[ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ท่านผู้อ่านชอบตัวละครใดมากที่สุด ในเรื่อง"คนข้างห้องผมเป็นสายลับ" (อนุญาตให้เลือกได้แ

หนูฟ่ง : แน่นอนอะ กระรอกน้อยช่างน่ารัก และน่าเหยียบ ในเวลาเดียวกันo_O
รูฟัส : สุดๆ อะ พระเอกอะไรไม่รู้ว มันน่ารัก น่าหยิกแก้มจริงๆ นะเนี่ย (ทั้งกะล่อน ตอแหล หื่น รวมอยู่ในคนคนเดียว!!)
เว่ยเฟิงปิง : เอะอะสะบัดบ๊อบตลอดค่ะ (ไม่มีก็ไว้ซะนะคะ เฟิงขา)
จางซื่อเยี่ยน : ถึงจืดถึงจาง.. ถึงจะซื่อจะบื้อ... แต่ก็รักนะ รักหน่อยเหอะน้า~
อิทธิเดช : หนุ่มหน้าสวย บทไม่มาก (เพราะคนเขียนไม่อวย<<อ้าว) แอบโรคจิตนิดๆ แต่ก็น่าถนอม
วรุต : หนุ่มน้อยหน้ามน โรคจิตไม่แพ้กัน (จับคู่กับอิทธิเดชเลยได้คู่จิตป่วนแห่งปีไป) เอาน่า น้องวรุตก็มีส่วนน่ารักน่าเอ็นดูนะ!!
เว่ยจินหยิน : อวย!! อันนี้คนเขียนอวยค่ะ ฮ่าๆ ไม่รู้จะจิ้มใคร จิ้มให้คุณชายจิ้งจอกสุดที่Loveของดั้นสิฮ้า (โดนคนอ่านถีบ)
เถียนซาน : ผู้ชายแสนอบอุ่น... (คนนี้ไม่ได้อวย แต่เป็นคนอวยคนด้านบนอีกทีนึง..... เอวัง)

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55  (อ่าน 248435 ครั้ง)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   วรุตติดกระดุมเสื้อเชิ้ต ขณะฟังอิทธิเดชพูดถึงแขกที่มาถึงแล้ว เห็นว่าเป็นผู้มีอิทธิพลจากตะวันออกกลางสองคณะ แล้วก็จากอิตาลีหนึ่งคณะ มีมาจากยูเครน แล้วก็แอฟริกาใต้ด้วย นี่พ่อเขาเรียกประชุมสมาคมผู้มีอิทธิพลระดับโลกหรือไงนี่
   “หันหน้ามาสิ เดี๋ยวฉันจะช่วยดูให้ว่าดูดีแล้วหรือยัง” ชายหนุ่มหน้าสวยพูด หลังจากที่วรุตผูกเนกไทและสวมสูทสีครีมที่คนเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มหันหน้ากลับมา อิทธิเดชเอียงคอมอง แล้วเดินมาจัดเนกไทให้
   “เธอน่าจะหวีผมใหม่สักหน่อย มีหวีกับเจลใส่ผมอยู่ตรงโน้นน่ะ” เขาพูด ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อถูกฉวยมือเอาไว้
   “พี่เดช” วรุตเรียกชื่อเขาก่อนจะเม้มริมฝีปากเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ “เสร็จงานนี้แล้วน่ะ คุณย้ายมาอยู่กับผมได้ไหม ย้ายมาอย่างเป็นทางการน่ะ ในฐานะผู้ดูแลผมก็ได้ ผมไม่ทำอะไรคุณแล้วล่ะ ผมแค่อยากให้คุณอยู่ใกล้ๆ ”
   อิทธิเดชมองเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ไปหวีผมเถอะ ท่านประธานรออยู่”
-------------------------------------------------------------
   ฟ่งอยากจะอาละวาดต่อยคน การแก้แปลนทำให้เขาไม่สบอารมณ์เอามากๆ แถมเขายังต้องมาทำงานแก้ของงานแก้ที่คนอื่นมาแก้งานของเขาอีก ปัญหาคือเขาคงจะต่อยคนพวกนี้ไม่ลง เพราะไม่ใช่คนรู้จัก และถึงเป็นคนรู้จักก็คงต่อยไม่ได้อยู่ดี เขาแค่อยากจะระบายอารมณ์ออกบ้าง ซึ่งสถานการณ์ในตอนนี้ก็ดูจะไม่อำนวยให้เขาระบายอะไรได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงอยู่ในสภาพหงุดหงิดสุดๆ เขานั้งแก้แบบแปลนไปหน้ามุ่ยไป จนไม่มีใครกล้าเข้ามาเฉี่ยวใกล้ในรัศมีสองเมตร
   ไม่รู้ว่าป่านนี้รูฟัสจะเป็นยังไงบ้าง
   เห็นสภาพถล่มนั้นแล้วฟ่งเกิดกลัวขึ้นมาจริงๆ ว่าพวกรูฟัสอาจจะเกิดอันตรายขึ้นก็ได้ แต่หลังจากพยายามเงี่ยหูฟังคนนั้นคนนี้พูดกัน เขายังไม่ได้ยินข่าวว่าเจอคนได้รับบาดเจ็บหรืออะไรน่าสงสัยเลย หรือบางทีรูฟัสอาจจะผ่านเข้ามาก่อนที่ลิฟต์จะถล่มก็ได้
   พอคิดได้แบบนี้ฟ่งจึงค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย เขาเขียนแปลนใหม่เสร็จก็ส่งให้วิศวกรคำนวณโครงสร้างใหม่ จากนั้นก็ต้องย้ายตัวเองไปยังจุดที่เกิดการเสียหายอีกครั้ง เพื่อดูงานก่อสร้าง เพราะจะนั่งเฉยๆ อยู่ในห้องกับคนที่ไม่รู้จักพวกนี้ก็กะไรอยู่
--------------------------------------------------------
   ทวีศักดิ์กำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่บนเก้าอี้บุหนัง ในตอนที่วรุตกับอิทธิเดชเดินเข้าไป พอเห็นหน้าลูกชาย ทางนั้นก็หันมายิ้มให้ทันที โดยที่ยังคุยโทรศัพท์อยู่
   วรุตนั่งปุลงตรงเก้าอี้ หน้าโต๊ะทำงานของผู้เป็นพ่อ อิทธิเดชเดินกลับออกไปหลังจากนั้นสักพัก ทวีศักดิ์ยังคงคุยโทรศัพท์ต่อ ปล่อยให้ลูกชายนั่งรออยู่แบบนั้น สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ลุกพรวดขึ้น
   “ผมไปข้างนอกล่ะ”
   ทวีศักดิ์รีบรั้งลูกชายไว้ทันที “เดี๋ยว” จากนั้นก็รีบขอโทษขอโพยปลายสาย ก่อนจะวางโทรศัพท์ในที่สุด
   “โทษทีลูก พอดีแขกมีปัญหานิดหน่อย เอาล่ะ ไหนขอพ่อดูหน่อยซิ ลูกพ่อหล่อขนาดไหน”
   วรุตทำหน้าหงิก หันมาพอผู้เป็นพ่อและถามเสียงห้วน “พ่อมีอะไรจะพูดกับผม”
   ทวีศักดิ์มองลูกชาย อ้าปากค้างอยู่พักหนึ่ง ถึงพอพูดออกมาได้ “ลูกดูดีจริงๆ เอาล่ะ นั่งก่อนสิ พ่อจะอธิบายให้ฟัง”
   วรุตนั่งลงอีกครั้ง แล้วหันไปจ้องหน้าผู้เป็นพ่อ ทวีศักดิ์มองลูกชายอีกพักหนึ่ง แล้วยิ้มออกมา “พ่อกำลังจะเปิดตัวยาชนิดใหม่”
   “อืม... ยาเสพติดรึเปล่าน่ะ” เด็กหนุ่มถามกลับ คนเป็นพ่อสั่นศีรษะ “ไม่ใช่หรอก เป็นยาตัวใหม่ ยังไม่มีในสาระบบยา อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีผลทางการรักษาโรคทางร่างกายโดยตรงหรอก แต่พอจะช่วยรักษาโรคทางใจได้”
   “?” วรุตมองหน้าผู้เป็นพ่อด้วยความสงสัย “ยาอะไรน่ะพ่อ?”
   ทวีศักดิ์เอื้อมมือไปหยิบกล่องบุหนังสีดำกล่องหนึ่งที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมาเปิดออก ก่อนจะหยิบหลอดแก้วหลอดเล็กๆ สูงราวๆ ครึ่งคืบออกมา ที่อยู่ด้านในคือสายสีม่วงที่เหมือนกับน้ำหมึกซึ่งหยดลงในน้ำ แต่ในกระบอกแก้วนั้นไม่มีน้ำอยู่ วรุตจ้องมองด้วยสายตาตื่นตะลึง
   ทวีศักดิ์มองหน้าลูกชายแล้วยิ้มอ่อนโยน “ถ้าการประชุมครั้งนี้สำเร็จได้ด้วยดี เราจะกลายเป็นเจ้าของบริษัทยาที่มีผลกำไรและอนาคตรุ่งเรืองที่สุดของยุคนี้เลยล่ะ ลูกจะไม่มีอะไรต้องให้กังวลอีกแล้ว เราจะไปซื้อบ้านสวยๆ ริมชายหาดสักหลัง ไปเที่ยวรอบโลกกัน อะไรที่ลูกอยากได้ พ่อจะซื้อให้ ต่อจากนี้ลูกจะได้ยิ้มออกสักที”
   วรุตจ้องหน้าผู้เป็นพ่อเขม็ง เนิ่นนานจึงมีคำพูดเล็ดลอดออกมา
   “พ่อ..........”
----------------------------------------------------------------------
   เว่ยเฟิงปิงนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเครื่องบิน ที่อยู่ติดกับเขาคือจางซื่อเยี่ยน ซึ่งก็นั่งอ่านหนังสืออยู่เช่นกัน เลยออกไปอีกหน่อย พี่ชายต่างมารดาของเขากำลังนั่งเอนตัวทอดสายตาไปยังพนักพิงด้านหน้า ไม่รู้ว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่อีกกันแน่
   เมื่อราวๆ สองสัปดาห์ก่อน เว่ยเฟิงปิงได้ไปพบกับเว่ยจินหยิน เพื่อพูดคุยเรื่องแผนการที่จะจัดการกับไฮท์สองคน และผู้ติดตาม ในงานประชุมที่กำลังจะจัดขึ้นที่ประเทศไทย สถานที่ที่เว่ยจินหยินนัดพบปะกับเขานั้น คือร้านอาหารบนเรือสำราญที่เจ้าตัวมีหุ้นส่วนและให้การคุ้มครองอยู่
   เว่ยจินหยินเหมาเรือทั้งลำ เพื่อประชุมเรื่องนี้กับเขาโดยเฉพาะ ดังนั้น เมื่อเรือลอยอยู่กลางอ่าวฮ่องกง จึงมีแค่พวกเขาสองพี่น้อง และผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น
   หลังจากทานอาหารเสร็จ ผู้เป็นพี่ชายจึงเริ่มการสนทนาอันเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขามาพบหน้ากันในวันนี้
   “เฟิงปิง ที่พี่ชวนเธอมาทานข้าววันนี้ สาเหตุเธอคงจะรู้อยู่แล้วสินะ การประชุมที่เมืองไทยนั่นน่ะ” หยุดมองหน้าน้องชายพักหนึ่ง เว่ยจินหยินจึงพูดขึ้นต่อ “พี่บอกตรงๆ เลยว่าเรื่องนี้มันเกินความสามารถของเธอเกินไป ด้วยความหวังดี พี่อยากให้เธอถอนตัวเสีย เธอไม่ควรเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น”
   เว่ยเฟิงปิงกระตุกริมฝีปากขึ้นนิดหน่อย แล้วพูดตอบออกไป “ผมไม่ได้ถ่อมาทานอาหารกลางอ่าวเพื่อฟังพี่พูดจาเหลวไหลแบบนี้หรอกนะ ผมมาเจรจาว่าเราจะวางแผนจัดการกับเรื่องนี่ยังไงกันแน่”
   เว่ยจินหยินมองหน้าน้องชาย แล้วยิ้มออกมา “พูดกับเธอไม่รู้เรื่องจริงๆ ด้วย”
   “พี่นั่นแหละ เลิกกวนประสาท แล้วพูดให้รู้เรื่องสักที” เว่ยเฟิงปิงอดไม่ได้ต้องเถียงใส่หน้า เว่ยจินหยินยกมือขึ้นขยับแว่นตากรอบทองของตน แล้วพูดต่อ “อืม.. เอาเถอะ พี่ก็คิดอยู่หรอกว่าเธอคงไม่ยอมถอนตัวแน่ เฟิงปิง เธอรู้เกี่ยวกับไฮท์สองคนของริเวิลขนาดไหน?”
   “พี่รู้ขนาดไหนล่ะ?” อีกฝ่ายย้อนถาม เว่ยจินหยินยิ้มให้น้องชายอีกครั้ง “ตอบพี่มาเฟิงปิง พี่จำเป็นต้องรู้ศักยภาพของเธอ ก่อนจะประเมินว่าควรจะจัดการยังไงต่อไป”
   เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่พี่ชาย แต่ในที่สุดก็ยอมจะเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้มาทั้งหมด พอฟังจบ เว่ยจินหยินก็พยักหน้า แล้วถอนหายใจ “พี่คงรู้มากกว่าเธอนิดหน่อย สคัลที่เป็นคนสนิทของฟารุคมีฝีมือด้านใช้ดาบ ส่วนนีดเดิลเห็นว่าใช้อาวุธประหลาดอยู่พอสมควร เธอเองก็ควรจะเตรียมตัวเอาไว้ งานนี้ไม่อนุญาตให้พกปืนเข้าไป แต่อาวุธป้องกันตัวอย่างอื่นยังพอจะพกติดกันเข้าไปได้”
   “อ้อ” เว่ยเฟิงปิงลากเสียงยาว “ทางนั้นแค่ไม่อยากให้กระสุนเป็นลูกหลงไปโดนข้าวของอย่างอื่นเสียหายเท่านั้นล่ะสิ”
   เว่ยจินหยินตอบยิ้มๆ “ไม่หรอก ถ้าไม่ให้พกอาวุธเข้าไปเลย คงไม่มีใครอยากจะเข้าร่วมประชุมแน่ ก็รู้ๆ อยู่ว่าคนแบบเราต้องระวังตัวแจขนาดไหน”
   “เหอะ! ขอโทษทีนะ พอดีผมไม่ได้เป็นพวกล่อเป้าแบบพี่น่ะ” เว่ยเฟิงปิงว่า พลางนึกถึงขบวนคุ้มกันยาวเหยียดของเว่ยจินหยิน คนเป็นพี่ชายยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ก็อย่างนั้นแหละ พี่อยากให้เธอเตรียมพร้อมเรื่องนี้ ซื่อเยี่ยนน่ะคงไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” พูดแล้วเว้นระยะไปพักหนึ่ง “จริงสิ ได้ยินมาว่าห้องประชุมที่เตรียมเอาไว้ค่อนข้างจะสลับซับซ้อนอยู่ คราวก่อนที่เธอไป ได้แวะไปดูบ้างหรือเปล่า?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะ “เปล่า คราวที่แล้วคุณพ่อส่งผมไปยกเลิกเฉยๆ ไม่ได้แวะเข้าไปดูหรอก”
   “อ้อ” เว่ยจินหยินส่งเสียงในคออีก ก่อนจะหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด “เราต้องล่อพวกนั้นให้ออกมาจากห้องประชุม ห้องประชุมใหญ่อนุญาตให้พาผู้ติดตามเข้าไปได้แค่หนึ่งคน เราต้องจัดการสองคนนั่นในตอนนั้นแหละ ส่วนเรื่องว่าจะล่อไปที่ไหน ไว้ถึงสถานที่ก่อนค่อยว่ากันอีกที พี่คิดว่าถึงมันจะซับซ้อนขนาดนั้น ก็น่าจะยังพอมีช่องให้เราจัดการกับเจ้าพวกนั้นได้”
   เว่ยเฟิงปิงจ้องหน้าพี่ชายอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ถามออกมา “แค่นี้?”
   คนถูกถามพยักหน้า “ตอนนี้เธอรู้แค่นี้ไปก่อน เรายังไม่รู้สภาพสภานที่แน่ชัด แต่ถ้าทำได้ พี่ก็อยากให้แยกสองคนนั้นออกไปจัดการ เธอต้องพยายามล่อเอียน ส่วนพี่จะจัดการกับฟารุคเอง แผนที่เหลือ พี่จะบอกกับเธออีกทีตอนถึงที่โน่นแล้ว”
   เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า และเม้มริมฝีปากแน่น
-------------------------------------------------
   เว่ยจินหยินมองผ่านแว่นตากรอบทองไปยังพนักพิงเบื้องหน้า ดวงตาสีดำสนิทหลุบต่ำลงราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
   เรื่องสถานที่ยังเป็นปัญหาใหญ่ในแผนการครั้งนี้ น้อยครั้งที่เว่ยจินหยินต้องวางแผนรับมือเรื่องที่จะเกิดขึ้นในสถานที่ที่เขาแทบจะไม่รู้จักเลย ปกติจะทำอะไร เขาจะต้องรู้ตื้นลึกหนาบางของคนที่จะร่วมอยู่ในแผนการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเดียวกัน หรือศัตรู หรือแม้แต่สถานที่ที่จะใช้เป็นเวทีในการเล่นแผน แต่ครั้งนี้ นอกจากรายละเอียดเกี่ยวกับศัตรูที่เขารู้เพียงคลุมเครือแล้ว เรื่องสถานที่ก็เป็นปัญหาใหญ่ การจัดการกับสองคนนั่นตรงๆ อาจจะเป็นชนวนก่อให้เกิดความไม่พอใจกับกลุ่มอื่นๆ การประชุมครั้งนี้มีผู้มีอิทธิพลเข้าร่วมมากมาย ถ้าเอาเสนอหน้าออกไปตรงๆ แบบนั้น ก็เท่ากับแสดงออกว่าต้องการทำลายการประชุมในครั้งนี้ เพราะตัวแทนของริเวิลเองก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมประชุมเหมือนกัน
   หากจะทำอย่างที่ผู้เป็นพ่อต้องการล่ะก็ มีแต่จะต้องสร้างสถานการณ์ โยนความผิด ก่อเรื่องวุ่นโดยที่ไม่ให้ทุกฝ่ายนึกสงสัยในตัวเขา ล่อสองคนนั่นออกไปยังสถานที่ที่กำหนด แล้วจัดการซะ
   ปัญหาคือเรื่องสถานที่ เขาต้องเผื่อทางหนีทีไล่เอาไว้สำหรับงานนี้ ถ้ายังไม่เห็นสถานที่จริง แผนของเขาก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ
   เว่ยจินหยินมองดูแหวนสีเงินเรียบๆ บนนิ้วมือที่สวมอยู่ ก่อนจะเม้มริมฝีปาก
   ไม่ว่าสถานที่จะเป็นอย่างไร เขาก็ยังจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้ลุล่วงลงไปจนได้
   หาเรื่องครั้งนี้สำเร็จได้ด้วยดีล่ะก็........
-----------------------------------------------------------
   จางซื่อเยี่ยนกำลังอ่านหนังสือ หรือจะพูดให้ถูก เรียกว่าใช้ตาจ้องตัวหนังสืออยู่มากกว่า เขาไม่อยากให้ผู้เป็นเจ้านายรู้สึกกังวลอะไรมากไปกว่านี้ จึงต้องทำทีเป็นสบายๆ ด้วย แต่จิตใจของชายหนุ่มกลับรู้สึกหนักอึ้ง
   หลังจากไปพูดคุยกับผู้เป็นพี่ชายเป็นที่เรียบร้อย เว่ยเฟิงปิงกลับมาแล้วก็เล่าแผนการคร่าวๆ ของเว่ยจินหยินให้เขาฟัง
   ล่อออกมาแล้วแยกกันตี ในสถานการณ์แบบนี้ นี่ถือเป็นแผนที่ดีที่สุด ทางฝั่งเว่ยจินหยินคงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เพราะนอกจากจะมีผู้ช่วยฝีมือดี ที่มีศักดิ์เป็นถึงหัวหน้าหน่วยดำ และเป็นครูฝึกของเขาแล้ว โดยตัวของเว่ยจินหยินเอง ไม่ใช่ว่าจะมีดีแค่ฝีปาก ได้ยินมาว่าฝีไม้ลายมือในด้านกังฟูก็ไม่เป็นสองรองใครเลย จางซื่อเยี่ยนไม่เคยเห็นเองกับตา แต่ได้ชื่อว่าผู้ชายที่เหมือนสุนัขจิ้งจอกและโหดเหี้ยมอำมหิตคนนั้น คงไม่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายโดยไม่วางแผนอะไรรับมือแน่ๆ แต่เจ้านายของเขานี่สิ
   จางซื่อเยี่ยนเกือบจะแน่ใจว่า เว่ยเฟิงปิงมีฝีมือติดตัวอยู่ไม่กี่ท่า เรื่องยิงปืนก็ไม่ใช่ว่าจะเก่งกาจอะไร ส่วนทักษะด้านการป้องกันตัวหรืออาวุธประเภทอื่นก็....
   แต่พอเห็นผู้เป็นเจ้านายดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร จางซื่อเยี่ยนจึงพยายามปลอบใจตัวเองว่า บางทีเว่ยเฟิงปิงคงมีอะไรซุกซ่อนเอาไว้โดยที่เขาไม่รู้เหมือนกันนั่นแหละ เพราะโดยนิสัยแล้ว เจ้าตัวเองก็คงไม่พาตัวเข้าไปในปากจระเข้โดยไม่มีแผนอะไรหรอก ถึงอย่างนั้น เขาก็ต้องเผื่อสถานการณ์เอาไว้ก่อนเหมือนกัน หากเว่ยเฟิงปิงพลาด... เขาจะต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยเจ้านายออกมาให้ได้ ส่วนเรื่องที่เหลือ เว่ยจินหยินคงมีวิธีจัดการเองนั่นแหละ
------------------------------------------------------------
   เถียนซานมองดูอดีตเจ้านายของตัวเองที่กำลังนั่งครุ่นคิดอะไรอยู่อย่างเงียบๆ เขารู้ดีว่างานนี้เว่ยจินหยินจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้แผนสำเร็จลุล่วง ไม่ว่าจะเป็นวิธีที่เสี่ยงหรือเลวร้ายขนาดไหนก็ตาม
   ความฝังใจในวัยเด็กผลักดันให้อดีตเจ้านายของเขาคนนี้ ออกห่างจากสิ่งที่เรียกว่าสามัญสำนึกพื้นฐานของความเป็นมนุษย์เข้าไปทุกทีๆ แม้เถียนซานจะรู้อยู่เต็มอก ว่านี่ไม่ใช่สิ่งดีเลย แต่เขาเองก็ไม่อาจพูดอะไรออกไปได้ เพราะรู้ซึ้งถึงเรื่องความฝังใจนั้นดีกว่าใครๆ ดังนั้น ไม่ว่าเว่ยจินหยินจะวางแผนอะไร จะทำเรื่องเลวร้ายขนาดไหน เขาก็จะอยู่เคียงข้างผู้ชายคนนี้ เผื่อว่าสักวันหนึ่ง สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เว่ยจินหยินได้ทำลงไป จะพอช่วยแก้ไขเรื่องฝังใจนั้นลงได้ เผื่อว่าคนคนนั้นจะหันกลับมามองเสียที
   จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะคอยเคียงข้างอดีตเจ้านายคนนี้ ไม่ว่าสิ่งที่ทำจะเลวร้ายสักเพียงไหนก็ตาม
---------------------------------------------------------
   ฟ่งตัดสินใจเดินกลับมายังจุดที่เกิดการถล่มอีกครั้ง ซากปรักหักพังถูกขนออกไปจนเกือบหมดแล้วในตอนที่เขาไปถึง ทีมวิศวกรอีกสองสามคนเดินตามเขามา สถาปนิกหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ ท่าทางเหมือนจะไม่มีใครเจออะไรผิดปกติ ชายหนุ่มแอบหวังว่าเขาอาจจะได้เห็นรูฟัสปลอมตัวเป็นพนักงานคนใดคนหนึ่งในที่นี้ก็ได้ อย่างไรก็ดี ถ้ารูฟัสเห็นว่าเขาอยู่ที่นี่ อาจจะไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่ก็เป็นได้
   ฟ่งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เงยหน้าขึ้นมองโครงสร้างที่เหลืออยู่ และนึกปวดหัวว่าทั้งหมดนี่จะใช้เวลาซ่อมสักเท่าไหร่กัน หนึ่งวัน สองวัน หรือสามวัน แต่ทวีศักดิ์ดูเหมือนจะเร่งกว่านั้น
   เขาหันไปปรึกษากับทีมวิศวกรด้านหลังอีกรอบ
   ท่าทางคืนนี้จะต้องโต้รุ่งเสียแล้ว
-----------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33
อย่าหายไปนานนะ
กำลังมัน o13

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
นับถือคนเขียนจริงๆ ว่าเราเป็นคนอ่าน เห็นตัวหนังสือเย๊อะๆ ยังตาลายเลย
แต่เราไม่ท้อที่จะอ่าน ยิ่งอ่านยิ่งมันส์ ถึงแม้มันจะเหนื่อยใจกับนายเอกเราก็ตาม

ขอบคุณค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
ตอนนี้ออกมาครบทุกคนเลยทีเดียว   
ฟ่งยังมีกะใจไปแก้แบบให้เค้าอีกเรอะ

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
แล้วจะเป็นงัยกันต่อล่ะเนี้ย มากันครบแบบนี้

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
ถ้าได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาคงสนุกดีพิลึก

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**เรื่องนี้ยังคงลงอย่างอืดอาดเหมือนเดิม (บางทีก็ลืม^^")

ถ้าหกคนนี้มาเจอกันจริง คนเขียนตายก่อนค่ะ ฮ่าๆๆ (นอกจากจะต้องคิดพล็อตให้พวกมันมาเจอกันได้ ยังต้องห้ามไม่ให้เกิดหายนะอีกต่างหาก!! ขนาดนั้นเลยนะเนี่ย!!!!!! o22)
---------------------------------------------
บทที่54 เทพเจ้า

