warning: เนื้อหาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ไม่ได้อ้างอิงจากข้อเท็จจริงทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์แขนงใด เป็นเพียงจิตนาการที่เกิดขึ้นจากผู้แต่งเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
Universe 2nd : Too Late
“นทีธัชช์ พี่ต้องการคำตอบดีๆ สักคำตอบว่าทำไมเราไม่เอาหนังสือไปให้พี่ ปล่อยให้พี่รอตั้งนานแถมยังต้องมาโกหกแม่ให้เราอีกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีทั้งที่ไม่ได้เรียบร้อยเลยสักนิด”
ผมนั่งก้มหน้านิ่งอยู่บนเตียงพี่เทมส์ที่ตอนนี้เจ้าของเตียงกำลังยืนกอดอกจ้องหน้าผมเขม็ง แถมน้ำเสียงที่ใช้ยังดุมากๆ อีก ผมรู้ได้ในทันทีเลยว่าตอนนี้พี่เทมส์กำลังโกรธผมมากแน่ๆ
“มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นนิดหน่อยครับ” ผมอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง รับรองได้ว่าจากนาทีนี้เป็นต้นไปผมต้องถูกพี่เทมส์ดุยกใหญ่แน่ๆ
“อุบัติเหตุ? อุบัติเหตุอะไร? บอกพี่มาเดี๋ยวนี้นะไนล์” พี่เทมส์ทรุดตัวลงนั่งข้างผม ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงจริงจังทำเอาผมต้องก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาพี่ชายตัวเองแม้แต่น้อย
“แต่ไนล์กลัวพี่เทมส์ดุ ไนล์ไม่กล้าเล่า” ผมพูดเสียงแผ่วให้พี่ชายที่นั่งข้างกันได้ถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนจะวาดแขนมาโอบไหล่ผมแล้วดึงผมเข้าไปกอด
พี่เทมส์จูบหนักๆ มาที่ขมับผม ผมหลับตาซึมซับความอ่อนโยนที่พี่ชายของผมมักจะแสดงออกกับผมบ่อยๆ เอาไว้ ก่อนที่เสียงทุ้มที่แสนจะคุ้นหูในความทรงจำของผมจะดังขึ้นอย่างอบอุ่นไม่เจือความจริงจังเท่าในตอนแรก
“พี่เคยดุไนล์ได้เกินสามประโยคเหรอ? แต่ถึงพี่ดุก็ดุเพราะเป็นห่วงไนล์มาก ไนล์ก็รู้นี่ครับว่าทำไม”
ผมพยักหน้าหงึกๆ อยู่ในอ้อมแขนกว้างที่คุ้นเคยเพราะรู้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่คนในครอบครัวทำนั่นก็เพราะความหวังดีทั้งนั้น ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่ชายฟังถึงแม้จะโดนดุก็คงเลี่ยงไม่ได้ เพราะยังไงสุดท้ายแล้วผมก็ไม่เคยมีความลับกับพี่เทมส์ได้เลยสักครั้งตั้งแต่เกิดมา
“ตอนที่ไนล์ถึงโรงเรียนพี่เทมส์ ไนล์บอกให้ลุงชัยรออยู่ที่รถ ไม่ต้องเข้าไปด้วยกัน เพราะไนล์อยากเดินเล่นสำรวจนั่นนี่นิดหน่อย ไนล์กลัวว่าถ้าลุงชัยลงมาด้วยกันแล้วไนล์จะเถลไถลไม่ได้”
ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ตอนที่ภาพต่างๆ เมื่อตอนกลางวันไหลย้อนเข้ามาในความทรงจำ ตัวผมเริ่มสั่นเพราะความกลัวที่อยู่ลึกๆ ในใจ ก่อนที่ใบหน้าใจดีของพี่ชายคนนั้นจะปรากฎขึ้น ทำให้ตัวที่เริ่มสั่นและความกลัวที่ผุดขึ้นมาจะค่อยๆ บรรเทาลงจนผมควบคุมตัวเองได้ในที่สุด
“แต่ตอนที่ไนล์กำลังจะเดินถึงอาคารเรียนที่พี่รออยู่ จู่ๆ ไนล์ก็เจอผู้ชายตัวใหญ่ๆ สามคนเข้ามาล้อมไว้ เขา.. พวกเขา..” ผมเริ่มเลียริมฝีปากที่อยู่ๆ ก็แห้งผาก ในขณะที่อ้อมกอดของพี่เทมส์ก็ดูเหมือนจะแน่นขึ้นโดยไม่มีสาเหตุทั้งที่ผมก็รู้ดีว่ามันเป็นเพราะอะไร
พี่เทมส์พอจะเดาออกว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น...
