-20-
ระหว่างนั้นเองคุณอิฐก็เดินมายืนข้างๆ โต๊ะผมพร้อมกับคุณบีท
“อ้าว...ท่านประธาน บังเอิญจังนะครับ” พี่ยุทธหันไปทัก หน้าเจื่อนเล็กน้อย คงเพราะห่วงผมล่ะมั้ง ส่วนผมไม่มีสีหน้าตกใจเท่าไร เพียงแต่ค่อยๆ เลื่อนมือออกจากการเกาะกุมช้าๆ เงยหน้าขึ้นมอง
“นั่นสิ บังเอิญมากเลย” เขารับคำด้วยเสียงที่เหมือนประชดหันมาส่งสายตาบึ้งตึงใส่ผม “ไหนๆ ก็มาเจอกันแล้วขอร่วมโต๊ะด้วยเลยแล้วกันนะครับ”
“อิฐ...” คุณบีทคล้ายจะไม่พอใจเล็กน้อย แต่คุณอิฐหันไปส่งสายตาอ้อน
“น่า...บีท...”
“ตามสบายเลยครับ” ผมตอบรับเป็นฝ่ายลุกขึ้นจากที่นั่งเดิมไปนั่งข้างๆ พี่ยุทธเพื่อเสียสละให้ทั้งสองที่มาใหม่นั่งข้างกัน
คุณบีทเข้าไปนั่งด้านใน คุณอิฐและผมจึงนั่งด้านนอก พวกเรานั่งคุยกันเหมือนใส่หน้ากาก ราวกับไม่มีใครล่วงรู้เบื้องลึกเบื้องหลังซึ่งกันและกันจนดูน่าขำ ส่วนคนข้างๆ ก็เข้าใจว่าตัวเองรู้... ทั้งๆ ที่เขาแทบไม่รู้อะไรเลย ช่างเป็นมื้ออาหารที่กระอักกระอ่วนใจดีแท้...
ในระหว่างที่คนทั้งหมดรับประทานอาหารร่วมกัน ผมแอบคิด แอบคาดหวังว่าคุณอิฐจะแสดงท่าทีหึงหวงผมบ้างสักนิด แต่ดูเหมือนว่าผมจะสำคัญตัวเองผิดไป เพราะถึงจะมีหันมาถามอะไรบ้างก็แค่ตามมารยาท ซึ่งเหมือนจะน้อยมากเมื่อเทียบกับที่เขาแคร์คุณบีท ตักนั่นตักนี่ใส่จานอยู่เรื่อยๆ ผมแอบลอบมองพวกเขาสองคนด้วยความอิจฉาอยู่ลึกๆ ความเหม่อลอยทำให้ปัดแก้วน้ำเปล่าใกล้มือจนล้มใส่ตักตัวเองซะได้...
“แม็ก...” พี่ยุทธเรียกผมอย่างตกใจ รีบหยิบผ้าเช็ดขาอ่อนผมอย่างหวังดี ผมเองก็ตกใจที่ทำเรื่องน่าอายแบบนั้นต่อหน้า”พวกเขา” เหมือนกัน
“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมเช็ดเองได้ ขอบคุณครับ” ผมร้องห้ามยื้อแย่งผ้าจากมือเขา
“ไปห้องน้ำเถอะ” คำพูดนี้ไม่ใช่คนที่นั่งข้างผมแต่เป็นคุณอิฐที่ลุกขึ้นจากที่นั่งตรงกันข้ามแล้วจับแขนผมพาลาก ออกจากโต๊ะทันทีจนผมเดินตามแทบไม่ทัน
“ร้านอาหารมีเป็นร้อยเป็นพันทำไมไม่ไป” เขากดเสียงต่ำใส่ผมทันทีที่ถึงห้องน้ำ ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า... บางทีแผนผมอาจจะสำเร็จ...
