสีหน้า
“ถ้าคิดว่ากูเอาไป ก็เชิญตรวจดูให้มั่นใจ”
ผมพูดออกไปด้วยเสียงอันมั่นคงแม้ว่าความจริงจะกำลังโกหกอยู่ก็ตาม โชคดีที่ผมขี้ระแวงมากพอที่จะชิงทำลายหลักฐานโดยการเผาเอกสารพวกนั้นด้วยไฟจากปลายมวนบุหรี่ก่อนจะทิ้งขี้เถ้าทั้งหมดลงชักโครกจนไม่เหลือร่องรอยใดๆ
“ฮ่าๆ ผมยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ความจริงผมอาจจะลืมมันไว้ที่อื่นก็ได้ แย่จังเลยนะ...ทั้งที่เป็นของสำคัญแท้ๆ”
ดวงตาของพิภพไม่ได้รู้สึกแย่อย่างคำพูด กลับกันมันยิ่งลุกโชนเหมือนกับนักล่าที่กำลังมองดูเหยื่อ แต่ถึงอย่างนั้นการแสดงออกแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดจากที่คาด
“ถ้าเป็นของสำคัญที่หลังก็เก็บไว้ให้ดีๆ อย่าพลาดอีก...เข้าใจไหม”
ผมว่าก่อนจะเดินผ่านมันไปยังประตูโดยทุกย่างก้าวนั้นรู้สึกได้ถึงสายตาของพิภพที่คอยจ้องอยู่ไม่ห่าง จนผมเองเผลอยิ้มออกมาเมื่อคิดขึ้นมาว่านอกจากกาลแล้วก็มีพิภพนี่แหละที่ทำให้ผมรู้สึกสนุกได้เสมอ
“นที เรามาเล่นเกมกันไหม”
ผมขมวดคิ้วน้อยๆก่อนจะหันไปมองมันที่ยังคงรักษารอยยิ้มของตัวเองอยู่ได้ ผิดกับผมที่ความรู้สึกบางอย่างกำลังเกิดขึ้นในใจ...ความรู้สึกที่บอกว่าผมควรจะต้องระวังมันให้มากกว่าที่เคย
“อยากพูดอะไรกันแน่”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากชวนคุณเล่นเกมเท่านั้น”
“คิดว่ากูจะเชื่อมึงรึไง หึ ไปชวนคนอื่นเถอะ”
“แล้วถ้าของรางวัลในเกมนี้คือ ‘สิ่งที่สำคัญที่สุด’ ของผู้แพ้ล่ะ”
ดวงตาที่ไม่มีวี่แววความขี้เล่นอย่างเคยทำให้ผมเริ่มตระหนกจนเผลอคุมสติตัวเองไม่ได้ ผมก้าวยาวๆเข้าไปกระชากคอเสื้อพิภพอย่างแรงทันทีก่อนจะจ้องมองนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของมันอย่างเกรี้ยวกราด
“แค่กูนอนกับมึงก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะยอมมึงทุกอย่าง...พิภพ”
“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย แล้วอีกอย่าง...ไม่ว่าจะบนเตียงหรือตอนนี้ผมก็ยอมให้นทีอยู่เหนือผมตลอดอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”
“ถึงจะแค่โกหกแต่ถ้ามึงยอมรับอย่างนั้นได้ก็ดี...อยู่ในที่ของตัวเอง แล้วเลิกยุ่งเรื่องของกูซะ”
มันยิ้มรับคำขู่น้อยๆก่อนจะโน้มหน้าลงมาขบกัดปากของผมเหมือนอย่างที่ชอบทำ ผมเองถึงแม้จะยังแคลงใจกับการกระทำของพิภพแต่ก็ยังส่งลิ้นกลับไปเกี่ยวรัดสู้ตามสัญชาติญาณ เสียหายใจหอบของเราทั้งสองคนดังขึ้นก่อนจะค่อยๆผละออกจากกันด้วยอุณหภูมิร่างกายที่ร้อนขึ้นกว่าเก่า
“น่าเสียดายที่คุณไม่สนใจ...แต่มาถึงขนาดนี้แล้วผมจะบอกคุณก็ได้ว่าสิ่งที่ผมตั้งใจวางเดิมพันกับคุณคืออะไร”
“...”
