ตอนที่ 3
คุณพ่อปีศาจ
“ขอบใจที่มาช่วยดูให้นะ”
คุณลูฟพูดพร้อมกับคลายเนคไทออกให้ตัวเองผ่อนคลายขึ้นแต่ใบหน้าของเขาก็ไม่ได้ทำให้คนนั่งมองอย่างผมรู้สึกว่าเขาผ่อนคลายเลยสักนิด หน้าคือจะเครียดไปไหน
“ไม่เป็นไรหรอกเพราะผมหวังสิ่งตอบแทนอยู่แล้ว”
พี่ผ้าใบพูดด้วยรอยยิ้ม
“เล่นลิ้นเก่งไม่เปลี่ยนเลยนะ”
เป็นการต่อว่าที่ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่นัก ฟังๆดูเหมือนเป็นความเอ็นดูเสียมากกว่า
“แน่นอนสิครับ เดือนหน้าที่โรงเรียนมีงานวิชาการ แถมน้องคิวปิดก็ได้ขึ้นแสดงด้วย ไปด้วยนะครับ”
ไม่เหมือนประโยคบอกเล่าแต่เหมือนเป็นการบังคับมากกว่า คุณลูฟหยุดมือที่กำลังปลดกระดุมเสื้อออกแล้วหันกลับมามองพี่ผ้าใบ สายตาน่ากลัวมากแต่ก็ไม่ทำให้คนตัวเล็กหวาดกลัวได้
“งานยุ่งก็เห็นอยู่”
เป็นบทสนทนาที่ทำให้คนนอกอย่างผมอึดอัดไปเลย นี่เหมือนทะเลาะกันหรือเปล่านะ
“งานสำคัญกว่าทุกอย่างสินะครับ โอเคๆไม่ต้องมองแบบนั้น ไม่ใช่เรื่องของผมผมรู้ แต่วัยเด็กมีแค่ครั้งเดียวนะครับ แล้วแต่ว่าคุณพ่อจะให้น้องมีความทรงจำแบบไหน”
ผมเงยหน้ามองพี่ผ้าใบที่มองไปที่เด็กๆ สายตาแบบนั้น…..สายตาที่พ่อเคยมองมาที่ผม อยู่ๆผมก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมา
นั่นสินะ แล้วแต่ว่าพ่ออยากจะให้ผมมีความทรงจำวัยเด็กแบบไหน พ่อจึงพยายามมากที่จะทำให้ผมมีความสุข ขนาดวันแม่ที่แม่ไม่ไปหาผมที่โรงเรียนแต่พ่อไปแทน ไปนั่งบนเก้าอี้แล้วให้ผมไหว้…….ทำทุกๆอย่างเพื่อไม่ให้ผมรู้สึกขาด
ผมรักพ่อที่สุด และอยากให้คิวปิดรักพ่อด้วย
“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนละกันนะ พี่กลับก่อนนะก้าน ฝากด้วยนะ”
แล้วพี่ผ้าใบก็กลับไปกับน้องๆทั้งสองโดยมีผมกับคิวปิดไปยืนส่งที่หน้าบ้าน
“คิวปิดมีการบ้านหรือเปล่าครับ”
ผมก้มลงไปถามเด็กน้อยเมื่อเดินกลับเข้ามาก็ไม่เจอคุณลูฟแล้ว อะไรกัน เลิกงานมาจะไม่คุยกับลูกเลยหรือไง ใจร้ายไปแล้ว
“มีการบ้านครับ พี่ก้านจะสอนการบ้านคิวปิดหรือเปล่า”
ทำไมกลายเป็นเด็กน่ารักไปได้ล่ะเนี่ย ดูทำหน้าสินั่น
“สอนสิครับ การบ้านยากหรือเปล่าน้า”
