บทที่33
[เทียนหมอก]
“หมอก ไอ้หมอกเดี๋ยว!”
ผมที่ตะโกนเรียกมันไว้ ตั้งท่าจะวิ่งตามมันไป แต่อีกฝ่ายก็โบกแท็กซี่แล้วกระโดดขึ้นรถไปแบบนั้น ได้แต่กำมือเข้าหากันแน่นๆ กูไม่เคยทันมันเลย ไม่ว่าเมื่อไหร่ กูก็ไม่เคยทัน
“สะใจมึงรึยังวะ”
ผมที่หันไปพูดกับอีกคน มันที่ยังนั่งสะอื้นอยู่ที่พื้น คนที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตามันดีไม่ต่างจากไอ้หมอกหรอก มันที่ตัวเล็กๆน่ารัก แต่ผมไม่เคยคิดจะรักมัน ไม่ว่าจะวันนั้นหรือวันนี้ มันยังเหมือนเดิม แทบจะไม่แตกต่าง ถ้าหมายถึงภายนอกน่ะนะ แต่ถ้าถามถึงนิสัย มันคงเปลี่ยนไปไกลมากเลย
“ทำไมต้องจองล้างจองผลาญกูนักวะ”
“ฮึก ก็ฟิวรักพี่ ทำไมไม่เข้าใจบ้างวะ”
“แล้วทำไมมึงไม่เข้าใจบ้างวะ ว่ากูไม่เคยรักมึงเลยไอ้ฟิว!”
ตาใสของมันที่มีน้ำตาเอ่อขึ้นมาอีกครั้งก่อนมันจะไหลลงอาบหน้า ผมคิดว่าลึกๆมันก็คงเสียใจที่ต้องตัดเพื่อนกับไอ้หมอก แต่สิ่งที่มันทำให้ผมกับหมอกผิดใจกันถึงตอนนี้ ผมไม่คิดจะสงสาร
เงียบกันไปพักใหญ่ มันที่ไม่ทำอะไรนอกจากนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น และกูก็ไม่มีอะไรจะพูดกับมันอีกแล้ว เลยเลือกจะเดินหนี กลับแม่ง อยู่ไปก็ไม่ได้ประโยชน์
“เห้ย ไอ้เทียน...ไอ้เทียนใช่ไหมวะ มึงอย่าพึ่งไป”
เสียงเรียกที่ทำให้ผมต้องหยุดเดินแล้วหันกลับไปมอง ผู้ชายร่างสูงที่สูงพอๆกับผม รูปร่างพอๆกับผม เมื่อก่อนมันคล้ายกับผมมากๆ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปเยอะเลย มันที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ๊ดลายกราฟฟิคเท่ๆกับกางเกงยีนส์ แปลกตาไปมาก อาจเพราะไม่ได้เจอมันมา3ปี
“ไอ้วาฬ?”
“สัด! คิดถึงเหี้ยยยยยย เอ๊ะ...เห้ย แล้วนี่มันตัวอะไร....”
ไอ้วาฬ เพื่อนสนิทสมัยม.ปลายของผม มันยังคงเส้นคงวาในเรื่องหน้าตาหล่อและร่าเริงมากไป มันที่พอรู้ว่าเป็นผมก็รีบวิ่งยิ้มร่าเข้ามาหา อ้าแขนสองมือเตรียมโผกอดแบบไม่อายหนังหน้าหล่อๆของตัวเอง แต่ก่อนที่มันจะถึงตัวผมก็ต้องชะงักขา เพราะมันดันเห็นใครบางคนที่ยังนั่งสะอื้นอยู่ที่พื้นถนนเข้าซะก่อน
“ไอ้ฟิว?...เห้ย นี่ยังไง มึงกับไอ้เด็กนี่มันยังไง ยังไม่จบอีกหรอวะ...”