“สิ่งสำคัญที่สุดของผมที่ว่า...ก็คือคุณนั่นแหละนที”
ผมนึกว่าตัวเองหูฝาด หรือเพราะว่ามีเซ็กซ์กับมันมากไปจนหลอน แทนที่จะเขินอายผมกลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น มันตลกเสียจนผมแทบทรงตัวไว้ไม่ไหวเลยต้องพิงร่างกายสูงใหญ่ของมันไว้ทั้งอย่างนั้น ส่วนพิภพทำเพียงจุดยิ้มเล็กๆราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดหรืออะไรเลยแม้แต่น้อย
“ฮ่าๆๆๆ ตั้งแต่รู้จักกันมากูก็เพิ่งรู้เนี่ยแหละ ว่านอกจากโรคจิตแล้วมึงยังเป็นคนตลกด้วย สุดยอดเลยว่ะ มุกนี้กูขำมากจริงๆ งั้นเอาอย่างนี้...กูจะบอกบ้างแล้วกัน ถือว่าแลกกับการที่มึงทำกับกูหัวเราะได้”
ผมยิ้มให้พิภพมันก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบเบาๆตรงข้างหู มันยังคงนิ่งอย่างที่เคยเป็นแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้ว ผมโบกมือลามันน้อยๆก่อนจะเปิดประตูห้องแล้วก้าวเท้าออกไปจากคอนโดหรูใจกลางกรุงเทพที่ผมกับมันมักมาเจอกันที่นี่เสมอ ทั้งที่ความจริงผมเกลียดสีขาวของห้องๆนั้นแทบตายไม่ต่างกับที่นึกเกลียดเจ้าของแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า หากไม่มีมันผมคงเบื่อน่าดู
‘สิ่งที่สำคัญที่สุดของกู...ไม่ใช่มึง พิภพ’
“น่าเสียดาย...น่าเสียดายจริงๆ”
คล้อยหลังของนทีไป ร่างของพิภพที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่นทีเคยนั่ง ภาพเมืองและความวุ่นวายเบื้องล่างไม่ได้ทำให้เขาสำราญใจเลยแม้แต่น้อย เพราะในหัวตอนนี้มีแต่คำพูดและการกระทำของชายคนนั้นวนเวียนอยู่ซ้ำไปซ้ำมา
“อุตส่าห์จะทำให้เกมนี้มันแฟร์แล้วแท้ๆ แต่ในเมื่อคุณเลือกอย่างนั้นเองผมก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะครับ”
พิภพต่อสายหาลูกน้องคนสนิทของตัวเองให้คอยสังเกตสิ่งที่นทีกำลังจะทำโดยไม่คลาดสายตา และไม่ลืมที่จะฝากคำเตือนเกี่ยวกับการทรยศหักหลังไปถึงเสี่ยที่เป็นหนึ่งในผู้เล่นเกมอีกคน
“ถึงจะไม่อยาก...แต่เกมมันได้เริ่มขึ้นตั้งแต่คุณคิดจะหักหลังเราแล้วนที”
ชายหนุ่มพูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะหลับตาลงแล้วคิดถึงคำพูดสุดท้ายที่นทีทิ้งไว้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในสายตาของคนคนนั้นไม่เคยมีเขาอยู่ตั้งแต่แรก และต่อให้ไม่บอก พิภพก็สามารถเดาคำตอบที่ชายผู้ซึ่งเป็นคนสำคัญของเขาพยายามปกปิดไว้ได้อย่างง่ายดายเหมือนการอ่านฝ่ามือของตัวเอง
“สองคนนั้นไม่มีทางเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของคุณได้หรอก เพราะถ้าเป็นแบบนั้น คุณคงเลือกใครคนใดคนหนึ่งไปนานแล้ว...และคงไม่มานอนกับผู้ชายแบบผมเพียงเพราะต้องการยืนยันความรู้สึกของตัวเองหรอก”
“...”
“เพราะฉะนั้นตัวเลือกสุดท้ายที่เป็นไปได้ก็มีแค่อย่างเดียวเท่านั้น”
พิภพหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดดูภาพจากการอัลตร้าซาวด์ที่เผยให้เห็นร่างของลูกสาวที่กำลังหลับใหลอยู่ในครรภ์ภรรยาของตน
“เห็นแก่ที่คุณทำให้ผมมีความสุขมาตลอดและเพราะลูกของเราคงเกิดมาคงอายุไล่เลี่ยกัน...ถ้าถึงตอนนั้นพวกเสี่ยยอมปล่อยลูกคุณไป ผมเองก็จะยอมปล่อยเขาไปก็ได้ แต่ถ้าไม่...ก็อย่าโกรธกันเลยนะ”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆก่อนจะดับบุหรี่ในมือของตนลงแล้วหลับตา ภาพของนทีที่กำลังจับมือของเขาไว้ปรากฏขึ้นเหมือนกับทุกๆครั้ง พวกเขากำลังเดินไปด้วยกันบนถนนที่ทอดไกลสุดสายตา ไม่ว่าไกลแค่ไหนก็เดินไป...แม้แต่แดดร้อนๆหรือพายุฝนที่หนาวเหน็บก็ไม่เคยหยุดพวกเขาได้
ยกเว้นแต่นกปีกหักตัวหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในกรงสีทองอร่าม
ที่สามารถพรากสายตาของนทีไปจากเขาได้เสมอ...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุยกับเช่!!
เอามาลงให้เรียบร้อยแล้วนะคับตามสัญญากับตอนพิเศษของนทีที่ติดค้างกันไว้ คงจะตอบความสงสัยในเรื่องของสองคนนี้ได้พอสมควร แต่เช่ก็เหลือช่องว่างให้จิ้นกันต่อไปนะคับ (เป็นพวกชอบกั๊กจริงๆสินะ)
แล้วก็เรื่องสำคัญซึ่งเช่ประกาศไปสักพักหนึ่งแล้วแต่อยากจะพูดอีกรอบก็คือนิยายพี่กาลจะได้รีปริ้นอีกรอบผ่านสนพ. EverY นะคับ โดยกำหนดการณ์วางแผนจะอยู่ประมานวันที่24สิงหาคม ใครพลาดรอบเช่พิมพ์เองไปก็สามารถหาซื้อรอบใหม่ได้เลย เนื้อหาเหมือนกัน ไม่มีการเพิ่มตอนพิเศษจะได้ไม่เสียเปรียบกันนะคับ
ส่วนตอนพิเศษอีกตอนที่จะลงคือตอนของคู่รัณย์กาลตามที่ตกลงไว้ ขอลงให้อาทิตย์หน้านะคับ งานเยอะจริงๆเลย TwT