-27-
-แม็กม่า-
ปากเดียวกันกับที่เคยบอกว่าไม่คิดอะไร ตัดเยื่อขาดใยไม่มีอะไรให้หวัง มาตอนนี้กลับเอ่ยคำขอร้องด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด มันทำให้ผมสับสน รวมถึงอ้อมกอดนี้ด้วย มันคืออะไร... ความสงสารงั้นเหรอ?
เขาแค่สงสาร สมเพชเวทนากับความรักที่ไม่ได้รับการตอบสนองซ้ำแล้วซ้ำอีกของผมใช่ไหม? หรือแค่รู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้ผมเสียใจไม่รู้กี่ครั้งกี่หน แค่อยากปลอบโยนหัวใจอันบอบช้ำของผม เพื่อไม่ให้ความเศร้าที่เกาะกินใจของคนเป็นแม่มันถ่ายทอดไปยังลูกของเขาหรือเปล่า
หรือมีบ้างสักเสี้ยววินาทีหนึ่งที่เขาจะไขว้เขวแอบมีใจให้ผมบ้างสักนิดหนึ่ง
ความอบอุ่นของอ้อมแขนนั้นที่วาดมากอด อุ้งมือใหญ่ที่กดผมไว้กับบ่ากว้างทำให้ผมพยายามหักห้ามความรู้สึกหวั่นไหวอย่างสุดกำลัง
แค่หวัง... ก็ยังไม่กล้า...
ผมสูดน้ำมูกขืนตัวออกจากอ้อมกอดนั้น กลิ่นหอมประจำตัวเขายังติดจมูกไม่รู้จาง...
“เอ่อ... ผมอยากกลับบ้าน” ผมเอ่ยระหว่างใช้หลังมือปาดน้ำตา ยังสะอื้นฮึกๆ อยู่เล็กน้อย
“แม่ไม่ให้ฉันไปส่งเธอ ไม่ได้ยินเหรอไง?” คำตอบนั่นทำให้เผลอค้อน...
“แล้วคุณก็เชื่อหรือไง เพิ่งจะมาว่าง่ายเอาตอนนี้?”
“ทำไมล่ะ บ้านฉันมันร้อนมากหรือไง ถึงต้องรีบกลับ” เขาถามเอนหลังพิงพนักแล้วพาดแขนยาวไปตามขอบเก้าอี้ด้านหลังผม ดูไม่อนาทรร้อนใจกับคนขี้แยอย่างผมเลย ทั้งๆ ที่เขาน่าจะรู้ว่าผมไม่อยากอยู่ใกล้เขาถึงอยากกลับ
“ใจคอคุณจะไม่ไปส่งผมจริงๆ ใช่ไหม ผมจะได้นั่งแท็กซี่กลับเอง” ผมถามซ้ำ แต่อีกฝ่ายยังหลับตานิ่งอยู่ผมจึงลุกขึ้นยืนอย่างโมโห เขายื่นมือคว้าแขนผมไว้ ผมหันกลับไปมองด้วยหน้าบึ้งตึง
“เดี๋ยวสิ อยู่กินข้าวเย็นกับแม่ก่อน แล้วเดี๋ยวจะไปส่ง” เขาบอกเรียบๆ น้ำเสียงนุ่มนวลแล้วดึงมือผมให้นั่งลงข้างๆ เขาตามเดิม
พอผมเงียบ ไม่นานคนข้างกายก็หลับตาลงอีกเอียงหัวมาพิงไหล่ผม น้ำหนักที่ไหล่ทำให้ผมขยับตัวไม่ได้เลย
“รู้ไหมแม็ก...” เขาพูดขึ้นทั้งๆ ที่หลับตา ผมหันไปมองอย่างงุนงง “เกือบยี่สิบปีแล้วที่ฉันหมดหวังเรื่องที่จะมีลูก... ตั้งแต่ที่ฉันรู้ตัวว่าชอบผู้ชาย ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าฉันจะได้รู้จักกับหมอ และเขาจะทำในสิ่งที่ไม่มีใครสามารถทำได้ ไม่ใช่แค่แม่หรอกที่อยากมีหลาน ตัวฉันเองก็อยากมีลูก ฉันอยากเห็นเด็กวิ่งเล่นในสวน ให้เขาขี่คอพาเดินเล่น อยากป้อนข้าว พาเขาเข้านอน สอนตั้งไข่ ฉันไม่คิดเลยว่าสุดท้ายความเอาแต่ใจพวกนั้น จะทำให้มีคนเจ็บปวดมากมายขนาดนี้”
นั่นสิ ทั้ง เขา ผม คุณบีท และอาจจะรวมไปถึง...