ไอ้วาฬที่มองหน้าผมสลับไปมากับคนบนพื้น ไอ้ฟิวที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นไอ้วาฬก็ชะงักไปไม่ต่างกัน
“ปากหมา ไม่ใช่ไม่จบ กูไม่เคยเริ่ม”
“เอ้า ไม่อ่อนโยนกับคนหล่อแบบกูเลย นี่เพื่อนสนิทมึงนะ แล้วนี่อะไรยังไงกันวะ กูงงนะเนี่ย แต่คิดถึงมึงชิพหาย ส่วนน้อง กูไม่คิดถึงมึงเลยว่ะ แล้วว่าแต่มึงจะนั่งอยู่ตรงนี้อีกนานไหมวะ”
มันที่หันมาพูดกับผมยิ้มๆ ก่อนจะหันไปมองไอ้ฟิวที่ยังนั่งที่พื้นแบบดุๆ
“มึงกลับมาจากออสเมื่อไหร่วะ”
“กูพึ่งกลับมาอาทิตย์ก่อนเว่ย ตั้งแต่จบม.6กูพึ่งได้กลับไทยมึงคิดดูดิ คิดถึงเมืองไทยสัดๆ คิดถึงขาวๆกูเบื่อแบบตาน้ำข้าวสัดๆ...ว่าทำไมมึงทำหน้าเครียดจังวะ มีเรื่องไรรึเปล่า”
“มี กูมีเยอะเลย” ผมที่พูดออกไปแบบนั้น ปรายตามองไอ้ฟิวหน่อยๆ ไอ้วาฬที่มองตาม มันยกยิ้มก่อนจะเดินมากอดคอผม
“เข้าไปคุยกันหน่อยไหมวะ เหมือนมึงมีเรื่องให้กูช่วย”
“กูรีบ แต่ว่าขอเบอร์กับไลน์มึงหน่อย แค่ย้ายตามพ่อไปเป็นท่านทูตที่ออสทำไมมึงต้องเปลี่ยนเบอร์ด้วยไอ้สัด”
“ก็กูโง่ไงวะ เลยไม่รู้ว่าใช้เบอร์เดิมยังไง กูเลยถอดซิมไปใช้เบอร์ของที่นู่นหมด เอามือถือมึงมา” มันที่ว่าแบบนั้นแล้วหยิบมือถือผมไปจิ้มๆกดๆไม่นานก็ส่งคืน
“กูมีเรื่องต้องให้มึงมาสะสางเยอะเลย”
“อย่าบอกว่าเรื่องตอนนั้นยังไม่จบ”
“มึงคิดว่าไงล่ะ”
“แสบนักนะไอ้ฟิว” มันที่หันไปว่าไอ้ฟิวที่ตอนนี้ยกมือเช็ดน้ำตาและลุกขึ้นมายืนแล้ว ไอ้ฟิวไม่ได้มองไอ้วาฬตอบ มันแค่หันมามองหน้าผมแบบตัดพ้อ มันไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แค่เดินหนีไปดื้อๆ
“กูไปก่อน แล้วกูจะติดต่อไปหา”
“เออได้ ว่าแต่มึงรีบไปไหน”
“ไปหาหมอก”
“น้องหมอก...ไหนว่าเรื่องยังไม่จบ ก็แสดงว่าหมอกยังไม่รู้”
“เออ ไม่จบไม่รู้และไม่ฟังกูด้วย พูดแล้วก็โมโห จริงๆก็ความผิดมึงด้วยไอ้สัดวาฬ...แต่อีกอย่าง กูก็ผิดเหมือนกัน”
“อะจ๊ะๆ ขอโทษไอ้สัด กูกลับมาไทยคราวนี้อยู่นานนะ กูจะเคลียร์ให้เรียบร้อย”
“ดี! กูไปก่อน แล้วอย่าบังอาจไม่รับโทรศัพท์กู”
“ครับเพื่อนครับ...”
“เออ ไปล่ะ”
“นี่ไอ้เทียน”
“ว่า?...”
“กูขอโทษจริงๆนะเว่ย”
“ช่างเหอะ ไหนๆมันก็ผ่านมา3ปีละ อีกอย่าง ตอนนี้มึงก็กลับมาแล้วไง ก็มาแก้ให้กูได้แล้วไอ้สัด กูไม่อยากเสียหมอกไปอีก”
“เคคร๊าบบบบ...แหม พูดจาน่าอัดเสียงไปให้น้องหมอกฟัง”
“ไม่ต้องอัดหรอก เดี๋ยวกูไปบอกมันเอง”
โบกมือลาไอ้วาฬที่ยังยืนมองผมอยู่ที่หน้าผับ มันที่ยกยิ้มให้ผม เห็นมันหันหลังกลับ แต่ดันไม่เดินกลับเข้าไปในผับ แต่เรื่องของมัน ผมที่ขับรถตรงกลับมาที่คอนโดของไอ้หมอก ผมรู้จักนิสัยมันดี มันที่ดูแข็งๆ แต่เวลาเสียใจมันจะเลือกนอนนิ่งๆซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม ผมมั่นใจว่ามันต้องอยู่ที่คอนโด
.
.
.
‘ตึงๆๆ’
‘แอ๊ด’
0.0
- -
“ไอ้สัดเทียน!”
“เดี๋ยวหมอก!”
ผมที่รีบยกมือกันประตูที่กำลังจะปิดลงด้วยฝีมือของเจ้าของห้อง ไอ้หมอกที่เปิดประตูออกมาแล้วเห็นเป็นหน้าผม มันเบิกตาค้างแล้วตั้งท่าจะปิดประตูให้กระแทกหน้ากันไปข้าง ดีนะกูไหวตัวทัน ดันประตูมันได้ก่อน และแรงมันกับแรงผม ก็ไม่ต้องเดาเลยว่าใครจะชนะ
“เข้ามาในห้องกูทำไม! ออกไปไอ้สัด!!” มันที่มองผมด้วยสายตาเกรี้ยวกราด แถมชี้หน้าด่ากูไปอีก
“กูอยากคุยด้วย คุยกันดีๆไม่ได้หรอวะหมอก”
“ทำไมกูต้องคุยกับคนเหี้ยๆแบบมึงวะ...เห็นกูเป็นตัวตลกหรอ ซ้ำซากมากไอ้เหี้ย!”