“ยาก คิวปิดทำผิดบ่อยมากแต่ตอนนี้คิวปิดทำได้แล้ว”
พูดพร้อมกับค้นกระเป๋าแล้วดึงสมุดการบ้านออกมาเปิด
“โห ยากจริงด้วยนะเนี่ย คิวปิดจะทำได้จริงๆหรอ”
ไม่ได้พูดให้น้องมันภูมิใจเลยสักนิด การบ้านของคิวปิดเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด บ้าไปแล้ว นี่มันการบ้านของเด็กอนุบาลหรอเนี่ย
“คิวปิดทำได้”
ว่าแล้วเจ้าตัวเล็กก็ก้มลงไปขีดๆเขียนๆในสมุดแล้วยื่นมาให้ผมดู
“นี่ไง”
ผมรับสมุดการบ้านมาดู
“ว้าว ทำได้จริงๆด้วยเก่งจังเลย”
ผมพูดแล้วยื่นหน้าไปจุ๊บหน้าผากเด็กน้อยเป็นการให้รางวัลเหมือนที่พ่อชอบทำกับผมตอนเด็กๆ คิวปิดผงะถอยออกไปแล้วจับตรงหน้าผากที่โดนจุ๊บ
“ย…...อย่ามาจุ๊บแบบนี้สิ เอาไว้ให้คุณพ่อจุ๊บนะ”
เด็กน้อยพูดไปก็หน้าแดงไป น่ารักจริงๆ
“นั้นสินะ ต้องเอาไว้ให้คุณพ่อจุ๊บสิ”
ผมพูดแล้วระบายยิ้มบางๆออกมา คิดถึงพ่อบ่อยจังเลยนะช่วงนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าได้เจอกับเด็กๆบ่อยขึ้นล่ะมั้ง พี่ผ้าใบก็เป็นพ่อคน คุณลูฟก็เป็นพ่อคน ถ้าจะเหงาก็คงไม่แปลก
จุ๊บ
ผมผงะตกใจได้สติอีกครั้ง เมื่ออยู่ๆใบหน้าเล็กก็ยื่นเข้ามาจุ๊บที่แก้มของผม
“อย่าร้องไห้สิ คิวปิดยอมให้จุ๊บก็ได้”
ฮึก จะน่ารักเกินไปแล้วนะ แบบนี้ผมก็แย่น่ะสิ ผมยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“ขอบใจนะ ถ้าคิวปิดไม่ยอมให้จุ๊บคงต้องเสียใจแน่ๆเลย”
ดวงตาเล็กๆจ้องมองมาที่ผมตาแป๋วก่อนที่เจ้าตัวจะยื่นมือมาเช็ดน้ำตาให้
“พี่ก้านก็เหงาเหมือนคิวปิดใช่ไหมล่ะ”
คิวปิดขยับมานั่งข้างๆผมแล้วฟลุบหน้าลงไปกับโต๊ะแต่หันมาทางผม
“อืม เหงาสิ”
ผมเองก็ฟลุบหน้าลงไปบ้าง จ้องมองสายตาของเด็กน้อยที่มองมา ไม่ต่างกันเท่าไหร่เลยนะแววตาแบบนี้
“คิวปิดไม่มีคุณแม่แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะคิวปิดมีคุณพ่อ…….แต่คุณพ่อไม่รักคิวปิดเลย”
หัวใจของผมปวดร้าวอีกครั้งที่ได้ยินประโยคนี้จากเด็กน้อย คิวปิดไม่ใช่เด็กที่ไม่รูู้อะไรเลย ถึงจะแค่5ขวบแต่ก็ฉลาดกว่าเด็กทั่วไป มีการรับรู้ว่าพ่อแม่แยกทางกันและรู้ว่าคนเป็นพ่อไม่ได้ดูแลเขาดีเท่าที่ควรจะเป็น