“ขอโทษ... ให้ฉันพูดเถอะ ถึงฉันจะรู้ว่าต่อให้พูดเป็นพันครั้งก็ยังไม่พอก็ตาม”
ถึงคำขอโทษคำเดียวจะไม่สามารถทดแทนความเจ็บปวดในหัวใจของผมได้ แต่แค่คนข้างกายเอ่ยมันออกมาผมก็ยินดีรับฟังและไม่เหลือเหตุผลที่จะเก็บความขุ่นข้องหมองใจพวกนั้นไว้แล้ว...
ผมไม่แปลกใจเลยที่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นแบบนี้ เพราะรักใช่ไหม ถึงยอมให้อภัยได้ง่ายๆ
กว่าคุณอิฐจะไปส่งผมได้ก็หลังจากที่เราทานมื้อเย็นร่วมกันเรียบร้อยแล้ว ทำให้ผมอดนึกถึงตอนที่อยู่บ้านนี้ไม่ได้ น้อยครั้งที่จะได้ทานข้าวเย็นพร้อมเขา ขากลับ ผมหลับตาลงพิงพนักที่นั่งขณะที่เขาขับรถกลับไปส่งผมที่บ้านซูกัส หลับๆ ตื่นๆ ไปตลอดทางจนกระทั่งมาถึงที่หมาย ผมสะลึมสะลือแล้วมองไปรอบๆ แล้วจึงขยับตัวปลดเข็มขัดนิรภัย
“อ้อ.. อาทิตย์หน้าจะถึงวันเกิดผมแล้วนะครับ” ผมหันมาบอกเขาก่อนจะเปิดประตูรถ ทีแรกว่าจะไม่บอก แต่ก็เปลี่ยนใจซะได้...
“เหรอ วันไหนนะ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงสนใจ
“วันที่ 19”
“บังเอิญจัง ตรงกับวันก่อตั้งบริษัทพอดีเลย ว่าแต่เธออยากได้อะไรล่ะ?” บางทีผมก็หมั่นไส้เขา คิดว่าตัวเองเป็นเสี่ยหรือไง ผมถึงต้องคอยมาขอของอะไรแบบนั้น
“ไม่อยากได้อะไรหรอกครับ แค่บอกเฉยๆ เพราะถ้าคุณจำวันเกิดผมไม่ได้ล่ะก็ คงโดนซูกัสเล่นงานแย่เลย” แค่คิดก็ปวดหัวแทนแล้ว
“นั่นสิ ขอบใจนะ” เขาขอบคุณพร้อมรอยยิ้มทั้งปากและตา เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมใจเต้นแรงจนรีบหลบสายตาทันที “ไหนๆ ก็เกิดวันเดียวกันแล้ว งั้นก็มาฉลองพร้อมกันเลยดีไหม?”
“จะดีเหรอครับ” ผมหันไปถามอย่างไม่แน่ใจ ที่จริงแล้วผมไม่ชอบไปเที่ยวออกงานอะไรพวกนี้หรอก
“ดีสิ จะว่าไปตอนนี้ เธอก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่เลยนะ” ผมแอบค้อนที่อีกฝ่ายเอ่ยแซวแบบไม่จริงจัง จะว่าไปแล้วหลังจากที่ผมบอกว่าจะโอนหุ้นคืนไป เขาก็ไม่เห็นส่งเอกสารใดๆ มาให้เซ็นเลย แล้วก็ไม่ได้ทวงถามอะไรมาด้วย
“เอ่อ... แล้วงานนี้มีใครไปบ้างเหรอครับ”
“อืม... ก็พนักงานระดับผู้จัดการขึ้นไปน่ะ”
“แล้วคุณบีทไม่มาด้วยเหรอครับ” ผมถามเสียงอ่อย ถึงจะรู้ว่าเขาชวนด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ถ้าคุณบีทรู้คงไม่คิดแบบนั้นแน่...