“กูไม่เคยเห็นมึงเป็นตัวตลกเลยนะเว่ย”
“อ๋อหรอไอ้สัด หรอ...ไม่เคยเลยสินะ อย่ามาพูดให้กูขำได้ไหมวะ” มันที่แค่นยิ้มออกมา รอยยิ้มที่บิดเบี้ยวของมัน คงไม่เท่ากับใจของมันที่กำลังรู้สึกแย่ ผมที่เดินเข้าไปหา แต่มันกลับเบี่ยงตัวหลบ
“อย่ามาแตะต้องตัวกู กูขยะแขยง แค่เห็นหน้ามึงพร้อมๆกับไอ้ฟิววันนี้กูก็จะอ้วกอยู่แล้ว!”
“กูไม่ได้นัดมันมานะ”
“ช่างพ่อช่างแม่เรื่องของมึงกูไม่สนใจ! ตอนนี้มึงกลับไปเลยไอ้เชี่ย!”
ไอ้หมอกที่เดินไปถึงประตู พร้อมๆกับผมแต่คงช้ากว่ามันเยอะ มันที่เปิดประตูออกแล้วชี้ให้ผมออกไปจากห้องของมัน แต่ก่อนที่จะมีใครได้พูดอะไรต่อ ทั้งผมและมันก็ต้องเบิกตากว้างๆให้กับใครอีกคน
“ไอ้...ฝา” ไอ้หมอกที่เบิกตากว้างๆ ก่อนจะเรียกชื่อของเพื่อนมันเบาๆ สายตาหลุกหลิกของมันที่คงกำลังคิดว่าจะแก้ตัวยังไงกับการมาปรากฏตัวของผมที่กำลังอยู่ในห้องของมัน
“เอ่อ...กู”
“คือมันไม่มี....”
“คือพี่มีเรื่องจะเคลียร์กับหมอกน่ะฝา” ผมที่หันไปบอกน้องมัน แล้วรีบจับมือของไอ้หมอกไว้แน่น มันที่หันมามองแรงใส่
“ปล่อยกูไอ้สัด!กลับไป!”
“ไม่! กูต้องคุยกับมึงก่อน”
“กูบอกให้กลับไป! ไอ้ฝามึงเข้ามา”
“คือเอ่อ....”
“ฝา พี่ขอโทษทีนะ พี่มีเรื่องต้องเคลียร์กับหมอก”
ผมรีบพูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะตรงเข้าไปรวบตัวไอ้หมอกให้มาอยู่ในอ้อมกอดจากด้านหลังของมัน มันที่ดิ้นไปมาแล้วพยายามดึงหัวผม น้องฝาที่ตอนนี้ได้แต่ทำหน้าเหรอหรา คงกำลังคิดว่าควรทำยังไงกับเหตุการณ์นี้ดี
“อ่อ...เอ่อ...ครับ”
“ขอบใจนะ” ผมไม่อยากรอให้เข้าใจผิดไปมากกว่านี้อีกแล้ว เลยต้องเสียมารยาทกับฝาไป ก็หวังว่าน้องจะเข้าใจ...
‘ปัง’
“ไอ้สัดเทียน!! ปล่อยกูไอ้เหี้ยนี่!!!” ตัดสินใจแบกมันพาดบ่า อีกฝ่ายที่ฤทธิ์เยอะมันยังเอากำปั้นทุบหลังผมอักๆไม่หยุด กูจะตายก็ตอนนี้แหล่ะ
‘ผลึบ’
“ไอ้สัดเทียน มึงมันเหี้ย!!”
ไอ้หมอกที่ด่าผมออกมาแบบไม่หายใจ พร้อมมันที่เขวี้ยงหมอนมาใส่หน้าผมเต็มๆแบบปัดไม่ทัน พอวางมันลงเตียงยังไม่ทันจะได้ยืนดีๆ หมอนหลายใบก็เขวี้ยงมาแบบไม่ยั้ง
“มึงฟังกูอธิบายบ้างไม่ได้หรอ”
“มันไม่ช้าไปหรอวะที่มึงจะอธิบาย มันช้าไปหรือเปล่าไอ้สัด!!”