“ก็ร้านอาหารหรูๆ ผมไม่รู้จักที่อื่นนี่ครับ ก็ไม่คิดว่าคุณจะมาที่นี่วันนี้พอดี” ผมโกหกหน้าด้านๆ
“พอมีเงินเข้าหน่อยก็เริ่มใช้เงินเลี้ยงผู้ชายซะแล้ว ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ” ผมกำมือแน่นจนเจ็บแต่ไม่วายตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ของแบบนี้มันก็ต้องหัดไว้ จะได้ชิน”
“จะทำอะไรหัดเจียมเนื้อเจียมซะบ้างเถอะว่าท้องอยู่...”
“คนท้องมีความรักไม่ได้หรือยังไง คนท้องไม่มีอารมณ์ความรู้สึกหรือยังไงล่ะ” ผมเค้นเสียงถาม
“ความรักเหรอ? แน่ใจ? ถ้าฉันไม่มาเจอนี่คงลูบคงล้วงกันไปถึงไหนๆ ละ”
“แล้วไง? ผมกับคุณก็ไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย ในสัญญาก็ไม่ได้ระบุว่าห้ามคบกับใคร อายุผมก็ตั้งขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่เด็กๆ อีกอย่างผมก็เป็นผู้ชายด้วยอ่ะ ทำอะไรก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรเลย”
“เอาไว้คลอดก่อน... เธอจะไปทำระยำตำบอนที่ไหน กับใคร ฉันก็ไม่สนหรอกนะ แต่ขอร้องล่ะ ระหว่างที่ลูกของฉันยังอยู่ในท้องของเธอน่ะ อย่ามาทำให้เขาแปดเปื้อนไปด้วยเลย” บางทีผมก็หลงนึกว่าเขาจะรู้สึกหึงผมบ้าง แต่ก็คงไม่หรอก เขาคงแค่... ห่วงลูกเขา
“แปดเปื้อนยังไง ถ้าคุณห้ามไม่ให้ผมมีใครเพราะว่าผมท้องอยู่ มันไม่แฟร์เลย... เพื่อความยุติธรรม คุณก็เลิกกับแฟนไปจนกว่าผมจะคลอดไหมล่ะครับ”
บางที... ถ้าเขาเห็นใจผมบ้าง มันอาจจะลดความอิจฉาริษยา ความเจ็บปวดในใจของผมลง...
“ตัวเองทำผิดแล้วมายุให้คนอื่นเขาทำตาม... แบบนี้มันเรียกว่าหมาหางด้วนนะรู้ไหม” เขาตอกกลับโดยไม่ต้องใช้เวลาคิดนานเลย
“ผมไม่ทำอะไรผิด... ผมแค่ถามหาความยุติธรรม”
“ฉันจะบอกอะไรให้นะ... โลกนี้มันไม่มีความยุติธรรมอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว ถึงหาไปทั้งชาติก็คงไม่เจอหรอก แต่ถ้าถามใหม่ว่าเวลาเธอมีอารมณ์ขึ้นมาแล้วควรทำไง ฉันตอบได้ง่ายๆ ใช้มือแทนไปก่อนแล้วกัน ยังไงก็ทนมาได้ตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว จะทนต่อไปอีกสักครึ่งปีคงไม่ตายมั้ง” คำเสียดสีนั้นทำให้ผมเผลอขมวดคิ้วแปลกใจ...
เอ๊ะ! ทำไมลุงแกรู้ว่าผมซิงล่ะเนี่ย
ไม่ๆ อาจจะเป็นคำถามเชิงจิตวิทยา... ห้ามยอมรับเด็ดขาด
“อะไรคุณ... คุณไม่คิดว่าในชีวิตผมจะมีแฟนมาแล้วสักคนรึไง” ผมเอ่ยเถียง รู้สึกหน้าตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมายังไงก็ไม่รู้
“ไม่อ่ะ... ฉันเชื่อซูกัส” ฮะ! นี่แอบไปนินทาตอนไหนเนี่ย
“หึ!” ผมเหลือบตามองรอยยิ้มเยาะของคุณอิฐแล้วอยากเอาหน้ามุดพื้นห้องน้ำ แล้วจมหายไปเลย
ไม่จบแค่นั้นนะ...