“คุณพ่อต้องรักคิวปิดอยู่แล้ว เพราะว่าคุณพ่อบอกให้พี่ก้านดูแลคิวปิดดีๆ คุณพ่องานยุ่งมากเลยมาดูแลคิวปิดไม่ได้เพราะฉนั้นเลยฝากคิวปิดไว้กับพี่”
โกหกน่ะ ผมยังไม่ได้คุยกับคุณลูฟด้วยซ้ำ แต่คิดว่าคุณพ่อจอมดุคงจะคิดแบบนี้ล่ะนะ
“จริงหรอ”
ใบหน้าเศร้าหมองของเด็กน้อยหายไปแล้ว โล่งใจเลยแหะ
“จริงสิครับ เพราะงั้นพี่ก้านเลยไปรับคิวปิดที่โรงเรียนแล้วก็จะสอนการบ้านคิวปิดด้วย”
แต่พอผมพูดออกไปแบบนี้ ใบหน้าของเด็กน้อยก็ยู่ยี่ขึ้น
“ที่อยู่กับคิวปิดเพราะคุณพ่อสินะ”
แย่แล้วไอ้ก้าน เผลอพูดออกไปไม่คิดอีกแล้ว
“คนที่แล้วก็ทำหน้างอตอนที่ไปรับคิวปิดที่โรงเรียน เอาแต่เล่นโทรศัพท์ไม่สนใจคิวปิดเลย พอคุณพ่อมาก็เข้ามาอยู่กับคิวปิดแต่พอคุณพ่อเข้าห้องก็ไม่สนใจ”
เพราะงั้นเลยไล่ออกสินะ
“ไม่ใช่ซะหน่อย คุณพ่อคิวปิดน่ากลัวจะตาย ดุด้วย พี่ก้านไม่อยากเข้าใกล้เลย”
ผมพูดแล้วทำท่าขนลุกขนชันจนคิวปิดหลุดหัวเราะออกมาคิกคัก
“ใช่ๆ คุณพ่อน่ากลัว แต่คิวปิดอยากเป็นเหมือนคุณพ่อ”
ไม่ว่าจะยังไง เด็กก็มีพ่อเป็นไอดอลอยู่ดีสินะ ในสายตาของลูกน่ะพ่อเท่ที่สุดแล้ว
“ทำอะไรกัน”
เสียงดุๆที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินตอนนี้ทำเอาผมกับคิวปิดสะดุ้งโหยง รีบคว้าสมุดการบ้านมาเปิด
“ทำการบ้านครับ”
ผมเป็นคนตอบ ส่วนคิวปิดก็ก้มลงเขียนการบ้านยิกๆ……..พิรุธออกทั้งคู่จริงๆ
“ก้าน เสร็จแล้วมาหาฉันที่ห้องด้วย”
ผมเงยหน้าไปมองคุณลูฟ ก็เห็นเขาใส่ชุดเสื้อยืดกับกางเกงผ้าเตรียมนอน ทรงผมที่เคยเสยขึ้นตอนนี้มันถูกปล่อยลงมาปรกหน้า คุณพระ หล่อมากพ่อ
“ไม่ได้ยินที่พูดหรอ”
“ด….ได้ยินครับ เดี๋ยวเสร็จจากสอนการบ้านคิวปิดแล้วผมจะไปพบครับ”
ดุจริ๊ง ไม่รู้จะดุทำไมนักหนา
“คิกคิก พี่ก้านหน้าซีดเลย”
เมื่อคนพ่อเดินลับตาไป คนลูกก็หัวเราะคิกคักขึ้นมาทันที
“น่ากลัว”
๐๐๐๐๐๐
ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตครับ”
“เข้ามา”
ผมเปิดประตูห้องของคุณลูฟเข้าไปเมื่อได้รับคำอนุญาต กว่าจะเจอนะห้องคุณลูฟเนี่ย เดินหาไปสิทั้งชั้น
“ช้า”
เมื่อเข้ามาก็ได้รับคำชื่นชมมา1คำถ้วน
“ขอโทษทีครับ แต่คิวปิดไม่ยอมปล่อยมาเลย”