ไอ้หมอกที่ตะคอกออกมาแบบสุดจะทน ผมที่ยืนค้างอยู่แบบนั้น ไม่ใช่เพราะคำด่าของมัน แต่เพราะน้ำตาของมันต่างหาก มันที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ มือของมันทำกำแน่นอยู่ที่ผ้าปูเตียง ก้มหน้าลงจนผมยาวประบ่าของมันปิดหน้าปิดตาไปหมด แต่ไหล่บางๆของมันกลับสั่นแบบที่มันเองก็คงห้ามไม่อยู่ เสียงสะอื้นของมันที่คงพยายามจะกลั้นแต่ก็ทำไม่ได้ ดังมาจนผมได้ยิน
“หมอก” ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าของมัน อีกคนก็ยิ่งสะอื้น
“มึง อึก...ฮึก มึงกลับมาทำไมวะเทียน กลับมายุ่งกับกูอีกทำไมวะ อยากได้อะไรจากกู ฮึก”
“หมอก กูขอโทษ” ผมที่ว่าแบบนั้นแล้วรวบตัวมันเข้ามากอดไว้ มันที่ยิ่งสะอื้นแล้วพยายามผลักผมออกไป แต่แบบนั้นก็ยิ่งกอดมันให้แน่นขึ้นไปอีก
“เก็บคำขอโทษมึงไป ฮึก...แล้วปล่อยกูไป อึก กูทำไม่ได้ กูลืมไม่ได้เทียน ฮึก...แค่กูหลับตากูก็นึกถึงตอนนั้น ฮึก ฮื่อ แค่กูนึกถึงกูก็จะอ้วก กูเกลียดมึง กูเกลียดทั้งเกลียดทั้งขยะแขยง ฮึก เกลียดทั้งมึงเกลียดทั้งไอ้ฟิว ฮึก ทำไม ทำไมพวกมึงถึงกล้าทำแบบนั้นกับกู ฮึก ฮื่อ”
“หมอก กูไม่ได้ทำ เชื่อกูเถอะ กูไม่ได้ทำจริงๆ”
.
.
.
“โอ้วมายก็อตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตตต” ผมสะดุ้งนิดๆที่ไอ้เซียร์ตะโกนออกมาแบบนั้นตอนที่ไอ้หมอกเล่าจบ หันไปมองมันที่ก็ยังทำท่าเอามือปิดปากแถมทำตาโตไปอีก
“เรื่องมึงพีคมากอิหมอก โอ้ยหมอกลูกแม่ มานี่มาให้แม่กอดปลอบ” ไอ้เซียร์ที่ว่าแบบนั้นแล้วโผลไปดึงไอ้หมอกมากอดไว้ โชคดีล่ะมึง กูรอดแล้ว
“ทำไมวะ ทำไมเพื่อนกูถึงมีแต่คนช้ำรัก ไอ้สัดเอ๊ย ทั้งไอ้ฝา มึง ไอ้ธาร โอ้วมายก็อตตตต”
“หือ...ไอ้ธารด้วยหรอ?” ผมที่หันไปถาม อย่าว่าพี่ฝาเสือกนะ พี่แค่อยากใส่ใจ
“เสือกอิน้องฝา ไม่ต้องยุ่ง! ว่าแต่มึงสะอื้นใส่อกพี่เทียนแล้วยังไงต่อ หลังจากพี่มันพูดแบบนั้นแล้วยังไงต่อ” เสือกกว่ากูก็มึงอ่ะเซียร์
“ไม่รู้ดิ”
“ทำไมมึงไม่รู้อิหมอก มึงต้องรู้สิ”
“ก็กูไม่รู้ กูเผลอหลับไปเลย เวลากูร้องไห้หนักๆกูชอบหลับ”
“โอ๊ยยยย อิเชี่ย เบื่อมาก เบื่อมากมาย แล้วพอมึงตื่นขึ้นมาล่ะ”
“มันก็หายไปจากห้องกูแล้ว”
“เอ้า...อิดอกผัวมึงเป็นผีถูกมะ อะไร....แล้วหลังจากวันนั้นมาจนถึงตอนนี้มึงเจอพี่มันยัง”
“ยัง”
“มึงหลบหน้าพี่มันหรอวะ” ผมถามออกไปแบบนั้น ไอ้หมอกที่เสหน้าไปทางอื่น เป็นอันเข้าใจ ผมที่หันไปพยักหน้ากับไอ้เซียร์ รู้เลยว่ามันต้องหนี เป็นคนที่ชอบหนีมากกว่าจะสู้แบบเผชิญหน้า จริงๆก็คงเป็นการป้องกันตัวเองอย่างนึงของมันล่ะมั้ง ไม่เจอก็ไม่เจ็บ ... แต่เรื่องบางเรื่อง ไม่เจอกันก็ใช่ว่าจะไม่เจ็บ ...
เหมือนผมไง ที่ถึงแม้จะไม่เจอไอ้พี่รบ แต่ผมเองก็ยังเจ็บ
.
.
.