   ชุดพรางเข้ารูปที่พวกราฟาแอลสวม เป็นชุดที่ทอขึ้นมาจากเส้นใยแบบพิเศษ ซึ่งมีคุณสมบัติสะท้อนแสงของบรรยากาศรอบๆ ตัว โชคดีที่บริเวณใกล้ๆ กับลานอเนกประสงค์ที่ดูจะกลายเป็นห้องเก็บของไปแล้ว ติดไฟไว้ไม่มาก ทำให้ทั้งรูฟัสและราฟาแอลสามารถเดินหลบๆ ตามเงามืดไปยังระเบียงซึ่งเป็นทางเชื่อมไปยังห้องเก็บเสื้อผ้า
   ราฟาแอลเรียกแผนที่จากนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พลางติดต่อกับรัสเลอร์ซึ่งยังอยู่ในห้องเก็บของ
   “ซิมแปนซี นี่สิงโตเรียก เรามาถึงระเบียงเอแล้ว นายบังกล้องวงจรปิดเรียบร้อยหรือยัง?”
   รูฟัสนึกขำกับฉายาของรัสเลอร์ และคิดว่าเหมาะเสียยิ่งกว่าเหมาะ ได้ยินเสียงรัสเลอร์ตอบกลับมา “ตัวขวามือเรียบร้อยแล้ว แต่มีอีกตัวหนึ่งอยู่ถัดจากตำแหน่งพวกนายไปอีกสักยี่สิบเมตร ฉันกำลังจะส่งไฟล์เข้าไปอยู่” เงียบไปอึดใจ รัสเลอร์ก็ส่งเสียงกลับมา “เรียบร้อยล่ะ”
   “อืม” ราฟาแอลส่งเสียงตอบ และหันไปหารูฟัส ทั้งคู่มองซ้ายมองขวา แล้วรีบกึ่งวิ่งกึ่งคลานไปหลบในมุมมืดบริเวณเสา พื้นที่ตรงระเบียงติดไฟเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังพอเหลือจุดอับสายตาอยู่บ้าง เพียงแต่ต้องหาจังหวะดีๆ ในการวิ่งอยู่สักหน่อย
   “นี่ ซิมแปนซี” ราฟาแอลกระซิบทางวิทยุสื่อสารอีกครั้ง เมื่อพวกเขาวิ่งโผมาได้สักสามร้อยเมตร มีพนักงานในชุดสีขาวเดินไปๆ มาๆ เป็นระยะๆ เลยทำให้การเคลื่อนที่ของราฟาแอลและรูฟัสเป็นไปได้ช้าพอสมควร “ถ้ามีอะไรผิดพลาด นายพอจะดับไฟได้มั้ย?”
   “ตอนนี้น่ะยังไม่ได้” รัสเลอร์ว่า “ฉันไม่ใช่พ่อมดนะ จะได้เสกน้ำไหลไฟดับได้ มันต้องรอเจาะระบบป้องกันอีกสักสองชั้น ถึงจะเชื่อมเข้ากับระบบควบคุมไฟได้ ถ้าพลาดตอนนี้ก็ตามมีตามเกิดแล้วกัน”
   “เยี่ยม” ราฟาแอลส่งเสียงเชิงประชด ก่อนจะหันมามองรูฟัส หนุ่มตาสองสียักไหล่ “ช่วยไม่ได้แฮะ” เขาว่า พลางเล็งไปยังมุมมืดฝั่งตรงข้าม “หวังว่าเราจะไปถึงห้องเก็บเสื้อผ้านั่น ก่อนที่คุณจะต้องฆ่าใครก็แล้วกัน”
   ราฟาแอลหันมายิงฟันใส่เพื่อนร่วมงาน “อย่าให้ฉันรู้ว่าแกมันไม่เคยฆ่าใครก็แล้วกัน”
-----------------------------------------------------------
   โชคดีที่ชุดพรางใช้การได้ดีจนน่าประทับใจ และการวิ่งโผหลบเข้าไปในเงามืดไม่มีความผิดพลาด ดังนั้นทั้งคู่จึงเล็ดลอดมาถึงห้องเก็บเสื้อผ้าได้โดยที่ไม่ต้องดับไฟ ราฟาแอลให้สัญญาณกับรัสเลอร์ผ่านเครื่องมือสื่อสารซึ่งติดอยู่ใต้ปกคอเสื้อให้จัดการกับจอมอนิเตอร์ในห้อง ขณะที่ตัวเองค่อยๆ เคลื่อนผ่านกองผ้า หลบสายตาของพนักงานซักรีด ซึ่งง่วนกับการหอบกองเสื้อผ้าสีขาวพวกนั้นไปใส่ถังซัก และรื้อเสื้อผ้าจากถังที่ซักเสร็จแล้วไปใส่ในถังอบแห้ง กลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มฟุ้งไปหมด
   ห้องซักรีดค่อนข้างจะแคบอยู่สักหน่อย หากเทียบกับลานเก็บของ แต่ก็มีที่ให้หลบพอสมควร ก็พวกชั้นวางเสื้อผ้าที่สูงท่วมหัวพวกนั้นนั่นแหละ
   “เราต้องหาเสื้อผ้าแบบที่มันสวมทับชุดของเราได้” รูฟัสสื่อสารกับราฟาแอลโดยใช้ภาษามือ คนมองพยักหน้า แล้วหยิบเสื้อชุดหนึ่งออกมา และพบว่ามันเป็นชุดหมีที่ดูยังไงก็ตัวเล็กจนอย่าว่าแต่ใส่คลุมเลย จะใส่ได้รึเปล่ายังไม่รู้
   “เออ เราต้องหาไซต์ที่ใส่ได้ด้วยล่ะ” หนุ่มผมสีบลอนด์ให้สัญญาณมือกลับมา รูฟัสพยักหน้า จากนั้นทั้งคู่จึงเริ่มค้นหาตามชั้นวางเสื้อผ้า โดยพยายามหลบสายตาของพนักงานซักรีดไปด้วย
----------------------------------------------------------
   “เฮ้! พวกนายทำอะไรกันอยู่เนี่ย ทำไมเงียบเป็นเป่าสากแบบนี้” รัสเลอร์ว่าเมื่อเห็นทีมอีกสองคนของเขาเงียบไป และได้ยินเสียงเคาะตึกๆ มาแทนคำตอบ
   ‘กำลังหาเสื้อใส่อยู่โว้ย ไอ้บ้า’
   รัสเลอร์ไม่รู้ว่าคนที่เคาะเป็นรูฟัสหรือราฟาแอลกันแน่ แต่ก็กรอกเสียงตอบกลับไป “นี่ จะใช้รหัสมอสกับฉัน ก็ให้มันสุภาพหน่อยซี่ พวกนายจะเคาะคำสบถมาทำบ้าอะไร”
   จากนั้นเขาก็ได้รับรหัสมอสอีกชุด รัสเลอร์กรอกเสียงลงไป “เอาล่ะ รอบหน้าฉันจะหาเสียงตรู๊ดๆ มาเซนเซอร์พวกนาย”
   ‘หุบปาก แล้วทำงานของนายไปเถอะ’
“ใช่ซี่ พวกนายคุยกันเองก็แล้วกัน ฉันจะคุยกับน้องดีว่าโฟร์ของฉันต่อล่ะ” นักประดิษฐ์หนุ่มส่งเสียงประชด ก่อนจะไล่นิ้วลงไปบนคีย์บอร์ด เขาแค่อยากจะถามสองคนนั่นเท่านั้นเองว่าจัดการอะไรถึงไหนกันแล้ว
หน้าจอคอมพิวเตอร์กำลังแสดงระบบป้องกันของฐานข้อมูลผู้ผ่านเข้าออก รัสเลอร์เรียกโปรแกรมที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเองมาสองสามโปรแกรม และใช้โปรแกรมพวกนั้นในการถอดรหัสและแก้โปรเทคเข้าไปในระบบ
สิบห้านาทีผ่านไป รัสเลอร์สามารถฝังข้อมูลของรูม่านตาและลายนิ้วมือปลอมที่เขาให้รูฟัสกับราฟาแอลลงไปในระบบได้สำเร็จ จึงติดต่อไปยังพวกรูฟัสและราฟาแอลอีกครั้ง
“ซิมแปนซีเรียกสิงโต เรียกเสือขาว ตอบด้วย”
เสียงเคาะตึกๆ เป็นสัญญาณว่าทั้งคู่น่าจะยังอยู่ในสถานที่ที่ไม่สามารถใช้เสียงสื่อสารได้ รัสเลอร์จึงพูดกรอกไมโครโฟนลงไป “พวกนายผ่านประตูได้แล้ว แต่เรื่องดับไฟยังต้องรอก่อนนะ”
อีกฝั่งเงียบไปพัก ก่อนจะได้ยินเสียงตอบกลับมา “อืม พวกฉันได้เสื้อผ้าล่ะ เดี๋ยวจะตรงไปที่ห้องวิจัย คิดว่ามิสเตอร์ดี เอ็น แอล น่าจะอยู่ที่นั่น นายบังกล้องเรียบร้อยหมดแล้วหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้ว ฉันจะยิงตำแหน่งห้องวิจัยให้พวกนายแล้วกัน แต่มันค่อนข้างไกลจากจุดที่พวกนายอยู่พอสมควรเลยนะ”
“ไม่เป็นไร พวกฉันจัดการได้”
---------------------------------------------------
   เสื้อสีขาวที่รูฟัสและราฟาแอลเลือกกันมาได้ บังเอิญเป็นเสื้อกาวน์สำหรับใส่ในห้องปฏิบัติการพอดี ผลัดกันปัดฝุ่นมอมแมมออกจากตัว และทำหน้าให้ทรงภูมิหน่อยๆ ทั้งสองก็พอจะอุปโลกน์ตัวเองเป็นนักวิจัยกับเขาได้
   รูฟัสและราฟาแอลลอบออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า แสร้งทำเป็นถกปัญหากันหน้าดำคร่ำเครียด ขณะเดินผ่านพนักงานพวกนั้น ไปยังห้องวิจัยซึ่งอยู่ถัดออกไปไกลพอสมควร
   ตอนที่ทั้งสองไปถึงห้องประชุมใหญ่ในโซนที่เกี่ยวกับการวิจัย ก็พบว่ามีพวกนักวิจัยกลุ่มหนึ่งกำลังมีปากเสียงกันอยู่ ทั้งหมดทุ่มเถียงกันเสียงดังจนไม่ทันได้สังเกตผู้ที่เข้ามาใหม่ รูฟัสและราฟาแอลจึงตัดสินใจยืนฟังเงียบๆ อยู่แถวนั้น
หลังจากยืนฟังอยู่พักใหญ่ ก็พอจะจับใจความได้ว่าพวกเขากำลังถกเถียงกันเรื่องจรรยาบรรณหรืออะไรซักอย่าง ที่พวกตนควรจะมี นักวิจัยส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ภาษาที่ใช้เถียงกันจึงเป็นภาษาอังกฤษเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีมากที่บางคนปริภาสภาษาบ้านเกิดของตนออกมา ดูเหมือนจะมีความเห็นแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย
   “ฉันคิดว่าถึงยังไงเราก็ไม่ควรจะปล่อยให้ของแบบนี้หลุดออกไปข้างนอก โดยเฉพาะการหลุดไปอยู่ในมือของพวกมาเฟีย”   หญิงสาวผมบลอนด์ในชุดเสื้อกาวน์คนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ดูจากใบหน้าแล้ว เธอยังเด็กเกินไปนักสำหรับการเป็นนักวิจัย กระนั้นหลายคนก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับหล่อน แต่ก็มีอีกเสียงหนึ่งแย้งขึ้น
   “ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงได้ยึดติดกับคำว่าจรรยาบรรณนัก ถ้าเราไม่เปิดตัวที่นี่ คุณคิดหรือว่าโลกนี้จะได้เห็นผลงานอันสุดวิเศษที่พวกเราร่วมกันสร้างขึ้น” ผู้ที่แย้งเป็นชายชาวเอเชียน่าจะมีเชื้อสายอยู่ทางจีนหรือเกาหลี รูปร่างค่อนข้างเล็ก ดูจากรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าแล้ว อายุของคนคนนี้ไม่น่าจะน้อยกว่าหกสิบปี ที่น่าแปลกคือ คนที่พูดเรื่องจรรยาบรรณ กลับกลายเป็นคนที่มีอายุคราวลูก ส่วนคนที่เห็นแย้งกลับอายุเยอะแทบจะเป็นพ่อของพ่อได้ และดูเหมือนจะมีคนเห็นด้วยกับเขาไม่น้อยเลย
   “ผลงานสุดวิเศษงั้นหรือ? ฉันคิดว่ามันเป็นความเลวร้ายมากกว่า” นักวิจัยสาวคนเดิมพูดต่อ คราวนี้เสียงรอบข้างดังเซ็งแซ่ขึ้นอีก จากนั้นทั้งสองฝ่ายเริ่มโต้เถียงกันอีกครั้ง
   “เธอเห็นความพยายามของพวกเราไร้ค่าและเลวร้ายอย่างนั้นรึ?” นักวิจัยอีกคนหนึ่งซึ่งอายุอานามก็คงสักห้าสิบได้แล้วพูดอย่างมีอารมณ์ใส่หล่อน นักวิจัยอีกคนที่ยืนอยู่ถัดจากนักวิจัยสาวจึงพูดตอกกลับ “มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกที่จะปล่อยให้ของพวกนั้นออกไปน่ะ”
   “คนที่ทำงานร่วมกับเราอย่างพวกเธอกล้าพูดว่านี่เป็นสิ่งเลวร้ายได้ยังไง!! ถ้าจริงใจล่ะก็ถอนตัวออกไปเลยซี่!!”
   “ไอ้พวกไร้จิตสำนึก!!!”
   รูฟัสและราฟาแอลหันมามองหน้ากัน พลางคิดว่าในกลุ่มคนพวกนี้จะมีคนที่พวกเขากำลังตามหาตัวอยู่หรือเปล่า
   “คุณคิดว่าในนี้จะมีคนที่เคยส่งข้อมูลให้เราไหม?” รูฟัสเอ่ยถามขึ้น แข่งกับเสียงโต้เถียง  ราฟาแอลยักไหล่
   “จะไปรู้เรอะ นายไม่เคยเห็นหน้าเขาหรือไง?”
   รูฟัสสั่นศีรษะ พลางนึกไปถึงตอนที่เขานั่งดาวน์โหลดข้อมูลอยู่ที่ห้องพัก ในตอนที่มาถึงประเทศไทยใหม่ๆ
   “ผมรู้แค่ชื่อแฝงกับรหัสลับที่เขาเรียกตัวเอง และเขาก็เพิ่งติดต่อกับผมตอนที่ผมมาที่เมืองไทย ก่อนหน้านี้ดูเหมือนเขาจะติดต่อโดยตรงกับเบื้องบน”
   “อ้อ... งั้น.........”
   ประโยคต่อมาของราฟาแอลถูกเสียงก่นด่ากลบจนฟังไม่ได้ศัพท์ สุดท้ายรูฟัสเลยใช้นิ้วเคาะลงไปบนแขนของราฟาแอล หนุ่มผมบลอนด์พยักหน้า และเคาะกลับ
   “จะลองดูตามนายว่าก็ได้ คงไม่มีใครสงสัยเรื่องข้อความแปลกๆ หรอก แค่ที่ได้ยินอยู่นี่ก็แปลกพอล่ะ” ราฟาแอลว่า รูฟัสยิ้มอย่างเห็นด้วย ไอ้การเถียงกันด้วยถ้อยคำถ่อยๆ แบบนี้ เป็นเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงว่าจะมาได้ยินในหมู่พวกนักวิจัยจริงๆ
-----------------------------------------------------------------   
   “สรุปว่าพวกนายทิ้งเศษกระดาษเอาไว้แล้วก็เดินหนีออกมา?” รัสเลอร์ถามย้ำอีกครั้งหลังจากที่ได้ยินราฟาแอลเล่าเรื่อง
   “พวกฉันปลอมลายมือเป็นล่ะน่า” รูฟัสพูดแทรก รัสเลอร์ขยับหูฟังให้เข้าที่ เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นข้อความFailปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
   “สงสัยคงต้องลองวิธีอื่น” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพึมพำ ทำให้อีกฝ่ายถามขึ้น
   “ลองอะไร?” “ฉันยังแฮ๊กกิ้งระบบไม่ได้ พวกนายก็รอคนที่จะเข้าใจเศษกระดาษแผ่นนั้นต่อไปก่อนก็แล้วกัน อย่าเพิ่งทำอะไรเสี่ยงๆ เข้าใจไหม”
   “เหอะ เตือนตัวเองไว้เถอะ” รูฟัสว่า ก่อนจะพูดต่อ “ไหนว่าเครื่องนายแฮ๊กได้ทุกอย่างไงล่ะ”
   รัสเลอร์จิ๊ปากอย่างขัดใจ “แฮ๊กได้น่า หัดใจเย็นๆ กันหน่อยซี่” ชายหนุ่มว่า และตัดสายของทางนั้นไป เขาหันมาให้ความสนใจกับความล้มเหลวในการเจาะระบบที่เกิดขึ้น มันพลาดไปตรงไหน? รัสเลอร์เปิดล็อกไฟล์ขึ้นมาไล่ดู ก่อนจะยิ้มเหี้ยมๆ
   “ถ้าเล่นแบบนี้ก็คงต้องเจอกันหน่อยล่ะ”
---------------------------------------
   รูฟัสหาวหวอด เขาและราฟาแอลยังคงซุ่มอยู่ด้านนอกของห้อง รอคอยคนที่คาดว่าจะปรากฏตัวออกมาเพราะเศษกระดาษที่ทิ้งเอาไว้ แต่นี่ก็เกือบจะเลยเที่ยงคืนแล้ว ดูเหมือนพวกนักวิจัยที่ทะเลาะกัน จะแยกย้ายกันไปพักผ่อนจนหมด ทิ้งห้องประชุมเปล่าๆ เอาไว้ หรือว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นกระดาษนั่น?
   “ท่าทางเราคงต้องนอนในหลืบนี่”   ราฟาแอลพูดขึ้น เมื่อพบว่ารูฟัสหาวซ้ำติดกันไปแล้วสองรอบ หนุ่มตาสองสีพยักหน้า และหาวอีกรอบ
   “คุณว่าเขาไม่เจอกระดาษที่เราทิ้งเอาไว้ หรือว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องประชุมนั่นกันแน่?”
   “อาจจะทั้งสองอย่าง” ราฟาแอลตอบ พลางนึกหาวิธีติดต่อรูปแบบอื่น “ฉันว่าบางทีเราอาจจะต้องหาวิธีติดต่อที่มันได้ผลมากกว่านี้”
   “ยังไงล่ะ เอากระดาษแปะหน้าผากเลยดีมั้ย?” รูฟัสออกความเห็นที่ชักชวนให้ต้องตบรางวัลด้วยรองเท้ามากกว่าอย่างอื่น แต่ราฟาแอลคิดว่าเขาคงใจไม่เย็นพอจะถอดรองเท้าออกและปาใส่เพื่อนร่วมงาน ในเมื่อมีอย่างอื่นที่ไปถึงได้เร็วกว่านั้น  ขณะที่หนุ่มผมบลอนด์กำลังบอกตัวเองให้สงบจิตสงบใจ และคิดว่าตนควรจะปลงตกกับการกวนประสาทของรูฟัสได้แล้ว เสียงเคลื่อนไหวบางอย่างก็ดังขึ้น
   ทั้งคู่ขยับตัวชิดกับผนัง เมื่อเห็นว่ามีเงาคนไหวๆ อยู่ใกล้ๆ ไม่นานนักร่างหนึ่งก็เดินเข้ามาถึงบริเวณที่กำหนดเป็นจุดนัดพบซึ่งเขียนเอาไว้ในกระดาษ ด้วยแสงสลัวๆ จากดวงไฟทางเดินที่เปิดเอาไว้ ทำให้พอจะเดาได้ว่าผู้ที่เดินมาใหม่นี้น่าจะเป็นผู้หญิง นั่นทำให้รูฟัสกับราฟาแอลรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
   “ไหนแกว่าเป็นผู้ชาย(He)ไง?” ราฟาแอลส่งภาษามือใส่รูฟัสเป็นพัลวัน อีกฝ่ายก็รีบทำท่าตอบเป็นพัลวันเช่นกัน
   “ผมไม่รู้ ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นผู้ชาย เห็นเขาใช้มิสเตอร์นำหน้าชื่อนี่”
   สองคนเลยตกลงกันว่าจะซุ่มดูอีกพักหนึ่ง บางทีอาจจะเป็นแค่คนที่เดินผ่านมา ผู้หญิงคนนั้นหยุดยืนตรงจุดที่นัด แล้วหันมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวังตัว ก่อนจะวางกระดาษลงไปบนพื้นแผ่นหนึ่ง แล้วเดินออกไป
   รูฟัสและราฟาแอลหันมามองหน้ากันทันที
-------------------------------------
   “เฮ้ย!! ซิมแปนซี หลับหรือยังน่ะ?” เสียงของรูฟัสที่ดังขึ้น ทำคิ้วของคนถูกทักที่ขมวดเข้าหากันอยู่แล้วยิ่งขมวดยุ่ง หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มกรอกเสียงลงไป
   “ยัง!! นายอย่าเพิ่งมากวนสมาธิฉันได้ไหม ฉันกำลังจัดการกับไอ้หนูนี่อยู่”
   “ไอ้หนู? มีเด็กเข้าไปเล่นแถวนั้นหรือไง?” รูฟัสถามอย่างแปลกใจ รัสเลอร์พยักหน้า พลางไล่นิ้วเรียวยาวลงไปบนแป้นคีย์บอร์ดไร้เสียงด้วยความเร็วที่น่าตระหนกสำหรับผู้พบเห็น
   “เด็กตัวใหญ่เลยล่ะ พวกนายมีอะไรกัน?”
   รูฟัสหันไปมองหน้าราฟาแอลด้วยความงุนงงกับคำพูดของรัสเลอร์ หรือว่าเจ้าหมอนั่นพูดถึงอย่างอื่นที่ไม่ใช่คน อาจจะใช่ก็ได้ เพราะโดยปกติรัสเลอร์ก็ดูจะสนิทชิดเชื้อกับเครื่องจักรมากกว่าคนเป็นๆ อยู่แล้ว แถมยังชอบตั้งชื่อให้เครื่องมือพวกนั้นอีก
   “นายรู้ประวัติของผู้หญิงที่อยู่ห้องD51รึเปล่า?”
   รัสเลอร์ขมวดคิ้วยุ่งมากยิ่งขึ้น เขาไล่นิ้วเรียวยาวลงไปบนคีย์บอร์ดและพยายามจะแบ่งสมาธิให้กับคำถามของรูฟัส
   “ห้องD51? ฉันจะไปรู้ได้ไง?!! เดี๋ยวนะ!! อย่างนั้นแหละ  อ่ะฮ้า!”
   รูฟัสหันไปมองหน้าราฟาแอลด้วยความสยดสยอง เจ้ารัสเลอร์กำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ
   “ขอโทษถ้าเสียงของฉันมันฟังดูทุเรศ” รัสเลอร์ตอบกลับมาอีกหน คราวนี้น้ำเสียงดูจะลิงโลดจนแทบจะร้องเฮ
   “พวกนายกำลังอยากจะรู้จักสาวห้องD51ใช่ไหม ข่าวดี ฉันเพิ่งแฮ๊กกิ้งระบบใหญ่ได้เมื่อกี้นี้เอง” ชายหนุ่มพูด ขณะมองข้อมูลปริมาณมหาศาลเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ จากนั้นก็ผิวปากหวือ
   “นี่ถ้าไม่ใช่คอมพิวเตอร์ระดับดิวาโฟร์ของฉัน รับรองว่ารับข้อมูลขนาดนี้ไม่ไหวแน่”
   คราวนี้ฝ่ายที่ขมวดคิ้วเป็นทางรูฟัสบ้าง หนุ่มตาสองสีรีบกรอกเสียงลงไป ก่อนจะต้องทนฟังเรื่องบ้าๆ เกี่ยวกับเครื่องมือของรัสเลอร์อีก
   “ตกลงนายรู้หรือเปล่าว่าผู้หญิงห้องD51เป็นใคร?”
   “นายกำลังถามถึงสาวผมบลอนด์ที่ชื่อ ไดแอน เอ็น เลอวิสรึเปล่า?” รัสเลอร์ส่งเสียงถามกลับ ขณะเรียกดูรายละเอียดของผู้หญิงที่พักอยู่ในห้องD51
   “เธอชื่อไดแอนรึ?” รูฟัสถามย้ำ และได้รับคำยืนยันกลับมา “อืม ไดแอน” รัสเลอร์พูดพลาง ไล่สายตาอ่านข้อมูลที่กำลังแสดงผลขึ้นมาบนจอภาพ
   “นักวิจัยจากสหรัฐฯ อายุยี่สิบห้า โสดด้วย แหม... ที่จริงสาวผมบลอนด์ตรงนี่ก็สเปกฉันเหมือนกันนะเนี่ย ว่าแต่... นายอยากรู้จักเธอไปทำไมน่ะ?”
   “เธออาจจะเป็นคนที่เคยส่งข้อมูลเรื่องนี้ให้เรา” รูฟัสตอบ ได้ยินเสียงรัสเลอร์ร้องอุทานขึ้นมา
   “หา! อย่าบอกนะว่าเธอคือ มิสเตอร์ ดี เอ็น แอล? แต่.... อืม คิดอีกทีก็เป็นไปได้อยู่นะ ชื่อย่อตรงกัน ไม่ยักจะคิดมาก่อนว่าเป็นผู้หญิง”
   ดูเหมือนรัสเลอร์จะรู้สึกอารมณ์ดีหลังจากเจาะระบบได้ ถึงกับพูดสาธยายแต่ละประโยคเสียยาวยืนจนน่ารำคาญ
   “พวกนายรู้ได้ยังไงว่าเธอคือมิสเตอร์ ดี เอ็น แอล?” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มถามต่อ รูฟัสกรอกเสียงลงไป
   “ยังไม่แน่ใจนักหรอก เธอทิ้งหมายเลขห้องเอาไว้ตรงจุดนัดพบที่พวกฉันทิ้งข้อความเอาไว้ พวกฉันกำลังจะไปพบเธอ นายช่วยดูหน่อยสิว่ามีกล้องติดอยู่หน้าของD51รึเปล่า?”
   “มันมีอยู่ทุกห้องแหละ กล้องน่ะ” รัสเลอร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เขาเลื่อนมือไปดึงภาพกล้องวงจรปิดบริเวณห้องที่ว่าขึ้นมา และสับเปลี่ยนเป็นภาพที่อัดเอาไว้
   “บังกล้องให้แล้ว ในห้องไม่มีกล้องหรอก พวกนายไปได้เลย”
-----------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ไดแอน เอ็น เลอวิส สะดุ้งเฮือก ตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น มันดังเป็นจังหวะถี่ห่างต่างกันไป หญิงสาวรีรออยู่สักพัก จึงค่อยๆ แง้มประตูออก และพบว่าผู้มาเยือนเป็นนักวิจัยที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
   “คุณคือ?” หล่อนถามด้วยสีหน้าที่ดูจะระแวดระวังตัวเองเต็มที่ เสียงรหัสที่เคาะเมื่อครู่หมายถึงตัวย่อชื่อของคนที่หล่อนเคยส่งข้อมูลให้ แต่หล่อนไม่คิดว่าจะมีสองคน บางทีอาจจะเป็นแผนลวงก็ได้
   “ยินดีที่ได้พบ Mr. D N L. ผมคือ R.” หนึ่งในนั้นตอบ ไดแอนเบิ่งตากว้างด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะรีบเปิดประตูให้ทั้งสองคนเข้ามา
   “ไม่มีใครเห็นพวกคุณใช่ไหม ฉันหมายถึงกล้องวงจรปิดพวกนั้น?”
   หล่อนถามหลังจากปิดประตูแล้ว พลางมองมาด้วยสายตาหวาดๆ รูฟัสจำได้ว่านี่เป็นผู้หญิงคนเดียวกันกับที่เอ่ยปากคัดค้านเรื่องการส่งงานวิจัยให้พวกมาเฟีย
   “คุณไม่ต้องห่วงเรื่องกล้องวงจรปิดหรอก” รูฟัสพูดเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ แต่ยิ่งทำให้ดวงตาสีดำขัดกับลักษณะของยาวยุโรปโดยทั่วไปจ้องมองเขาอย่างไม่ไว้ใจหนักขึ้นอีก
   “คุณมีสายเป็นคนในหรือ?”
   “เปล่า พวกผมเพิ่งเข้ามา” รูฟัสปฏิเสธ และพูดต่อ “เอาล่ะ มาพูดถึงเรื่องของคุณให้แน่ชัดดีกว่า คุณคือ มิสเตอร์ ดี เอ็น แอล จริงๆ รึเปล่า?”
   “ใช่!! ฉันคือ มิสเตอร์ ดี เอ็น แอล  คุณคืออาร์? แต่ทำไมคุณถึงมีสองคนล่ะ?”
   “เราทำงานเป็นทีมน่ะ” รูฟัสตอบ “คุณติดต่อไปที่”เบื้องบน”ของผม และผมก็ได้รับข้อมูลหลายอย่างจากคุณ แต่ทีนี้” หยุดและหันไปมองหน้าราฟาแอลแวบหนึ่ง “บอกหน่อยสิว่างานวิจัยที่พวกคุณกำลังทำอยู่คืออะไรกันแน่ ทำไมมันถึงทำให้”เบื้องบน”ลงทุนส่งพวกผมมา”
   “ฉันคิดว่า”เบื้องบน” จะไม่ส่งพวกคุณมาแล้วเสียอีก” ไดแอนพูด และมีสีหน้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
   “พวกคุณนั่งลงก่อนเถอะ เรื่องนี้ฉันคงต้องใช้เวลาอธิบายนาน” หล่อนว่า และนั่งลงบนพื้น เพราะทั้งห้องมีแต่เตียง ตู้เสื้อผ้า และห้องน้ำ
   “อย่างกับอยู่ในคุกแน่ะ” ราฟาแอลว่าขณะนั่งลงตาม ไดแอนพยักหน้า
   “ใช่ มันเหมือนคุกอย่างที่คุณว่านั่นแหละ น่าแปลกใช่ไหมที่พวกฉันทนอยู่กันในที่ที่เหมือนคุกแบบนี้ได้น่ะ”
   ราฟาแอลพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ผมเองก็รับเงินเขามาทำงานเหมือนกัน ทำไมจะไม่เข้าใจล่ะ”
   “เราไม่ได้ทนอยู่ที่นี่เพราะเงินหรอก” ไดแอนพูด และอธิบายต่อ “ความจริงแล้วเงินเป็นแค่ปัจจัยที่ทำให้เราทำงานวิจัยได้ ที่นี่ให้โอกาสเราในการทำวิจัย งานวิจัยที่ไม่มีใครกล้าให้ทำ”
   “ยาเสพติดแบบที่เข้าไปควบคุมระบบสั่งการของร่างกายได้น่ะ ไม่มีคนปกติที่ไหนเขาส่งเสริมให้ทำหรอกนะ” รูฟัสพูดขึ้นบ้าง ไดแอนพยักหน้าอย่างยอมรับ ก่อนจะถามขึ้นต่อ “แปลว่าพวกคุณรู้เรื่องของมันแล้วสิ”
   “ก็ยังไม่มากเท่าไหร่หรอก” รูฟัสตอบ “เราอาศัยข้อมูลที่คุณส่งมา แล้วให้ทีมงานช่วยวิเคราะห์ให้อีกที”
   “อ้อ” หญิงสาวร้องในคอ ก่อนจะถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “พวกคุณคงได้เห็นของจริงไม่ช้านี่แหละ”
   “สรุปว่าพวกคุณทำมันสำเร็จแล้ว?” ราฟาแอลถามขึ้นในทันที
   “อืม” หล่อนส่งเสียงในคอแล้วพยักหน้า จากนั้นก็ทำคอตก หนุ่มผมบลอนด์จึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจทันที
   “เธอเองก็เป็นหนึ่งในทีมวิจัยเหมือนกันนี่ ถ้าเธออยากทำงานวิจัยนี้เอง แล้วทำไมถึงต้องส่งข้อมูลพวกนั้นให้เรา ไม่สิ ให้”เบื้องบน”ล่ะ? ในเมื่อเธอเองก็อยากที่จะทำมันออกมาเหมือนกัน”
   ไดแอนสั่นศีรษะ “ฉันไม่ได้อยากทำค่ะ ตอนแรกฉันไม่เคยคิดจะสนใจโครงการนี้เลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งเห็นชื่อพ่อ”
   “พ่อ?” ทั้งรูฟัสและราฟาแอลพูดขึ้นพร้อมกัน พลางคิดว่าพวกเขากำลังจะได้ยินเรื่องเล่าที่เหมือนนวนิยายน้ำเน่าอีกรึเปล่า...
   “พ่อของฉัน ลู่ชาง คุณไม่เคยได้ยินชื่อของเขาหรือคะ?” ไดแอนเอ่ยอย่างแปลกใจ  ราฟาแอลกรอกเสียงผ่านไมโครโฟนทันที
   “ซิมแปนซี ลู่ชาง นี่ใคร?”
   “โห.. นี่นายไม่รู้จักเหรอเนี่ย?” รัสเลอร์ตอบกลับมาอย่างแปลกใจไม่แพ้ไดแอน ยิ่งทำให้รูฟัสกับราฟาแอลคิดว่าสี่คนนี้ คงต้องมีสองคนไหนที่ผิดปกติแน่ๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงรัสเลอร์ก็อธิบายต่อ
   “ลู่ชาง นี่เป็นนักวิจัยของพิสดารตัวพ่อเลยนะ เขาเคยถูกทางการจีนสั่งควบคุมตัวข้อหาวิจัยเรื่องการโคลนนิ่งมนุษย์ และการผสมดีเอ็นเอของมนุษย์เข้ากับดีเอ็นเอของเสือเบงกอลเพื่อสร้างมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่มีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า”
   “ฟังดูบ้าบอดี” ราฟาแอลว่า รัสเลอร์กรอกเสียงผ่านไมโครโฟนมาอีก
   “เห็นว่าพอถูกปล่อยตัว ก็หันมาสนใจการวิจัยเรื่องชีวะเคมีระดับโมเลกุล แล้วก็เงียบไปเลย โอ้... มีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของที่นี่ด้วยนี่ เป็นตาลุงตัวเตี้ยม่อต้อนี่เอง”
   “ลู่ชาง ที่ว่านี่ใช่ผู้ชายแก่ๆ ตัวเล็กๆ ที่เถียงกับเธอเมื่อตอนหัวค่ำรึเปล่า?” รูฟัสเอ่ยถามออกมา หญิงสาวพยักหน้า “ค่ะ คุณรู้ได้ยังไงน่ะ?” ไดแอนถามอย่างแปลกใจ ก่อนจะร้องอ้อ
   “พวกคุณอยู่ที่นั่นด้วยสินะคะ ไม่งั้นจะทิ้งกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้ได้ไง” หล่อนพูด และถอนหายใจ