ใครจะกล้าบอกว่าเดินวนอยู่ทั้งบ้านเพราะไม่รู้จักห้องของคุณพ่อเขา สายตาดุเหลือบขึ้นมองผมผ่านแว่นที่เจ้าตัวใส่อ่านหนังสือเหมือนจะถามอะไรบางอย่างแต่ไม่ได้ถามด้วยคำพูด
“ตอนนี้น้องหลับไปแล้วครับ”
ผมพูดขึ้นมาเมื่อโดนสายตากดดันมากเกินไป นี่คุณพ่อแกซึนเดเระรึไงทำไมไม่ถามออกมาเล่า
“สนิทกันเร็วจังนะ”
อิจฉาล่ะสิ ผมคิดขำๆ
“แล้วคุณล่ะ สนิทกับลูกแค่ไหน”
ตุบ
หนังสือในมือหนาถูกวางกระแทกลงกับเตียง มือเรียวยกถอดแว่นตาออกก่อนขาวยาวจะก้าวลงจากเตียงแล้วเดินเข้ามาหาผม
คงไม่ได้โกรธที่ผมพูดหรอกนะ ท่าทางเกรี้ยวกราดน่ากลัวเชียว
“ก็ดี ต่อไปนี้เธอมีหน้าที่ดูแลลูกชายของฉัน ถ้าตอนเช้าว่างก็มาปลุกแล้วพาไปส่งที่โรงเรียน ไปรับที่โรงเรียน ไปงานกิจกรรมที่โรงเรียนจัด สอนการบ้าน ทานข้าวเป็นเพื่อน อาบน้ำและพาเข้านอนด้วย อันนี้ฉันไม่ได้บังคับว่าเธอต้องทำทุกอย่าง ไปจัดเวลามาแล้วมาแจ้งฉันทีหลัง ฉันเข้าใจว่าเธอยังเรียนอยู่”
คนตัวใหญ่มาหยุดอยู่ตรงหน้าผมแล้วแจงหน้าที่ที่ผมต้องทำให้เสียยาวเหยียด ไม่พอนะสายตาดุๆจ้องมองมาที่ผมอย่างกดดันให้ตกลงด้วย โห หน้าที่เยอะขนาดนี้ไม่ให้ผมเป็นแม่คิวปิดไปเลยล่ะ แล้วถ้าอย่างงั้น.......
“หน้าที่ของคุณล่ะครับ”
ผมสะดุ้งตกใจเมื่อเผลอหลุดสิ่งที่คิดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ มึงพูดอะไรออกไปเนี้ยไอ้ก้าน! มือใหญ่ที่ใหญ่เกือบเท่าหน้าผม(หรือเท่าเลยนี่แหละ ไม่เคยเทียบ)ยกขึ้นมาบีบที่ลำคอของผมแม้จะไม่แรงมากแต่ก็ทำให้ผมตื่นกลัวได้
“เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนฉัน หุบปากแล้วทำหน้าที่ของตัวเองซะ”
เขากัดฟันพูดอย่างโมโห ถ้าเรื่องคิวปิดเป็นจุดอ่อนของเขาทำไมไม่ดูแลให้ดีกว่านี้เล่า งี่เง่าชะมัด
“รู้แล้วครับ ปล่อยได้แล้ว”
ชักจะหายใจไม่ออกแล้วนะ นี่มันไม่ใช่คุณพ่อจอมดุแล้ว คุณพ่อปีศาจชัดๆแง
“ถ้าเธอดูแลลูกฉันไม่ดีหรือลูกฉันเป็นอะไรไป........ฉันจะทำให้เธออยู่อย่างหวาดกลัวไปตลอดชีวิต”
ผมหอบหายใจเข้าเมื่อลำคอเป็นอิสระ มาทำร้ายร่างกายกันแบบนี้ เดี๋ยวก็แจ้งตำรวจจับซะดีไหม แต่ก็ดีหน่อยว่าที่ผมคิดไว้มันถูกต้อง คุณพ่อคนนี้หวงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนยิ่งกว่าอะไร แต่ทำไมถึงไม่แสดงออกอย่างที่รู้สึกก็ไม่รู้ เดือดร้อนไอ้คนปากไวแบบผมอีก T-T