ไม่รู้ว่ากี่วันผ่านไปแล้ว ผมยังทำตัวไร้แก่นสารอยู่แบบนี้ ไปเรียนบ้างไม่ไปเรียนบ้าง กินเหล้า และกลับมานอนตายที่บ้าน บ้านที่ผมไม่เคยอยากมาอยู่ แต่เพราะว่าผมไม่มีที่ไปอีกแล้ว เลยต้องมา .... ปกติผมชอบอยู่คอนโด แต่ตอนนี้กลับไปอยู่ไม่ได้ ทุกที่มีแต่ไอ้ฝาเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหน นั่งตรงไหน ทั้งภาพและกลิ่นของมันก็ลอยฟุ้งเต็มไปหมด ผมอยู่ไม่ได้ เลยต้องมาอยู่ที่นี่ ... บ้าน ที่ไม่เคยเป็นบ้านสำหรับผมเลย
“รบลูก ทำอะไรอยู่”
“สวัสดีครับแม่ใหญ่” ผู้หญิงในชุดผ้าไหมประดับลวดลายขริบทองเล็กๆยิ่งทำให้ดูสง่า ผมหันไปยิ้มและยกมือไหว้ให้เธอหน่อยๆ เธอเดินมานั่งลงข้างๆผม ผมที่ตอนนี้นั่งอยู่ข้างสระว่ายน้ำของบ้าน
“กินสาคูไส้หมูหน่อยไหมลูก แม่พึ่งทำเสร็จ” แม่ใหญ่ว่าแบบนั้นพร้อมวางจานลงข้างๆผม เธอยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่ผมเห็นมาตั้งแต่5ขวบ รอยยิ้มแบบนี้มีมาให้ผมเสมอ
“ทำไมมองแม่แบบนั้นล่ะลูก”
“แม่ใหญ่ไม่เกลียดผมบ้างหรอครับ”
ผมที่พูดออกไปแบบนั้น จากรอยยิ้มที่ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นตกใจ ก่อนที่จะมาหยุดที่รอยขมวดตรงหัวคิ้ว แม่ใหญ่ที่ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองที่สระว่ายน้ำ ไม่ต่างจากผมที่มองมันอยู่ก่อนแล้ว
“ทำไมแม่ใหญ่ต้องดีกับผมมากๆแบบนี้ล่ะครับ ผมเป็นลูกเมียน้อยนะ ผมเป็นลูกของผู้หญิงคนอื่นที่เข้ามาเบียดตัวเองอยู่ในบ้านในครอบครัวของแม่ใหญ่นะ”
“นักรบ...”
“ผมขอโทษนะครับแม่ใหญ่”
“พอได้แล้วลูก” เธอที่ว่าแบบนั้นก่อนจะดึงผมไปกอดแน่นๆ ผมที่น้ำตาไหลลงมาแบบที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องร้องไห้ ไม่รู้ว่าทำไมต้องพูดขอโทษ รู้แค่ว่ามีความรู้สึกแย่ๆอยู่เต็มไปหมด
“รบอย่าพูดแบบนี้ แม่ใหญ่ไม่เคยเกลียดรบเลยนะ รบก็คือลูกของแม่นะ”
“แต่มันไม่ใช่ ... ไม่ใช่เลยนะครับ ขนาดป๊า...เค้ายังไม่อยากมีผมเลย” แม่ใหญ่ที่ผละตัวออกมามองหน้าผม เธอที่ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ แล้วส่ายหน้า
“ป๊าเค้ารักรบนะลูก”
“ไม่จริง...ผมคือคนที่เค้าไม่อยากให้เกิด”
“นักรบ การกระทำในอดีตเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เรื่องบางเรื่องรบอาจจะไม่รู้ รบอาจจะไม่เข้าใจ แต่เชื่อแม่ใหญ่เถอะนะ ป๊าเค้ารักรบ รักมากๆ แม่ไม่อยากให้รบคิดว่ารบไม่มีใคร รบมีป๊า รบมีครอบครัว ที่นี่ทุกคนคือครัวครัวของรบนะลูก” ผมที่ก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้าจะสบตากับคนตรงหน้าด้วยซ้ำ เธอที่แค่ลูบหัวผมเบาๆอย่างปลอบโยน เวลาเดินไปช้าๆ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
“คุณ ออกไปก่อน” เสียงที่พูดขึ้นมา ผมจำได้ดีว่าเป็นเสียงของใคร ไม่ต้องมองก็รู้ แม่ใหญ่ที่ลุกออกไปจากตรงนั้น ได้ยินเสียงของคนมาใหม่ที่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนที่กลิ่นเชอร์รี่ที่ผมเคยได้กลิ่นมาตั้งแต่เด็กๆจะลอยมาเตะจมูก
“ร้องไห้?...ฉันสอนแกมาเท่าไหร่ว่าลูกผู้ชายไม่ควรร้องไห้ง่ายๆ มันอ่อนแอ”
เหอะ... ผมที่เบือนหน้าหนี แล้วจะลุกออกจากที่นี่ แต่ก็ต้องนั่งอยู่ต่อ เมื่อคนเป็นพ่อเลือกที่จะพูดต่อ
“เกลียดฉันมากหรอ?”