“อ้อ! ฉันเห็นด้วยนะว่าความอยาก... มันไม่เข้าใครออกใคร และถึงเธอจะไม่มีศักดิ์ศรีให้รักษา แต่ในฐานะที่เธอเป็นรับเนี่ย ก็ควรเลือกแฟนที่รวยกว่า พึ่งพาได้ หรืออย่างน้อยๆ ไม่ต้องใช้เงินซื้อมาก็ดีนะ ไม่งั้นถ้าเงินหมดขึ้นมา ผู้ชายจะพลอยหายไปด้วยนะ” คนแก่เอ่ยเตือนด้วยความหวังดีก่อนจะเดินหนีออกไปจากห้องน้ำ ฟังแล้วสะเทือนตับไตไส้พุงซะเหลือเกิน...
เชื่อแล้ว... ว่าเหมือนแม่จริงๆ นี่ปากหรือโถสุขภัณฑ์เนี่ย อีลุงบ้า!!
“ผมจะกลับแล้วนะครับ...” ผมกลับมาที่โต๊ะด้วยใบหน้าหงิกงอ หลังจากพยายามปรับอารมณ์ตัวเองคนเดียวในห้องน้ำ
“แม็กไม่ได้เอารถมาใช่ไหม พี่จะไปส่งนะ” พี่ยุทธอาสาอย่างใจดี
“ขอบคุณครับพี่” ผมยิ้มตอบเขาแล้วปรายตามองคุณอิฐนิดหนึ่งเพื่อมองว่าเขาจะทำยังไง แต่เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองแล้วบอกว่า
“กลับบ้านดีๆ นะ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าอาหาร มื้อนี้ฉันเลี้ยง” แล้วก็ทำเมินไม่สนใจ
“เอ่อ... ขอบคุณครับท่านประธาน งั้นผมขอตัวกลับเลยนะครับ” พี่ยุทธบอกแล้วลุกขึ้น เดินมาจับมือผมจูงไป ผมยังคงทอดสายตามองกลับไปที่โต๊ะอย่างผิดหวังที่เห็นเขาก้มลงที่จานอาหาร ผมคิดว่าเขาจะมีปฏิกิริยามากกว่านี้เสียอีก จนกระทั่งเราเดินออกหน้าร้าน
“พี่ยุทธกลับบ้านเลยเถอะครับ ไม่ต้องไปส่งผมหรอก เดี๋ยวผมโบกแท็กซี่กลับเองจะง่ายกว่า”
“กลัวพี่พาเราไปปล้ำหรือไง?”
“โธ่พี่...” ผมลากเสียงแล้วหัวเราะเบาๆ ค่อยหลุดจากห้วงอารมณ์หน่วงมาหน่อย “ผมเกรงใจเพราะรถมันติดต่างหากล่ะ ไม่อย่างให้ขับวนไปวนมา”
“หึๆ งั้นเดี๋ยวจะเรียกแท็กซี่ให้ละกัน...” ผมพยักหน้า เราเดินกันไปถึงหน้าร้าน
“แม็กกำลังเศร้าที่เห็นคุณอิฐเขาไม่แคร์ใช่ไหมล่ะ?” ผมทำหน้าไม่ถูกเลยที่อีกฝ่ายราวกับนั่งในใจ “พี่ว่าที่จริงเค้าก็หึงอยู่หรอกนะ”
“ตรงไหนพี่ ผมไม่เห็นเขาจะสนใจอะไรเลย ไม่งั้นเขาคงไม่ปล่อยให้ผมกลับกับพี่แบบนี้หรอกจริงไหม?”