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมก็เคยเป็นเด็กนะ ต้องรู้อยู่แล้วว่าน้องต้องการอะไร”
คุณลูฟไม่ได้พูดอะไรต่อทั้งๆที่ผมจงใจย้อนคำพูดของเขาตอนเจอกันครั้งแรก ผมเลยรีบชิ่งออกมาก่อนที่องค์พ่อจะลงอีกดีกว่า
ผมก็โกรธตัวเองนะที่ไปหลุดปากต่อว่าเขาแบบนั้น ทั้งๆที่เรื่องตัวเองยังเอาไม่รอดแท้ๆ ก็มันเผลอนี่นา พอเป็นเรื่องครอบครัวทีไรมันก็อ่อนไหวจนต้องเผลอพูดอะไรแปลกๆออกมาทุกที เฮ้อ ถ้ามีความกล้ากับคนที่มหา’ลัยสักหน่อยจะโดนบีบคอไหมนะ……...เท่าที่คิดคือไม่น่ารอด
ผมทำงานให้คุณลูฟมา3อาทิตย์แล้ว ดูแลคิวปิดอย่างดีตามที่คุณพ่อปีศาจฝากฝังไว้ ตอนนี้คิวปิดติดผมยิ่งกว่าอะไร แต่ละวันกว่าจะกลับบ้านได้ก็ต้องส่งเด็กน้อยเข้านอนก่อน เพราะงั้นผมเลยกลับบ้านดึกทุกวันเลย
วันนี้ผมมีเรียนช่วงเช้าเลยไม่ได้ไปปลุกคิวปิดให้ไปเรียน หน้าที่ส่วนนี้จะเป็นของคุณชัชไปก่อน พี่ผ้าใบมาช่วยเหลือมากไม่ได้เพราะส่วนตัวพี่เขาเองก็มีงานต้องทำ แถมดูแลลูกสองคนก็หนักมากพออยู่แล้ว
“ช่วงนี้เลิกเรียนแล้วหายตลอดเลยนะ ยังไม่เลิกทำงานนั้นอีกหรอ”
มายด์เข้ามากอดคอผมแล้วถาม ผมพยักหน้า
“อือ”
ผมไม่ได้บอกใครว่าทำงานอะไรเพราะไม่จำเป็นที่จะต้องบอกอยู่แล้ว แม้มายด์จะมากระแซะเรื่องงานพิเศษผมทุกวันประมาณว่าวันนี้ทำงานไหม ไปทำงานกี่โมง แต่ผมก็ไม่เคยอยู่ให้เขาถามต่อว่าผมทำงานอะไร
“งานอะไรทำไมเริ่มเร็วจัง บางวันสองโมงแกก็รีบออกแล้ว”
นึกว่าจะไม่โดนถามแล้วซะอีก พอคิดจบก็ถามเลยแหะ
“เลี้ยงเด็กน่ะ ต้องรีบไปรับตอนน้องเลิกเรียน”
ภาวนาให้มายด์เข้าใจแต่โดยดีไม่ตีความไปเป็นอย่างอื่นเถอะ แค่นี้ผมก็อึดอัดกับการใช้ชีวิตจะแย่
“อ่าว พี่คิม”
สันหลังผมเสียววาบเมื่อได้ยินมายด์เรียกชื่อของคนที่ผมไม่อยากเจอ มีพี่คิมก็ต้องมีพี่ฟานด้วยอยู่แล้ว ก็เพื่อนซี้กันนี่
“ว่าไง กำลังจะไปเรียนหรอ”