“หรือว่าแกรักฉันมาก?” ผมที่ขมวดคิ้วหันไปมองคนเป็นพ่อ ...ป๊าที่ตอนนี้นั่งไขว่ห้างยกไปป์ขึ้นสูบพร้อมกระดิกเท้าไปมา ท่าทางที่เฮียทับได้มาจากป๊าเต็มๆ
“ทำไมไม่ตอบ เขินอาย?”
“ป๊าอย่ามากวนได้ไหม ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัว”
“เดี๋ยวก่อน ฉันยังพูดไม่จบ”
“งั้นป๊าก็พูดมา” หันไปมองป๊าที่ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะพ่นควันกลิ่นเชอรี่ออกมา ผมได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับภาพตรงหน้า
“ฉันรักแก”
“ห๊ะ!” ผมที่หันไปเบิกตากว้างๆใส่ แต่ป๊าก็ทำแค่กระดิกเท้าดิ๊กๆและยักคิ้วจึกๆมาให้
“อะไรของป๊าวะ”
“ไม่อะไร ฉันก็แค่เขินหน่อยๆ”
“เห้ยป๊า เป็นไร....”
“ฉันคงเลี้ยงแกมาแย่มากเลยล่ะสิ” ชายสูงวัยที่หันมาจ้องลูกชายตัวเองนิ่งๆ มองเข้าไปในดวงตาของลูกชายที่ได้มาจากตัวเค้าเอง หน้าตาเหมือนเค้ามากที่สุดก็คือนักรบ
“ฉันรู้ตัวว่าฉันคงเป็นพ่อที่แย่ในสายตาแกมาก ทั้งเข้มงวด กดดัน ลำเอียง ไม่เคยรับฟังแกเลยล่ะสิ .... ถ้าฉันบอกว่าฉันรักแกตอนนี้แกจะเชื่อรึเปล่า....” นักรบที่มองมาที่คนเป็นพ่อด้วยสายตาสั่นๆ มือแกร่งที่กำเข้าหาตัวเองแน่นๆจนเจ็บไปหมด
“ที่ฉันเข้มงวดกับแกมากกว่าไอ้ทัพไอ้รุกหรือจอม ไม่ใช่ว่าฉันไม่รักแกนะ ถ้าพูดแบบนี้แกจะเชื่อไหม ... แต่ฉันแค่ไม่อยากให้ใครต้องมาดูถูกแก ไม่อยากให้ใครต้องมาว่าแกว่าเป็นลูกเมียน้อย เป็นลูกเมียน้อยแล้วยังไม่ได้เรื่อง ฉันไม่อยากให้แกต้องเจอแบบนั้น ฉันพยายามปลูกฝังแกให้แก่เก่ง ให้แกอยู่เหนือทุกคน เพราะถ้าแกเป็นคนที่เก่งที่สุด เข้มแข็งที่สุด ไม่ว่าคำพูดอะไรของใครมันก็จะทำอะไรแกไม่ได้”
“ใครบอกป๊าวะ ว่าผมเก่งที่สุด ผมเข้มแข็งที่สุด ใครมันบอกป๊าแบบนั้นวะ!”
“ไม่มี ฉันคิดเอง...”
“งั้นป๊าก็รู้ไว้ว่าป๊าน่ะคิดผิด ผมไม่เก่งไม่เข้มแข็งแบบที่ป๊าต้องการหรอก ผมมันก็เป็นแค่ผม เป็นแค่นักรบ เป็นแค่ไอ้นักรบ!”
“อืม...แกคิดแบบนั้นหรอ”
“เออ ผมคิดแบบนี้! ผมเป็นแค่คนๆนึงเว่ยป๊า เป็นแค่ลูกคนนึง...”
“นั่นสิ...แกเป็นลูกคนนึงของฉันไง แล้วทำไมฉันถึงจะไม่รักแกล่ะ”
“ก็ผมเป...”
“ถึงแกจะไม่ได้เกิดมาจากเมียแต่ง แต่ฉันก็รักแกไม่ต่างจากที่รักไอ้ทัพไอ้รุกหรือจอมหรอก” ป๊าที่พูดแบบนั้น แล้วหันหน้าไปมองที่สระว่ายน้ำ สายตาของป๊าที่ไม่ได้แสดงท่าทีให้เข้าใจว่ากำลังคิดอะไร
“เรื่องของฉันกับแม่แก ก็คือเรื่องของฉันกับแม่ของแก มันอาจไม่มีใครเข้าใจ มันอาจไม่ถูกมองว่าถูกหรือดี ไม่ว่าใครจะตัดสินยังไง ก็ไม่มีใครรู้ดีเท่าฉันกับแม่แกหรอกนักรบ อย่าโทษว่าแม่แกทิ้งแกไปเลย คนเรามันก็มีทางเลือกเดินไม่เหมือนกัน และไม่ว่าจะยังไง ก็อยากให้แกรู้ไว้ ว่าถึงแม้ฉันจะเลี้ยงแกมาไม่ดีนัก เป็นพ่อของแกที่ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ไม่มีวันไหนที่ฉันจะไม่หวังดีกับแก ไม่มีวันไหนที่ฉันไม่รักแกนะนักรบ”
“ป๊า...”