“พวกมันได้ทำอะไรไนล์รึป่าว? บอกพี่มาห้ามโกหก”
พี่เทมส์ไม่รอให้ผมเล่าต่อ เขาดันตัวผมออกจากอ้อมกอดพร้อมกับถามคำถามด้วยน้ำเสียงจริงจังและเต็มไปด้วยโทสะ ดวงตาคมปราบที่ได้มาจากผู้เป็นพ่อจ้องมองผมราวกับจะมองหาความจริง ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่เคยโกหกพี่ชายตัวเองได้สักครั้ง เขาถึงมองสบเข้ามาที่ดวงตากลมของผมนิ่งเพราะเขารู้ดีว่าความเป็นจริงทุกอย่างสามารถหาได้จากที่ไหน
“มะ.. ไม่ครับ แค่เกือบ พอดีมีคนมาช่วยไนล์ไว้ได้ทัน”
สีหน้าพี่ชายของผมเปลี่ยนไปจนน่ากลัวเมื่อได้ยินผมบอกแบบนั้น ทำเอาผมต้องโผเข้ากอดเขาไว้แน่น รู้สึกผิดก็รู้สึก กลัวก็กลัว ที่มากที่สุดก็คือกลัวพี่เทมส์จะโกรธ จนพาลให้น้ำตาไหลออกมาดื้อๆ
“พี่เทมส์ ... ฮึก ไนล์ขอโทษ ไนล์ขอโทษครับ ฮืออ ต่อไปไนล์จะไม่ดื้อ ไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
ผมกอดพี่เทมส์ไว้แบบนั้นจนร่างกายที่เครียดเกร็งของคนเป็นพี่ผ่อนคลายลง และในที่สุดผมก็ได้ยินเสียงพรูลมหายใจออกมาช้าๆ พร้อมกับอ้อมกอดอุ่นๆ ที่โอบล้อมรอบตัวให้ผมได้รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“เฮ้อ... พี่ไม่ได้โกรธไนล์ พี่โกรธตัวเอง พี่เกือบเป็นต้นเหตุที่ทำให้ไนล์ถูกทำร้ายและได้รับอันตราย ถ้าพี่ไม่..”
“พี่เทมส์มันไม่ใช่นะ ฮึก.. พี่เทมส์ห้ามพูดแบบนี้ แค่นี้ไนล์ก็รู้สึกผิดจะแย่แล้ว เป็นเพราะไนล์ดื้อเองไนล์ไม่เชื่อฟังที่แม่กับพี่บอก ไนล์เลยต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ อึก..”
พี่ชายของผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเมื่อเห็นว่าผมร้องไห้ไม่หยุด เขาทั้งโอ๋ทั้งปลอบผมอยู่ยกใหญ่ จนผมสงบลงทั้งที่น้ำตายังเปรอะเต็มสองแก้ม
“ไนล์พร้อมจะคุยกับพี่หรือยัง หื้ม?”
ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่พี่เทมส์จะดันตัวผมออก เพื่อคุยกันดีๆ
“ไนล์รู้ใช่ไหมครับว่าทำไมทั้งพี่ ทั้งแม่ ทั้งพ่อถึงตามประคบประหงมไนล์เหมือนไข่ในหินแบบนี้”
ใช่ผมรู้ ผมรู้ดี... ผมไม่มีทางลืมได้หรอกว่าเพราะความเป็นตัวประหลาดของผมถึงทำให้คนในครอบครัวต้องเป็นห่วงขนาดนี้“พวกเราไม่อยากให้มีความผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นกับไนล์ทั้งนั้น ตอนนี้ไนล์ยังเด็กไนล์เลยอาจจะระแวดระวังอะไรได้ไม่มากพอ เดี๋ยวอีกหน่อยถ้าไนล์โตขึ้นมากกว่านี้ดูแลและช่วยเหลือตัวเองได้มากกว่านี้ ตอนนั้นพี่กับพ่อกับแม่อาจจะไม่ต้องตามดูแลไนล์แล้วหรือถ้ามันอาจจะพอมีทางรักษาได้... พี่เลยอยากให้ไนล์อดทน”
“พี่เทมส์ ทำไมไนล์ต้องเป็นแบบนี้ด้วย ไนล์อยากเป็นเหมือนคนปกติคนอื่น ไม่อยากเป็นตัวประหลาดเลย.. ฮึก”
ผมพูดพลางปล่อยให้น้ำตาไหลลงข้างแก้มเงียบๆ นึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง ไม่เข้าใจสักนิดว่าผมไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้ทำไมถึงไม่เกิดมาปกติเหมือนคนอื่น
ทำไมต้องเกิดมาประหลาดเป็นผู้ชายแต่กลับตั้งท้องได้เหมือนผู้หญิง.... นี่แหละความลับของผมและครอบครัว ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุผลเดียวนั่นก็คือ
‘ผมตั้งท้องได้’ และมันก็เป็นความลับที่ติดตัวผมมาแล้วสิบห้าปีเต็มๆ
ครอบครัว นรดิษฐ์โยธิน ของผมมีกันอยู่สี่คนพ่อแม่ลูก ตอนที่เด็กชาย