ไม่แปลกที่พี่คิมจะรู้จักมายด์ เพราะก่อนหน้าที่ผมจะเลิกกับพี่ฟานเราสนิทกันมาก ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดจนหลายๆคนแซวว่าเป็นการเดทคู่ พอมาเรียบเรียงเรื่องราวดีๆแล้ว มายด์อาจจะเข้าหาพี่คิมเพราะอยากได้พี่ฟานก็ได้ เหมือนตอนที่ได้กับพี่ฟานเพราะผมนั่นแหละ ขยะแขยง
นี่ก็อาจจะเป็นความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดด้วยแหงๆ
“กำลังไปเรียนครับ ง่วงมากเลยอะ เรียนซะเช้าเลย”
ผมไม่ได้สนใจพวกที่มาใหม่เท่าไหร่ จริงๆก็ไม่ได้สนใจใครเลยต่างหากล่ะ
“ต้องไปแอบนอนในห้องแน่เลย ไม่ต้องเลยนะเดี๋ยวเรียนไม่รู้เรื่อง”
“รู้ทันอีกแล้วอะ”
“แล้วไม่มีเพื่อนคนอื่นแล้วหรอถึงได้มาเดินกับคนนี้อะ”
อุตส่าเดินเงียบๆแล้วเชียว ไม่วายจะโดนเหน็บแนมอีก คนพวกนี้เห็นคนที่ไม่สู้เป็นเหยื่อจริงๆสินะ
“พี่คิมอย่าพูดแบบนี้สิครับ”
เป็นคำพูดที่เหมือนจะปกป้องแต่ก็กระแนะกระแหนไปในตัว อยากจะหายไปจากตรงนี้จัง อึดอัดจะแย่
“น้องๆ น้องอะ ก้านใบใช่ปะ”
ผมหยุดเท้าที่กำลังเดินทันทีเมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาขวางหน้า อะไรอีกล่ะทีนี้
“ครับ”
ผมตอบไปสั้นๆเพราะไม่รู้ว่าเจตนาของพี่เขาคืออะไร แต่ถึงไม่รู้ก็เดาได้ไม่ยากหรอก คนที่เข้ามาหาผมในช่วงนี้ก็มีแค่เรื่องเดียวแหละ
ผมเจอเหตุการณ์แบบนี้เมื่ออาทิตย์ก่อน ผู้หญิง3คนรุมตบผมซะยับโดยที่ไม่มีใครยื่นมือมาช่วยทั้งๆที่เรื่องแบบนี้มันผิด มีแต่คนยื่นมือมาถ่ายคลิป คิดว่าตอนนี้คลิปนั้นคงจะเผยแพร่อยู่ในเว็ปในสักเว็ป
“โอเค”
แล้วพี่เขาก็เดินออกไปเลย อะไรล่ะเนี่ย นี่เป็นการชี้ตัวงั้นหรอ ตลกร้ายจนขำแห้งเลยแหะ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“ไปไหนมา”
เหตุการณ์ซ้ำๆที่เกิดขึ้นในช่วงนี้คือเมื่อผมกลับบ้านช้าจะมีแม่ที่คอยถามเสมอว่าผมไปไหนมา ช่วงแรกๆก็ไม่มีการถามไถ่อะไรหรอก แต่พักหลังๆมานี้มานั่งรอถามทุกวันจนผมเกือบจะอบอุ่นใจอยู่แล้วว่าแม่ให้ความสนใจกับผมบ้าง
“ก็ทำงานครับ”
ผมตอบเหมือนทุกครั้งที่ถูกถาม แม่หันมามองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ
“งานอะไร”
ทำไมแม่ต้องดูโมโหขนาดนั้นด้วยล่ะ ก็แค่ทำงานเอง
“เป็นพี่เลี้ยงเด็กครับ”
“ฉันไม่เชื่อ บอกความจริงฉันมา!”