ผมที่ถูกป๊าดึงเข้าไปกอด ... รู้สึกเหมือนตัวเองหดเล็กลงไปเหลือความสูงแค่ไม่กี่เซน กลายเป็นเด็กตัวเล็กๆที่อยู่ในชุดนักเรียนอนุบาล .... ผมที่เคยคิดว่าตัวเองโตมากพอ สุดท้ายตอนนี้ ผมก็เป็นแค่เด็กชายนักรบ ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็ต้องการแค่อ้อมกอดของพ่อ ต้องการแค่นี้เสมอ
“ป๊ารักแก ไม่น้อยไปกว่าที่รักใคร จำไว้นะ”
“ป๊า...ฮึก”
“พูดแบบนี้แล้วแกเชื่อไหม แกให้อภัยพ่อคนนี้ได้รึเปล่าที่ทำให้แกรู้สึกแย่มานานเหลือเกิน” ป๊าที่ถามออกมาแบบนั้น ผมเองก็ทำได้เพียงแค่พยักหน้า ก่อนที่จะผละออกมาจากอ้อมกอดของพ่อ ป๊าที่มองหน้าผมนิ่งๆ
“บางทีแกก็เหมือนฉันเกินไปนะ”
“........”
“ฉันบอกว่ารักแก ทำไมแกถึงเชื่อ”
“ก็...ก็ผมรักป๊า” บอกออกไปแบบนั้นก็อดที่จะยกมือขึ้นเกาหัวไม่ได้ มาทำแบบนี้ในอายุเท่านี้ มันใช่หรอวะ ป๊าที่มองมาก่อนจะยกยิ้มขำแล้วถามออกมาจนทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว
“หึ นั่นสิ...แล้วทำไมแกถึงไม่กล้ากลับไปหาเด็กนั่น”
“เด็กนั่น?....”
“เด็กคนนั้น เด็กคนที่แกมาขอฉันว่าอย่ายุ่งได้ไหม ขอได้ไหมแค่อยากเดียว เด็กคนนั้น....”
“จะกลับไปยังไง เค้าคงเลิกรักผมไปแล้วล่ะ....”
“ทำตัวให้สมกับที่ฉันสอนมาหน่อยสิ ชื่อของแกน่ะมันนักรบนะ แกออกรบสักครั้งหรือยังล่ะ?”
“...........”
“ที่ฉันถามว่าทำไมแกถึงเชื่อว่าฉันรักแก แล้วแกตอบมาว่าเพราะแกก็รักฉันเหมือนกันใช่ไหม...” ผมพยักหน้าในจังหวะที่ป๊ายกยิ้มมุมปาก
“แล้วคนที่รักกันทั้งคู่ ทำไมจะต้องเลิกรักกันล่ะ ลองพยายามดูรึยังไอ้ลูกชาย”
“ป๊า...ป๊ารับได้หรอที่ผมจะมีเมียเป็นผู้ชาย”
“ไอ้รุกก็มีเมียเป็นผู้ชาย”
“แต่...”
“ทำไมฉันต้องมาพรากสิ่งที่แกรักที่สุดไปล่ะ แกรักอะไร แกรักใคร ฉันก็รักทั้งนั้นแหล่ะ...และอีกอย่าง ฉันเช็คประวัติเด็กนั่นแล้ว ฉันให้ผ่าน” ป๊าพูดแบบนั้น เป็นครั้งแรกในรอบกี่ปีไม่รู้ ที่ผมยิ้มให้ป๊า เป็นยิ้มกว้างๆที่รู้สึกมีความสุขที่สุด
“แล้ว เรื่องของหลิน...”
“โอ๊ยยยย เฮีย อย่าเรื่องเยอะเดะ ปล่อยให้มันจบๆไปเถอะเรื่องของยัยหลอนอะไรนั่นน่ะ เนอะๆป๊าเนอะ”
“เค้าชื่อหลินเจ้าตัวแสบ”
“เหมือนๆกันแหล่ะน่าป๊า คิกๆ”
ผมที่หันไปตามเสียงของน้องจอมที่พุ่งเข้ามาพร้อมกอดป๊าไว้แน่นๆ ก่อนจะหันไปมองตรงประตูด้านหลังตรงทางเชื่อมมาสระว่ายน้ำ เห็นแม่ใหญ่เฮียทัพและไอ้รุกยืนอยู่ตรงนั้น ทุกคนที่กำลังยิ้มมาให้ผม ฝ่ามือหยาบของป๊าที่วางลงมาที่หัวของผม
“ถ้ารักเค้า ก็ไปตามเค้ากลับมาซะ”
“....ครับ...ครับป๊า”
หรือว่า....กูจะถึงเวลาที่ต้องออกรบวะ
...
ผมที่พึ่งแยกออกมาจากไอ้เซียร์และไอ้หมอกเมื่อกี้ สองคนนั้นบอกว่าจะไปกินข้าวที่ห้าง จริงๆมันสองคนชวนแล้ว แต่พี่ฝาค่อนข้างที่จะกรอบมากในช่วงนี้ พี่ว่าพี่ต้องพัก และที่สำคัญ อารมณ์ตอนนี้ พี่ฝาคิดว่าพี่ฝาไม่คูลพอที่จะไปเดินชิลๆใช้เงินเล่นที่ห้าง พี่เลยนั่งBTSมาลงที่พระโขนง แล้วเดินมึนๆมาที่หอ เหมือนนานมากแล้วที่ไม่ได้กลับมาที่ห้องตัวเอง รู้สึกหวิวๆแปลกๆ ไม่ชินเอาซะเลย เฮ้อ .... พี่ฝาว่าแบบนี้ก็ไม่ค่อยจะคูลเท่าไหร่
เดินเข้าไปในตึก แต่กลับต้องหยุดชะงัก เมื่อรถตรงหน้ามันสะดุดตามากเหลือเกิน อาจจะไม่ใช่แค่รถที่สะดุดตา จริงๆอาจลามไปถึงคนที่เป็นเจ้าของรถด้วยล่ะมั้ง ความรู้สึกเหมือนวนลูป เหมือนครั้งนึงผมเคยเห็นแบบนี้ ขายาวๆที่ก้าวลงมาจากรถ ร่างสูงที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีเหลืองมัสตาร์ดกับกางเกงยีนส์ขาเดฟสีดำ ขายาวๆที่ค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ๆผม ดวงตาคมที่จ้องตรงมาที่ผม สายตาที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ผมก็ไหวหวั่น คนตรงหน้าที่หยุดยืนนิ่งๆตรงหน้าของผมก่อนจะยกยิ้มมุมปาก ความรู้สึกเย็นๆจนเสียวสันหลังวาบแบบที่ไม่รู้สึกมานานแล้ว
“ไง ไอ้น้องจืด”
“...อะ...ห๊ะ!”
“พี่กลับมาแล้ว”
“มาทำเหี้ยไร เราเลิกกันแล้ว”
“เลิกแล้วไง จีบใหม่ก็ได้ป๊ะ”
“ห๊ะ...”
“หึ จีบนะรู้ยัง”
“จีบไรของมึง ไม่รู้เว่ย”
“เอ้า มึงไม่รู้หรอ...ไม่เป็นไร ขอนอนด้วยหน่อยดิ วันนี้ง่วง”
“ห๊ะ!...เชี่ยไรของมึงไอ้พี่!!”
ได้แต่อ้าปากมองคนตรงหน้าที่อยู่ๆก็อ้าปากหาวทำตาปรือๆ ก่อนจะกลับหลังหันแล้วเดินเข้าไปในตึก นำกูไปอีก เดี๋ยว! มึงจะไปไหนนนนนน
.........................................................
มาแล้วจ้าาาาา มาปูเรื่องเทียนหมอกเดี๋ยวจะได้รู้ความจริงกันนะเออ ส่วนพี่รบ พี่ก็เคลียร์กับที่บ้านไป ในจุดๆนี้ คิดว่า ไม่มีที่ไหนที่จะอบอุ่นเท่าบ้านเรา ถึงแม้ว่าแต่ละครอบครัวจะมีวิธีการเลี้ยงดูที่ไม่เหมือนกัน พ่อแม่แต่ละคนก็มีนิสัยไม่เหมือนกัน แคทคิดว่า แม้แต่พ่อแม่ลูกก็ต้องปรับตัวลดและผ่อนปรนให้กัน ไม่ต่างจากความสัมพันธ์ของแฟนเลยค่ะ ... ให้อภัยคุณป๊าเถอะค่ะ ถึงป๊าจะปากแย่(แบบเฮียรบ) กวนประสาทนิ่งๆและเด็ดขาด(แบบเฮียทัพ) โหดและชอบกดดันชาวบ้าน(แบบเฮียรุก) แต่จริงๆป๊าแกก็น่ารักนิดนึง(แบบน้องจอม) นะคะ แกก็รักลูก แต่เป็นผู้ชายแข็งๆมีมาดปากหนัก เลยเป็นแบบนั้น
ส่วนตอนนี้และตอนหน้าๆ เตรียมตัวพบกับการกลับมาของ พี่กล้วยสายอ่อยนะเออออ
นักรบ ถึงเวลาต้องรบนะเออ งุงิๆ
มาอ่านกันเถอะ... แอบรอเธอเม้นท์นะจ๊ะ แต่เธอไม่อ่านบ้างเลย แง่วๆ