   “พอฉันเห็นชื่อพ่อแล้วก็คิดว่าพ่อคงไม่วิจัยอะไรดีๆ แน่ ฉันเลยรีบลงชื่อเข้าร่วม จากนั้นก็แอบส่งข้อมูลให้กับเพื่อนของฉันที่อยู่กับ”เบื้องบน”ที่ว่านั่นแหละค่ะ”
   “โอ๊ะ! ฉันคิดว่ารู้จักเพื่อนของเธอนะ” รัสเลอร์อุทานขึ้น ก่อนจะถูกรูฟัสเอ็ด
   “เธอไม่ได้พูดกับนาย” รัสเลอร์ทำหน้าหงอย และขยับหูฟังเพื่อรอบทสนทนาต่อไป และบันทึกมันเก็บเอาไว้ในฮาร์ดดิสก์ด้วย
   “แล้ว”เบื้องบน”ก็ติดต่อมาบอกว่าจะส่งคนมาจัดการเรื่องนี้ให้ แล้วก็ให้ฉันติดต่อกับR”
   “อืม ก็ตามนั้นแหละ” รูฟัสว่า และเกาหัวแกรก พลางนึกไปถึงตอนที่ราฟาแอลเดินเข้ามาบอกเรื่องงาน ซึ่งก็ฟังดูเลื่อนลอยจนเจ้าตัวเองยังตั้งข้อสังเกตแบบนั้นออกมา แต่สุดท้ายก็ต้องรับทำ เพราะผู้ที่จ้างคือ”เบื้องบน” ซึ่งลองถ้าจะอยากจะจ้างแล้วล่ะก็ ไอ้การจะปฏิเสธรังแต่จะพาความซวยมาถึงตัวเสียเปล่าๆ
   “ทำไมพวกฉันไม่รู้สึกเลยว่าเธอกับ ลู่ชาง เป็นพ่อลูกกัน ตอนที่เถียงกัน พวกเธอเหมือนคนจะฆ่ากันมากกว่า” ราฟาแอลตั้งคำถาม เขามองไม่เห็นเยื่อใยอะไรในสายตาของคนทั้งคู่เลย ไม่ว่าจะตอนที่เถียงกัน หรือในตอนนี้ ไดแอนตอบคำถามของเขาด้วยสายตาเย็นชาทันที
   “เขาไม่รู้หรอกค่ะว่าเป็นพ่อฉัน บางทีเขาเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำมั้งว่ามีลูก” หยุดไปพักหนึ่งจึงพูดต่อ “มันเป็นเรื่องบังเอิญมากจริงๆ สมัยเด็กๆ แม่เคยเล่าว่าพ่อของฉันเป็นนักวิจัยที่ค่อนข้างจะสติเฟื่อง และเป็นคนจีน ฉันไม่เคยคิดหรอกค่ะว่าพ่อของฉันคือลู่ชาง จนครั้งหนึ่งฉันมีเหตุให้ต้องร่วมงานกับเขา และได้เห็นแผ่นดีเอ็นเอของเขาที่ส่งให้ฉันเอาไปลองเรียงพันธุกรรมใหม่ เลยได้รู้ว่ารหัสพันธุกรรมใกล้เคียงกันมาก ตอนรู้ฉันตกใจแทบจะเป็นลมเลยล่ะ”
   “คุณเคยตรวจดีเอ็นเอตัวเองด้วยเหรอ?” รูฟัสถามอย่างสงสัย ไดแอนพยักหน้า
   “มันเป็นตัวอย่างที่หาง่ายที่สุดหรับการเริ่มต้นค่ะ ฉันเคยตรวจดีเอ็นเอตัวเองตอนสมัยเริ่มเรียนทางนี้ใหม่ๆ ส่วนลู่ชาง เขาพยายามจะตัดต่อดีเอ็นเอของตัวเองเข้ากับดีเอ็นเอของสัตว์อย่างอื่น”
   “ฟังดูอภิมหาวิปลาส” ราฟาแอลพูดเสียงดังเหมือนตั้งใจจะให้ได้ยินกันโดยทั่ว รูฟัสคิดว่ามันผิดวิสัยเพื่อนร่วมงานของเขา ปกติราฟาแอลจะเกรงใจผู้หญิงมากกว่านี้ ถึงเจ้าหล่อนจะไม่ค่อยชอบพ่อตัวเองก็เถอะ หรือว่าจริงๆ แล้วไดแอนไม่ใช่ผู้หญิง?
   รูฟัสรู้สึกว่าตัวเองผิดไปถนัด การคิดเมื่อครู่ทำให้เขากลายเป็นคนวิปลาสไปเลยเมื่อราฟาแอลพูดขึ้น
   “แต่ผมไม่เชื่อในทฤษฏีการถ่ายทอดความเลวผ่านดีเอ็นเอหรอก คุณเองก็คงไม่เชื่อเลยทำแบบนี้เหมือนกันสินะ?”
   ไดแอนเบิ่งตากว้างอย่างแปลกใจ ก่อนจะพยักหน้ายอมรับ “ค่ะ ฉันไม่เชื่อหรอกค่ะ ฉันไม่เคยมีความคิดบ้าๆ แบบที่พ่อคิดเลย แถมยังรู้สึกขยะแขยงด้วยซ้ำ แต่ฉันไม่อยากให้พ่อทำผิดซ้ำซาก งานวิจัยของพ่อล้มเหลวมามากก็จริง แต่สำหรับครั้งนี้มันอาจจะเป็นความจริงขึ้นมาก็ได้ ฉันก็เลยต้องลงชื่อเข้าร่วมเพื่อหาทางขัดขวางเขา”
   “ที่ว่าอาจจะเป็นไปได้นี่ เพราะมีนักวิจัยที่บ้าเหมือนเขามาร่วมวิจัยด้วยสินะ แถมยังมีคนให้เงินทุนสนับสนุนอีก” หลุดไปพักหนึ่ง ราฟาแอลจึงพูดขึ้นต่อ “แต่ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี โครงการนี้เป็นโครงการที่เข้าร่วมโดยความสมัครใจ คิดว่าทุกคนคงรู้จุดประสงค์ของมันอยู่แล้ว ทำไมถึงยังมีคนอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับการเผยแพร่ครั้งนี้นอกจากคุณอีกล่ะ?” ราฟาแอลพูด พลางมองเข้าไปในดวงตาสีดำของหญิงสาว รูฟัสเหมือนจะเอามือตบกะโหลก เขาประเมินราฟาแอลผิดไปถนัด ลืมไปเลยว่าเจ้าหมอนี่มีหลายกลวิธีที่จะเข้าถึงใจผู้หญิง การพูดจากระทบความรู้สึกก็เป็นวิธีหนึ่งเหมือนกัน
   “บางคนก็คิดเหมือนฉันค่ะ เขาไม่อยากให้งานวิจัยนี้สำเร็จออกมาได้ จึงมาช่วยขัดขวาง บางคนก็เพิ่งคิดได้ว่ามันอันตรายเกินกว่าที่จะควบคุมได้ เพราะอย่างนั้นเราจึงมีความเห็นแตกเป็นสองทาง”
   “อืม.. ผมเข้าใจล่ะ” ราฟาแอลว่า และถอนหายใจเฮือก “เอาล่ะครับ มิสเตอร์ ดี เอ็น แอล  พวกผมมาที่นี่เพื่อจัดการปัญหาของคุณ ถึงแม้มันดูจะใหญ่โตมากกว่าที่พวกผมหรือเบื้องบนจินตนาการเอาไว้ก็เถอะ เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องกังวลแล้วล่ะ”
   “เรียกฉันว่าไดแอนก็ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบ พร้อมกับยิ้มอย่างรันทด “ฉันรู้ว่าพวกคุณต้องช่วยได้แน่ๆ เพราะพวกคุณเป็นคนที่”เบื้องบน”ส่งมา”
   รูฟัสและราฟาแอลรู้สึกขมไปทั้งปาก
---------------------------------------
   “มันคืออะไรน่ะ?” รูฟัสตั้งคำถามง่ายๆ เมื่อเห็นกล่องโลหะที่หญิงสาวอุตส่าห์ซ่อนเอาไว้ในฝาชักโครก เธอเปิดมันขึ้นมา และหยิบหลอดแก้วที่มีจุกสีเงินปิดทั้งสองด้านออกมา
   “นี่คือ โทเนเทียฮ์ ค่ะ” หญิงสาวตอบ พลางชูหลอดแก้วนั้นให้พวกเขาดู ราฟาแอลขมวดคิ้ว มองดูกลุ่มควันสีเทาที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในหลอดแก้ว แล้วทำหน้ายุ่ง
   “นั่นมันชื่อเทพเจ้าของพวกแอสเท็ก(Aztec) นี่!! เธอเอาอะไรออกมาน่ะ?” รัสเลอร์ส่งเสียงถามทันทีที่ได้ยินบทสนทนาดังกล่าว เขานึกหงุดหงิดใจที่ไม่มีกล้องวงจรปิดในห้องของไดแอน เลยอดเห็นว่าทั้งสามคนทำอะไรกันบ้าง ราฟาแอลส่งเสียงอืมในคอเหมือนไม่รู้จะตอบว่าอะไร
   “หลอดแก้ว” รูฟัสช่วยสงเคราะห์ความอยากรู้อยากเห็นของรัสเลอร์ให้ผ่านไมโครโฟนที่แนบอยู่ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มขมวดคิ้วทันที
   “หลอดแก้วอะไรน่ะ?”
   ราวกับไดแอนจะได้ยินเสียงของรัสเลอร์ แต่โดยความจริงแล้วคงได้จังหวะที่เธอจะอธิบายพอดี
   “โทเนเทียฮ์ เป็นเทพแห่งแสงตะวันค่ะ และเทซการิโพกาเป็นเทพแห่งความมืด ฉันคิดว่าพวกคุณคงยังไม่เคยเห็นเทซกา...”
   “พวกผมรู้แค่ว่ามันเป็นชื่อเรียกเล่นๆ ของโปรเจคนี้เท่านั้นแหละ” รูฟัสตอบ ราฟาแอลพยักหน้า ได้ยินเสียงรัสเลอร์ผิวปากหวือ
   “วู้ว ฉันคิดว่าเรียกกันเล่นๆ ในหน่วยเสียอีก พวกนายก็เอาไปเรียกด้วยหรือเนี่ย ไม่น่าเชื่อ”
   ถ้าอยู่ใกล้มือ สองคนคงตบกบาลเจ้าหมอนี่เพื่อให้หุบปากไปแล้ว เสียแต่ตอนนี้อยู่กันคนละส่วน ดังนั้นทั้งราฟาแอลและรูฟัสจึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนฟังอย่างจำใจ
   “คุณมีตัวอย่างให้เราดูหรือเปล่า เทซกาน่ะ?” ราฟาแอลถาม ไดแอนสั่นศีรษะ หนุ่มผมบลอนด์มองหน้าหล่อนอยู่พักหนึ่ง จึงพูดต่อ
   “เอาเถอะ งั้นคุณอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับพวกมันมาเลยก็ได้”
   “ค่ะ” ไดแอนพยักหน้า และเริ่มเล่า
   “มันคือนาโนเทคโนโลยี ในรูปแบบก๊าซค่ะ คุณจะต้องตกใจที่มันเบามากจนกลายเป็นควันได้... พ่อของฉัน ไม่สิ เราทุกคน เฮ้อ..” หยุดแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หญิงสาวจึงพูดต่อ “เราทำมันออกมาได้สำเร็จในที่สุด ซึ่งในปริมาณขนาดหลอดแก้วนี้ ถ้าสูดเข้าไปในร่างกาย มันสามารถที่จะทำให้คนที่สูดรู้สึกมีความสุขแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยค่ะ แล้วก็ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ต่อสุขภาพเลย”
   “ว้าว ฟังดูเจ๋งสุดๆ ทำไม่เธอไม่ตั้งชื่อว่าเทพเจ้าแห่งความสุขไปเลยล่ะ?” รัสเลอร์ร้องผ่านไมโครโฟนเข้ามาอีก รูฟัสพยายามจะพูดตอบให้เบาที่สุด แต่ก็คิดว่ารัสเลอร์ต้องได้ยินแน่ๆ
   “เธอไม่ได้พูดกับนาย!!”
   “รู้แล้วน่า ถามให้หน่อยสิ” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยังไม่ยอมแพ้ อยากจะถามให้ได้ รูฟัสคิดว่าคำถามของรัสเลอร์ไร้สาระสิ้นดี ราฟาแอลก็คงเห็นด้วยอย่างนั้น ก็เลยถามคำถามอื่นที่ดูจะเข้าท่ากว่า
   “งั้นแล้วทำไมคุณถึงได้ต่อต้านมันนักล่ะ ผมไม่เห็นว่ามันจะเสียหายอะไรเลยในการที่จะทำให้คนมีความสุขน่ะ”
   ไดแอนถอนหายใจ “ก็เพราะ ความสุข คือสิ่งที่อันตรายที่สุดไงคะ” เธอว่า
“ทุกคนปรารถนาความสุขค่ะ คุณคิดว่ามีคนเยอะหรือเปล่าที่จะจ่ายเงินเพื่อแลกกับความสุข ที่ไม่มีผลข้างเคียง ไม่ทำอันตรายกับร่างกาย มันคือการเสพติดที่ไร้ข้ออ้างทางศีลธรรมหรือการแพทย์ใดๆ คุณจะมองไม่เห็นเลยว่าทำไมถึงเสพมันไม่ได้ แค่เสพนิดหน่อยก็มีความสุข คุณสามารถนั่งอยู่กลางสมรภูมิได้โดยที่รู้สึกเหมือนอยู่กับคู่นอน”
“ว้าว!” รัสเลอร์อุทานเสียงดังอีก รูฟัสเลยเอานิ้วเคาะไมโครโฟนดังปึก
“ฟังแล้วก็ยังดูดีอยู่นะ คุณว่ามันไม่มีผลข้างเคียงอะไรเลยจริงๆ หรือ?” ราฟาแอลตั้งคำถามต่อ ไดแอนสั่นศีรษะ
“ผลข้างเคียงทางร่างกายยังไม่ปรากฏค่ะ แต่ทางจิตใจ ฉันคิดว่ามีอย่างมาก คนจะไม่พยายามทำอะไรให้ดีขึ้น พวกเขาจะหาเงินมาเพื่อซื้อความสุขตัวนี้ คิดดูสิคะ คุณกำลังหัวเราะทั้งๆ ที่แม่ครัวยกพายขึ้นรามาเสิร์ฟ มันทำให้คนเราไร้ความคิดค่ะ เสพติดกับความสุข แล้วเมื่อถึงระดับหนึ่ง คุณจะอยู่โดยไม่มีมันไม่ได้ คุณจะต้องอ้อนวอนขอมัน ค้นหา และทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา ไม่เว้นแม้แต่การยอมเป็นทาส มันเป็นการบงการผู้คนด้วยความสุข”
รูฟัสและราฟาแอลพยักหน้า ตอนนี้พวกเขารู้สึกว่า “ความสุข” อันตรายจริงๆ
“แล้วทวีศักดิ์มองเห็นว่ามันสามารถทำเงินให้เขาได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยที่กฎหมายอาจจะเอาผิดไม่ได้..... ใครเป็นคนเริ่มต้นคิดเรื่องนี้น่ะ ทวีศักดิ์ หรือพ่อของคุณ?” ราฟาแอลถามต่ออีก ไดแอนกะพริบตา เหมือนพยายามจะลำดับคำพูด
“อธิบายลำบากน่ะค่ะ ฉันไม่รู้ว่าใครเริ่มก่อน เหมือนว่าคุณทวีศักดิ์พบกับคุณพ่อโดยบังเอิญ แล้วก็คุยถูกคอกัน สุดท้ายก็เลยเกิดโปรเจคนี้ขึ้นมา ว่าแต่ใครเริ่มก่อนนี่มันสำคัญหรือคะ?” หล่อนย้อนถาม ทั้งรูฟัสและราฟาแอลหัวเราะขึ้น
   “ก็...ไม่มีอะไรหรอกครับ พวกผมจะได้ชมถูกคน ว่าเจ้าหมอนี่มัน...”
   “สุดยอด คิดได้ยังไง!!!” รัสเลอร์พูดต่อ  คราวนี้ราฟาแอลเคาะนิ้วลงบนไมโครโฟนบ้าง ก่อนจะหันไปหาไดแอนอีกรอบ
   “อ่า ครับ... ผมจะพูดว่า คิดได้ยังไง คนที่มีความคิดแบบนี้ได้ คงเป็นบุคคลอันตรายน่าดู”
   “ค่ะ” ไดแอนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แล้วก็เงียบไปพักใหญ่ เหมือนกำลังเหม่อคิดถึงอะไรสักอย่าง จนรูฟัสต้องพูดขึ้นบ้าง
   “แล้วหลอดแก้วที่คุณหยิบขึ้นมา เกี่ยวข้องกับเจ้านั่นยังไงน่ะ?”
   ไดแอนสะดุ้ง ดูเหมือนหล่อนจะจมอยู่ในภวังค์ของความกังวลเรื่องผลของเทซกา
   “อ้อ... ค่ะ  มันคือคู่แฝดของเทซกา หรือจะพูดให้ตรงกว่านั้น มันคือสิ่งที่ใช้ทำลายผลของเทซกานั่นแหละค่ะ”
   “ยาแก้พิษ?” รูฟัสพถาม คนถูกถามพยักหน้าอีก
   “ควันที่จะทำให้คุณกลับมาสู่โลกที่โหดร้าย พ่อฉันพูดแบบนี้ มันคือสิ่งที่จะกระชากผู้เสพลงมาจากสวรรค์ ให้ความรู้สึกเหมือนตกนรก”
   “เท่าที่ผมรู้...” ราฟาแอลพูด เขาพยายามจะลำดับคำพูดที่รัสเลอร์พูดกรอกหูเสียใหม่
   “ชื่อเทสการิโพกา เป็นชื่อเรียกของเทพแห่งความมืดนี่ครับ ส่วนโทเนเทียฮ์ เป็นชื่อเรียกเทพแห่งแสงสว่าง ทำไมถึงตั้งชื่อให้สลับกันล่ะ?”
   “เพราะพ่อฉัน ลู่ชางน่ะค่ะ คิดว่าเวลากลางคืนเป็นเวลาที่มนุษย์มีความสุขมากที่สุด ต่างกับตอนกลางวันที่ทุกคนต้องตากตรำทำงานหนัก”
   “ฟังดูเหมือนพ่อคุณมีอารมณ์สุนทรีดีนะ”
   เป็นครั้งแรกที่ไดแอนหัวเราะ “ถ้าคุณรู้จักเขาล่ะก็ ฉันรับรองว่าคุณจะต้องพูดอีกประโยค..”
   “ว่า...” รัสเลอร์ถามแทรกขึ้นอีก รูฟัสกับราฟาแอลเริ่มคิดว่าควรจะปิดวิทยุสื่อสารเป็นชั่วคราว เพื่อขจัดมลพิษทางเสียง
   “วิปลาส... สุนทรียะวิปลาส” ไดแอนต่อคำพูดของเธอจนจบ รูฟัสกับราฟาแอลพยักหน้า พยายามจะไม่สนใจเสียงพูดที่ฟังดูไร้สาระจากอีกฟากหนึ่งของหูฟัง
   “โทเนเทียฮ์มีหลักการทำงานคล้ายกับไวรัสคอมพิวเตอร์ค่ะ” ไดแอนดึงบทสนทนากลับมาสู่จุดเริ่ม
   “มันจะเข้าไปเปลี่ยนโครงสร้างของเทซกา ทำให้เสื่อมสภาพ และจำลองตัวเอง ขยายตัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทำลายเป้าหมายจนหมด พวกมันจะเริ่มกินกันเอง แล้วก็จะสลายตัวไปในที่สุด”
   “เหมือนว่ามันมีชีวิตเลยนะ แล้วเทซกามันขยายพันธุ์ได้แบบนี้รึเปล่า?” ราฟาแอลถาม ไดแอนสั่นศีรษะ
   “เทซกาไม่สามารถขยายตัวเองได้ค่ะ เพราะนั่นคือเงื่อนไขสำคัญของธุรกิจ ถ้ามันขยายตัวเองได้ ฉันคงไม่ต้องลำบากแจ้งเรื่องไปถึงเบื้องบนหรอกค่ะ เพราะใครๆ ก็อยากได้ความสุขที่ไม่ต้องซื้อหากันทั้งนั้น”
   “ความสุขลอยลม” รูฟัสพึมพำเบาๆ และหัวเราะ เพราะรู้สึกว่ามันน่าขำสิ้นดี ความสุขที่ลอยมาตามลม เหมือนในบทกลอนเก่าๆ ที่มีคนเคยพร่ำเพ้อเอาไว้
   “ความสุขลอยลมไม่ใช่เรื่องดีหรอกครับ ผมว่าดีแล้วล่ะที่มันขยายพันธุ์ไม่ได้” รูฟัสพูดต่อ เมื่อเห็นว่าอีกสองคนจ้องเขาอย่างสงสัย ไดแอนพยักหน้า
   “ก็คงถูกของคุณมั้งคะ” หล่อนว่า และเงยหน้าขึ้นมองรูฟัสและราฟาแอลอย่างจริงจัง
   “พรุ่งนี้ตอนก่อนเที่ยง คุณทวีศักดิ์จะให้คนนำตัวอย่างเทซกาซึ่งเก็บรักษาอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งในโครงสร้างประหลาดนี้ค่ะ คุณคงเห็นแล้วว่าที่นี่ประหลาด”
   ราฟาแอลหันไปมองรูฟัสด้วยสายตาแปลกๆ ที่หนุ่มตาสองสีตีความในสายตานั้นได้ว่า มันเป็นความผิดของแฟนแกนั่นแหละ เลยถลึงตาใส่เป็นการตอบกลับ
   “มันมีแต่ห้อง บันไดวน และระเบียบซับๆ ซ้อนๆ พวกนั้น พวกฉันถูกย้ายมาอยู่ที่นี่ได้สักอาทิตย์หนึ่งแล้วค่ะ เราผ่านทางเดินที่วกวนมาก ช่องทางที่สามารถเข้าออกได้จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกเขตที่จำกัดเอาไว้  ฉันจึงบอกพวกคุณไม่ได้จริงๆ ว่าเขาเก็บเทซกาไว้ที่ไหน ที่ฉันรู้คือเวลาที่เขาจะเข้าไปเอามันออกมา”
   “ครับ ผมเข้าใจ แต่ผมมีคำถามนิดหน่อย” ราฟาแอลพูดต่อ มองดูหลอดแก้วในมือหญิงสาว
   “ในเมื่อลู่ชางรู้ว่าคุณมีของแบบนี้ แล้วก็คิดว่าคุณทวีศักดิ์น่าจะรู้ แล้วทำไมเขาถึงยังปล่อยมันเอาไว้ล่ะ?”
   “อา...” ไดแอนครางเสียงยาว และถอนหายใจอีกรอบ
   “คุณเคยได้ยินคำว่า “ปล่อยให้เน่าตายคาต้น” รึเปล่าล่ะคะ? นั่นแหละค่ะ เหตุผลที่เขาปล่อยมันไว้กับฉัน โทเนเทียฮ์จะขยายตัวต่อเมื่อมีเทซกา และที่สำคัญมันมีแค่ที่ฉันเอามาให้คุณดู  แค่หลอดแก้วหลอดนี้เท่านั้นที่เป็นโทเนเทียฮ์”
   ราฟาแอลและรูฟัสหันหน้ามองกัน “แปลว่าเขาห้ามไม่ให้คุณทำเพิ่ม?”
   ไดแอนสั่นศีรษะ “ฉันทำมันได้ เท่านี้ ค่ะ ถ้ามากกว่านี้มันจะเกิดสภาวะกินกันเองจนไม่เหลือ และถ้าถูกปล่อยกระจายออกไปในอากาศด้วยความเข้มข้นเท่านี้ โดยไม่มีเทซกาเลย มันจะสลายไปโดยธรรมชาติค่ะ และฉันไม่มีเวลาพอจะผลิตมันออกมาอีกชุดหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าจะใช้มัน คุณจำเป็นต้องปล่อยเทซกาออกมาให้หมด....”
   “เพื่อทำลาย” ราฟาแอลกล่าวต่อ พลางนึกภาพความสุขที่หายวูบไปโดยฉับพลัน ไม่รู้ว่าควรจะขำหรือว่าจะร้องไห้ดี พวกเขากำลังจะทำลายความสุขที่ไม่มีอันตรายหรือนี่
   แต่ความสุขที่ไม่มีอันตรายอาจจะอันตรายที่สุดก็ได้
   หนุ่มผมบลอน์ดแค่นยิ้มออกมาหน่อยหนึ่ง ไดแอนส่งหลอดแก้วที่ว่าให้เขา
   “ด้านบนจะมีสลักอยู่ค่ะ คุณแค่ดึงออก มันก็จะถูกปลดปล่อยออกมาทันที”
   “?” ราฟาแอลมองหน้าหล่อนอย่างสงสัย เมื่อจู่ๆ ไดแอนก็หยุดมือไปกลางคัน ไม่ยอมจะปล่อยหลอดแก้วให้เขา หญิงสาวหน้าขึ้นจ้องเขาด้วยสายตาจริงจัง
   “คุณจะต้องทำลายมันทิ้งทั้งหมด สัญญาได้ไหมคะ เมื่ออยู่ต่อหน้าเทซกา ต่อหน้าความสุขแบบนั้น คุณสัญญากับฉันได้ไหมว่าคุณจะทำลายมันไม่ให้เหลือเลยสักอณูเดียว”
   “ครับ ผมสัญญา” ราฟาแอลว่า ในที่สุดหล่อนก็วางหลอดแก้วลงในมือเขา พร้อมกับกำชับ
   “ทำลายมันให้ได้นะคะ อย่าคิดจะพามันออกไปด้วย ทำลายมันให้หมดที่นี่เลย”
   ราฟาแอลวาดไม้กางเขนลงบนหน้าอกของตัวเอง รูฟัสนึกสงสัยว่าเจ้าหมอนี่หันมานับถือศาสนาเมื่อไรกัน คงจะพยายามทำให้ทางนั้นเชื่อใจเสียมากกว่าล่ะ
   “ไดแอน ผมอยากจะถามคุณอีกเรื่องหนึ่ง?” หนุ่มผมบลอนด์หันกลับมาในตอนก่อนจะออกจากห้อง หญิงสาวขมวดคิ้วมองเขา
   “จบจากงานนี้แล้ว คุณให้เกียติไปทานอาหารกับผมสักมื้อหนึ่งได้รึเปล่า?”
   ไดแอนเบิ่งตานัยน์ตาสีดำของหล่อน และหัวเราะ “ได้สิคะ ถ้าคุณมารับฉันได้”
   “ผมจะมารับคุณ” ราฟาแอลตอบ และโบกมือ ผลุบออกจากห้องไปพร้อมกับเพื่อนร่วมงานของเขา ไดแอนทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เธอไม่เคยเชื่อในพระเจ้า แต่ตอนนี้เธออยากจะอธิฐาน ขอให้พวกเขาทำสำเร็จ ขอให้พวกเขาไม่อ่อนแอตอนที่เจอกับเทซกา
   เจอกับอำนาจของความสุขที่ยากจะต่อต้าน
---------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “โอ๊ย!! ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงจริ๊ง ว่าคลาวเดียทนอยู่กับคนอย่างนายได้ยังไง” รัสเลอร์โวยวายผ่านทางหูฟัง รูฟัสขมวดคิ้วเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่พยายามจะขึ้นให้สูงเพื่อประชด แต่ฟังดูคล้ายเสียงควายไบสันในหน้าร้อนเสียมากกว่า เขากรอกเสียงลงไป
   “นายไม่เข้าใจ แต่ฉันเข้าใจ”
   รูฟัสไม่คิดว่าตัวเองแก้ตัวให้ราฟาแอล แต่เขาคิดว่าเขาเข้าใจเพื่อนร่วมงานคนนี้ในระดับหนึ่ง ราฟาแอลไม่จีบผู้หญิงมั่วซั่ว แต่มีเหตุผลในการจะจีบใครสักคนหนึ่ง ปัญหาก็คือดูเหมือนเขาจะมีเหตุผลที่ฟังได้กับผู้หญิงทุกคนนี่สิ
   “ฉันสนใจเธอ” ราฟาแอลพูดขึ้นบ้าง เขาไม่อยากให้รูฟัสพูดแก้แทน เพราะแก้ยังไงมันก็ฟังไม่ขึ้นอยู่ดี ในเมื่อรูฟัสกับเขาไม่ได้ใช้ความคิดร่วมกันสักหน่อย
   “เธอเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่ดูไม่มีความสุขในชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น ฉันก็แค่อยากให้เธอมีประสบการณ์อะไรแปลกใหม่ที่ไม่ใช่การทดลองอยู่ในห้องทดลองบ้าง”
   “เช่นการคบกับพวกสายลับ?” รูฟัสเสริมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงชวนให้อยากถีบหน้า ราฟาแอลยักไหล่ “ตามแต่จะคิดกันเถอะ ฉันมีเหตุผลของฉันก็แล้วกัน”
   รัสเลอร์ที่นั่งฟังอยู่อีกที่ยกมือขึ้นเกาศีรษะ เขาไม่อยากฟังเหตุผลของราฟาแอล เพราะฟังกี่หนๆ มันก็ฟังไม่ขึ้นสักที เลยตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง
   “พวกนายรู้รึเปล่า ว่าห้องที่เก็บเทซกาอยู่ตรงไหน?”
   “ถ้ารู้คงไม่ต้องลำบากเอานายมาด้วย ไม่ได้ยินที่เธอพูดหรือไง ระเบียบมันขยับได้น่ะ” สองคนกรอกเสียงลงไปแทบจะพร้อมกัน คนได้ฟังรีบส่งเสียงตอบทันที
   “โอเค เข้าใจล่ะ ฉันจะพยายามหาให้ ในเมื่อมันเป็นห้องสำคัญมาก มันก็ต้องมีกล้องวงจรปิด ไหนดูซิ”
   รัสเลอร์ดึงภาพจริงจากกล้องวงจรปิดแต่ละภาพขึ้นมาดู เพื่อหาว่าสถานที่ไหนบ้างที่น่าจะเป็นห้องลับที่ว่า เขากวาดสายตาผ่านไปจนถึงกล้องตัวที่ติดอยู่ตรงห้องเพชร ซึ่งพวกเขาใช้เป็นทางเข้ามา
   “วู้ว! มีคนซ่อมทางเข้าให้เราแล้ว”
   รูฟัสขมวดคิ้วอย่างรำคาญ พวกเขากำลังปรึกษากันว่าจะไปทางไหนต่อ
   “ทวีศักดิ์คงไม่ปล่อยให้ทางหนีพังในตอนที่ผู้เข้าร่วมประชุมที่มีอิทธิพลขนาดนั้นมากันถึงหรอก ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลย” หนุ่มตาสองสีกรอกเสียงลงไป รัสเลอร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ก็อดพูดออกมาไม่ได้
   “อยากรู้จังว่าเขาใช้ใครมาซ่อม งานออกแบบของฟ่งธรรมดากับเขาที่ไหนล่ะ” ไม่พูดเปล่า พยายามจะมองหาหัวหน้าคนงานที่เป็นผู้อำนวยการซ่อมผ่านกล้องวงจรปิดแบบจริงๆ จังๆ เสียด้วย รูฟัสกับราฟาแอลถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหันไปปรึกษากันต่อ
   “เป็นไปไม่ได้!!” เสียงพึมพำของรัสเลอร์ที่ดังขึ้นหลังจากนั้นสักพัก ทำให้สองคนขมวดคิ้ว รูฟัสกรอกเสียงลงไป
   “ทำไม เจอเทพไตตันในกล้องหรือไง?”
   “เปล่า..” รัสเลอร์ปฏิเสธ ถึงเขายังคงจ้องหน้าจอตาค้าง และพยายามคิดว่าตัวเองจำคนผิด ราฟาแอลกรอกเสียงลงไป
   “นายควรจะพยายามหาห้องลับ ฉันไม่ได้พานายมานั่งดูโทรทัศน์”
   “อ้า ใช่ ใช่  ใช่เลย ฉันจะรีบหาห้องลับให้นาย” รัสเลอร์รีบพูดขึ้นทันที ถึงจะปากพล่อยขนาดไหน แต่เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ควรจะหุบปากเอาไว้ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรูฟัส เขาควรจะรีบหุบปากให้สนิท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริง หรือแค่เรื่องจำคนผิด ยังไงก็จะพูดให้รูฟัสได้ยินไม่ได้เด็ดขาด
   คนที่เขาเห็นในห้องทางออกฉุกเฉินนั่น....
   แม้จะถูกราฟาแอลเร่งเรื่องห้องลับ และรู้ว่าพูดในสิ่งที่เห็นออกไปไม่ได้ แต่รัสเลอร์อยากจะตรวจสอบให้แน่ใจ เขาคงจะให้อภัยตัวเองไม่ได้หากมารู้ภายหลังว่าใช่คนคนนั้นจริงๆ ที่อยู่ในห้องนั่น ชายหนุ่มพยายามจะขยายภาพที่เขาล็อกเอาไว้ขึ้นมา ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปาก
   ฟ่ง!!!
   ไม่ผิดแน่  ผู้ชายในชุดหมีสีขาวที่คุมงานซ่อมแซมอยู่ ผมยุ่งๆ สวมแว่นแบบนั้น รัสเลอร์แทบจะแน่ใจว่าคงไม่มีคนที่มีบุคลิกแบบนี้เพ่นพ่านอยู่มากนัก และคงไม่มาอยู่ในที่แบบนี้โดยบังเอิญแน่ๆ ฟ่งมาได้ยังไง เกิดอะไรขึ้นที่คลับของเมี่ยง แล้ววรุตล่ะ? หรือว่าจริงๆ แล้วฟ่งร่วมมือกับทวีศักดิ์มาแต่แรก แต่ทำไมถึงต้องทำอะไรที่มันไม่เข้าท่าอย่างการปล่อยให้รูฟัสอยู่ใกล้ๆ ตัวด้วยล่ะ หรือว่าตั้งใจจะเป็นตัวล่อ?
   รัสเลอร์รู้สึกสับสน เขาเชื่อว่าฟ่งไม่ได้โกหก แม้จะทำงานด้วยกันแค่สองสามวันก็เถอะ  เขาไม่อาจจะทำใจยอมรับว่าภายใต้กิริยาซื่อๆ ใต้แว่นตานั่นจะซ่อนแผนร้ายอยู่ แต่รัสเลอร์ตอบไม่ได้ว่าทำไมฟ่งถึงอยู่ที่นี่ นอกเสียจากว่า วรุตเป็นฝ่ายหักหลัง...........
   รัสเลอร์ยังจำได้ถึงแววตาที่วรุตมองฟ่งในตอนนั้น ปรารถนา ต้องการ เด็กคนนั้นอาจจะพูดจริงเรื่องที่อยากให้ฟ่งปลอดภัย เขาเป็นลูกชายของทวีศักดิ์  ไอ้การจะขอให้พ่อไว้ชีวิตใครสักคนคงไม่ใช่เรื่องยาก หรืออาจจะใช้เหตุผลข้อนี้บังคับผูกพันฟ่งเอาไว้ก็ได้  แค่คิดก็โมโหจนเกือบจะหลุดปากออกไปแล้ว แค่รูฟัสก็เต็มทน ยังจะมีไอ้หนุ่มนี่อีก ทำไมพวกนี้ถึงพยายามจะล่อลวงคนน่ารักๆ  อย่างฟ่งนักนะ
รัสเลอร์ตัดสินใจว่า เขาจะพยายามช่วยฟ่งจากงานนี้ แล้วจะชี้ให้เห็นว่า ใครกันแน่ที่ทำให้ฟ่งมีความสุขมากกว่ากัน
   จากนั้นหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงรูฟัสจามใส่ไมโครโฟน
---------------------------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
โอ๊ยยย!!!!! มัน ลุ้น สนุก สุดๆๆๆๆๆ!!!~