แม่เริ่มตวาดใส่ผมเสียงดังจนผมเผลอผงะถอยหลังออกมาอย่างตกใจ
“ผมทำงานเลี้ยงเด็กจริงๆครับ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมทำงานพิเศษ ทุกครั้งแม่ก็รับรู้ว่าผมทำงานแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วทำไมครั้งนี้อยู่ๆก็ไม่เชื่อขึ้นมา
“เขาลือกันทั้งมหา’ลัย ว่าแกขายตัวให้เสี่ย มีรถหรูมารับถึงหน้ามหา’ลัยแทบจะทุกวัน”
ผมอ้าปากค้าง ตกใจกับคำพูดของพี่แก้วมาก
“เดี๋ยวครับ ผมก็แค่ไปรับลูกของเจ้านายที่โรงเรียน”
คิดไว้อยู่แล้วตั้งแต่ก้าวขึ้นรถไปว่าต้องมีข่าวลือแปลกๆออกไปแน่ แต่ไม่คิดว่ามันจะแปลกขนาดนี้ อย่างน้อยเรื่องก็ควรจะเป็นผมไปมีเรื่องกับผู้มีอิทธิพลจึงโดนเรียกตัวไปอะไรแบบนี้หรือเปล่า
“คนอย่างแกไม่เคยพูดความจริงอยู่แล้ว ทำตัวเหลวไหลไม่เคยทำให้ฉันภูมิใจ นอกจากภาระแล้วแกก็เป็นอะไรให้ฉันไม่ได้เลย”
หน้าผมชาอีกครั้งเมื่อได้ยินคำนี้จากปากของคนที่ผมเรียกว่าแม่ ก็พอจะรู้อยู่ว่าผมน่ะเป็นภาระ แต่พอมาได้ยินกับหูตัวเองแล้วก็อดเสียใจไม่ได้อยู่ดี
“ปกติก็ฉาวไปทั่วมหา’ลัยอยู่แล้ว นี่แกยังจะเพิ่มความฉาวขึ้นอีกหรอ”
พี่แก้วพูดเสริมแล้วยิ้มเยาะ ผมเคยสงสัยว่าปกติมนุษย์จะมีความอดทนมากมายขนาดไหน
และผมล่ะมีความอดทนมากมายขนาดไหน
“ผมแค่……”
Rrrrr Rrrrrผมกำลังจะพูดอะไรบางอย่างที่อยู่ในใจ มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้นมาซะก่อน ผมรู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้ผมต้องเคลียร์กับเรื่องตรงหน้าให้จบก่อนแต่ผมกลับรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องมีเรื่องกับพี่แก้ว…...กลัวจริงๆนั่นแหละ กลัวที่จะเจ็บปวดไปมากกว่านี้
“ลูกค้าโทรตามหรือไง”
ผมกำหมัดแน่น หยิบโทรศัพท์ออกมากดรับแล้วเดินขึ้นมาบนห้องตัวเองไม่สนใจเสียงที่ก่นด่ามาตามหลัง
[คุณก้าน...]