“ที่จริงฉันก็ชวนเขาทุกปีนะแต่ไม่เห็นมาสักปี ปีนี้ก็คงไม่มามั้ง ทำไมเหรอ?”
“ก็ถ้าคุณบีทไปด้วยแล้วรู้ว่าคุณมารับผม เขาคงจะไม่พอใจเท่าไร แค่เรื่องที่เชียงรายก็โกรธมากแล้ว” ผมบอกเสียงเครียด...
“เชียงราย เธอบอกเขาเหรอ?” เขาถามเสียงสูง พลอยทำให้ผมแปลกใจไปด้วยที่เขาไม่รู้...
“เปล่านะครับ ผมไม่ได้บอก แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้ได้ยังไง แต่เห็นโวยวายอยู่ตอนผมโทรไปบอกเรื่องแม่คุณ นี่เขาไม่ถามอะไรคุณเลยเหรอ?”
“ไม่นะ ก็เห็นเหมือนเดิมเอง” คำตอบของเขาทำให้ผมแปลกใจทั้งเรื่องที่คุณบีทรู้ได้ยังไง และเรื่องที่เขาไม่โวยวายด้วย
“บางทีฉันก็คิดนะว่าบีทกับเธอนิสัยคล้ายกัน”
“ยังไงเหรอครับ?” ผมหยุดคิดเรื่องคุณบีทชั่วคราวแล้วหันไปถาม
“ก็เป็นพวกเก็บกด ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ อ่านยากเหมือนกัน... คนแบบนี้น่ากลัวตรงที่เก็บมากเกินไป พอไม่ไหวก็ระเบิด
ออกมาทีเดียวเลย” ผมเบะปาก พลางหรี่ตาใส่
นี่ลุงจะชมหรือด่ากันแน่เนี่ย!
“ที่จริงแล้วผมอ่านไม่ยากนะ ถึงไม่พูดผมก็สื่อสารผ่านดวงตา ที่คุณไม่รู้เพราะคุณไม่พยายามจะอ่านมันเองมากกว่า” ผมบอกด้วยเสียงคล้ายประชด
“หึ ถ้าเธอคิดว่าดวงตาสามารถบอกทุกอย่างได้จริง... ถ้างั้นเธออ่านสายตาของฉันออกหรือเปล่าล่ะ? ว่าคิดอะไรอยู่” เขาถามพลางยื่นหน้ามาใกล้แล้วจ้องหน้าผม
ผมหันไปมองเขาอย่างลังเล อ่านออกไหมผมไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าแค่ผมตั้งใจจะสบตาเขาก็ทำให้ใจผมเต้นแรงมากแล้วจนต้องรีบหลบสายตาไปก่อนจะทันเห็นอะไร วินาทีต่อมาเขาก็ขยับตัวหันไปนั่งตัวตรง
“ไม่แน่นะ ไม่รู้อะไรเลยก็อาจจะดีกว่าก็ได้”
++++++++++
วันนี้วันเกิดของผม... ซูกัสอวยพรวันเกิดและให้ของขวัญแต่เช้าบอกจะฉลองให้ในตอนเย็นแต่ผมปฏิเสธเพราะมีนัดกับคุณอิฐแล้วทำให้เขาบ่นบ้างเล็กน้อย แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นชมคุณอิฐที่อย่างน้อยก็ยังอุตส่าห์จำวันสำคัญของผมได้บ้าง! ตกเย็นคุณอิฐก็แวะมารับผมที่บ้านซูกัส เพื่อนรักเอ่ยฝากฝังรวมทั้งพูดแซะเขาไปหลายอย่างจนผมรำคาญแทนต้องรีบไล่ซูกัสให้เข้าบ้าน
เรามาถึงสถานที่จัดงานตอนหัวค่ำ ไม่ใช่ที่บริษัทแต่เป็นโรงแรมแห่งหนึ่ง
“อย่าเพิ่งไปแม็ก ฉันมีอะไรจะให้” คุณอิฐบอกเมื่อผมขยับตัวปลดเซพตี้เบลต์ออกเตรียมจะเปิดประตูรถ ผมหันไปมองเขายังที่นั่งคนขับอย่างแปลกใจ