ขอบคุณมวากกก!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33
มาต่ออีกสัก 3 ตอนได้ไหม :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5: :m5:

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
เอาแล้วงัย แล้วจะเป็นงัยต่อล่ะเนี้ย

zhiki

  • บุคคลทั่วไป
เห๊ย!!!!!!!!!!!!!


ลงเรื่องนี้ด้วยหรอ!!!!

โห.... ตอน 54

คนอ่านได้กระอั่กตายก่อนสิเจ๊!!!!!!!

 :z3: :z3:

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
** เรื่องนี้เปิดให้จองเล่ม7แล้วนะคะ (จากทั้งหมด9เล่ม)

แวะไปตาม(และถาม) ได้ที่นี่เลยค่ะ

http://facebook.com/juonsnovel
------------------------------------------
บทที่55 ความเข้าใจที่บิดเบี้ยว

   ปลายนิ้วเรียวยาวค่อยๆ เลื่อนมาสัมผัสพวงแก้มนิ่ม ริมฝีปากได้รูปค่อยๆ บรรจงจูบอย่างอ่อนโยน ร่างบางหลับตาพริ้ม เอื้อมมือขึ้นไปโอบไหล่ของอีกฝ่าย ก่อนจะสะดุ้งเฮือก
   “คุณอภิวัฒน์!?”
   ผู้ถูกเรียกตื่นขึ้นจากภวังค์แทบจะในทันที เขาหันไปมองตามเสียงเรียกและพยายามจะสะกดความเขินอายเพื่อไม่ให้มีเลือดฝาดสูบฉีดขึ้นไปบนใบหน้า  ผู้ที่เรียกเป็นพนักงานซ่อมแซมคนหนึ่ง ซึ่งกำลังชี้ให้ดูจุดที่เพิ่งซ่อมเสร็จ
   “ใช้ได้แล้วล่ะ” ฟ่งพูดหลังจากตรวจงานอยู่พักหนึ่ง เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ มันบอกเวลาหกโมงเช้า เมื่อวานเขาตั้งใจว่าจะอยู่ดูงานแก้ไงจนเสร็จ จึงไม่แปลกที่เขาจะเกิดอาการหลับในเพราะต้องถ่างตาจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ที่น่าอายคือดันฝันเรื่องแบบนั้นต่างหาก
   ไม่รู้ป่านนี้รูฟัสจะเป็นอย่างไรบ้างนะ
   “ช่วยทดสอบระบบไฟ กับระบบลิฟต์หน่อยครับ” ฟ่งพูดกรอกลงไปในไมโครโฟนตัวเล็กที่ติดอยู่กับหูฟังไร้สาย ซึ่งทวีศักดิ์ให้เขามาเพื่อใช้ติดต่อกับส่วนควบคุมในการทดสอบระบบ
หลังเสียงตอบรับ หลอดไฟที่ติดตั้งอยู่ก็สว่างขึ้นมา จากนั้นตุ้มที่ใช้ถ่วงลิฟต์ก็เคลื่อนลงดึงตัวลิฟต์ขึ้นไปด้วยความเร็วที่ค่อนข้างจะน่าตกใจพอสมควร จากนั้น เพดานด้านบนที่ถูกสร้างและคำยันด้วยระบบกลไกที่อาศัยท่อบางๆ พวกนั้นเป็นหลักก็ค่อยๆ บิดออก เหมือนไดอะแฟรมของกล้องถ่ายรูป ลิฟตท์ทรงไข่เคลื่อนผ่านช่องเปิดนั้นขึ้นไปด้านบนพอดี
ฟ่งมองดูการทดสอบระบบลิฟต์ตั้งแต่ต้นจนจบด้วยความตื่นเต้น ไม่คิดมาก่อนเลยว่าสิ่งออกแบบพิสดารของตนจะกลายเป็นอะไรที่ใช้งานได้จริงแบบนี้ ใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเสียด้วย
   การทดสอบกินเวลาราวๆ สิบห้านาที ในส่วนที่ซ่อมแซมใหม่ไม่มีปัญหาติดขัดแต่อย่างใด ต้องขอบคุณบรรดาคนงานและเครื่องมือช่างหน้าตาแปลกๆ ที่ทำให้งานเสร็จไวกว่าที่เขาคิดไว้ ฟ่งอ้าปากหาว เขาคิดว่าควรจะพักสักงีบหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะละเมอบ้าๆ ออกมาแบบเมื่อครู่ก็ได้ แค่คิดก็อายจนแทบจะเอาหน้าซุกแผ่นดินแล้ว ท่าทางฝ่ายควบคุมจะได้ยินเสียงหาว เลยบอกตำแหน่งห้องพักให้  ฟ่งกล่าวขอบคุณและเดินลากขาไปยังห้องที่จัดไว้ ซึ่งอยู่ถัดขึ้นไปอีกสองชั้น โดยมีพนักงานคนหนึ่งช่วยนำทางให้

   ร่างบางทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนอนเดี่ยวสีขาวในห้องพักโล่งๆ ที่มีแค่เตียงและห้องน้ำ ดูไปเหมือนห้องนักโทษ แต่ฟ่งไม่มีสติเหลือเฟือพอที่จะจุกจิกจู้จี้ในตอนนี้ เขารู้แค่ว่าต้องพักสักหน่อย และไม่เหลือหน่วยความจำพอจะคิดระแวงว่าจะถูกจับขังลืมหรืออะไรเทือกนั้น  หนุ่มสวมแว่นล้มตัวลงบนเตียง ถอดแว่นและกำไว้ข้างศีรษะ เผื่อมีอะไรจะได้คว้ามาใส่ได้ทันท่วงที นัยน์ตาสีน้ำตาลค่อยๆ หลับลง พร้อมกับความรู้สึกคิดถึงจากส่วนลึกของหัวใจ
   รูฟัส........
------------------------------------------
   “รูฟัส!” ราฟาแอลเรียกชื่อเพื่อนร่วมงานซึ่งพยายามจะงีบเอาแรงอยู่ สำหรับรูฟัสแล้วนี่คือพยายามจะงีบจริงๆ ไม่ใช่ว่าไม่ง่วง แต่มีเรื่องบางอย่างรบกวนจิตใจเขา
เสียงอุทานของรัสเลอร์
รูฟัสนึกเฉลียวใจว่ารัสเลอร์เห็นอะไรหรือได้ยินอะไรถึงได้อุทานออกมาแบบนั้น เพราะถ้าเกี่ยวกับเรื่องงานล่ะก็ เจ้าหมอนั่นจะต้องพ่นวลีงี่เง่าออกมาอย่างต่อเนื่องราวปืนกลจนแทบอยากจะเอารองเท้ายัดปาก แต่ว่าคราวนี้มันออกจะผิดปกติไปหน่อย พออุทานแล้ว รัสเลอร์ก็เฉไปพูดเรื่องอื่นทันที หลังจากถูกราฟาแอลทัก หรือจะพูดให้ถูกกว่านั้น ราฟาแอลอาจจะทักเพื่อให้รัสเลอร์หยุดพูดก็ได้ งั้นก็แปลว่าราฟาแอลพอจะเดาได้ว่ารัสเลอร์เห็นอะไรอย่างนั้นสิ  คงเป็นอะไรซักอย่างที่ไม่อยากบอกให้เขารู้ หรืออะไรซักอย่างที่ให้เขารู้ไม่ได้ รัสเลอร์พูดอะไรก่อนจะอุทานแบบนั้นนะ รูฟัสยอมรับว่าตัวเองไม่ได้ใส่ใจฟังประโยคก่อนหน้านั้นมากนัก เหมือนจะพูดถึงเรื่องห้องที่ถูกซ่อม ห้องที่พวกเขาใช้เป็นทางเข้ามา แต่เรื่องที่ห้องนั้นถูกซ่อมก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และถ้ามันซ่อมจนใช้งานได้สะดวกก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ราฟาแอลและรัสเลอร์ต้องปิดเขาเรื่องนี้ หรือว่ามีใครที่ไม่อยากให้เขารู้อยู่ในห้องนั้น...
   ใครที่เป็นคนอำนวยการซ่อม...? ใครที่พอจะรู้รายละเอียดเกี่ยวของห้องนั้น และคุมงานซ่อมแซมได้ทันเวลา? คนที่มีความสามารถทำแบบนั้นจำเป็นจะต้องเป็นคนที่ออกแบบมันด้วยหรือเปล่า?
   ฟ่ง!!
   รูฟัสลืมตาสองสีขึ้นมาทันที เขาเกือบจะหลุดปากโพล่งออกมาเหมือนรัสเลอร์
   เป็นไปไม่ได้!!
   ฟ่งอยู่กับเมี่ยง เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกทวีศักดิ์ลากตัวมาทำงานนี้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่ทวีศักดิ์จะไปพบตัวฟ่งในจังหวะประจวบเหมาะที่มีการถล่มของห้อง ไม่น่าจะมีใครคาดคิดถึงเรื่องนี้ ไม่มีใครรู้ว่าฟ่งกลับมาแล้วอยู่ที่ไหน นอกจากพวกเขา ถ้าอย่างนั้นฟ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร จะมาซ่อมห้องนรกแตกพวกนี้ได้ยังไง หรือรัสเลอร์อาจจะเข้าใจอะไรผิด หรือว่าเจ้าเด็กที่ชื่อวรุตนั่นจะหักหลัง แต่... มันไม่น่าจะเป็นไปได้....