“ว่าไงครับ มีอะไรหรือเปล่า”
เกิดเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าทำไมคุณชัชโทรมาตอนนี้ทั้งๆที่เพิ่งแยกกัน
[คือผมรู้ว่ามันเป็นการรบกวนเวลาของคุณ แต่เมื่อสักครู่แม่บ้านโทรมาบอกว่าคุณหนูแกตื่นแล้วไม่ยอมนอนเลยครับ ร้องจะนอนกับคุณก้านอย่างเดียว]
ตื่นงั้นหรอ ปกติคิวปิดจะไม่ตื่นจนกว่าจะเช้านี่นา เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าหรือว่าจะฝันร้าย
“น้องฝันร้ายหรือเปล่า ลองให้แม่บ้านร้องเพลงหรือเล่านิทานให้ฟังได้ไหมครับ”
[คุณหนูอาละวาดใหญ่แล้วครับ ที่สำคัญคุณท่านกำลังกลับบ้าน ถ้าเจอคุณหนูโวยวายอยู่แบบนี้คุณท่านต้องลงโทษคุณหนูแน่ครับ]
ลงโทษงั้นหรอ อาจจะงดทานของหวานหรือขนมอะไรแบบนี้ล่ะมั้ง
[ล่าสุดคุณหนูโดนลงโทษให้เรียนภาษาฝรั่งเศสเสริม1อาทิตย์ งอแงจนหน้าสงสารเลยครับ]
“ว่าไงนะ! เรียนภาษาฝรั่งเศสหรอ คุณลูซิเฟอร์สติดีอยู่หรือเปล่าเนี่ยที่ให้เด็ก5ขวบเรียนหนักขนาดนี้”
[คุณก้านรีบลงมาเถอะครับ ผมรออยู่หน้าบ้านแล้ว]
ท่าทางจะยังกลับไม่ถึงบ้านแต่แม่บ้านโทรมาก่อนเลยวกรถกลับมาสินะ
“รอแป๊บนึงนะครับ ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วจะรีบลงไป”
ผมพูดแล้วโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงทั้งๆที่ยังไม่วางสายก่อนจะรีบไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาใส่ลวกๆ
“นั่นแกจะไปไหนอีก”
อยู่ๆพี่แก้วก็เปิดประตูห้องผมเข้ามา ผมไม่ตอบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเดินผ่านพี่แก้วไป
“ฉันถามให้แกตอบ”
มือเล็กๆนั่นคว้าเข้าที่ข้อมือของผม
“พี่แก้ว ผมต้องรีบไปทำงาน”
ผมพูดแล้วพยายามดึงข้อมือตัวเองออก
“งานอะไรของแก2ทุ่มห๊ะ แล้วเพิ่งกลับมาจากทำงานเมื่อกี้ นี่จะไปทำงานอีกแล้ว ถ้าจะตอแหลก็ให้มันเนียนๆหน่อยเถอะ”
ด้วยความรีบบวกกับอารมณ์ที่โมโหก่อนหน้านี้อยู่แล้วเป็นทุนเดิม ทำให้ผมสะบัดข้อมือของตัวเองออก
“ว้าย”
พี่แก้วร้องออกมาอย่างตกใจเพราะเซล้มไปกับพื้น
“ผมไม่ได้มีสันดานตอแหลแบบพี่!”เป็นครั้งแรกที่ผมพูดคำหยาบคายกับครอบครัว ไม่สิ….ครั้งแรกที่ผมกล้าที่จะโต้ตอบกับใครสักคนมากกว่า
“กรี๊ดดดดด ไอ้ก้านมึง มึงกล้าดียังไงมาด่ากูห๊ะ”
ผมไม่สนใจเสียงกรีดร้องของพี่แก้ว รีบวิ่งลงมาจากบ้าน สวนกับแม่ที่รีบขึ้นไปดูลูกสาวและไม่นานเสียงก่นด่าก็ตามมาจากทั้งแม่และพี่แก้ว
“คุณก้าน”
คุณชัชวิ่งเข้ามาหาผมโดยที่ยังถือโทรศัพท์อยู่ในมือและยังไม่ได้วางสายจากผม คงจะได้ยินหมดแล้วล่ะมั้ง
“รีบไปเถอะครับ ผมไม่อยากให้คิวปิดโดนทำโทษ”
ยอมรับว่าตอนนี้ห่วงคิวปิดมากกว่าห่วงตัวเองอีก
ในเมื่อความทรงจำในวัยเด็กของผมมันไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่นักและไหนๆก็ได้มาเป็นพี่เลียงเด็กทั้งทีก็ขอทำหน้าที่นี้ให้มันเต็มที่ไปเลยแล้วกัน
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