“สุขสันต์วันเกิด” เขาบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟังแล้วยื่นของขวัญกล่องเล็กๆ มาให้
“นี่อะไรเหรอครับ?” ผมถามอย่างตื่นเต้นเมื่อรับกล่องนั้นมาไว้ในมือ
“แกะสิ” เขาสั่งแทนคำตอบทำให้ผมบรรจงแกะของขวัญออก พบว่าเป็นขวดน้ำหอม
“ขอบคุณนะครับ” ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มขอบคุณ เขายิ้มตอบแล้วดึงขวดน้ำหอมจากกล่องขึ้นมาแล้วโน้มตัวเข้ามาฉีดน้ำหอมหลังใบหู ผมรู้สึกแปลกๆ หัวใจสั่นไหวเพราะเขาขยับมาใกล้เหลือเกิน ได้แต่นั่งนิ่งเหมือนตุ๊กตาเมื่อเขาจับแขนผมหงายขึ้นแล้วฉีดน้ำหอมที่จุดวัดชีพจรตรงข้อมือให้ด้วย ผมสูดลมหายใจเข้าลึกกลิ่นน้ำหอมฟุ้งลอยเข้าจมูก
“เรียบร้อย... เก็บน้ำหอมไว้ในรถแล้วกันนะ” เขาว่าแล้วเก็บน้ำหอมใส่กล่องตามเดิมแล้ววางไว้ในรถ ก่อนจะขยับไปเปิดประตูฝั่งตัวเอง
“ไปเถอะแม็ก” เขาบอกเมื่ออ้อมมาเปิดประตูรถให้
“ครับ...” ผมตอบรับเหม่อๆ แล้วลุกตามไป รู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ เพราะน้ำหอมที่ติดกายตัวเองเป็นกลิ่นเดียวกันกับเขา มันอวลตลบรอบกายราวถูกกับกำลังถูกเขากอดไว้...
งานเลี้ยงจัดบริเวณชั้นล่างใกล้สระว่ายน้ำของโรงแรม คุณอิฐปล่อยผมนั่งลงที่เก้าอี้คนเดียวระหว่างที่เขาเดินเตร็ดเตร่ทักทายแขกเหรื่อจนกระทั่งพี่ยุทธเข้ามานั่งกับผม อันที่จริงพี่ยุทธโทรไปชวนผมมางานนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ผมบอกไปตามตรงว่าคุณอิฐชวนผมแล้ว เขาจึงไม่ได้ว่าอะไรนอกจากบอกว่างั้นค่อยเจอกันที่งาน
“ค็อกเทลไหม?” เขาถามยื่นแก้วหนึ่งในมือให้
“ไม่ครับ ขอบคุณ” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด เขาหน้าเสียเล็กน้อยที่ต้องชักแก้วกลับไป แต่ก็นั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ
“ไหนว่าจะตัดใจแล้วไง แล้วทำไมยังมาด้วยกันอีกล่ะ?” พี่ยุทธถามขึ้น ทำให้ผมอึกอักเล็กน้อย
“ยังไงก็ยังเป็นคนรู้จักกันอยู่ดีนี่ครับ”
“เออ... พี่แนะนำพวกหุ้นส่วนอื่นๆ ในบริษัทให้รู้จักไหม”
“ไม่ดีกว่าครับ ผมอยากนั่งเฉยๆ มากกว่า” ตอบโดยไม่ต้องคิดอีกตามเคย ทำไมผมต้องรู้จักใครต่อใครให้มากความทั้งๆ ที่ผมไม่ได้สนใจผลประโยชน์อะไรที่นี่สักหน่อย ที่ผมมาก็เพราะถูกชวนเท่านั้นแหละ
“อืม... หิวไหม เดี๋ยวพี่ตักอะไรมาให้แล้วกันนะ” พี่ยุทธก็ช่างเอาอกเอาใจดีนะ