   ราฟาแอลหรี่ตามองเพื่อนร่วมงานของเขา ซึ่งนั่งหน้าตื่นอย่างผิดปกติวิสัย หนุ่มผมบลอนด์พอจะเดาได้ว่าเพราะเหตุใดรูฟัสจึงมีสีหน้าเช่นนั้น ถึงจะไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมรัสเลอร์ถึงอุทานออกมาแบบนั้น แต่อะไรที่เขาคิดได้ รูฟัสก็คงคิดได้ในตอนนี้เหมือนกัน
   “เฮ้!! พวกนายสองคน ยังตื่นกันอยู่มั้ย?” เสียงของรัสเลอร์ที่พุ่งผ่านหูฟังชิงจังหวะการพูดของราฟาแอล หนุ่มผมบลอนด์กรอกเสียงลงไป นึกดีใจนิดหน่อยที่เจ้าตัวยุ่งนี่มาเบนความสนใจของรูฟัสได้ทันเวลา หวังว่าเรื่องที่เจ้าหมอนี่กำลังจะพูดออกมาคงจะน่าสนใจมากกว่าเรื่องที่รูฟัสกำลังเป็นกังวลอยู่นะ
   “ฉันมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายจะบอก นายอยากฟังข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อน”
   “ข่าวร้าย!!” รูฟัสพูดขึ้นทันที ด้วยกลัวว่าจะเป็นข่าวที่เขากังวล ส่วนราฟาแอลที่อ้าปากไม่ทันกำลังนึกแช่งชักหักกระดูกรัสเลอร์ถ้าหากดันยืนยันเรื่องน่ากังวลนั้นออกมา
   “งั้น......... ฉันบอกข่าวดีก่อน” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนตัวเองมีอำนาจเสียเต็มประดาจนน่าหมั่นไส้ คราวนี้รูฟัสนึกอยากจะเป็นฝ่ายไปหักคอรัสเลอร์แทน ขณะที่ราฟาแอลหมายมั่นปั้นมือว่าถ้าเป็นข่าวที่ไม่ได้เรื่องล่ะก็ เขาจะไปคิดบัญชีกับเจ้าหมอนี่ก่อนจะเสร็จงาน
   “ข่าวดีก็คือ... ฉันเจอไอ้ห้องที่คิดว่าเป็นห้องลับที่ใช้เก็บเทซกาแล้ว”
   “โอ้...เยี่ยม...มันอยู่ตรงไหนล่ะ?” ราฟาแอลอุทานออกมาและรีบถามต่อ พลางหันหน้าไปมองเพื่อนร่วมงาน ด้วยหวังว่ารูฟัสจะตื่นเต้นกับเรื่องนี้จนลืมเรื่องที่เป็นกังวลอยู่ก็แล้วกัน หนุ่มตาสองสีพยักหน้า และจดจ่ออยู่กับสิ่งที่รัสเลอร์กำลังจะพูดออกมา
   หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเงียบไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็พูดออกมา “จริงๆ ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอกนะ มันอยู่แถวๆ ใต้เท้าพวกนายนั่นแหละ”
   ทั้งสองคนก้มลงมองพื้นทันที กวาดสายตาตรวจหาส่วนที่พอจะเป็นห้อง
   “มันมีที่เปิดเข้าไปจากชั้นนี้รึเปล่า?” ราฟาแอลถามต่อ รัสเลอร์ได้ทีพูดเรื่องที่เขาค้างเอาไว้
   “นั่นแหละข่าวร้าย ฉันบอกว่ามันอยู่แถวๆ ใต้เท้าพวกนายก็จริง แต่มันลึกลงไปหลายชั้นเลยล่ะ ทางเข้าไปก็โคตรจะซับซ้อนเลย แถมมียามเฝ้าตลอด”
   “ที่ว่าซับซ้อนน่ะ ยังไง?” คราวนี้รูฟัสเป็นฝ่ายถามขึ้นบ้าง ราฟาแอลคิดว่าเขาควรจะปล่อยให้รัสเลอร์มีชีวิตยืนยาวไปสักหน่อย เพื่อตอบแทนในเรื่องนี้ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเงียบไปพักหนึ่ง ก็พูดขึ้น
   “พวกนายดูแปลนกันแล้วนี่ ยังจำห้องที่เหมือนปิรามิดกลับหัวที่ตรงกลางมีแกน แล้วมีวงแหวนที่เหมือนเฟืองล้อมรอบได้ไหมล่ะ”
   “อ้อ...” ราฟาแอลและรูฟัสครางออกมา ก่อนจะโพล่งขึ้นพร้อมกัน “อย่าบอกนะว่าอยู่ในห้องบ้านั่นจริงๆ !!”
   “ช่าย ถูกต้องเลย” รัสเลอร์ตอบด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท “ไอ้ที่พวกนายกลัวๆ มันก็จริงอย่างที่กลัวนั่นแหละ ห้องนั้นนอกจากจะอนุญาตเฉพาะคนผ่านเข้าออกแล้ว ทางเข้ายังเปลี่ยนตลอด ตั้งรหัสใหม่ทุกสี่ชั่วโมง ที่สำคัญ รหัสไม่ได้ส่งเข้าสู่ฐานข้อมูลส่วนกลางด้วย เหมือนจะเป็นระบบแยกออกไปต่างหาก” หยุดหน่อยหนึ่งจึงพูดต่อ “เพราะงั้น ห้ามว่าฉันนะ ถ้านายอยากได้รหัสต้องให้ฉันเอาเครื่องไปเชื่อมกับสายเคเบิลของมันโดยตรงเท่านั้นแหละ แต่มันจะคุ้มกันหรือเปล่า เพราะอีกสี่ชั่วโมงรหัสก็เปลี่ยนใหม่อยู่ดี แถมมียามเฝ้าอยู่ตรงทางเข้าเพียบ อ้อ.. ทางเข้ามีอยู่ทางเดียวด้วยล่ะ”
   ราฟาแอลและรูฟัสหันมองหน้ากัน ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “เอาล่ะ บอกมาว่าทางเข้ามันอยู่ตรงไหน พวกฉันคิดว่าไม่ต้องรบกวนนายให้ออกมาจากตรงนั้น ก็น่าจะพอหาทางเข้ากันไปเองได้”
   “เยี่ยมเลย เพราะฉันก็ไม่อยากออกไปเสี่ยงกับลูกปืนเหมือนกัน” รัสเลอร์ตอบ และอธิบายทางเข้าคร่าวๆ ให้พวกราฟาแอลฟัง ก่อนจะส่งแผนที่เพิ่มมาให้
   “จริงๆ ทางเข้าหลักน่ะมีทางเดียว แต่ทางที่จะเข้าไปถึงทางเข้านั้นน่ะมีเพียบ พวกนายเลือกเอาสักทางที่ไม่กระโตกกระตากก็แล้วกัน” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูดต่อหลังจากอธิบายจบ ราฟาแอลกรอกเสียงลงไป
   “รู้แล้วล่ะน่า” พูดจบก็หันไปมองหน้ารูฟัสอีกครั้ง
   “เอาไงดี แบบนี้ก็คงต้องหาคนพาเข้าไป”
   “อืม” อีกฝ่ายส่งเสียงอย่างเห็นด้วย ก่อนจะพูดกรอกไมโครโฟนอีกครั้ง “ซิมแปนซี นายเช็กได้ไหมว่าใครเข้าออกตรงนั้นได้บ้าง และมีกำหนดเข้าออกแน่นอนรึเปล่า?”
   “แป๊บหนึ่งนะ” รัสเลอร์ว่า และก้มลงมองนาฬิกา แล้วไล่มือไปบนแป้นพิมพ์ดีดบนเครื่องคอมพิวเตอร์
   “พรุ่งนี้ ไม่สิ วันนี้นี่แหละ สักช่วงประมาณสิบโมง การประชุมจะเริ่ม ก่อนหน้านั้นน่าจะมีคนเข้าไปเอาตัวอย่างของพวกมันออกมาก่อน อ้าวชิบ!” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มสบถ อีกสองคนเลยถามขึ้น “อะไรอีกล่ะ”
   “ไอ้ตัวอย่างที่ว่าเพิ่งเอาออกมาน่ะซี่ ฉันเพิ่งเห็นผ่านกล้องวงจรปิดเนี่ย”
   “เวร...” ราฟาแอลและรูฟัสอุทานขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะถอนหายใจเฮือก
   “เอาล่ะๆ นายลองหาดูซิว่า ใครเข้าออกห้องพวกนั้นได้บ้าง” หนุ่มผมสีบลอนด์พูดขึ้นต่อ รัสเลอร์เงียบไปพักหนึ่ง แล้วตอบกลับมา “เอ่อ... ขอเวลาฉันสักพักใหญ่ๆ นะ ของพวกนี้มันไม่น่าจะมีระบุเอาไว้ในฐานข้อมูลหลักหรอก แต่จะลองหาดูก็แล้วกัน”
   รูฟัสและราฟาแอลพยักหน้า ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
   “สุดท้ายก็เป็นห้องบ้านั่นจริงๆ ” ราฟาแอลพูดออกมาและถอนหายใจอีก “เลิกหวังจะเข้าไปเองเลย แบบนี้น่ะ”
   รูฟัสพยักหน้าเห็นด้วย “เราคงต้องเดาแล้วว่าใครน่าจะรู้รหัสทางเข้าออกห้องนี้อีก ไม่ใช่ว่าพอเอาของออกมาแล้วเขาจะปิดตายมันเลยนะ”
   “ไม่ปิดนะ” รัสเลอร์ตอบกลับมาทันที “แค่เปลี่ยนรหัสเท่านั้นเอง เหมือนว่าจะมีนักวิจัยบางคนได้รับสิทธิ์ผ่านเข้าออกด้วยน่ะ”
   “อ้อ! จริงสิ” ราฟาแอลร้องออกมา ก่อนจะพูดต่อ “ซิมแปนซี นายหาห้องวิจัยของคนที่ชื่อลู่ชางให้เราได้รึเปล่า?”
   “ไม่มีปัญหา ว่าแต่ จะไปหาหมอนี่รึ? คิดว่าหมอนี่จะเข้าออกห้องนั้นได้เหรอ?”
   “ก็ไม่แน่นักหรอก” ราฟาแอลว่า “โดยปกติเจ้าของผลงานต้องหวงผลงานอยู่แล้ว เจ้าแก่นี่อาจจะได้รับสิทธิ์ผ่านเข้าออกก็ได้ ถ้าไม่ใช่ก็เชือดทิ้ง ไหนๆ มาถึงขั้นนี้แล้ว มันก็ต้องใช้วิธีแบบนี้แหละ” หนุ่มผมบลอนด์สรุป ได้ยินเสียงรัสเลอร์โวยวายต่อ “ทำไมนายอำมหิตนัก”
   คนถอนหายใจดันกลายเป็นรูฟัส แล้วก็ตอบแทนเสียด้วย “ก็ต้องว่าไปตามนี้แหละ ช่วยไม่ได้ มันมาถึงขั้นนี้แล้วนี่”
   “โหย.. เข้ากันสมกับเป็นคู่หูบันลือโลกจริงๆ ” รัสเลอร์ค่อนแคะ ก่อนจะพูดต่อ “ก็ได้ๆ ฉันจะระบุตำแหน่งให้พวกนาย อ้อ ถ้าเข้าไปได้ อย่าลืมเก็บตัวอย่างออกมาสักหลอดสองหลอดด้วยนะ จะได้ส่งไปให้แล็บวิเคราะห์”
   “ถ้าทำได้น่ะนะ” รูฟัสและราฟาแอลตอบพร้อมกัน “ตอนนี้ขอเข้าไปให้ได้ก่อนก็แล้วกัน”
   “แหม... ทำได้น่า มีฉันมาด้วยทั้งคน” รัสเลอร์พูด และได้ยินเสียงถอนหายใจพร้อมกัน “เอาล่ะ คุณซิมแปนซี ตำแหน่งห้องของลู่ชางน่ะ ส่งมาได้แล้ว”
----------------------------------------------
   รัสเลอร์บอกตำแหน่งห้องของลู่ชาง พร้อมกับจุดต่างๆ ที่ใช้หลบหนี และข้อมูลเกี่ยวกับนักวิจัยคนนี้เท่าที่เขาพอจะรู้ให้กับพวกรูฟัส ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับจอมอนิเตอร์อันหนึ่ง ซึ่งเขาแยกออกมาต่างหาก จอหน้าห้องพักที่ชายคนหนึ่งเพิ่งจะถูกพาเข้าไป
   ยิ่งกว่าแน่ใจ คนที่เพิ่งเข้าไปคือฟ่งแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย  รัสเลอร์เรียกฐานข้อมูลลงทะเบียนของพนักงานขึ้นมาและตรวจเช็ครายชื่อล่าสุด แม้ข้อมูลจะไม่ละเอียดนัก แต่รูปร่างหน้าตา และชื่อเสียงเรียงนามคือฟ่งไม่ผิดแน่ น่าแปลกที่ข้อมูลของฟ่งมีแค่ชื่อและใบหน้าเท่านั้น ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ไม่ระบุ ท่าทางจะลงทะเบียนแบบฉุกละหุกมาก แปลว่าการมาถึงของฟ่งคงไม่ได้เป็นสิ่งที่รู้มาก่อนล่วงหน้า
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!
   รัสเลอร์ดึงภาพของห้องที่เขาใช้เป็นทางเข้าขึ้นมาดู เหมือนมันจะได้รับคำสั่งทดสอบ ตอนที่เขากำลังง่วงหาห้องลับให้พวกรูฟัสอยู่ ฟ่งทำงานเร็วมาก รู้อยู่หรอกว่าเป็นคนเขียนแปลน แต่ว่ารู้กระทั่งคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ทำละเอียดขนาดนี้ จะว่าไปแล้วฟ่งไม่เคยพูดถึงรายละเอียดพวกนี้เลย แล้วเขาก็ละเลยไม่ได้ถาม ฟ่งทำงานให้กับทวีศักดิ์ในระดับไหนกันแน่  พวกรูฟัสไม่รู้หรือไม่สะกิดใจบ้างเลยหรือ ที่จริงแล้ว รูฟัสรู้จักฟ่งมากแค่ไหนกันแน่นะ?
   ถึงคันปากอยากจะถามเจ้าหมอนั่น แต่ขืนถามออกไปมีหวังสถานการณ์จะได้แย่ยิ่งกว่าเดิมแน่นอน
   หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มโคลงศีรษะไปมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำบ่อยๆ เมื่อเกิดอาการเครียดหรือรู้สึกกดดันมากๆ
เขาควรจะบอกพวกรูฟัสเรื่องนี้ดีไหม? หรือว่าควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนดี? ยังไม่มีอะไรบ่งชี้เลยว่าฟ่งพาดพิงหรือให้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับพวกเขากับทางนั้น ยังไม่มีประกาศเตือน ยังไม่มีข้อมูลแจ้งเข้ามา ทุกอย่างยังปกติ เหมือนกับว่าฟ่งบังเอิญผ่านมาแล้วก็เลยถูกดึงมาช่วยงาน โดยที่เจ้าตัวอาจจะไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ไม่ได้รังเกียจ แต่ว่าเรื่องบ้าบอแบบนั้นมันจะเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมฟ่งถึงเข้ามาที่นี่ได้ แล้วเข้ามาด้วยจุดประสงค์อะไร เป็นพวกไหน แล้วจะทำอะไรต่อไป
   รัสเลอร์ยกมือขึ้นกดหัวคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจเฮือก ไม่ว่าแบบไหนเขาก็หาคำอธิบายเรื่องนี้ไม่ได้ ยังไงก็คงได้แต่ภาวนาให้ฟ่งไม่ใช่คนที่หักหลัง เพราะถ้าเป็นจริงแล้ว รัสเลอร์นึกภาพไม่ออกเลยว่ารูฟัสและราฟาแอลจะจัดการยังไง
   ถึงยังไงถ้าหักหลังจริง ก็ขออย่าให้ถูกสองคนนี้จับตัวได้แล้วกัน
---------------------------------------------
   หกโมงเช้า....
   ริมฝีปากที่หย่อนยานตามวัยกระตุกขึ้นนิดหน่อย ลู่ชางกำลังยิ้ม ยิ้มเยาะนาฬิกาดิจิตัลตรงเหนือหัวเตียง และยิ้มเยาะให้กับตัวเอง
   หกโมงเช้าที่มาจากตัวเลขดิจิตัล ไม่ใช่มาจากแสงอรุณของท้องฟ้า...
   ลู่ชางมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ เขาไม่เห็นแสงสีทองแบบนั้นมาเป็นเวลานานแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ก่อนจะมาทำงานที่นี่
   ห้องทำงานของเขาอยู่ใต้ดินมาโดยตลอด
   เวลามันผ่านมานานเท่าไรแล้ว ที่เขาจมดิ่งอยู่ในความคิดสุดพิสดารของตัวเอง สักสามสิบปีที่แล้ว หรืออาจจะนานกว่านั้น ลู่ชางระบุวันเวลาที่แน่ชัดไม่ได้ บางทีมันอาจจะเป็นมาตั้งแต่กำเนิด
   วิปลาส….
   ชายชรายังคงมองดูจุดกะพริบบนนาฬิกาดิจิตัล และถามตัวเองด้วยคำถามเดิมๆ ที่เคยถามเรื่อยมาตั้งแต่จำความได้
   ใครเป็นคนกำหนดว่าเวลาแบบนี้ ต้องเป็นเลขตัวนี้  และตัวเลขที่แสดงอยู่นี่ใช่เวลานี้จริงๆ น่ะหรือ?
   มันคือความจริงหรือสิ่งที่สมมติขึ้นเพื่อแทนความเป็นจริงกันแน่...
   มนุษย์พยายามจะเข้าใจธรรมดาชาติ พยายามจะสมมติทุกอย่างขึ้นมาเพื่อให้อธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่มนุษย์ไม่อาจควบคุมได้  หน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์คือการหาสมมติใหม่ๆ มาเพื่อใช้อธิบายเรื่องเดิมๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้แต่เวลาที่เดินอยู่ ตัวเลขแบบนี้ เมื่อถึงวันหนึ่งมันอาจจะต้องถูกสมมติใหม่
   สิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้มีแค่การสมมติพวกนี้เองหรือ?
   ริมฝีปากหย่อนยานกระตุกขึ้นอีกรอบ ใครจะพยายามสมมติอะไรยังไงก็ช่าง ถ้าหากมันอธิบายสิ่งที่มีอยู่แล้วไม่ได้ ก็สร้างสิ่งใหม่ที่อธิบายได้ก็สิ้นเรื่อง
   วันนี้แล้ว ที่โลกจะได้รับรู้ถึงส่วนหนึ่งของสิ่งที่ว่านี้
   เทซการิโพกา
   เทพเจ้าแห่งความมืด รัตติกาลที่มีเพียงแสงลวงส่องสว่าง ความมืดที่ขับเน้นให้เห็นความสว่างจอมปลอมที่ถูกสร้างขึ้น แสงสว่างที่อธิบายได้
   ความสุขที่อธิบายได้
   ลู่ชาง เผลอส่งเสียงหัวเราะออกมา นี่เขากำลังมีความสุข? กำลังมีความสุขเพราะได้ทำความสุขที่จับต้องได้ให้เกิดขึ้นงั้นหรือ? เสียงหัวเราะค่อยๆ ดังมากขึ้น จนกลายเป็นการหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
   วิปลาส.....
   การหัวเราะบางครั้งไม่ได้แสดงว่ากำลังมีความสุข การกระตุ้นเส้นประสาทบางเส้นอาจจะทำให้เกิดอาการหัวเราะได้ และการหัวเราะอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลให้ออกซิเจนไม่สามารถเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้เต็มที่ ลู่ชางรู้ดีว่าเส้นประสาทของเขาไม่ได้ถูกระตุ้นด้วยไฟฟ้าจากภายนอก แต่มันถูกกระตุ้นจากคำสั่งของสมอง ที่กำลังนึกขบขันกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
   มนุษย์จำนวนมากใช้ความพยายามตลอดชีวิต เพื่อจะค้นหาสิ่งที่เรียกว่าความสุข ทั้งคิดค้นสิ่งของเครื่องใช้ พิธีกรรม กิจกรรม ความสัมพันธ์ต่างๆ เพื่อที่จะทำให้ตัวเองพบความสุข ไม่เว้นแม้แต่การใช้ยาในการกระตุ้น ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับเพราะส่งผลเสียกับร่างกาย แต่ต่อจากนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์เคยค้นคิดเพื่อให้เกิดความสุขจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า และข้ออ้างเรื่องผลเสียต่อร่างกายจะไม่มีผล ความสุขที่หาซื้อได้ และปลอดภัย เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่อาจปฏิเสธ ยิ่งโดยเฉพาะในสังคมที่ใครๆ ก็คิดว่าเต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้
   ความสุขที่จะทำให้ทุกคนพร้อมจะยอมตกเป็นทาสของมันอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น
   เสียงหัวเราะยังคงดังกึกก้อง มันเป็นเรื่องน่าขันไม่ใช่หรือ เมื่อสิ่งที่หลุดลอดออกไป ความรู้สึกที่เหลือทุกอย่างก็ล้วนไร้ค่า ไม่ว่าสมองจะสั่งการว่ากำลังทุกข์ใจ เสียใจ หรือเศร้าใจแค่ไหน ความรู้สึกเหล่านี้ก็ถูกสลายลงไปได้ง่ายๆ แค่สูดควันเข้าไปเท่านั้น สิ่งที่เหมือนจะเป็นความจริงที่เกิดขึ้นก็จะไม่จริงอีกต่อไป เมื่อความเจ็บปวดกลายเป็นความสุข ความทรมานก็สามารถแปลเปลี่ยนเป็นความสุขได้ ไม่ว่าจะเผชิญเรื่องเจ็บปวด หรือทำเรื่องเลวร้ายอะไร สุดท้ายมันจะลงเอยที่ความสุข
   ความสุขที่จะทำให้ทุกคนคุ้มคลั่ง
   ใช่แล้ว........... คุ้มคลั่ง คนควรจะมีความสุขกับการคุ้มคลั่งไม่ใช่หรือ?
   ลู่ชางกำลังคุ้มคลั่ง ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้น เขาพอใจที่จะจมอยู่กับความคุ้มคลั่งเช่นนี้เสมอมา ความคุ้มคลั่งคือสิ่งที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้
   ความคุ้มคลั่งที่มีให้กับโลกที่ตัวเองไม่สามารถอธิบายได้
   กล้ามเนื้อหย่อนยานที่สั่นกระตุกบนใบหน้าของลู่ชาง หยุดชะงัก เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น
------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   แม้รูฟัสจะเจอผู้คนมามาก ตั้งแต่ผู้ก่อการร้าย ไปจนถึงผู้ทรงอิทธิพลระดับผู้ครองนคร แต่ไม่มีคนไหนเลยที่จะใกล้เคียงคำว่าวิปลาสได้เท่ากับผู้ชายที่กำลังหัวเราะอยู่ด้านหลังประตูที่เขากำลังเคาะอยู่นี้ เขาไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะที่คุ้มคลั่งขนาดนี้มาก่อน ที่สำคัญมันคือการหัวเราะอยู่คนเดียว รูฟัสนึกถึงคำพูดของไดแอน
   สุนทรียะวิปลาส
   “อ้อ... คุณ..” นั่นคือประโยคแรกที่ลู่ชางเอ่ยขึ้น เมื่อประตูเปิดออก เขาเชื้อเชิญให้รูฟัสเข้าไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มจนชวนให้ผิดสังเกต ชายหนุ่มกวาดตามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยนั้นแวบหนึ่ง และเดินเข้าไปตามคำเชิญอย่างเงียบๆ
   “เพื่อนคุณอีกคนล่ะ?” ชายสูงวัยถาม มันเป็นหนึ่งในคำถามที่รูฟัสคาดว่าอาจจะได้ยินหลังจากที่เขากวาดตามองอีกฝ่ายในตอนแรกแล้ว ชายชราคนนี้คงไม่เชิญเขาเข้าห้องอย่างสุภาพเพราะมารยาทแน่ๆ ภาษาอังกฤษที่ลู่ชางใช้นั้นคล่องจนรูฟัสคิดว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องพูดภาษาจีน จนถึงตอนนี้ ลู่ชาง ยังคงเป็นฝ่ายพูดโดยตลอด เขาเชื้อเชิญให้รูฟัสนั่งลงอย่างสุภาพ ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตาม
   “ฉันเห็นพวกคุณเมื่อคืน” ชายสูงอายุเอ่ยต่อ จากปฏิกิริยาท่าทางของลู่ชางรูฟัสคิดว่าถ้ามีชาในห้องเขาคงจะยกออกมาแล้ว ชายชราทรุดตัวนั่งบนเตียงตรงหน้าเขา ห้องนี้ไม่ต่างอะไรจากห้องของไดแอนเลย ยกเว้นเจ้าของ
   “คุณพูดภาษาอังกฤษได้ใช่ไหม?” ลู่ชางถามต่อ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ ในที่สุดรูฟัสก็ยิ้มออกมา
   “คุณทำให้ผมพูดไม่ออก ศาสตราจารย์ลู่”
   นัยน์ตาสีดำที่มิได้มีแววฝ้าฟางตามวัยไหววูบหน่อยหนึ่ง
   “โอ้... ไม่ต้องอวยยศฉันขนาดนั้น ไม่เคยมีใครให้ใบปริญญาฉันหรอก” ลู่ชางกล่าว และหัวเราะลงคอ
   “อะไรของฉันที่ทำให้คุณพูดไม่ออกล่ะ?” ผู้มีวัยสูงกว่าถามต่อ กวาดสายตามองรูฟัสอย่างสำรวจตรวจตรา
   “หลายอย่าง..” รูฟัสตอบ เขามองตรงเข้าไปในสายตาคมกริบสีดำนั่น ชายหนุ่มจำเป็นจะต้องประเมินและทำให้อีกฝ่ายประเมินตนในทางที่ได้เปรียบ
   “สิ่งที่คุณสร้าง ความคิดของคุณ..” เขาพูดต่อ อีกฝ่ายกระตุกริมฝีปากขึ้นยิ้มหน่อยหนึ่ง
   “อ้อ.. ฉันคิดว่าจะเป็นคำพูดของฉันเมื่อตะกี้เสียอีกที่ทำให้คุณอึ้งจนพูดไม่ออก” ลู่ชางกล่าว และใช้นัยน์ตาหรี่เล็กสีดำจ้องมองรูฟัสเหมือนเข็ม “ฉันเห็น”พวกคุณ”เมื่อคืนนี้”
   รูฟัสยักไหล่ เขาคิดว่าตัวเองพอรู้ว่าลู่ชางจงใจเน้นคำนั้นเพื่ออะไร
   “ผมมีธุระสำคัญจะคุยกับคุณนะ” ชายหนุ่มตอบ ทำเป็นไม่สนใจกับคำถามนั้น
   “อ้า... คุณยังไม่ตอบคำถามฉันเลย พ่อหนุ่ม.. เพื่อนของคุณเมื่อคืนไปไหน?”
   รูฟัสยิ้มออกมา “คุณสายตาดีมากจริงๆ ศาสตราจารย์ลู่ ทำไมคุณถึงได้ข้องใจกับคนที่คุณเรียกว่า”เพื่อน”ของผมนัก”
   ลู่ชางกลอกตาสีดำไปมา “เพราะพวกคุณมาด้วยกัน และก็ไม่ใช่คนของที่นี่น่ะสิ”
   “คุณรู้จริงๆ ด้วย...” รูฟัสพูด ยังคงค้างรอยยิ้มบนใบหน้า “’แล้วคุณเปิดให้ผมเข้ามาทำไม?”
   “เพราะฉันชอบความท้าทาย พ่อหนุ่ม....” ชายชราตอบ และหยุดไปพักหนึ่ง เหมือนจะให้อีกฝ่ายกล่าวส่วนต่อของประโยคออกมา
   “ถ้าเป็นอย่างนั้น ชื่อคงไม่สำคัญอะไรหรอก” รูฟัสกล่าวตอบ ภาวนาให้คำอธิบายคร่าวๆ ในนิสัยแปลกประหลาดติดไปในทางวิปลาสของลู่ชางที่รัสเลอร์เล่าให้ฟัง ช่วยให้เขาสามารถผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ นักวิทยาศาสตร์สูงวัยเลิกคิ้วสีเทาขึ้นอย่างแปลกใจ
   “อา... ใช่... ชื่อจะสำคัญอะไร ขออภัยที่ฉันคิดจะถามอะไรแบบนั้น สำหรับคนแบบพวกคุณ ชื่อคงไม่ต่างอะไรกับการใช้กระดาษชำระหรอก จริงไหม?”
   รูฟัสยิ้มแทนคำตอบ เขารอให้ลู่ชางเป็นฝ่ายพูดออกมาอีก ชายชรากลอกตามองอาคันตุกะแปลกหน้าที่ตัวเองเชิญเข้ามาอย่างพินิจพิเคราะห์
   “ตาคุณสวยนะ พ่อหนุ่ม หนึ่งในตัวอย่างความผิดพลาดทางพันธุกรรมที่หายาก ผมดีใจที่คุณเป็นคนมาหาผม ไม่ใช่เพื่อนคุณอีกคนหนึ่ง คุณดูน่าสนใจกว่าเขาเยอะเลย”
   ชายหนุ่มยิ้มอีกรอบ แต่ไม่รู้สึกดีใจกับคำชมนั่นเลยสักนิด เขาไม่อยากเป็นที่สนใจของตาแก่สติเฟื่องนี่จริงๆ เลย ให้ตายสิ
   “ขอผมคุณสักเส้นนะ” จู่ๆ อีกฝ่ายก็เอ่ยปากขอขึ้นมาดื้อๆ รูฟัสเป็นคนไม่เคยกังวลเรื่องรังแคหรือผมร่วง แต่ตอนนี้เขาชักจะกังวลขึ้นมานิดหน่อยแล้ว เขาไม่อยากถูกเอาดีเอ็นเอไปทำอะไรพิลึกๆ
   “ผมคิดว่าคุณจะมีอะไรที่น่าสนใจกว่านี้เสียอีก” ชายหนุ่มรีบพูดขึ้นทันที รูฟัสยอมรับว่ายากจริงๆ ที่จะหาถ้อยคำมารับมือกับคนอย่างลู่ชาง ก่อนอื่นคงต้องเบนความสนใจของอีกฝ่ายจากดีเอ็นเอเขาไปก่อน
   “มันอาจจะไม่น่าสนใจสำหรับคุณ แต่ผมสนใจมาก” ลู่ชางว่า พลางกวาดสายตามองดูคนตรงหน้าอีกครั้ง “ตาสองสี ผิวขาวแบบยุโรป แต่ผมดำ คุณมีเชื่อสายเอเชียด้วยสินะ สภาพร่างกายกับกล้ามเนื้อแบบนั้น คุณคงไม่ใช่คนปกติธรรมดาที่บังเอิญเดินมาหาผมที่ห้องนี้หรอก”
   “อืม” รูฟัสยอมรับออกไปตามตรง คงไม่มีประโยชน์อะไรจะพูดจาเล่นลิ้นงี่เง่ากับคนแบบนี้
   “งั้นมาหาฉัน ต้องการอะไรล่ะ พ่อหนุ่ม?” ลู่ชางเอ่ยถามขึ้นในที่สุด สายตายังคงจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ รูฟัสยิ้มอีกครั้ง
   “เทซกา” ชายหนุ่มพูดสั้นๆ แต่ก็ได้ใจความชัดเจนพอที่จะทำให้อีกฝ่ายพูดตอบ
   “อ้า... เทซกา.. เทพเจ้า ใช่เลย” ชายชราร้องขึ้นแล้วตบมือผาง “ฉันไม่น่าจะถามคุณ ฉันควรจะเดาออกแต่แรก สิ่งที่สำคัญที่นี่คือเทพเจ้าเท่านั้น คุณคงเห็นแล้ว ที่นี่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคุ้มครองเทพเจ้า”
   “อืม...” รูฟัสรับคำ พลางมองหน้าของลู่ชางแล้วก็ภาวนาไม่ให้เจ้าแก่นี่หงุดหงิดกับการถามคำตอบคำของเขาเสียก่อน เพราะแค่นี้เขาเองก็จนปัญญาสรรหาคำพูดมาต่อปากต่อคำแล้ว ขืนหงุดหงิดขึ้นมา ไม่รู้จะสรรค์หาคำพูดอะไรมาเกลี้ยกล่อมอีก
   “ฉันคิดว่าคนประเภทคุณจะพูดเก่งเสียอีก ดูเหมือนคุณจะไม่ได้เป็นแบบนั้นสินะ หรือว่าฉันทำให้คุณพูดไม่ออกกันล่ะ?” ลู่ชางเอ่ยถาม จากสายตาที่มองมา รูฟัสไม่แน่ใจเลยว่าเจ้าแก่นี่คิดอย่างที่พูดจริงๆ หรือแค่ว่าอยากจะประชดกันแน่ ชายหนุ่มได้แต่ฝืนยิ้ม
   “ผมไม่ใช่พวกชาล้นถ้วย คิดว่าถ้าเงียบแล้วน่าจะได้ยินได้ฟังอะไรดีๆ มากกว่าน่ะ”
   ลู่ชางตบมือฉาดอีกครั้ง “อ้า!! ใช่แล้ว พ่อหนุ่ม!! นี่คุณศึกษาวัฒนธรรมเอเชียมาด้วยหรือ? หรือคุณมีเชื่อสายจีน หรือว่าศึกษาเกี่ยวกับลัทธิเซ็นมาล่ะ อ้อ...บางทีคุณอาจจะเคยไปอยู่ที่นั่น”
   “ตามแต่คุณจะคิดเถอะ เรามาพูดถึงเรื่องเทซกากันต่อดีกว่า” รูฟัสพูดตัดบท เขาคงต้องพยายามจะคุมบทสนทนาบ้าง ก่อนที่จะถูกคำพูดของอีกฝ่ายก่อกวนจนประสาทเสียไปเสียก่อน อยากรู้จริงๆ ว่าถ้าเป็นราฟาแอลจะทำยังไง คงไม่พ้นอาศัยปากกระบอกปืนเป็นตัวช่วยอีกแหงม
   “อ่า โทษที คุณมาหาฉันเพราะเรื่องนี้นี่นะ คุณอยากให้ฉันช่วยอะไรเรื่องนี้กันล่ะ? อยากได้วิธีการสร้างมัน หรือวิธีการทำลายมัน?”
   “ผมอยากรู้ว่าจะหามันเจอได้ที่ไหน?” รูฟัสตอบ ได้ยินเสียงลู่ชางยกมือขึ้นตบขาตัวเองอีกรอบ
   “อ้า ใช่!! ถูกของคุณ คุณคงจะต้องหามันให้พบก่อนที่จะทำลายมัน... คุณมาที่นี่เพื่อจะทำลายมันใช่ไหมล่ะ?” โดยไม่รอให้ตอบ ชายชราจัดแจงถามเองตอบเองเสร็จสรรพ
   “คุณต้องมาที่นี่เพื่อทำลายมันอยู่แล้ว เพราะถ้าคุณอยากได้มัน คุณก็ไม่จำเป็นต้องกระเสือกกระสนมาหาฉันถึงที่นี่หรอก ฉันพอรู้อยู่ว่าคุณทวีศักดิ์ไม่ได้ใจแคบอะไร หากใครอื่นจะเสนอหน้ามายลโฉมเทซกาในงานนี้ด้วย ฉันพูดถูกไหม?”
   ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้า เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เขาถูกต้อนจนพูดไม่ออก ลู่ชางโบกมือเป็นเชิงให้อภัย และตั้งคำถามต่อ “ไหนคุณลองบอกฉันหน่อย ศีลธรรมคืออะไร?”
   ดูเหมือนคำถามนี้ตั้งใจที่จะให้เขาตอบจริงๆ เมื่อนัยน์ตาสีดำนั้นจ้องมองมาอย่างจงใจ และก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดๆ ขึ้นอีก รูฟัสแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่เขารู้สึกว่าเริ่มจะแห้งผาก
   “กฎเกณฑ์ของสังคมที่ทำให้สมาชิกอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข” ชายหนุ่มตอบ ตามที่เขารู้สึกว่าเคยอ่านผ่านจากหนังสืออะไรสักอย่าง ลู่ชางตบเข่าอีกรอบ
   “อ่า.. ใช่ ต้องตรงตามทฤษฏี หลักศีลธรรมมีไว้เพื่อความสงบสุขของคนบนโลก ถ้าคนบนโลกนี้สงบสุขแล้ว ศีลธรรมก็ไม่จำเป็น คุณว่างั้นไหม?”
   “ผม เอ่อ.. ไม่รู้สิครับ” รูฟัสตอบพลางยกมือขึ้นเกาศีรษะ พลางนึกสงสัยว่าเขาจะต้องตกอยู่ในบทสนทนาที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ไปนานอีกแค่ไหน ลู่ชางยกนิ้วชี้ขึ้น โบกไปมาตรงหน้า ส่งเสียงจุ๊ปาก
   “เทสการิโพกาคือหลักศีลธรรมใหม่ของโลกนี้ มันคือความสงบสุขที่ไม่ต้องฝืนใจทำ คุณเองก็คงเคยทำอะไรผิดหลักศีลธรรมเหมือนกันใช่ไหมล่ะ? อย่างเช่นลักขโมย หรือฆ่าคน”
   รูฟัสเกือบจะพยักหน้า แต่ก็หยุดเอาไว้ ด้วยคิดได้ว่าถ้าเขายอมรับออกไปจะเท่ากับลดตัวเข้าไปอยู่ในความคิดระดับเดียวกับตาแก่เสียสตินี่หรือเปล่า ถึงเขาจะขโมยหรือฆ่าคน แต่ก็ไม่เคยคิดจะสร้างหลักศีลธรรมอะไรขึ้นมาใหม่ เขาไม่เคยนึกต่อต้านโลกถึงขนาดนั้น
   “คุณคงไม่พอใจกับหลักการหลายอย่างของโลกนี้” ชายหนุ่มพูดต่อ พยายามจะหาจุดที่สามารถจะดึงการสนทนากลับไปสู่เป้าหมายของเขาได้
   “ไม่ใช่ไม่พอใจ ฉันแค่สงสัยในความถูกต้องและเที่ยงแท้ของมัน มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แล้วก็ใช่ว่าจะทำให้ทุกคนพอใจได้จริงๆ เสียหน่อย”
   รูฟัสเกือบจะหลุดคำว่า “นั่นแหละ คุณไม่พอใจ” ออกไปแล้ว แต่ก็คิดได้ว่าถ้าพูดออกไปอาจจะทำให้บทสนทนายืดยาวไปในแนวทางอื่น เขาจึงตัดสินใจดึงเรื่องเข้ามาอย่างดื้อๆ
   “คุณรู้รึเปล่าว่าเขาเก็บมันไว้ที่ไหน?”
   ลู่ชางยกมือขึ้นทั้งสองข้าง เหมือนว่ารูฟัสกำลังทำอะไรที่เสียมารยาทอย่างรุนแรง เขาพูดอย่างอ่อนระโหย
   “อา.. คนหนุ่มช่างใจร้อน ไม่บ่อยที่ฉันจะมีโอกาสได้พูดอะไรกับใครแบบนี้นะ แล้วคุณก็ดูจะเป็นผู้ฟังที่ดี คุณจะอดทนฟังฉันต่อสักหน่อยไม่ได้หรือ?”
   รูฟัสแทบจะร้องครางออกมา เขาอยากเปลี่ยนตัวกับรัสเลอร์เดี๋ยวนี้เลย คิดว่าเจ้าหมอนั่นคงจะคุยกับตาแก่นี่ได้รู้เรื่องกว่าเขาแน่ๆ เพราะดูจะเป็นพวกพูดไม่รู้เรื่องด้วยกันทั้งคู่  แต่จนปัญญาที่เขาไม่ใช่นักฟุตบอล และนี่ก็ไม่ใช่สนามแข่งขันที่จะมีนกหวีดเป่าขอเปลี่ยนตัวผู้เล่นได้ ดังนั้นรูฟัสจึงจำต้องใช้ความอดทนต่อไป
   “ขออภัยที่ผมเสียมารยาท ผมอาจจะไม่ค่อยฉลาด..”
   “คุณฉลาด” ลู่ชางพูดพลางยิ้ม รูฟัสเคยคิดว่าเว่ยเฟิงปิงมีรอยยิ้มที่น่ารังเกียจมากแล้ว แต่เมื่อเจอกับรอยยิ้มของชายสูงวัยผู้นี้เข้าไป เว่ยเฟิงปิงดูเป็นเด็กไร้เดียงสาไปเลยทีเดียว มันเป็นรอยยิ้มที่ทั้งชั่วร้าย และวิปลาส
   “ตอบฉันสิ คุณคิดว่าศีลธรรมที่ใช้อยู่ในโลกนี้ จะยังมีความหมายต่อไปอีกรึเปล่า เมื่อเทซกาถูกปลดปล่อยออกไปได้สำเร็จ”
   รูฟัสนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง นึกดีใจที่ไม่ได้ยินเสียงเร่งจากรัสเลอร์หรือราฟาแอล ดูท่าพวกนั้นจะเข้าใจว่าเขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับสถานการณ์แบบไหน
   “ผมไม่ใช่คนดีเด่อะไร..” รูฟัสกล่าวออกมาในที่สุด พร้อมกับรอยยิ้มที่ยอมจำนนต่อโลก “ผมคงตอบคุณไม่ได้จนกว่าจะได้ไปพิสูจน์”
   ลู่ชางกวาดสายตามองรูฟัส ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
   “เด็กร้ายกาจ คุณฉลาดว่ายัยเด็กผมทองที่พูดเรื่องหลักศีลธรรมงี่เง่านั่นเสียอีก ใช่แล้ว ทุกอย่างต้องพิสูจน์ มันต้องพิสูจน์  ใช่..คุณจะต้องพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง พ่อหนุ่มตาสองสี”
----------------------------------------------------
   ราฟาแอลนึกดีใจและโล่งใจเป็นที่สุด ที่เขาตัดสินใจส่งรูฟัสไปทำหน้าที่เจรจานี้  เขาไม่เคยได้ยินบทสนทนาที่บ้าคอคอแตกขนาดนี้มาก่อน นี่ขนาดแค่ฟังเฉยๆ ไม่ได้เป็นคนตอบเขายังแทบจะอ้าปากตะโกนสั่งให้รูฟัสเก็บตาแก่บ้านั่นเสีย ก่อนที่จะพูดจาให้ใครต่อใครเป็นบ้าตามตัวเองไปอีก อย่างไรก็ตามต้องขอบคุณความวิปลาสที่ยากจะคาดเดาของชายชราคนนี้ เพราะในที่สุดเจ้าแก่นั่นก็เป็นฝ่ายเชื้อเชิญรูฟัสให้เข้าไปที่ห้องเก็บควันนั่น เพื่อพิสูจน์สิ่งที่ตัวเองตั้งทฤษฏีเอาไว้
   ทฤษฏีหลักศีลธรรมใหม่ของโลก
   ราฟาแอลไม่ต้องการจะขบคิดเรื่องศีลธรรมให้ยุ่งยาก ไม่อย่างนั้นเขาคงฝ่อตายไปแล้ว แค่จำนวนผู้หญิงที่เขามีก็คงมากพอจะทำให้พระเจ้าปิดประตูสวรรค์ใส่หน้าเขา ไม่จำเป็นจะต้องไปพูดถึงคนอีกจำนวนไม่น้อยที่หมดโอกาสจะทำบุญหรือทำบาปเพราะลูกปืนของเขา สำหรับราฟาแอลแล้วศีลธรรมไม่เคยมีอยู่ในหัวสมองของเขา สิ่งสำคัญที่สุดคือ คำว่า ลุล่วง หรือล้มเหลวเท่านั้น และสำหรับภารกิจนี้ เขามีความจำเป็นจะต้องทำให้มันลุล่วง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการอะไรก็ตาม
   “เอาไง สิงโต นายจะตามเสือขาวไปด้วยรึเปล่า?” รัสเลอร์เอ่ยปากถามขึ้น หลังจากฟังบทสนทนาบ้าบอนั้นจบ เขาชักรู้สึกเป็นห่วงรูฟัสขึ้นมานิดหน่อย และยอมรับว่าลู่ชางบ้ากว่าที่เขาเคยจินตนาการเอาไว้หลายเท่า แทบจะพูดได้ว่าเมื่อเทียบกันแล้ว เขากลายเป็นคนปกติไปเลย
   “คิดว่าคงไม่ต้องนะ” ราฟาแอลตอบ เขาแน่ใจว่ารูฟัสคงฟังอยู่ แต่คงไม่สามารถจะตอบกลับได้ เพราะน่าจะยังอยู่ในห้องของลู่ชาง
   “ฉันจะแยกกับนายตรงนี้ จำไว้ว่าภารกิจจะต้องสำเร็จ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ราฟาแอลพูดต่อ เหมือนจะได้ยินเสียงตอบรับเบาๆ จากทางรูฟัส รัสเลอร์จึงถามขึ้นอีก
   “แล้วจะทำอะไรต่อล่ะ สิงโต”
   ราฟาแอลกวาดสายตามองดูพนักงานในชุดสีขาว ที่กำลังเดินกันให้วุ่นอยู่บนระเบียงทางเดินแผงเหล็กยาว คงกำลังเตรียมการสำหรับงานประชุมที่จะเริ่มขึ้น
   “ฉันจะขึ้นไปด้านบน”
----------------------------------------------

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
คิดถึงรูฟัสกับฟ่งจังวุ๊ย

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ทวีศักดิ์เดินลงมาที่บริเวณทางออกฉุกเฉิน ในช่วงแปดโมงเช้า เขานอนไปราวๆ สี่ชั่วโมงหรือต่ำกว่านั้น ชายผู้มีรอยแผลเป็นบนใบหน้ายืนรอเขาอยู่
   “คุณคิดว่าไง รัตน์?” ทวีศักดิ์ถามขึ้น หลังจากยืนมองสภาพห้องที่ซ่อมเสร็จไปเมื่อตอนรุ่งเช้าอยู่พักหนึ่ง ผู้ถูกถามหันกลับมามองอย่างแปลกใจ
   “หมายความว่าไงหรือครับ?”
   “อภิวัฒน์ เด็กคนนั้น ทำงานได้ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ? ถ้าเขาแสดงท่าทีที่เป็นมิตรมากกว่านี้ บางทีผมน่าจะเอาเขามาทำงานด้วย”
   “ผมว่าคุณคงไม่สร้างอะไรแบบนี้บ่อยๆ หรอก” รัตน์ตอบ ทวีศักดิ์หัวเราะลงคอ
   “นั่นสิ ผมคงเกิดรู้สึกเห็นใจเจ้าวินขึ้นมานิดหน่อย วินไม่เคยพูดถึงเพื่อนเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพาเพื่อนมาหาผม แล้วก็ดันเป็นคนที่ผมไม่อยากจะปล่อยเอาไว้เสียด้วย” ชายผู้มีวัยห้าสิบเศษกล่าวแล้วก็ถอนหายใจยาว
   “ผมควรลองคุยกับอภิวัฒน์ดู เขายังเด็ก และเขาก็ทำงานให้ผมเป็นครั้งที่สองแล้ว ผมควรให้โอกาสเขาบ้าง”
   รัตน์กลอกตามองดูหัวหน้าของเขา และกล่าวเรียบๆ “ตามใจคุณเถอะ แต่ผมแนะนำให้คุยให้เสร็จก่อนที่เขาจะออกไปจากที่นี่”
   “อ่า...ผมเข้าใจ” ผู้เป็นเจ้าของการประชุมครั้งนี้หรี่ตาลง และคลี่ยิ้มบางๆ
----------------------------------------------
   ฟ่งลืมตาตื่น ไม่ใช่เพราะเสียงเคาะประตูที่ดังอยู่ แต่เป็นเพราะเสียงซ่าๆ ของวิทยุสื่อสารที่เขาวางทิ้งไว้ใกล้หมอน มันทำให้เขาฝันแปลกๆ ว่าหลุดไปอยู่ในดาววิทยุหรืออะไรเทือกนั้น ชายหนุ่มหยิบแว่นขึ้นมาสวม และเดินไปเปิดประตู
   “ฟ่ง!!” วรุตเอ่ยทักขึ้นและแทบจะก้าวพรวดเข้ามารวบตัวเขาเอาไว้ทันทีที่ประตูเปิดออก  เด็กหนุ่มอยู่ในชุดสูทสีขาว ซึ่งถูกบังคับให้ใส่ก่อนจะวิ่งห้อตะบึงลงมา
   “ผมคิดว่าคุณเป็นอะไรไปแล้วเสียอีก เรียกทางวิทยุก็ไม่ตอบ”
   ในที่สุดฟ่งก็รู้เสียทีว่าไอ้เสียงซ่าๆ ที่เขาได้ยินระหว่างนอนหลับคือเสียงการพยายามจะติดต่อของวรุตนี่เอง
   “ผมสบายดี” ฟ่งตอบ และหยุดหาวหวอดรอบหนึ่ง “แค่นอนน้อยไปหน่อย”
   “ได้ยินว่าคุณซ่อมห้องเสร็จแล้ว?” วรุตพูดสวน ดูเขาจะมีสีหน้าร้อนใจพิกล ฟ่งพยักหน้า
   “อืม เสร็จแล้ว เสร็จก่อนเที่ยงเหมือนที่ตกลงเอาไว้ เออ ใช่ พ่อคุณ ผมยังไม่ได้บอกราคาค่าจ้างเลย”
   อีกฝ่ายแทบจะยกมือกุมศีรษะ ในเวลาแบบนี้ฟ่งยังนึกถึงเรื่องค่าจ้างอยู่อีกรึนี่
   “เรื่องนั้นน่ะ ไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้คุณมากับผมก่อน” เด็กหนุ่มพูดและคว้าแขนฟ่งออกมาจากห้อง หนุ่มสวมแว่นเซถลาตามแรงดึง
   “เดี๋ยว!! มีเรื่องอะไรเนี่ย?” ฟ่งถามอย่างไม่เข้าใจ และพยายามจะสลัดแขนออก เขาไม่ชอบให้ใครลากไปลากมาแบบนี้ อิทธิเดชซึ่งยืนรออยู่ด้านนอกคว้าแขนของเขาไว้ต่อ ขณะที่วรุตหันไปเผชิญหน้ากับผู้ที่ก้าวเข้ามาขวางเขาเอาไว้
   “ไม่ได้นะครับ คุณวรุต!! พวกผมได้รับคำสั่งให้จับตาดูคนคนนี้เป็นพิเศษ”
   ชายฉกรรจ์สองคนในชุดยูนิฟอร์มสีขาวที่ก้าวเข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเด็กหนุ่มถลึงตามองอย่างไม่พอใจทันที
   “ใครสั่ง พ่อผมหรืออารัตน์ล่ะ? พวกคุณจะจับตาดูเขาไปทำไม กลัวว่าจะเป็นสปายหรือไง เขามากับผมนะ!!”
   “แต่ว่า..มันเป็นคำสั่ง…” ชายทั้งสองคนยังคงยืนขวางอยู่ตอบ และมีสีหน้าลังเลอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาไม่กล้าจะมีเรื่องกับลูกชายของท่านประธาน แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเหมือนกัน วรุตขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด เขายืนประจันหน้ากับพนักงาน โดยไม่มีฝ่ายใดยอมถอย สักพักหนึ่งก็มีอีกเสียงดังขึ้น
   “อา... วิน พ่อคิดอยู่ว่าลูกอาจจะมาที่นี่” ทวีศักดิ์เอ่ยและเดินเข้ามาหาผู้เป็นลูก วรุตหันไปจ้องเขา
   “ไหนอาบอกมีเรื่องอะไรก็ติดต่อไปได้เลยไง” เด็กหนุ่มโวยข้ามหัวพ่อของตัวเองไปทางผู้ที่เขาเรียกว่าอารัตน์ซึ่งเดินตามหลังมา ชายวัยกลางคนผู้มีแผลเป็นบนใบยิ้มอย่างเอ็นดู เขารู้ว่าวรุตพยายามจะติดต่อกับพวกเขาทั้งคู่ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
   “พ่อเป็นคนบอกอาเขาเองแหละว่าควรจะมาพูดกับลูกโดยตรงที่นี่”
   “อ้อ....” วรุตลากเสียงยาว ดูเหมือนเขาไม่ค่อยจะพอใจผู้เป็นพ่อเท่าไรนัก
   “พ่อรู้ได้ไงว่าผมจะมาที่นี่?” เด็กหนุ่มถามกลับ ทวีศักดิ์ตอบลูกชายยิ้มๆ “ก็พ่อนึกไม่ออกว่าลูกจะไปตรงไหน ทำอะไร ถึงต้องวิทยุเรียกพ่อนอกจากที่นี่”
   “อ้อ....” เด็กหนุ่มลากเสียงยาวอีกรอบ แต่ก็ไม่ได้มีประโยคอะไรตามมาอีก ทวีศักดิ์จึงพูดต่อ “ก็ดีที่ลูกอยู่ด้วย พวกเรามีเรื่องต้องคุยกันสักหน่อย”
   รัตน์ทำท่าจะถอยออกไปแต่ถูกทวีศักดิ์ยกมือห้ามเอาไว้ ดังนั้น ทุกคนจึงอยู่กับที่รวมทั้งพนักงานสองคนนั่นด้วย วรุตมองพ่อของตนอย่างไม่ไว้ใจขึ้นมาทันที
   “หวังว่าพ่อคงมีธุระสำคัญจริงๆ ไม่ใช่วางแผนอะไรไม่ดีเอาไว้อีกนะ” เด็กหนุ่มว่า และหันไปสั่งอิทธิเดชให้พาฟ่งออกไปก่อน แต่ก็ถูกทวีศักดิ์โบกมือห้ามไว้อีก คราวนี้เด็กหนุ่มหันไปมองผู้เป็นบิดาอย่างเอาเรื่องเอาราวจริงๆ
   “พ่อมีธุระอะไรกันแน่?”
   “เป็นเรื่องที่ลูกต้องมีส่วนในการตัดสินใจ” ทวีศักดิ์ตอบ เขามองไปทางฟ่งซึ่งยังคงยืนฟังอย่างงงๆ
   “พ่อคิดว่าจะให้เพื่อนของลูกมาทำงานกับพ่อ”
   วรุตเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เขาถามออกไปทันที “พ่อหมายความว่าไง? ให้เขามาเป็นพนักงานที่นี่เหรอ?”
   “อืม ใช่...” ทวีศักดิ์พยักหน้า เขาหันไปทางฟ่งอีกรอบ “ผมอยากจ้างให้คุณทำงานประจำกับผม คุณโอเคไหม?”
   ฟ่งขมวดคิ้วอย่างงุนงง “คุณคิดจะสร้างอะไรอีกหรือไง?” สถาปนิกหนุ่มถาม ก่อนจะสั่นศีรษะ
   “ไม่เห็นจำเป็นเลยที่คุณจะต้องจ้างผมเป็นพนักงานประจำ แล้วอีกอย่าง ผมก็ไม่ชอบทำงานประจำ...” ฟ่งพูดค้าง มองหน้าทวีศักดิ์อย่างนึกขึ้นได้  ใช่ คนคนนี้ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะจ้างเขาเป็นพนักงานประจำ นอกเสียจาก.....
   “คุณกำลังขู่ผม!!” หนุ่มสวมแว่นโพล่งออกไป ทวีศักดิ์ยิ้มอย่างใจดี “คุณระแวงเกินไปล่ะมั้ง ที่ผมจ้างคุณ เพราะลูกผมดูจะชื่นชอบผลงานของคุณน่ะ ผมเลยคิดว่าคุณน่าจะมาทำงานด้วยกันเสียเลย”
   ฟ่งอ้าปากค้าง เขาหันไปมองวรุต ซึ่งมีสีหน้างุนงง คงยังไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าเท่าไร
   “ลูกว่าไง อยากให้เขาทำงานที่นี่รึเปล่า?”
   “พ่อทำผมแปลกใจ” วรุตพูด และยิ้มออกมาในที่สุด “ผมคิดว่าพ่ออยากจะฆ่าเขาเสียอีก ผมไม่มีปัญหาถ้าพ่อจะจ้างเขาทำงานที่นี่ประจำ แต่ถ้าเขาไม่อยากทำ ผมก็คงบังคับอะไรเขาไม่ได้”
   “พ่อแน่ใจว่าเพื่อนลูกคนนี้ต้องอยากจะทำงานกับเราแน่ๆ ” ทวีศักดิ์พูด และหันไปมองฟ่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ใช่ไหมครับ ถ้าคุณไม่อยากมาทำงานที่นี่ คุณคงไม่มาหรอก”
ฟ่งมองหน้าพ่อลูกทั้งสอง ก่อนจะพยักหน้า “ก็อย่างนั้นล่ะครับ ยินดีที่จะได้ร่วมงานกับคุณอีก” หนุ่มสวมแว่นว่า ทวีศักดิ์หัวเราะออกมา
   “ยินดีเช่นกัน เดี๋ยวผมจะให้คนพาคุณไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
   “คุณจะให้ผมทำอะไรอีก?” ฟ่งถามอย่างสงสัย ไอ้ชุดหมีที่ใส่อยู่นี่ยังไม่ใช่เครื่องแบบพนักงานอีกหรือไง ทวีศักดิ์สั่นศีรษะ
   “ไม่ใช่ผม แต่เป็นลูกผม” ชายวัยกลางคนกล่าว และหันไปมองบุตรชายของตน
   “เขาเป็นของลูกแล้ว”
   วินาทีนั้นฟ่งหันไปมองอิทธิเดชอย่างลืมตัว เขาพอจะเข้าใจขึ้นมานิดหน่อยแล้วว่าทวีศักดิ์เลี้ยงดูลูกตัวเองแบบไหน
--------------------------------------
   “ต้องขอโทษจริงๆ เรื่องพ่อผม” วรุตกล่าวขึ้นหลังจากที่ฟ่งอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว หนุ่มสวมแว่นนิ่วหน้า ก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเอง ซึ่งที่เอามาใหม่ก็ยังเป็นชุดหมีสีขาวเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนตัวเท่านั้นเอง
   “ผมว่าคุณเหมาะกับชุดนี้แล้วล่ะ อีกอย่าง ไม่มีเสื้อสูทไซต์คุณด้วย” วรุตว่า ฟ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ และถอนหายใจเฮือก เขาไม่อยากถูกหาว่าเรื่องมากอีก จะยอมใส่ไอ้ชุดหมีนี่เดินไปไหนมาไหนก็ได้ ดูท่าทวีศักดิ์จะเตรียมไว้ให้อีกหลายชุด คงเหลือมาจากคราวที่แล้วที่เขาไม่ยอมมากินนอนอยู่ที่นี่แน่ๆ
   “แล้วนายจะเอายังไงต่อ.. วิน หรือผมต้องเรียกว่าคุณวรุต?” ฟ่งพูด ทำเสียงเหมือนจะประชด วรุตรีบโบกมือ
   “ไม่ต้อง ผมไม่อยากให้คุณประชดผมแบบนั้น เรียกผมว่าวินเหมือนเดิมแหละ คุณไม่ใช่ลูกน้องผมจริงๆ สักหน่อย”
   “แต่พ่อนายจ้างผมแล้ว ด้วยเงื่อนไขที่ปฏิเสธลำบากเสียด้วย” ฟ่งว่า วรุตหัวเราะ
   “นั่นสิ  อืม... ผมจะให้คุณทำอะไรดี อยู่ใกล้ๆ ผมไว้แล้วกัน”
   ฟ่งขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าวรุตเข้าในเรื่องที่เขาต้องการสื่อออกไปมากน้อยแค่ไหน ดูเหมือนอิทธิเดชที่ยืนอยู่ด้วยจะมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
   “คุณไม่ควรให้เขาอยู่ที่นี่นาน...” อิทธิเดชกล่าว วรุตรีบยกมือขึ้นปิดปากอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะจุ๊ปากในเชิงปราม
   “ผมรู้ว่าพ่อคิดอะไร เขาเป็นพ่อผมนะ”
   อิทธิเดชมองเด็กหนุ่มอย่างไม่ค่อยจะเชื่อถือนัก แต่ก็ยอมหยุดพูด วรุตหันไปมองฟ่ง
   “คุณอยากจะเป็นผู้ติดตามของผมหรือเปล่า? อีกสักพักผมคงต้องไปต้อนรับพวกแขกที่กำลังจะมาถึง..ในห้องนั้น” วรุตเน้นคำพูดสุดท้าย ฟ่งมองหน้าเขา และเหลือบไปมองอิทธิเดช ก่อนจะพยักหน้า
   “คุณคงจำเป็นต้องใช้บอดีการ์ดเพิ่ม คุณวรุต”
   เด็กหนุ่มหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
   “ผมมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้น ห้ามอยู่ห่างจากผมเด็ดขาดนะ”
---------------------------------------------
   ฟ่งเดินตามวรุตและอิทธิเดชเข้ามาในห้องที่จัดเตรียมเอาไว้สำหรับต้อนรับผู้ร่วมประชุม ในตอนราวๆ สิบโมงครึ่ง ที่นั่น เขาพบทวีศักดิ์นั่งรออยู่แล้ว และกำลังคุยกับชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งอยู่ จากลักษณะใบหน้าดูเหมือนจะเป็นชาวเอเชีย
   “วิน.. มาได้จังหวะพอดีเลย เข้ามาสิ พ่อมีคนต้องแนะนำให้ลูกรู้จัก” วรุตเดินเข้าไปตามคำเชิญของผู้เป็นพ่อ ทวีศักดิ์แนะนำลูกชายของตนเป็นภาษาอังกฤษให้กับชายสองคนในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มและสีน้ำตาล ที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังสีขาวอย่างดี พร้อมกับผู้ติดตามอีกสามสี่คน
   “นี่วรุต ลูกชายผม ผมวางแผนให้เขาสืบทอดกิจการต่อจากผม”
   วรุตฝืนยิ้ม ขณะนึกแย้งในใจว่าเขายังไม่รู้เลยว่าผู้เป็นบิดาของเขาดำเนินกิจการอะไรบ้าง แล้วจะสืบทอดได้ยังไง  ชายสองคนที่นั่งอยู่พยักหน้า หนึ่งในนั้นเป็นคนที่ฟ่งคุ้นตาเป็นอย่างดี
   “นี่คนจากตระกูลเว่ย คุณเว่ยจินหยิน และคุณเว่ยเฟิงปิง”
   วรุตสัมผัสมือทักทายกับคนทั้งสอง ขณะที่ฟ่งยืนอ้าปากค้าง นัยน์ตาเรียวเล็กสีฟ้าของเว่ยเฟิงปิงเหลือบมาทางเขานิดหน่อย หากจะมีวี่แววแห่งความแปลกใจ ก็คงจะมีแค่เสี้ยววินาทีเล็กๆ นั่นแหละ
   “บอร์ดี้การ์ดของลูกชายคุณแต่งตัวแปลกดี” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่เอ่ยขึ้น จงใจที่จะพูดถึงตัวของฟ่งโดยเฉพาะ วรุตหัวเราะ “เปล่า เขาไม่ใช่บอร์ดี้การ์ดผมหรอก เขาเป็นเพื่อนผม”
   “เพื่อน?” เว่ยจินหยินที่สวมเสื้อสูทสีน้ำเงินเข้มทวนคำ ฟ่งเห็นว่าตอนนี้นอกจากคนในชุดสูทสีน้ำเงินแล้ว เว่ยเฟิงปิงเริ่มมีความแปลกใจอยู่บ้าง คงคิดไม่ถึงว่าฟ่งจะรู้จักกับวรุตล่ะมั้ง  ต่อให้เป็นคนฉลาดขนาดไหนก็เถอะ ไอ้เรื่องแบบนี้มันใช้เหตุผลในการคาดเดาได้ที่ไหนกันล่ะ
   “งั้นก็คงเป็นเพื่อนคนสำคัญ...” เว่ยเฟิงปิงลากเสียง เขาเห็นสายตากึ่งแปลกใจกึ่งตำหนิของเว่ยจินหยินที่มองมา ช่างประไรล่ะ ในเมื่อเว่ยจินหยินไม่เคยรู้จักฟ่ง และไม่รู้ว่าฟ่งเป็นใคร ก็ไม่มีสิทธิ์อะไรจะมาตำหนิ เขามีสิทธิ์ที่จะถาม เพราะต้องการรู้ว่าฟ่งอยู่ที่นี่ด้วยความสำคัญและฐานะอะไรกันแน่ มันอาจจะเกี่ยวโยงถึงผู้ชายที่ชื่อรูฟัส และแผนที่สายลับตาสองสีคนนั้นอาจจะดำเนินอยู่ ซึ่งเกี่ยวโยงกับอนาคตความเป็นความตายของพวกเขาด้วย
   เกี่ยวโยงถึงตำแหน่งผู้สืบทอด
   เว่ยเฟิงปิงนึกดีใจที่ได้เจอฟ่งที่นี่ อย่างน้อยเขาก็มีอะไรที่ดูจะได้เปรียบกว่าเจ้าพี่ชายที่น่ารังเกียจของตนสักอย่างหนึ่ง
   “เขาเป็นคนออกแบบที่นี่” วรุตตอบอย่างภาคภูมิใจ ทวีศักดิ์ส่งเสียงกระแอมเป็นเชิงเตือนลูกชาย ขณะที่เว่ยเฟิงปิงเปิ่งตาสีฟ้าของเขาอย่างแปลกใจจริงๆ 
ถ้าฟ่งอยู่ที่นี่ ก็คงแปลว่ารูฟัสคงอยู่ที่นี่ด้วย เขารู้มาแต่แรกแล้วว่าภารกิจที่รูฟัสกำลังทำอยู่ จะต้องเกี่ยวข้องกับงานนี้ ที่ผิดคาดไปก็คือ เขาไม่คิดว่าฟ่งจะทำงานให้กับทวีศักดิ์ด้วย รอยยิ้มน่าเกลียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเว่ยเฟิงปิง
   “เพื่อนคุณสำคัญจริงๆ” เขาว่า นึกสงสัยว่ารูฟัสรู้เรื่องนี้แล้วหรือเปล่า หรือว่ารูฟัสเองก็โดนหลอกไปด้วย แค่คิดก็รู้สึกขบขันเสียเต็มประดา เว่ยเฟิงปิงยอมรับว่าเขายังนึกแค้นเคืองผู้ชายตาสองสีคนนั้นอยู่
   ถ้าฟ่งหลอกรูฟัสได้จริงๆ ล่ะก็ เขายินดีจะให้ความช่วยเหลือหนุ่มสวมแว่นคนนี้
----------------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
คิดถึงรูฟัสกับฟ่งจังวุ๊ย

คุณพี่ปาดไปเต็มๆ ฮ่าๆ (เรื่องนี้โดนปาดบ่อยมาก ตั้งแต่กระหน่ำลงวันเดียว20ตอนแล้ว<<ใครใช้ให้หล่อนเขียนตอนยาวขนาดนี้ล่ะยะ!!)

หนังสือถึงยังอ่ะคะพี่?

ปล. หนูควรคิดถึงไอ้คู่นี้ในเล่มพิเศษมั้ย? (แต่ตอนปกติก็กระหน่ำลงคู่มันไปเกือบสิบตอนแล้วนะเนี่ย=[]=!!)

ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






lovevva

  • บุคคลทั่วไป
กว่าจะตามอ่านเรื่องนี้ทันใช้เวลาสองวันเต็มๆ o13

+1 พร้อมบวกเป็ดให้เลยค่ะ :กอด1:

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล๊วว~
ลุ้นตลอด 5555
ขอบคุณคนเขียนนะคับบบ:))

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
มันจะเข้าใจไปคนละทางจนป่วนไปหมดมั้ยเนี่ย

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
เรื่องชักจะยุ่งกันไปใหญ่ป่ะเนี้ย

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**เรื่องนี้ยาวจนหอบ (คนอ่านนะคะ คนเขียนเขียนจบได้สักพักแล้วค่ะ :o8:)

ตอนนี้กำลังทยอยเขียนเรื่องแยกเก็บตก(และเพิ่มเติม?) สำหรับเล่มพิเศษอยู่ค่ะ... ตอนแรกคิดว่า อืม เล่มพิเศษนี่คงสักร้อยกว่าหน้าล่ะมั้ง ปรากฏว่า เนื้อหาตอนพิเศษเท่าที่มีในสต็อกตอนนี้ ก็ปาไปร้อยต้นๆ แล้ว... และ..ยังเหลือเนื้อหาอื่นๆ ไม่ได้เขียนอีกเพียบ!! ม่ายยย มันคงได้กลายเป็นซีรีส์ทุบปลวกจริงๆ แน่ (เท่าที่มีอยู่นี่มันก็ทุบปลวกตายได้แล้วล่ะยะหล่อนนน)

ขอบคุณที่อดทนอ่านกันนะคะ ^^

------------------------------------------------

บทที่56  ความหลังที่บังเอิญพบ และปัจจุบันที่ไม่อยากคาดเดา

   “คุณวรุต ถ้าไม่เป็นการรบกวน ผมขอคุยกับสถาปนิกของคุณเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้ไหม?” เว่ยเฟิงปิงเอ่ยปากขึ้นทันทีหลังจากการสนทนาแนะนำตัวคร่าวๆ ยุติลง วรุตแสดงสีหน้าแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าใสต้องพูดต่อ
   “ผมสนใจผลงานของเขา เผื่อว่าอาจจะมีโอกาสได้ร่วมงานกัน”
   “อ้อ..” เด็กหนุ่มส่พยักหน้าอย่างเข้าใจ และโดยไม่หันไปขอคำอนุมัติจากผู้เป็นพ่อ เขาพูดตอบ “ได้สิครับ ถ้าเขาตกลงใจ”
   ฟ่งทำท่าจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเว่ยจินหยินพูดแทรก
   “ผมแน่ใจว่าเขาจะต้องสนใจข้อเสนอของเราแน่นอน ใช่ไหมครับ คุณอภิวัฒน์” ประโยคต่อมาหันมาพูดกับคนสวมแว่นที่ยืนอยู่ ฟ่งเคยเห็นมาแล้ว ทั้งสายตาริษยาจากเว่ยเฟิงปิง สายตาที่ประหนึ่งจะฆ่าคนได้ของราฟาแอล และสายตาที่เดาไม่ออกว่าพูดจริงหรือเปล่ากันแน่ของรูฟัส แต่เขาไม่เคยเห็นสายตาที่ดูแล้วรู้สึกหวั่นใจมากขนาดนี้มาก่อน
   สายตาของผู้ชายคนนี้ที่มองมา ทำให้เขารู้สึกว่า ถ้าไม่ทำตามคงไม่ได้เจอเรื่องดีๆ แน่ๆ ไม่ได้คมบาด แต่น่ากลัวอยู่ลึกๆ