“แม็กอย่าลืมสิว่าเขาไม่ได้มาคนเดียวนะ เขามากับแฟนด้วย จะให้หึงเราออกนอกหน้ามันก็ไม่ดีใช่ไหมล่ะ คุณอิฐเขาเป็นนักธุรกิจนะ ถึงเขาโกรธ เขาก็ไม่วีนตรงๆ หรอก”
“จริงเหรอครับ” ผมถามกลับ แล้วยิ้มได้ทันที
“นี่แม็ก...ชอบเขาจริงๆ เหรอ?”
“เอ่อ...” ผมอึกอักกับการตอบคำถามนั่น
“แค่ชอบก็ไม่เท่าไร แต่อยากแย่งเขามาด้วย ไม่กลัวตกนรกหรือไงครับ” คำเตือนแบบนี้พอออกจากปากพี่ยุทธนี่บางทีผมก็รู้แปลกๆ นะ ปกติเห็นชอบสอนทำนองว่าน้ำขึ้นให้รีบตักแท้ๆ เลย ไม่คิดว่าจะเชื่อเรื่องบุญบาปกับเขาด้วย...
“ถ้าหากว่าการแย่งของคนอื่นมามันเป็นบาป ผมก็ยอมทำบาป เพราะในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ ผมได้มีความสุขแค่สักช่วงหนึ่ง ต่อให้ตายไปแล้วจะตกนรกผมก็ยอม”
“นี่ พี่จะบอกอะไรให้นะแม็ก คนที่พูดว่านรกไม่น่ากลัว ไม่ใช่เพราะไม่กลัว... เพราะเขายังไม่รู้จักนรกที่แท้จริงต่างหากล่ะ”
หึ! ทำไมผมจะไม่รู้จักล่ะ
ทุกวันนี้หัวใจของผมมันก็ร้อนรุ่มราวกับตกนรกอยู่แล้วนี่!
โอ้โห... นี่ผมนึกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกเชียวนะ เมื่อคุณอิฐโทรมาปลุกผมจากห้วงนิทราตอนหกโมงเช้า
“คุณโทรมาทำไมแต่เช้า...” ผมถามเขางงๆ ด้วยเสียงหงุดหงิดเมื่อถูกปลุก
“จะชวนไปกินข้าว เธอรู้ไหม การไม่กินข้าวเช้าทำให้สมองฝ่อนะ” ที่จริงแล้วผมไม่รู้นะ.. แต่ถึงไม่บอกผมก็กินอยู่ดี!
“ถึงคุณไม่บอกผมก็กินข้าวเช้าอยู่แล้ว แต่ถ้าผมรอกินข้าวเช้าพร้อมคุณทุกวันล่ะก็ ผมคงสมองฝ่อไปนานแล้ว!” ผมเอ่ยกระแทกแดกดัน เพราะตอนผมอยู่บ้านเขา จะมีกี่ครั้งกันที่ได้ทานข้าวเช้า ข้าวเย็นพร้อมกัน
“นั่นเธอยังไม่ตื่นอีกเหรอเนี่ย”
“แน่ล่ะสิ เพราะอาหารเช้าที่นี่น่ะเจ็ดโมง”
“รีบตื่นได้แล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบๆ ลงมา ฉันมีธุระจะคุยกับเธอ”
“หือ... ตอนนี้คุณอยู่ไหนเนี่ย”
“หน้าบ้าน”
“ฮะ!” ผมร้อง แล้วเด้งขึ้นจากเตียงถือโทรศัพท์เดินหัวฟูออกไปตรงระเบียงบ้านเพื่อดูว่าเขามาจริงๆ หรือแกล้งอำ แล้วก็เห็นเขาจอดรถที่หน้าบ้านส่วนคนยืนเก๊กพิงรถอยู่ตรงนั้น...
“รีบลงมานะ ให้เวลา 10นาที”
“ถ้าเกินแล้วคุณจะทำไม?”
“จะบีบแตรเรียกจนกว่าเธอจะมา...”
“อยากโดนซูกัสด่าแต่เช้าก็เชิญเถอะ”
“หึ ฉันน่ะโดนด่าจนชินแล้ว แต่ถ้าเธอไม่กลัวจะรบกวนคนอื่นๆ ในบ้านก็ชักช้าอ้อยอิ่งตามสบาย นี่ครึ่งนาทีแล้วนะ” จะกวนประสาทอะไรกันแต่เช้าเนี่ย บ้ารึไง!
“ครับๆ จะรีบลงไปเดี๋ยวนี้แหละ!” ผมรับคำด้วยน้ำเสียงรำคาญแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำ
สิบห้านาทีต่อมาผมก็เปิดประตูเล็กออกมาหาเขาที่กลับไปนั่งรอในรถแล้ว เขาไม่ได้บีบแตรอย่างที่ขู่ไว้เพียงแต่โทรตามผมอยู่สองสามสายเท่านั้นแหละ
“คุณจะพาผมไปกินข้าวที่ไหน นี่มันยังเช้าอยู่เลยนะ”
“เอ่อ...นั่นสิ” ผมย่นคิ้ว ไม่เข้าใจเขาเอาเสียเลย แต่ส่วนลึกๆ ในใจผมก็รู้สึกดีนะที่เขามาหาผมแต่เช้าแบบนี้
“ไปทานข้าวเช้าในบ้านซูกัสไหมครับ”
“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวซูกัสก็หาเรื่องบ่นอีก อีกอย่าง ฉันก็อยากคุยกับเธอตามลำพังด้วย” ผมถอนใจเบาๆ แล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูรถฝั่งตรงข้าม ทันทีที่ปิดประตูรถลง เขาก็หันมาบอกว่า
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่ามันไม่มีอะไรตั้งแต่แรก หรือโดนด่าแล้วสำนึกได้ แต่ฉันก็ดีใจนะที่อย่างน้อยเธอก็ยังพูดรู้เรื่อง”
“คุณหมายถึงอะไรเนี่ย?”
“ช่างมันเถอะ” ผมเห็นรอยยิ้มของเขาแวบหนึ่งก่อนที่เขาจะหันตัวตรงและสตาร์ตรถ
เนื่องจากยังเช้าอยู่มากจนไม่มีร้านรวงเปิด ผมก็เลยชวนลุงเข้ามานั่งในร้านโจ๊กแถวๆ นี้ เพราะถึงแม้ว่าจะอยู่แถวบ้านซูกัส แต่ถือว่าเป็นถิ่นผมอยู่ดี
“เธอรู้จักเขามานานหรือยัง” เขาเอ่ยขึ้นระหว่างนั่งรอโจ๊ก...
“ใครครับ พี่ยุทธเหรอ?!” ผมขมวดคิ้ว
“อือ...”
“ก็ตั้งแต่ทำงานที่อิทธิฤทธิ์นั่นแหละ รู้สึกว่าจะสองสามเดือนก่อนเจอคุณ”
“แล้วก็แอบคบกันมาตลอดจนตอนนี้น่ะเหรอ?”
“เปล่าครับ เพิ่งได้เจออีกทีไม่กี่วันนี่แหละ”
“ฮะ! แล้วเธอก็วางใจยกตำแหน่งที่สำคัญขนาดนั้นให้คนที่เธอรู้จักแค่สองสามเดือนเนี่ยนะ ใช้อะไรคิดเนี่ย” คำถามของเขาเหมือนด่าผมยังไงไม่รู้
“ใช้หัวใจคิดครับ” ผมตั้งใจประชดไปอย่างงั้นแหละ อยากรู้ว่าเขาจะว่ายังไง
“ถ้าเอาไอ้นั่นคิดจริงๆ เธอคงมีสิทธิ์จะโดนหลอกประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์เลยล่ะ”
“คุณไม่อยากให้ผมโดนหลอกงั้นเหรอครับ” ผมถามยิ้มๆ
“ใช่สิ เพราะคนที่จะซวยไปด้วยก็คือฉัน” ผมพอเดาคำตอบได้อยู่แล้วว่า เขาแค่ห่วงตัวเอง...
“นั่นสิครับ ผมเห็นด้วย นี่ก็คุยกันอยู่ว่าจะขายหุ้นแล้วเอาเงินไปตั้งรกรากที่เมืองนอกด้วยกันดีไหม”
“แม็ก!! นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ เธอมีสิทธิ์อะไรมาขายหุ้นของคนอื่นหน้าด้านๆ”
“ก็หุ้นมันเป็นชื่อผมนี่ครับ จะบอกว่าไม่มีสิทธิ์ได้ยังไงล่ะ?” ผมตอบลอยหน้าลอยตา
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยจริงว่าเธอจะร้ายกาจได้ขนาดนี้” อย่าว่าแต่เขาเลย ผมก็ไม่คิดเหมือนกัน... “เสียแรง... ที่ฉันหลงไว้ใจเธอ แต่เธอกลับหักหลังฉัน ฉันคงมองเธอผิดไปสินะ” น้ำเสียงของเขาแสดงว่าผิดหวัง... ส่วนผมได้แต่ยิ้มขื่นๆ
“ไว้ใจเหรอครับ? คุณเคยรู้สึกแบบนั้นด้วยเหรอ? คุณไม่ใช่เหรอไงที่มองผมในแง่ร้ายมาตลอด คุณนั่นแหละที่ทำให้ผมต้องทำแบบนี้” ผมเถียงกลับ แล้วโยนความผิดให้เขาทั้งหมด
“ฉันงั้นเหรอ? ฉันทำอะไรให้เธอ?” คำถามที่ซัดกลับมาด้วยใบหน้าแสดงความสงสัยทำให้อ้ำอึ้ง....ในหัวพยายามคิดเหตุผลมากมาย
“ก็คุณไม่ใช่เหรอครับที่หลอกให้ผมเซ็นสัญญางี่เง่านั่น ว่าแต่คนอื่น คุณเองก็หลอกลวงผมมาตั้งแต่ต้น”
“ก็แค่ตอนแรกเท่านั้นแหละ แต่หลังจากนั้นเธอก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยไม่ใช่หรือไง?”
เถียงไม่ออกครับ... เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมเคยคิดว่าการอุ้มท้องให้กับคนอื่นมันเหมือนการทำบุญชนิดหนึ่ง แต่ผมผิดเองแหละที่คิดไปว่าตัวเองจะมีจิตใจสูงส่งได้ขนาดนั้น... ผิดเองที่ใจไม่แข็งพอต่อการทำงานนี้ให้ตลอดรอดฝั่งได้
ผมผิดเองครับใช่ไหมที่ผม... รักคุณ
“ที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะ เอางี้ดีกว่า ตอนนี้เธอต้องการอะไรกันแน่” คำถามตรงไปตรงมาเหมือนคนหมดความอดทน
ผมชะงัก..แล้วเงยหน้าขึ้น มองหน้าเขานิ่งนาน รู้สึกลังเลกับคำตอบของตัวเอง ผมควรวางฟอร์มต่อไปอีกหรือเปล่าล่ะ... แต่ถ้าเรื่องมันเดินมาถึงจุดนี้แล้ว ผมจำเป็นต้องมีแผนการอะไรอีกงั้นเหรอ ทำไมผมไม่บอกเขาไปตรงๆ เลยว่า...
“ผมต้องการคุณ”++++++++++
นางร้าย ที่รัก พอรักแล้วก็เลยร้ายได้ไม่เต็มที่ เง้อ....