“เอ่อ ก็ได้ครับ” ผมตอบรับตามมารยาท แล้วรอให้เขาลุกเดินไปทางโต๊ะที่วางอาหารบุฟเฟ่ต์
ผมเลิกใส่ใจพี่ยุทธแล้วมองหาคุณอิฐแทน เขาเดินมาทางนี้พร้อมกับน้าสาวของเขา
“สวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้น้าเพทาย น้องสาวแม่คุณอิฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการฝ่ายบริหาร ผมได้เจอท่านมาแล้วสองสามครั้ง ทั้งตอนที่มาประชุมที่บริษัทและตอนที่ท่านไปเยี่ยมแม่คุณอิฐที่โรงพยาบาล เราทักทายและพูดคุยกันตามมารยาทสักพักในขณะที่คุณอิฐเดินหายไปอีก ก่อนจะกลับมาพร้อมน้ำส้มและขนมขบเคี้ยว
“น้าไปทางนู้นก่อนนะ ดูแลเมียดีๆ นะตาอิฐ เผื่อวันไหนโดนพี่ทิพย์ตัดออกจากกองมรดกจะได้ไม่ลำบาก” ท่านพูดติดตลก
“นั่นสิครับ ผมก็กลัวๆ อยู่” คุณอิฐรับมุกแล้วหัวเราะ
น้าคุณอิฐเดินออกไปไม่นาน คุณแผ่นฟ้าลูกชายคุณเขตแดนก็เดินมาทักทายเรา
“สวัสดีครับคุณธมล หุ้นส่วนรายใหญ่ของเรา เสียดายไม่รับตำแหน่งกรรมการไม่งั้นคงได้เจอกันบ่อยๆ”
ผมกลืนน้ำลาย ไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงดี ความคิดที่ว่าผู้ชายในเครืออิทธิฤทธิ์มีแต่พวกนิสัยประหลาดย้อนกลับมาอีกตามเคย
“ไหนนายเคยบอกว่าผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกันเป็นพวกวิปริตไง แล้วอยู่ดีๆ ทำไมเกิดเปลี่ยนใจซะล่ะ” คุณอิฐถามเสียงเข้มคล้ายโมโหโกรธเคืองกันมาแต่ชาติปางไหน
“ขอยกเว้นผู้ชายหน้าตาน่ารักๆ ที่มีหุ้นหลักมากที่สุดในบริษัทได้ไหม?” ดวงตาหวานเยิ้มนั่นทำให้รู้สึกว่าสมแล้วล่ะที่สองคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เสียดายที่มากัดกันเพราะผลประโยชน์แบบนี้ ไม่งั้นคงกอดคอกันจีบหนุ่มจีบสาวได้สบาย
“ขอโทษด้วยนะครับคุณแผ่นฟ้า ผมว่าปันผลที่ได้ก็เยอะมากพอแล้ว ผมคงไม่คิดขายหุ้นให้คุณหรอกครับ”
ผมบอกเขาหน้ายิ้ม ถึงแม้เราจะยังไม่ได้คุยอะไรกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน แต่ผมก็รู้ว่าเขาสองคนพ่อลูกพยายามติดต่อผมผ่านพี่ยุทธเพื่อซื้อหุ้น ผมไม่แน่ใจว่าเขาไม่อยากให้คุณอิฐรู้เรื่องนี้หรือเปล่า คำพูดของผมจึงทำให้เขาหน้าเจื่อนเล็กน้อย
“โอเคครับ งั้นผมขอตัวก่อนดีกว่า” เขาเอ่ยลาผมก่อนจะเดินไปยืนข้างคุณอิฐแล้วกระซิบบางอย่างแล้วจึงเดินแยกออกไป ผมมองหน้าคุณอิฐที่คิ้วขมวดเล็กน้อยทันทีที่เขาพูดจบจึงเอ่ยถามว่า
“เขาว่าอะไรเหรอครับ?”