   ในที่สุดฟ่งจึงจำต้องเดินตามกลุ่มของเว่ยเฟิงปิงออกมายังห้องรับรองที่ถูกจัดไว้เป็นพิเศษอีกห้องหนึ่ง พลางนึกสงสัยว่าผู้ชายสวมแว่นท่าทางดูดีอีกคนที่มากับเว่ยเฟิงปิงเป็นใครกันแน่ ได้ยินว่าชื่อเว่ยจินหยินหรืออะไรสักอย่าง บางทีอาจจะเป็นพี่น้องกันก็ได้ จะว่าไปแล้วหน้าตาก็มีส่วนคล้ายกันอยู่บ้างหรอก ตรงแววตาเจ้าเล่ห์เพทุบายนั่นแหละ ไอ้ตอนที่แย่งพูดออกมาแล้วจ้องมาทางเขานี่ แววตาสีดำนั้นราวกับจะทิ่มทะลุเข้าไปตรวจสอบความคิดของเขาอะไรอย่างนั้น จะว่าไปแล้วเจ้าหมอนี่ให้ความรู้สึกแย่กว่าเว่ยเฟิงปิงเสียอีก
   สองคุณชายแห่งตระกูลเว่ยหย่อนก้นลงบนโซฟาหนังสีขาวที่ถูกจัดวางเอาไว้ในทิศทางตรงข้ามกัน และปล่อยให้โซฟายาวตรงกลางว่างไว้ เป็นการบอกใบ้เงียบๆ ว่าผู้ที่ถูกเชิญมาสมควรจะนั่งตรงไหน ฟ่งนั่งปุลงบนโซฟาโดยมีบอดีการ์ดของทางเว่ยจินหยินและเว่ยเฟิงปิงเดินมาคุมเชิง โชคยังดีที่สองคนนี่แค่ยืนด้านหลังเท่านั้น ไม่ใช่นั่งขนาบและเอาปืนนาบอย่างที่เขาเคยประสบแต่อย่างใด
   ความเงียบเกิดขึ้น ไม่มีใครสักคนที่เอ่ยปากพูด แม้แต่เว่ยเฟิงปิงซึ่งเป็นคนเริ่มต้นเหตุการณ์ ก็นั่งนิ่งราวกับกำลังรอคอยอะไรอยู่ ฟ่งสังเกตผู้คนที่อยู่ในห้อง เว่ยเฟิงปิงนั้นดูจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ยังคงเป็นชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าเรียวยาวราวกับงู และรอยยิ้มที่ไม่ก่อให้เกิดความประทับใจเสมอมา แต่ยังมีอีกคนหนึ่งที่รู้สึกคุ้นๆ หน้า เพียงแต่ทรงผมออกจะดูแปลกไปหน่อย หนุ่มสวมแว่นทำท่าจะขยับปากพูด แต่ถูกมือเรียวของเว่ยเฟิงปิงยกขึ้นห้ามไว้
   ฟ่งกล้ำกลืนคำพูดลงไปในลำคอ เขาคิดว่าเว่ยเฟิงปิงอาจจะต้องการพูดก่อน แต่ก็เปล่า ความเงียบยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ให้เขามีเวลาพอจะสำรวจคนอื่นๆ อีก นอกจากคนที่เขาคิดว่าทรงผมเปลี่ยนไปแล้ว กับบอดีการ์ดหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังซึ่งเขายังไม่มีโอกาสจะมองหน้าชัดๆ  ผู้ชายที่ชื่อเว่ยจินหยินซึ่งนั่งอยู่อีกข้างให้ควาวรู้สึกแตกต่างที่ขัดแย้งอย่างประหลาดกับผู้เป็นน้องชาย เว่ยจินหยินเป็นชายหนุ่มที่อายุน่าจะอยู่ในวัยเลขสาม หวีผมเรียบร้อย ใบหน้าดูสงบและภูมิฐาน แต่ภายใต้ดวงตาสีดำสนิทนั้นเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ การแสดงสีหน้าของเว่ยจินหยินนั้นไม่สามารถบอกได้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ เทียบกันแล้วรอยยิ้มน่าเกลียดของเว่ยเฟิงปิงยังดูดีกว่า  อย่างน้อยก็ยังบอกได้ว่ามีจุดประสงค์ดีหรือไม่ดี  ยังมีหนุ่มร่างใหญ่ที่ดูจะมีอายุอีกคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเว่ยจินหยิน ผมดำตรงตัดสั้นในชุดสูทสีดำ สูงราวๆ ร้อยแปดสิบ ดีไม่ดีจะสูงกว่ารูฟัสเสียอีก  ที่สะดุดตาก็คงจะเป็นรอยไหม้เล็กๆ ตรงกรามซ้าย และแววตาที่ดูอ่อนโยนจนน่าแปลกใจเมื่อคิดว่าเป็นคนที่มากับคณะมาเฟียฮ่องกงกลุ่มนี้
   “เอาล่ะ จะพูดอะไรก็พูดได้แล้ว” ชายหนุ่มอายุราวๆ สามสิบเศษผู้สวมแว่นตากรอบทองและหวีผมเรียบแปล้พูดขึ้น ฟ่งเพิ่งรู้สึกตัวว่าบอดีการ์ดซึ่งอยู่ด้านหลังเขาเดินออกไปยังตำแหน่งอื่นและเพิ่งกลับเข้ามา เว่ยเฟิงปิงพยักหน้า
   “พวกฉันจำเป็นต้องรบกวนสัญญาณเครื่องดักฟังก่อน ไม่รู้ว่าเขาจะติดตั้งเอาไว้หรือเปล่า แต่กันไว้ก่อนนั่นแหละ” หยุดไปพักหนึ่งก็หันมาถาม “เมื่อกี้นายอยากจะพูดอะไรน่ะ?”
   ฟ่งพงกศีรษะหงึกๆ ไอ้ที่นั่งเงียบกันอยู่นี่ก็คงรอให้ลูกน้องวางเครื่องรบกวนสัญญาณล่ะมั้ง  ว่าแต่เมื่อครู่เขาอยากจะพูดอะไรกันล่ะ?
   “อ้อ....ผมแค่จะถามว่า คุณซื่อเยี่ยนตัดผมล่ะรึ?”
   ดูเหมือนจางซื่อเยี่ยนดูนึกไม่ถึงว่าประโยคแรกที่หนุ่มสวมแว่นพูดออกมาจะเกี่ยวกับเขา นัยน์ตาสีอีกานั่นเบิ่งโพลงขึ้นนิดหน่อย ในขณะที่ผู้เป็นเจ้านายช่วยตอบให้
   “อืม..ใช่ นายคงเห็นด้วยว่าดูดีกว่าตอนผมยาว”
   ฟ่งไม่แน่ในว่าเขาควรจะพยักหน้าดีหรือไม่ ในตอนนั้นเองที่เว่ยจินหยินส่งเสียงขึ้นบ้าง
   “ไม่ยักรู้มาก่อนว่าพวกเธอรู้จักกัน และพี่ก็ไม่คิดว่าเขาเป็นสปายของเธอหรอกนะ แต่เอาล่ะ ในเมื่อเขาเป็นคนออกแบบที่นี่ เราก็ถือว่าได้เปรียบ”
   เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่เว่ยจินหยินทันที เขาล่ะเกลียดวิธีพูดเอาประโยชน์เข้าตัวแบบนี้เป็นที่สุด แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรตอบโต้ อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
   “คุณชายเจ็ด ไม่คิดจะแนะนำเพื่อนของคุณหน่อยหรือครับ?” เถียนซานเอ่ยปากพูดขึ้น พลางยิ้มให้ เว่ยเฟิงปิงหุบปากลงทันใด ถึงเจ้าหมอนี่ภายนอกจะดูใจดีขนาดไหน แต่นี่คือนักฆ่าที่ดีที่สุดของตระกูล แถมยังเป็นหัวหน้าหน่วยดำ ที่สำคัญเป็นคนสนิทของเจ้าพี่บ้านั่นอีก เป็นคนที่ตอแยด้วยคำพูดยากที่สุด ไม่ใช่ว่าปากกล้า แต่เพราะเขาเป็นคนที่รู้จังหวะการพูด และการวางตัวเป็นอย่างดี เว่ยเฟิงปิงเคยนึกสงสัยว่าเถียนซานเป็นคนสอนศิลปะการพูดให้กับเว่ยจินหยินด้วยหรือเปล่า
ที่พูดแบบนี้ออกมาคงหวังจะกดดันเขาให้ทำตามสิ่งที่อดีตเจ้านายตัวเองต้องการสินะ
   คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยเงียบไปพักหนึ่ง ถึงจะหงุดหงิด แต่การจะทู่ซี้ถ่วงเวลาในสถานการณ์แบบนี้ก็โง่เง่าเกินไป ดังนั้นในที่สุด ชายหนุ่มก็พูดขึ้น
   “ผมอธิบายคร่าวๆ ก็แล้วกัน” หยุดมองฟ่งกับพี่ชายแวบหนึ่ง เว่ยเฟิงปิงจึงพูดต่อ
   “เขาเคยเป็นเชลย”
   ฟ่งทำท่าจะอ้าปากเถียง แต่สุดท้ายก็พยักหน้ายอมรับ เพราะเขาเคยเป็นเชลยของเว่ยเฟิงปิงจริงๆ
   “ถ้าไม่มีเขา พ่อไม่มีทางได้ข้อมูลของริเวิลหรอก” คุณชายเจ็ดแห่งตระกูลเว่ยพูดต่อ พยายามทำตัวให้ดูมีภาษีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง อีกฝ่ายพยักหน้า
   “พี่เข้าใจล่ะ” เว่ยจินหยินกล่าว มันสมองของเขาปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าได้อย่างรวดเร็ว ของสำคัญที่เฟิงปิงได้มาจากประเทศไทยเพื่อใช้ล่อให้สายลับคนนั้นออกมา คือเด็กคนนี้เองสินะ
   “เธอรู้มาก่อนหรือเปล่าว่าเขาทำงานให้คุณทวีศักดิ์ด้วย?”
   เว่ยเฟิงปิงสั่นศีรษะโดยไม่สงวนท่าที เขาไม่ใช่พวกที่พยายามทำเป็นอมภูมิทั้งๆ ที่กลวงในหรอก “ผมเพิ่งรู้ตะกี้เหมือนกัน ถ้ารู้ก่อนงานเราคงง่าย”
   “เอาเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว พูดไปก็คงไม่ได้อะไรหรอก”
   เว่ยจินหยินพูดเรียบๆ ทำให้เว่ยเฟิงปิงหน้าหงิกขึ้นมาทันที เจ้าบ้านี่จะพูดอะไรให้เข้าหูสักหน่อยไม่ได้หรือไง แค่สั่นหัวหรือพยักหน้าก็พอแล้ว ไม่ต้องมีคำพูดพวกนั้นตามออกมาก็ได้
   “ผมอยากรู้แบบแปลนคร่าวๆ ของที่นี่” เว่ยจินหยินเปิดฉากถามออกไปทันที พอเห็นฟ่งทำหน้างงๆ ชายหนุ่มจึงแนะนำตัวเอง
   “ผมชื่อเว่ยจินหยิน เป็นพี่ชายของเขา” พูดแล้วก็หันหน้าไปทางเว่ยเฟิงปิงหน่อยหนึ่ง อีกฝ่ายทำหน้าบึ้งใส่ ก่อนจะพยักหน้า
   “อืม เขาเป็นพี่ชายฉัน ปากอาจจะเสียสักหน่อย แต่นายตอบคำถามเขาไปเถอะ”
   เว่ยจินหยินได้แต่ยิ้มให้กับคำพูดของน้องชาย ก่อนจะถามต่อ “ผมแค่อยากรู้เอาไว้เป็นทางหนีทีไล่เฉยๆ ไม่ได้จะเอาไปทำเรื่องร้ายอะไรหรอก”
   ถ้าจะพูดคำว่าโกหกหน้าด้านๆ เว่ยเฟิงปิงคิดว่าคนที่เหมาะจะพูดคำนี้ใส่ที่สุด ควรจะเป็นพี่ชายคนนี้ของเขานี่แหละ ฟ่งทำหน้างงๆ
   “มันมีทางหนีฉุกเฉินอยู่แล้วนะ ในรายการการประชุมไม่ได้แจ้งแผนที่เอาไว้หรือครับ?”
   “อ้อ มี” เว่ยจินหยินว่า และพูดต่อ “แต่ที่ฉันอยากรู้คืออะไรที่นอกเหนือกว่านั้น พวกเรามีศัตรูมาก เกิดเหตุอะไรขึ้นมาจะหนีไปทางเดียวกันหมดเลยไม่ได้หรอก”
   “งั้นเหรอ ตอนออกแบบผมไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย” ฟ่งว่าและทำหน้าตกใจ “ตอนเขาจ้างผมเขาไม่ได้บอกว่าจะมีคนอย่างพวกคุณมาประชุมนี่” ชายหนุ่มมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันที
   “เอางี้ ผมจะอธิบายทางอื่นๆ ให้คุณฟังคร่าวๆ ก็แล้วกัน แต่สำหรับคนเข้าร่วมประชุม ผมไม่แน่ใจว่าเขาให้พวกคุณผ่านได้กี่ประตูหรอกนะ เอาใกล้ๆ ที่ไม่ต้องใช้รหัสผ่านดีกว่า”
   ฟ่งพูดและขอกระดาษกับดินสอ เว่ยจินหยินให้ลูกน้องอีกคนหยิบขึ้นมาให้จากกระเป๋าเอกสาร ก่อนจะหันมายิ้มกับเว่ยเฟิงปิง
   คนเป็นน้องชายไม่ยิ้มตอบด้วย ไอ้เจ้าพี่บ้านี่ทำตัวน่าหมั่นไส้เข้าไปทุกที เขาเป็นคนรู้จักกับฟ่งแท้ๆ แต่ดันโดนไอ้หมอนี่แย่งบทไปกินซะฉิบ
   ถึงจะหงุดหงิดอยู่ แต่เว่ยเฟิงปิงก็ไม่ได้โวยวายอะไร เขารอฟ่งเขียนแปลนคร่าวๆ อย่างเงียบๆ แล้วก็นั่งฟังคำอธิบายอย่างตั้งใจ กะว่าอย่างน้อยๆ ก็ต้องจำให้ได้มากกว่าไอ้พี่บ้านั่นแหละ
   เว่ยจินหยินฟังแล้วก็พยักหน้า จากนั้นก็พูดยิ้มๆ “ขอบคุณมากนะครับ ไว้มีโอกาส ผมจะตอบแทนความมีน้ำใจนี้ของคุณ”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ” ฟ่งพูดเขินๆ “ผมหวังว่าคุณคงไม่ต้องใช้มัน คงไม่น่ามีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นหรอก”
   “ไม่ก็ไม่แน่นักหรอกนะ” เว่ยเฟิงปิงพูดขึ้นบ้าง “รูฟัสเล็งงานประชุมนี้อยู่ นายเองก็น่าจะรู้เหมือนกันนี่”
   ฟ่งสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะสั่นศีรษะ “ผมไม่รู้หรอก”
   “นายไม่รู้จริงๆ รึ?” เว่ยเฟิงปิงว่า และจ้องมาอย่างกดดัน “เขาอาจจะถล่มที่นี่ก็ได้ นี่เกี่ยวกับความเป็นความตายของนายด้วยนะ”
   “ผมว่าเขาไม่ทำขนาดนั้นหรอก” ฟ่งตอบ และขยับตัวอย่างอึดอัด เว่ยจินหยินหันหน้าไปมองเว่ยเฟิงปิงหน่อยหนึ่ง แล้วพูดขึ้นบ้าง “ที่นี่แข็งแรงขนาดไหนน่ะ?”
   “ถ้าไม่วางระเบิดแบบปูพรมเอาไว้ ยังไงก็ไม่ถล่มหรอกครับ โครงสร้างของที่นี่ไม่มีแกนหลัก สร้างโดยเฉลี่ยๆ น้ำหนักไปตามเสาค้ำผนังน่ะ” ฟ่งตอบ เว่ยจินหยินพยักหน้า แล้วพูดขึ้นต่อ “งั้นก็ขอบคุณมากนะครับ คุณอภิวัฒน์ หวังว่าเราคงได้เจอหน้ากันอีก”
   เว่ยเฟิงปิงถลึงตาใส่พี่ชาย ขณะที่ฟ่งดูจะมีสีหน้าโล่งใจขึ้นมา “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบก็เดินออกไปทันที เว่ยเฟิงปิงหันมาพูดกับผู้เป็นพี่ชาย
   “พี่ ทำไมปล่อยไปง่ายๆ แบบนั้นล่ะ เขารู้เรื่องสายลับพวกนั้นแน่ๆ เค้นถามอีกหน่อยก็คงรู้ความเคลื่อนไหวแล้ว”
   “ช่างเถอะ” เว่ยจินหยินว่า “มันเสี่ยงเกินไปที่เราจะทำแบบนั้น พี่ไม่รู้ว่าเธอรู้จักเขาดีแค่ไหน แต่เขาอาจจะสงสัยเราแล้วเอาไปบอกทางคุณทวีศักดิ์แทนก็ได้”
   เว่ยเฟิงปิงจ้องหน้าพี่ชาย “แล้วถ้าพวกนั้นวางแผนป่วนงานประชุมเหมือนกันล่ะ?”
   “ก็ดีสิ” คนถูกถามตอบพลางยิ้ม “พี่จะได้ไม่ต้องเปลืองมือเปลืองเท้าสร้างเรื่องเอง แต่คิดว่าพวกนั้นน่าจะมีเป้าหมายที่ตัวยามากกว่า ยังไงท่าทางพวกเราก็ต้องลงมือกันเอง”
   คนเป็นน้องชายกะพริบตาปริบๆ “มีมีแผนต่อไปแล้วหรือไง?”
   “อืม..” เว่ยจินหยินพยักหน้า และยื่นแปลนที่ฟ่งวาดให้กับเว่ยเฟิงปิง “แผนนี้จำเป็นต้องพึ่งเธอมากๆ เลยล่ะ”
-------------------------------------------------
“ให้ตายสิ นี่กะจะไม่จ้างพนักงานหญิงกันเลยหรือไง?!” ราฟาแอลบ่นอุบ หลังจากเดินปะปนกับกลุ่มคนงานขึ้นไปจนถึงบริเวณที่เรียกว่าโซนบี รัสเลอร์ขมวดคิ้วกับคำพูดของเพื่อนร่วมงาน ก่อนจะกรอกเสียงกลับไป
   “นายจะตายมั้ยถ้าไม่มีผู้หญิงเนี่ย?!!”
   “ก็แค่แปลกใจน่า” หนุ่มผมสีบลอนด์ว่า พลางกวาดตามองเหล่าพนักงานที่เดินวุ่นอยู่บริเวณระเบียงด้านล่างที่ตนเพิ่งเดินหลบขึ้นมา ก่อนจะพูดต่อ
   “อย่างน้อยก็น่าจะมีบ้าง อย่างพนักงานต้อนรับอะไรแบบนี้”
   “ใครมันจะจ้างพนักงานต้อนรับมาต้อนรับนายกันฟะ!!” รัสเลอร์ว่า นึกสงสัยระบบความคิดของราฟาแอล ไอ้ที่ตัวเองกำลังทำอยู่นี่ยังอยากจะให้มีใครมาต้อนรับอีกหรือ แค่ไม่ถูกจับได้ก็บุญแล้ว ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะลงคอ ก่อนจะเดินไปตามทางเดินรูปรังผึ้ง เพื่อไปยังห้องที่ใช้เก็บเอกสารสำคัญ ราฟาแอบนึกแช่งชักฟ่งอยู่ในใจ ขณะที่พบว่าตัวเองเดินกลับไปกลับมาถึงห้าหน อย่างไรก็ดี ด้วยความช่วยเหลือของรัสเลอร์ เขาก็มาถึงห้องที่เป็นเป้าหมายได้ในที่สุด เมื่อเหลียวซ้ายแลขวาว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นแล้ว ชายหนุ่มจึงจัดแจงหยิบลูกตาปลอมขึ้นมาสแกน พร้อมกับแนบถุงมือที่มีลายนิ้วมือปลอมติดอยู่กับเครื่องสแกน จากนั้นประตูเหล็กสีขาวที่เกือบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกับผนังจะเคลื่อนเปิดออก ที่ปรากฏต่อหน้าเขาคือห้องทรงกลมขนาดค่อนข้างใหญ่ มีชั้นวางเอกสารแบบติดผนังที่ออกแบบให้รับกับรูปทรงโค้งของห้อง ตรงกลางเป็นเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดสูงเกือบสองเมตร มีหน้าจอแบบโฮโลแกรมล้อมรอบสี่ทิศ
   ราฟาแอลก้าวเท้าเข้าไปในห้องด้วยความระมัดระวัง หลบฉากไปหลังชั้นวางเอกสารทรงเสี้ยวจันทร์ที่อยู่ใกล้กับประตูที่สุด สอดส่ายสายตามองหาความเคลื่อนไหวในห้อง
   “ไม่มีใครอยู่หรอกน่า” รัสเลอร์พูดเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมงานเงียบไปนาน คงกำลังสำรวจพื้นที่อยู่อย่างเคย ทั้งๆ ที่ก็มีตัวเขาที่นั่งดูกล้องวงจรปิดให้อยู่ ราฟาแอลกลอกตามองลิ้นชักใส่เอกสารรอบตัวที่มีป้ายบอกหมวดหมู่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะมุ่งความสนใจไปยังซูเปอร์คอมพิวเตอร์กลางห้อง ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาอาจจะต้องถ่ายไมโครฟิลม์หลายชิ้น เพื่อโจรกรรมข้อมูลอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทำให้สะดวกมากขึ้น แค่แฟลตไดรฟ์ตัวเล็กๆ ก็สามารถจะดูดเอาข้อมูลปริมาณมหาศาลที่ถูกเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ออกมาได้ สิ่งที่เขาต้องทำมีแค่เสียบอุปกรณ์ให้ถูกต้องตรงช่องก็พอ ถึงอย่างนั้น เพื่อความไม่ประมาท ชายหนุ่มยังคงถ่ายไมโครฟิลม์เอกสารบางชิ้นที่ลิ้นชักช่องที่สองแถวที่สี่นับจากด้านบน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เขาไม่คิดจะส่งต่อให้”เบื้องบน”แต่อย่างใด แน่นอนว่าทันทีที่เขาเสียบการ์ดแบบพิเศษซึ่งได้รับมาจากรัสเลอร์ ข้อมูลทั้งหมดที่ถูกเก็บอยู่ในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ จะถูกเก็บไว้ด้วยระบบป้องกันแบบพิเศษซึ่งมีแต่ทีมงานของ”เบื้องบน”เท่านั้น ที่สามารถจะถอดรหัสมันออกมาได้ ดังนั้นราฟาแอลจึงจำเป็นจะต้องหากำไรเล็กๆ น้อยๆ และอาจจะกลายเป็นข้อต่อรองในอนาคตจากงานนี้ด้วย
   ชายหนุ่มใช้เวลาราวๆ สองถึงสามนาทีในการถ่ายไมโครฟิลม์ ก่อนจะเดินอย่างใจเย็นมายังซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่อยู่กลางห้อง ขณะที่กำลังจะต่อพ่วงอุปกรณ์ที่ว่าเข้ากับพอร์ตของเครื่อง เสียงทักทายใสๆ ก็ดังขึ้น
 “ยินดีต้อนรับค่ะ”
   เสียงนั้นดังทะลุมาถึงหูฟังอีกฟากหนึ่ง ทำให้รัสเลอร์อุทานอย่างแปลกใจ “ผู้หญิง?!”
   “เออ ผู้หญิง โอ๊ะ!!” เสียงอุทานของราฟาแอลดูจะแปลกใจอย่างน่าแปลกใจ กล่าวคือเขาน่าจะแปลกใจที่โดนทัก แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนจะแปลกใจหลังจากหันไปเห็นหน้าคนทักเสียมากกว่า ถ้าเป็นปกติรัสเลอร์อาจจะแซวไปแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้เขาแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนี้แล้วนี่นา
   “ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่นะเนี่ย” เจ้าของเสียงหวานที่เอ่ยชื่อของผู้มาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญอย่างสนิทสนมก้าวออกมาจากมุมมืดมุมหนึ่งซึ่งเป็นมุมอับของกล้องวงจรปิด หญิงสาวชาวยุโรปผู้มีเรือนร่างสูงเพรียว ผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน วงหน้ารูปไข่ประทินเครื่องสำอางบางๆ แต้มด้วยลิปสติกสีส้มวาวยิ่งขับเน้นให้ความงามตามธรรมชาติของหล่อนเพิ่มมากขึ้น เธออยู่ในชุดรัดรูปสีขาวปลอดที่เน้นขับทรวดทรงองเอวซึ่งมีอำนาจพอจะสะกดสายตาหนุ่มๆ สักครึ่งโลกได้ แต่หนุ่มที่ได้ชื่อว่า”คาสโนว่า”อย่างราฟาแอลกลับเอื้อมมือไปแตะด้ามปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอว ไม่ใช่ว่าเขาไม่พิศวาสสาวสวยแบบนี้ แต่หล่อนมาผิดที่ผิดเวลาเกินไป หรือบางทีอาจจะเป็นตัวเขาเองดันดวงซวยเกินไปก็ได้
   “ความจริงฉันคิดว่าจะเป็นรูฟัสเสียอีก กลายเป็นว่าคุณลงทุนมาเอง คู่หูคนเก่งของคุณใช้งานไม่ได้แล้วหรือไง?” เจ้าของเรือนร่างอวบอัดเอ่ยขึ้นอีก หล่อนฉีกยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยวซี่เล็กๆ ลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้างชวนให้คนดูเคลิบเคลิ้ม แต่ราฟาแอลยิ่งกำด้ามปืนแน่นกว่าเดิม
   “เฮ้ย คนรู้จักกัน?” รัสเลอร์ถามเสียงแปลกเมื่อได้ยินบทสนทนา เขาไม่คิดว่าจะได้เจอคนรู้จักราฟาแอลที่นี่ แถมยังดูทีท่าว่าอาจจะไม่ได้มาอย่างเป็นมิตรเสียด้วย ราฟาแอลส่งเสียงอืมคำหนึ่งก่อนจะพูดออกไปบ้าง
   “ก็คิดอยู่ว่าทำไมเจ้ารูฟัสถึงได้บันทึกถึงผู้หญิงเอาไว้” เขากำลังพูดถึงบันทึกที่รูฟัสเขียนถึงเงาร่างของผู้หญิงที่ดูคุ้นตาซึ่งเขาเห็นในซอยตอนที่ไปแอบฟังข้อมูลการส่งยาเสพติด เพื่อแลกกับของบางอย่าง หญิงสาวหัวเราะ
   “อา... สรุปว่าคนที่ทำให้ผู้ว่าจ้างของฉันถูกจับคือรูฟัสสินะ แล้วเขาไปไหนเสียล่ะ?”
   “เจ้าหมอนั่นคงไม่อยากเจอคุณนักหรอก” ราฟาแอลตอบ หญิงสาวกลอกตามองดูเขา มือของหล่อนยังคงไพล่อยู่ด้านหลัง
   “เหรอ.. แต่ฉันน่ะอยากเจอคุณมาก...เลยนะ” เธอลากเสียง ราฟาแอลฝืนยิ้มแบบที่เขาไม่ค่อยจะทำนัก นัยน์ตาสีเขียวจ้องมองการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามเขม็ง
   “แต่ผมไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะเจอคุณในสถานการณ์แบบนี้น่ะ แคลร์”
   “นั่นสินะ แล้วคุณจะเอายังไงดี จะวางเครื่องมือนั่นแล้วถอยออกไปเงียบๆ หรือจะให้ฉันไปส่ง?” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า แคลร์ เอ่ยถาม พร้อมกับรอยยิ้มหวานรื่น ราฟาแอลยิ้มตอบ
   “ไม่เป็นไร ผมเป็นสุภาพบุรุษพอ” ไม่พูดเปล่ายกมือทำท่าจะยอมแพ้เสียด้วย แต่ในเสี้ยววินาทีที่กำลังจะยกมือขึ้นนั้นเอง ปลายนิ้วเรียวได้รูปสะบัดวูบเสียบอุปกรณ์เก็บข้อมูลเข้าไปในพอร์ตคอมพิวเตอร์ แทบจะในวินาทีเดียวกัน วัตถุสีเงินได้พุ่งวาบออกมาจากมือของหญิงสาวซึ่งสะบัดออกมาจากด้านหลัง เสียงดังติงเมื่อวัตถุสีเงินนั้นกระทบกับกระบอกปืนสีเงินรมดำ ก่อนจะกระเด็นลงไปบนพื้น
   “สุภาพบุรุษแบบไหนของคุณ?!” แคลร์พูดและพุ่งเข้ามาในระยะประชิด ราฟาแอลกระโดดถอยหลังหลบคมมีดสีเงินที่พุ่งวาบเข้ามา ก่อนจะเบี่ยงตัวอ้อมไปทางด้านหลัง
   “สุภาพบุรุษพอที่จะไม่ปล่อยให้คนสวยๆ อย่างคุณยืนรอเฉยๆ น่ะสิจ้ะ”
   รัสเลอร์นึกสยดสยองกับเสียงคมมีดแหวกผ่านอากาศวูบที่ได้ยินตามมา ขณะที่ราฟาแอลเบี่ยงตัวหลบไปอีกด้าน เขากำลังพยายามรักษาพื้นที่ใกล้กับบริเวณเครื่องคอมพิวเตอร์ในจุดที่กำลังพ่วงตัวเชื่อมต่อ ด้วยการหลบเป็นแนววงกลม แต่ดูเหมือนว่าการหลบอย่างเดียวคงไม่เพียงพอเสียแล้วในยามนี้
   แคลร์พุ่งมีดใส่ราฟาแอล หล่อนรู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้ฝ่ายตรงข้ามจะต้องไม่ยิงปืนออกมาเด็ดขาด คงไม่มีสายลับคนไหนอยากจะทำให้สัญญาณเตือนภัยมันดังขึ้นมาหรอก หล่อนรู้ระแคะระคายมาบ้างแล้วว่ามีสายลับเข้ามาวุ่นวายกับงานนี้ การฆาตกรรมและตัดนิ้วมือของเหยี่อเพื่อใช้ลายนิ้วมือผ่านเข้าไปขโมยข้อมูลลับโดยเสียกระสุนปืนเพียงนัดเดียว ง่าย เรียบร้อย และหมดจด มีสายลับไม่กี่คนเท่านั้นที่จะอำมหิตได้ขนาดนี้ และยิ่งมีคนเพียงไม่กี่คนที่มีทักษะในการใช้ปืนยอดเยี่ยมขนาดนี้ สองอย่างนี้เมื่อรวมกันแล้วก็คงเอ่ยชื่อออกมาได้ชื่อหนึ่ง นั่นก็คือชื่อของราฟาแอล คาดาร์ อดีตหน่วยสืบราชการลับของฮังการีที่มีปัญหาเรื่องอารมณ์จนต้องถูกปลดออกจากราชการหลังจากรับหน้าที่ได้ไม่ถึงสามปี จะว่าไปแล้วหล่อนรู้จักเขามากกว่าการเป็นอดีตหน่วยสืบราชการลับนั่นเสียอีก

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “คุณน่าจะวางมีดลงก่อน ก็เห็นอยู่ว่าผมไม่มีอะไรจะสู้” ราฟาแอลพูดด้วยเสียงทอดถอนใจอย่างน่าหมั่นไส้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันเล่ห์กะเท่นี้ของเขาเป็นอย่างดี
   “ฉันมองไม่เห็นเลยว่าไอ้ปืนที่คุณกำอยู่มันจะใช้เป็นอาวุธไม่ได้ตรงไหน คนอย่างคุณคงจะไม่พูดโกหกแค่ตอนที่ปากไม่ขยับเท่านั้นล่ะมั้ง”
   “ผมออกจะพูดจริงทำจริง” ราฟาแอลตอบ และเอี้ยวตัวหลบมีดไปทางด้านซ้าย ก่อนจะต้องถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว คมมีดเลยได้แค่เฉี่ยวปลายผมของเขาไป
   “เหรอ งั้นคุณก็โยนปืนนั่นทิ้งไปก่อนสิ” แคลร์ว่า คราวนี้หนุ่มผมบลอนด์ยิ้มแหย่ๆ ทั้งๆ ที่ยังหลบคมมีดวุ่นอยู่นั่นแหละ เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจกว่าเดิม
   “คุณจะให้ผมโยนปืนทิ้งทั้งๆ ที่มีดคุณเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาแบบนี้ ผมคงใจไม่ด้านพอหรอกนะ”
   “ฉันจะทิ้งมีด ถ้าคุณทิ้งปืน” หญิงสาวกล่าว นัยน์ตาสีเขียวไหววูบ มีดปลายแหลมยังคงจ้วงแทงมาอย่างดุดัน เขาควรจะเชื่อคำพูดของเจ้าหล่อนหรือเปล่านะ?
   “โอเค ผมยอม!!” ราฟาแอลโพล่งออกมา ก่อนเสียงกระบอกโลหะหนักอึ้งจะร่วงลงสู่พื้นแล้วกระเด็นออกไป แคลร์ชะงักมีด หล่อนชายตามองปืนพกสั้นสีดำที่แน่นิ่งอยู่บนพื้น ก่อนจะหันมายิ้มกับราฟาแอล
   “ไม่อยากเชื่อว่าคุณจะยอมง่ายๆ แบบนี้” หล่อนพูด แต่กลับจ้วงแทงมีดเข้าใส่อีก ราฟาแอลร้องเสียงหลง
   “ไหนคุณว่าจะทิ้งมีดไง!!” เขาว่าพลางก้มตัวหลบมีดอย่างฉิวเฉียด ได้ยินเสียงพูดประชด
   “คนโกหกอย่างคุณ มันสมควรจะพูดความจริงด้วยไหมล่ะ?”
   “ผมเคยไปโกหกคุณตอนไหน?!” หนุ่มผมสีบลอนด์คราง เขาเพิ่งเห็นประกายสีเงินพุ่งผ่านหน้าไป ดูเหมือนจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายมีอารมณ์ขุ่นเคืองมากขึ้น
   “ทุกเวลานั่นแหละ คุณมันไอ้จอมตอแหล”
   ถึงตอนนี้รัสเลอร์ชักรู้สึกตะหงิดๆ ขึ้นมาว่าระหว่างสองคนนี่อาจจะมีอะไรมากกว่าการที่มาเป็นศัตรูกันเพราะงานก็ได้ ดูเหมือนราฟาแอลจะเคยไปก่อเรื่องอะไรไว้กับเธอคนนี้
   “อา...ถ้าคุณหมายถึงเรื่องที่ปารีสวันนั้นล่ะก็ ผมไม่ได้ตั้งใจหรอก” หนุ่มผมสีบลอนด์ว่า และนึกอยากยกมือขึ้นเกาศีรษะ แต่ถ้าทำแบบนั้นหน้าอกเขาคงกลายเป็นแท่นเสียบมีดไปก่อนแน่ๆ ได้ยินเสียงแคลร์ดังขึ้นอย่างขุ่นเคือง
   “ไม่ได้ตั้งใจ? คุณไปจูบกับผู้หญิงอื่นตอนที่ไปเดทกับฉัน แค่เดินออกไปซื้อน้ำแค่นั้นถึงกับต้องจูบคนขายเลยเหรอ คุณมันไอ้บ้าผู้หญิง!!”
   รัสเลอร์นั่งอ้าปากค้าง เขาพอจะเดาได้หรอกว่าสองคนนี่น่าจะเคยมีเรื่องอะไรกันมาก่อน จริงอยู่ เขาเคยเห็นราฟาแอลจีบผู้หญิงทีละสามคน แต่ไอ้การไปจูบผู้หญิงอื่นตอนที่ไปเดทกับผู้หญิงอีกคนนี่ มันดูแย่มากมายจริงๆ
   “ผมแค่จูบทักทาย ทำไมคุณถึงได้ฝังใจนัก ผมก็ขอโทษคุณแล้วไง”
   “เหรอ!? งั้นไอ้ที่คุณบอกเด็กเสิร์ฟที่ร้านว่าคืนนี้เจอกัน แล้วคุณก็หายไปทั้งคืน มันหมายความว่ายังไงน่ะ?”
   “โธ่... ก็วันนั้นคุณไม่สบายไม่ใช่เหรอ ผมก็เฝ้าคุณจนคุณหลับ คุณจะเอาอะไรกับผมนักหนา” ราฟาแอลคราง มาถึงจุดนี้ รัสเลอร์เริ่มมีความคิดว่าบางทีก็สมควรแล้วที่คนอย่างราฟาแอลจะโดนดีเสียบ้าง ติดแต่ตอนนี้เจ้าหมอนี่ดันเป็นเพื่อนร่วมงานของเขาด้วยนี่สิ
   “ราฟี่ ตกลงคุณจะเอายังไงกับเธอ นี่ไม่ใช่เวลามาแก้ตัวเรื่องอดีตนะ” รัสเลอร์กรอกเสียงลงไป ได้ยินเสียงอืมๆ ตอบกลับมาอย่างรำคาญ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวรู้แล้ว หรือว่าไม่พอใจที่โดนขัดจังหวะการแก้ตัวกันแน่
   “เอาล่ะ ผมไม่แก้ตัวก็ได้ แต่ยังไงผมก็ชอบคุณจริงๆ นะ จนถึงตอนนี้ก็ยังชอบ”
   ได้ยินเสียงหญิงสาวแค่นหัวเราะ “อย่ามาโกหก แน่จริงคุณเลิกกับแม่สาวผมแดงของคุณแล้วมาอยู่กับฉันสิ”
   ราฟาแอลคิดว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากที่เขาสามารถหลบมีดไปด้วยแถมพูดแก้ตัวไปด้วยได้แบบนี้ สงสัยจะเพราะถูกเจ้ารูฟัสซ้อมไล่จ้วงมาเป็นเวลาหลายปีแน่ๆ แต่ว่ามันจะหลบแบบนี้ไปได้อีกสักกี่น้ำกันล่ะ ในเมื่อทางนั้นยิ่งจับจังหวะการหลบของเขาได้แม่นขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนจะเริ่มมีเลือดซึมออกมาตามแนวใบหน้าที่โดนมีดเฉี่ยวแล้วเหมือนกัน
   “ผมเลิกกับคลาวเดียก็ได้”
   เหมือนได้ยินเสียงทั้งแคลร์ทั้งรัสเลอร์อุทานพร้อมกัน ราฟาแอลรีบพูดต่อ “ถ้าคุณไม่เชื่อล่ะก็ ลองมองตาผมสิ”
   จังหวะนั้นเองที่แคลร์จะงักมีดไปแวบหนึ่ง หล่อนเห็นดวงตาสีเขียวน้ำทะเลของราฟาแอล และเพียงเสี้ยววินาทีจากนั้น ปากกระบอกปืนไม่ทราบชนิดก็แนบเบาๆ อยู่ตรงหน้าผากของหล่อน
   “ฉันไม่น่าเชื่อคนโกหกอย่างคุณเลยจริงๆ ” แคลร์กล่าว ขณะที่ราฟาแอลหัวเราะขืนๆ เขากระชับปืนออโตแมติกอีกกระบอกที่ดึงออกมาจากซองพกซ่อนด้านหลังให้แน่นขึ้น
   “ผมเองก็ไม่คิดว่าคุณจะเชื่อผมนักหรอก” เขากล่าว และรู้สึกถึงคมมีดที่จ่ออยู่ที่คอ มันเย็นสะท้านไปถึงกระดูกเลยทีเดียว คราวนี้อีกฝ่ายแค่นหัวเราะบ้าง ราฟาแอลยิ้ม และทำเรื่องที่ไม่ควรจะทำในสถานการณ์แบบนั้น ด้วยการลดปืนลงเสียเฉยๆ  หญิงสาวที่มีนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเบิ่งนัยน์ตากลมโตของหล่อนด้วยความสนเท่ห์ ได้ยินเสียงชายหนุ่มถอนหายใจยาว
   “จะทำอะไรก็ทำเถอะ” เขาว่า และยืนเฉยๆ ไม่ทำอะไรอีก ปล่อยให้คมมีดค่อยๆบาดเข้าในในผิวหนังทีละน้อย อีกฝ่ายร้องถามเสียงแปลก “บ้าน่ะ! นี่คุณมีแผนอะไรอีก”
   “ผมไม่มี” ราฟาแอลตอบ รู้สึกว่าปลายมีดนั่นสั่น มันจะทะลุเข้าคอหอยไปก่อนที่เขาจะพูดจบหรือเปล่า
   “คุณก็รู้ว่าผมชอบผู้หญิง ยิ่งผู้หญิงสวยแบบคุณ ผมยิ่งชอบ คุณคิดว่าผมจะกล้ายิงคนที่ผมชอบหรือ แค่เอาปืนจ่อหน้าผากคุณไม่กี่วิ ผมก็ไม่อยากจะทนทำอีกแล้ว”
   แคลร์มองหน้าเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนสั่นไหวพอๆ กับมือที่ถือมีด หล่อนรู้ว่าผู้ชายคนนี้จะต้องโกหก ตลอดเวลาที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยที่ฟลอร่าเพิ่งรับหล่อนเข้ามาเป็นลูกศิษย์ใหม่ๆ ผู้ชายที่ชื่อราฟาแอลคนนี้ไม่เคยรักเดียวใจเดียวสักครั้ง พอเผลอก็หันไปมีคนอื่นทันที หล่อนไม่เข้าใจว่าทนคบกับเขาได้ไงถึงสิบเดือน อย่างไรก็ตามที่แย่ที่สุดคือจู่ๆ ราฟาแอลก็จากหล่อนไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ทิ้งให้หล่อนมารู้ทีหลังว่าเขากลับไปฮังการีและซื้อบ้านหลังใหม่ให้กับแฟนสาวที่ชื่อว่าคลาวเดีย นั่นทำให้หล่อนโกรธเคืองเป็นอย่างมาก และสาบานว่าจะไม่หลงเชื่ออะไรผู้ชายคนนี้อีก
   “โกหก! คุณมันโกหกได้หน้าด้านๆ จริงๆ ”
   หนุ่มผมบลอนด์ถอนหายใจอีกรอบ ไม่รู้ว่าจนใจที่แผนใช้ไม่ได้ผลหรือว่าอ่อนใจที่จะหาคำแก้ตัวกันแน่
   “ผมอาจจะโกหกก็ได้ แต่เรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยโกหก ผมชอบผู้หญิง เพราะฉะนั้นผมคงจะตายเพราะผู้หญิง”
   “คุณได้ตายสมใจแน่!!” แคลร์แค่นเสียง รัสเลอร์นึกหวั่นใจว่าราฟาแอลจะเกิดคิดงี่เง่าขึ้นมาจริงๆ
   “เฮ้ ราฟี่ อย่าทำบ้า ๆ น่า นายจะมาให้หล่อนฆ่าแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”
   “ก็คงจะใช่” ราฟาแอลพึมพำ เขามองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองมาด้วยอารมณ์ที่ทั้งขุ่นเคือง โกรธแค้น และอะไรอย่างอื่นที่เขาเคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว
   “ให้ตายสิ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังชอบคุณอยู่เลย”
   “ผู้ชายสารเลว...”
   หญิงสาวกล่าว แต่กลับมีน้ำใสๆ เอ่อล้นออกมาจากดวงตาคู่งามนั้น หล่อนตะโกนใส่อีกฝ่าย
   “ทำไมคุณถึงกล้าพูดแบบนี้ได้อีก คุณมันไร้ยางอายหรือไง ทำไมคุณถึงไม่ด่าฉัน พูดมาสิว่าฉันไม่ดีตรงไหน ทำไมคุณถึงไม่ยิงฉัน ทำไมคุณอำมหิตแบบนี้!!”
   “ผมไม่ได้ตั้งใจ...” ราฟาแอลกล่าว เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยนทั้งๆ ที่ยังโดนมีดจ่อคออยู่ สัมผัสที่แตะลงบนพวงแก้มขาวนั้นช่างถนุถนอมราวกับกลัวว่าจะไปทำให้เจ็บหรืออะไรแบบนั้น เสียงมีดหล่นลงบนพื้น เกือบจะพร้อมกันกับที่มือทั้งสองข้างของหญิงสาวยกขึ้นมาจับข้อมือของชายหนุ่มไว้ หล่อนพูดเสียงเครือ “คุณมันชั่วช้าสารเลวที่สุดเลย”
   ราฟาแอลคลี่ยิ้มบางๆ ไล้นิ้วมือลงบนพวงแก้มนิ่มเบาๆ ก่อนจะโน้มหน้าลงต่ำ แตะริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากอวบอิ่มที่สั่นสะท้านด้วยความสะเทือนใจ ค่อยๆ แนบลงไปและรุกไล่อย่างอ่อนโยน แคลร์น้ำตาไหลพราก แม้จะรู้และถูกทำให้เจ็บช้ำขนาดไหน แต่ความอ่อนโยนแบบนี้ ความอ่อนโยนที่หล่อนเคยได้รับจากเขา ยามที่รู้สึกถึงมันก็ยากที่จะทำใจปฏิเสธว่านี่ไม่ใช่ความจริง
   ความอ่อนโยนที่หากไม่มีจิตใจก็คงทำไม่ได้
   วงแขนน้อยโอบรัดร่างแข็งแกร่งนั้นเอาไว้ ก่อนที่ลำคอเรียวระหงจะส่งเสียงครางอย่างลืมตัว ไม่ว่าจะกี่ปีผู้ชายคนนี้ก็ยังคงน่าหลงใหลเสมอ และยังคงน่าคั่งแค้นเสมอ
   “ราฟี่..” หล่อนเรียกชื่อเขาเสียงค่อย หลังจากอีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกไปแล้ว ราฟาแอลปาดน้ำตาออกจากแก้มของหล่อน มองดูดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ช้อนมองขึ้นมาอย่างขอความเมตตา
   “ทำไมคุณถึงทิ้งฉันไปอยู่กับแม่สาวผมแดงคนนั้น?”
   ราฟาแอลยิ้มให้หล่อนด้วยความเอ็นดู แต่ก็แฝงความอ่อนอกอ่อนใจ “คุณโมโหผมตอนไปจูบกับผู้หญิงคนอื่น มีอะไรกับผู้หญิงคนอื่น? แต่สำหรับคลาวเดีย หล่อนไม่เคยโกรธผม ไม่เคยเลย...”
   แคลร์อ้าปากค้าง ไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายพูดเรื่องจริง “บ้าน่า.. หล่อนทนเข้าไปได้ยังไง หล่อนไม่ได้ชอบคุณจริงๆ ?”
   “ผมเชื่อว่าหล่อนชอบผม และเข้าใจผมพอๆ กับที่ชอบผม นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงไปอยู่กับหล่อน”
   ความเงียบบังเกิดขึ้นชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่เสียงฉาดจะดังขึ้น เมื่อราฟาแอลถูกตบจนเซถอยหลังไปหน่อยหนึ่ง บนใบหน้าบังเกิดรอยฝ่ามือสีแดงปื้นใหญ่ ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ตั้งตัวดี มือขาวผ่องก็พุ่งตรงเข้ามาและกระชากคอเสื้อเขาขึ้น ก่อนที่ริมฝีปากอวบจะประกบแน่นเข้ามา ราฟาแอลส่งเสียงแปลกๆ ในคอ และกอดร่างอ้อนแอ้นนั้นเข้าไว้กับตัว
   “ให้ตายสิ คุณนี่ดุเดือดเลือดร้อนไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ” หนุ่มเจ้าพึมพำ ยกมือขึ้นลูบแก้มซ้ายที่เป็นปื้นแดง อย่างน้อยถูกตบก็น่าจะดีกว่าโดนมีดจ้วง ได้ยินเจ้าหล่อนแค่นเสียงดังเฮอะ
   “คนอย่างคุณมันสมควรโดนเสียบ้าง”
   แคลร์มองดูใบหน้าคมที่หล่อนเพิ่งประเคนฝ่ามือใส่ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก และยกมือขึ้นหยิกแก้มอีกข้างของเขาเบาๆ
   “นี่ถือเป็นโชคดีของคุณ หรือว่าความซวยของฉันกันแน่นะ ท่าทางงานนี้ฉันคงจะต้องถอนตัว”
   ถ้าแก้มของราฟาแอลยืดได้เหมือนยาง มันคงต้องดีดใส่หน้าเขาอย่างแรงตอนที่หล่อนปล่อยมือแน่ ชายหนุ่มแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังคงขุ่นเคืองเขาอยู่ไม่น้อยทีเดียว แคลร์ใช้เท้าเขี่ยมีดและเตะมันขึ้นมาก่อนจะคว้าเอาไว้อย่างชำนาญ ก่อนจะปล่อยมันเลื่อนหลุดเข้าไปในแขนเสื้อซึ่งราฟาแอลเพิ่งสังเกตเห็นว่ายังมีมีดแบบนั้นอีกสองเล่มอยู่ภายใต้แขนเสื้อสีขาวนั้น เขากลืนน้ำลายเฮือก ขณะที่หญิงสาวยักไหล่
   “คุณอยากได้เป็นที่ระลึกสักเล่มไหมล่ะ?”
   “ถ้าหากคุณไม่ปักมันลงบนตัวผมแทนที่จะยื่นให้ผมก็ยินดีนะ” ราฟาแอลกล่าว อีกฝ่ายแค่นยิ้ม ก่อนที่ในมือจะปรากฏมีดอีกเล่มหนึ่งซึ่งสั้นกว่าเล่มที่เธอใช้ไล่แทงเขา ราฟาแอลจำต้องกลืนน้ำลายอีกรอบ ถ้าเรื่องชักมีดแล้ว ดูท่าเธอคนนี้จะทำได้เร็วกว่ารูฟัสเสียอีก
   “โอเค ฉันจะไม่ปักลงบนตัวคุณก็ได้” หล่อนว่า และสบัดข้อมือ มีดสีเงินนั้นพุ่งตรงไปยังบริเวณพื้นที่ปืนของเขาตกอยู่ ปักลงไปบนโกร่งปืนและฝังเข้าไปในพื้นที่สร้างจากพีวีซีสังเคราะห์ที่คงจะแข็งน้อยกว่าหินแกรนิตไม่มาก  ราฟาแอลฝืนยิ้มให้หล่อน
   “ขอบใจ”
   “ไม่เป็นไร” แคลร์ตอบ และตบแก้มอีกข้างหนึ่งของชายหนุ่มเบาๆ ก่อนจะเดินผ่านออกไปที่ประตู
   “หวังว่างานของฉันคราวหน้าคงจะไม่ต้องเจอคุณอีก อ้อ...เพื่อนคู่หูตาสองสีของคุณน่ะ ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่ถ้าคุณติดต่อเขาได้ บอกให้เขารีบๆ หน่อยก็ดี ฉันคงจะเดินอ้อยอิ่งอยู่แถวนี้ไม่นานนักหรอก” หล่อนว่าและเปิดประตูจากไป ราฟาแอลถอนหายใจเฮือก ดึงตัวเก็บข้อมูลที่กระพริบไฟสัญญาณอยู่ได้สักพักออกมา เดินไปถอนมีดออกและเก็บปืนขึ้น เขาสอดมีดเล่มนั้นเอาไว้ตรงช่องข้างรองเท้า ก่อนจะกรอกเสียงหารัสเลอร์
   “ติดต่อเจ้ารูฟัส บอกมันว่าให้เร่งมือหน่อย”
-------------------------------------
   รูฟัสถึงกับยกมือขึ้นเกาศีรษะ หลังจากฟังรัสเลอร์เล่าเรื่อง เขาส่งเสียงงึมงำในลำคอราวกับกำลังสาปแช่งเพื่อนร่วมงานผมสีบลอนด์ของเขาอยู่ ดูเหมือนรูฟัสจะไม่อยู่ในสถานการที่สะดวกพอจะพูดอะไรได้มากนัก เขากำลังเดินตามหลัง ลู่ชาง ผ่านห้องทรงห้าเหลี่ยมที่เปิดเชื่อมเข้าหากันเป็นทางเดินยาว เพื่อไปยังห้องที่ใช้เก็บ เทพเจ้า
   หลังจากเดินผ่านไปห้าห้องซึ่งแต่ละห้องแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยยกเว้นตัวเลขที่ถูกสลักเอาไว้ด้านบนประตู ที่มีทั้งA1 B6 N12 นี่คงเป็นห้องชุดที่ฟ่งเคยอธิบายให้เขาฟัง ห้องกลไกที่เป็นเหมือนสลักตู้เซฟ พนักงานกลุ่มหนึ่งกำลังเข็นรถเข็นเหล็กที่มีกล่องโลหะสีเงินขนาดราวๆ หนึ่งฟุตครึ่งคูณสองฟุตออกมา หนึ่งในคนที่เดินนำขบวนเอ่ยทักนักวิจัยเฒ่าอย่างแปลกใจ
   “ศาสตราจารย์ลู่ คุณลงมาที่นี่ทำไม?”
   “ผมลงมาดูเทพเจ้าของผม” เขาตอบ ชายคนดังกล่าวมองเขา ก่อนจะเลยมายังรูฟัสด้วยสายตาฉงนสนเท่ห์
   “ด้านหลังคุณ....”
   “ศาสตราจารย์โคบายาชอฟ คุณอาจจะไม่ค่อยคุ้นหน้าเขา ปกติเขาค่อนข้างจะเก็บตัว” ลู่ชางตอบเหมือนกับพูดเรื่องจริง ชายคนดังกล่าวมองหน้ารูฟัสอยู่พักหนึ่ง หนุ่มตาสองสีจึงตัดสินใจพูดอะไรบางอย่าง
   “Кто он? “ เขาหันไปเอ่ยกับชายชรา ลู่ชางยิ้มออกมา วินาทีนั้นรูฟัสรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก แต่ก็แค่ครู่หนึ่ง เมื่อลู่ชางเอ่ยตอบเขาอย่างรู้จังหวะ
   “เขาเป็นคนดูแลที่นี่ ส่วนนี้ คุณที่เก็บตัวคงไม่เคยเห็นเขาหรอก” กล่าวจบก็หันไปคุยกับชายคนดังกล่าวอีกครั้ง
   “ขอโทษเถอะพ่อหนุ่ม ศาสตราจารย์โคบายาชอฟค่อนข้างจะไม่ถนัดพูดภาษาอังกฤษ ถ้าเธอไม่รังเกียจให้ฉันเป็นล่ามให้ก็ได้”
   คนถูกถามสั่นศีรษะทันที ก่อนจะพูดตอบ “ไม่เป็นไร คุณจะลงไปก็รีบๆ เถอะ อีกสิบห้านาทีคุณทวีศักดิ์จะเปลี่ยนรหัสใหม่ ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะออกมาได้สะดวกหลังจากช่วงเวลานั้น”
   “ขอบใจ พ่อหนุ่ม” ลู่ชางเอ่ยพร้อมหัวเราะหึๆ ในลำคอ พารูฟัสเดินตรงเข้าไปตามห้องทรงสี่เหลี่ยมหน้าแคบที่ต่อเชื่อมกันอยู่
-------------------------------------
   “ท่าทางเจ้ารูฟัสคงจะไม่ค่อยสะดวกจะพูดเท่าไหร่ ไม่งั้นคงด่าฉันยับไปแล้ว” ราฟาแอลพึมพำขณะเดินออกมาจากห้องข้อมูล รัสเลอร์ถือโอกาสเอ่ยถามข้อสงสัยทันที
   “ผู้หญิงที่ชื่อแคลร์นี่เป็นใคร?”
   “แฟนเก่าฉัน อืม...เออ หล่อนเป็นลูกศิษย์เพื่อนฉันอีกที”
   “นายไม่ละเว้นกระทั้งลูกศิษย์เพื่อนเชียวรึ?” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มถามด้วยน้ำเสียงตำหนิ ราฟาแอลพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “ลูกศิษย์ฟลอร่า ไม่ใช่ลูกศิษย์ฉันเสียหน่อย แล้วเธอก็ถูกสเป๊กฉัน”
   “ฉันว่านายนี่โคตรจะหน้าด้านเลยล่ะ ราฟี่” รัสเลอร์ว่า และรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ ราฟาแอลหัวเราะชอบใจ
   “อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ โอ้...ตายห่ะ!!” หนุ่มผมสีบลอนด์อุทานขึ้นเบาๆ ก่อนจะกรอกเสียงเร็วปรื๋อ
   “ท่าทางแม่แคลร์สุดที่รักของฉันจะไม่ค่อยได้เดินอ้อยอิ่งเท่าไหร่ รัสเลอร์เตรียมพร้อมเอาไว้เลยนะ ทางนี้รู้แล้วล่ะว่ามีคนแปลกปลอมเข้ามา” พูดจบก็กวาดสายตามองชายฉกรรจ์ในชุดสีขาวรัดกุมราวห้าหกคนเดินตรงเข้ามาพร้อมปืนพกสั้นขนาดเก้ามม. ที่หันปากกระบอกปืนมายังเขาอย่างพร้อมเพรียง
   “Freez and put it down!” หนึ่งในนั้นที่ยืนอยู่แถวหน้าออกคำสั่ง ราฟาแอลเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะมองวัตถุสีเงินในมือขวาของเขา
   “You mean this?” เขาว่า และพยักหน้าเออออกับตัวเอง ท่ามกลางกระบอกปืนหกกระบอกที่ยังเล็งอยู่
   “Well…..I really love to give it to you, guys!” พูดจบก็โยนวัตถุสีเงินที่ว่าขึ้นบนอากาศ เสี้ยววินาทีที่สายตาทุกคู่กำลังมองไปยังวัตถุสิ่งนั้นอย่างงุนงง ในมือของราฟาแอลก็ปรากฏปืนออโตแมติกสีดำที่เคยโยนทิ้งไปก่อนหน้านี้  ด้วยความช่วยเหลือของเครื่องเก็บเสียง  มีเพียงเสียงแหวกอากาศพดังปิ๋ว ก่อนที่ลูกตะกั่วจะเจาะทะลวงเข้ากลางวัตถุสีเงินนั้นอย่างแม่นยำ กลุ่มวันสีขาวขนาดมหึมาพวยพุ่งออกมา ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ สร้างความโกลาหลให้เกิดขึ้น ก่อนจะได้ยินเสียงสั่งการ
   “นี่เป็นระเบิดควัน ตามมันไป อย่าให้มันหนีไปได้!!”
   ราฟาแอลไม่ค่อยจะเข้าใจภาษาไทยนัก แต่เขาแน่ใจว่าคนพวกนั้นคงไม่พูดว่าปล่อยไปแน่ๆ ดังนั้น ท่ามกลางกลุ่มวันที่ฟุ้งตลบ แทนที่เขาจะวิ่งหนีไปตามทางเดินที่อยู่ติดกัน ชายหนุ่มเลือกที่จะกระโดดลงไปยังระเบียงที่อยู่เยื้องไปอีกข้าง และวิ่งตรงไปยังทางเดินระเบียงที่ทอดตัววกวนตามสภาพผนังตึกและเลี้ยวหลบระเบียงอื่นๆ ที่พาดตัดเข้ามา เสียงออกคำสั่งยังคงดังต่อเนื่อง
   “สกัดมันเอาไว้ อย่าให้มันขึ้นไปที่ห้องใหญ่!!”
---------------------------------------------
   ฟังจากเสียงเอะอะเอ็ดตะโรที่ดังเข้ามา รัสเลอร์ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับราฟาแอลกันแน่ เขาแน่ใจว่าเจ้าหมอนั่นสามารถเอาตัวรอดได้ทุกอย่างถ้าคู่ต่อสู้เป็นผู้ชาย ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ผู้หญิงที่ชื่อแคลร์คนนั้นอาจจะบอกแค่เรื่องของราฟาแอล เธออาจจะรู้ว่ารูฟัสมาด้วย แต่คงไม่รู้ว่าราฟาแอลมีเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง อย่างไรก็ดีการไม่ประมาทถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานแบบนี้ ดังนั้นรัสเลอร์จึงต้องเช็คความเคลื่อนไหวของทุกจุดจากกล้องวงจรปิด และการดักฟังสัญญาณสื่อสารอื่นๆ ภายในห้อง เขาพบว่ายังไม่มีการสั่งการกระจายไปในวงกว้าง ผู้สั่งการคงตั้งใจจะเก็บราฟาแอลให้เร็วที่สุดและเงียบที่สุด ซึ่งยังคงเป็นผลดีต่อการทำงานของเขา แต่ถึงอย่างนั้นกลับมีจุดหนึ่งที่ทำให้รัสเลอร์ถึงกับเกือบจะครางออกมา
   ฟ่งเพิ่งคุยกับกลุ่มคนบางกลุ่มที่ไม่ใช่ทั้งพวกทวีศักดิ์และพนักงาน ดูเหมือนจะเป็นกลุ่มแขกที่มาร่วมงานนี้ เขาคลาดสายตาจากการจับตามองฟ่งไปพักใหญ่ เพื่อจัดการเรื่องให้ราฟาแอลและรูฟัส ตอนนี้เขาพบว่าหนุ่มสวมแว่นคนนี้ลึกลับมากกว่าที่เขาคาดเอาไว้  ฟ่งคุยอะไรกับคนพวกนั้น และวางแผนอะไรไว้กันแน่ รัสเลอร์ทั้งอยากรู้และไม่อยากรับรู้ เขาภาวนาว่าไม่ว่าฟ่งจะวางแผนอะไร ขอให้แผนนั้นล้มเหลว ทำให้หนุ่มสวมแว่นถอนตัวออกไปจากงานนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินไปถึงจุดที่ไม่อาจจะหยุดยั้งอะไรได้อีก จู่ๆ รัสเลอร์ก็นึกถึงสปีคโฟนที่ทวีศักดิ์ใช้ติดต่อสื่อสารกับฟ่ง เขาอาจจะติดต่อกับฟ่งได้จากหนทางนั้น  แต่มันจะเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า ในเมื่อเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าฟ่งอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ รัสเลอร์โคลงศีรษะไปมาอีกครั้ง  เขาควรจะทำอะไรในสถานการณ์แบบนี้
--------------------------------------------
   ฟ่งคิดไม่ถึงว่าเขาจะได้มาเจอเว่ยเฟิงปิงในสถานที่และสถานการแบบนี้ และยิ่งไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาบอกพวกเฟิงปิงไปนั่นสมควรหรือเปล่า อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดถึงสิ่งที่ทำลงไปแล้วให้ยุ่งยากใจ พวกเฟิงปิงออกไปงานประชุมแล้ว และตอนนี้ก็ไม่มีใครจับตาดูเขา ดูเหมือนวรุตจะวุ่นอยู่กับการต้อนรับแขกเหรื่อ และอิทธิเดชเองก็คงดูแลวรุตอยู่ เป็นโอกาสดีที่สุดที่เขาจะหลบออกไปทำตามแผนที่เขาวางเอาไว้
   รูฟัส....
--------------------------------------------
**ตอนนี้มีประโยคอู้หู อ้าหาของอีตาราฟาแอลด้วยล่ะค่ะ ฮ่าๆๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะพูด (และคิด)ออกมาได้นะเนี่ยยย

ราฟี่นี่เป็นตัวละครชายแท้ที่มีความหลังหลายอย่างกับรูฟัสซะจริงๆ อันที่จริงแล้วสองคนนี้สนิทกันม๊ากมากนะคะเนี่ยยย (มีตอนพิเศษที่ว่าด้วยการเจอกันครั้งแรกของสองคนนี้ด้วยล่ะ) :-[

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
งานนี้ รวมเสือสิงห์กระทิงแรดไว้ซะครบเลยนะเนี่ย เหอๆๆ

ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33

lovevva

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
อะฮ้า ราฟี่เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด