[ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ท่านผู้อ่านชอบตัวละครใดมากที่สุด ในเรื่อง"คนข้างห้องผมเป็นสายลับ" (อนุญาตให้เลือกได้แ

หนูฟ่ง : แน่นอนอะ กระรอกน้อยช่างน่ารัก และน่าเหยียบ ในเวลาเดียวกันo_O
รูฟัส : สุดๆ อะ พระเอกอะไรไม่รู้ว มันน่ารัก น่าหยิกแก้มจริงๆ นะเนี่ย (ทั้งกะล่อน ตอแหล หื่น รวมอยู่ในคนคนเดียว!!)
เว่ยเฟิงปิง : เอะอะสะบัดบ๊อบตลอดค่ะ (ไม่มีก็ไว้ซะนะคะ เฟิงขา)
จางซื่อเยี่ยน : ถึงจืดถึงจาง.. ถึงจะซื่อจะบื้อ... แต่ก็รักนะ รักหน่อยเหอะน้า~
อิทธิเดช : หนุ่มหน้าสวย บทไม่มาก (เพราะคนเขียนไม่อวย<<อ้าว) แอบโรคจิตนิดๆ แต่ก็น่าถนอม
วรุต : หนุ่มน้อยหน้ามน โรคจิตไม่แพ้กัน (จับคู่กับอิทธิเดชเลยได้คู่จิตป่วนแห่งปีไป) เอาน่า น้องวรุตก็มีส่วนน่ารักน่าเอ็นดูนะ!!
เว่ยจินหยิน : อวย!! อันนี้คนเขียนอวยค่ะ ฮ่าๆ ไม่รู้จะจิ้มใคร จิ้มให้คุณชายจิ้งจอกสุดที่Loveของดั้นสิฮ้า (โดนคนอ่านถีบ)
เถียนซาน : ผู้ชายแสนอบอุ่น... (คนนี้ไม่ได้อวย แต่เป็นคนอวยคนด้านบนอีกทีนึง..... เอวัง)

ผู้เขียน หัวข้อ: [ปิดจองแล้วค่ะ]My neighbor is a spy คนข้างห้องผมเป็นสายลับ ตอนที่88(จบ) p17 13/1/55  (อ่าน 248444 ครั้ง)

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
สงสารวินนะ  เห็นใจรูฟัส  และตลกกับฟ่งมาก ๆ เอ๋อ ๆ เด๋อ ๆ แต่ได้ใจสุด ๆ

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
ตกลงเดชจะเอาไงแน่เนี่ย พอจะเข้าใจความรู้สึกอยู่หรอกนะเพราะวินเองนั่นแหละที่ทำให้เข้าใจว่าเกลียดกันน่ะ สงสารรูฟัสสุด ๆ ฟ่่่่งช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ฮา ฟ่งเอ๋อได้ใจจริงๆ

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
โถๆๆๆๆ น้องวิน เจ้กอดให้กำลังใจ  :กอด1:

ออฟไลน์ Smirnoff

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
โอ้ยๆๆ กำลังสนุกเลย มานั่งรอ นอนรอ  ต่อไป

ออฟไลน์ lovely2min

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
มาฝากตัวอ่านเรื่องนี้ด้วยคนเนอะ
สนุกมากๆเลยจ้า

ฟ่ง น่ารักมากกกกกกกกก
ตอนนี้อ่านไปอ่านมาชอบวินอ่ะ
น่ารัก ดี
จะรอติดตามนะจ๊ะ   o13

ออฟไลน์ reborn23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
อ่านอึด อ่านทน สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยาว
หลากหลายอารมณ์มากๆ
สนุกมาก
แล้วจะมาอ่านต่อ  :pig4:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**เห็นนักอ่านพยายามอ่านเรื่องนี้แล้ว อยากหล่อถ้วยเอาไว้รอจริงๆ (น่า... เลยครึ่งทางแล้วค่ะ ถ้าขี้เกียจก็ซื้อรวมเล่มสิคะ<<โดนถีบ :z6:)