“เขาเตือน... ให้จับเธอไว้ดีๆ ไม่อย่างงั้นจะต้องเสียใจ”
คำพูดนั้นทำให้ผมใจคอไม่ดีขึ้นมาเลย ถึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรก็เถอะ
“อย่าทำหน้าเครียดสิ เขาคงคิดว่าถ้าวันไหนเธอหมดรักในตัวฉัน เธอคงจะขายหุ้นให้เขาเท่านั้นแหละ”
ผมไม่แปลกใจหรอกถ้าเขาจะคิดอย่างนั้น ถ้าหากพี่ยุทธพยายามจะแนะนำผมให้สองพ่อลูกรู้จักแบบนี้ บางทีพี่ยุทธอาจจะขายผมแล้วก็ได้
“แล้วคุณคิดว่าผมจะทำแบบนั้นไหมครับ?” ผมถามอย่างกังวล จนแล้วจนรอดผมก็ยังแคร์เขามากอยู่ดี
“ไม่รู้สิ แต่ตอนนี้ฉันเชื่อใจเธอนะว่าเธอจะไม่หักหลังฉัน”
ผมไม่รู้หรอกว่าเขาจะคิดแบบนั้นจริงหรือเปล่า แต่คำพูดพวกนั้นมันก็ซื้อใจผมได้แล้ว
เกือบสองทุ่ม หลังจากนั่งชมการแสดงบนเวทีจนเบื่อผมขอตัวไปห้องน้ำคนเดียว พอกลับมาก็เห็นคุณอิฐขึ้นไปพูดและจับรางวัลบนเวทีแล้ว ผมเลยเดินเอื่อยมานั่งชิลที่เก้าอี้ริมสระว่ายน้ำระหว่างรอให้พิธีการเสร็จสิ้น จู่ๆ ก็มีเท้าคู่หนึ่งมาหยุดยืนนิ่งข้างๆ จนผมต้องแหงนคอขึ้นมองหน้าแล้วก็พบว่าเป็นคนที่ไม่น่าจะมาซะได้
“เป็นไง... แย่งผัวชาวบ้านเค้า มีความสุขมากไหม?” ผมกลืนน้ำลายหน้าเครียดเมื่อเจอคุณบีทยืนปั้นหน้ายักษ์ใส่ พร้อมคำพูดเสียดสีรุนแรงจนผมกำมือแน่น
“ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกครับ คุณน่าจะเชื่อใจคุณอิฐหน่อยนะว่าเขาไม่ได้นอกใจคุณน่ะ”
“หึ! น้ำหอมกลิ่นฟุ้งยังกะอาบขนาดนี้ ยังมีหน้ามาปฏิเสธเหรอว่าไม่มีอะไร” เขายิ้มเหยียด แววตาทั้งเจ็บทั้งแค้น ผมค่อนข้างตกใจเมื่ออีกฝ่ายเข้าใจผิดไปแบบนั้น
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ!” ผมรีบเถียงแต่อีกฝ่ายเหมือนไม่อยากจะฟัง
“อ้าว... บีท มาได้ยังไง?” คำอธิบายของผมถูกขัดด้วยเสียงทักทายจากคุณอิฐที่เพิ่งเดินมาสมทบ
ในขณะที่เราสองคนเถียงกันหน้าเครียดเมื่อครู่ ครั้นตัวต้นเหตุเดินมา ต่างคนก็ต่างพยายามปั้นหน้าใส่กันทันที
“ก็คุณชวนผมเองไม่ใช่เหรอ? ปีก่อนๆ ไม่เคยมา ปีนี้เลยอยากมาดูหน่อย ไม่ได้เหรอครับ” คุณบีทยิ้มอย่างเสแสร้ง ส่วนผมกดอารมณ์ให้นิ่ง แล้วฟังคนทั้งคู่โต้ตอบกันเงียบๆ
“เปล่า มาได้” คุณอิฐตอบแบบถนอมน้ำใจแม้ว่าใบหน้าจะเฝื่อนไปบ้างก็ตาม มีแอบเหลือบตามามองผมนิดหนึ่งเหมือนกัน
แต่ก็เท่านั้นแหละมันไม่ได้ช่วยอะไรหรอก!
“ผมหิวจัง หาอะไรให้ทานหน่อยสิอิฐ” คุณบีทหันไปอ้อน “เผื่อคนท้องด้วยก็ดีนะ เดี๋ยวเด็กจะโมโหหิว”
“อืม..” คุณอิฐครางรับคำในลำคอเบาๆ ก่อนจะหันมามองผมแวบหนึ่งด้วยสายตาเหมือนเป็นห่วง แต่ก็ต้องยอมเดินไปทางโต๊ะที่จัดอาหารอย่างเลี่ยงไม่ได้
อย่าห่วงผมเลยครับ ถ้าคุณไป ผมคงโดนด่าต่อเท่านั้นแหละ
“คุณนี่น่านับถือจังเลยนะครับ ถึงขนาดนี้แล้วยังปั้นหน้ายิ้มหวานใส่คุณอิฐได้อีก” ผมบอกอย่างตรงไปตรงมา บางทีก็อดทึ่งไม่ได้เหมือนกันที่เขาเก็บอารมณ์เก่งขนาดนี้
“ก็ถ้าฉันทะเลาะกับเขา มันก็เข้าทางเธอน่ะสิ” เขายิ้มร้าย ส่วนผมยิ้มรับ
จริง! เพราะแบบนี้สินะเขาถึงทนเงียบมาตลอด เพราะเขารู้ว่าคนที่จะชนะคือคนที่อดทนและสร้างปัญหาให้น้อยที่สุด ต้องซ่อนความร้ายกาจไม่ให้ผู้ชายเห็น ต่อหน้าก็แสนดีแล้วค่อยมาจัดการผมเอาทีหลัง เขาฉลาดกว่าผมมากจริงๆ
“คุณอิฐนี่น่าสงสารนะครับ มีเมียแต่ละคน ตอแหลเหมือนกันหมด” ผมเอ่ยลอยๆ พร้อมยิ้มเยาะ
“แต่คนที่เขาไม่ยอมรับว่าเป็นเมีย แล้วมโนไปเองคนเดียวว่าเป็น มันไม่น่าสมเพชกว่าเหรอ?” ผมหุบยิ้มเปลี่ยนเป็นเค้นสายตามองเขาอย่างเคืองใจ แต่ไม่วายกวนโทสะเขาต่อ...
“อ้าว ยังเหรอครับ? ก็เห็นคุณโวยวายว่าผมเอาผัวคุณไปกก ผมก็เลยหลงเข้าใจว่าเป็นแล้วซะอีก” ผมลอยหน้าลอยตาตอบ สะใจนิดๆ ที่เห็นเขากำมือแน่น มองกลับมาด้วยแววตาวาวโรจน์ไม่แพ้กัน
“ทะเยอทะยาน อยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง คิดว่าคนอย่างแกกับแผนตื้นๆ มันจะทำอะไรได้ ลงท้ายก็เป็นได้แค่ของเล่น”
“ถึงผมจะเป็นของเล่นก็มีค่ามากกว่าของจริงอย่างคุณ ผมมีหุ้นในบริษัท แม่คุณอิฐก็รักผม แถมมีลูกเขาอีกคนในท้องด้วย แล้วคุณล่ะมีอะไร แค่ตัวกับหัวใจจะสู้ผมได้เหรอครับ?” ผมยิ้มเยาะ หมุนตัวเดินหนีหลังจากทิ้งระเบิดลูกย่อมใส่เขา
วินาทีนั้นผมรู้สึกสะใจที่ทำให้เขาเจ็บปวดได้บ้าง ทั้งที่ความจริงผมต่างหากที่เจ็บปวดกว่า เพราะสิ่งที่ผมมีทั้งหมดนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเลย ถ้าหากผมเลือกได้ ผมอยากได้ความรัก ผมอยากได้ทั้งหัวใจของคุณอิฐมากกว่า แต่...
“คนอย่างแก ไม่สมควรจะมีอะไรทั้งนั้นแหละ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอาฆาตแค้นทิ้งท้ายก่อนที่ร่างของผมจะถูกผลักอย่างแรงจนถลาตกสระน้ำข้างๆ ดังตูม!
ร่างผมจมดิ่งลงเบื้องล่างทันที พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาพ้นผิวน้ำ แต่ก็ได้แต่เอามือตีน้ำพัลวันอย่างตกใจกลัวไม่สามารถทำอะไรมากกว่านั้นได้... เพราะผมว่ายน้ำไม่เป็น!
++++++++++
*อาจจะมีคนงงว่าทำไมน้ำหอมที่ลุงซื้อถึงกลิ่นเดียวกับตัวเอง
คงเพราะลุงแกหวงแม็กกะจะกันท่าพี่ยุทธ แต่ลุงแกไม่คิดว่าเมียแกจะโผล่มา เลยงานเข้าแม็กเต็มๆ