นทีบดี นรดิษฐ์โยธิน เกิดพ่อกับแม่ของผมเลือกที่จะตั้งชื่อเด็กชายโดยใช้ความหมายของชื่อท่านทั้งสองมาอยู่ในชื่อของพี่ชายผม อธิปัตย์ชื่อของพ่อ แปลว่ายิ่งใหญ่ ส่วนนีราภาชื่อของแม่แปลว่า ประกายน้ำ ดังนั้น นทีบดี จึงแปลว่าเจ้าแห่งแม่น้ำ รวมถึง
เทมส์ที่เป็นชื่อเล่นก็หมายถึงแม่น้ำสายใหญ่ที่หล่อเลี้ยงประเทศอังกฤษ พี่เทมส์เกิดมาตรงตามใจพ่อกับแม่ทุกอย่าง เขาทั้งฉลาด ทั้งเก่ง ทั้งหน้าตาหล่อเหลา พี่เทมส์แทบจะถอดพ่อมาทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างสูงใหญ่หรือหน้าตาคมคาย ในขณะที่แม่ผมเป็นผู้หญิงร่างเล็ก หน้าตาสวยหวาน ซึ่งพี่เทมส์แทบจะไม่เฉียดมาทางท่านเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นท่านทั้งสองก็ทั้งรักและภูมิใจในตัวพี่เทมส์มาก จนพี่เทมส์เติบโตขึ้นเป็นหนุ่มน้อยน่ารักในวัยสามขวบแม่ผมก็ได้รับข่าวดีว่าตัวเองกำลังตั้งท้องอีกครั้ง ซึ่งเด็กในท้องก็คือผม ... เด็กชายที่เกิดมาพร้อมกับความแปลกประหลาดที่หาสาเหตุไม่ได้
ตอนที่แม่คลอดผมออกมาเป็นเด็กผู้ชายทุกคนก็ดูไม่ประหลาดใจเท่าไหร่ พ่อกับแม่ไม่ได้ผิดหวังเพราะลูกคนที่สองนี้ท่านไม่ได้คาดหวังว่าต้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย พวกท่านเลือกที่ไม่อัลตร้าซาวด์ดูเพศผมแต่เลือกที่จะไปรอลุ้นเอาตอนผมเกิด และพอผมคลอดออกมาทุกคนก็ดีใจมากแต่คนที่ดูเหมือนจะดีใจสุดกลับกลายเป็นพี่เทมส์
พี่เทมส์ผู้ซึ่งพร่ำบอกกับพ่อและแม่เสมอว่าอยากได้น้องผู้ชายไว้เล่นต่อสู้ ขี่จักรยาน ปีนต้นไม้ และทำอะไรทะโมนๆ ด้วยกัน แต่พอพี่เทมส์เห็นหน้าผมทุกความคิดที่เขาเคยคิดไว้ตามประสาเด็กสามขวบก็ถูกพับลง และแปรเปลี่ยนเป็นความหวงแหนแทน นั่นเป็นเพราะผมเป็นเด็กผู้ชายที่จิ้มลิ้มเกินกว่าจะพาไปเล่นอะไรแผลงๆ อย่างที่พี่เทมส์เคยวาดฝันไว้ได้ สิ่งที่พี่เทมส์คิดอย่างเดียวในตอนนั้นคือ
‘น้องตัวเล็กนิดเดียว... เทมส์จะดูแลและปกป้องน้องเอง’นทีธัชช์ นรดิษฐ์โยธิน แม่น้ำที่ยิ่งใหญ่ไม่ต่างจาก แม่น้ำ
ไนล์ จึงกลายมาเป็นชื่อจริงและชื่อเล่นของผม แต่ในความเป็นจริงผมกลับไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น...
ผมเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก เรียกได้ว่าตัวเล็กตั้งแต่เกิด ถ้าพี่เทมส์ถอดพ่อมาทั้งภาคส่วน ผมเองก็คงถอดแม่มาทั้งร่างโดยไม่เฉียดไปที่พ่อเลยสักนิดเหมือนกัน ผิวผมขาวจนอมชมพู ใบหน้าเล็กรูปไข่ ดวงตากลมโตแถมยังแพขนตายังหนางอนตั้งแต่เด็ก ใครก็บอกว่าผมเป็นเด็กจิ้มลิ้ม พ่อกับแม่หลงผมมาก ตอนผมเป็นเจ้าเด็กทารกใครๆ ก็อยากจะอุ้มชู โดยที่ทุกคนไม่เฉลียวใจสักนิดว่าทำไมผมถึงตัวเล็กผอมบางและไม่มีส่วนไหนที่คล้ายคลึงพี่เทมส์เลย จนกระทั่งถึงการตรวจสุขภาพตอนครบกำหนดหกเดือน
คุณหมอเริ่มเห็นพัฒนาการบางอย่างของผมซึ่งมีความคล้ายคลึงกับพัฒนาการของเด็กผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย คุณหมอจึงขอทำการตรวจสุขภาพและร่างกายของผมอย่างละเอียดอีกครั้ง นั่นทำให้พบว่าผมมีฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน อยู่ในระดับที่สูงกว่าเพศชายปกติทั่วไป ซึ่งส่งผลให้ผมมีพัฒนาการ
‘บางอย่าง’ ออกมาให้เห็นชัดเจนกว่าเด็กชายคนอื่นๆ เช่นผิวขาวละเอียด ใบหน้าเรียวเล็ก รูปร่างบอบบาง สะโพกกลมกลึงได้สัดส่วน และที่สุดของความแปลกที่เป็นเหตุให้ที่บ้านผมต้องระมัดระวังในการดูแลผมเป็นพิเศษนั่นก็คือ ผมมีรังไข่ซึ่งสามารถปฏิสนธิได้หากเจอกับน้ำเชื้อของผู้ชายถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ผมสามารถตั้งท้องได้แม้จะอยู่ในเพศสภาพของการเป็นผู้ชายก็ตาม
พ่อกับแม่ตกใจมากพอได้รู้เรื่องราว พวกท่านถามกับหมอตรงๆ ว่าผมเป็นกะเทยหรือเปล่า ประเภทที่ว่าผมมีสองเพศในตัวคนเดียวอะไรแบบนั้น ซึ่งหมอก็ยืนยันว่าผมเป็นผู้ชายแท้แต่แค่เป็นผู้ชายที่มีฮอร์โมนบางอย่างที่สูงเกินไป จนทำให้ร่างกายผิดปกติ หากจะเรียกว่าเป็นอาการป่วยก็คงไม่ผิด เพียงแต่มันผิดตรงที่เป็นอาการป่วยที่ไม่มีทางรักษาได้ก็เท่านั้น
แต่ไม่ใช่ว่าพ่อกับแม่ของผมจะไม่หาทางรักษา พวกท่านพาผมไปตรววจไปหาหมอที่ต่างประเทศแต่ก็ไม่มีหมอคนไหนของมุมโลกเคยเห็นเคสแบบผมมาก่อน โชคยังดีที่ร่างกายภายนอกของผมไม่ได้ผู้หญิงจ๋าเสียขนาดนั้น ติดแค่เรื่องตัวเล็กกับหน้าหวาน นอกนั้นเรื่องอื่นผมก็ไม่ได้ต่างจากเด็กผู้ชายปกติคนอื่นๆ ซึ่งเรื่องตัวเล็กกับหน้าหวานถ้ามองว่าเป็นกรรมพันธุ์ที่ผมได้มาจากทางแม่ก็ไม่น่าจะมีใครสงสัย ดังนั้น ครอบครัวของผมจึงไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครรู้นอกจากคนในครอบครัว และคนรับใช้เก่าแก่ในบ้านเท่านั้น เพราะผมต้องได้รับการดูแลมากเป็นพิเศษ อาจจะไม่ถึงขั้นห้ามไปไหนแต่ก็ต้องมีคนไปด้วยในทุกๆ ที่ เพื่อให้สบายใจได้ว่าผมจะปลอดภัยไม่ให้เกิดอะไรผิดพลาดโดยไม่จำเป็น
พอตอนที่ผมอายุได้เกือบๆ สิบขวบ ตอนที่พ่อกับแม่เห็นว่าผมพอที่จะเข้าใจอะไรได้แล้ว ท่านจึงบอกเรื่องนี้ให้ผมรับรู้เพราะผมเอาแต่งอแงถามพวกท่านกับพี่เทมส์ว่าทำไมต้องตามดูแลกันขนาดนี้ ผมอยากออกไปเล่นกับเพื่อน ไปปีนต้นไม้ ยิงนก ตกปลา อะไรก็ได้แบบที่เพื่อนผู้ชายคนอื่นๆ เขาทำกันแต่พ่อกับแม่ผมก็ห้ามตลอด จนพอผมรู้ความจริงผมก็ตกใจมาก จำได้ว่าร้องไห้ไม่หยุดสับสนอยู่เป็นเดือนๆ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเพศไหนกันแน่ เป็นผู้ชายหรือเป็นผู้หญิง ผมเครียดมากจนทุกคนเป็นห่วงแล้วก็เป็นพี่เทมส์ที่ตอนนั้นน่าจะขึ้นมัธยมต้นแล้วเดินมากอดผมไว้แล้วกระซิบกับผมเบาๆ แต่หนักแน่นว่า...
‘ไม่ว่าไนล์จะเป็นเพศไหน เป็นผู้ชายหรือเป็นผู้หญิง แต่พี่อยากไนล์รู้ไว้ว่าไนล์จะเป็นน้องของพี่เสมอ และความจริงข้อนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พี่จะอยู่ข้างๆ ไนล์ ดูแลไนล์จนกว่านายจะดูแลตัวเองได้หรือมีใครคนที่ไนล์อยากจะให้เขาช่วยดูแล’ผมในเวลานั้นร้องไห้โฮราวกับเด็กน้อยกำลังหลงทาง คำพูดของพี่เทมส์ปลดล็อคทุกความหนักอึ้งในใจทำให้ผมคิดได้ว่าต่อให้ผมจะไม่มีใคร แต่ผมก็จะยังมีพ่อมีแม่มีพี่ชายคอยอยู่ข้างเสมอๆ จนกว่าผมจะไม่ต้องการ
ผมที่ตอนนั้นไม่เคยได้เข้าใจอะไรในความรักเพราะยังเด็กกว่ากว่าจะเรียนรู้ เพียงแค่ได้ยินว่าพี่ชายจะไม่ทิ้งไปไหนก็เพียงพอแล้วสำหรับโลกใบเล็กของเด็กประถม ซึ่งพี่เทมส์เองก็ทำตามสัญญาได้ดีมาโดยตลอด ด้วยความที่เราอายุห่างกันไม่มากพี่เทมส์จึงเป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ และทั้งพ่อและแม่ได้ในบางคราวเราจึงสนิทกันมาก ผมคุยกับพี่เทมส์ได้ทุกเรื่องและพี่เทสม์เองก็รู้ทุกเรื่องของผมไม่ต่างกัน
ดังนั้นในเวลานี้เขาจึงโอบกอดผมไว้แน่น และพูดปลอบผมด้วยประโยคที่ผมคุ้นชิน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้ยิน
“ชู่ว ไม่เอาไม่พูดแบบนี้นะครับไนล์ สำหรับพี่ สำหรับพ่อสำหรับแม่ ไนล์ไม่ได้เป็นตัวประหลาดอะไรทั้งนั้นไนล์เป็นลูกชายที่ดีเป็นน้องชายที่น่ารัก ไนล์ประหลาดตรงไหนไม่เลยสักนิด เพราะฉะนั้นห้ามเอาเรื่องนี้มาบั่นทอนตัวเองตกลงไหม”
“ตอนแรกไนล์ไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมพี่เทมส์กับพ่อกับแม่ต้องเข้มงวดตามติดไนล์ขนาดนั้น ไนล์แค่อยากมีอิสระทำอะไรโดยลำพังบ้าง จนพอเหตุการณ์เมื่อบ่ายเกิด...ตอนนั้นไนล์นึกถึงแต่หน้าพี่กับพ่อกับแม่และถึงได้ความเข้าใจหวังดีทุกอย่าง เพราะไนล์ยังเด็ก ยังอ่อนแอเกินไปเลยรับมือเรื่องพวกนี้คนเดียวลำพังไม่ได้ ไนล์เข้าใจแล้ว”
พี่เทมส์ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ลูบศีรษะผมเบาๆ ปลอบประโลมจนผมรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยดีเมื่ออยู่ตรงนี้ อยู่ในอ้อมกอดของคนเป็นพี่ที่พร้อมจะปกป้องผมเสมอ
“ว่าแต่ไนล์จำหน้าคนที่มาช่วยไนล์ได้ไหมครับ ถามชื่อเขาไว้ไหมพี่จะได้ไปขอบคุณเขาที่ช่วยไนล์ของพี่ไว้ได้ทัน”
ผมส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับเม้มปาก รู้สึกเจ็บใจตัวเองไม่หายเพราะความขี้อาย ขี้ไม่มั่นใจ ทำให้ผมพลาดโอกาสดีๆ ที่จะได้รู้จักพี่คนใจดีไปหมด
“ไนล์จำหน้าพี่เขาได้ครับแต่ไนล์ไม่ได้ถามชื่อไว้ พี่เขาบอกว่าเพื่อนรออยู่แล้วก็วิ่งไปเลย” ผมทำหน้าหงอย ก่อนจะตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ “แต่ไนล์ว่าพี่เขาต้องอยู่โรงเรียนเดียวกับพี่เทมส์แน่ๆ น่าจะมอหกด้วยเพราะเขาตัวสูงสูงพอๆ กับพี่เทมส์เลย”
“เหรอครับ? อืมม.. แต่ก็มีสิทธิ์เพราะวันนั้นมีมอหกหลายกลุ่มเหมือนกันที่ไปนั่งทำรายงานที่โรงเรียน พี่ว่าทั้งไอ้คนที่ลวนลามไนล์ทั้งคนที่ช่วยไนล์ไว้ก็น่าจะอยู่มอหกด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ เอาไว้เดี๋ยวพี่จะลองไปสืบดู”
สีหน้าอบอุ่นของพี่เทมส์เปลี่ยนไปอีกครั้งพอพูดถึงเรื่องนี้ มือใหญ่ที่เคยลูบหัวผมกำแน่นแถมแววตายังดูเอาเรื่องมากๆ ด้วย อย่างที่บอกเพราะเราสนิทกันมา และเพราะผมเป็นแบบนี้พี่เทมส์จึงปกป้องดูแลผมอย่างดีมาโดยตลอด เวลามีใครมาแกล้งหรือทำท่าเหมือนจะมาลวนลามพี่เทมส์ก็ซัดกลับไปทุกครั้ง ดังนั้นเรื่องของผมจึงเป็นเรื่องใหญ่ของพี่เทมส์เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม
“ไนล์ไม่เป็นอะไรแล้วครับพี่เทมส์ ช่างมันเถอะนะ”
ผมร้องขอเพราะไม่อยากให้พี่เทมส์เดือดร้อนเพราะผมอีก นี่ก็ใกล้จะจบมอหกแล้วด้วย ผมไม่อยากให้มีปัญหา
“แต่มันรังแกไนล์ พี่ยอมไม่ได้” ผมต้องยื่นมือไปลูบต้นแขนพี่ชายเบาๆ ก่อนจะเอาหัวเล็กๆ ของตัวเองไถอ้อน
“แต่ถ้าพี่มีเรื่องแล้วถึงหูพ่อกับแม่ ไนล์ต้องแย่แน่ๆ เลย พี่เทมส์ก็รู้ว่าพ่อกับแม่เคยบอกไว้ว่า ถ้าไนล์มีอันตรายจนเกือบจะพลาดพลั้งหรือเลยเถิดไนล์ต้องถูกส่งไปรักษาตัวที่อังกฤษ ... ไนล์ไม่อยากไป ไนล์อยากอยู่กับพี่เทมส์”
พี่ชายผมชะงักกึกเมื่อนึกถึงความเป็นจริงข้อนี้ เพราะว่ามันจริงอย่างที่ผมบอก พ่อกับแม่เคยตกลงกันไว้ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมมีอันตราย หรือมีเหตุที่ผมจะพลาดพลั้งพวกเขาจะส่งผมไปรักษาตัวที่อังกฤษ ซึ่งเรามีบ้านคุณอาอยู่ที่นั่น และมันจะหมายความว่าเราสองคนพี่น้องจะต้องห่างกัน ซึ่งคนติดน้องแบบพี่เทมส์ต้องไม่มีวันยอมแน่ๆ
“ก็ได้ พี่ไม่ตามหามันก็ได้ แต่ถ้ามันมายุ่งกับไนล์อีกพี่ไม่เอามันไว้แน่ ต่อให้พลิกโรงเรียนหาพวกมันพี่ก็จะทำ โอเคไหมครับ?”
“โอเคครับ” ผมรีบรับปากเมื่อเห็นพี่เทมส์ยอมอ่อนลง อีกอย่างเพราะไม่ว่ายังไงผมก็คงไม่ได้ไปโรงเรียนพี่เทมส์ด้วยตัวคนเดียวอีกแน่ๆ
“ถ้างั้นก็ไปล้างหน้าล้างตาแล้วลงไปทานข้าวได้แล้ว เดี๋ยวพ่อกับแม่จะสงสัยเอา” พี่เทมส์รีบฉุดผมให้ลุกจากเตียง ก่อนจะจับผมหันหลังแล้วดันไหล่เบาๆ เดินไปห้องน้ำด้วยกันแบบขบวนรถไฟสมัยเด็ก
แต่จู่ๆ ผมก็หันหลังกลับมาหาพี่ชายก่อนจะเอ่ยอ้อน เพราะรู้ว่าพี่เทมส์จะใจอ่อนแน่ถ้าผมทำแบบนี้ ไม่ว่าขออะไรก็จะให้เสมอ
“พี่เทมส์สัญญากับไนล์ก่อนว่าจะไม่บอกพ่อกับแม่เรื่องนี้... ให้เป็นความลับของเราสองคน น้า.. นะครับ”
พี่เทมส์มองหน้าผมยิ้มๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาบิดจมูกผมเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว
“เรามันฉลาด ขี้ต่อรอง รู้จักอ้อน เพราะรู้ว่าพี่จะตามใจไม่เคยขัดถูกไหม หื้ม?”
ผมหัวเราะจนตาปิดและเสียงหัวเราะของผมก็ทำให้บรรยากาศขมุกขมัวมาคุที่เคยอบอวลอยู่ในห้องพี่เทมส์ละลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“เฮ้อ... ยิ้มแบบนี้พี่จะขัดเราได้ยังไงล่ะเจ้าตัวแสบเอ๊ย!”
ผมยิ้มกว้าง ก่อนจะควงแขนพี่ชายเดินเข้าห้องน้ำพลางคิดในใจว่าอ้อนพี่เทมส์อีกหน่อยดีกว่าจะได้ไม่ต้องล้างหน้าเอง
.
.
.
หลังจากวันนั้น ผมก็พยายามมองหาพี่ชายใจดีคนนั้นทุกครั้งเวลาที่ออกนอกบ้าน ผมพยายามมองหาตามถนนแถวๆ โรงเรียน มองหาตามทางเท้าข้างทาง ยิ่งวันไหนที่ต้องแวะไปรับพี่เทมส์กลับบ้านด้วย ผมจะยิ่งมองหาเป็นพิเศษ แต่ผมก็ไม่เคยเจอพี่เขาอีกเลย จนกระทั่งใกล้ช่วงสอบปลายภาคครั้งสุดท้ายของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก
วันนั้นพี่เทมส์มีติวกับเพื่อน ส่วนผมก็สอบเสร็จนานแล้ว ฝั่งมัธยมต้นของโรงเรียนผมจะสอบปลายภาคเสร็จก่อนฝั่งมัธยมปลายเป็นเดือนๆ เนื่องจากความหนักหน่วงของเนื้อหาและการเรียนการสอนไม่เท่ากัน ผมก็เลยเหลือแค่เรียนเสริมพิเศษกับเตรียมตัวเพื่อข้ามระดับไปเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งผมก็คงเรียนที่เดิมจึงไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากนักเพราะมันมีโควต้าสำหรับนักเรียนฝั่งมัธยมต้นอยู่แล้วที่สามารถเข้าเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายได้เลยโดยไม่ต้องสอบ ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะเรียนพิเศษเกี่ยวกับภาษาที่ผมชอบเพื่อฆ่าเวลาหรือก็เรียนอย่างน้อยจนกว่าพี่เทมส์จะสอบเสร็จ เพราะให้อยู่บ้านคนเดียวในช่วงปิดเทอมผมก็เบื่อๆ อุดอู้ สู้ออกมาหาความรู้เพิ่มในระหว่างวันรอพี่เทมส์เลิกเรียนแล้วกลับบ้านพร้อมกันน่าจะดีกว่า
วันนี้ก็เป็นอีกวันหลังเรียนพิเศษเพิ่งเสร็จระหว่างที่ผมนั่งรอพี่ชายอยู่ที่ร้านไอศครีมใกล้ๆ โดยมีลุงชัยนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ผมก็ได้เจอกับคนที่ผมตามหามานาน ..
พี่ชายใจดีคนนั้น
“ไงเรา? มาทำอะไรแถวนี้?”
พี่เขาเดินมานั่งที่โต๊ะเดียวกับผมด้วยเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยที่ผมยังไม่ทันเห็นพี่เขาเลยด้วยซ้ำเพราะกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่
“พี่...” ด้วยอารมณ์ดีใจ ทำเอาผมตกใจจนพูดไม่ออกจนลุงชัยเข้ามาประชิดตัวนั่นแหละ ผมถึงได้รู้สึกตัว
“คุณเป็นใครครับ?” ลุงชัยถามพลางลุกพรวดมายืนข้างเก้าอี้ตัวที่ผมนั่ง ในขณะที่พี่เขาทำหน้างงๆ ผมถึงได้สติลุกขึ้นห้าม
“ลุงชัยครับลุงชัย ผมรู้จักพี่เขาครับ” ลุงชัยหันมามองหน้าผม พร้อมกับทำหน้าสงสัยน้อยๆ ก่อนจะถามย้ำ
“คุณหนูแน่ใจนะครับว่ารู้จัก?” ผมหน้าซีดลูกตากลมกลอกไปมา แน่นอนว่าเรื่องคราวนั้นไม่มีใครรู้นอกจากพี่เทมส์ ผมเลยจำเป็นต้องหาเหตุผลเพื่อบอกกับลุงชัยให้ได้ว่าผมรู้จักกับพี่เขาได้ยังไง
“ครับ เจอกันคราวที่แล้วพี่เขาบอกทางไปห้องน้ำให้ไนล์” ผมหลับหูหลับตาบอกเหตุผลที่นึกขึ้นได้สดๆ ร้อนๆ ซึ่งลุงชัยเองก็ขมวดคิ้วนิดหน่อยตอนได้ยิน แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรก่อนที่จะถอยไปนั่งที่โต๊ะตัวเองเหมือนเดิม
แต่พี่คนใจดีนี่สิ จ้องผมตาเขม็งเลย ทำเอาผมเลิ่กลั่กได้แต่หลบสายตาเขาไปมาอยู่อย่างนั้น
“พี่บอกทางเราไปห้องน้ำเหรอ? ไม่เห็นจำอะไรแบบนั้นได้เลย”
“คือ.. ผมไม่ได้บอกให้ที่บ้านรู้น่ะครับ ผม.. ผมไม่อยากให้ที่บ้านเป็นห่วง พี่ไม่โกรธใช่ไหมครับที่ผมโกหกแบบนั้น”
ผมรีบละล่ำละลักถามพอได้ยินพี่เขาพูดมาเสียงเรียบแบบนั้น ใจผมร้อนรนไปหมดกลัวพี่เขาจะโกรธจะผิดหวังที่ผมเป็นเด็กขี้โกหก แต่แล้วทุกความกังวลก็ต้องสงบเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของพี่เขาหัวเราะออกมาเบาๆ
“หึ... ก็ไม่ได้ว่าอะไร” พี่เขายื่นมือมาลูบศีรษะผมเบาๆ แบบที่เขาเคยทำเมื่อคราวที่แล้ว ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงใจดีแบบที่ผมชอบ “เราน่ะโคตรน่าแกล้งเลยรู้ตัวป่ะ? ตอนทำหน้าตกใจนี่โคตรน่ารัก ตาถลนแทบจะออกมานอกเบ้า ฮ่าๆ”
“พี่อ่ะ...” ผมครางเบาๆ ปนความโล่งใจเมื่อรู้ว่าถูกพี่เขาหยอก ก่อนจะทำใจกล้าถาม เมื่อเห็นว่าได้โอกาสที่จะทำความรู้จักพี่เขาแล้ว “พี่ชื่ออะไรเหรอครับ ครั้งที่แล้วผมยังไม่ทันได้ถาม ไม่ทันได้ขอบคุณเลย”
พี่เขายิ้มให้ผม ... แล้วจู่ๆ ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายของผมก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ชื่อภู .. พี่ชื่อภู”
“พี่ภู...” ผมทวนชื่อพี่เขาเบาๆ ก่อนที่จะยิ้มออกมา
พี่ภูคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้คือพี่ภูคนเดียวกับที่เคยช่วยผมไว้เมื่อหลายวันก่อน นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมได้เจอกับเขา และเป็นครั้งที่สองที่ผมได้เห็นเขาเต็มตา พี่ภูเป็นเด็กผู้ชายตัวสูงใหญ่ เขาน่าจะสูงพอๆ กับพี่เทมส์พี่ชายผมหรืออาจจะดูสูงกว่าอีกด้วยซ้ำ คงประมาณร้อยแปดสิบกว่าๆ ช่วงไหล่กว้าง ลำตัวหนาแต่ไม่ถึงกับเทอะทะจนน่าเกลียดเพียงแต่สมส่วนกับสูงของเขา
ที่สำคัญคือใบหน้าของพี่ภูหล่อเหลาเทียบเท่ากับพี่ชายของผมได้เลย ตาเขาเรียวคม แถมจมูกก็ยังโด่งมากๆ รับกับริมฝีปากหยักลึกที่พอยิ้มทีก็ดูหล่อร้ายจนผมแอบมองตาค้าง พี่ภูจัดได้ว่าหน้าตาดีมากๆ แบบนี้สาวๆ ต้องติดตรึมแน่ๆ
“ยิ้มอะไรเรา? ชื่อพี่ตลกเหรอ? หรือว่าโหล?” พี่เขาถามกลับทั้งที่ริมฝีปากยังคงเปื้อนรอยยิ้มไม่ต่างจากผม
“เปล่าครับ ผมแค่คิดว่าชื่อนี้เหมาะกับพี่ดี .. เหมาะมากๆ เลย” ผมพูดพลางทำหน้าจริงจังเพื่อยืนยันคำพูดตัวเองให้พี่ภูต้องหลุดขำออกมาอีกรอบ
“พี่แซวเล่น ไม่ได้จะว่าอะไร” พี่ภูยิ้มขำ ก่อนจะยื่นมือมาลูบศีรษะผมเบาๆ อีกครั้ง “ว่าแต่ยังไม่ได้ตอบพี่เลยนะว่าเรามาทำอะไรแถวนี้ หื้ม?”
“อ๋อ ผมมารอพี่ชายติวครับ น่าจะใกล้เสร็จแล้ว” ผมตอบก่อนที่พี่ภูจะทำตาโตราวกับนึกอะไรได้
“เออใช่! ตายห่าแล้วเนี่ย” อยู่ๆ พี่ภูก็สบถออกมา “พี่ไปก่อนนะ เพื่อนให้ไปซื้อของแต่พอดีเห็นเราจากหน้าร้านพี่เลยแวะมาทัก”
ผมพยักหน้ารับงงๆ เพราะเจอพี่ภูกี่รอบพี่ภูก็ดูรีบทุกรอบ แม้แต่รอบนี้พอพี่ภูบอกลาผมเสร็จก็พรวดพราดออกประตูไปทันที ให้ผมได้แต่นั่งงงเพราะยังตั้งตัวไม่ทัน
แต่พอนึกถึงท่าทางของพี่ภูที่ผมได้เห็นเมื่อครู่ ก็ทำให้ผมก็หลุดยิ้มออกมา ...
พี่เขาดูเป็นตัวของตัวเองแล้วก็เท่มากๆ ไม่ว่าจะทำอะไร และก็ไม่ต่างจากคราวที่แล้วที่ผมเจอพี่ภู เมื่อผมรู้สึกถึงความสุขและความอิ่มเอมแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งหัวใจจนก้อนเนื้อเล็กๆ ในอกข้างซ้ายเต้นแรงขึ้นมาเบาๆ
และในขณะที่ผมกำลังสงสัยในอาการของตัวเอง จู่ๆ ประตูร้านก็ถูกเปิดพรวดเข้ามาอีกครั้งและก็เป็นพี่ภูที่ยื่นหน้าทั้งที่หอบแฮ่กเข้ามาแค่ครึ่งตัว
“เด็กน้อย ถ้าพรุ่งนี้ต้องมารอพี่ชายอีกก็มารอที่นี่นะ เผื่อพี่ว่างพี่จะแวะมาหาแล้วจะซื้อหนมมาฝากด้วย เคป่ะ?”
ผมมองหน้าพี่เขางงๆ แต่ก็พยักหน้ารับตอนที่เห็นพี่เค้าทำท่าประมาณว่าให้ผมพยักหน้าตามที่พี่เค้าทำ ช่างเป็นคนที่อ่อนต่อโลกจริงๆ ผมน่ะ
“อ่อ.. ครับ”
“ดีมาก พรุ่งนี้เจอกัน บาย”
แล้วพี่เขาก็ไม่รอให้ผมบอกลาเพราะพอจบคำของตัวเอง ประตูหน้าร้านก็ถูกปิด พร้อมๆ กับที่ใบหน้าหล่อเหลาคมคายหายไปจากกรอบสายตาผมเช่นกัน
ว่าแต่พรุ่งนี้ ผมเองก็ควรมีขนมมาฝากพี่ภูเหมือนกันไหมนะ
... แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว
.
.
.
วันต่อมาผมมานั่งรอพี่เทมส์ที่ร้านไอศกรีมร้านเดิมที่นัดแนะไว้กับพี่ภูด้วยใจจดจ่อ ผมไม่มีสมาธิที่จะทำอะไรทั้งนั้นแม้แต่หนังสือเล่มโปรดที่ผมชอบอ่านก็ไม่สามารถดึงความสนใจจากผมได้ เพราะตอนนี้ผมเอาแต่นั่งกำปากถุงคุ้กกี้ที่อยู่ในมือแน่น พลางชะเง้อชะแง้คอยมองทุกครั้งที่ประตูร้านเปิดเข้าเปิดออก เพื่อดูว่าพี่ภูที่ผมรอเจอนั้นจะมาถึงหรือยัง จนกระทั่งครึ่งชั่วโมงผ่านไป เจ้าของรูปร่างสูงโปร่งดูดีก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับมองหาผมไม่นานอยู่อึดใจก็เจอ
“มารอนานยัง?”
พี่ภูเดินตรงมาหาพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม ภาพเดียวกับเมื่อวานดูเหมือนจะซ้อนทับและเรียกรอยยิ้มจากผมได้ไม่น้อย
“ไม่นานครับ ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย”
(อ่านต่อด้านล่าง)