-----------------------------------

บทที่50  ฟ่งกับวรุต
   เหมือนกับว่ามันเป็นเวลานานมากแล้วสำหรับฟ่ง ที่เขาไม่ได้พบเจอผู้หญิงที่มีชื่อเรียกแสนจะจำง่ายว่า”เมี่ยง” ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมันเป็นเวลาเพียงแค่เดือนเศษๆ เท่านั้นเอง  หล่อนยังคงแต่งตัวสะสวย หน้าตาอ่อนกว่าวัยเหมือนเดิม หญิงสาววัยสามสิบเศษเดินเข้ามาหาและเอ่ยทักเขาด้วยความเป็นห่วง
   “สวัสดีค่ะ คุณอภิวัฒน์ ดีใจจริงๆ ที่คุณปลอดภัย ดิฉันเป็นห่วงคุณมากเลยนะคะ ช่วงที่คุณหายตัวไปน่ะ”
   “อ่า...สวัสดีครับ...เอ่อ.. ขอบคุณนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณเดือดร้อน” ฟ่งเอ่ยทักทายอย่างค่อนข้างจะวางตัวไม่ถูก เขาไม่รู้มาก่อนว่าเมี่ยงเป็นหนึ่งในทีมงานของรูฟัสด้วย จริงๆ แล้วรูฟัสไม่ยอมบอกเขาด้วยซ้ำ จนราฟาแอลเริ่มพูดขึ้นมานั่นแหละ เลยกลายเป็นการบังคับให้รูฟัสต้องขยายความต่อให้เขาฟังไปโดยปริยาย ทำให้ฟ่งเข้าใจสักที ว่าทำไมรูฟัสถึงไปปรากฏตัวอยู่ในคลับของเมี่ยงในคืนวันนั้น
   เมี่ยงยิ้มหวาน และไม่ถามอะไรต่ออีก หล่อนเดินนำเขาและคนอื่นๆ เข้าไปยังด้านหลังของคลับ ก่อนจะขึ้นบันไดไปยังสำนักงานด้านบน ซึ่งเป็นที่ที่ฟ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อพบว่าด้านบนนี้ยังมีลิฟต์อีกสองตัว หรือว่าบนตึกนี้จะมีสำนักงานอื่นอีก
   “อ๋อ ด้านบนเป็นห้องพักน่ะค่ะ” เมี่ยงอธิบาย ก่อนจะสั่งลูกน้องซึ่งเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์หน้าตาดี ให้เปิดประตูกระจกบานใหญ่ ซึ่งด้านในเป็นห้องทำงานส่วนตัวของหล่อน
   “เชิญนั่งก่อนสิคะ มากันครบแบบนี้แปลว่ารู้เรื่องกันหมดแล้วสิ” หล่อนว่า และเชิญแขกทั้งห้าให้นั่งลง
ฟ่งพยักหน้าให้กับคำพูดของเมี่ยง ทั้งๆ ที่โดยส่วนตัวแล้ว เขาเองก็ยังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก
   “คุณเมี่ยงทำงานกับรูฟัสหรือครับ?” ฟ่งเอ่ยถามหลังจากทั้งหมดนั่งลงแล้ว และเห็นว่ายังไม่มีใครเริ่มพูดอะไรอีก เมี่ยงมองหน้าเขา ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ โชว์ฟันเขี้ยวน่ารักๆ ให้เห็น
   “ดิฉันรู้จักกับคุณราฟาแอลมาก่อนน่ะค่ะ แล้วก็เลยพลอยได้มารู้จักกับคุณรูฟัส คุณอภิวัฒน์ไม่ต้องหึงไปนะคะ ดิฉันกับเขาไม่ได้มีอะไรกันลึกซึ้งหรอกค่ะ”
   “อ่ะ..ผมเปล่า” ฟ่งรีบปฏิเสธ ขณะที่รูฟัสดูจะโล่งอกทันทีที่ได้ยินเมี่ยงพูดแบบนั้น เขาล่ะกลัวจริงๆ ว่าฟ่งจะสงสัยเรื่องเขากับเมี่ยง ถึงมันจะเป็นเรื่องก่อนหน้าที่เขาจะตกหลุมรักหนุ่มสวมแว่นคนนี้หัวปักหัวปำก็เถอะ แต่ขืนฟ่งรู้เข้า เขามีหวังต้องเผชิญกับภาวะยากลำบากอีกครั้งแน่ๆ
รูฟัสหันไปมองหน้าราฟาแอล ซึ่งดูเหมือนจะไม่ปล่อยให้เพื่อนร่วมงานพูดนอกเรื่องนานนัก
   “ผมมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนนิดหน่อย” หนุ่มผมสีบลอนด์เอ่ยขึ้น เขาไม่ค่อยชอบใจนักที่ได้ยินชื่อตัวเองอยู่ในบทสนทนาของภาษาที่เขาฟังไม่ออก แต่คงไม่มีอะไรไม่ดีเกี่ยวกับเขา ยังไงค่อยไปถามเจ้ารูฟัสเอาตอนหลังก็ได้ ตอนนี้คงต้องจัดการปัญหาตรงหน้านี่เสียก่อน
   เมี่ยงเบิ่งตากลมโตของหล่อนขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงรักษากิริยาท่าทางให้เป็นปกติ หล่อนยิ้มหวานก่อนจะเอ่ยถามออกไป
   “มีปัญหาอะไรหรือคะ?”
   “ผมคิดว่าจะให้วรุตกับฟ่งมาพักอยู่ที่นี่พร้อมกันเลย” ราฟาแอลพูดต่อ และพอเห็นเมี่ยงทำหน้าตกใจเขาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ฟัง
   พอฟังจบ หญิงสาวก็พยักหน้า แล้วพูดออกมา “ถ้าอย่างนั้นสองคนนี้ก็อยู่ด้วยกันได้อย่างไม่มีอะไรน่าสงสัยสินะคะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ ดิฉันจะได้วางกำลังจุดเดียว ถ้าเป็นไปตามนี้ ฉันรับดูแลให้ทั้งสองคนได้ค่ะ”
   ราฟาแอลยิ้มออกมา ในขณะที่รูฟัสพยายามจะกระตุกริมฝีปากเพื่อเค้นรอยยิ้มเต็มที่ เมี่ยงเลยหันมามองเขา แล้วพูดยิ้มๆ “คุณรูฟัสจะมีปัญหาหรือเปล่าคะเนี่ย?”
   “เอ่อ.. ถึงอยากมีก็คงจะมีไม่ทันแล้วล่ะครับ” รูฟัสว่าและถอนหายใจเฮือก หันไปมองฟ่งซึ่งกำลังหันมามองเขาอยู่เช่นกัน ท่าทางฟ่งจะนึกสงสัยว่าเขากังวลอะไรนักหนาแน่ๆ ดูจากสายตาที่มองผ่านแว่นมาแบบนั้น
   เมี่ยงหัวเราะคิกคักอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นต่อ “วางใจเถอะค่ะ ดิฉันจะจัดเตียงแยกให้ คุณจะได้สบายใจ อีกอย่างสองคนนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ อยู่แล้วนี่คะ ดูคุณอภิวัฒน์จะไม่เป็นกังวลอะไรเลย”
   “อ้อ ผมไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ไม่อยากทำตัวให้เป็นปัญหามากไปกว่านี้น่ะ” ฟ่งว่า รูฟัสชักนึกระแวงว่าฟ่งพูดจากระแทกเขาด้วยรึเปล่า วรุตพยักหน้าบ้าง
   “พวกผมไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ในห้องไม่มีใครเข้ามาดูหรอก จัดเตียงแยกไปเถอะ เขาจะได้สบายใจ” พูดแล้วก็หันไปทางรูฟัส พลอยทำให้หนุ่มตาสองสีนึกขึ้นมาอย่าจริงๆ จังๆ ว่าหรือจะเป็นแค่ตัวเขาเองที่มีปัญหากันนะ
   เมี่ยงหัวเราะอีกครั้ง แล้วพยักหน้า “งั้นเอาตามนี้นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะให้เด็กๆ พาทั้งสองคนนี้ไปดูห้องกันก่อน แล้วเราจะได้คุยรายละเอียดเรื่องงานกันเลย”
   “ตกลงตามนั้นแหละ” ราฟาแอลว่า เมี่ยงเลยโทรศัพท์ติดต่อให้พนักงานเข้ามาในห้อง
--------------------------------------------------
   วรุตเดินตามลูกน้องของเมี่ยงออกมาจากห้องด้วยความรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เขาเพิ่งรู้นี่เองว่าสาวสวยเจ้าของคลับที่อิทธิเดชชอบมาบ่อยๆ ก็เป็นหนึ่งในทีมงานของพวกราฟาแอลเหมือนกัน สายลับนี่มีเครือข่ายอยู่ทั่วจริงๆ แต่เขาสัญญากับเมี่ยงแล้วว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร เพราะเขาไม่อยากให้ทางนั้นเดือดร้อน ที่สำคัญเขาเองก็ทำตัวเหมือนสายลับหรือไส้ศึกเข้าไปทุกทีแล้วเหมือนกันนั่นแหละ เขาอธิบายกลไกเรื่องห้องให้พวกราฟาแอลฟังจนหมดเท่าที่รู้ แบบนี้ไม่เรียกว่าสายลับก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว
--------------------------------------------------
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองการตกแต่งผนังตรงทางเดินอย่างสนใจ ทำให้เกือบจะชนกับหลังของวรุต ตอนที่คนนำทางพาเขามาถึงห้องพักแล้ว
   “อ๊ะ ขอโทษ” ฟ่งพูด เขาหยุดตัวเองไม่ให้เอาหน้าชนหลังของวรุตได้ก็จริง แต่เท้ามันดันเหยียบไปก่อนแล้วนี่สิ วรุตโบกมืออย่างไม่ถือสา ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินตามคนนำทางเข้าไป
   “โห.... จัดห้องสวยนะเนี่ย” วรุตว่า พลางมองดูหน้าต่างบานใหญ่ที่มีผ้าม่านระย้าแขวนอยู่ ฟ่งพยักหน้าเห็นด้วย คนที่พามาแจ้งรายละเอียดว่าสักพักจะยกเตียงนอนมาเสริมให้ ก่อนจะเดินออกไป เลยเหลือแต่เขากับวรุตอยู่ด้วยกันแค่สองคน
   วรุตกระแทกก้นลงกับเตียง แล้วก็นอนผึ่งลงไปทันที
   “แบบนี้เหมือนมาพักผ่อนเลย” เด็กหนุ่มว่า ฟ่งได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา “ก็คงอย่างนั้นมั้ง”
   “อืม... ถ้าอยู่ติดทะเลก็ดีสินะ.... เสียดายจัง ความจริงเราสองคนน่าจะไปหมกตัวอยู่ที่นั่น ได้ยินว่ามาเฟียไปอยู่กันเยอะ คงเหมาะกับเราก็ได้นะ” วรุตพูดต่อ ฟ่งหันมามองเขาอีกครั้งและยิ้มแห้งๆ “ผมว่าอยู่แบบนี้แหละดีแล้ว ไม่ต้องไปไกลขนาดนั้นหรอก”
   “นั่นสินะ” วรุตพูดขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะหัวเราะอย่างกระดากๆ ฟ่งเดินดูนั่นดูนี่สักพัก ก็หันมาพูดบ้าง
   “นายคิดว่าเราจะต้องพักอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่?”
   “อืม...” วรุตมีสีหน้าครุ่นคิด “เท่าที่จำได้นะ เหมือนพ่อผมจะบอกว่าจะเริ่มงานช่วงวันที่ยี่สิบสองล่ะมั้ง ก่อนหน้านั้นก็ต้องทดสอบระบบก่อน”
   “อีกสามวันสินะ” ฟ่งว่า เด็กหนุ่มพยักหน้า “อืม อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวคืนนี้แฟนคุณก็คงต้องไปแล้วมั้ง ไม่งั้นคงพลาดโอกาส”
   ฟ่งรู้สึกใจหายวาบขึ้นมาทันที รูฟัสจะไปแล้วหรือ ไปวันนี้เลยหรือ?
   หนุ่มสวมแว่นเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาตั้งโต๊ะในห้อง ก่อนจะโพล่งออกมา “เดี๋ยวผมมานะ”
-----------------------------------------------------
   “ดิฉันติดต่อรถเช่ามาให้อย่างที่คุณบอกแล้วล่ะค่ะ” เมี่ยงพูดขึ้นหลังจากที่ฟ่งและวรุตออกไปจากห้องแล้ว ราฟาแอลพยักหน้า
   “คนขับเป็นคนเก่าคนแก่ของดิฉันเอง ไว้ใจได้แน่นอนค่ะ แต่เรื่องที่ฉันจะบอกคือ ฉันคงให้คนเข้าไปส่งพวกคุณได้ใกล้ที่สุดแค่ในระยะหนึ่งกิโลก่อนถึงอาคารที่ว่านั้นนะคะ”
   พูดจบก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาคลี่ออก แล้ววางลงบนโต๊ะ “อันนี้เป็นแผนที่คร่าวๆ ที่ดิฉันทำขึ้นเพื่ออธิบายจุดที่พวกคุณจะต้องลงจากรถค่ะ”
   รูฟัสกวาดตามองแผนที่ฉบับนั้นก่อนจะหันหน้าไปมองราฟาแอล เขาเห็นหนุ่มผมบลอนด์พยักหน้า “ผมว่าลงตรงนี้แหละ มองเห็นยากดี แถมยังใกล้กับอาคารนั้นมากที่สุดด้วย”
   ราฟาแอลพูด เมี่ยงพยักหน้าบ้าง “ค่ะ ตอนแรกดิฉันว่าจะไปส่งอีกที่ แต่พอคุณพูดถึงจุดนี้ขึ้นมาเมื่อวาน ดิฉันก็คิดว่าน่าจะดีกว่า เนินเขาตรงนี้ก็ไม่สูงมาก พวกคุณน่าจะขึ้นไปกันได้สบายๆ ”
   รัสเลอร์ชะโงกหน้าขึ้นมาดูบ้าง ก่อนจะอ้าปากพูดถึงคำว่าเครื่องมือปีนเขา เลยโดนราฟาแอลเหยียบเท้าเอาไว้ หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มทำหน้านิ่ว แต่ก็ยอมสงบปากสงบคำ
   ราฟาแอลก้มลงมองนาฬิกา มันบอกเวลาบ่ายสองโมงเศษ เขาหันมาพูดต่อ “ผมคิดว่าเราควรไปถึงที่นั่นตอนพลบค่ำ มันเป็นเวลาที่เหมาะกับการลอบเข้าไปแฝงตัวมากที่สุด”
   เมี่ยงพยักหน้าอีกครั้งแล้วพูดเสริมขึ้น “ดิฉันคิดว่าพวกคุณน่าจะออกเดินทางกันสักช่วงสามโมงค่ะ น่าจะไปถึงที่นั่นสักห้าโมงหกโมงพอดี ขึ้นทางด่วนแล้วตัดออกไปนอกตัวเมืองเลยคงไม่มีปัญหาเรื่องเวลาเท่าไหร่”
   “เอาตามนั้นล่ะ” ราฟาแอลสรุป แล้วหันไปมองหน้ารูฟัส ซึ่งยืนนิ่งไม่พูดไม่จามาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว
   “มีเวลาอีกเกือบชั่วโมง เดี๋ยวเตรียมความพร้อมเสร็จแล้ว แกก็ค่อยไปบอกลาแฟนแกแล้วกัน”
   รูฟัสหันมามองหน้าราฟาแอล แล้วยิ้มออกมา
   “ขอบคุณที่นึกถึงใจผมนะ”
   “เหอะ” หนุ่มผมบลอนด์แค่นเสียงในลำคอ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เสียงของรัสเลอร์ก็ดังแทรกขึ้น “ฉันไปด้วยซี่ อยากไปกอดฟ่งให้ชื่นใจก่อนไปเผชิญหน้ากับอันตรายใหญ่หลวงน่ะ”
   รูฟัสหันมาเขม่นมองเขาทันที ขณะที่ราฟาแอลยกมือขึ้นตบไหล่รัสเลอร์เสียงดังป้าบ “หัดอยู่สงบๆ บ้างเถอะ ถ้ายังอยากจะอายุยืนๆ น่ะ”
------------------------------------------------------
   ฟ่งเริ่มตระหนักว่าอิสระของเขาอาจจะถูกจำกัดมากกว่าที่คิดไว้ เมื่อเขาเปิดประตูออกมาและพบกับชายวัยกลางคนยืนรออยู่
   “จะออกไปไหนหรือครับ?” เขาถามอย่างสุภาพ ฟ่งมองเขา แล้วตอบออกไป “ผมว่าจะไปหาคุณเมี่ยงหน่อยน่ะ”
   “คุณเมี่ยงติดธุระอยู่น่ะครับ เดี๋ยวถ้าคุณเขาคุยธุระเสร็จแล้ว ผมจะบอกให้แวะมาหาคุณแล้วกัน”
   ฟ่งพยายามจะปั้นหน้าให้ดูเป็นมิตรที่สุด แล้วพูดต่อ “คือผมอยากเจอเพื่อนน่ะครับ มีเรื่องจะคุยกับเขานิดหน่อย”
   “งั้นช่วยรอก่อนนะครับ ถ้าเขาคุยธุระเสร็จแล้ว ผมจะแจ้งให้คุณทราบอีกที”
   ฟ่งมองหน้าชายวัยกลางคนอยู่พัก ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง จังหวะเดียวกับที่วรุตเปิดประตูออกมาพอดี
   “ผมว่าจะออกมาตามคุณอยู่ คุณจะไปไหนเนี่ย?” วรุตเอ่ยถาม และขยับตัวให้ฟ่งเข้ามาในห้อง
   “เปล่า” ฟ่งสั่นศีรษะ และนึกว่าแผนการของเขาอาจจะดำเนินการให้สำเร็จได้ยากกว่าที่คิดก็ได้ วรุตขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะยิ้มออกมา
   “อยากไปเจอแฟนสินะครับ ผมเข้าใจล่ะ คุณกับเขายังไม่ได้เอ่ยลากันเลยนี่”
   “ผมไม่อยากเอ่ยลาหรอกนะ” ฟ่งสวนทันที วรุตหันมามองเขาอีกครั้ง แล้วรีบพยักหน้า “อืม ผมเข้าใจ”
   ฟ่งมุ่นคิ้วเข้าหากัน เขาไม่ได้อยากเอ่ยลากับรูฟัสเสียหน่อย ก็แค่ใจหายเลยอยากจะเจอหน้าก่อนไปเท่านั้นแหละ อยากจะได้เห็นใบหน้านั้นอีกครั้ง ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะเข้าไปในห้องที่เขาออกแบบไว้
   ก็แค่อยากเจอ.....
------------------------------------------------
   รูฟัสเช็กอาวุทและอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับภารกิจในคราวนี้ซ้ำเป็นรอบสุดท้าย ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นรัสเลอร์หอบเป้ใบใหญ่ใส่หลังเดินมา
   “นายขนอะไรไปเยอะขนาดนั้น จะย้ายบ้านหรือไง?” หนุ่มตาสองสีเอ่ยปากถามทันที รัสเลอร์ยักไหล่ และพูดอย่างร่าเริงเช่นเคย “ของใช้จำเป็น ฉันไม่หวังพึ่งฝีมือพวกนายอย่างเดียวหรอก อย่างน้อยฉันก็ขอพกอุปกรณ์ช่วยชีวิตตัวเองไปให้เยอะที่สุดก็แล้วกัน ใครจะไปรู้ บางทีพวกนายอาจจะวางแผนฆาตกรรมฉันอยู่ก็ได้”
   รูฟัสย่นคิ้ว ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไร ราฟาแอลที่เพิ่งเช็กสนับแข้งของตัวเองเสร็จก็ชิงพูดขึ้นก่อน “รู้อะไรมั้ย คุณรัสเลอร์ ถ้าฉันอยากจะฆ่านายน่ะ นายคงตายก่อนจะได้ทันนึกเรื่องพวกนี้เสียอีก”
   รัสเลอร์ทำหน้ายู่ ก่อนจะวางเป้ลง แล้วหันไปมองเพื่อนร่วมงานอีกสองคน
   “โอ้โห.. พวกนายดูเหมาะกับชุดพรางรุ่นใหม่มากกว่าที่ฉันคิดเสียอีก ดีล่ะ ฉันควรจะถ่ายรูปเอาไว้ จะได้เอาไปพรีเซนต์ตอนกลับไปที่หน่วยแล้ว” พูดพลางก็ล้วงกล้องถ่ายรูปออกมาจากช่องตรงอกเสื้อ ราฟาแอลรีบเดินเข้าไปหยุดพฤติกรรมดังกล่าวทันที
   “พอที นายลืมแล้วหรือไงว่าครั้งสุดท้ายที่พยายามจะถ่ายรูปพวกฉัน อุปกรณ์ของนายมีสภาพยังไง”
   รัสเลอร์ขมวดคิ้วทันที เขานึกถึงสภาพกล้องตัวเก่าที่ถูกราฟาแอลกับรูฟัสกระทืบจนพังหาชิ้นดีไม่ได้ ก็เลยรีบเก็บกล้องเข้ากระเป๋าไปในทันที
   หลังจากจัดการกำราบรัสเลอร์เรียบร้อยแล้ว ราฟาแอลจึงหันไปหารูฟัส
   “รูฟัส มีดที่ฉันซื้อให้วันก่อนน่ะ นายพกไปด้วยนะ เล่มเก่าทื่อสนิทขนาดนั้น หั่นมะเขือเทศยังไม่เข้าเลย”
   รูฟัสนิ่วหน้าทันที แล้วชักมีดออกมาจากซองตรงรองเท้า “ลองกับหัวคุณก่อนเลยมั้ย?”
   ราฟาแอลสั่นศีรษะทันที ก่อนจะเลิกคิ้ว “อ้อ ยอมจะใช้แล้วเหรอ?” เขาว่า เมื่อเห็นว่ามีดสงครามที่รูฟัสหยิบขึ้นมาเป็นมีดที่เขาซื้อมาให้เมื่อหลายเดือนก่อน รูฟัสยักไหล่ แล้วสอดมีดกลับเข้าที่
   “อืม ผมเห็นว่าคลาวเดียมีมีดในครัวไม่พอ เลยบริจากไปแล้ว” หนุ่มตาสองสีพูดทีเล่นทีจริง ก่อนจะเสริมต่อ “ว่าแต่มีดคุณน่ะยาวกว่าเล่มเก่าผมนะ พกแล้วยังขัดๆ อยู่นิดหน่อย”
   “เดี๋ยวก็ชินเองล่ะน่า” ราฟาแอลว่า และตบไหล่รูฟัสทีหนึ่ง รัสเลอร์รีบส่งเสียงขึ้นต่อทันที
   “โอ้โห พวกนายแสดงมิตรภาพของเพื่อนร่วมงานด้วยการซื้ออาวุทให้กันและกันหรือนี่ รูฟัส นายควรตั้งชื่อมีดเล่มนั้นนะ ไว้เป็นที่ระลึกไง เอาชื่อว่า ราฟี่ที่สองก็ได้นะ”   
   รูฟัสถอนหายใจจนได้ยินเสียง ขณะที่ราฟาแอลหันไปถลึงตาใส่รัสเลอร์ “นายอยากตั้งชื่อลูกปืนของฉันบนหัวนายบ้างมั้ย?”
   คนถูกถามสั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย พลางมองดูปืนสารพัดยี่ห้อที่ราฟาแอลพกเอาไว้ นับๆ แล้วน้ำหนักปืนที่หมอนี่พก อาจจะหนักเป็นสองเท่าของเป้ที่เขาหอบมาเลยก็ได้ ท่าทางคนที่ดูจะเบาที่สุดของเป็นรูฟัสนี่แหละ หมอนั่นพกปืนแค่สองกระบอก ส่วนที่เหลือเป็นมีดล้วนๆ สารพัดแบบ สารพัดขนาด เยอะจนเขาขี้เกียจจะนับ แค่เห็นเจ้าตัวเอามาวางเรียงกันก่อนจะใส่เข้าไปในซองคาดก็ตาลายแล้ว นับถือวิธีที่เจ้าสองคนนี้พกอาวุธผ่านด่านตรวจมาจริงๆ ให้ตายสิ
   รูฟัสก้มลงมองนาฬิกา ก่อนจะพูดขึ้นมา “เดี๋ยวผมไปหาฟ่งสักพักนะ”
   “หา..?! นายจะไปทั้งชุดแบบนี้เนี่ยนะ” รัสเลอร์ถามเสียงหลง คนถูกถามหันมามองเขา ก่อนจะหยิบเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ขึ้นมาใส่ทับ แล้วเดินออกไป
------------------------------------------------------
   ในเมื่อออกไปไหนไม่ได้ ฟ่งเลยต้องนั่งจับเจ่าอยู่กับวรุต รอคนยกเตียงเสริมเข้ามาให้ วรุตพยายามจะหาเรื่องมาคุยกับชายหนุ่มสวมแว่นที่ท่าทางจะดูหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่พอสมควร
   “เอาน่า เดี๋ยวพวกเขาคุยกันเสร็จแล้วก็คงจะแวะมาหาคุณเองแหละ แฟนคุณรักคุณจะตาย"
   ฟ่งหันมามองวรุต แล้วทำหน้ายู่อีก วรุตไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เลยหยิบรีโมทมาเปิดโทรทัศน์ ปรากฏว่าพอเปิดออกมา เสียงบาดหูของชายหญิงสองคนที่กำลังร่วมรักกันอยู่ก็ดังทะลุลำโพงออกมาทันที ทำเอาเด็กหนุ่มปิดโทรทัศน์แทบไม่ทัน เขาหันมามองหน้าฟ่งแล้วหัวเราะแหะๆ “ผมไม่ได้ตั้งใจจะเปิดนะ”
   ฟ่งพยักหน้าแล้วถอนหายใจเฮือก เขาพอเดาได้อยู่หรอกว่าเมี่ยงเปิดห้องพักด้านบนเพื่อให้ลูกค้าใช้ทำเรื่องอย่างว่า หนุ่มสวมแว่นลากเก้าอี้ออกมานั่ง มองดูวรุตเดินไปเดินมาเหมือนคนพยายามจะหาอะไรทำแก้ว่าง
   “คุณนอนดิ้นรึเปล่า?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นหลังจากเดินสำรวจห้องอีกรอบ ฟ่งสั่นศีรษะ “ไม่เท่าไหร่ ทำไมหรือ?”
   “ก็ถ้าสมมติว่าเตียงที่เขายกเข้ามาใหม่แคบกว่าอันนี้ ผมจะได้ย้ายไปนอนเตียงนั้นไง คุณว่าเดี๋ยวเราจะวางเตียงตรงไหนดี?” เด็กหนุ่มถามต่อ ฟ่งกวาดตามองรอบห้อง แล้วชี้ไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง
   “หน้าตรงนั้นก็ได้ พอมีที่อยู่นะ”
   “อือ ตรงนี้ก็ดี วางแล้วไม่น่าจะเกะกะทางเดินนะ” วรุตตอบ แล้วเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง เริ่มเปิดลิ้นชักดูนั่นดูนี่ไปตามเรื่อง ฟ่งชักรู้สึกว่าวรุตยังเป็นเด็กอยู่จริงๆ นั่นแหละ ถึงได้ซนเป็นลิงเป็นค่างแบบนี้
   เด็กหนุ่มรื้อลิ้นชักไปได้สักพักก็ชะงักกึก ก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างออกมากำเอาไว้แล้วรีบปิดลิ้นชักทันที ฟ่งมองด้วยความสงสัย
   “อะไรน่ะ?”
   “อ้อ.. เปล่า” วรุตตอบ ด้วยท่าทางขัดๆ เขินๆ นิดหน่อย ฟ่งหรี่ตาลง แล้วพูดต่อ “นี่... ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ ที่ถืออยู่น่ะ ถุงยางใช่ไหม ถ้าไม่คิดจะใช้ก็เก็บเข้าที่ซะ ไม่ต้องทำเป็นซ่อมผมหรอก”
   “เอ้อ.....” วรุตร้องในคออย่างไร้ความหมาย ก่อนจะเอาของในมือใส่กลับไปในลิ้นชักเหมือนเดิม แล้วยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างเคอะๆ เขินๆ ฟ่งสงสัยขึ้นมาจริงๆ ว่าเจ้าเด็กนี่เคยไปข่มขืนใครเขาจริงๆ น่ะรึ ท่าทางตอนนี้ กับตอนที่พูดใส่ผู้ชายหน้าสวยคนนั้น ไปกันคนละเรื่องเลย
   ขณะที่กำลังนั่งลุ้นว่าวรุตจะรื้ออะไรต่อหลังจากลิ้นชัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
   “สงสัยเขาจะเอาเตียงมาส่งแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย เดี๋ยวผมไปดูเอง” วรุตพูดเร็วปรื๋อ แล้ววิ่งแซงหน้าเขาออกไปตรงประตูทันที หลังจากดูผ่านช่องตาแมวอยู่พัก ก็หันกลับมายิ้มให้เขา
   “ไม่ใช่เตียงล่ะ แต่ผมว่าคุณต้องดีใจแน่ๆ ”
---------------------------------------------------
   รูฟัสเพิ่งรู้จากคนที่เฝ้าหน้าห้องว่าฟ่งพยายามจะออกไปพบเขาเมื่อหลายนาทีก่อน ชายหนุ่มรู้สึกดีใจ แต่ขณะเดียวกันก็อดจะหวั่นใจไม่ได้ด้วย ไม่รู้หลังจากนี้ฟ่งจะพยายามออกไปไหนอีกรึเปล่า
   เขาขมวดคิ้วนิดหน่อยตอนที่เห็นว่าวรุตเป็นคนเปิดประตูให้ ก่อนจะถอนหายใจเมื่อเด็กคนนั้นเดินออกไปจากห้องอย่างรู้กาลเทศะ
   ฟ่งยืนอยู่ในห้อง และยิ้มกว้างเมื่อเห็นหน้าเขา “รูฟัส”
   รอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้าฟ่งได้สักสองวินาที ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีหน้าสงสัยแทน “รูฟัส.. เสื้อผ้าคุณ”
   “อ้อ” รูฟัสร้องออกมา ก่อนจะอธิบายสั้นๆ “ชุดภาคสนามของผมน่ะ”
   ฟ่งพยักหน้าหน่อยๆ พลากวาดตามองปลอกแขนสีดำที่โผล่พ้นขอบแขนเสื้อเชิ้ตออกมา จริงๆ แล้วเขาว่ารูฟัสไม่ต้องใส่เสื้อเชิ้ตทับมาก็ได้ เพราะเจ้าตัวแค่ใส่คลุมเสื้อตัวในไว้เท่านั้น แต่เอาเถอะ บางทีรูฟัสอาจจะพกอะไรอีกหลายๆ อย่างที่ไม่อยากให้เขาเห็นก็ได้
   “ขอกอดหน่อยได้ไหมครับ อีกเดี๋ยวผมจะไปแล้วล่ะ” รูฟัสพูดออกมา พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะโผเข้าใส่
   พฤติกรรมนี้ดูจะผิดความคาดหมายของรูฟัสไปพอสมควร เขารีบคว้าตัวของฟ่งแล้วกอดเอาไว้แน่น
   ฟ่งโอบมือไปรอบตัวของรูฟัส และรู้สึกถึงบรรดาของทั้งหลายที่รูฟัสพกไว้กับตัว อีกไม่กี่ชั่วโมง รูฟัสก็คงจะต้องเข้าไปในห้องที่เขาเขียนขึ้นแล้ว ห้องที่แม้แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าจะมีใครผ่านเข้าไปได้โดยตลอด
   รูฟัสกอดฟ่งไว้อย่างนั้นสักพัก รู้สึกถึงใบหน้าของอีกฝ่ายที่ซบลงมาบนไหล่ เขาประคองใบหน้านั้นขึ้นมา แล้วแนบจูบลงไป
   จูบร้อนแรงทำเอาฟ่งตัวสั่น แทบจะหลอมละลายไปกับจูบนั้น
   รูฟัสดูดดึงเรียวลิ้นอุ่นๆ เข้ามาขบกัด ดูดดึงริมฝีปากของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า รุกเร้าเข้าไปในโพรงปากอุ่นนั้นซ้ำๆ ราวกับว่าหลังจากนี้เขาอาจจะไม่ได้มีโอกาสทำแบบนี้อีกแล้ว
   ฟ่งขย้ำมือไปบนแผ่นหลังกว้าง รสจูบดูดดื่มทำเขาแข้งขาเขาอ่อนระทวย เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกตัวว่าเขาต้องการผู้ชายคนนี้ ต้องการในแบบที่เขาไม่อาจจะยอมรับ แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้อย่างเต็มปาก
   รูฟัสได้ยินเสียงฟ่งครางฮือในลำคอ รู้สึกได้ถึงการแสดงความยินยอมบนเรือนร่างนั้น เขาค่อยผลักฟ่งลงบนเตียง และซุกไซ้ซอกคออุ่นนั้นอย่างรักใคร่
   ฟ่งสะท้านกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยกของมือขึ้นโอบรัดร่างสูงใหญ่เอาไว้แนบแน่น รับรู้ถึงทุกสัมผัสที่รูฟัสมอบให้
   ริมฝีปากหนาบดจูบลงบนริมฝีปากแดงเจ่อที่เผยออ้าอยู่เบื้องล่างอีกครั้ง อ่อนหวาน และยาวนาน... ก่อนที่จะยันตัวลุกขึ้น
   ฟ่งกะพริบตาด้วยความงุนงง ขณะที่รูฟัสยื่นมือมาจัดเสื้อผ้าของเขา
   “ผมต้องไปแล้วล่ะครับ” รูฟัสพูด และยิ้มให้ฟ่งที่ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะยกมือลูบเรือนผมสีน้ำตาลนั้นอย่างเอ็นดู
   ฟ่งมองหน้ารูฟัสอยู่พักหนึ่ง แล้วยิ้มออกมา “อื้อ แล้วไว้เจอกันนะ” เขาว่า และขยับหน้าขึ้นแตะริมฝีปากกับอีกฝ่ายเบาๆ
   รูฟัสยกมือขึ้นลูบปาก แล้วจูบฟ่งอีกครั้ง จากนั้นจึงผละออกไป เขาไม่ทันได้ฉุกคิดเลยว่าประโยคสุดท้ายที่ฟ่งพูดออกมานั้น แฝงความนัยน์บางอย่างเอาไว้
-----------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   “คิดว่าจะช้ากว่านี้เสียอีก” ราฟาแอลเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นรูฟัสเดินกลับเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวของเมี่ยง สวนกับวรุตที่ถูกพาตัวกลับห้องไป ราฟาแอลคงเรียกเขามาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หนุ่มตาสองสีขมวดคิ้ว และนั่งปุลงบนเก้าอี้อีกตัว
   “ผมรู้หน้าที่น่า เมื่อไหร่คุณจะเลิกทำเป็นระแวงผมเสียที”
ราฟาแอลยักไหล่ “ก็แกทำให้ฉันระแวง”
   รูฟัสย่นคิ้ว ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำ จึงเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น
   “แล้วเราจะไปกันได้หรือยัง?” หนุ่มผมบล็อนด์ยักไหล่อีกครั้ง “แน่นอน ก็เตรียมตัวกันพร้อมหมดแล้วนี่ รอแต่แกนั่นแหละ”
   “ฉันยังไม่พร้อมเสียหน่อย” รัสเลอร์เอ่ยแทรกขึ้น ทำให้สองคนหันไปมองเขาทันที  ราฟาแอลถลึงตาใส่เขาเหมือนจะถามว่าแล้วไอ้เวลาที่ผ่านมาแกมัวแต่ไปทำอะไรอยู่ รัสเลอร์ทำหน้าเศร้า
   “ฉันยังไม่ได้บอกลาฟ่งเลย”
   “งั้นนายเตรียมบอกลาชีวิตตัวเองได้” รูฟัสว่า และทำท่าจะถีบรัสเลอร์ทีหนึ่ง รัสเลอร์กระโดดหลบ เขาหันไปมองหน้าราฟาแอล ซึ่งถอนหายใจอย่างหน่ายๆ
   “เอาล่ะ.. ฉันจะคิดว่านายพยายามจะเล่นมุขห่วยๆ ที่ฉันไม่ขำ  ย้ายก้นออกไปได้แล้ว อย่าให้ต้องใช้กำลัง”
   “ทำไมเอะอะพวกนายต้องใช้กำลังอยู่เรื่อยเลยนะ เจรจาแบบสันติวิธีไม่เป็นหรือไง...” รัสเลอร์โอดครวญ ก่อนจะเจอสายตาพิฆาตของราฟาแอลเข้าไป เลยทำให้ต้องสงบปากสงบคำ ยอมเดินตามเพื่อนร่วมงานออกไปแต่โดยดี
----------------------------------------------------------
   “ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ว่านายทนอยู่กับราฟี่มาได้ยังไง” รัสเลอร์เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ทั้งสามคนอยู่บนรถเก๋งนิสสันเก่าๆ ที่เมี่ยงลงทุนเช่ามาเพื่อใช้ในการนี้โดยเฉพาะ  รถคันนี้กำลังมุ่งหน้าออกนอกตัวเมืองของกรุงเทพมหานคร โดยมีลูกน้องคนสนิทของเมี่ยงคนหนึ่งเป็นคนขับ  รูฟัสที่นั่งอยู่เบาะหลังด้วยมองออกนอกหน้าต่าง ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของรัสเลอร์ หนุ่มผมสีน้ำตาลจึงเอ่ยปากต่อ
   “สงสัยว่านายสองคนจะเป็นพวกบ้าความรุนแรงแน่ๆ ถึงได้ทำงานด้วยกันได้เนี่ย”
   รูฟัสพยามนั่งให้เงียบที่สุด เขาหวังว่าราฟาแอลจะเป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาก่อน แต่ดูเหมือนว่าหนุ่มผมบลอนด์จะมีความคิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นคนที่ยังพูดอยู่จึงเป็นรัสเลอร์
   “พวกนายควรจะให้ความสนใจในสิ่งที่ฉันพูดบ้าง การใช้กำลังไม่ได้เป็นทางออกเดียวในการแก้ปัญหาหรอกนะ”
   รูฟัสพยายามคิดหาทางอื่นที่ดีกว่าการใช้กำลังในการจัดการกับปากของรัสเลอร์ ขณะที่ราฟาแอลเริ่มนับหนึ่งถึงร้อยในใจ ดูเหมือนรัสเลอร์จะยังไม่สำเหนียกถึงบรรยากาศรอบๆ  เขาหันไปมองด้านนอก และสรรหาประเด็นมาพูดต่อ
   “ไม่คิดบ้างหรือว่าโลกนี้มีอะไรสวยงามตั้งเยอะ มากกว่าที่จะมาใช้กำลังใส่กัน นายดูต้นหญ้าพวกนั้นสิ มันขึ้นได้ทุกที่แม้แต่บนคอนกรีต เมืองร้อนนี่ไม่มีหิมะตกเลยสินะ?”
   ราฟาแอลไม่รู้ว่าตัวเองนับถึงไหนแล้ว บางทีเขาควรเริ่มนับใหม่ หรือหันไปพึ่งอย่างอื่นเช่นบทสวดมนต์ แต่จนใจที่เขาจำได้แต่ท่อนแรกของบทสวดส่งวิญญาณ ดังนั้นหนุ่มผมสีบล็อนด์จึงได้แต่พยายามนับเลขในใจ ส่วนรูฟัสพยายามคิดว่าเขาได้ยินเสียงที่แว่วไปเอง  ดูเหมือนคนหมดความอดทนก่อนจะเป็นรัสเลอร์
   “ทำไมพวกนายนั่งเงียบเป็นเป่าสากแบบนี้!!! อย่างน้อยๆ ก็น่าจะอธิบายให้ฉันฟังบ้างว่า เรากำลังจะไปไหน?!!!”
   ดูเหมือนมุขนี้จะได้ผล สองคนหันขวับมาหาเขาทันที ราฟาแอลเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
   “อย่าบอกนะว่าที่พูดกันไปก่อนหน้านี้ มันไม่เข้าไปในหัวสมองนายเลยสักเรื่อง!!!”
   รัสเลอร์พยักหน้ายอมรับอย่างหน้าตาเฉย คราวนี้ราฟาแอลทำท่าจะล้วงปืนออกมาจากอกเสื้อ เล่นเอารูฟัสต้องรีบขยับไปห้ามเป็นการใหญ่
   “ไม่เอาน่า ราฟี่ คุณก็รู้เจ้าหมอนี่มันปกติเสียที่ไหน ทั้งหูหนวกทั้งปัญญาอ่อน”
   รัสเลอร์ย่นคิ้วกับคำพูดของรูฟัส เขาหันไปมองคนพาดพิง
   “นี่นายกล้าเรียกฉันว่าปัญญาอ่อนเรอะ!! นายคงไม่เข้าใจความคิดของอัจฉริยะหรอก!!”
   “ถ้านายไม่อยากมีรูเจาะที่กะโหลก นายควรจะเลิกทำตัวงี่เง่าแล้วพูดให้รู้เรื่องสักที” รูฟัสสวนกลับ เขาเริ่มคิดว่าบางทีเอาควรจะอัดเจ้าหมอนี่ก่อนที่ราฟาแอลจะทนไม่ไหว ลั่นไกออกมา  รัสเลอร์ยักไหล่
   “ฉันได้ยินว่านายพูดอะไรบ้าง แต่ที่ฉันไม่เข้าใจคือเรากำลังจะไปไหน เพราะดูในจีพีอาร์เอสแล้ว ฉันก็ไม่รู้จักอยู่ดีว่าสถานที่ที่ว่ามันตั้งอยู่ตรงไหนกันแน่”
   รัสเลอร์ว่าและยกเครื่องจีพีอาร์เอสที่ว่าซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับโทรศัพท์มือถือขนาดเล็กขึ้นมาโชว์ให้อีกสองคนดู ราฟาแอลคิดว่าเขาอยากจะเอาเจ้าเครื่องนี่ฟาดหัวรัสเลอร์มากกว่าจะมองดูมัน หนุ่มผมสีบลอนด์พยายามสะกดจิตสะกดใจให้พูดออกไปโดยไม่ลงมือทำอะไร
   “มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่นายจะต้องรู้ว่าเราจะไปอยู่ในส่วนไหนของแผนที่ ที่นายต้องรู้คือเราจะเข้าไปด้านในห้องนั่นได้ยังไง!!”
   “ยังไงฉันก็จำเป็นต้องรู้ว่าเราอยู่ตรงจุดไหน จะได้คำนวณเส้นทางหนีได้ถูก” รัสเลอร์เถียง ในที่สุดรูฟัสก็เอ่ยปากออกมาอย่างสุดจะทน
   “งั้นก็หุบปาก เดี๋ยวพอถึงนายก็จะรู้เองนั่นแหละ!!” ราฟาแอลเค้นเสียงใส่ รัสเลอร์ทำท่าจะอ้าปากแย้ง แต่เสียงคนขับรถก็ดังขึ้นก่อ
   “ผมส่งพวกคุณได้ใกล้แค่นี้แหละครับ” เขาว่า และหยุดรถลงตรงริมถนนซึ่งล้อมรอบด้วยป่าละเมาะ และเนินดินเตี้ยๆ ท่ามกลางความมืดของยามกลางคืนที่เริ่มปกคลุมเข้ามา  รูฟัสและราฟาแอลพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะชี้ให้รัสเลอร์ดูตัวตึกสีขาวซึ่งเห็นเป็นเงาลิบๆ อยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร
   “ตึกนั่นแหละที่เราต้องเข้าไป” ราฟาแอลอธิบาย รัสเลอร์พยักหน้า รูฟัสหรี่ตามอง รูปทรงของมันคล้ายๆ กับตึกที่เขาเคยต้องเข้าไปขโมยแผนที่ แต่ดูจะกว้างขวางกว่า ได้ยินว่านี่เป็นโรงงานผลิตยาขนาดใหญ่อีกโรงหนึ่งซึ่งทวีศักดิ์เปิดขึ้นมาเมื่อสองสามปีที่ผ่านมาแล้ว บางที่ห้องใต้ดินที่ว่าอาจจะมีโครงสร้างเดิมอยู่ก่อนแล้วก็ได้ แล้วค่อยมาเพิ่มเติมส่วนที่เป็นห้องลับอีกที รูฟัสหวังว่าแผนที่ที่พวกเขามีจะละเอียดพอที่จะผ่านเข้าไปยังห้องเป้าหมายได้
   “แล้วเราจะเข้าไปได้ยังไง” รัสเลอร์ตั้งคำถามอีก ราฟาแอลไม่ตอบ เขาลงจากรถ ก่อนที่รูฟัสจะผลักให้รัสเลอร์ลงตาม ในที่สุดสามหนุ่มก็ยืนอยู่บนถนนดินแคบๆ ที่อยู่ระหว่างดงป่าละเมาะสูงท่วมหัว คนขับรถเอ่ยลาพวกเขา แล้วขับรถจากไป
   “เอาล่ะ ได้เวลาหยิบไอ้เครื่องจีพีอาร์เอสของนายขึ้นมาแล้ว เราจำเป็นต้องใช้มันฝ่าดงป่าละเมาะนี่!!” ราฟาแอลออกคำสั่ง รัสเลอร์เงยหน้าขึ้นมองดงหญ้าตรงหน้า ที่ยิ่งมืดทึบลงเรื่อยๆ ขณะที่กำลังจะอ้าปากถามว่าจะเดินกันไปยังไง ราฟาแอลกับรูฟัสก็มุดหายเข้าไปในพงหญ้าเสียแล้ว หนุ่มผมสีน้ำตาลจึงได้แต่มุดตามไป
   “นี่ ราฟี่.... ไม่เปิดไฟฉายเหรอ?” รัสเลอร์เอ่ยถามหลังจากทนเดินอยู่ในความมืดฝ่าดงหญ้าและเหยียบลงไปในพื้นดินลุ่มๆ ดอนๆ ชื้นๆ แฉะๆ มากว่าสิบห้านาทีโดยปราศจากแสงสว่างใดๆ นอกจากแสงจันทร์ค่อนดวงที่เพิ่งหายลับไปกับกลีบเมฆ
ราฟาแอลไม่ตอบ ยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ รูฟัสเองก็เช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่รัสเลอร์ทำได้คือเดินเกาะกลุ่มกันคนพวกนี้เอาไว้ ก่อนที่ตัวเองจะหลงอยู่ในป่าละเมาะมืดๆ นี่จริงๆ
เขาไม่รู้ว่ารูฟัสกับราฟาแอลเดินอย่างสบายใจในที่แบบนี้ได้อย่างไร หรือเพราะสองคนนี่ผ่านการฝึกหนักในแบบที่เขาไม่เคยรู้นะ มันมีการฝึกที่ทำให้มองเห็นในที่มืดด้วยหรือไง
   ความจริงแล้ว รูฟัสกับราฟาแอลเคยเดินในที่ที่แย่กว่านี้ พวกเขาเคยผ่านสงคราม แม้จะในนามของกองทหารรับจ้างก็เถอะ เพราะอย่างนั้นแค่พงหญ้าที่ไม่มีกระสุนปืนและลูกระเบิดจึงดูดีกว่าเป็นไหนๆ อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เรื่องน่าสบายใจนัก พวกเขาต้องอาศัยประสาทสัมผัส และสัญชาติญาณพร้อมด้วยประสบการณ์ในการเดินในความมืดแบบนี้
   ราฟาแอลส่งเสียงห่อปากเป็นสัญญาณให้เงียบ และย่อตัวลงต่ำเมื่อเดินมาได้อีกระยะหนึ่ง รูฟัสทำตามโดยสัญชาติญาณ ก่อนจะกระตุกให้รัสเลอร์ทำตามด้วย สามคนนั่งเบียดกันอยู่ในพงหญ้าโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน อย่างน้อยก็มีรัสเลอร์คนหนึ่งล่ะ
   “เสียงคนเดิน” รูฟัสกระซิบขึ้นเบาๆ คู่หูของเขาพยักหน้า
   “เราอยู่ใกล้แล้วล่ะ” ราฟาแอลกระซิบตอบ ก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือดิจิตอลขึ้นมา หน้าปัดของมันแสดงตำแหน่งแผนที่ที่พวกเขาอยู่
   “ดีใจที่นายใช้ของที่ฉันคิด อุ๊บ!!” รัสเลอร์ที่โพล่งออกมาถูกรูฟัสเอามืออุดปาก ราฟาแอลเลื่อนมือลงไปยังด้ามปืนตรงเข็มขัด เมื่อเสียงสวบสาบใกล้เข้ามา ทั้งสามคนเกือบจะหยุดหายใจ เมื่อเห็นลำแสงของไฟฉายวาบขึ้นบนหัว
   “มีอะไร?” เสียงหนึ่งดังขึ้น ดูเหมือนจะห่างออกไปทางด้านหลัง ได้ยินเสียงตอบกลับที่อยู่ใกล้ยิ่งกว่า
   “ไม่รู้ เหมือนได้ยินเสียงคนคุยกัน”
   “ใครจะมาคุยกันในพงหญ้าแบบนี้”
   “นั่นสิ สงสัยจะหูแว่ว” เสียงนั้นแสดงความคล้อยตาม ก่อนที่ทิศทางของแสงจากไฟฉายจะหันไปทางอื่น ทั้งรูฟัสและราฟาแอลถลึงตาใส่รัสเลอร์พร้อมกัน หนุ่มผมสีน้ำตาลทำหน้าเศร้า
   “ไม่ผิดแน่ ที่นี่แหละ” ราฟาแอลกะซิบขึ้น เขาแน่ใจว่าทางลับที่ว่าต้องอยู่ตรงนี้แน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องจัดคนมาเฝ้า ได้ยินมาว่าโรงงานแห่งนี้ก็มีการวางรั้วไฟฟ้าไว้เหมือนกับตึกที่เขาเข้าไปขโมยแปลน ดีที่ว่าบริเวณมันกว้างเกินกว่าจะวางรั้วได้รอบ ก็เลยมีบางส่วนต้องจัดคนมาเฝ้าแทน
โชคดีดจริงๆ ที่พื้นที่ส่วนนี้อยู่นอกอาณาเขตรั้วที่ว่านั่น ไม่อย่างนั้นเขาคงนึกไม่ออกว่าจะเอารัสเลอร์ผ่านเข้าไปด้วยวิธีไหน อาจจะต้องจับหั่นเป็นท่อนๆ แล้วใส่กระเป๋าไป
   รูฟัสพยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนร่วมงาน หนุ่มผมบลอนด์จึงบอกแผนขั้นต่อไป
   “เราต้องเข้าไปให้ใกล้กว่านี้ ให้รู้ว่าทางเข้ามันอยู่ตรงไหน”
   รูฟัสยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์ว่าตกลง เขาปล่อยมืออีกข้างจากปากของรัสเลอร์ และสะกิดให้คลานต่ำตามราฟาแอลไป ทั้งสามคลานๆ หยุดๆ จนมาถึงบริเวณที่มีแสงสว่างรำไรลอดเข้ามาตามช่องว่างขอกอหญ้า คงจะเป็นแสงของไฟฉาย ราฟาแอลล้วงกล้องส่องทางไกลแบบอินฟาเรทออกมาจากซองข้างเอว ใช้มันมองผ่านช่องว่างนั้น ก่อนจะส่งให้รูฟัสดู
   “ดูด้วยสิ” รัสเลอร์พยายามจะกระซิบให้เบาที่สุด หลังจากที่รออยู่นานแต่ไม่เห็นวี่แววว่าทางนั้นจะส่งกล้องให้เขา แถมยังทำท่าจะเอาเก็บเสียอีก รูฟัสหันมามองเขา และยอมส่งกล้องต่อให้ รัสเลอร์มองอยู่พักหนึ่ง ก่อนส่งคืนและส่ายหน้า
   “ไม่เห็นมีอะไรเลย” เขาพึมพำ รูฟัสไม่ตอบ เขาหันไปมองหน้าราฟาแอล
   “นายแค่ทำตามที่ฉันสั่งก็พอ” หนุ่มผมสีบล็อนด์ตอบ รัสเลอร์พยักหน้า  แม้อยากจะถามหลายๆ เรื่อง แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ก็คงต้องเชื่อเจ้าพวกนี้ก่อน
   รอให้เข้าไปได้ก่อนเถอะ......
-------------------------------------------
   เตียงถูกยกมาเพิ่มในช่วงหัวค่ำ พร้อมกับเมี่ยงแวะมาทักทายฟ่งและวรุตด้วยชุดราตรีรัดรูปสีม่วงแดง คงเตรียมตัวจะเปิดร้าน
   “ดิฉันจะให้คนเตรียมเสื้อนอนเอาไว้ให้คุณนะคะ ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็โทรเรียกตามเบอร์ที่เขียนเอาไว้ที่โทรศัพท์ได้เลยค่ะ”
   ฟ่งเอ่ยขอบคุณอย่างเกรงใจ เขาไม่กล้าถามถึงเรื่องรูฟัสกับเมี่ยง และหล่อนเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ดังนั้นบทสนทนาของพวกเขาจึงกินระยะเวลาไม่นานนัก
   “จะลงไปเที่ยวด้านล่างก็ได้นะคะ ถ้าคุณเบื่อ แล้วเจอกันค่ะ” หล่อนทิ้งท้ายก่อนจะจากไป  ฟ่งไม่คิดว่าเขาอยากจะกลายเป็นข่าวกับวรุตอย่างจริงจังนัก ดังนั้นจึงเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ในห้อง เพื่อคิดทบทวนแผนการของเขา
   “คุณจะนอนทั้งอย่างนั้นเลยเหรอ?” เสียงของวรุตที่เอ่ยถามขึ้นทำให้ฟ่งสะดุ้ง เขายันตัวขึ้นจากเตียง และหัวเราะแหะๆ  เด็กหนุ่มมองเขาด้วยความสงสัย  นี่ปกติฟ่งนอนโดยไม่อาบน้ำหรือกลัวจะอาบน้ำต่อหน้าเขาล่ะเนี่ย วรุตพยายามไม่ให้ตัวเองคิดเพ้อเจ้อมากเกินไป ฟ่งคงขี้เกียจนั่นแหละ
   “ผมไปอาบก็ได้” หนุ่มสวมแว่นว่า ก่อนจะหันมามองผู้ที่นอนอยู่อีกเตียง วรุตรีบตอบ
   “ผมอาบแล้ว”
   ฟ่งมองดูนาฬิกาดิจิดอลตรงหัวเตียง มันบอกเวลาสี่ทุ่มเศษแล้ว เขายกมือขึ้นเกาศีรษะแกร่กๆ คว้าผ้าเช็ดตัว และเดินเข้าห้องน้ำไป
   วรุตถอนหายใจเฮือก หลายเดือนที่ผ่านมา เขาพยายามไล่ตื้ออิทธิเดช ตามไปจนถึงคอนโด หอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่ด้วย แล้วสุดท้าย เขาก็ทิ้งทั้งหมดมาอยู่กับคนที่เขาไม่เคยรู้จักหน้ามาก่อน  เพียงเพราะอยากจะปกป้องคนที่เขาคิดว่าไม่ควรจะถูกฆ่าด้วยน้ำมือของพ่อเขา
   เด็กหนุ่มแน่ในว่าเขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง  แม้ว่ามันจะดูบ้า แต่การที่พยายามช่วยเหลือคนบริสุทธิ์คนหนึ่งให้พ้นจากเงื้อมมือมัจรุราชเป็นสิ่งที่คนที่มีจิตใจปกติควรทำ ยิ่งมัจจุราชที่ว่านี้เป็นพ่อของเขาด้วย ยิ่งต้องช่วยเข้าไปใหญ่ ถึงอย่างนั้นวรุตก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดไป...
   อิทธิเดช........
   เสียงฝักบัวอาบน้ำที่ดังแว่วมาทำให้เขาอดนึกถึงผู้ชายหน้าหวานคนนั้นไม่ได้ อิทธิเดชมักจะใช้วิธีเลี่ยงเขาโดยอ้างการอาบน้ำเสมอ เสียงของสายน้ำที่ไหลผ่านร่างกายขาวเนียนที่ชำระตัวอย่างเชื่องช้าเพื่อถ่วงเวลาเป็นที่คุ้นชินของเขาเสียแล้ว นั่นทำให้วรุตรู้สึกแปลกๆ เมื่อฟ่งออกจากห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
   “คุณน่าจะเช็ดผม” วรุตเอ่ยทักเมื่อเห็นว่ามีน้ำหยดออกมาจากเส้นผมของอีกฝ่าย ฟ่งชะงัก และยิ้มแห้งๆ ก่อนจะยกผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดศีรษะ ช่างต่างกันเหลือเกิน คงเพราะฟ่งไม่ต้องมากังวลใจว่าจะถูกเขาทำอะไรล่ะมั้ง เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง
   ทำไมฟ่งถึงไม่ใช่อิทธิเดช
   เขาอยากจะช่วยผู้ชายหน้าสวยคนนั้นมากกว่า คนที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น คนที่เขาอยากจะอยู่ด้วย แต่จนใจที่ไม่ว่าจะทำยังไง ก็ไม่อาจจะลบเลือนความฝังใจที่อิทธิเดชมีต่อพ่อเขาได้  สุดท้ายเขาจึงต้องเลือกทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง  แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับผู้เป็นที่รักอย่างศัตรูก็ตาม
   เขาไม่ได้อยากจะจากผู้ชายคนนั้นมาในลักษณะนี้เลย
   แต่ผู้ชายคนนั้นมาตามหาเขาเพราะคำสั่งของพ่อ นั่นคือสิ่งที่วรุตเจ็บปวดใจที่สุด  เพราะมันตอกย้ำว่าเขาไม่มีความหมายใดๆ ที่แย่กว่านั้นคือถึงแม้จะเจ็บปวดขนาดไหน เขาก็ไม่อาจจะลืมเลือนใบหน้าแสนสวยนั้นลงได้ 
ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจจะหยุดความปรารถนาต่อคนคนนั้นได้เลย
----------------------------------------------------
ฟ่งนั่งลงบนเตียง เขาคิดว่าเช็ดผมแห้งพอสมควรแล้ว ชายหนุ่มมองไปยังเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งนอนลืมตามองเพดานอยู่อีกเตียงหนึ่ง ก่อนจะถามออกไปเบาๆ
“นี่...นายหลับหรือยัง?”
คราวนี้วรุตเลยเป็นฝ่ายสะดุ้งบ้าง เขายันตัวลุกขึ้น และหันมามองฟ่ง “มีอะไรเหรอ?”
“คือ....” ฟ่งเอ่ยค้าง พยายามจะเรียบเรียงคำพูดให้ดูละมุนละม่อมมากที่สุด
“นายเล่าเรื่องห้องลับนั่นให้ผมฟังอีกรอบหนึ่งสิ ผมอยากจะฟังอีกน่ะ”
วรุตยิ้มกว้าง ที่แท้ฟ่งอยากจะฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว ถึงเขาจะเล่าไปแล้วหลายครั้งในตอนที่ราฟาแอลและเพื่อนของเขาถามเพื่อประกอบเป็นข้อมูลในการศึกษาแผนที่ แต่ก็คงเป็นธรรมดาของคนออกแบบที่อยากจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นซ้ำอีก ยิ่งเป็นอะไรที่ประหลาดมหัศจรรย์แบบนั้นด้วยแล้ว เขาเองยังนึกอยากให้ฟ่งไปเห็นเองเลย น่าเสียดายที่เจ้าตัวคงไม่มีโอกาส
“มันวิเศษมาก ผมพูดจริงๆ นะ คิดไม่ออกเลยว่าคุณวาดออกมาได้ยังไง คุณควรจะได้ไปดูด้วยตัวเอง” วรุตสรุปหลังจากบรรยายสิ่งที่เขาเห็นอีกรอบเสร็จแล้ว
ฟ่งพยักหน้าหงึกๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “ผมคงไม่มีโอกาสได้ไปดูหรอก”
พูดพลางช้อนตามองอีกฝ่ายอย่างขอความเห็นใจ ด้วยหวังว่าวรุตจะยอมตกหลุมพรางที่เขาขุดล่อเอาไว้บ้าง แต่เด็กหนุ่มกลับพยักหน้าเห็นด้วย
“อืม...จริงของคุณ ไว้จบงานนี้แล้วคุณค่อยเข้าไปดูดีกว่า”
“แต่ว่าจบงานนี้มันอาจจะถูกพังไปเลยก็ได้นะ” ฟ่งรีบแย้ง  วรุตย่นคิ้วอย่างจนใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องทำใจล่ะครับ ผมไม่เสี่ยงพาคุณเข้าไปตอนนี้หรอก” เด็กหนุ่มพูดเหมือนรู้ทัน ฟ่งหน้าหงอย
“แต่ผมอยากเห็นนี่” เขาพูดและช้อนตาขึ้นมองอย่างวิงวอนอีกครั้ง วรุตนึกสงสัยว่าฟ่งอายุเท่าไรแล้ว ทำท่าอ้อนเป็นเด็กๆ ไปได้ แต่พอได้เห็นดวงตาสีน้ำตาลที่มองมาก็อดสงสารไม่ได้ ตอนนี้วรุตเริ่มเข้าใจว่าทำไมผู้ชายที่ชื่อรูฟัสถึงได้ขี้หึงนัก คงเพราะฟ่งชอบทำตัวแบบนี้ด้วยรึเปล่านะ
ในที่สุดวรุตก็โบกมือขึ้น เขาตัดสินใจหยุดเสียก่อนจะเกิดปัญหา
“ผมง่วงแล้ว เอาไว้ค่อยคุยพรุ่งนี้แล้วกัน” เด็กหนุ่มพูด และล้มตัวลงนอนโดยไม่ฟังเสียงทัดทานใดๆ ฟ่งหน้าหงิก เขาเดินไปปิดไฟ ล้มตัวลงนอนบ้าง
พรุ่งนี้คงต้องหาเหตุผลใหม่มาเกลี้ยกล่อมวรุต
ถ้าใช้ไม้นวมไม่ได้ ก็คงต้องเล่นไม้แข็งกันบ้างล่ะ....
-------------------------------------------------
**เปิดจองเล่ม6อยู่ที่หน้า6นะคะ เล่มก่อนๆ ยังเปิดรีปริ๊นอยู่ค่ะ รวมถึงเรื่องYes! Master.ที่จบไปแล้วด้วยค่ะ (โฆษณาจริงๆ :o8:)

ออฟไลน์ harumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-33
หายไปซะนานเลย
อ่านเรื่องนี้มา4ปีตั้งแต่ที่เด็กดี
แล้วยังตามมาที่เล้าอีก
ไม่เคยอ่านเรื่องใหนได้นานเท่านี้มาก่อน
ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก
ถ้ามีสอบเรื่องนี้คงได้คะแนนเต็ม     
 :a5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
อ่า ช่างทรหด อึด อดทน อย่างยิ่ง
อ่านจนตาปูดแล้ว แต่ขอสารภาพว่าเพิ่งจะผ่านไปแค่ 3 หน้า
เราจะพยายามตามอ่านให้เร็วที่สุด
แต่ขอระบายหน่อย เรื่องนี้สนุกมากกกกกก
อยากจะนั่งอ่านมันทั้งวันทั้งคืนเลย  o13

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ตอนนี้ทำให้เรานึกไม่ออกว่ารัสเลอร์มีประโยชน์อะไรนะ

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
ฟ่งเริ่มน่ารักกับรูฟัสแล้วจิ รักเค้าแล้วก็บอกไปตรงๆเล้ย :o8:
แต่ฟ่งก็ยังเป็นฟ่งอยู่วันยังค่ำ เดี๋ยวก็หาเรื่องเข้าไปจนได้แหละน่า :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
โอ้ว! ตามมาจากเผิงเผิง  เรื่องนี้สนุกมวากกกกก!!

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่51 Other side, behind thinking.

   คงเพราะไม่ต้องเผชิญความกดดันจากราฟาแอล และพวก แถมยังไม่ต้องระวังว่าใครจะบุกเข้ามากลางดึก ดังนั้นวรุตจึงหลับเป็นตายและพบว่าตัวเองตื่นสายโด่งในวันต่อมา
เด็กหนุ่มพลิกตัว มองนาฬิกาดิจิตอลที่โต๊ะตรงหัวเตียง มันบอกเวลาสิบโมงครึ่งเข้าไปแล้ว เขายันตัวลุกขึ้น และเห็นว่าฟ่งไม่ได้อยู่ในห้อง
   อาจจะออกไปเดินเล่นข้างนอกก็ได้
   วรุตคิด พลางรู้สึกว่าไม่น่าปล่อยให้ฟ่งคลาดสายตาเลย คำพูดที่ฟ่งพูดกับเขาเมื่อคืนเหมือนจะส่อเจตนาอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
   วรุตลุกจากเตียง เดินตรงไปยังห้องน้ำ เขาควรจะต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวใหม่ และออกไปตามหาฟ่งให้พบ
   ชายหนุ่มเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า เขาไม่ควรปล่อยให้ผู้ชายสวมแว่นคนนั้นคลาดสายตานานนัก
------------------------------------------------
   ฟ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวริมสระว่ายน้ำบนชั้นห้าของตึก ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า นอกจากห้องพักแล้ว ที่นี่จะยังมีสระว่ายน้ำในร่มอีกด้วย แต่ดูจากการตกแต่งแล้วอาจจะไม่ได้จงใจให้ใช้ประโยชน์เพื่อการออกกำลังกายเท่าไหร่ ออกแนวให้มาพักผ่อนเสียมากกว่า
สายลมเอื่อยๆ พัดเอาม่านไม้ไผ่บางๆ ที่แขวนกั้น บังสายตาของคนนอกจากตึกข้างๆ อยู่รอบสระว่ายน้ำทั้งสามด้าน ได้ยินเสียงระฆังลมแบบต่างๆ ที่ห้องเอาไว้ดังกริ๋งๆ
ชายหนุ่มเอื้อมตัวไปดื่มน้ำฝรั่งที่บริกรเพิ่งนำมาให้เขาเมื่อครู่จิบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
เมื่อคืนเขานอนไม่ค่อยหลับ เนื่องจากหัวสมองคิดเรื่องต่างๆ อยู่มากมาย ทั้งเรื่องของรูฟัส และเรื่องลับๆ ที่เขากำลังวางแผนจะทำ
ดังนั้น พอถึงรุ่งเช้า ฟ่งก็ตัดสินใจลุกจากที่นอน เพราะไม่อยากแบะแฉะอยู่ในห้องพัก กับเด็กหนุ่มที่เขาเองก็ยังไม่รู้จักดี ตอนแรกเขาตั้งใจจะไปคุยกับเมี่ยงเพื่อสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับพวกของรูฟัส แต่เมี่ยงไม่ได้พักอยู่ที่นี่ และการจะโทรไปถามก็ดูจะรบกวนจนเกินกว่าเหตุ ฟ่งจึงเดินเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย และได้รับคำแนะนำให้ขึ้นมานั่งเล่นที่นี่แทน
ฟ่งนั่งทบทวนแผนการของเขาใจในช้าๆ อีกครั้ง ไม่ว่ามองในมุมไหน ก็ดูเหมือนจะยากเหลือเกินที่จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนไปกับแผนการนี้ โดยเฉพาะเมี่ยง ซึ่งถูกฝากฝังได้ดูแลพวกเขาโดยตรง
   ชายหนุ่มถอนหายในอย่างหนักหน่วง ยันตัวขึ้นมานั่ง เอามือท้าวเข่าแล้วเอาหน้าเกยไว้ในฝ่ามืออย่างใช้ความคิดอีกครั้ง เขาไม่อยากทำให้เมี่ยงเดือดร้อน หรือจะตัดสินใจอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้เรื่องมันเป็นไปอย่างนี้ดี บางทีเขาควรจะหัดอยู่เฉยๆ เสียบ้าง
   หนุ่มสวมแว่นถอนหายใจอีกครั้ง ขยับไปใช้มืออีกข้างท้าวคางแทน เขาไม่ชอบใจความคิดที่จะอยู่เฉยๆ นี้เลย แต่ก็มั่นใจว่า คงไม่มีใครชอบความคิดที่เขากำลังคิดอยู่ตอนนี้แน่ๆ
   ชายหนุ่มถอนหายใจอีก และยกมือขึ้นลูบหน้า ขณะกำลังคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี เสียงเอ่ยทักก็ดังขึ้น
   “มีเรื่องอะไรหรือครับ?”
   ฟ่งสะดุ้งเฮือกหนึ่งแ ล้วหันไปหาเจ้าของเสียง วรุตเดินเข้ามา ท่าทางเจ้าตัวจะอาบน้ำแล้ว เพราะเสื้อผ้าคนละชุดกับของเมื่อวาน ชายหนุ่มยิ้มให้เขา “คิดถึงแฟนหรือครับ?”
   “อะ.. อืม” ฟ่งจำต้องยอมรับออกไป ทั้งๆ ที่เขามั่นใจว่าไม่ค่อยจะได้คิดถึงรูฟัสเท่าไหร่นัก อีกอย่าง คำว่า“แฟน”ฟังดูน่าขนลุกพิลึก เมื่อใช้กับคนที่เป็นผู้ชายด้วยกัน
   วรุตเดินมาแล้วลากเก้าอี้นอนมานั่งข้างๆ ก่อนจะพูดต่อ “เขาปลอดภัยอยู่แล้วล่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พวกเขามืออาชีพนี่นา”
   “อืม...” ฟ่งส่งเสียงในลำคออย่างไม่ค่อยจะยอมรับนัก ก่อนจะก้มหน้านิ่งราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก วรุตนั่งเงียบอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พยายามจะหาเรื่องคุย
   “ฟ่ง ว่ายน้ำกันมั้ย?” ชายหนุ่มเอ่ยปากชวน พลางมองไปยังสระทรงกลมขนาดพอจะให้คนตัวใหญ่ๆ ว่ายกันได้สามสี่คน ฟ่งเงยหน้ามองสระน้ำ ก่อนจะสั่นศีรษะ
   “น่า ลงไปว่ายน้ำกัน อาจจะอารมณ์ดีขึ้นก็ได้นะครับ” วรุตพยายามจะตะล่อม เขาคิดว่าฟ่งคงกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีนัก ไม่อย่างนั้นฟ่งคงไม่ทำหน้ายุ่งขนาดนี้
   “ผมไม่ได้เอาชุดว่ายน้ำมา” หนุ่มสวมแว่นตอบ และหันหน้ากลับมามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ พลางนึกว่าวรุตตั้งใจจะหลอกล่ออะไรเขาอยู่หรือเปล่า
   “อ้อ... งั้น ออกไปซื้อกันมั้ย?” วรุตพูดต่อ ฟ่งมองหน้าเขาอีกพัก แล้วพูดขึ้น “ผมกับนายกำลังถูกตามล่าตัวกันอยู่นะ จะออกไปได้ยังไง”
   วรุตยิ้มกว้างออกมา จากนั้นก็พูดขึ้นอีก “ไม่ใช่”ผม” แต่เป็น”คุณ”ต่างหากล่ะครับ”
   หนุ่มสวมแว่นทำหน้ายุ่งทันที ก่อนจะหันหนีไปทางอื่น เด็กหนุ่มเลยรีบพูดต่อ “ออกไปข้างนอกกันไหมล่ะครับ ไปกับผม รับรองปลอดภัยแน่”
   “มันจะปลอดภัยยังไงน่ะ?” ฟ่งถามพลางทำหน้าสงสัย วรุตจึงอธิบายต่อ “ก็พ่อตามล่าคุณเพราะกลัวคุณปูดความลับใช่ไหมล่ะ แต่ในเมื่อคุณอยู่กับผมแล้ว พ่อคงไม่มีเหตุผลที่จะต้องตามล่าคุณแล้วล่ะ อีกอย่าง ตอนนี้พ่อผมคงยุ่งอยู่กับเรื่องนั้นจนไม่มีเวลามาสนใจคุณหรอก”
   พอเห็นฟ่งดูมีสีหน้าครุ่นคิดมากขึ้น วรุตเลยรีบพูดต่อ “แต่อย่ากังวลเรื่องห้องประชุมนั่นเลยนะคะ ผมว่าแฟนคุณเข้าไปแล้วกลับออกมาได้อย่างสะดวกปลอดภัยแน่ๆ พวกเขาเตรียมการกันพร้อมขนาดนั้นแล้วนี่”
   ฟ่งนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ แล้วหันกลับมายิ้ม “งั้น... ออกไปซื้อชุดว่ายน้ำกันเถอะ”
------------------------------------------------------------
   รัสเลอร์ไม่รู้ว่าตัวเองหลับลงไปได้อย่างไร ท่ามกลางแสงแดดร้อนเปรี้ยงในตอนเที่ยงวัน สงสัยเพราะเมื่อคืนเขาต้องเผชิญกับฝูงยุงป่านับล้านที่มุ่งมั่นจะเจาะเอาเลือดของเขาไปตั้งอาณาจักรใหม่ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากเพราะแสงแดดที่ส่องลอดพงหญ้าลงมา ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อพบว่ามีปากกระติกน้ำมาจ่อตรงหน้า
   “คิดว่านายจะหลับไม่ตื่นแล้วซะอีก” รูฟัสพูดด้วยสีหน้ายียวนเช่นเคย เจ้าหมอนี่เองที่ยื่นกระติกน้ำจ่อหน้าเขา
รัสเลอร์ฉวยกระติกน้ำมา แล้วดื่มลงไป พอน้ำแตะปากเท่านั้นแหละ เขาถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองกระหายน้ำขนาดไหน คงเพราะเสียเหงื่อจากอากาศร้อนและเสียเลือดไปเมื่อคืนนั้นแหละ
“เอาล่ะ พอได้แล้ว ยังต้องสำรองเอาไว้เผื่อจำเป็นอีกนะ” รูฟัสว่า และฉวยกระติกน้ำคืนไปทั้งอย่างนั้น รัสเลอร์ยกมือขึ้นปาดน้ำออกจากปาก ก่อนจะเงยมองเพื่อนร่วมงานทั้งสองคน พลางนึกสงสัยว่าเจ้าสองคนนี่ยังยืนทำหน้าเฉยอยู่แบบนี้ได้อย่างไรกันนะ ทั้งๆ ที่ดูยังไงแล้ว ก็ไม่น่าจะมีใครได้หลับได้นอนเลยสักคน
เมื่อคำวาน ราฟาแอลตัดสินใจว่าจะต้องรออยู่บริเวณนี้เพื่อรอกำหนดทดสอบระบบ ซึ่งคงจะมีขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่งของวันรุ่งขึ้น รัสเลอร์เลยต้องเผชิญกับฝูงยุงป่าจำนวนมาก ในสภาวะร้อนชื้นที่เขาไม่ค่อยได้เจอบ่อยนัก ถึงชุดจะทอมาด้วยเส้นใยที่ผ่านการวิเคราะห์มาเป็นพิเศษ ให้ทนทาน ยากต่อการฉีกขาด แต่ก็มีรูกว้างพอที่จะให้เจ้าสัตว์ตัวเล็กๆ พวกนั้นสอดปากเข้ามาดูดเลือดได้ เห็นทีกลับหน่วยไปคราวนี้ เขาคงต้องของบมาวิจัยเนื้อผ้าที่สามารถป้องกันการกัดของยุงได้เสียแล้ว
“เอาล่ะ คุณรัสเลอร์ ตื่นนอนดีแล้วหรือยัง?” ราฟาแอลถาม และยกน้ำขึ้นมาจิบบ้าง รัสเลอร์มองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะถูกทุบเข้าที่ไหล่อย่างแรงทีหนึ่ง
“ฉันว่านายตื่นแล้วล่ะ” หนุ่มผมสีบล็อนด์พูดพลางแค่นยิ้ม ขณะที่รัสเลอร์หน้านิ่วกิ่ว แรงทุบทำเอาเขาตาสว่างจริงๆ แต่ก็พาลทำให้รู้สึกว่าสะบักไหล่จะจมหายลงไปในกล้ามเนื้อปอดด้วย
“อยู่นิ่งๆ เอาผ้าอุดจมูกไว้ แล้วอย่ากระดุกกระดิกจนกว่าพวกฉันจะให้สัญญาณนะ” ราฟาแอลขยับตัวเข้ามาใกล้ และสั่งด้วยน้ำเสียงไม่ดังไม่เบาเท่าไหร่ แต่ก็รู้ว่าเฉียบขาดอยู่ ก่อนจะล้วงกระติกบรั่นดีสีเงินออกมาจากซองคาดเอว
คราวนี้หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะโพล่งออกมา “ร้อนขนาดนี้พวกนายยังจะมีอารมณ์มาดื่มบรั่นดีกันอีกเรอะ?”
“ชู่ว!” ราฟาแอลส่งเสียง พลางเอามือปิดปากรัสเลอร์ทันที “ถ้ายังอยากอยู่ไปจนหัวหงอกล่ะก็ หัดหุบปาก ไม่ก็พูดให้มันเบาๆ หน่อย”
คนถูกอุดปากพยักหน้าหงึกๆ ก่อนที่มือของอีกฝ่ายจะเลื่อนออกไป
“พวกนายจะทำอะไรกัน?” รัสเลอร์กระซิบถาม ราฟาแอลหันไปมองรูฟัสซึ่งกำลังส่องกล้องดูอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันมาอธิบาย
“การทดสอบระบบกำลังจะเริ่มในอีกราวๆ สิบนาที เราจับสัญญาณวิทยุของพวกนั้นได้ตอนนายหลับ”
“ใช้ลิซ่า11 ที่ฉันให้ไปใช่ไหม?!” รัสเลอร์พูดออกมาอย่างยินดี ราฟาแอลพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะรีบพูดต่อ “เอาล่ะ ฉันอยากให้นายอยู่เงียบๆ ห้ามขยับไปไหน รักษาตำแหน่งเอาไว้ แล้วหาอะไรมาอุดจมูกซะ”
“ราฟี่” รูฟัสหันมาเรียกชื่อเขาเบาๆ ก่อนจะสงสัญญาณมือว่าเตรียมพร้อมเรียบร้อย จากนั้นก็ล้วงขวดบรั่นดีสีเงินเล็กๆ ออกมาจากซองข้างเอว
“พวกนายจะทำอะไรกัน?” รัสเลอร์ถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นทั้งคู่ก้มต่ำ เหมือนจะแยกกันออกไปคนละทาง รูฟัสชายตามองกลับมาแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบสั้นๆ
“ดวดเหล้า”
----------------------------------------------------------
   ชายวัยสามสิบเก้าย่างสี่สิบ ที่จากถิ่นฐานอันธุระกันดารมาทำงานในเมืองใหญ่ กำลังยกมือขึ้นปาดเหงื่อออกจากใบหน้า แสงแดดที่แผดลงมากลางศีรษะ ทำให้เขานึกถึงวันคืนที่เคยย่ำอยู่ในท้องนาสมัยเด็ก  ชีวิตในเมืองบางทีก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านนอก ตำแหน่งการทำงานอาจจะเรียกต่างออกไป แต่ลักษณะของมันแทบจะไม่ต่างกันเลย  ตอนนี้เขาต้องอยู่เวรกะเช้ากับเพื่อนอีกคนหนึ่ง เพื่อเฝ้าพื้นที่ว่างๆ ที่เหมือนจะไม่มีอะไรนี้  หัวหน้าของเขาบอกเพียงว่าให้อยู่ห่างจากลานตรงกลางเข้าไว้ เพราะการทดสอบกำลังจะเริ่มขึ้นอีกไม่กี่นาทีแล้ว
ดังนั้นเขาและเพื่อนจึงเดินมานั่งหลบร้อนใต้ต้นไม้เล็กๆ ใกล้ป่าละเมาะซึ่งมีต้นธูปขึ้นสูงท่วมหัว ซึ่งดูจะเป็นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำที่สุดในบริเวณนี้แล้ว ขณะที่กำลังนั่งรอคำสั่งต่อไปจากวิทยุสื่อสาร เขาก็รู้สึกเหมือนได้กลิ่นอะไรสักอย่าง ที่หอมเอียนๆ อย่างบอกไม่ถูก จากนั้นลานกว้างๆ ด้านหน้าก็เริ่มหมุนคว้าง แล้วสติสัมปชัญญะก็สิ้นสุดลง

   “อื้อหือ...แรงเกินคาดนะเนี่ย” รูฟัสพูดอู้อี้เพราะสวมหน้ากากกันแก๊สพิษขนาดเล็กอยู่ เขาเดินไปสมทบกับราฟาแอลซึ่งกำลังลากยามที่หมดสติสองคนเข้าไปซุกไว้ในพงหญ้า
   “ผมล่ะคิดว่าต้องใช้ซ้ำอีกรอบเสียอีก” รูฟัสพูดต่อหลังจากจัดการจัดท่าทางของยามเสียใหม่ ให้ดูเป็นท่าแอบงีบใต้ต้นไม้ ก่อนจะยกขวดบรั่นดีในมือเทลงใส่ยามทั้งสอง กลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้งไปทั่วบริเวณทันที
   ราฟาแอลยักไหล่ ก่อนจะเก็บขวดบรั่นดีของตัวเองเข้าที่เดิม ที่อยู่ในนั้นไม่ใช่เหล้า แต่เป็นยาสลบอย่างแรงที่จะระเหยทันทีที่สัมผัสกับอากาศ ดังนั้นการใช้มันจึงต้องอาศัยทิศทางลม และสภาพแวดล้อมเพื่ออำพรางร่องรอยอยู่พอสมควร
   “รัสเลอร์” ราฟาแอลส่งเสียงเรียกไม่ดังไม่เบาจนเกินไปนัก แต่ก็ยังไม่มีวี่แววเสียงตอบกลับหรืออะไรอย่างอื่นนอกจากความเงียบ และแสงแดดยามเที่ยงวันที่แผดเผาลงมาเลย
   “ไม่ใช่ว่าสลบไปแล้วหรอกนะ” รูฟัสตั้งข้อสังเกต เมื่อเห็นว่ารัสเลอร์ยังไม่ยอมโผล่ออกมา เขาพับเก็บหน้ากากป้องกันแก๊สใส่กระเป๋าตรงอกเสื้อ
   “หรือไม่ก็โง่ เอามืออุดปากตัวเองจนสลบ” ราฟาแอลตั้งข้อสังเกตได้ดุเดือดยิ่งกว่า เขาใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนใบหน้า ขณะที่พงหญ้ามีเสียงสวบสาม ตามมาด้วยเสียงโวยวาย
   “นี่พวกนายเห็นฉันโง่ขนาดนั้นเลยเรอะ” หนุ่มผมสีน้ำตาลว่า ขณะพยายามลุยโคลนแหวกพงต้นธูปเข้ามาหาเพื่อนร่วมงานทั้งสอง
   “ทำไมไม่บอกฉันก่อนว่ามียาสลบ ดีนะที่ฉันพกหน้ากากสุดยอดที่กันทุกอย่างได้   ไม่งั้นหลับไปแล้ว” รัสเลอร์พูดทั้งๆ ที่ยังหอบไม่หาย พลางทำไม้ทำมือประกอบ ราฟาแอลขมวดคิ้วอย่างรำคาญ รูฟัสจึงรีบพูดแทรก
   “ฉันคิดว่าอย่างนายแค่เอานิ้วอุดรูจมูกเอาไว้ให้แน่นก็น่าจะพอ แล้วนี่ทำไมนายออกมาช้า?”
   รัสเลอร์ยืดอกอย่างภูมิอกภูมิใจทันที เล่นเอารูฟัสรู้สึกคิดผิดที่ถามอะไรแบบนั้นออกไป
   “ฉันกำลังเซ็ตอัพสุดยอดเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับแฮกกิ้งระบบขนาดจิ๋ว ที่ฉันเพิ่งประดิษฐ์ขึ้นใหม่ มันสามารถเจาะระบบคอมพิวเตอร์แทบทุกอย่างบนโลกนี่ ฉันให้ชื่อมันว่า..”
   “โอเค  ฉันรู้แล้วว่ามันดี”   ราฟาแอลรีบตัดบท เขาไม่อยากฟังคำบรรยายสรรพคุณยาวยืดและชื่องี่เง่าที่รัสเลอร์ตั้งให้กับเครื่องมือประหลาดของตัวเอง
   รัสเลอร์ขมวดคิ้วทันที ขณะที่กำลังจะอ้าปากจะพูดชื่อเครื่องมือของเขาต่อ พื้นด้านล่างก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง ราฟาแอลหันหน้ามามองเพื่อนร่วมงานทั้งสองทันที
   “ได้เวลาแล้ว”
------------------------------------------------
   วรุตกำลังนั่งเผชิญหน้ากับฟ่งอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยมีลูกน้องคนหนึ่งของเมี่ยงคอยจับตาดูเขาอยู่ห่างๆ เขากำลังจ้องผู้ชายสวมแว่นตรงหน้าเขม็ง ด้วยนึกไม่ถึงว่าตัวเองจะต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้
   ที่สำคัญ คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้.....
   วรุตรู้สึกพลาดท่าจริงๆ ที่ชวนฟ่งออกมาข้างนอก เขาแค่อยากให้ฟ่งผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อยเท่านั้นเอง เมี่ยงให้ผู้ติดตามตามมาคุมห่างๆ ราวๆ สี่ถึงห้าคน โดยปล่อยให้พวกเขาเดินเลือกซื้อของอย่างสบายอารมณ์ ฟ่งเองก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้น แต่วรุตเพิ่งมารู้ว่า ที่ฟ่งแสดงต่อหน้าเขาทั้งหมดเป็นแผนอย่างหนึ่ง
   “ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ ผมอยากเข้าไป”
   วรุตถลึงตามองคนตรงหน้าราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ขากลับ เขาเห็นฟ่งหันหน้ามองร้านอาหารจนเหลียวหลัง เลยคิดขึ้นได้ว่าฟ่งอาจจะหิวข้าว จึงชวนกันทานอาหารที่ร้านนั้น และตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับปัญหาที่ยากเสียยิ่งกว่าการหลบคนของพ่อตัวเองเสียอีก
   “ทำไมคุณถึงได้อยากจะเข้าไปนัก?” วรุตถามเสียงเครียด แต่ก็เบาพอที่จะไม่ให้คนของเมี่ยงได้ยิน ฟ่งเลิกคิ้ว พลางใช้ส้อมเขี่ยเส้นสปาเก็ตตีในจาน
   “ก็ผมอยากเข้าไปนี่นา นายพูดเองไม่ใช่เหรอว่า ผมควรจะได้เห็นสักครั้งหนึ่ง”
   วรุตจ้องมองเขาอยู่อีกพักใหญ่ ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์แล้วพูดตอบ “ผมจะพาคุณเข้าไปดูแน่ๆ รับรองเลยครับ คุณรอให้จบงานนี้ก่อนก็พอ”
   “ผมจะมั่นใจได้ไงว่าเขาจะไม่ทำลายมันทิ้งก่อน” หนุ่มสวมแว่นเถียง วรุตขมวดคิ้วมองเขาอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้คุณไม่เคยทำท่าว่าอยากจะเข้าไปขนาดนี้นี่ คุณวางแผนอะไรอยู่กันแน่?”
   “ผมก็แค่อยากดูเท่านั้นแหละ” ฟ่งพูด พลางทำหน้าซื่อ แต่ชายหนุ่มรู้สึกไม่เชื่อถือเอาเสียเลย มันต้องมีเหตุผลอะไรมากกว่านี้สิ
   บางทีอาจเพราะ ผู้ชายตาสองสีคนนั้น....
   “ฟ่ง ผมว่าคุณน่ะอย่าพยายามจะเข้าไปที่นั่นตอนนี้เลยดีกว่านะ” วรุตพูดเสียงเข้ม “ถึงคุณเข้าไปก็ช่วยอะไรแฟนคุณไม่ได้หรอก จะเป็นตัวถ่วงเสียมากกว่า”
   ฟ่งทำจมูกย่น ก่อนจะพูดไปข้างๆ คูๆ “ผมแค่อยากเข้าไปดูเฉยๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาสักหน่อย”
   วรุตถอนหายใจด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ “เอางี้ดีกว่านะครับ เดี่ยวเราไปดูหนังกันดีกว่านะ คุณจะได้สบายใจ”
   “ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกัน” อีกฝ่ายเถียง วรุตพยายามตะล่อม “ไปดูหนังกันนะครับ เห็นว่ามีเรื่องสนุกๆ เข้าด้วย ไปกันเถอะ”
   เด็กหนุ่มพูดพลางทำท่าจะเรียกบริกรมาคิดเงิน แต่ถูกฟ่งห้ามไว้ “เดี๋ยวสิ ผมยังทานไม่หมดเลย”
   “โอเคครับ งั้นทานให้หมดนะครับ แล้วเดี๋ยวไปดูหนังกัน” วรุตพูด พลางจ้องหน้าฟ่งเขม็ง ฟ่งทำหน้าหงิกอีกครั้ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการสปาเก็ตตีในจานต่อ พอทานไปได้สักพัก เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วกดอะไรอยู่พักหนึ่ง จนคนนั่งตรงข้ามต้องเอ่ยถามขึ้นอีก
   “คุณจะโทรหาใครน่ะ? โทรศัพท์คุณไม่มีซิมไม่ใช่เหรอ?”
   “ผมซื้อใหม่แล้ว ตอนเช้าผมแวะไปร้านสะดวกซื้อน่ะ” ฟ่งพูด พลางยกโทรศัพท์ขึ้นแสดงเบอร์ที่กำลังจะโทรออกให้วรุตดู ชายหนุ่มเขม่นมองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเบิ่งตากว้าง
   “ฟ่ง!”
   “อืม” ฟ่งส่งเสียงในลำคอ พยักหน้า แล้วรั้งโทรศัพท์เข้ามาหาตัว “ผมว่าจะลองโทรฯหาเขาดูน่ะ เผื่อเขาจะพาผมเข้าไปได้”
   “คุณจะบ้าเหรอ” วรุตร้องออกมา “รู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?!”
   “ใครล่ะ?” ฟ่งย้อนถาม วรุตไม่ตอบ แต่พูดอย่างอื่นแทน “คุณส่งโทรศัพท์มาให้ผมดีกว่านะ”
   “ไม่ส่ง” อีกฝ่ายพูดสวนทันที วรุตพูดต่ออย่างทนไม่ไหว “คุณห้ามโทรหาเขาเด็ดขาด เขาไม่พาคุณเข้าไปหรอก เขาคงจะฆ่าคุณก่อนแน่นอน”
   “ไม่ลองไม่รู้นะ เขาเป็นคนสำคัญของที่นั่นเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?”
   “ไม่ๆ อารัตน์ฆ่าคุณแน่ๆ ” วรุตพูดอีกครั้ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าฟ่งจะบ้าดีเดือดขนาดนี้ ฟ่งมีเบอร์รัตน์ แถมยังเอาขึ้นมาขู่เขาอีก แต่ขืนโทรหารัตน์ มันก็เท่ากับเอาหัวตัวเองไปใส่ไว้ในตะแลงแกงน่ะสิ
   “ฟ่ง คุณอย่าคิดบ้าๆ เลยนะ ถ้าคุณโทรหาเขา ยังไง คุณก็ไปจากที่นี่ไม่ได้อยู่ดี คนของคุณเมี่ยงเต็มไปหมด คุณอยากให้เธอเดือดร้อนหรือไง?” ชายหนุ่มพยายามเกลี้ยกล่อม พอเห็นฟ่งมีสีหน้าครุ่นคิด เลยรีบพูดต่อ “เอาโทรศัพท์มาให้ผมนะ แล้วเราไปดูหนังกัน เชื่อผมเถอะนะ”
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองเขา วรุตเริ่มรู้สึกว่าเขากำลังเจรจาเกลี้ยกล่อมเพื่อช่วยตัวประกันอยู่ เสียแต่ว่าคนที่จับตัวประกัน กับคนที่เป็นตัวประกันดันเป็นคนคนเดียวกันน่ะสิ
   “ผมว่าผมจะลองโทรดู” ฟ่งพูดต่อ “ผมจะบอกเขาว่า ผมเขียนงานพลาดไปที่หนึ่ง ซึ่งเขาจำเป็นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน ไม่งั้นจะทำให้โครงสร้างมีปัญหา”
   “เขาไม่เชื่อคุณหรอก เชื่อผมสิ” วรุตพูด นึกอยากทุบฟ่งให้สลบแล้วหามออกไป จับมัดมือมัดเท้าเอาไว้จริงๆ “ฟ่ง คุณคิดดีๆ นะ ที่คุณกำลังทำอยู่นี่มันเสี่ยงแบบงี่เง่าที่สุดเลย ไม่มีใครเขาอยากให้คุณทำแบบนี้หรอก”
   ฟ่งหน้าย่นทันที ก่อนจะกดโทรศัพท์
   “ฟ่ง!” วรุตร้องเสียงหลง ก่อนจะลุกพรวดและเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ออกมา จนโถเครื่องปรุงบนโต๊ะเกือบจะหล่นลงมาแตก ฟ่งยกโทรศัพท์หนี ก่อนจะมองหน้าวรุตด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่สุด วรุตขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าควรจะโมโหหรืออะไรดี เขาพยายามข่มใจพูดต่อ
   “ฟ่ง... วางโทรศัพท์ก่อน คุณต้องการอะไร คุยกับผมดีๆ ก่อนก็ได้”
   ฟ่งมองหน้าวรุตพักหนึ่ง ชายหนุ่มเลยรีบพูดต่อ “เรามาคุยกันดีๆ คุณอยากให้ผมพาเข้าไปที่นั่นใช่ไหม?”
   อืม”
   “งั้นวางโทรศัพท์ก่อนนะ แล้วผมจะพาคุณเข้าไป”
   ฟ่งเบิ่งตามองเขา ก่อนจะกดปุ่มวางโทรศัพท์
   “เอาล่ะ ผมขอโทรศัพท์คุณก่อนนะ” วรุตพยายามจะพูดต่อ ฟ่งสั่นศีรษะทันที “บอกผมมาก่อนว่าคุณจะพาผมเข้าไปยังไง?”
   วรุตเม้มปากอย่างใช้ความคิด ก่อนจะตอบคำถามออกไป “ความจริง พ่อตั้งใจจะให้ผมเข้าร่วมประชุมอยู่แล้ว ในฐานะผู้สืบทอดกิจการน่ะ ผมจะบอกพ่อว่าคุณเป็นแขกพิเศษของผม เขาน่าจะยอมให้คุณเข้าไป”
   “แน่ใจนะว่าเขาจะยอมให้ผมเข้าไปน่ะ” ฟ่งถาม วรุตพยักหน้า เรื่องที่ทวีศักดิ์อยากให้เขาเข้าไปประชุมน่ะ จริงอยู่หรอก แต่เขาไม่คิดจะเข้าไป แล้วก็ไม่ต้องการจะพาฟ่งเข้าไปด้วย ถึงอย่างนั้น ในสถานการแบบนี้ เขามีแต่จะต้องตะล่อมฟ่งเอาไว้ก่อน ค่อยๆ เกลี้ยกล่อม พอกลับถึงห้องพักของเมี่ยงเมื่อไหร่ ค่อยจัดการยึดโทรศัพท์ มัดมือมัดเท้า ใส่กุญแจมือล่ามเอาไว้กับอะไรสักอย่าง ก็คงต้องทำแล้ว เขาคงจะปล่อยให้ฟ่งทำเรื่องเสี่ยงตายแบบนี้ไม่ได้ คนอื่นก็คงเหมือนกัน
   เหลือเชื่อเลยว่าแค่ผู้ชายคนเดียว จะทำให้คนอย่างฟ่งบ้าดีเดือดได้ขนาดนี้
   ไม่สิ บางทีเขาอาจจะบ้าอยู่แล้วก็ได้ ไม่งั้นจะกล้าชกรัตน์หรือไง
   แต่วรุตคิดว่า เขาจะปล่อยให้ฟ่งงัดเอาลูกบ้าออกมาใช้ในเวลาแบบนี้ไม่ได้
   “โอเคแล้วนะครับ คุณทานให้เสร็จ ถ้าไม่ทานแล้วเดี๋ยวจะได้เรียกคิดเงิน แล้วเดี๋ยวผมจะโทรให้คนของพ่อเอารถมารับ” วรุตหลอกล่อฟ่งต่อ พอเห็นทางนั้นพยักหน้า และยอมทานสปาเก็ตตีในจานต่อ ชายหนุ่มก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง เดี๋ยวเขาจะชวนฟ่งเดินสักพัก หาเรื่องตะล่อมให้ฟ่งกลับไปที่คอนโดของเมี่ยงก่อน ไม่ก็ยอมขึ้นรถ จะได้มีโอกาสจับตัวเอาไว้โดยไม่ประเจิดประเจ้อ จากนั้นค่อยจัดการมัดเอาไว้ แล้วค่อยว่ากันอีกทีตอนถึงห้องแล้วก็แล้วกัน
------------------------------------
   ฟ่งทานสปาเก็ตตีในจานจนหมด แล้วจึงเรียกคิดเงิน ตอนที่เดินออกมาจากร้าน วรุตคิดว่าจะติดต่อกับเมี่ยงเพื่อมาให้รับตัวฟ่งกลับไป ขณะที่กำลังคิดว่าจะโทรศัพท์อย่างไรให้ฟ่งไม่สงสัยดี ด้านหลังของเขาก็ถูกจี้ด้วยอะไรบางอย่าง
   “ฟ่ง!?” ชายหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่าย และหันหน้ากลับไป ฟ่งจ้องเขาเขม็ง ดวงตาเป็นประกายวาวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
   “วิน” หนุ่มสวมแว่นเรียกชื่อเขากลับ แล้วยกมือขึ้นดันแว่น “ในมือผมมีใบคัตเตอร์ นายรู้สึกใช่ไหม? อย่าคิดจะเล่นตุกติกกับผมล่ะ”
   วรุตสูดหายใจเฮือก รู้สึกจริงๆ ว่ามีปลายของของมีคมบางอย่างจิ้มหลังของเขาอยู่ “ฟ่ง... ที่คุณกำลังทำอยู่นี่ มันอาชญากรรมแล้วนะ!”
   ปลายแหลมของมีดกดเข้ามาอีก คราวนี้วรุตคิดว่ามันเริ่มแทงเข้ามาในผิวหนังของเขาแล้ว
   “ผมเองก็ไม่อยากก่ออาชญากรรมหรอกนะ” ฟ่งตอบ “ถ้านายจะให้ความร่วมมือดีๆ บอกเบอร์โทรศัพท์แฟนหน้าสวยของนายมาซิ”
   “คุณจะเอาไปทำไมน่ะ” วรุตพยายามถามต่อเพื่อถ่วงเวลา เขาเคยหัวเราะฟ่ง ตอนที่เจ้าตัวถือมีดแล้วทำทำท่าจะขู่จับเขาเป็นตัวประกัน แต่คราวนี้เขาชักจะหัวเราะไม่ออกแล้ว เพราะพอถึงเวลาจริงๆ ฟ่งก็บ้าดีเดือดได้อย่างน่ากลัวเหลือเชื่อ ที่แย่ก็คือ แทนที่ฟ่งจะทำเพื่อเอาชีวิตรอด ดันทำเพื่อให้ตัวเองเสี่ยงอันตรายแทนนี่สิ
   “ผมจะให้เขามารับเราที่หัวมุมถนนฝั่งโน้น”
   “หา?!” วรุตร้องเสียงแปลก ก่อนจะรู้สึกว่ามีดถูกกดลงมาอีกครั้ง
   “ถ้านายไม่อยากเจ็บตัวฟรี นายควรจะทำตามที่ผมบอก รับรองว่าไม่มีอันตรายอะไรกับนายแน่นอน”
   วรุตอยากเถียงออกไปจริงๆ ว่าฟ่งนั่นแหละที่จะเป็นอันตราย แต่ก็จนใจที่โดนจี้อยู่ คงจะพูดอะไรไม่ได้มาก เขาควรจะใจเย็นๆ พยายามเกลี้ยกล่อมฟ่งจะดีกว่า
   “ฟ่ง ผมว่าเราคุยกันดีๆ ก็ได้ ไม่ถึงกับต้องทำแบบนี้หรอก!!”
   ปลายมีดที่กดลึกเข้ามาอีก ทำให้วรุตต้องหยุดพูด เขาชักนึกเสียใจว่าตัวเองพยายามช่วยผู้ชายบ้าๆ คนนี้ทำไมกันนะ ฟ่งพูดต่อ “บอกเบอร์โทรมาให้ผม ช้าๆ นะ”
   วรุตบอกเบอร์โทรศัพท์ออกไป
   “เบอร์นี้ยังไม่เปิดให้บริการนี่ บอกผมตรงๆ ดีกว่า อย่าคิดเล่นลูกไม้นะ”
   วรุตรู้สึกว่าฟ่งคงเป็นโจรที่เก่งที่สุดในโลก ที่ใช้แค่คัตเตอร์ก็จี้คนได้ ไม่สิ เขาอาจจะอ่อนแอเองก็ได้ ท้ายที่สุด วรุตก็ยอมจะบอกเบอร์โทรศัพท์ของอิทธิเดช และภาวนาให้อีกฝ่ายไม่กดรับ
   ฟ่งกดโทรออก สักพักก็ได้ยินเสียงรับสาย “สวัสดีครับ”
   “สวัสดีครับ ผม อภิวัฒน์นะ อยากได้ตัววรุตรึเปล่าครับ โอเคครับ งั้นเจอกันตรง....”
   วรุตคิดว่านี่บ้าไปแล้ว ฟ่งเสนอตัวเขาและกับการเอาคอตัวเองเข้าไปในปากจระเข้งั้นเหรอ?!
   “ฟ่ง ผมว่าคุณคิดให้ดีๆ ก่อนจะทำแบบนี้ดีกว่านะ นี่ไม่ได้ส่งผลดีกับใครเลยนะ” วรุตพยายามพูดเกลี้ยกล่อม ซึ่งดูจะไม่ส่งผลอะไรมากนัก
   “ผมคิดของผมดีแล้วน่า” ฟ่งว่า และพูดต่อ “เอาล่ะ ค่อยๆ เดินออกไปนะ เราจะเดินไปด้วยกัน ที่ถนนใหญ่”
   “ฟ่ง นึกถึงคุณเมี่ยงบ้างเถอะ ทำแบบนี้เธอจะเดือดร้อนเอานะ” วรุตพยายามพูดอีก ฟ่งไม่ตอบอะไร ยังคงเอาปลายมีดคัตเตอร์จี้เขาอยู่ เด็กหนุ่มจึงจำต้องเดินออกไปตามคำสั่ง พลางนึกหาวิธีที่จะจัดการกับปัญหาไม่คาดฝันตรงหน้า
   ให้ตายสิ ทำไมเรื่องมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ!
-------------------------------------------------------
   อิทธิเดชกำลังนั่งทานอาหารเช้าอยู่ตรงร้านอาหารใต้คอนโดในตอนที่ได้รับโทรศัพท์ มันเป็นหมายเลขที่เขาไม่รู้จัก อิทธิเดชจึงลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะกดรับ และถึงกับถือช้อนค้างเมื่อได้ยินข้อความที่อีกฝ่ายพูดลอดหูโทรศัพท์ออกมา
   หลังจากวางสายแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบจ่ายค่าอาหาร และกลับขึ้นไปบนห้องทันที
   วรุต....
   อิทธิเดชนึก ขณะเหน็บปืนพกเข้ากับสายคาดอกเสื้อ เขาสวมเสื้อแจ๊กเก็ตทับอีกตัว ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
   อภิวัฒน์.....
----------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   เมี่ยงแทบจะเป็นลม หลังจากได้รับโทรศัพท์จากลูกน้องคนหนึ่ง ที่หล่อนใช้ให้ตามฟ่งกับวรุตไป
   สองคนนั่นหนีขึ้นรถเก๋งสีน้ำเงินของใครสักคนออกจากห้างไปแล้ว
   เพราะฟ่งเป็นคนพาเดินออกไปเอง คนที่ติดตามไปเลยคาดไม่ถึงว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้ เมี่ยงจัดการให้คนที่เหลือขับรถตามรถคันนั้นไป
   ขณะที่เพิ่งวางหูโทรศัพท์และยังตกใจไม่หาย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก
   “คุณเมี่ยงครับ”
   เมี่ยงอ้าปากค้าง ก่อนจะโพล่งออกไปทันที “คุณอภิวัฒน์!”
   “ครับ ผมขอโทษจริงๆ นะครับ ที่ทำให้วุ่นวายแบบนี้”
   เมี่ยงรู้สึกเหมือนจะเป็นลมขึ้นมาจริงๆ หล่อนรีบพูดใส่โทรศัพท์ “คุณอภิวัฒน์คะ ดิฉันให้คนขับรถตามไปแล้ว มีใครบังคับคุณอยู่รึเปล่าคะ?”
   “เปล่าครับ นี่เป็นความตั้งใจของผมเอง ให้คนเลิกตามเถอะครับ” ฟ่งตอบสายกลับมา เมี่ยงพยายามบอกตัวเองให้ตั้งสติเอาไว้ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?!
   “คุณเมี่ยงครับ ให้คนกลับไปเถอะครับ ผมไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ผมกำลังนั่งอยู่ในรถคนของคุณทวีศักดิ์ ผมจำเป็นจะต้องเข้าไปในห้องประชุมลับนั่น”
   “คุณอภิวัฒน์!!” หญิงสาวร้องเสียงหลง “คิดอะไรของคุณน่ะ รู้รึเปล่าว่าที่นั่นอันตราย ลงมาจากรถเถอะนะคะ คุณทำแบบนี้แล้วดิฉันจะไปแก้ตัวกับคุณรูฟัสว่ายังไงล่ะค่ะ”
   “รับรองว่าพวกเขาไม่ว่าอะไรคุณแน่นอนครับ ผมรับประกัน” ฟ่งตอบมา เมี่ยงขมวดคิ้ว ก่อนจะโพล่งออกไปอีกครั้ง “คุณอภิวัฒน์ อย่าบอกนะคะ ว่าคุณจะเข้าไปหาเขาน่ะ?!”
   “คุณเมี่ยงครับ ผมขอโทษจริงๆ แต่ช่วยเรียกคนกลับไปเถอะนะครับ รับรองว่าผมจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน”
   “คุณอภิวัฒน์!!” เมี่ยงเรียกชื่อคนปลายสายอีกครั้ง ในตอนที่สายถูกตัดไป หล่อนพยายามโทรซ้ำอีกหลายครั้ง แต่ก็ถูกตัดสาย ในที่สุดทางนั้นก็ปิดเครื่องหนี
   หญิงสาวบีบมือแน่น ขบริมฝีปากอย่างใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ หลังจากผุดลุกเดินไปเดินมาอยู่หลายรอบ ในที่สุดหล่อนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
   ไม่อยากเชื่อเลยว่า ความรักจะทำให้คนเป็นบ้าได้ขนาดนี้
---------------------------------------------------------
   วรุตรู้สึกใจหายวาบ ขณะที่เห็นว่ารถที่ขับตามมา หักเลี้ยวหลบออกไปจากเส้นทาง เขาหันไปมองฟ่งซึ่งยังคงใช้มีดจี้เขาอยู่ พลางนึกสงสัยว่านี่ใช่คนคนเดียวกับพี่เปิดประตูให้เขาเข้าไปในห้องคนนั้นจริงๆ หรือ?
   
   อิทธิเดชกำพวงมาลัยรถแน่น จนถึงตอนนี้เขายังคงงุนงงสงสัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ สถาปนิกที่สมควรจะถูกฆ่าไปแล้วคนนั้น พาตัวเด็กเจ้าปัญหานี่มาให้เขา บางทีหนุ่มสวมแว่นคนนี้อาจจะมีแผนการบางอย่างซ่อนอยู่

   ฟ่งพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ ทั้งๆ ที่หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกจากปาก ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าตัวเขาจะทำอะไรแบบนี้ลงไปได้
   แต่ในเมื่อลงมือทำไปแล้ว ก็คงต้องกลั้นใจทำให้สุดๆ นั่นแหละ
-------------------------------------------------------------
   “เอาล่ะ บอกให้เขาขับรถไปที่ห้องประชุมนั่น” ฟ่งพูดใส่ข้างหูของวรุต คราวนี้ชายหนุ่มสั่นศีรษะ “ไม่ได้”
   “ผมบอกว่าให้ไป” ฟ่งพูดอีก คราวนี้วรุตหันกลับมามองหน้าเขา ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อย่างไม่กลัวปลายมีดที่จี้อยู่
   “เรายังไปที่นั่นไม่ได้” วรุตเค้นเสียงรอดไรฟัน “ถ้าผมพาคุณไปตอนนี้ คุณตายแน่ ที่นั่นมีแต่ลูกน้องพ่อผม ถ้าไม่เตรียมการแก้ตัวให้ดีก่อน อย่าหวังว่าคุณจะได้รอดเข้าไปเลย”
   ฟ่งจ้องหน้าวรุตอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมา “แล้วนายจะเอายังไง”
   “ไปที่คอนโดของเขาก่อน” วรุตพูดพลางพยักเพยิดไปทางอิทธิเดช “ผมจำเป็นต้องปั้นเรื่อง เราต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิด และนั่นต้องเป็นเขา”
   ทั้งคู่จ้องตากันอยู่อีกพักใหญ่ ท้ายที่สุดยังคงเป็นวรุตที่พูดต่อ “ฟ่ง คุณไม่ต้องเอามีดจี้ผมหรอก ผมบอกคุณเลยนะ ตอนนี้คุณพาตัวเองมาอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้ข้อต่อรองอย่างที่สุดแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผม คุณเข้าใจรึเปล่า?”
   ชายหนุ่มสวมแว่นถลึงตามองคนตรงหน้า และได้ยินเสียงฝ่ายนั้นพูดอีก “ฟังผมนะ ตอนนี้ชีวิตคุณอยู่ในกำมือผม แล้วก็กำมือพ่อผม คุณรู้ตัวเองไหม? ถ้าผมตาย คุณก็จบเสียยิ่งกว่าจบ คุณเชื่อใจผมรึเปล่า? ถ้าไม่เชื่อ คุณบอกขอโทษผมตอนนี้ เราจะกระโดดลงจากรถ แล้วไปหาคุณเมี่ยงกัน แต่ถ้าคุณเชื่อใจผม ก็เลิกเอามีดจี้ผมได้แล้ว”
   ฟ่งนิ่งไปพักใหญ่ ในที่สุดก็ยอมเอามีดออก วรุตถึงกับเบิ่งตาค้าง เขาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้นี่เองว่า ฟ่งใช้ใบมีดคัตเตอร์ที่หักแล้วจี้เขา มิน่าเล่า ถึงได้มองไม่เห็นว่าหยิบออกมาตอนไหน ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้กับเรื่องนี้ดี
   “ผมไม่กะเอานายถึงตายหรอก” ฟ่งพูดสั้นๆ ก่อนจะเอาแขนเสื้อเช็ดรอยเลือดจากแผลที่โดนปลายมีดสะกิด หนุ่มสวมแว่นเงียบไปพักหนึ่ง แล้วเงยขึ้นมองหน้าเขา
   “ชีวิตผมอยู่ในกำมือนายแล้ว”
   วรุตถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตัวเองบ้าได้ที่แล้ว แต่เพิ่งรู้อีกเหมือนกันว่า คนตรงหน้าเขาบ้าได้ที่กว่า ชายหนุ่มกัดฟันกรอดๆ ก่อนจะพูดออกไป
   “ขับรถกลับไปที่คอนโดของคุณซะ เดช”
   อิทธิเดชยังคงกำพวงมาลัยรถแน่น แต่ดูจากสีหน้าของวรุตแล้ว ตอนนี้เขาคงไม่ได้ขับรถไปในเส้นทางที่ชายหนุ่มต้องการแน่นอน ได้ยินเสียงวรุตพูดดังขึ้น “ผมบอกให้กลับไปที่คอนโดของคุณ”
   พอเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบสนอง ชายหนุ่มก็กระโจนเข้าไปยังที่นั่งคนขับ คว้าพวงมาลัยเอาไว้ ท่ามกลางความตกใจของอีกคนที่ยังนั่งอยู่
   “จะทำอะไรของเธอน่ะ!!” อิทธิเดชตวาด ขณะดึงพวงมาลัยรถกลับ ก่อนจะที่จะแฉลบไปชนกับรถที่วิ่งสวนมา วรุตแค่นหัวเราะ ก่อนจะพาตัวเองไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ
   “คุณก็รู้ ผมจะทำอะไร ถ้าไม่อยากตายหมู่ ก็ขับรถกลับไปที่คอนโดคุณซะ”
   อิทธิเดชเงียบไปพักหนึ่ง แล้วหักพวงมาลัยเลี้ยวไปอีกทาง ฟ่งยกมือขึ้นลูบศีรษะที่กระแทกกับกระจกรถจากการหักเลี้ยวเมื่อครู่ ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนที่บ้าระห่ำที่สุดในโลก แต่พอเจอพฤติการณ์ฉวยพวงมาลัยของวรุตเมื่อครู่นี้แล้ว ฟ่งจำต้องคิดใหม่
   บางทีเขาอาจจะเจอคนประเภทเดียวกันแล้วก็เป็นได้
------------------------------------------------------
   อิทธิเดชเดินนำทั้งสองคนลงจากรถ ตรงไปยังห้องพักของตนโดยไม่พูดอะไรอีกตลอดทาง วรุตเดินคู่มากับฟ่ง และจับมืออีกฝ่ายแน่น ก่อนจะกระซิบเสียงเบา “จำไว้นะ อย่าอยู่ห่างผมเด็ดขาด จะไม่มีใครกล้าทำอะไรคุณ ถ้าผมอยู่ใกล้ๆ ”
   ฟ่งพยักหน้า ถึงไม่บอกเขาก็รู้ว่าควรจะเกาะวรุตไว้ให้แน่น เจ้าหมอนี่เป็นหลักประกันความปลอดภัยเดียวของเขาในตอนนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เขาคงต้องจับตัวประกันอย่างที่เคยขู่เอาไว้จริงๆ
   ประตูห้องถูกเปิดออก ชายหนุ่มหน้าสวยเดินเข้าไปก่อน จากนั้นก็ตามด้วยวรุต และฟ่ง ทันทีที่ปิดประตู เสียงกริ๊กก็ดังขึ้น
   “ออกห่างมาจากเขาซะ” อิทธิเดชพูดขึ้นเป็นครั้งแรก พร้อมด้วยColt .45 สีเงินในมือ ที่หันปากกระบอกตรงไปยังชายหนุ่มสวมแว่นที่ยืนอยู่ด้านหลัง ฟ่งเบิ่งตาค้าง ขณะที่วรุตขมวดคิ้ว
   “พ่อไม่ได้บอกคุณหรือไง ว่าห้ามเล่นปืนต่อหน้าผมน่ะ”
   “วิน” อิทธิเดชเรียกเสียงเรียบ “ถอยออกมาจากเขาซะ ผู้ชายคนนี้จำเป็นต้องถูกเก็บ”
   ฟ่งยึดมือวรุตไว้แน่น แทบจะเกี่ยวแขนเอาไว้ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมให้หมอนี่ออกห่างอย่างเด็ดขาด วรุตยังคงเขม่นมองฝ่ายตรงข้าม
   “คุณจะฆ่าคนในห้องพักของตัวเองกลางเมืองแบบนี้เนี่ยนะ?” ชายหนุ่มพูด ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา “ไม่เอาน่า เก็บปืนเถอะ คุณก็รู้ ทำแบบนั้นมันอล่างฉ่างเกินไป”
   อิทธิเดชยังคงยกปืนค้างอยู่ ในที่สุดก็พูดออกมา “อย่างน้อย เขาก็ไม่ควรจะมีอิสระ เราต้องจับเขามัดไว้ แล้วค่อยจัดการอีกที”
   ฟ่งรู้สึกสะท้านสันหลังวาบ นี่เขาคิดผิดมากไปรึเปล่านะ ได้ยินเสียววรุตตอบออกไป “คุณไม่จำเป็นต้องจับเขามัดหรอก เขามีผมอยู่ รับรองว่าไม่ไปไหนแน่ คุณนั่นแหละ เก็บปืนลงได้แล้ว”
   ดวงตาสีดำหวานเยิ้มของอิทธิเดชเต้นระริกอยู่ชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะยอมลดปืนลง
   “นี่มันเรื่องอะไรกัน?” หนุ่มหน้าสวยเอ่ยถามหลังจากเก็บปืนแล้ว เขายังคงจับตามองฟ่งด้วยสายตาไม่ไว้วางใจอย่างที่สุด
   “ไม่มีอะไร” วรุตตอบเสียงเรียบ และยุดมือฟ่งให้นั่งลงบนเตียงข้างๆ เขา “ผมแค่พาเขามาในฐานะแขกคนสำคัญ คุณเองก็กำลังเดือดร้อนเรื่องที่ผมหายไปอยู่ไม่ใช่หรือ?”
   อิทธิเดชมองไปยังวรุตด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา
   “ไปอาบน้ำอาบท่าซะ เดี๋ยวฉันจะโทรบอกคุณทวีศักดิ์ ให้จัดรถมารับเธอไปงานประชุม”
   “ไม่ต้อง ผมโทรเอง” วรุตพูด พลางยื่นมือออกไป “ส่งโทรศัพท์คุณมาให้ผม”
   หนุ่มหน้าสวยชะงักอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะส่งโทรศัพท์ให้ ได้ยินเสียงวรุตพูดกรอกหูโทรศัพท์
   “ครับ พ่อ ผมเอง พอดีผมทำโทรศัพท์หายน่ะ ครับ ผมอยู่กับพี่เดชแล้ว เดี๋ยวผมจะเข้าไปพรุ่งนี้แล้วกัน มีแขกไปเซอร์ไพรส์พ่อด้วยล่ะ ไม่บอกหรอก เอาว่าพ่อต้องแปลกใจแน่ๆ ครับ แล้วไว้เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
   เขาส่งโทรศัพท์คืนให้อิทธิเดช ก่อนจะหันไปหาฟ่ง “ฟ่ง คุณไปอาบน้ำก่อน”
   “?”
   “ผมมีธุระต้องคุยกับเขา คุณไปอาบน้ำก่อน” วรุตพูดซ้ำและปรายตาไปทางอิทธิเดช ฟ่งอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็ยอมเดินออกไปง่ายๆ วรุตถอนหายใจออกมา หลังจากได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำและล็อกดังแกร่ก
   “เราต้องคุยกันนิดหน่อยแล้วล่ะ คนสวย” ชายหนุ่มพูด อิทธิเดชยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะพูดตอบ “ว่ามา”
   “ก่อนอื่นเลย เก็บปืนของคุณไปไกลๆ เขาเป็นแขกคนสำคัญของผม ต่อจากนี้ห้ามเอาปืนเล็ง หรือทำอะไรที่จะคุกคามชีวิตของเขาอย่างเด็ดขาด”
   “เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันเรื่องนี้” อิทธิเดชตอบเสียงเรียบ วรุตแค่นยิ้ม “ทำไมผมถึงสั่งไม่ได้ รู้ไว้ซะ อีกหน่อยผมก็จะกลายเป็นเจ้านายของคุณแล้ว คุณเลิกเอาใจพ่อซะทีเถอะ ทำให้ตายเขาก็ไม่เห็นความสำคัญของคุณหรอก”
   เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ วรุตก็พูดขึ้นอีก “รับปากผมสิ ว่าคุณจะไม่ทำอะไรแบบนั้นกับเขาอีก พ่อยกเลิกคำสั่งเก็บเขาแล้ว ทำไมคุณถึงยังจ้องจะฆ่าเขานัก”
   “เขาเป็นตัวอันตราย” อิทธิเดชตอบ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อก็โดนพูดแทรก
   “อันตราย? อันตรายตรงไหน? ตรงที่รู้ความลับทุกอย่างของห้องประชุมงั้นเหรอ แล้วไงล่ะ? เขารู้ เขาอยู่กับผม แล้วมันจะอันตรายตรงไหน คุณคิดว่าผมอันตรายหรือไง?”
   อิทธิเดชตอบไม่ออก วรุตเลยได้ทีย้ำอีก “งั้นเลิกความตั้งใจที่จะฆ่าเขาซะ เลิกหลับหูหลับตาทำตามคำสั่งงี่เง่าของพ่อได้แล้ว”
   “วรุต” อิทธิเดชเรียกชื่อเขา พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด “เราจะคุยเรื่องนี้กันตอนหลัง เธอควรไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
--------------------------------------------------------
   ฟ่งอาบน้ำเสร็จและสวมเสื้อตัวเดิมออกมา เขาเห็นวรุตกับอิทธิเดชยังคงนั่งจ้องหน้ากันอยู่ ความจริงแล้วนี่ก็ไม่ใช่เวลาที่ควรจะอาบน้ำมากนัก แต่ฟ่งนึกไม่ออกว่าเขาควรจะทำอะไรต่อ ในเมื่อเรื่องมันเดินมาถึงจุดนี้แล้ว เขาก็มีแต่จะต้องเชื่อใจเด็กหนุ่มที่ชื่อวรุตเท่านั้น
   ในเมื่อเป้าหมายของเขาคือการเข้าไปในห้องลับนั่น การทำแบบนี้จึงเป็นแค่ตัวเลือกเดียวเท่านั้น ไม่ว่ามันจะปลอดภัยหรือไม่ก็ตาม
   วรุตหันหน้าไปมองฟ่ง แล้วหันกลับมามองอิทธิเดชอีกครั้ง “คุณช่วยออกไปก่อน ผมมีเรื่องจะคุยกับเขา”
   อิทธิเดชขมวดคิ้วมองอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก วรุตเลยพูดขึ้นอีก “ออกไปสิ เขาไม่ฆ่าผมหรอกน่า”
   ในที่สุดชายหนุ่มหน้าสวยก็ยอมเดินออกไป

   “อืม... ตกลงว่าไง” ฟ่งเอ่ยถามออกมาหลังจากลากเก้าอี้เข้ามานั่งเรียบร้อยแล้ว วรุตมองหน้าเขา แล้วพูดตอบ “ผมจะพาคุณไปในฐานะแขกของผม แต่ผมยังไม่ได้บอกคุณพ่อว่าเป็นคุณหรอกนะ พรุ่งนี้เขาจะให้คนมารับผม”
   หยุดไปสักพักหนึ่ง วรุตจึงพูดขึ้นต่อ “พอถึงที่นั่นแล้ว ผมจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าคุณปลอดภัย แต่ผมบอกคุณตรงๆ เลยนะว่า ผมไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะช่วยคุณได้สักกี่น้ำ ทางที่ดีที่สุดคือ คุณไม่ควรจะแยกตัวออกไปจากผม ผมแน่ใจว่าคงมีใครอยากเก็บคุณอยู่เหมือนกัน แม้ว่าพ่อจะเลิกคำสั่งฆ่าคุณไปแล้วก็เถอะ”
   ฟ่งพยักหน้า แต่ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “ทำไมล่ะ ในเมื่อผมไปกับนายแล้ว ทำไมถึงยังต้องเก็บผมอีก”
   “บางคนก็เป็นพวกบ้าเอาใจน่ะ” วรุตพูดเปรย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างจริงจัง “อยู่ให้ห่างจากพี่เดชไว้ ผมว่าเขาอยากฆ่าคุณนะ เขาคงอยากเอาใจพ่อผม”
   ฟ่งพยักหน้าอีกครั้ง “อืม ผมจะจำไว้”
---------------------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   อิทธิเดชยืนพิงกำแพงอยู่หน้าห้องพักของตนเอง เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หลังจากที่พยายามเงี่ยหูฟังเสียงของคนที่อยู่ในห้อง เขาก็ยังไม่สามารถจับใจความได้ว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน แต่ที่แน่ๆ คงไม่ได้ทำอะไรกันบนเตียงของเขาหรอก
   ชายหนุ่มหน้าสวยขบริมฝีปากล่างของตัวเองด้วยความรู้สึกสับสน เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนี้ดูแปลกและไม่สมเหตุสมผลอยู่หลายอย่าง วรุตที่จู่ๆ ก็หลบหน้าเขาไป แล้วโผล่อยู่ที่คอนโดซึ่งสถาปนิกที่ชื่ออภิวัฒน์เช่าอยู่ จากนั้นก็ไล่เขากลับออกมา แล้ววันนี้ สถาปนิกคนนั้นก็เป็นคนโทรศัพท์มาบอกเขาว่าจะพาตัววรุตมาให้
   แล้วก็พามาได้จริงๆ
   อิทธิเดชรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรแอบแฝง ตอนแรกวรุตมีท่าทีเหมือนว่าจะถูกอภิวัฒน์ขู่ แต่พอหลังจากนั้นก็เหมือนกันว่าวางแผนกันไว้ก่อนแล้ว เขาไม่เข้าใจสิ่งที่สองคนนี้ตั้งใจจะทำเลยจริงๆ แต่ที่แน่ๆ สถาปนิกที่ชื่อภิวัฒน์คนนั้นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ยังไงก็ต้องเก็บให้ไวที่สุด
   เพื่อความวางใจของทุกฝ่าย....
   ใช่ล่ะ.... เพื่อความวางใจ............
------------------------------------------------------------
   “คุณอภิวัฒน์” อิทธิเดชพูดขึ้น ในตอนที่ทั้งสามคนกำลังนั่งทานอาหารมื้อเย็นกันอยู่บนห้อง เพราะวรุตให้เหตุผลว่าไม่อยากจะเดินลงไปเบียดคนด้านล่าง จะขับรถออกไปทานข้าวข้างนอกก็กลัวจะเสียเวลาพักผ่อน สุดท้ายทั้งสามคนจึงลงเอยโดยการสั่งอาหารมาทานบนห้องแทน
   ฟ่งเงยหน้าขึ้นมองคนถาม อิทธิเดชเป็นผู้ชายที่หน้าสวยเหมือนผู้หญิงจริงๆ ถ้าไม่พูดออกมาเขาคงคิดว่าเป็นผู้หญิงแน่ๆ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถามต่อ
   “คุณรู้จักกับคุณวรุตได้ไงน่ะ?”
   คราวนี้เป็นวรุตที่เงยหน้าขึ้นบ้าง “เราเจอกันโดยบังเอิญน่ะ” เขาตอบแทนทันที อิทธิเดชกะพริบตาครั้งหนึ่ง แล้วพูดต่อด้วยสีหน้าราบเรียบ
   “คุณมาที่นี่ทำไม?”
   “เขาเป็นแขกของผม” วรุตตอบแทนอีก อิทธิเดชปรายตามองเขาแวบหนึ่ง ขณะที่ฟ่งได้แต่กะพริบตาปริบๆ
   “อ้อ...” อิทธิเดชส่งเสียงในลำคอ “คู่ขาใหม่งั้นสิ”
   คราวนี้ฟ่งแทบจะสำลักข้าว เขารีบพูดออกมาทันที “ไม่ใช่นะ!”
   อิทธิเดชปรายตามองวรุตอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่เด็กหนุ่มจะพูดขัดขึ้น “คุณไม่ควรพูดแบบนี้กับเขา!”
   “ทำไมล่ะ?” หนุ่มหน้าสวยถามขึ้นต่อ “ฉันก็แค่เลียนแบบคำพูดเธอเท่านั้นเอง”
   “ผมไม่เคยพูดอะไรแบบนั้น” วรุตพูด และจ้องหน้าอิทธิเดชเขม็ง “คุณวางแผนอะไรอยู่กันแน่”
   “เปล่า” คนถูกถามตอบเสียงเรียบ วรุตยังคงจ้องเขาไม่วางตา ผู้ชายคนนี้จะต้องคิดอะไรอยู่แน่ๆ เพราะปกติแล้วอิทธิเดชไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรแบบนี้ออกมาในวงอาหาร
   “แล้วเป็นไงบ้างล่ะ ทำกับเขาแล้ว รู้สึกดีรึเปล่า? เขามีถ่ายรูปไว้แบล็กเมล์เธอบ้างไหม? เหมือนที่เขาทำกับฉันน่ะ” อิทธิเดชหันมาทางฟ่งและพูดต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้อารมณ์จนน่ากลัว ฟ่งได้แต่กะพริบตาปริบๆ และกลืนน้ำลายเฮือก
   “เขาไม่เคยทำอะไรแบบนั้นกับผมหรอก” ฟ่งตอบออกไป สีหน้าของอิทธิเดชยังคงนิ่งสนิท มีเพียงแพขนตางอนยาวเท่านั้นที่หลุบต่ำลง
   “งั้นหรือ....” ชายหนุ่มทอดเสียงต่ำ ก่อนจะพูดต่อ “งั้นเธอควรจะระวังเขาเอาไว้บ้าง เขาไม่ใช่คนน่าไว้ใจอะไรนักหรอก”
   “พูดพอรึยัง?!” เสียงวรุตดังขัดขึ้น พร้อมกับมือที่ยื่นมาคว้ามือของอีกฝ่ายไว้ อิทธิเดชขมวดคิ้วมุ่น ขณะที่ทางนั้นยื่นหน้าเข้ามา “คุณคิดจะทำอะไร ยุให้เขาระแวงผมเพื่อจะหลอกไปฆ่าหรือไง? เลิกฝันงี่เง่าที่จะเอาใจพ่อผมได้แล้ว ทำให้ตายเขาก็ไม่เหลียวแลคุณหรอก”
   “หุบปากเถอะ!” อิทธิเดชโพล่งออกมา และพยายามจะดึงแขนออก วรุตเค้นเสียงรอดไรฟัน “ถ้าอยากเอาใจเขานัก ทำไมไม่ทำให้ผมมีความสุขล่ะ บางทีเขาอาจจะพอใจคุณขึ้นมาบ้างก็ได้”
   “หึ!” อิทธิเดชแค่นเสียง พยายามใช้มืออีกข้างดึงมือของวรุตออก เด็กหนุ่มจึงคว้ามือข้างนั้นของเขาไว้ ก่อนจะกระชากขึ้นมาจากเก้าอี้
   “โอ๊ย!” อิทธิเดชร้องออกมา ขณะที่ฟ่งถอยกรูดออกจากโต๊ะทานข้าวในทันที เขาไม่อยากเชื่อเลยว่า เด็กหนุ่มที่ชื่อวรุตจะทำอะไรแบบนี้ได้ กับผู้ชายหน้าสวยคนนี้.....
   “หยุดบ้าทีเถอะ” วรุตตะคอก ขณะที่ทั้งคู่ยื้อยุดกันไปมา จนชนเก้าอี้ล้มระเนระนาด รวมถึงจานอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะบางส่วนก็หล่นลงไปด้วย
   “คุณมันก็แค่ของที่เขาบังเอิญเจอข้างทาง ของที่ใช้แล้วทิ้ง เขาไม่มีวันกลับมาเหลียวแลคุณหรอก ลืมตาขึ้นมาดูความจริงได้แล้ว”
   อิทธิเดชขบฟันจนสันกรามนูนขึ้นมา ขอบตาเริ่มเป็นสีแดงระเรื่อ “ใช่ ฉันมันของใช้แล้วทิ้ง แต่ฉันจะไม่ยอมเป็นของเล่นของเธอต่อไปอีกแล้ว!” หนุ่มหน้าสวยกระชากเสียง ก่อนจะผลักอีกฝ่ายออกสุดแรง วรุตเซถลาไปชนเข้ากับตู้เสื้อผ้าเสียงดังโครม ขณะที่อิทธิเดชวิ่งพรวดพราดออกไปจากห้อง โดยมีฟ่งยืนอึ้ง ทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงกลาง
-----------------------------------------------
   “ปะ... เป็นไงบ้าง?” ฟ่งเอ่ยถาม และเดินเข้าไปหาวรุต ซึ่งยังคงยืนจุกอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า
   “มะ... ไม่เป็นไร” วรุตพูด และพยายามจะตะกายตัวลุกขึ้นมา ฟ่งพยุงเขาไปนั่งที่เตียง ก่อนจะกวาดตามองสภาพรอบๆ ห้อง ที่มีทั้งเก้าอี้ล้มระเนระนาด และชามข้าวที่คว่ำอยู่
   “นายไม่น่าทำแบบนี้” หนุ่มสวมแว่นพูด พลางมองดูเด็กหนุ่มที่นั่งหอบหายใจอยู่บนเตียง
   วรุตถอนหายใจเฮือก และหลับตาลง “ผมรู้ แต่คุณจะให้ผมทำยังไงล่ะ เขาไม่สนใจผมสักนิด”
   ฟ่งอึ้งไปพักหนึ่ง “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ... นายก็ไม่น่าจะทำกับเขาขนาดนี้”
   “คุณเคยรักใครขนาดคลั่งบ้างรึเปล่า?” วรุตพูด พลางหันหน้าขึ้นมองเขา ฟ่งกะพริบตาปริบๆ “ไม่เคย”
   “งั้นก็อย่ามาพูดเลย” วรุตว่าก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง ฟ่งรีบพูดต่อ “เดี๋ยวสิ!”
   “ทำไม คุณสงสารเขาหรือไง?” วรุตหันหน้ากลับมาอีกครั้ง พร้อมกับพูดกระชากเสียง ฟ่งมองเขาอย่างอึ้งๆ ก่อนจะพยักหน้า
   “หึ” ได้ยินวรุตแค่นเสียงขึ้นจมูก จากนั้นฟ่งก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกดึงลงไป
   “สงสาร? คุณสงสารเขาทำไมกัน? เพราะว่าผมทำกับเขาอย่างนั้นน่ะหรือ? แล้วผมล่ะ? สิ่งที่เขาทำกับผม สิ่งที่คุณทำกับผม ผมมันไม่น่าสงสารงั้นสิ”
   “วิน!” ฟ่งเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตื่นตระหนก เพราะมือทั้งสองข้างถูกกดแนบลงบนเตียง จากนั้นวรุตก็ตวัดตัวขึ้นคร่อมเขา
   “อย่านะ!!” หนุ่มสวมแว่นร้องเสียงหลง เมื่ออีกฝ่ายก้มลงกัดคอเขาอย่างแรง ร่างผอมบางสะดุ้ง จากนั้นก็ถีบออกไปเต็มแรง
   “โอ๊ย!!” วรุตร้องเสียงลั่น ขณะถูกถีบจนต้องถอยออกไป เขาพยายามจะเอื้อมมือคว้าอีกฝ่ายไว้  แต่ก็แตะได้แค่ปลายเสื้อนิดหน่อย ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะวิ่งผลุนผลันออกไปนอกห้อง
   “บ้าเอ๊ย!!”
--------------------------------------------------------
   ฟ่งหอบหายใจด้วยความตกใจปนงุนงง ผสมกับความโมโห เขายังรู้สึกถึงรอยกัดเมื่อครู่ ยังจำความรู้สึกขยะแขยงที่เกิดขึ้นในวินาทีนั้นได้ และยังคงงุนงงกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเด็กหนุ่ม
   หนุ่มสวมแว่นตัดสินใจเดินตรงไปยังระเบียงซึ่งต่อกับบันไดหนีไฟ เพราะประตูกระจกเปิดอยู่ ณ ที่นั่น เขาพบอีกคนยืนอยู่ก่อนแล้ว
   “คุณ........”
อิทธิเดชปรายตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามองออกไปต่อ ฟ่งก้าวเท้าออกไปตรงระเบียง มองดูเสี้ยวหน้าด้านข้างของหนุ่มหน้าสวย เม้มปากอย่างคนที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี
เสียงพัดลมระบายความร้อนจากตัวอาคารซึ่งติดตั้งอยู่ใกล้ๆ ยังคงส่งเสียงแข่งกับเสียงลมพัดที่ด้านนอก ในที่สุด อิทธิเดชก็เบือนหน้ากลับมา แล้วพูดเสียงเรียบ “คุณอภิวัฒน์
“ครับ?” ฟ่งหันหน้ากลับไปมอง และเห็นดวงหน้าสะสวยราวกับหญิงสาวมองตรงมา นัยน์ตาสีดำเชื่อมแสงของอิทธิเดชจับจ้องเขาอย่างแฝงความรู้สึกอะไรบางอย่าง
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”
ขาของฟ่งก้าวถอยหลังไปโดยอัตโนมัติ ขณะที่มือของอิทธิเดชยื่นเข้ามาใกล้
-----------------------------------------------------------
   เกลียด.......
   อิทธิเดชไม่เคยรู้สึกถึงคำคำนี้อย่างชัดเจนเท่านี้มาก่อน แม้กระทั่งตอนที่เขาถูกวรุตบังคับขืนใจ และใช้คำพูดเลวร้ายทิ่มแทงอยู่ทุกวี่ทุกวัน
   เกลียด.......
   อิทธิเดชตระหนักชัดถึงคำนี้ ทันทีที่เขาได้เห็นใบหน้านั้นอีกครั้ง ใบหน้าธรรมดาๆ ของผู้ชายที่ใส่แว่นตาหนาเตอะ ใบหน้าของผู้ชายที่ช่วงชิงความไว้วางใจของทวีศักดิ์ไปจากเขา
   ช่วงชิงวรุตไปจากเขา.....
   เกลียด.....
   ถ้อยคำเดิมๆ ผุดขึ้นมาซ้ำๆ ในหัวสมอง พ่วงด้วยคำอีกคำ
   ตาย.....
   อิทธิเดชมองเห็นมือของตัวเองยื่นเข้าไปหาผู้ชายคนนั้น รั้วระเบียงไม่ได้สูงอะไรมาก แต่หากตกลงไปจากความสูงขนาดนี้... คำว่าตายคงอยู่ไม่ไกลนัก
   ผู้ชายคนนี้สมควรตาย....
   ตายเสียเถอะ!
----------------------------------------------------------
   “เดช!” เสียงเรียกที่ดังขึ้นมา ทำให้ฟ่งชะงักตัวกึก พร้อมๆ กับมือที่ยื่นเข้ามานั้นก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน พอหันไปมองก็เห็นวรุตกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา
   “คุณจะทำอะไรน่ะ?!”
   มือของอิทธิเดชที่ชะงักไปครู่หนึ่งยื่นปราดเข้าไปคว้าคอเสื้อของฟ่งเอาไว้ทันที ก่อนจะกระชากเข้ามา
   “ฉันแค่จะพาคนของเธอไปคืนให้” หนุ่มหน้าสวยพูด พลางเสือกไสคนที่ถูกกระชากคอเสื้อเข้ามาในทางเดินกลาง วรุตคว้าตัวฟ่งที่เสียหลักหน้าคะมำล้มทิ่มเข้ามาเอาไว้ ก่อนจะถลึงตามองหนุ่มหน้าสวยที่ยังคงยืนอยู่ตรงระเบียง
   “พากลับไปเสียสิ” อิทธิเดชพูดเสียงเรียบก่อนจะหันหน้าออกไปตรงระเบียงอีกรอบ วรุตมองเขาอีกพักหนึ่ง จากนั้นก็ลากตัวฟ่งออกไป
   “เบาๆ หน่อยสิ!” ฟ่งโวย ขณะถูกวรุตลากตัวกลับเข้ามาในห้อง คนถูกโวยใส่ไม่พูดอะไร แต่กลับเปิดประตูห้องน้ำออก แล้วผลักเขาเข้าไป
   “จะทำอะไรน่ะ?!” ฟ่งร้องเสียงแปลก เขายังไม่ทันได้ตั้งหลักดี วรุตก็กลับเข้ามาในห้องน้ำ พร้อมกับกุญแจมือ แล้วจัดการล็อกข้อมือข้างหนึ่งของเขาไว้กับที่จับข้างชักโครก
   “วิน!”
   “คุณควรจะอยู่เงียบๆ ” วรุตพูดออกมาเป็นครั้งแรก ฟ่งเห็นดวงตาสีดำสนิทของเด็กหนุ่มลุกวาวด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่สาเหตุนั้นมาจากเขาหรือ?
   วรุตมองเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินจากไป
   “เดี๋ยว!!”
------------------------------------------------
   อิทธิเดชยังคงยืนอยู่ตรงระเบียงหนีไฟ ในตอนที่วรุตเดินกลับเข้ามา ชายหนุ่มหันหน้ากลับมามองเพราะเสียงฝีเท้า ก่อนจะเบิ่งนัยน์ตาสีดำกว้าง เมื่อข้อมือถูกฉุดเอาไว้
   วรุตลากตัวชายหนุ่มหน้าสวยกลับมาที่ห้องโดยไม่พูดอะไร ระหว่างนั้นอิทธิเดชขัดขืนเต็มที่ แต่สุดท้ายก็ถูกลากเข้ามาในห้องจนได้อยู่ดี
   “คิดจะทำอะไรของเธออีก!?” ชายหนุ่มหน้าสวยตวาด ก่อนจะถูกผลักลงไปบนเตียง วรุตถอดเสื้อของตัวเองออก แล้วกดมือของอีกฝ่ายลงไปบนเตียง ก่อนจะจับมัดเอาไว้ อิทธิเดชเบิ่งตากว้าง จากนั้นริมฝีปากของอีกฝ่ายก็บดขยี้ลงมาอย่างไม่มีความปราณี
   เสื้อผ้าถูกฉีกกระชากออก ก่อนที่สองขาของเขาจะถูกวรุตใช้เข่ากดอย่างแรง จนต้องร้องออกมา “โอ๊ย!”
   วรุตก้มหน้าลงบดจูบกับร่างอ้อนแอ้นที่อยู่ด้านล่างอีกรอบ ฝ่ายนั้นแสดงอาการต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด จนเขาต้องใช้มือบีบกรามของทางนั้นให้อ้าออก แล้วล้วงลิ้นลึกเข้าไป
   ลมหายใจขาดหายเป็นห้วงๆ ขณะที่อิทธิเดชพยายามดิ้นรนอยู่ภายใต้ร่างสูงที่คร่อมตัวเขาเอาไว้อยู่
   “ปล่อย!”
   สิ่งที่เขาได้รับหลังจากหลุดคำนั้นออกไปคือ จูบที่รุนแรงกว่าเดิม และฝ่ามือร้อนผ่าวที่โลมลูบไปตามร่างกายของเขาอย่างหนักหน่วง อิทธิเดชหอบหายใจเสียงหนัก เขาเงยหน้าขึ้นมองวรุต และเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงจัด พร้อมกันนั้นก็เหมือนเห็นมีน้ำใสๆ เอ่อคลออยู่ในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น
   “วะ...!” ริมฝีปากถูกประกบลงมาอีกครั้ง พร้อมกับดึงเกี่ยวเรียวลิ้นของเขาเข้าไปขบกัดอย่างรุนแรง อิทธิเดชสะดุ้งเฮือก วรุตถอดกางเกงของเขาออก จากนั้นก็เริ่มขบขย้ำริมฝีปากลงไปบนโคนขาอ่อน
   “อ๊ะ!!” อิทธิเดชผงะตัวขึ้นมาเมื่อวรุตขยับริมฝีปากขึ้นมาโลมเลียส่วนกลางลำตัวของเขา ก่อนจะผลุบมันเข้าไปในปาก และใช้ฟันขบมันเบาๆ
   ปกติแล้ววรุตไม่เคยทำแบบนี้กับเขามาก่อน ที่ผ่านมา เด็กหนุ่มมักจะบังคับให้เขาตอบสนองความต้องการของตัวเอง โดยไม่เคยเล้าโลมเขาก่อนสักครั้ง ไม่เคยทำให้เขารู้สึกดี แต่ว่าครั้งนี้.........................
   อิทธิเดชนอนตัวแข็งทื่อ เพราะซี่ฟันที่ขบลงมาเริ่มจะแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่าวรุตคงไม่ได้อยากจะให้เขารู้สึกดี คงแค่อยากเปลี่ยนวิธีทรมานเขามากกว่า ขณะที่กำลังกลัวว่าทางนั้นจะกัดลงไปอีกเมื่อไหร่ ปลายลิ้นร้อนจัดก็ตวัดรอบยอดปลายที่ยังคงแข็งตัวอยู่ในปาก จากนั้นก็เริ่มดูดดุนอย่างดุดัน
   ร่างผอมบางสะดุ้งตัวเฮือก ความซ่านเสียวประดังประเดเข้ามาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว อิทธิเดชได้ยินเสียงตัวเองร้องครางอย่างน่าเกลียด ก่อนจะค่อยๆ แอ่นสะโพก ตอบรับการเล้าโลมนั้นอย่างลืมนึกถึงศักดิ์ศรี   
   เด็กหนุ่มยกสองมือขึ้นกอบสะโพกของเขาเอาไว้ ขยับริมฝีปากต่อเนื่องจนร่างผอมบางส่งเสียงครางไม่หยุด จากนั้นก็เริ่มดูดดึงมันอย่างรุนแรงอีกครั้ง จนเสียงครางแตกพร่า
   อิทธิเดชตัวสั่นสะท้าน การเล้าโลมนี้ยังความเสียวซ่านมาให้เขาจนเกินเลยจากคำว่าพอ ลมหายใจของเขาขาดเป็นห้วงๆ ขณะที่ร่างกายสั่นกระตุกอย่างน่ากลัว ชายหนุ่มพยายามพูดออกไป
   “ยะ... อ๊ะ... อ๊า!!” คำพูดที่พยายามจะพูดกลับกลายเป็นเสียงร้องครางน่าเกลียด อิทธิเดชรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจ ความรู้สึกซ่านเสียวที่ประดังเข้ามาทำให้เขาแทบจะหยุดหายใจ จากนั้นอีกฝ่ายก็เริ่มสอดปลายนิ้วเข้ามา
   “!!” ร่างผอมบางขบริมฝีปากแน่น ขณะที่ท่อนเอวสั่นกระตุกกึกๆ วรุตหยุดการเคลื่อนไหวทั้งปลายนิ้วและริมฝีปาก อิทธิเดชรู้สึกถึงปลายลิ้นร้อนจัดที่กวาดรอบส่วนที่เพิ่งหลั่งออกไป จากนั้นก็คายทั้งหมดลงบนร่องสะโพก แล้วปลายนิ้วก็เริ่มขยับอีกครั้ง
   “ชอบแบบนี้หรือ?” เด็กหนุ่มพูดออกมาเป็นประโยคแรก อิทธิเดชสั่นศีรษะ และสิ่งที่ได้รับคือปลายนิ้วที่บุกเข้ามาอย่างดุดัน
   “อยากให้ผมทำแบบไหนล่ะ? ค่อยๆ เล้าโลม หรือรุนแรง? คุณชอบแบบไหน?”
   ร่างผอมบางยังคงสั่นศีรษะ ได้ยินเสียงอีกฝ่ายคำรามในคอเบาๆ จากนั้นก็ดึงนิ้วออก อิทธิเดชรู้สึกถึงความร้อนระอุที่จ่อเข้ามาด้านหลังของเขา
   ชายหนุ่มหน้าสวยครางเสียงพร่า ในตอนที่ทางนั้นเบียดความต้องการของตัวเองเข้ามาอย่างไม่รีรออะไรอีก ความเจ็บปวดวิ่งพล่านขึ้นมาตามเส้นประสาท
   “แบบนี้ล่ะ คุณชอบไหม? บอกผมสิ แบบไหนคุณถึงจะมองผม แบบไหนคุณถึงจะเกลียดผมเข้าไส้ แบบไหนคุณถึงจะขาดผมไม่ได้ แบบไหนคุณถึงจะมองแต่ผมคนเดียว” วรุตเค้นเสียงรอดไรฟัน พลางจับใบหน้าของอีกฝ่ายให้หันมามองตัวเอง อิทธิเดชได้แต่สั่นศีรษะ และขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นการกระแทกอย่างหนักหน่วงรุนแรงก็เริ่มต้นขึ้น
   ชายหนุ่มร้องเสียงลั่น ความรุนแรงที่ได้รับทำให้เขาแทบจะสิ้นสติ วรุตจับสองขาของเขาให้อ้ากว้างออกอีก แล้วกระแทกเข้ามาด้วยกำลังที่แรงกว่าเดิม
   “ลืมตาสิ ลืมตาขึ้นมามองผม จะเกลียดผม จะอยากฆ่าผมก็ช่าง ลืมตาขึ้นมาสิ!” วรุตคำราม และยื่นมือลงจับใบหน้าของอิทธิเดชให้เงยขึ้นอีกครั้ง
   “มองผม ผมอยากให้คุณมองผม”
   อิทธิเดชปรือตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก เพราะความเจ็บปวดและความซ่านเสียวที่ทะลักเข้ามาในร่างกายอย่างยากจะเข้าใจ สิ่งที่เขาเห็นคือใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับว่าเรื่องที่ทำอยู่นี้สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส และน้ำใสๆ ที่ไหลหยดลงมาจากดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น....
----------------------------------------------------------
   ฟ่งพยายามยกมือขึ้นอุดหู แต่ก็ทำได้ไม่ถนัดนักเพราะอีกข้างถูกล็อกติดอยู่กับราวจับเขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เข้าใจเด็กผู้ชายคนนั้นเลยสักนิด
   นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย!?
   ฟ่งยอมรับว่าเขาอาจจะบ้า ที่พยายามพาตัวเองออกมาจากการป้องกันแบบนั้น เขาคิดความเป็นไปได้ไว้หลายแบบ ทั้งที่อาจจะถูกจับ ถูกฆ่า แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะถูกขังอยู่ในห้องน้ำ แล้วต้องทนฟังอะไรแบบนี้
   ชายหนุ่มสวมแว่นไม่มีสติพอจะมาคิดอะไรเกี่ยวกับเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้มากนัก เพราะเสียงครางและเสียงหอบหายใจที่เขากำลังได้ยิน ทำให้ช่วงล่างของเขาปั่นป่วนอย่างห้ามไม่อยู่
   ตอนที่เขาทำกับรูฟัส เขาเคยร้องเสียงแบบนี้ออกมาบ้างรึเปล่า? แล้วฝ่ายนั้นจะมีอารมณ์เพราะเสียงของเขาไหม?
   ฟ่งอยากจะร้องออกมา ระหว่างเสียงครางกระเส่า และเสียงหอบหายใจ ปะปนกับเสียงลั่นของเตียงนอน สมองของเขานึกไปถึงเวลาที่ร่วมรักอยู่กับผู้ชายคนนั้น สัมผัสที่ผู้ชายคนนั้นมอบให้ ฝ่ามือร้อนจัดที่โลมลูบตัวเขา ส่วนร้อนระอุที่ค่อยๆ ดันแทรกเข้ามา สร้างความสุขสมอย่างไม่น่าเชื่อให้กับร่างกายอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน
   ฟ่งค่อยๆ เลื่อนมือจากหู ไปยังส่วนที่กำลังคัดคั่งนั้น หยาดน้ำตาอุ่นๆ ไหลลงมาช้าๆ ในตอนที่เขาปลอดปล่อยความต้องการด้วยความรู้สึกสับสนอย่างที่สุด
   รูฟัส...................
------------------------------------------------   

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
เชียร์คู่วินกับเดช เมื่อไรจะดีกัน จะเข้าใจกันซักที รีบๆ ดีกันเหอะนะ

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
และฟ่งจะได้เจอกับเฟิงปิงที่นั่น  นี่คงแค่เป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายเองนะ
รูฟัสเห็นฟ่งที่นั่นคงอยากจะกลั้นใจตายแน่ ๆ ชักเห็นใจรูฟัสซะแล้วสิ

ออฟไลน์ pochu52

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1328
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-0
เข้ามาทีไรอ่านยาวทุกทีเลย 5555 อ่านซะเหนื่อย
กำลังลุ้นกับการเข้าลอบเข้าแดนศัตรูของรูฟัส แต่ทางฟ่งก็ป่วนมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Mookkun

  • magKapleVE
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 637
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
    • Consensual free relationships
เง้อว์ เครียดแทนรูฟัสแฮะ =[]=" 
ขอบคุณคนเขียนฮะ!

ออฟไลน์ SuSaya

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +220/-9
ฟ่งบ้ามาก ๆ เลยตอนนี้
แล้วก็อยากให้วินกับเดชเข้าใจกันเร็ว ๆ จะได้เลิกทรมานกันอย่างนี้ซักที
ตกลงเมี่ยงโทรศัพท์หาใครนะ อย่าเพิ่งให้เรื่องถึงหูรูฟัสก็พอ
ถ้าเข้าไปในงานได้คิดว่าอาจได้พบเฟิงปิงกับพี่ชายนะ ช่วยหิ้วออกมาแบบครบ 32 หน่อยก็จะดี
ยิ่งอ่านยิ่งเครียด

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
เรื่องยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ มันจะเป็นยังไงต่อยังไงเนี่ย :เฮ้อ:
ฟ่งนี่ก็ชอบทำให้ยุ่ง :เฮ้อ: วินก็ :เฮ้อ: เดชก็ :เฮ้อ:
แต่ละคน คิดกันเอาเองเก่งกันจริงๆ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**ท่าทางต้องจั่วหัวเรื่องนี้ว่า "ไม่เหมาะกับการอ่านคลายเครียด" ซะแล้ว...

ซึ่งอันที่จริงก็เหมือนจะจั่วไว้แล้วว่า...เรื่องมันค่อนข้างซีเรียส (โดนโบก)

แวะมาแปะตอนต่อแล้วค่า

-----------------------------------------
บทที่52 ความเปลี่ยนแปลง

   ฟ่งสะดุ้งตื่น และถอยตัวไปด้านหลังตามสัญชาตญาณเมื่อเห็นร่างที่เดินเข้ามาในห้องน้ำ วรุตเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมาไขกุญแจมือออกให้ ฟ่งรีบดึงมือออก และถอยหลังจนติดกับฝาผนัง ก่อนจะหันมามองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจอย่างที่สุด
   วรุตมองหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมา   
   “ผมขอโทษ”
   ฟ่งเลิกคิ้วขึ้นมองคนตรงหน้า ความเงียบกินเวลาอยู่หลายชั่วอึดใจ ในที่สุดเขาก็พูดออกมา “ทำไมถึงทำแบบนี้”
   วรุตสูดหายใจลึก ก่อนจะระบายออกมาอย่างหนักหน่วง เขามองหน้าฟ่งอยู่อีกพัก ก่อนจะเดินไปยกเก้าอี้เข้ามา และนั่งขวางประตูเอาไว้ ฟ่งถลึงตามองเขาทันที
   “ผม....” วรุตพูด พลางเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วถอนหายใจออกมาอีก “ผมจำเป็นต้องขังคุณเอาไว้ เพราะผมไม่รู้ว่าคุณจะแอบหนีไประหว่างที่ผมไม่ได้มองรึเปล่า?”
   “อ้อ.....” ฟ่งลากเสียงยาว “นายกลัวผมจะหนี? นายคิดว่าผมจะหนีไปไหนกันล่ะ ถ้าผมคิดจะหนีแล้วผมจะลากนายออกมาด้วยทำไม?”
   “ครับๆ ” วรุตพูดและยกมือขึ้นห้าม “ผมยังไม่ได้คิดไปขนาดนั้นหรอก ผมแค่กลัวว่าคุณจะหนีเฉยๆ ดูที่คุณทำกับผมเมื่อวาน ผมไม่อยากเสี่ยงอีกแล้วล่ะ”
   ฟ่งขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด พลางนึกว่าใครกันแน่ที่เสี่ยง วรุตเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง แล้วพูดต่อ
   “วันนี้ผมจะพาคุณไปที่ห้องนั้น แต่คุณต้องรับปากผมก่อนนะ ว่าจะอยู่กับผมตลอดเวลา เพราะผมจะพาคุณเข้าไปในฐานะแขกของผม”
   “อืม..” ฟ่งพยักหน้า พลางจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำคู่นั้น
   “ผมไม่โกหกคุณหรอก” วรุตพูดต่อ และยิ้มขืนๆ ที่มุมปาก “คุณอาบน้ำล้างหน้าก่อนเถอะ ช่วงบ่ายๆ พ่อน่าจะให้คนเขารถมารับผมแล้ว เรื่องที่ใส่กุญแจมือคุณแล้วขังไว้ในนี้ ผมขอโทษจริงๆ ”
   ชายหนุ่มพูดจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ฟ่งรีบพูดขึ้นบ้าง “เดี๋ยว!”
   วรุตหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ฟ่งมองหน้าเขาอยู่พัก แล้วพูดต่อ “เมื่อวานคุณข่มขืนเขา?”
   คราวนี้เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับมาทันที ก่อนจะพยักหน้า “ครับ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณหรอก”
   “..........” ฟ่งนิ่งอยู่สักพัก พอวรุตทำท่าจะเดินออกไป เขาจึงส่งเสียงขึ้นต่อ “อย่าเพิ่งไป”
   อีกฝ่ายหันกลับมาด้วยสีหน้าสงสัย  ฟ่งขยับตัวให้นั่งตรงขึ้น ก่อนจะมองไปที่เก้าอี้ “นั่งก่อนสิ ผมว่าผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณนิดหน่อย”
   “ถ้าเรื่องพี่เดชล่ะก็ คุณอยู่เฉยๆ เถอะ ผมจัดการของผมเองได้” วรุตว่า ฟ่งขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดขึ้นมาทันที
   “ผมถามนายจริงๆ เถอะ นายอยากให้เขาชอบนาย หรืออยากให้เขาเกลียดนายกันแน่?”
   “ผมแค่อยากให้เขามองผม” วรุตตอบเสียงห้วน และทำท่าจะเดินออกไปจริงๆ คราวนี้ฟ่งเลยต้องรีบลุกขึ้นและดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้
   “นายชอบเขาจริงๆ รึ?”
   วรุตหันมา และขมวดคิ้วบ้าง “คุณจะรู้ไปทำไม ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณสักหน่อย”
   “ไม่เกี่ยวหรอก” ฟ่งตอบ และพูดต่อ “ผมแค่อยากรู้ว่า คุณชอบเขา หรือแค่อยากจะเอาชนะพ่อตัวเองเท่านั้นแหละ”
   วรุตถลึงตามองเขาทันที “พูดอะไรของคุณน่ะ!”
   ฟ่งถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พยายามมองหาอุปกรณ์ป้องกันตัวไปพลาง คิดคำตอบไปพลาง “ผมพูดในฐานะคนนอกนะวิน จากพฤติกรรมที่นายแสดงออกมา ผมว่ามันเหมือนกับนายอยากจะเอาชนะพ่อนายโดยเอาเขามาอ้างมากกว่า”
   “คุณจะไปรู้ได้ไง?!” วรุตโพล่งออกมาทันที ฟ่งถอยกรูดไปที่อ่างน้ำ แล้วเล็งฝักบัวเอาไว้ กะว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เขาจะเอาฝักบัวทุบหัวเจ้าเด็กนี่ก่อน
   “ผมไม่รู้หรอก ผมแค่พูดตามที่เห็น นายล่ะ? นายเคยเห็นคนรักกันเขาทำอะไรแบบนี้หรือไง? ถ้าผมรักนายแล้วทำแบบนี้บ้าง นายจะเชื่อว่าผมรักนายมั้ย?”
   “ผมไม่ได้อยากให้ใครเชื่อ” วรุตพูดอกมาด้วยสีหน้าว้าวุ่นใจอย่างเห็นได้ชัด “ผมแค่อยากให้เขามองผม”
   “ทำไมถึงอยากให้เขามองนายล่ะ เพราะเขามองแต่พ่อนาย? นายแค่อยากจะเอาชนะพ่อที่อยู่ในตัวเขาเท่านั้นไม่ใช่เหรอ?”
   “ผมเปล่า” ชายหนุ่มสวนคำออกไป “เขามองแต่พ่อ เขาไม่เคยมองผม ผมแค่อยากให้เขามองผมบ้าง”
   “ด้วยวิธีแบบนี้เนี่ยนะ” ฟ่งย้อน และพูดต่อ “นายนึกดู ถ้าเป็นนาย นายจะมองมั้ย สำหรับผมนะ ให้ตาย ผมก็ไม่มีวันมองคนที่ทำแบบนี้กับผมเด็ดขาด ผมบอกเลยก็ได้ ผมอาจจะโกรธ อาจจะเกลียดนาย แต่ถ้าเลือกได้ ผมคงไม่อยากจะมองหน้าเลยล่ะ เคยได้ยินรึเปล่า ที่ว่าเกลียดจนไม่อยากจะหายใจร่วมด้วยน่ะ”
   วรุตชักนึกสงสัยว่าฟ่งผันตัวเองมาเป็นทนายสอบสวนเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่
   “คุณพูดถึงเรื่องนี้ทำไมน่ะ? ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณสักหน่อย นึกสงสารอยากช่วยเขาอีกหรือไง?” วรุตถามขึ้น ฟ่งสั่นศีรษะ “เปล่า ผมอยากช่วยนายน่ะ”
   คราวนี้อีกฝ่ายเบิ่งตามองเขาทันที หนุ่มสวมแว่นยิ้มกว้าง และชี้ไปที่เก้าอี้ “นั่งก่อนสิ ผมว่าเราควรจะนั่งคุยกันดีๆ นะ แล้วอย่าเอากุญแจมือมาล็อกผมอีก”
   วรุตมีสีหน้ากระอั่กกระอ่วนอยู่พอสมควรเมื่อฟ่งพูดถึงเรื่องกุญแจมือ แต่ในที่สุดก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี
   “ว่ามาสิ คุณจะช่วยผมแบบไหน?”
   ฟ่งมองหน้าวรุต และพูดตอบ “ตอบตัวเองก่อนสิ ว่านายชอบเขาแบบไหน อยากทำอะไรให้เขากันแน่?”
   วรุตเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง แล้วหลุบสายตาต่ำลงอย่างครุ่นคิด สักพักก็พูดออกมา “ผมแค่อยากมีเขาอยู่ข้างๆ อยากเห็นเขามีความสุข ยิ้มแล้วก็หัวเราะเหมือนคนอื่นๆ “
   “แล้ว.... นายก็ทำกับเขาแบบนี้เนี่ยนะ?!” ฟ่งถามออกมาด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ วรุตเงยมองเขาด้วยใบหน้านิ่วกิ่ว “จะให้ผมทำไงล่ะ เขามองแต่พ่อผม ถึงผมไม่ทำแบบนี้ เขาก็ไม่มีความสุขอยู่ดี พ่อผมไม่หันกลับมามองเขาหรอก พ่อผมไม่เคยมองใครเลย กระทั่งลูกแท้ๆ ของตัวเอง ผม.....”
   วรุตเม้มปาก นึกทบทวนไปถึงความทรงจำที่มีเกี่ยวกับพ่อของตน พ่อเคยมองเขาตอนไหนกันนะ เท่าที่เขาจำได้ พ่อมักจะหันมามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปจัดการกับงานของตัวเองต่อ พ่อบอกว่าพ่อยุ่ง ทั้งหมดที่ทำอยู่ก็เพื่อเขาทั้งนั้น เพื่อเขา... เพื่อเขา พ่อเลยสนใจงานพวกนั้นมากกว่าเขางั้นหรือ...
   น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากดวงตาสีดำสนิท มันเอ่อพ้นขอบนัยน์ตาแดงรื้น และกลิ้งหล่นลงบนใบหน้า หยดลงไปบนพื้น
   ฟ่งยกมือขึ้นแตะไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ วรุตเงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนจะยิ้มทั้งน้ำตา “ผมมันบ้า คุณเองก็คงคิดว่าผมมันเลวใช่ไหมล่ะ... แทนที่ผมจะซาบซึ้งกับความพยายามของพ่อ ผมกลับไม่พอใจ ทุกอย่างที่พ่อหามาให้ ผมไม่เคยพอใจเลยสักอย่าง ผมมันลูกอกตัญญูของแท้เลย”
   ฟ่งบีบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะพูดออกมา “แต่นายก็รักพ่อนายใช่ไหมล่ะ?”
   วรุตมองเขา จากนั้นน้ำตาก็ไหลทะลักออกมาจากดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ฟ่งถอนหายใจ เขาวางมือบนไหล่นั้น รอจนกระทั่งอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา
   “ผมรักเขา... ผมถึงได้เข้าใจว่า การรักคนอย่างเขามันทรมานแค่ไหน ผมเป็นลูก ยังพอจะเรียกร้องความสนใจจากพ่อตัวเองได้บ้าง แต่เขาล่ะ เขาที่เป็นแค่ลูกน้อง เป็นแค่คู่นอนที่พ่อผมยังจำได้รึเปล่าก็ไม่รู้ เขาจะได้อะไรจากพ่อผม นอกเสียจากการถูกลืม”
   “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” ฟ่งพูดออกมา “ถ้าหากพ่อนายเกิดหันไปสนใจเขา นายจะมีความสุขรึ?”
   “เรื่องนั้นไม่มีทางหรอก” วรุตตอบ ฟ่งพูดต่ออย่างใจเย็น “ผมไม่ได้พูดว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่จริง ผมแค่อยากให้นายคิด ถ้าเกิดพ่อนายพอใจเขาขึ้นมาจริงๆ นายจะมีความสุขไปกับเขาได้แน่รึ? ถ้าเขายิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข ในขณะที่นายถูกเมินแบบนี้ นายรับได้จริงๆ รึ?”
   วรุตเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที ฟ่งยิ้มและพูดต่อ “บอกมาสิว่าที่นายพยายามทรมานเขาทั้งหมดนี่ เพราะนายกลัวว่าเขาจะได้ความรักจากพ่อนาย กลัวว่านายจะถูกทิ้งเอาไว้คนเดียว กลัวว่าเขาจะมองคนอื่นแทนที่จะมองนาย”
   น้ำตาของวรุตไหลทะลักอาบแก้มอีกครั้ง เขาสั่นศีรษะ พูดเสียงเครือ “ไม่... ผมรักเขา ผม... ผมแค่อยากให้เขามองผม... ผมแค่..... แค่อยากได้รับความสนใจบ้าง”
   เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปิดหน้า พยายามจะกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา ฟ่งยกมือตบไหล่ฝ่ายนั้นอีกรอบ ก่อนจะลูบเบาๆ วรุตสะอื้นจนตัวโยน เขาเม้มริมฝีปากแน่น หยาดน้ำตาไหลร่วงลงมาหยดแล้วหยดเล่า ฟ่งนั่งเงียบๆ รอจนกระทั่งวรุตเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
   “ผมควรทำยังไงดี?”
   ฟ่งยิ้มออกมา ก่อนจะยกมือทุบไหล่ของเขาดังป้าบ วรุตหน้าเสียทันที ก่อนจะหันมามองเขาอย่างตะลึงงัน ฟ่งเอียงคอมองเขา และยกมือขึ้นลูบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้น
   “โอ๋ๆ หายเจ็บนะ เพี้ยง!”
   “ทำอะไรของคุณเนี่ย” วรุตโพล่งออกมาอย่างไม่รู้ว่าจะโกรธหรือจะขำดี ฟ่งตอบเขายิ้มๆ “นายชอบแบบไหนล่ะ ชอบตอบผมตี หรือชอบตอนผมปลอบ”
   วรุตเบิ่งตามองเขา ก่อนจะยกมือขึ้นกุมศีรษะ “ฟ่ง.. คุณนี่มันบ้า บ้าจริงๆ ด้วย”
   “ผมไม่ได้บ้านะ” ฟ่งเถียง และถามซ้ำอีก “ว่าไงล่ะ ชอบแบบไหน?”
   วรุตหันกลับมามองเขาอีกครั้ง แล้วหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก “คุณเป็นพี่คนโตหรือเนี่ย?”
   “เปล่า ผมเป็นคนกลาง มีน้องชายอีกคน อายุน้อยกว่านายสักปีสองปีล่ะมั้ง”
   “ว่าล่ะ...” วรุตคราง และถอนหายใจออกมา ฟ่งมองหน้าเขา แล้วถามอีก “ว่าไงล่ะ เลือกได้แล้วหรือยัง?”
   เด็กหนุ่มพยักหน้า แล้วเอื้อมมือมาจับไหล่เขาบ้าง “ฟ่ง จบงานนี้น่ะ ผมขอเป็นเพื่อนกับคุณนะ”
   “อืม.. ได้.... โอ๊ย!” ฟ่งร้องออกมาเมื่อถูกวรุตทุบไหล่เสียงดังป้าบ “ผมเลือกแล้ว แต่อันนี้ผมขอเอาคืนล่ะ”
“หนอย!!” ฟ่งร้อง และวิ่งไล่วรุตที่วิ่งหนีออกจากห้องน้ำไป
-----------------------------------------------------------------
   อิทธิเดชลุกขึ้นจากเตียงแล้ว ในตอนที่ฟ่งวิ่งไล่วรุตออกมาจากห้องน้ำ หนุ่มสวมแว่นชะงักกึกทันทีที่เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของผู้ชายคนนั้น ก่อนจะไอขึ้นมาทีหนึ่ง
   “ผมลงไปซื้ออะไรกินแป๊บหนึ่งนะ” ฟ่งพูด และหมุนตัวเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว วรุตรีบคว้ามือของเขาเอาไว้ หนุ่มสวมแว่นเลยขยิบตา แล้วกระซิบเบาๆ “ผมออกไปหน้าห้องนี่เอง นายเองก็ทำอย่างที่คิดเถอะ ผมจะคอยเอาใจช่วย”
   “อืม” วรุตส่งเสียง และปล่อยมือฟ่งให้เดินออกไป ทั้งๆ ที่ตัวเองยังงงไม่หาย พอหันหน้ากลับมาก็เห็นอิทธิเดชเอาผ้าเช็ดตัวมานุ่งแล้ว
   “ฉันจะไปอาบน้ำ” หนุ่มหน้าสวยพูดเสียงเรียบ ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ วรุตอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้า อิทธิเดชจึงเดินเข้าห้องน้ำไป

   สายน้ำเย็นจากฝักบัวไหลรดร่างกายผอมเพรียวที่เต็มไปด้วยรอยช้ำสีแดงจางๆ อิทธิเดชพริ้มนัยน์ตาลงตอนที่สายน้ำนั้นกระทบเข้ากับใบหน้า เขาตื่นนอนได้สักพักหนึ่งแล้ว และนานพอที่จะได้ยินบทสนทนาระหว่างวรุตและคนที่ถูกขังเอาไว้ในห้องน้ำ
   ถึงจะได้ชินไม่ชัดทุกคำ แต่อิทธิเดชก็พอจะสรุปใจความเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันได้ และนั่นทำให้ชายหนุ่มสะท้านกายด้วยความหวั่นใจ
   เขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าวรุตเกลียดชังเขา เพราะเคยมีอะไรกับผู้เป็นพ่อ จนถึงตอนนี้ก็ยิ่งแน่ใจว่าวรุตรู้สึกแบบนั้นจริงๆ แต่อีกเรื่องที่เขานึกไม่ถึงคือ วรุตจะชอบเขาด้วย
   อิทธิเดชตอบไม่ได้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรที่ได้ยินเรื่องนี้ เขารู้เพียงว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นที่สุด
   วรุตจะเกลียดเขา จะทรมานเขาอย่างไรก็ได้
   แต่จะรักเขาไม่ได้อย่างเด็ดขาด
---------------------------------------------------------------------
   “พี่เดช” วรุตเรียกทันทีที่เห็นเขาเดินออกมาจากห้องน้ำ อิทธิเดชส่งเสียงต่ำๆ ในลำคอ ก่อนจะเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้า เด็กหนุ่มยืนรีๆ รอๆ อยู่พักหนึ่ง จนอีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าเสร็จ จึงพูดขึ้นต่อ
   “ผมมีเรื่องจะบอกคุณ”
   อิทธิเดชยกมือขึ้นห้าม ก่อนจะพูดทั้งๆ ที่ไม่ได้หันมามองหน้า “ไปอาบน้ำซะ อีกเดี๋ยวท่านประธานคงจะให้คนเอารถมารับเธอแล้ว”
   “แต่...”
   “ฉันจะออกไปซื้ออะไรหน่อย” อิทธิเดชพูดแทรกขึ้น และเดินไปหยิบรองเท้า วรุตเดินตามไปทันที “เดี๋ยวสิ คุยกับผมก่อนไม่ได้หรือไง?”
   “ไปอาบน้ำซะ” หนุ่มหน้าสวยพูด ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
----------------------------------------------
   “เป็นไงบ้างน่ะ” ฟ่งเปิดประตูเข้ามาและเอ่ยถาม เขาเห็นวรุตนั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
   “เขาไม่ยอมคุยกับผม” เด็กหนุ่มตอบ ฟ่งขมวดคิ้วทันที “นายปล่อยให้เขาเดินออกไปเฉยๆ หรือ?”
   “ผมพยายามจะพูดแล้ว แต่เขาไม่ยอมฟังเลย” วรุตพูดเสียงเศร้า ฟ่งถอนหายใจ แล้วเดินมาหาวรุต
   “พยายามต่ออีกหน่อยเถอะน่า ก่อนหน้านี้นายยังพยายามจะตื้อเขาอย่างเอาเป็นเอาตายเลยไม่ใช่หรือไง?”
   วรุตเงยหน้าขึ้นมองเขา ฟ่งยิ่ม แล้วตบไหล่วรุตอีก “นายทำได้อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้นายยังพยายามจนได้เจอผมเลยนี่นา”
   เด็กหนุ่มหัวเราะออกมา “อืม... ผมจะลองพยายามดู”
   “นั่นแหละ ไม่แน่นะ บางทีเขาอาจจะอยากได้ยินคำนั้นจากปากของนายก็ได้” ฟ่งพูด วรุตมองเขา แล้วถอนหายใจ “คุณอย่าแอบหนีไปไหนก่อนนะ”
   ฟ่งสั่นศีรษะ ก่อนจะพูดต่อ “ไปเถอะน่า ผมไม่หนีไปไหนแน่”
   วรุตจึงลุกขึ้นยืน ก่อนออกจากห้องยังหันมามองเขาอีกรอบหนึ่ง แล้วเดินออกไป
   ฟ่งถอนหายใจออกมา และหวังว่าเด็กหนุ่มคงจะประสบความสำเร็จกับเรื่องนี้
   จะว่าไปแล้ว... เหมือนจะมีใครอีกคนอยากได้ยินคำบางคำจากปากเขาอยู่เหมือนกันนี่นา
   ฟ่งนึกละอายใจขึ้นมา เขาเองก็ยังไม่เคยบอกคำคำนั้นให้รูฟัสได้ฟังมาก่อนเลย ถ้าหากครั้งนี้รอดกลับออกมาได้ล่ะก็ เขาจะบอก... เขาจะบอกคำคำนั้น
   คำที่รูฟัสอยากได้ยินมากที่สุด
-----------------------------------------------------------
   “.................”
   รูฟัสแทบจะหยุดหายใจ เขา ราฟาแอล และรัสเลอร์กำลังหมอบต่ำอยู่หลังพงหญ้าใกล้กับลานดินกว้าง สัญญาณว่าจะเปิดทำการทดสอบระบบเพิ่งดังขึ้นมาจากวิทยุติดตามของยามที่กำลังหลับอยู่ใต้ต้นไม้เมื่อไม่กี่อึดใจนี่เอง รูฟัสจัดแจงสวมรอยเป็นยามเสร็จสรรพ ตอนนี้พวกเขากำลังรอ รอดูว่าทางหนีฉุกเฉินที่ว่าจะโผล่ออกมาในรูปแบบใด
   พื้นดินรอบๆ เริ่มมีแรงสั่นสะเทือนระดับต่ำ จากนั้นพื้นดินราบเรียบตรงหน้าก็ค่อยๆ ยกตัวสูงขึ้น ปลายมนสีเงินของวัตถุรูปทรงคล้ายไข่ไก่กลับหัวโผล่พ้นผิวดินขึ้นมา
   ภายในเวลาไม่ถึงสิบวินาที ลิฟต์รูปไข่ไก่กลับหัวตัวนั้นก็โผล่พ้นพื้นดินออกมาทั้งหมด ฝุ่นดินฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ตามแผนผังที่พวกเขาได้ศึกษามาก่อนหน้านี้ ลิฟต์มีทั้งหมดสิบแปดตัว ตัวหนึ่งจุคนได้ประมาณยี่สิบคน ทั้งสิบแปดตัวนี้จะเรียงกระจายกันเป็นหกกลุ่ม กลุ่มละสามตัว แผ่กว้างออกไปในรัศมีราวๆ ครึ่งกิโลเมตร ดังนั้น นอกจากสามตัวที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ยังมีฝุ่นดิ้นคละคลุ้งลอยอยู่ในพงหญ้าที่ไกลออกไปอีกด้วย
   ตามแผนอพยพที่แจ้งมาทางวิทยุสื่อสาร จะมีรถลีมูซีนเตรียมเอาไว้สิบห้าคัน ต่อลิฟต์สามตัว คำนวนแล้วก็คงพอดีกับพวกที่จะโดยสารลิฟต์ขึ้นมา พอดูจากรัศมีการกระจายของลิฟต์แล้ว ต่อให้เอาตำรวจทั้งกองพันมาปิดล้อม ก็คงยากจะจับไว้ได้หมดอยู่ดี อีกอย่าง ผู้มาร่วมประชุมในงานนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพลจากต่างประเทศ ถ้าไม่มีหมายจับระหว่างประเทศมา อย่าหวังว่าจะทำอะไรได้เลย
   รูฟัสชักนึกสงสัยว่า การออกแบบนี้เป็นนโยบายของผู้ว่าจ้าง หรือเป็นความคิดของฟ่งล้วนๆ กันแน่ ถ้าเป็นอย่างหลัง ต่อจากนี้เขาคงต้องระวังให้มาก ถ้าฟ่งจะรับทำงานให้ใครอีก ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดเรื่องซวยซ้ำซวยซากแบบคราวนี้ก็ได้
----------------------------------------------------
   “ว้าว” รัสเลอร์ห่อปากและร้องออกมา “แบบนี้น่าจะให้หน่วยมาดูงานชะมัด” เขาพูด ขณะที่ผนังด้านนอกของลิฟต์ทรงไข่นั้นค่อยๆ แยกออกเป็นช่องสี่เหลี่ยม ทั้งสามคนยังคงหมอบนิ่ง เพื่อรอให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในลิฟต์พวกนั้น
   สักพัก เสียงวิทยุสื่อสารก็ดังขึ้น “แอลสิบ สิบเอ็ด สิบสองเป็นไงบ้าง”
   “เรียบร้อยครับ” หนุ่มตาสองสีส่งเสียงตอบไป และหันไปมองเพื่อนร่วมงานทั้งสอง
   “ตัวทางซ้าย” ราฟาแอลกระซิบ หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครโดยสารขึ้นมากับลิฟต์พวกนั้น รูฟัสพยักหน้า และจัดแจงเอาวิทยุสื่อสารกลับไปวางไว้ใกล้ยามสองคนที่นอนอยู่ จากนั้นจึงเดินตรงไปยังลิฟต์ตัวที่สามที่เปิดค้างอยู่
   จู่ๆ ลิฟต์ที่เปิดนิ่งอยู่เกือบนาที ก็ค่อยๆ หุบผนังเรียบๆ ของมันเข้าหากัน ได้ยินเสียงราฟาแอลอุทานออกมา “แย่แล้ว รีบเข้าไปเร็ว”
   ทั้งคู่ออกวิ่งในทันที โดยไม่ลืมจะลากตัวรัสเลอร์มาด้วย หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มร้องเหวอ ขณะที่ตัวเองถูกเหวี่ยงหน้าทิ่มเข้าไปในลิฟต์ ชายหนุ่มกระแทกกับกำแพงเสียงดังพอสมควร พอหันกลับไปก็เห็นราฟาแอลกับรูฟัสกระโจนผ่านช่องที่กำลังจะปิดนั้นเข้ามาพอดี
   “พวกนายจะฆ่าฉันเรอะ!?” หนุ่มผมสีน้ำตาลโวย และเอามือขึ้นลูบดั้งจมูกที่กระแทกเข้ากับผนังโลหะเต็มๆ ทั้งราฟาแอลและรูฟัสยักไหล่พร้อมกัน
   “ยังไม่ตายสักหน่อย จะโวยวายไปหาซากอะไร” ราฟาแอลว่า และหันไปดูผนังซึ่งเมื่อครู่พวกเขาเพิ่งกระโจนเข้ามา และเห็นว่าทุกอย่างเรียบสนิทไม่มีกระทั่งร่องรอยบอกว่าตรงนี้เป็นประตู หรือแม้แต่ปุ่มเปิดปิด
   “ระบบอัตโนมัติ” รูฟัสว่า และลูบมือไปบนผนังพวกนั้นบ้าง ราฟาแอลพยักหน้า “ถ้าเกิดระบบพัง ติดอยู่ในนี้ก็ซวยบรรลัย”
   “เฮ้ๆ พวกนายลืมไปแล้วเหรอว่ามากับใคร” รัสเลอร์พูดขึ้น แล้วหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กขนาดราวๆ แปดคูณหกนิ้วออกมาจากกระเป๋าเป้
   “จะทำอะไรอีกล่ะ?” รูฟัสเอ่ยทักขึ้น รัสเลอร์ยังไม่ตอบในทันที เขาหยิบสายต่อพ่วงอุปกรณ์ออกมา เสียบปลายข้างหนึ่งเข้ากับตัวเครื่อง และเริ่มเคาะผนังลิฟต์ ขณะที่ตัวลิฟต์ค่อยๆ เลื่อนลง
   “ฉันจะแสดงอภินิหารให้พวกนายเห็นเป็นขวัญตา” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มว่า และแนบปลายอีกข้างของสายต่อพ่วงซึ่งดูเหมือนลูกยางลมดูดเข้ากับผนังลิฟต์ จากนั้นก็เริ่มเคาะนิ้วลงไปบนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์
   “จะตรวจสุขภาพลิฟต์หรือไงครับคุณหมอ” รูฟัสแหย่เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูมีสีหน้าจริงจัง รัสเลอร์ขมวดคิ้ว พลางนึกว่าน่าจะปล่อยให้เจ้าพวกนี้ทำงานกันเองจริงๆ ขณะที่ราฟาแอลเงยมองสำรวจไปรอบๆ
   “รูฟัส นายว่าลิฟต์นี่จะใช้เวลาสักเท่าไหร่กว่าจะถึงพื้น”
   “อืม...” รูฟัสส่งเสียงในคออย่างครุ่นคิด “ความสูงจากพื้นด้านล่างถึงผิวดินก็ประมาณหกสิบฟุต ดูเวลาจากที่ลิฟต์ขึ้นมาเมื่อกี้ ขากลับน่าจะใช้เวลาสั้นกว่าหน่อยนะ ผมว่าน่าจะสักหนึ่งนาทีได้”
   “อืม เราต้องเตรียมพร้อม ด้านล่างอาจจะมีคนรอดักอยู่ก็ได้”
   “อ้าวเฮ้ย แล้วที่วางแผนว่าจะออกไประหว่างที่ลิฟต์เลื่อนลงล่ะ” รัสเลอร์แย้งขึ้นมา ราฟาแอลหันมามองเขา แล้วพูดเสียงเรียบๆ “ฉันกำลังวางแผนสำรอง เผื่อว่านายจะเปิดไอ้ลิฟต์บ้านี่ไม่ทัน”
   “โห... พวกนายไม่คิดจะเชื่อใจกันเลยรึนี่ ทั้งๆ ที่ฉันออกจะเก่งกาจอัจฉริยะ ขนาดที่มีคนตั้งสมญาให้ว่าอัจฉริยะปิศาจแท้ๆ ”
   ราฟาแอลถอนหายใจออกมา ขณะที่รูฟัสยกมือขึ้นเกาศีรษะ “เอาล่ะ ไอ้คุณอัจฉริยะรัสเลอร์ นี่มันผ่านมาสิบวินาทีแล้ว คุณจะเปิดประตูลิฟต์พวกนี้ได้รึยัง?”
   “เดี๋ยวซี่ แก้ไฟล์วอลล์มันก็ต้องใช้เวลากันบ้าง อีกอย่าง พวกนายจะออกกันไปทั้งๆ ที่ลิฟต์ยังวิ่งแบบนี้เลยหรือไง
   “เออ เปิดประตูให้ออกก็พอ เราออกกันไปได้แน่” ราฟาแอลหันมาตอบ รัสเลอร์มองหน้าเขา แล้วพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มไล่นิ้วลงไปบนแป้นพิมพ์ดีดต่อ
   !!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2011 09:59:34 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   เสียงลั่นเหมือนชิ้นส่วนโลหะแตกหักดังสะท้อนเข้ามาภายในตัวลิฟต์ จากนั้นทุกอย่างก็หยุดกึก ราฟาแอลและรูฟัสหันมองหน้ากันทันที ก่อนที่รัสเลอร์จะอุทานออกมา “แย่ล่ะสิ!”
   ยังไม่ทันสิ้นเสียงอุทาน เสียงลั่นของโลหะก็ดังสะท้อนเข้ามาอีกรอบ จากนั้นลิฟต์ก็เริ่มดิ่งตัวเองลงทันที
   “เฮ้ย รัสเลอร์ ทำอะไรของแกวะ!?” ราฟาแอลเอ็ดตะโรออกมา ขณะที่พยายามพิงตัวเองเข้ากับผนังลิฟต์ เพื่อหาที่เกาะในการลดแรงกระแทกที่อาจจะเกิดขึ้น
   “ไม่ใช่ฉันทำโว้ย” รัสเลอร์ร้องออกมา
“งั้นใครทำ?!” รูฟัสถามต่อ เขาแนบตัวเข้ากับผนัง แล้วหันไปถลึงตามองรัสเลอร์บ้าง เจ้าหนุ่มสติเฟื่องยังคงสาละวนอยู่กับการไล่นิ้วไปบนแป้นคีย์บอร์ด
“นี่แหละ ข้อผิดพลาดล่ะ” รัสเลอร์พูดต่อ “แก้แปลนโดนไม่คำนวณให้ดี มันเลยพังแบบนี้ไงล่ะ”
“งั้นนี่ก็เป็นโอกาสที่มันจะพังที่นายบอกว่าสามในสิบสินะ” รูฟัสพูดออกไป ได้ยินเสียงราฟาแอลพูดแทรกต่อ “งั้นก็ทำอะไรสักอย่างสิ จะให้โหม่งโลกไปทั้งแบบนี้หรือไง?!”
“กำลังทำอยู่นี่ไงเล่า ฉันว่าตอนนี้เราคงอยู่ห่างจากพื้นสักสามสิบฟุตแล้วล่ะ”
“ไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้นโว้ย นายเปิดประตูได้แล้ว อยากตายหมู่หรือไง!!” ราฟาแอลตะคอกออกมา ขณะที่ลิฟต์เริ่มดิ่งด้วยความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รัสเลอร์รู้สึกว่าขาของเขาเริ่มลอยขึ้นจากพื้น ในตอนที่คอมพิวเตอร์แสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำสั่ง
“เปิดได้ล่ะ”
-----------------------------------------------------------------------------
   วรุตเดินลงมาชั้นล่าง และพบอิทธิเดชกำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ พอเห็นเขา หนุ่มหน้าสวยก็ผุดลุกขึ้นทันที
   “เดี๋ยวสิ คุยกับผมสักนิดหนึ่งไม่ได้เลยหรือ?” วรุตพูด และเดินเข้าไปขวางหน้าอิทธิเดชเอาไว้ ชายหนุ่มเดินเลี่ยงเขาออกไป แล้วพูดเรียบๆ “ถอยไป”
   วรุตฉวยข้อมือนั้นเอาไว้ อิทธิเดชจึงหันหน้ามาถลึงตาใส่เขา “ปล่อย”
   เด็กหนุ่มลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมจะปล่อยอีกฝ่ายไป หนุ่มหน้าสวยก้าวเท้าฉับๆ ออกไปด้านนอกคอนโดทันที
   “คุณจะไปไหนน่ะ?” วรุตถาม พลางวิ่งตามออกมา
   “ข้างนอก” อีกฝ่ายตอบเสียงห้วน
   “แต่คุณต้องไปห้องประชุมกับผมตอนบ่ายนะ”
   “?”
   วรุตยิ้มกว้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดเท้าลง “ผมบอกพ่อแล้วว่าจะพาคุณไปด้วย คุณต้องอยู่คุ้มกันผม”
   “เรื่องนั้นคนอื่นก็ทำได้” อิทธิเดชตอบ และออกเดินต่อ วรุตรีบวิ่งเข้าไปหา แล้วฉวยมือเขาไว้อีกรอบ
   “พี่เดช ผมขอโทษ ผมสัญญาว่าจะไม่พูดจาร้ายๆ กับคุณอีกแล้ว”
   “ปล่อยฉันได้แล้ว” อิทธิเดชพูดเสียงดังขึ้นมาหน่อยหนึ่ง วรุตอึ้งไปสักพักแต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ผิดกับที่ผ่านมา ชายหนุ่มหน้าสวยเดินตรงไปยังรถ ขณะที่เด็กหนุ่มยังคงตามอย่างไม่ลดละ
   “พี่เดช ผมขอโทษจริงๆ ผมจะไม่ทำอะไรร้ายๆ กับคุณอีกแล้ว ฟังผมสักหน่อยเถอะนะ”
   อิทธิเดชเปิดประตูรถ และผลักเด็กหนุ่มออก ก่อนจะติดเครื่อง วรุตยกมือขึ้นเคาะกระจก ในตอนที่รถเคลื่อนที่ออก
   “พี่เดช ฟังผมก่อน ขอร้องล่ะ”
   อิทธิเดชหลังตา และเหยียบคันเร่ง เขาคงจะฟังทุกอย่างจากปากของเด็กคนนี้ได้ แม้แต่ถ้อยคำเสียดแทงจิตใจที่สุด ทุกๆ อย่างๆ ยกเว้นคำคำนั้น.....
-------------------------------------------------
   วรุตวิ่งไล่ตามรถของอิทธิเดช พลางนึกสงสัยว่าทำไมอิทธิเดชถึงได้พยายามจะหนีจากเขานัก หรือเพราะเมื่อคืนเขาทำรุนแรงไป แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยทำยิ่งกว่านี้เสียอีก หรือว่าทางนั้นจะสิ้นสุดความอดทนกับเขาแล้ว
   วรุตใจเสียขึ้นมา เขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ถ้าอิทธิเดชไม่ฟังเขาแล้ว ถ้าฝ่ายนั้นเกิดไม่อยากจะเห็นหน้าเขาขึ้นมาจริงๆ ถ้าเกิดว่าไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้อีก
   หรือเขาต้องกลับไปใช้วิธีเดิมๆ .............
   วรุตวิ่งไล่ตามรถ เขาตัดสินใจว่า จะพยายามให้ถึงที่สุดดูก่อน ถ้าหากมันไม่ได้ผลแล้วล่ะก็.... เขาคง.............
-------------------------------------------------
   อิทธิเดชเกือบจะเหยียบเบรกแทบไม่ทัน เมื่อพบว่าวรุตกระโดดเกาะท้ายรถของเขา เด็กหนุ่มตะกายตัวขึ้นมาด้วยท่าทางน่าหวาดเสียวว่าจะตกลงไปศีรษะกระแทก
   “ทำอะไรของเธอ!” อิทธิเดชไขกระจกลงแล้วโพล่งออกมา วรุตยิ้มแหยๆ แล้วพูดตอบไป “ก็คุยไม่ยอมคุยกับผมดีๆ นี่ จะให้ผมทำไงล่ะ?”
   เสียงบีบแตรที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้หนุ่มหน้าสวยต้องรีบพูดขึ้นต่อ “ขึ้นรถมาก่อน”
   “คุณลงมาเปิดให้ผมสิ ผมกลัวว่าถ้าผมลง คุณจะขับรถออกไปเลยน่ะ” เด็กหนุ่มต่อรอง อิทธิเดชจึงเปิดประตูรถออกไป
   “เอาล่ะ เข้าไปได้แล้ว”
   วรุตพยักหน้า และเปิดประตูมุดเข้าไปตรงเบาะหลัง ก่อนที่อีกฝ่ายจะกลับเข้ารถ แล้วขับออกไป
   
   “พี่เดช... ผมขอโทษจริงๆ นะ”
   “อืม..” อิทธิเดชส่งเสียงในลำคอขณะขับรถเวียนกลับเข้ามาในลานจอดรถ วรุตสูดหายใจลึกแล้วพูดต่อ “ผมรู้ว่าคำว่าขอโทษมันคงไม่พอจะชดเชยในสิ่งที่ผมทำลงไปหรอก”
   “ช่างเถอะ ต่อจากนี้เธอไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีกก็พอแล้ว” อิทธิเดชตอบเสียงเรียบเหมือนเคย ทำเอาหัวใจของเด็กหนุ่มดิ่งวูบลงทันที
   ไม่ต้องมายุ่งอีกแล้ว.....
   วรุตกำมือแน่น เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าสะสวยผ่านกระจกมองหลัง เขารอจนรถจอดสนิท แล้วรีบฉวยข้อมืออีกฝ่ายไว้
   “พี่เดช ฟังผมสักอย่างหนึ่งเถอะนะ”
   “ปล่อยฉัน” อิทธิเดชพูดคำนี้ออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้วรุตไม่ยอมปล่อย เด็กหนุ่มขยับตัวข้ามแผงคอนโซลตรงข้างคนขับไปยังเบาะหน้า ก่อนจะเงยขึ้นสบตา
   “ผมชอบคุณ”
   อิทธิเดชรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ เขามองดูเด็กหนุ่มตรงหน้า ซึ่งกำลังช้อนตามองมาด้วยแววตามุ่งมั่นที่ใส่ซื่อแบบที่เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน ชายหนุ่มถึงกับต้องเบือนหน้าหนี
   “ผมไม่ขอให้คุณเชื่อตอนนี้หรอกนะ ผมจะใช้การกระทำต่อจากนี้ พิสูจน์ให้คุณเห็นเอง” วรุตพูด และกุมมือของอีกฝ่ายแน่น อิทธิเดชได้แต่สั่นศีรษะ
   “ไม่ได้หรอก ไม่มีทาง” หนุ่มหน้าสวยพึมพำขึ้นมา อีกฝ่ายพยักหน้า “ผมรู้ คุณไม่เชื่อ คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อผมหรอก ผมรู้ว่าตัวเองทำผิดไปมาก แต่ผมจะทำตัวเองใหม่ เพราะผมชอบคุณ”
   หนุ่มหน้าสวยสั่นศีรษะอีกครั้ง “พอเถอะ มันไม่ได้อยู่ที่ฉันจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันอยู่ที่ว่าเธอไม่ควรรู้สึกแบบนั้นต่างหาก”
   วรุตเบิ่งนัยน์ตาค้าง มองดูใบหน้าสะสวยของคนตรงหน้า “ทำไมล่ะ?”
   “เพราะมันไม่ควรน่ะสิ” อิทธิเดชพูด และพยายามจะดึงมือออก เด็กหนุ่มส่งเสียงถามอีก “ผมไม่เข้าใจ มันไม่ควรตรงไหน?”
   “เธอจะทำอะไรกับฉันแบบไหนก็ได้” หนุ่มหน้าสวยพูดต่อ พลางเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “แต่เธอจะรู้สึกแบบนั้นกับฉันไม่ได้เด็ดขาด”
   “ทำไม?!” วรุตโพล่งออกมาอย่างไม่เข้าใจ “ถึงแม้ว่าผมจะทำร้ายคุณทั้งร่างกายและจิตใจยังไงก็ได้งั้นเหรอ พี่เดช ผมไม่ได้เสแสร้งแกล้งพูดแบบนี้เพื่อจะทำร้ายคุณนะ คุณไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ แต่ก็ไม่ต้องห้ามผม เพราะผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็น”
   อิทธิเดชสั่นศีรษะ “พอเถอะ เธอควรเลิกยุ่งกันฉัน ลืมฉันเสีย ไม่ต้องมาเจอกันอีก”
   วรุตสั่นศีรษะบ้าง “ผมไม่ยอมหรอก จนกว่าผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นได้แล้วว่าผมชอบคุณจริงๆ ไว้ถึงตอนนั้นแล้ว คุณค่อยไล่ผมอีกทีแล้วกัน”
   อิทธิเดชมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้า ที่กำลังช้อนดวงตาสีดำสนิทขึ้นมองเขา
   “คุณไม่ต้องมองผมแล้วก็ได้ แค่อย่าไล่ผมก็พอ”
   ไม่รู้ทำไม ดวงตาหวานเยิ้มนั้นถึงมีน้ำตาไหลเอ่อออกมา หนุ่มหน้าสวยก้มหน้า ซ่อนน้ำตาที่ไหลออกมาเอาไว้
   วรุต.......
--------------------------------------------------------------------------
   “ผมเรียกแม่บ้านเข้ามาช่วยเก็บห้องให้นายแล้วนะ” นั่นคือประโยคแรกที่ฟ่งพูดขึ้น ในตอนที่วรุตเปิดประตูเข้ามา หนุ่มสวมแว่นกำลังดูโทรทัศน์อยู่ เขาผุดลุกขึ้นทันที และยิ้มให้อิทธิเดชที่เดินตามเข้ามา หนุ่มหน้าสวยชายตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ฟ่งเลยได้แต่ยกมือขึ้นเกาศีรษะ เขาหันหน้ากลับมาหาวรุต
   “เป็นไงบ้าง”
   “ก็.... ไม่รู้สิ” วรุตตอบ “เขาดูไม่อยากเชื่อผมเท่าไหร่ ซึ่งก็น่าอยู่หรอก แต่ไม่เป็นไร ผมตัดสินใจแล้วว่าจะทำแบบนี้ ผมก็ต้องทำให้ถึงที่สุดนั่นแหละ” เด็กหนุ่มพูดและเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขา ฟ่งพยักหน้า
   “อืม... ผมว่าสักวันเขาคงจะเข้าใจนายนั่นแหละ”
   “อืม...” วรุตส่งเสียงในลำคอ และถอนหายใจออกมา
   เขาไม่แน่ใจว่าอิทธิเดชจะเข้าใจในสักวัน หรือว่ากำลังพยายามจะไม่เข้าใจอยู่กันแน่
-------------------------------------------------
   อิทธิเดชพิงตัวเข้ากับผนังห้องน้ำ รู้สึกตื้อในหัวไปหมด เรื่องที่เกิดขึ้นมันเร็วและสับสนเกินกว่าที่เขาจะตั้งตัวได้ทัน วรุตที่จู่ๆ ก้าวเข้ามาในชีวิตเขา ยัดเยียดความเลวร้ายแทบทุกอย่างให้ จากนั้นก็หายตัวไป แล้วกลับมาอีกครั้งพร้อมกับสถาปนิกคนนั้น จากนั้น....
   ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันนี้สร้างความสับสนงุนงงให้กับเขาอย่างไม่ต้องคาดเดา อิทธิเดชรู้ดีว่าวรุตไม่ใช่เด็กที่ชอบพูดเล่นหรือพูดพล่อยๆ สิ่งที่พูดกับเขาวันนี้ก็คงจะถือเป็นจริงเป็นจังเหมือนกัน แต่ว่าเรื่องพวกนี้มันละเอียด อ่อนไหว และมีผลกระทบกับชีวิตมากเกินกว่าที่เด็กอย่างวรุตจะทันได้คิด
   และอีกอย่าง การปรากฏตัวของอภิวัฒน์ดูผิดปกติจนเกินไป ถึงวรุตจะเป็นคนดั้นด้นไปหาเขาเองก็เถอะ แล้วทำไมผู้ชายคนนั้นถึงพยายามจะกลับมาที่นี่ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าถูกตามเก็บอยู่ เบื้องหลังของผู้ชายคนนี้อาจจะมีอะไรแอบแฝงมากกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้ และวรุตก็อาจจะกำลังตกเป็นเหยื่อหรือถูกหลอกโดยไม่รู้ตัวก็ได้
   ครั้นจะพูดเรื่องนี้โดยตรงกับเด็กคนนั้นไปก็คงป่วยการ วรุตเองไม่ใช่คนที่จะยอมฟังเหตุผลของใครง่ายๆ เสียด้วย และถ้าลองตั้งใจจะทำแล้ว คงจะห้ามกันไม่ไหวหรอก
   หนุ่มหน้าสวยถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เขาควรจะโทรแจ้งเรื่องนี้กับรัตน์ อิทธเดชคิดว่าเรื่องนี้อาจจะตึงมือเกินกว่าที่เขาจะสามารถจัดการด้วยตัวคนเดียวได้ ชายหนุ่มล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ขณะที่กำลังจะกดโทรออก เสียงเคาะประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น
   “พี่เดช ทำอะไรอยู่ ผมอยากเข้าห้องน้ำ”
   เสียงของวรุตทำให้อิทธิเดชชะงักมือกึก ชายหนุ่มลังเลอยู่พักจนได้ยินเสียงเรียกอีก “พี่เดช เป็นอะไร ไม่สบายหรือ?”
   “เปล่า” อิทธิเดชตอบกลับไป แล้วเดินไปเปิดประตูห้องน้ำ วรุตโผล่หน้าเข้ามาแล้วยิ้มให้เขา... รอยยิ้มแบบที่เขาเคยเห็นเด็กคนนี้ยิ้มให้คนอื่น ครั้งหนึ่ง เขาเคยนึกอยากได้รับการปฏิบัติแบบปกติจากเด็กคนนี้บ้าง แต่ว่าตอนนี้.....
   “ขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิ” วรุตพูดขึ้นในตอนที่เขาทำท่าจะเดินออกไปนอกห้องน้ำ อิทธิเดชหันกลับมามอง เด็กหนุ่มจึงพูดต่อ “ผมจะโทรคุยกับพ่อ มีธุระน่ะ”
   หนุ่มหน้าสวยอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจ ยื่นโทรศัพท์ให้อย่างเงียบๆ ก่อนจะเดินออกไป
----------------------------------------------------------
   ฟ่งนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนเก้าอี้ ในตอนที่อิทธิเดชก้าวออกมาจากห้องน้ำ เขาพยายามจะยิ้มให้หนุ่มหน้าสวย และได้รับใบหน้าเย็นชาตอบกลับมา หนุ่มสวมแว่นจึงหันกลับไปสนใจรายการโฆษณาบนโทรทัศน์ต่อ
   อิทธิเดชเขม่นมองผู้ชายสวมแว่นที่นั่งอยู่ เขายังไม่แน่ใจนักเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างวรุตกับผู้ชายคนนี้ ถึงหมอนี่จะเป็นคนพาวรุตกลับมาก็เถอะ
   ท่าทีของวรุตที่มีต่อเขาดูจะเปลี่ยนแปลงไปทันทีหลังจากพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ในตอนเช้า ทั้งๆ ที่เมื่อวานเพิ่งจะลงมือขังเอาไว้ในห้องน้ำแท้ๆ อิทธิเดชนึกสงสัยว่าระหว่างที่หายตัวไป วรุตรู้จักกับผู้ชายคนนี้ในรูปแบบไหนกันแน่
   แม้ว่าผู้ชายสวมแว่นคนนี้ ตั้งแต่พบกันมา จะไม่เคยทำอะไรเลวร้ายกับเขาเลย แต่สิ่งที่เขารู้สึกยามได้เห็นใบหน้านั้น คือผู้ชายคนนี้สมควรตาย
   ก่อนหน้านี้อิทธิเดชเคยรู้สึกตัวว่า อภิวัฒน์แย่งชิงความไว้วางใจจากทวีศักดิ์ แย่งชิงวรุตไปจากเขา ตอนนี้ชายหนุ่มคิดว่ายังมีเหตุผลอื่นที่ผู้ชายคนนี้ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่
    อภิวัฒน์ปรากฏตัวขึ้นมาผิดเวลาเกินไป ผิดสถานที่เกิดไป และสร้างความสับสนวุ่นวายเกินกว่าที่เขาจะสามารถควบคุมได้
   หากกำจัดผู้ชายคนนี้ไปเสีย บางทีทุกอย่างอาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมกันก็ได้... เขา... วรุต... ทวีศักดิ์... ทุกอย่าง... ทุกอย่างควรจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิม
   เหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมา
   ถ้าเพียงผู้ชายคนนี้ตายไปเสีย
--------------------------------------------
   “ฟ่ง!” วรุตโผล่หน้าออกมาจากห้องน้ำ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นอิทธิเดชนั่งอยู่บนเก้าอี้
   “ฟ่งล่ะ?” เด็กหนุ่มถาม หนุ่มหน้าสวยชี้มือออกไปที่ประตู “ลงไปซื้ออะไรทานข้างล่างน่ะ”
   วรุตเขม่นมองคนที่นั่งอยู่อย่างไม่ค่อยจะไว้ใจนัก “ลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”
   “สักพักแล้ว” อิทธิเดชตอบ แล้วยกตะไบขึ้นมาเหลาเล็บ วรุตกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะเดินไปที่ระเบียง
   “ปืนคุณล่ะ?” เขาหันกลับมาถามอีก อิทธิเดชชี้มือไปที่ลิ้นชักข้างเตียง ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ฉันไม่ยิงหมอนั่นหรอก”
   “อืม” วรุตส่งเสียงในคอ เขารู้ว่าถ้าอิทธิเดชใช้ปืน ถึงจะมีที่เก็บเสียง ก็ต้องได้กลิ่นดินประสิวอยู่ดี เด็กหนุ่มหันกลับไปมองอีกคนที่นั่งอยู่
   “พี่เดช ผมรู้ว่าคุณคงแค้นผมมาก ถ้าจะทำอะไรล่ะก็ ลงที่ผมเถอะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย อีกอย่าง พ่อก็ยกเลิกคำสั่งเก็บเขาไปแล้ว คุณไม่ต้องฆ่าเขาแล้วล่ะ”
   อิทธิเดชเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “โทรศัพท์ฉันล่ะ?”
   วรุตนิ่งอึ้งอยู่พักก็ส่งโทรศัพท์มือถือให้ “พ่อส่งรถมาแล้ว ผมจะไปตามเขาขึ้นมา” เด็กหนุ่มพูด และก้าวเท้าออกไปที่ประตู
------------------------------------------
   “อ้าว!” ฟ่งส่งเสียงอยากแปลกใจ เมื่อเปิดประตูเข้ามาเจอหน้าวรุตพอดี เด็กหนุ่มมองเขาแล้วยิ้มกว้าง “คุณลงไปซื้ออะไรทานมาเหรอ?”
   “อืม” หนุ่มสวมแว่นตอบ พร้อมกับพยักหน้า วรุตถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะรีบพูดต่อ “ฟ่ง ไปเตรียมตัวเถอะ พ่อส่งรถมารับแล้ว คุณอย่าลืมที่คุยกันไว้นะ อย่าอยู่ห่างจากผมเด็ดขาด”
   “อืมๆ ” ฟ่งส่งเสียงรับคำในลำคอ ด้วยท่าทางที่ยังงงๆ อยู่ ก่อนจะเดินเข้าห้องไป วรุตมองตามอย่างเป็นกังวล ขณะที่อิทธิเดชยังคงนั่งเหลาเล็บอยู่บนเก้าอี้
--------------------------------------------
   เสียงวัสดุคำยันโครงสร้างที่มีลักษณะเป็นท่อทรงกลมหลายร้อยชิ้นร่วงกราวลงสู่พื้นด้านล่าง ทำเอาบรรดาคนงานต่างวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น กระทั่งทวีศักดิ์เองก็ยังต้องเดินกลับขึ้นมาชั้นบน เพราะได้รับคำเตือนว่าโครงสร้างอาจจะพังถล่มลงมาได้อีก
   เรื่องการพังถล่มนี้ทำให้ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาเรียกประชุมทีมวิศวกร และเกือบจะลืมไปเลยว่าต้องให้คนไปรับลูกชายที่คอนโดของอิทธิเดช
   ทวีศักดิ์รู้สึกชื้นใจอยู่พอสมควร หลังจากเมื่อวาน วรุตเป็นฝ่ายติดต่อกลับมาเองว่าจะยอมมาร่วมงานตามที่เคยได้คุยกันไว้ หลังจากที่ตัดการติดต่อไปเกือบสามวัน วรุตบอกเขาว่าจะไปพร้อมกับแขกคนพิเศษ ซึ่งแม้แต่เขาเองก็คงจะคาดไม่ถึง ทวีศักดิ์ถึงกับนึกในใจว่าบางทีวรุตอาจจะพาว่าที่ลูกสะใภ้มาอวดก็ได้ แต่ตอนนี้ความรู้สึกดีๆ ในจิตใจเขาแทบจะเหือดหายไปหมดสิ้น เมื่อโครงสร้างพวกนั้นพังถล่มลงมา แม้จะเพียงบางส่วนก็เถอะ งานประชุมใกล้เข้ามาแล้ว อีกไม่ถึงวันเท่านั้นเอง
   “อธิบายมาสิว่า มันเกิดถล่มลงมาได้ยังไง?” ทวีศักดิ์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะเดือดดาลพอสมควรกับทีมวิศวกรที่ยืนเรียงหน้ากันอยู่
   “คงเพราะการคำนวณโครงสร้างการรับน้ำหนักผิดพลาดน่ะครับ” หนึ่งในนั้นตอบเขา ชายวัยกลางคนกวาดตามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วถามต่อ “แล้วพวกคุณแก้ไขได้ทันกำหนดหรือเปล่า?”
   ทั้งหมดหันมองหน้ากัน “น่าจะทันครับ พวกเราต้องไปคำนวณหาค่ารับน้ำหนักใหม่ก่อน”
   “ไปจัดการซะ” ทวีศักดิ์พูดและโบกมือไล่ พอหันกลับไปก็เห็นรัตน์เดินเข้ามา
   “มีอะไรหรือ?” ทวีศักดิ์กล่าว พยายามปรับน้ำเสียงให้ปกติที่สุด รัตน์มองดูเจ้านายและเพื่อนร่วมงานอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดขึ้น “ได้ยินว่ามันถล่มหรือ?”
   “อืม ก็แค่โคตรงสร้างคำลิฟต์บางส่วนน่ะ” ทวีศักดิ์ตอบ รัตน์พยักหน้า แล้วพูดต่อ “ผมจะมาบอกพี่ว่า ระบบรักษาความปลอดภัยเตรียมพร้อมหมดแล้วนะ เหลือแต่ตรงที่พังนี่แหละ”
   “ผมสั่งให้รีบซ่อมแล้ว ระหว่างนี้คุณก็จัดคนมาเฝ้าเอาไว้แล้วกัน เผื่อว่าจะแอบมีใครเล็ดลอดเข้ามา ถึงจะลึกขนาดนี้ก็เถอะ แต่กันไว้ก่อนดีกว่า”
   คนถูกสั่งพยักหน้า ก่อนจะเดินออกไป ได้ยินเสียงทวีศักดิ์พูดขึ้นอีก
   “อ้อ รัตน์ เดี๋ยววินจะมานะ เห็นว่าจะพาเพื่อนมาด้วย ถ้ายังไงให้เพื่อนเขาผ่านได้แค่โซนเอก็พอ อย่าไปแพ้ลูกอ้อนเจ้าวินมันมากนะ”
   รัตน์ยิ้มและหัวเราะหึๆ “พี่น่ะระวังเอาไว้ดีกว่า แพ้ลูกอ้อนจริงๆ นะนั่น”
   ทวีศักดิ์หัวเราะในคอ ก่อนจะหันไปคุยกับลูกน้องที่วิ่งเข้ามา
---------------------------------------------------------
   ฟ่งยืนอยู่ข้างวรุต กำลังมองดูรถลีมูซีนสีเทาที่แล่นเข้ามาจอดหน้าคอนโด วรุตเปิดประตูรถออกแล้ว ให้เขาเข้าไปก่อน จากนั้นก็มุดตามเข้ามา อิทธิเดชตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ทันทีที่ประตูรถปิดลง ผู้ที่นั่งอยู่ตรงเบาะคนขับก็เอ่ยทักขึ้นทันที
   “คุณวิน... คุณคนนั้น....”
   “อ้อ ใช่ เพื่อนผมเอง คุณอภิวัฒน์ พี่ก็รู้จักไม่ใช่หรือ” วรุตพูดยิ้มๆ ฟ่งมองเลยไปตรงที่นั่งด้านหน้า และพอจะจำได้ลางๆ ว่าผู้ชายคนนี้เคยขับรถมาส่งเขาหลังจากรับงานแล้ว วรุตหันไปทางฟ่ง หนุ่มสวมแว่นมองหน้าเขา แล้วพยักหน้า ก่อนจะสูดหายใจเฮือกใหญ่
   อีกไม่นาน เขาก็จะได้ไปยืนอยู่ในที่ที่เดียวกับที่พวกของรูฟัสอยู่แล้ว
   หวังว่าคงยังไม่เกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้นหรอกนะ
----------------------------------------------------------

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
ลุ้นอะ แต่ฟ่งนี่ก้อบ้าดีนะ รูฟัสเห็นฟ่งคงจะอยากตายแน่เลย

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
รูฟัสสติแตกแน่นอน

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
ตื่นเต้นแทนฟ่ง  ว่าแต่อิทธิเดชนี่เหมือนหุ่นยนต์นักฆ่าเลยนะ 
ในสมองมีอะไรบ้างเนี่ยะ 

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
บทที่53 แอบแฝง
   รูฟัสคิดว่าถ้ารัสเลอร์พูดออกมาช้ากว่านี้สักวินาทีเดียว เขาจะจับเจ้าหมอนี่แขวนคอเสียก่อนที่จะโหม่งพื้นโลก แต่ตอนนี้เขาคงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะถึงเขาไม่ทำเอง รัสเลอร์ก็ยังถูกแขวนอยู่ดี
   “โอย...นี่ฉันจะตายรึเปล่าเนี่ย?” เสียงของรัสเลอร์ดังขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า ชายหนุ่มกำลังห้องต่องแต่งอยู่ในอากาศ สูงจากพื้นด้านล่างสักสามสิบฟุตล่ะมั้ง
“ไม่ตายหรอกน่า” รูฟัสว่า อันที่จริงแล้วเขาเองก็คงไม่ได้สภาพดีไปกว่ารัสเลอร์เท่าไหร่นัก เพราะเขาเองก็ห้อยต่องแต่งอยู่เหนือเจ้ารัสเลอร์นี่เอง
   เสียงหล่นกระแทกของเศษวัสดุค้ำยันยังคงดังขึ้นมาจากเบื้องล่างอย่างต่อเนื่อง รูฟัสเหลือบตามองลงไปแล้วพูดขึ้นต่อ “เออ แบบนี้ก็ดี ไอ้พวกด้านล่างคงจะหนีไปหมดล่ะ”
   “ฮือ... ใครก็ได้ ช่วยเอาฉันลงไปที ฉันว่าถ้าเราห้อยตัวอยู่แบบนี้อีกสักห้านาที พวกเราอาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับการไหลเวียนเลือดก็ได้” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่ห้อยอยู่ล่างสุดโอดครวญขึ้นมา ตอนนี้พวกเขาทั้งสามคนกำลังห้อยต่องแต่งอยู่เหนือพื้นด้านล่างโดยมีสายเคเบิลเส้นหนึ่งยึดโยงเข้าไว้ด้วยกัน
   “เอ่อ...” รูฟัสเอ่ยวลีที่ไร้ความหมายออกมา “ราฟี่ ความจริงผมก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับคำพูดของรัสเลอร์เท่าไหร่หรอกนะ ว่าแต่ ทำไมคุณไม่ยอมพาเราลงไปสักที?”
   “พวกแกหัดหุบปาก แล้วใจเย็นๆ กันบ้างได้มั้ย?” ราฟาแอลกระชากเสียงตอบกลับมา รัสเลอร์ทำหน้ายู่ทันที “ฉันอธิบายเหตุผลดีๆ ทำไมนายต้องว่ากันขนาดนี้ด้วย”
   ราฟาแอลไม่พูดตอบ เขากำลังพยายามจะปลดตัวสตอปเปอร์ที่ติดอยู่กับสายเคเบิล ซึ่งเขาขว้างออกไปเกี่ยวกับคานค้ำยันคานหนึ่งในตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออกได้ทันเวลาพอดี
   “ราฟี่...” คราวนี้เสียงของรูฟัสดังขึ้นบ้าง “คุณทำอะไรอยู่เนี่ย ห้าวินาทีแล้วนะ”
   ราฟาแอลข่มจิตข่มใจตอบคำถามนั้นแข่งกับเสียงท่อเหล็กที่เพิ่งร่วงลงไปอีกอันหนึ่ง “ฉันคิดว่าสตอปเปอร์ของเรามีปัญหา”
   “หา!” ทั้งรูฟัสและรัสเลอร์ร้องขึ้นมาพร้อมกัน รัสเลอร์พูดขึ้นต่อ “ว่าไงนะ! นายว่าตัวสตอปเปอร์มีปัญหางั้นเหรอ มีปัญหาได้ไงกัน!?”
   “ฉันจะไปรู้มั้ย?” ราฟาแอลสวนกลับมา รูฟัสเลยถามขึ้นอีก “เส้นสำรองล่ะ”
   “ขว้างไปไม่ทัน” หนุ่มผมสีบลอนด์ตอบกลับมา รูฟัสถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นมาอีก "งั้น... ลองพยายามขว้างขึ้นไปก็แล้วกัน”
   “อืม..” ราฟาแอลส่งเสียงในลำคอ แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรเพิ่ม เสียงแปลกๆ ก็ดังขึ้นเหนือศีรษะของเขา จากนั้นทั้งหมดก็ร่วงลงสู่พื้นด้วยความเร่งจากน้ำหนักคูณกับแรงโน้มถ่วงของโลกทันที
-------------------------------------------------------------
   ทวีศักดิ์ขมวดคิ้ว ในตอนที่ได้ยินเสียงร่วงกราวของวัสดุคำยั้นดังสะท้อนออกมาจากห้องที่เขาเพิ่งออกมา ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว และพูดกรอกวิทยุสื่อสารที่เหน็บอยู่ข้างหู “ผมยังได้ยินเสียงมันถล่มอยู่เลย พวกคุณจะจัดการกันยังไง”
   เสียงปลายทางตอบกลับมา “ต้องรอสักพักนะครับ ผมคิดว่าอีกสักสิบนาที เราน่าจะรู้ว่ามันเสียหายขนาดไหน”
   ทวีศักดิ์ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “สิบนาที สิบนาทีแล้วกัน พวกคุณต้องจัดการมันให้ได้ เข้าใจไหม?”
   “ครับ”
   ทันทีที่พูดจบ ลูกน้องอีกคนก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหาเขา “คุณวินมาแล้วครับ”
   บนใบหน้าของทวีศักดิ์ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันที
-------------------------------------------------
   “สวัสดีครับพ่อ” วรุตพูดและยกมือไหว้ทันทีที่เห็นผู้เป็นพ่อเดินเข้ามาในห้องรับรอง ทวีศักดิ์ยิ้มกว้างให้ลูกชาย ก่อนจะเดินเข้าไปหา “พ่อดีใจจริงๆ ที่ลูกยอมมา”
   “ยังไงผมก็มาอยู่แล้ว” วรุตตอบเลี่ยงๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อ
   “พ่อ ผมมีเรื่องอยากจะขอ...”
   “หืม... ว่าไงนะ ยังส่งคนเข้าไปซ่อมไม่ได้งั้นหรือ? เกิดอะไรขึ้นมาอีกล่ะ?” ทวีศักดิ์ขยับวิทยุสื่อสารขึ้นมาพูด ขณะที่วรุตทำหน้าหงิก
   “พ่อ!”
   “แป๊บหนึ่งนะลูก” ทวีศักดิ์พูดพลางยกมือเป็นเชิงห้าม ก่อนจะกรอกเสียงลงไปต่อ “ผมต้องการรู้ปัญหาของมัน คุณหยุดการถล่มไม่ได้หรือ? โอเค งั้นก็ทำไปเลย บอกว่าผมยินดีจ่ายค่าเสี่ยงภัยให้เต็มจำนวนที่สมควรได้รับก็แล้วกัน”
   วรุตยืนขบฟันอย่างอดทน ระหว่างรอผู้เป็นพ่อคุยธุระเสร็จ แต่ยังไม่ทันจะคุยผ่านวิทยุจบ ลูกน้องคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
   ทวีศักดิ์รับฟังรายงานจากลูกน้องแล้วพูดกรอกวิทยุสื่อสารอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาหาลูกชายเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
   “ตะกี้ลูกว่าอะไรนะ?”
   วรุตคิดว่าถ้านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายล่ะก็ เขาคงจะเดินกลับไปเสียนานแล้ว ขณะที่วรุตกำลังจะอ้าปากพูด ผู้เป็นพ่อก็ชิงพูดขึ้นก่อน
   “อ้อ อืม หา?” เขาหันหน้าไปมองลูกชาย “ขอเวลาพ่อสักแป๊บนะ”
   วรุตขมวดคิ้วยุ่ง มองดูผู้เป็นพ่อเดินหลบไปอีกทางมุมหนึ่งของห้อง เขาหันกลับมามองหนุ่มสวมแว่นที่ยืนอยู่ด้านหลัง
   “ไงล่ะ พ่อผม” เด็กหนุ่มพูดพลางยักไหล่ ฟ่งได้แต่ยิ้มแห้งๆ
   “เอาน่า พ่อนายคงกำลังยุ่ง” หนุ่มสวมแว่นพยายามพูดปลอบ วรุตทำหน้ายู่ สักพักผู้เป็นพ่อก็เดินกลับมา
   “?!” นัยน์ตาสีดำของทวีศักดิ์เบิ่งกว้างทันทีที่เห็นคนซึ่งยืนอยู่ด้านหลังลูกชายตนเอง ฟ่งพยายามแค่นยิ้มออกมา ก่อนจะพูดขึ้น
   “สวัสดี ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
   ทวีศักดิ์กะพริบตาอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะยิ้มออกมา “สวัสดีครับ ไม่คิดเลยนะครับว่าจะได้เจอคุณที่นี่ มายังไงล่ะครับ?”
   “เขาเป็นเพื่อนผม” วรุตพูดแทรกขึ้นมา คราวนี้คนเป็นพ่อเลยหันกลับไปมองลูกชายตัวเองบ้าง “เพื่อนลูก? ไปรู้จักกันตอนไหนน่ะ?”
   “เอาว่าผมรู้จักก็แล้วกัน” เด็กหนุ่มตอบปัดๆ ก่อนจะพูดต่อ “ผมพาเขามาดูงานของเขา พ่อลงทะเบียนผ่านให้เขาหน่อยสิ”
   ทวีศักดิ์เบิ่งตามองลูกชาย ก่อนจะส่งเสียงในคอ “อืม... ลูกไปรู้จักเขาได้ยังไงล่ะ?”
   “เจอกันโดยบังเอิญ” ผู้เป็นลูกชายตอบ ทวีศักดิ์ขมวดคิ้ว แล้วหันกลับมาหาฟ่งอีกรอบ
   “คุณอภิวัฒน์ ได้ยินว่าคุณหายตัวไปเลยหลังจากงานเสร็จ ผมกำลังเป็นห่วงเลยว่าคุณมีอุบัติเหตุหรือเปล่า แต่เห็นแบบนี้ผมก็สบายใจแล้ว”
   ฟ่งพยายามแค่นรอยยิ้มตอบ จากนั้นก็ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดต่อ “จริงสิ เจอคุณก็ดีแล้ว ผมกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับแบบแปลนที่คุณเขียนพอดี”
   คราวนี้ฟ่งขมวดคิ้วยุ่งขึ้นมาทันที ขณะที่วรุตส่งเสียงขึ้นอีก “อะไรนะพ่อ?”
   “พ่อมีปัญหานิดหน่อย” ทวีศักดิ์พูด และยิ้มให้ลูกชายหน่อยหนึ่ง “เพื่อนลูกเคยทำงานให้พ่อ เขาคงจะพอช่วยอะไรได้” เขาหันไปทางฟ่ง และพูดต่อ
   “เชิญครับ ผมจะพาคุณไปดู”
   ฟ่งหันมามองหน้าวรุต เด็กหนุ่มีสีหน้าเลิ่กลั่ก ขณะที่ทวีศักดิ์หมุนตัวออกไป ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ เดินเข้ามาขนาบตัวฟ่งไว้ หนุ่มสวมแว่นได้แต่ยิ้มแห้งๆ
   “ผมไปด้วย” วรุตพูด และรีบเดินตามไปทันที
--------------------------------------------
   รัสเลอร์คิดว่าตัวเองคงจะสิ้นชื่อเสียแล้ว ในตอนที่เห็นเศษซากท่อโลหะพวกนั้นพุ่งดิ่งเข้ามา จะพูดให้ถูกคือเขากำลังพุ่งดิ่งลงไปหากองเศษซากพวกนั้น พร้อมกับอีกสองคนที่อยู่ด้านบนต่างหาก
   ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตัวเองแหกปากตะโกนอะไรไปบ้าง มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่ถูกรูฟัสเตะใส่นั่นแหละ
   “หุบปากบ้างไม่ได้หรือไง?” หนุ่มตาสองสีเอ็ดหลังจากโรยตัวลงมาบนกองซากระเกะระกะพวกนั้นแล้ว ขณะที่คนถูกเอ็ดยังคงนั่งอ้าปากพะงาบๆ ราฟาแอลที่โรยตัวตามลงมามองแล้วสั่นศีรษะอย่างเซ็งๆ
   “ฉัน... ฉันยังไม่ตายใช่มั้ย?” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูดออกมาและสูดหายใจเฮือกๆ รูฟัสช่วยตอบคำถามของเขา “ยัง แต่นายคงจะตายเร็วแน่ๆ ถ้ายังนั่งอยู่แบบนั้นน่ะ” พูดจบก็ดึงมือรัสเลอร์ออกมา หลังจากนั้นท่อโลหะอีกกองก็ร่วงลงมาตรงที่เขานั่งพอดี
   เสียงโลหะกระทบกันดังจนแสบแก้วหู ขณะที่ทั้งสามคนค่อยๆ เดินลุยกองซากเหล็กพวกนั้นเพื่อมองหาหนทางที่จะไปต่อ ทันใดนั้นรูฟัสก็ยุดมือของรัสเลอร์ให้ก้มต่ำลงอีก แล้วหันไปมองหน้าราฟาแอล
   พนักงานในชุดเครื่องแบบสีขาวจำนวนหนึ่งวิ่งตรงมายังบริเวณที่พวกเขาอยู่ จะเรียกให้ถูกคือพื้นที่ที่เกิดการพังทลายนั่นแหละ ในขณะที่รูฟัสและราฟาแอลกำลังคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อไป เสียงแหวกอากาศของวัตถุที่ร่วงลงมาจากด้านบนก็ดังมาให้ชัดถนัดหู ทั้งคู่รีบลากตัวรัสเลอร์พุ่งไปอีกด้านหนึ่งทันที
   “มันจะพังหมดเลยมั้ยวะเนี่ย” ราฟาแอลตะโกนแข่งกับเสียงตกกระทบกันของโลหะ พร้อมๆ กับลากตัวรัสเลอร์ให้กึ่งวิ่งกึ่งคลานไปตามซากที่กองพะเนินอยู่
   “มันไม่พังหมดหรอก แต่อาจจะถล่มลงมาเยอะอยู่” รัสเลอร์ตอบด้วยท่าทางทุลักทุเลที่สุด รูฟัสยกมือขั้นปัดเศษท่อที่กองอยู่แล้วพูดขึ้นบ้าง “ผมว่าไปให้พ้นท่อพวกนี้ก่อนเถอะ เกิดมันหยุดถล่มแล้วเราคงจะเอาเสียงอะไรมากลบไม่ได้แล้ว”
   “กำลังไปอยู่นี่ไง” ราฟาแอลว่า ก่อนจะยกมือขึ้นปัดท่อนโลหะที่ร่วงลงมาจากอีกทาง “ภาวนาให้เราไปถึงก่อนจะถูกฝังก็แล้วกัน”
-------------------------------------------------
   ฟ่งยังไม่ได้ไปถึงจุดเกิดเหตุในทันที เขาต้องเข้าห้องตรวจร่างกาย เพื่อตรวจค้นวัตถุแปลกปลอมที่อาจจะเป็นอันตราย จากนั้นก็ถูกส่งไปสแกนลายนิ้วมือกับรูม่านตาเพื่อทำประวัติ ฟ่งชักนึกสงสัยว่านี่เป็นงานประชุม หรืองานทะเบียนราษฎร์กันแน่ พอสแกนรูม่านตาและลายนิ้วมือเสร็จ ชุดเครื่องแบบสีขาวชุดหนึ่งก็ถูกนำมาให้เขา พร้อมกับพนักงานที่พาตัวเขาไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อ
   ปกติชายหนุ่มเกลียดการถูกบังคับโดยไร้เหตุผลแบบนี้ที่สุด แต่สถานการณ์ที่เป็นอยู่คงไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาโวยวายเพราะเรื่องความชอบหรือไม่ชอบส่วนตัวในตอนนี้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงยอมที่จะเปลี่ยนเสื้อและเดินออกมาในชุดหมีสีขาว พร้อมกับรับหมวกกันกระแทกที่มีคนนำมาส่งให้
   ทวีศักดิ์ยิ้มให้อย่างเป็นมิตรทันทีที่เห็นเขาเดินออกมา ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ลำบากคุณแล้วนะครับ เสร็จงานนี้แล้วผมจะจ่ายค่าเสียเวลาเพิ่มให้ก็แล้วกัน”
   ฟ่งยิ้มแห้งๆ และคิดในใจว่า เลิกสั่งเก็บเขาก่อนก็แล้วกัน ส่วนเรื่องค่าจ้างค่อยว่ากันอีกที
   วรุตที่ยืนอยู่มองเขาอย่างเป็นห่วง แล้วพูดแทรกขึ้น “ผมลงไปด้วย”
   ทวีศักดิ์หันมามองลูกชายแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ “มันอันตรายนะ คนไม่เคยทำงานลงไปไม่ดีหรอก ลูกอยู่ตรงนี้แหละ”
   “ไม่ล่ะ ผมจะลงไปด้วย เอาหมวกมาใส่ก็ได้” เด็กหนุ่มไม่ยอมแพ้ ทวีศักดิ์มองหน้าลูกชายอยู่พักหนึ่งแล้วถอนหายใจ “ก็ได้ แต่สัญญานะว่าลูกจะยืนอยู่ในจุดที่ปลอดภัยน่ะ”
   วรุตพยักหน้า ทวีศักดิ์จึงสั่งให้คนเอาหมวกมาเพิ่ม ก่อนจะเดินนำพวกเขาลงไปยังจุดเกิดเหตุ
--------------------------------------
    พวกราฟาแอลยังคงติดอยู่ในกองซาก หลังจากที่การถล่มหยุดลงแล้ว เนื่องจากมองไปทางไหนก็หาทางออกไม่ได้สักที แล้วเครื่องจีพีอาร์เอสที่มีอยู่ก็พิกัดกว้างเกินกว่าจะระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของพวกเขาได้ ไม่ต้องพูดถึงเครื่องมือของรัสเลอร์ ที่วางไม่พอให้เขาหยิบเป้มาเปิดโดยไม่เกิดเสียงดังด้วยซ้ำ ดังนั้นทั้งสามคนจึงยังคงอยู่นิ่งๆ โดยอาศัยกองซากปรักหักพังพวกนั้นช่วยพรางตัว สักพัก พวกพนักงานในชุดสีขาวก็ทยอยกันตรงมายังจุดถล่มซึ่งพวกเขายืนหลบอยู่
   รูฟัสนึกว่านายทวีศักดิ์ที่เป็นเจ้าของสถานที่ คงจะชอบสีขาวน่าดู ดูจากเครื่องแบบพนักงานพวกนี้แล้ว วันๆ หนึ่งคงต้องเสียค่าน้ำยาซักผ้าขาวไม่น้อยอยู่ ได้ยินเสียงรัสเลอร์กระซิบถามขึ้นมา
   “นี่ พวกนายจะเอาไงต่อ พวกนั้นท่าทางคงจะลงมาเคลียร์พื้นที่ ยืนนิ่งๆ แบบนี้เราถูกจับได้แหง”
   รูฟัสเพ่งสายตามองตรงไปยังรถแทรกเตอร์ขนาดกลางที่แล่นลงมา ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองราฟาแอลแล้วพยักหน้า
   “รัสเลอร์ นายฟังแผนของพวกเราดีๆ แล้วห้ามทำพลาดล่ะ”
---------------------------------------------
   ฟ่งหันไปมองรถเครนที่ขนเศษซากของวัสดุค้ำยันที่แล่นผ่านไป พลางนึกหวั่นในใจว่าห้องจะถล่มลงมาขนาดไหนกันแน่ แล้วพวกรูฟัสจะเป็นอย่างไรบ้าง พอเดินไปอีกไม่กี่ก้าว หนุ่มสวมแว่นถึงกับผงะ สภาพที่เขาเห็นคือโครงสร้างลิฟต์ทั้งหมดพังถล่มลงมาเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์
   “คุณแก้แปลนผม” นั่นคือคำพูดแรกที่ฟ่งพูดออกมา เขาหันไปมองทวีศักดิ์ที่ดูจะมีสีหน้าแปลกใจอยู่บ้าง “อืม ครับ ก็ผมติดต่อคุณไม่ได้ ว่าแต่คุณรู้ได้ยังไงน่ะ?”
   “ผมเห็นก็รู้แล้ว นี่มันผิดจากที่ผมเขียนไว้” ฟ่งว่า และรู้สึกโมโหขึ้นมาจริงๆ ที่มีการแก้ไขแปลนโดยไม่แจ้งเขาก่อน ถึงจะหาตัวแจ้งไม่ได้ก็เถอะ ถ้าคำนวณเองแล้วพลาดแบบนี้ก็ไม่ต้องแก้เสียเลยสิ
   ทวีศักดิ์พยักหน้า “ครับ ผมอยากให้คุณดูว่าจะแก้ไขอะไรได้บ้าง”
   “ผมขอดูแปลนที่แก้แล้วหน่อย” ฟ่งว่า ทวีศักดิ์พูดอะไรบางอย่างกรอกลงไปในวิทยุสื่อสาร สักพัก กลุ่มคนราวๆ ห้าหกคนก็เดินลงมาพร้อมกับพิมพ์เขียวในมือ
   “นี่ทีมวิศวกรของที่นี่ ส่วนนี่ สถาปนิกที่เขียนงานให้ผม” ทวีศักดิ์พูด ก่อนจะแนะนำตัวคนที่เพิ่งเดินมาทีละคน จากนั้นก็พูดต่อ “ผมมอบหมายให้คุณร่วมทีมไปเลยก็แล้วกันนะ ผมอยากให้ทุกอย่างเสร็จก่อนหกโมงเช้าพรุ่งนี้ ถ้าได้หรือไม่ได้ยังไงติดต่อผมมาทางวิทยุที่ให้ไว้ก็แล้วกัน”
   ทีมวิศวกรพยักหน้า ฟ่งก็เลยต้องพลอยพยักหน้าตามอย่างงงๆ ไปด้วย ทวีศักดิ์หันหน้ากลับไป และเอ่ยเรียกลูกชายของเขา “วิน ไปกับพ่อหน่อย พ่อมีอะไรจะให้ลูกช่วย”
วรุตที่ยืนห่างออกไปหน่อยหนึ่งขมวดคิ้วของตนทันที “ผมจะอยู่นี่”
“ไม่เอาน่า ลูกจะอยู่ทำไม ช่วยอะไรเขาไม่ได้เสียหน่อย” ชายวัยกลางคนพูด และเดินไปหาลูกชาย ก่อนจะกระซิบ “พ่อไม่ฆ่าเขาหรอก พ่อสัญญา”
วรุตเบิ่งตามองพ่อของคน ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะพูดขึ้นอีก “ไปกันเถอะ เราต้องเตรียมตัวต้อนรับแขกแล้ว”
--------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2011 11:55:29 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   รัสเลอร์หลับตาปี๋ พยายามสวดมนต์ทุกบทเท่าที่นึกออก ขณะที่เครนของรถแทรกเตอร์ค่อยๆ เอียงตัวลงและเทเขาลงมาพร้อมกับกองเศษวัสดุพวกนั้น เกิดมาไม่เคยนึกไม่เคยฝันเลยว่าจะต้องมาถูกตักด้วยรถแทรกเตอร์แบบนี้ หวังว่าเจ้าพวกราฟาแอลคงจะรอเขาอยู่ ไม่ใช่ว่าถูกท่อพวกนี้ทิ่มตายไปแล้วหรอกนะ
   หนุ่มผมสีน้ำตาลหล่นโครมลงมาบนกองเศษวัสดุพวกนั้น เขาพยายามกลิ้งตัวให้ร่วงลงไปด้านข้างโดยอาศัยพวกเศษที่ร่วงกระจายระหว่างนั้นในการพรางตัวอย่างที่พวกราฟาแอลบอก โชคดีที่สุดปฏิบัติงานทอด้วยเนื้อผ้าที่สังเคราะห์มาเป็นพิเศษ จึงพอช่วยกันปลายแหลมๆ ของท่อโลหะพวกนั้นได้
   กลิ้งไปได้สักพัก มือของใครสักคนก็ยื่นมาคว้าคอเสื้อเขาไว้ รัสเลอร์หอบหายใจเฮือกๆ ก่อนจะอุทานออกมา “ขอบคุณพระเจ้า”
   “ขอบคุณฉันนี่” ราฟาแอลว่า ก่อนจะลากเขาเข้าไปหลบข้างกองเศษวัสดุอีกกองหนึ่ง รัสเลอร์จึงมีโอกาสได้กวาดตามองสถานที่รอบๆ ที่เขาถูกเทลงมาเป็นครั้งแรก เขาเห็นนั่งร้านเหล็ก ท่อโลหะรูปทรงต่างๆ และเศษวัสดุอีกหลายอย่าง กองแยกๆ กันอยู่
   “ท่าทางที่นี่จะเป็นที่ทิ้งขยะล่ะนะ” รูฟัสออกความเห็น ก่อนจะหันไปหารัสเลอร์ “เอาล่ะ นายทำอะไรได้บ้าง?”
   “ฉันจะเช็กตำแหน่งของพวกเราก่อนเลยก็แล้วกัน” ชายหนุ่มตอบ และหยิบคอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าเป้ พลางนึกโล่งใจว่ามันไม่เสียหายอะไร ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
   เครื่องคอมพิวเตอร์แสดงภาพแผนผังขึ้นมาบนจอภาพ รัสเลอร์ขยับมือไปบนหน้าจอ และเลื่อนภาพพวกนั้นไปเรื่อยๆ
   “อืม.. ตอนนี้ฉันคิดว่าเราน่าจะอยู่ตรงส่วนที่เป็นที่เป็นลานอเนกประสงค์ ซึ่งก็คงถูกใช้เป็นที่เก็บของนั่นแหละ” เขาว่า และชี้มือลงไปบนช่องสี่เหลี่ยมในแผนผังที่กำลังถูกขยายขึ้นมา ก่อนจะพูดต่อ “อืม... อย่างที่คิดไว้จริงๆ สัญญาณดาวเทียมถูกกั้น เราคงพึ่งระบบนำทางอัตโนมัติไม่ได้แล้วล่ะ”
   “เอ้อ.. ก็ออกอีหรอบนี้แทบทุกทีสิน่า” ราฟาแอบพูดออกมา พลางถอนหายใจ รูฟัสเลยพูดขึ้นต่อ “แล้วนายทำอะไรได้อีก”
   “พวกนายใจเย็นๆ ถึงจะไม่มีดาวเทียมมันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นหรอกนะ มองหาพวกสายไฟ สายเคเบิลให้ฉันหน่อยสิ”
   “ข้างหัวนายมีท่ออยู่น่ะ คิดว่าน่าจะใช่” รูฟัสตอบ รัสเลอร์มองขึ้นไป แล้วพยักหน้า ก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวลองหาที่อื่นดูก่อนก็ได้ ฉันจะตั้งฐานสื่อสาร ต้องหาที่ปลอดภัยหน่อยใช่ไหมล่ะ”
   หลังจากแยกย้ายกันสำรวจสักพัก รัสเลอร์ก็ได้มุมเหมาะๆ ตรงใต้นั่งร้าน ซึ่งอยู่ตรงมุมอับแสงไฟพอดี ซึ่งเป็นมุมที่ราฟาแอลเสนอแกมบังคับให้เขาต้องเลือก เพราะใกล้ทางเข้าออก และมีครบทุกอย่าง
   หนุ่มผมสีน้ำตาลล้วงเอาสายสีเงินเส้นเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเป้ ก่อนจะต่อปลายข้างหนึ่งเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ และปลายอีกข้างหนึ่งนำไปกดไว้กับท่อที่พาดอยู่ริมผนัง
   “เดี๋ยวพวกนายจะได้เห็นประสิทธิภาพอุปกรณ์แฮกกิ้งรุ่นล่าสุดของฉัน เฉพาะสายตัวนี้ฉันให้ชื่อว่าเอ็ดเวิร์ด”
   “เอาล่ะ พวกนั้นกำลังพยายามวางแผนต่อไปอยู่ นายช่วยเงียบๆ หน่อย” ราฟาแอลหันมาเอ็ด ก่อนจะหันกลับไปปรึกษากับรูฟัสต่อ
   “เราจำเป็นต้องไปหามิสเตอร์ ดี เอ็น แอล ก่อน หวังว่าไอ้เรื่องถล่มนั่นคงจะทำให้ทางนั้นวุ่นวายพอที่จะไม่สนใจคนที่มีขึ้นมาเพิ่มหรอกนะ”
   “ผมว่าเราต้องหาเสื้อผ้าของที่นี่มาใส่ก่อน เดินโทงๆ ออกไปทั้งชุดแบบนี้ ต่อให้มีระบบพรางตาอยู่บนชุดก็คงช่วยอะไรไม่ได้เท่าไหร่หรอก เพราะพวกเขาใส่เครื่องแบบสีขาวกันหมดเลย” รูฟัสเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติม ราฟาแอลพยักหน้า
   “งั้น... เราจะไปหาเสื้อผ้าพวกนี้ที่ไหนล่ะ? ลากพนักงานพวกนั้นมาฆ่าทิ้งสักคนสองคน?”
   “อืม... คุณคิดอย่างอื่นก่อนเรื่องฆ่าคนบ้างก็ดีนะ” รูฟัสพูดออกมาอย่างเอือมระอาเต็มที ราฟาแอลนิ่วหน้า “มีแผนก็พูดมาเถอะน่า ฉันไม่ถนัดคิดอะไรที่มันซับซ้อนนักหรอก”
   “ผมว่าชุดขาวๆ พวกนี้ มันต้องเปลี่ยนและซักกันทุกวันแน่ๆ เขาคงไม่ขนออกไปซักข้างนอกหมดหรอก และถึงจะซักข้างนอกนะ มันก็ต้องมีห้องที่เก็บเสื้อผ้าพวกนี้อยู่ดี เราต้องไปที่นั่นก่อน หาเสื้อมาใส่ แล้วค่อยไปตามหามิสเตอร์ ดี เอ็น แอล อีกที”
   ราฟาแอลพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนที่จะได้ยินเสียงรัสเลอร์ร้องขึ้น “ว้าว พวกนายต้องชอบแน่ๆ ที่นี่ติดกล้องวงจรปิดไว้ถี่ยิบเลยล่ะ”
   “ฉันไม่เคยพิศวาสไอ้กล้องพวกนั้นเลยสักนิด” ราฟาแอลว่า รูฟัสพยักหน้า “รัสเลอร์ นายต้องบังกล้องพวกนั้นให้เรานะ”
   “อันนั้นน่ะรู้แล้วล่ะน่า” หนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มพูด ก่อนจะพูดต่อ “ฉันจะบอกนายว่า เขาคงจะติดไว้ทุกห้องเลยล่ะ เพราะงั้นนะ ถ้าเชื่อมสัญญาณเข้ากับแผนที่ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าห้องไหนทำอะไร”
   “ว้าว” ราฟาแอลร้องออกมา “เจ๋ง ขอดูหน่อยสิ”
   “ทั้งหมดนี่พวกนายต้องขอบคุณเอ็ดเวิร์ดของฉัน” รัสเลอร์พูดขึ้นด้วยสีหน้าภูมิอกภูมิใจ “ฉันติดหัวเจาะเล็กๆ เอาไว้ที่ปลายด้วย นายน่าจะได้เห็นตอนที่มันเจาะเข้าไปในท่อ แล้วทะลวงเข้าไปหาสายเคเบิลพวกนั้น แค่แตะนิดเดียว ฉันก็เข้าถึงฐานข้อมูลพวกนี้ได้แล้ว ฉันว่าอนาคตจะพัฒนาให้มีระบบค้นหาสายเคเบิลอัตโนมัติ แล้วก็ทำขาเทียมเอาไว้ให้ปีนขึ้นไปเองด้วยเลย”
   “เอาล่ะ” ราฟาแอลพูดอย่างอดทนอดกลั้น “เราอยากดูภาพกับแผนที่ นายจะให้เราดูได้หรือยัง”
   “ได้ๆ แต่นายอาจจะงงสักนิดหนึ่งนะ เพราะฉันคิดว่าคงมีอย่างน้อยสักห้าหกร้อยตัว ยังโหลดมาไม่หมดเลยล่ะ”
   ราฟาแอลกับรูฟัสหันหน้ามองกันทันที ก่อนที่รูฟัสจะพูดขึ้นบ้าง “รัสเลอร์ เราอยากได้ห้องที่เก็บเสื้อผ้า นายพอจะหาให้เราได้ไหม”
   “เห? ห้องเก็บเสื้อผ้าเรอะ? เหมือนจะเห็นแว้บๆ นะ เดี๋ยวจะลองหาให้” รัสเลอร์ว่า และลากมือลงไปบนหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์ สักพักก็โพล่งออกมา
   “ห้องนี้ล่ะมั้ง นายมาดูสิ”
   รูฟัสชะโงกหน้าเข้าไป ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นภาพชั้นวางเสื้อผ้าจำนวนมาก และพนักงานที่เข็นรถเข้าไปรับเสื้อ “เอาล่ะ เยี่ยมเลย ห้องนี้อยู่ตรงไหนน่ะ”
   รัสเลอร์กดดูตำแหน่งแล้วเทียบกับแผนผัง จากนั้นก็อธิบายต่อ “ห้องที่สามทางขวามือชั้นสอง โซนเอฟ เอางี้ เดี๋ยวฉันจะตั้งฐานสื่อสาร แล้วยิงแผนที่ส่งให้พวกนายไปดูกันระหว่างทางเลยแล้วกัน นาฬิกาพวกนายมีระบบฉายภาพสามมิติอยู่ แต่ระวังอย่าเรียกดูที่มืดๆ ล่ะ”
   “ที่สว่างก็มองไม่ค่อยเห็นเหมือนกันนั่นแหละน่า” รูฟัสว่า และพูดต่อ “ส่งมาก็แล้วกัน เดี๋ยวพวกฉันหาทางดูกันเอง”
   “อืม” รัสเลอร์พยักหน้า แล้วหยิบอุปกรณ์ออกมาจากกระเป๋าเป้ หลังจากต่อนั่นต่อนี่อยู่สักพัก เขาก็พูดต่อ “เฮ้ ฉันจะลองพูดเข้าระบบนะ พวกนายก็เสียบหูฟังได้แล้ว”
   รูฟัสและราฟาแอลขยับหูฟังที่ซ่อนอยู่ตรงคอเสื้อขึ้นมาเหน็บหู ก่อนจะได้ยินเสียงรัสเลอร์ดังเข้ามา “ทดสอบๆ สิงโต กับเสือขาว ทราบแล้วเปลี่ยน”
   “ชื่อรหัสอะไรของนาย” รูฟัสอดไม่ได้ต้องถามขึ้นทันที รัสเลอร์ยักไหล่ “รหัสพวกนายสองคนไง ราฟี่เป็นสิงโต นายเป็นเสือขาว เหมาะดีออก”
   “เออ เข้าท่า” ราฟาแอลว่า และพูดต่อ “งั้นนายเป็นลิงซิมแปนซีแล้วกัน”
   “เฮ้ย ทำไมฉันต้องเป็นลิงซิมแปนซีด้วยล่ะ” รัสเลอร์แย้ง รูฟัสช่วยตอบแทนให้ “เพราะลิงซิมแปนซีฉลาดที่สุดในหมู่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมน่ะสิ นี่พวกเราอุตส่าห์ชมนายนะเนี่ย”
   “โอ้.. งี้นี่เอง” รัสเลอร์พูดขึ้นมาอย่างนึกได้ แล้วยิ้มกว้าง “งั้นซิมแปนซีเรียกเสือขาว ตอบด้วย”
   “อืม ได้ยินชัดเจนเลยล่ะ” รูฟัสตอบไป จากนั้นรัสเลอร์ก็หันไปเรียกทางราฟาแอล “ซิมแปนซีเรียกสิงโต ตอบด้วย”
   “ปกติ” ราฟาแอลตอบสั้นๆ แล้วบอกให้รัสเลอร์ลองยิงแผนที่ที่ตรวจสอบแล้วเข้าไปในระบบของนาฬิกาข้อมือ
   “ใช้ได้ แล้วเรื่องระบบความปลอดภัยที่ประตูต่างๆ ล่ะ” หนุ่มผมสีบลอนด์หันมาถามอีก รัสเลอร์หยิบอะไรบางอย่างส่งให้เขา อันหนึ่งเป็นพลาสติกกลมๆ ขนาดเท่าลูกตามนุษย์ อีกอันเป็นแผ่นวัสดุใสๆ และยืนหยุ่น คล้ายๆ ยาง
   “อันนี้ลูกตาเทียม นายพกไว้ตรงไหนก็ได้ ส่วนนั่น ลายนิ้วมือปลอม นายแปะไว้ตรงนิ้วก็ได้ จะได้กดได้ง่ายๆ แต่ออกไปแล้วพวกนายรอสัญญาณจากฉันก่อนจะใช้นะ เพราะฉันต้องเจาะระบบเข้าไปแอบเพิ่มข้อมูลพวกนี้ก่อน”
   ราฟาแอลพยักหน้า และส่งอุปกรณ์อีกชุดให้รูฟัส
   “นานแค่ไหนกว่าที่นายจะเจาะเข้าระบบได้” รูฟัสถามต่อ หลังจากแปะลายนิ้วมือเทียมลงไปบนถุงมือแล้ว
   “ยังไม่รู้ แต่ทางไปห้องเก็บเสื้อผ้ายังไม่ต้องผ่านเกท พวกนายออกกันไปก่อนแล้วกัน ถ้ายังไงก็เดินหลบๆ กันไปก่อน ฉันจะพยายามเร่งให้ เดี๋ยวได้แล้วจะติดต่อไป”
   “ตกลง” ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะหันมามองเขาอีกครั้ง
   “นายอยู่ที่นี่คนเดียวได้นะ?” ราฟาแอลถามขึ้น รัสเลอร์พยักหน้า “คุณพ่อราฟี่อย่าเป็นห่วงมากนักน่า เดี๋ยวฉันจะให้นายดูอะไรเพื่อความสบายใจ”
   พูดจบก็หยิบแผ่นอะไรออกมาจากกระเป๋าเป้ จากนั้นก็สะบัดออก แผ่นเล็กๆ นั้นขยายออกเป็นแผ่นฟิล์มขนาดใหญ่ จากนั้นรัสเลอร์ก็วางมันลงกับพื้น โดยยึดกับขาตั้งที่หยิบตามออกมา
   “นี่เป็นฉากพรางตารุ่นใหม่ของฉัน เนียนดีไหม”
   “อืม” ราฟาแอลส่งเสียง ตอนนี้พวกเขามองไม่เห็นรัสเลอร์แล้ว ถ้าไม่ได้เห็นก่อนก็คงไม่รู้ว่ารัสเลอร์นั่งอยู่ตรงนั้น สิ่งที่เขาเห็นตอนนี้คือนั่งร้านอันหนึ่งที่ด้านล่างโล่งๆ เท่านั้นเอง
   “เป็นอันว่าเรียบร้อยนะ พวกนายไปได้แล้วล่ะ” รัสเลอร์โผล่หน้าออกมาแล้วชูนิ้วโป้ง ราฟาแอลกับรูฟัสชูนิ้วโป้งตอบ ก่อนจะเดินออกไป
----------------------------------------------------
   อิทธิเดชเดินสวนเข้ามา ในตอนที่วรุตเดินตามผู้เป็นพ่อกลับไปยังพื้นที่ส่วนกลาง ชายหนุ่มอยู่ในชุดสีขาวปลอด พอเห็นทั้งคู่เขาก็ยกมือขึ้นไหว้ทักทายทันที “สวัสดีครับ”
   “สวัสดี” ทวีศักดิ์รับไหว้ และพูดขึ้น “จริงสิ เจอเธอก็ดีแล้ว พาเจ้าวินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย ฉันจะให้เขาออกไปรับแขกด้วยกัน เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปรอก่อน”
   “ครับ” อิทธิเดชพยักหน้ารับในขณะที่วรุตร้องขึ้น “เดี๋ยวสิพ่อ แขกอะไรน่ะ?”
   “คนที่พ่อเชิญมาประชุมน่ะ พวกเขาควรจะต้องรู้จักลูกเอาไว้หน่อย” ทวีศักดิ์ตอบ วรุตทำหน้ายุ่ง พลางคิดว่าพ่อเขาพูดอะไรผิดลำดับหรือเปล่า เขาสิควรจะรู้จักคนพวกนั้น ไม่ใช่ให้คนพวกนั้นมารู้จักเขา
   “ตามนี้ล่ะนะ เดี๋ยวลูกเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วขึ้นมาหาพ่อก็แล้วกัน เดชรู้ทางแล้วใช่ไหม”
   “ครับ คุณรัตน์บอกผมแล้ว” คนถูกถามพยักหน้า ทวีศักดิ์โบกมือให้เขา แล้วเดินออกไปทันที ทิ้งให้วรุตยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น
   “เธอรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ แขกของท่านประธานเริ่มทยอยมากันแล้วล่ะ” อิทธิเดชพูด วรุตหันไปมองหน้าเขา ก่อนจะเอ่ยถาม “คุณเห็นแขกพวกนั้นบ้างหรือยัง เป็นคนแบบไหนกันน่ะ”
   “ฉันจะเล่าให้ฟัง ระหว่างที่เราเดินไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก็แล้วกัน”
--------------------------------------------------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด