วันนี้คนเขียนมาแล้วค่ะ ถึงจะยังไม่หายดี แต่ก็พาพี่หมูกับคุณนิธินมาให้คนอ่านที่รักแล้ว แม้คนเขียนจะป่วยไข้ แต่ก็ยังอยากเห็นความสุขของคนอ่านค่ะ ขอบคุณทุกกำลังใจที่ให้กันเสมอมานะคะ ขอบคุณค่ะ
34
วันทำงานของสัปดาห์ก็มาเยือนอีกรอบ แต่อธิปพงศ์และนิธินไม่ได้รู้สึกเกียจคร้านแต่อย่างใด แม้จะเพิ่งผ่านพ้นวันหยุดที่แสนจะมีความหมายมาก็ตาม หลังจากกลับไปเยี่ยมแม่และยายแล้ว พวกเขารู้สึกมีกำลังใจและอบอุ่นใจมากขึ้นกับความรู้สึกที่แม่และยายมอบให้เมื่อตอนที่พบกัน
นิธินนึกถึงคำพูดของแม่คนรัก ที่พูดกับพวกเขาเมื่ออยู่พร้อมหน้ากันในบ้าน
“ตอนนี้พวกเรากลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว แม่ดีใจด้วยนะ แต่แม่อยากให้พวกเราจดจำความรู้สึกตอนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันว่าเป็นยังไง...และพยายามทำทุกวันต่อจากนี้ให้มีความหมายและคุ้มค่าที่สุด....”
ชายหนุ่มเข้าใจดีกับคำพูดของแม่คนรัก และรับรู้ได้ว่า แม่ของอธิปพงศ์อยากให้ความรักของพวกเขายั่งยืนมั่นคงดูแลกันและกันตลอดไป ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ตัวเขาปรารถนาเช่นกัน
นิธินรู้ดี ว่าความรักแบบพวกเขา เป็นความรักที่ไม่มีรูปแบบตายตัวและไม่มีสิ่งใดที่จะผูกมัดคนทั้งสองไว้ตลอดไปได้ นอกจากความรักที่มีให้กันเท่านั้น และนั่นก็เป็นสิ่งที่สำคัญกับความเป็นคนรัก หากหมดรักกันแล้วทุกอย่างก็จบสิ้น
แต่เขาก็นึกไม่ออกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรหากไม่ได้อยู่กับอธิปพงศ์ นอกจากความรู้สึกทรมานที่ผุดขึ้นมากลางอก
นิธินไม่อาจรู้ว่าพรุ่งนี้ของพวกเขาจะสวยงามอย่างที่หวังไว้หรือไม่
แต่สิ่งที่เขามั่นใจก็คือทำปัจจุบันของชีวิตคู่ให้ดีที่สุด...
บ่ายแก่วันนี้กรุงเทพฯยังคงมีอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนเหมือนทุกวัน แดดจ้าที่ส่องผ่านเมฆสีคล้ำนั้นเป็นสัญญาณให้คนใต้ฟ้าเตรียมตัวกับสายฝนที่จะตกมาในไม่ช้า แต่บรรยากาศในย่านสรรพสินค้าแห่งนี้ยังคงคึกคักเหมือนจะเป็นโลกอีกใบที่ไม่ยี่หร่ะต่อสภาพอากาศที่ห่อหุ้มไว้ ทุกคนในร้านยังคงทำงานกันไม่ขาดมือ พี่กุ้งที่เพิ่งสระผมให้ลูกค้ารายนึงเสร็จ ก็พาเธอมานั่งที่กระจกเพื่อจะเข้าสู่ขั้นตอนการจัดแต่งตามปกติ
"วันนี้จะทำแบบไหนดีครับ"
"ขอแบบสไลด์ปลายนะคะ และพี่กุ้งว่าหนูจะทำสีอะไรดี"
"อืม.." พี่กุ้งจับเส้นผมลูกค้าและสำรวจรูปหน้ากับสีผิวก่อนจะให้คำตอบ
"ตอนนี้ผมน้องบีเริ่มเสียนะ ถ้าจะสไลด์ต้องกลับไปดูแลดีๆ ล่ะ ส่วนเรื่องสี พี่ว่าสีน้ำตาลประกายแดงจะดีที่สุด เพราะน้องเป็นคนผิวค่อนข้างขาวเหลือง"
"ค่ะ"
ลูกค้าสาวรับคำและพูดคุยกับช่างผมอย่างสนิทสนม อธิปพงศ์เองก็พาลูกค้าที่ตัดผมเสร็จมานั่งที่กระจกข้างๆ เขาเห็นแล้วว่าเธอคนนี้เป็นลูกค้าประจำของพี่กุ้ง จึงยิ้มให้ตามมารยาท และเช็ดผมให้ลูกค้าของตัวเอง ส่วนพี่กุ้งก็พูดคุยกับลูกค้าประจำอย่างสนิทสนม
"แล้วช่วงนี้น้องบีหายไปไหนมาเนี่ย หืมม์"
"ก็ทำงานสิคะ เฮ้อออ เจอเพื่อนร่วมงานแย่ๆ ก็ตกหนักเราอย่างนี้แหล่ะค่ะ"
พี่กุ้งถามยิ้มๆ หวังจะให้เธออารมณ์ดีขึ้น
"ยังไงล่ะ"
"ก็..หนูมีเพื่อนร่วมงานเป็นคนอินเดียพี่ ไอ้พวกนี้แม่งเห็นแก่ตัว"
แม้เธอจะพูดให้พี่กุ้งฟัง แต่อธิปพงศ์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็ได้ยินเต็มสองหู ชายหนุ่มจึงชะงักและหันมามองหน้าเจ้านายที่ตกใจไม่แพ้กัน พี่กุ้งพยายามนิ่งเฉย และฟังต่อ
"หนูเลิกงานดึกๆ ทุกวันก็พวกมันนี่แหล่ะ แม่งไม่ช่วยงานอะไรเลย สั่งอะไรไปก็ไม่ช่วยทำ แถมยังพูดไม่ค่อยรู้เรื่องอีก"
"อืม เหรอ.." พี่กุ้งรับคำ ส่วนอธิปพงศ์ที่ลงกรรไกรอยู่ก็ไม่ละหูจากลูกค้าคนนี้
"ไอ้พวกนี้แม่งขี้งก เห็นแก่ตัวที่สุด หนูก็ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะกลับๆ ประเทศมันไปซะที จะมาทำงานที่นี่ทำไมก็ไม่รู้"
เมื่อเธอระบายโทสะเสร็จก็ถอนหายใจออกมาส่งท้ายให้โล่งอก แต่คนฟังอย่างอธิปพงศ์นี่สิถึงกับเก็บไปคิดตาม เมื่อหมดลูกค้าแล้ว พี่กุ้งจึงเดินมาดูอธิปพงศ์ที่ยืนอยู่หลังร้านด้วยความเป็นห่วง
"หมู คิดอะไรอยู่ คิดถึงที่คุณบีเล่าให้ฟังใช่มั๊ย"
"เปล่าครับ..เอ่อ..ก็..คิดตามนิดหน่อยน่ะครับ"
อธิปพงศ์รับคำ เพราะตั้งแต่อยู่กันมาเขาแทบไม่เห็นข้อเสียในตัวอีกฝ่ายเลย จึงคิดว่าไม่แน่สิ่งที่นิธินซ่อนอยู่อาจจะเป็นสิ่งเดียวกับที่ลูกค้าพี่กุ้งพูดมาก็ได้
"หึหึ กลัวว่าคุณนิธินจะเป็นอย่างนั้นเหรอ"
"เปล่าหรอกครับ เพียงแต่เท่าที่คบกันมา ผมยังไม่ค่อยเห็นข้อเสียของเค้าก็เท่านั้น"
"เลยคิดว่าที่จริงคุณนิธินอาจจะเป็นอย่างที่คุณบีว่าไว้งั้นสิ"
พี่กุ้งหัวเราะน้อยๆ กับอาการคิดมากของรุ่นน้อง
"เฮ้ออ หมู คนของเราเป็นยังไง เราก็รู้ของเราอยู่ มีคนอินเดียตั้งร้อยล้าน ไปเหมารวมไม่ได้หรอก"
"ครับ"
"หมูอย่าคิดอะไรมากเลย ถ้าเค้าไม่ดีจริงหมูคงไม่ได้อยู่กับเค้าหรอก จริงมั๊ย"
พี่กุ้งพูดแค่นั้นพร้อมรอยยิ้ม ส่วนอธิปพงศ์พยักหน้ารับ แต่ก็ยังไม่หายกังวลใจกับเรื่องที่ได้ยิน
หน้าฝนอย่างนี้ทำให้นิธินและเพื่อนไม่ได้ออก เล่นคริกเก็ตกันบ่อย ๆ กิจกรรมผ่อนคลายของพวกเขาจึงต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามฤดูกาล ดังเช่นวันนี้ที่นิธินและกลุ่มเพื่อนใช้เวลาหลังเลิกงานออกไปเดินดูของแต่งบ้านตามที่วิษณุชักชวนไว้ ชายหนุ่มทั้งสี่เพลิดเพลินกับเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านหลากหลายรูปแบบ
"นิธิน ๆ"
"ว่าไง"
"นายว่าโซฟาตัวนั้นสวยมั๊ย"
วิษณุชี้ไปยังโซฟาสไตล์โมเดริ์นวินเทจสีกรมท่า ที่วางเดี่ยวอยู่กลางชุดรับแขกแบบเดียวกัน
"ไปดูสิ"
นิธินก็สนใจเหมือนกันจึงเดินไปดูใกล้ๆ กับวิษณุ เมื่อได้ดูใกล้ ๆ และลองสัมผัสดูแล้วนิธินก็รู้สึกถูกใจกับโซฟาตัวนี้มาก
"อืม สวยดี…"
เอเจกับแทนไทเดินมาสมทบ เมื่อเห็นอย่างนั้นจึงบอกว่า
"เฮ้ย สวยก็ซื้อไปเลยสิ"
"เหอะ ขอกลับไปถามคุณหมูก่อนดีกว่าว่ะ"
"อะไรวะ ต้องรออะไร นายถูกใจนายก็ซื้อเลย แล้วอย่างนี้ถ้าเค้าไม่ชอบเหมือนนาย นายไม่อดเหรอ"
แทนไทออกความเห็น
"ไม่ได้หรอก ห้องของชั้นก็คือห้องของเค้า ชั้นอยากให้เค้าโอเคด้วยหน่ะ"
"อืมๆ"
แทนไทผู้ไร้คู่พยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่ทั้งหมดจะไปดูกันที่มุมอื่นต่อ พวกเขาอยู่ที่นั่นกันพักใหญ่ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยที่นิธินยังนึกถึงโซฟาตัวนั้นอยู่ และกะจะกลับไปขอความเห็นคนรักกับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนี้ด้วย
"ที่รักครับ วันนี้ผมไปอินเด็กซ์ฯกับเพื่อนมา ผมเจอโซฟาตัวนึง เหมาะกับห้องเรามากเลยล่ะ"
"โซฟาเหรอ" นิธินนั่งอยู่บนเตียงถามอธิปพงศ์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ
"นี่..."
นิธินเปิดรูปในโทรศัพท์ให้คนรักดู อธิปพงศ์จึงได้ยลโฉมโซฟาตัวนั้นที่คนรักพูดถึง
"นี่ไง โซฟา"
"เท่าไหร่อ่ะครับ"
"หนึ่งหมื่นเก้าพันเก้าร้อยบาท"
"อืม สวยดี" อธิปพงศ์รับคำแค่นั้น ก่อนจะบอกเสียงอ่อย ๆ ว่า
"แต่เราอยู่กันสองคนเองนะ จะซื้อมาทำอะไรล่ะ เฟอร์นิเจอร์ที่ห้องก็มีครบแล้วหนิ ราคามันก็ไม่ใช่ถูกๆ นะคุณ"
นิธินทำหน้าเหมือนคิดได้ก็สลดลง ก็จริงอย่างที่คนรักพูดนั่นล่ะว่าพวกเขาไม่ได้จำเป็นกับของชิ้นนี้สักเท่าไหร่ และอีกอย่างราคาของมันก็ไม่ใช่น้อยๆ เมื่อเทียบกับเงินเดือนของพวกเขา
"อืม...ผมเข้าใจแล้ว" นิธินรับคำและล้มตัวนอน อธิปพงศ์เห็นคนรักนิ่งอย่างนั้นจึงเป็นห่วง
"คุณอยากได้มากเลยเหรอ"
"เปล่าหรอก...ไม่มีอะไร นอนกันเถอะ"
นิธินคว้าตัวอธิปพงศ์มากอดไว้เหมือนเคย สักพักเมื่อความต้องการของเขาก่อตัวจึงเริ่มเล้าโลมคนรักด้วยการสอดมือเข้าไปสัมผัสสะโพกขาวเนียนของอธิปพงศ์ แต่ก็ได้รับคำตอบมาว่า
"วันนี้ผมเหนื่อยมาก ไม่ไหวจริงๆครับ"
นิธินได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าเข้าใจ ได้เพียงแต่กอดร่างอุ่นนั้นหลวมๆ และหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ส่วนอธิปพงศ์ที่หลับตาแล้ว แต่ยังคิดไม่ตกถึงเรื่องที่ได้ยินมาวันนี้
ถ้าหากนิธินมีข้อเสียเหมือนคนพวกนั้นอย่างที่เขาได้ยินมาจริง เขาก็จะลองแกล้งเห็นแก่ตัวใส่คนรักก่อน เพื่อจะได้เห็นว่าอีกฝ่ายมีอะไรบ้างที่เขายังไม่รู้ อธิปพงศ์ไม่ได้จะหาเรื่องตีตัวออกห่าง เพียงแต่อยากจะเห็นคนรักในอีกด้านที่ยังไม่รู้ เพื่อได้เริ่มปรับตัวกันตั้งแต่ตอนนี้
นิธินตื่นเช้ามาก็พบว่าอธิปพงศ์ยังคงนอนหลับอยู่บนอกเขาเหมือนเคย เขาค่อยๆ ลูบหน้าผากและหอมแก้มคนรัก ก่อนจะลุกไปอาบน้ำ และกลับมาแต่งตัวที่หน้ากระจก เขามองไปยังคนรักอย่างแปลกใจเพราะทุกวันอธิปพงศ์จะลุกมารอเซ็ทผมให้ แต่วันนี้คนรักของเขายังคงนอนอยู่ไม่ติงไหว นิธินไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากคิดว่าคนรักคงเหนื่อยจริงๆ เลยแต่งตัวต่อและออกไปทำงาน
สิ้นเสียงปิดประตู อธิปพงศ์ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น และลุกนั่งอย่างกรุ่นคิดกับสิ่งที่เพิ่งผ่านไป
ที่จริงแล้วเขาตื่นนอนตั้งแต่ตอนที่นิธินอยู่ในห้องน้ำ แต่ก็แกล้งหลับเพื่ออยากจะรู้ว่าคนรักจะว่าอย่างไรหากเขาไม่ตื่นไปจัดแต่งทรงผมให้อย่างเดิม แต่นิธินก็ยังปกติ อธิปพงศ์เหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง นี่เป็นแค่ครั้งแรกที่เขาจะทำแบบนี้ อธิปพงศ์จะลองทำไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วนิธินเป็นคนยังไง
"นิธิน คุณหมูว่าไงมั่งวะ เรื่องโซฟา"
เอเจเอ่ยปากถาม ขณะพร้อมหน้าพร้อมตากันในมื้อกลางวัน
"เค้าไม่โอเคว่ะ เค้าบอกว่าที่ห้องก็มีแล้วจะเอามาทำไม"
"อืม แล้วนายว่าไงล่ะ"
"ก็จริงของเค้านะ ชั้นก็เห็นด้วย อีกอย่างมันก็แพงไปด้วยว่ะ"
"อืม" เพื่อนๆ ตอบรับแค่นั้น ก่อนที่แทนไทจะบอกว่า
"โซฟานั้น ความจริงนายมีสิทธิ์ซื้อมาเองก็ได้นะเว้ย ถ้านายอยากได้จริงๆ"
"ไม่หรอกแทน นายยังไม่เข้าใจ" เอเจอาสาอธิบายแทนเพื่อน "คนเราจะอยู่ด้วยกันมันก็ต้องฟังกัน ก่อนจะใช้เหตุผลในสิ่งที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน ถ้าเป็นอย่างที่นายบอก อย่างนั้นก็กลายเป็นต่างคนต่างตามใจตัวเอง ชีวิตคู่มันก็พังกันหมดพอดี"
"อืม ใช่ เอเจพูดถูก" วิษณุสมทบ "แหม ่วันนี้คุณเอเจเค้ามาคมจริงๆ"
"ฮ่ะๆ มีบ้างๆ"
เอเจกระหยิ่มยิ้มรับ ก่อนจะหันมาทางแทนไท "ชีวิตคู่มันก็เป็นอย่างนี้ล่ะว่ะแทนเอ๊ย"
"เออ ๆครับ" แทนไทถอนหายใจ "เฮ้ออ ถ้าชั้นต้องไปมีชีวิตหารสองแบบพวกนาย ชั้นคงอยู่ไม่ได้ว่ะ"
นิธินจึงบอกกับเพื่อนว่า
"แต่ชั้นก็อยู่คนเดียวไม่ได้เหมือนกัน ถ้าไม่ได้อยู่กับคนที่ชั้นรัก"
นิธินพูดจบก็มองเอเจและวิษณุที่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น คนหนุ่มอย่างพวกเขาไม่ได้เสียดายชีวิตโสด และคงไม่สามารถกลับไปอยู่คนเดียวได้เพราะพวกเขายินดีที่จะมีเงื่อนไขกับคนข้างๆ ที่พร้อมจะใช้ชีวิตไปกับพวกเขาเช่นกัน
"อ่าว หมู คุณนิธินมารับแล้ว" พี่กุ้งสะกิดให้อธิปพงศ์เห็นว่าคนรักมารอกลับบ้านพร้อมกันเหมือนเดิม อธิปพงศ์ยิ้มให้คนรักด้วยความดีใจ แม้ตอนแรกตั้งใจจะแกล้งใจร้ายใส่ แต่พอเห็นรอยยิ้มอบอุ่นนั้นก็ทำให้เขาอดกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้
"ไงครับ" นิธินทักทายอธิปพงศ์ที่เดินมาหา
อธิปพงศ์ยิ้มให้ไม่ตอบอะไร ปล่อยให้คนรักเดินจูงมือเขากลับบ้านอย่างเคย
"ความจริง คุณไม่ต้องย้อนมาหาผมก็ได้" อธิปพงศ์พูดกับคนรัก ชายหนุ่มเกรงใจเหลือเกินที่นิธินต้องเสียเวลาเดินทางย้อนมากลับบ้านกับเขาทุกวันอย่างนี้
"ผม..อยากกับบ้านกับคุณทุกวันหน่ะ มันรู้สึกดีกว่า...คุณว่ามั๊ย"
"อื้มม.."
อธิปพงศ์ไม่พูดอะไร เพราะมีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับคนรัก เขาจับมือกันอย่างนั้นจนถึงห้องพัก ก่อนที่อธิปพงศ์จะแกล้งนอนหลับไปก่อนอย่างที่ตั้งใจไว้
แม้เขาจะทำตัวให้ใจร้ายกับเรื่องอื่นไม่ได้ แต่เรื่องนี้เขาจะลองตายด้านดูสักพัก
ก็อยากจะรู้เหมือนกันนักว่าถ้าเขาไม่ทำการบ้านกันอย่างที่เคยนิธินจะแสดงท่าทีอะไรออกมาหรือไม่
เมื่อไฟห้องถูกปิด อธิปพงศ์ก็ได้แต่นอนหันหลังให้ไม่ติงไหว ประหนึ่งว่าหลับไปนานแล้ว นิธินมองดูคนรักแล้วก็เข้าใจว่าคงจะเหนื่อย เลยซุกตัวเข้าใต้ผ้าห่มและโอบกอดคนรักจากทางด้านหลัง
แม้จะหลับแล้ว แต่เขาก็อยากให้อธิปพงศ์รับรู้ว่าเขายังคงปกป้องดูแลอย่างเคย
อธิปพงศ์ยังคงแกล้งเหนื่อยอย่างนั้นอีกกว่าสัปดาห์ ยิ่งกว่านั้น เขายังลองไม่รับผิดชอบงานบ้านบางอย่างที่เคยทำอีก แต่นิธินก็ไม่ว่าอะไร นอกจากเห็นว่าคนรักดูเหนื่อยอ่อนมากกว่าปกติ จากการที่อธิปพงศ์นอนเร็วและตื่นช้ากว่าเขาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะไม่มีไข้แต่เขาก็ไม่นิ่งนอนใจในอาการแบบนี้ เลยได้แต่บอกว่า
"คุณพักผ่อนเยอะๆ นะ ถ้าไม่ไหวยังไงก็ไปหาหมอ"
อธิปพงศ์พยักหน้ารับคำ และนอนต่อด้วยความรู้สึกผิดในใจ แม้เขาจะแกล้งทำตัวน่าเบื่อแบบนี้แล้ว แต่นิธินก็ยังไม่ว่าอะไร เขาแอบมองตามคนรักที่กำลังเอาผ้าไปตาก แล้วก็นอนต่อ นี่เขายังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นกับตัวนิธินเลย หรือว่านิธินเป็นแบบนี้จริงๆ และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เขาเป็นได้...
"หวัดดีค่ะคุณเขียว วันนี้มาตัดผมใช่มั๊ยคะ รอแป๊บนึงค่ะ"
หญิงต้อนรับลูกค้าประจำของอธิปพงศ์อย่างเป็นมิตร ก่อนจะพาหญิงสาวไปหาช่างประจำที่ยืนส่งยิ้มมาให้ เธอยิ้มตาหยีและยกมือไหว้ช่างผมรุ่นพี่
"หวัดดีค่ะพี่หมู"
"จ้ะ"
อธิปพงศ์รับไหว้ยิ้มๆ ก่อนจะออกปากแซว
"ถ้าผมไม่เป็นทรงนี่จะไม่เข้าร้านเลยใช่มั๊ย"
"แหม พี่หมูก็" เขียวค้อนช่างผมคนสนิทเล็กน้อย "พอมันยาวก็เปลี่ยนทรงไปเรื่อยๆไงคะ ว่าแต่พี่หมูเถอะค่ะ เดี๋ยวนี้แรงอ่ะ กล้าแซวน้อง"
ป๊อกกี้เลยสบทบมาว่า
"งี้ล่ะค่ะ ตั้งแต่พี่หมูมีสามีนี่แรงขึ้นทุกวันๆ"
"อย่างงั้นเหรอคะ"
"ค่า"
อธิปพงศ์เลยสัพยอกเพื่อนสาวรุ่นน้องที่มาตัดผม
"แต่พี่คงแรงสู้น้องเขียวไม่ได้หรอก"
"อ่าค่า เขียวก็คิดว่าแรงกับคนอื่นได้ก็แรงไป แต่อย่าแรงกับลูกกับผัวก็แล้วกัน ฮ่ะๆ"
เขียวพูดกลั้วหัวเราะกับคำโบราณสอนหญิงที่เธอหยิบมาล้อเลียนรุ่นพี่ โดยที่ไม่ทันเห็นอธิปพงศ์หลบตาวูบกับคำพูดนั้น ช่างผมชักชวนลูกค้าเข้าสู่ขั้นตอนแรก
"พี่ว่า ไปสระผมกันก่อนดีกว่า"
"อืมค่ะ"
เขียวเดินตามชายหนุ่มไปอย่างว่าง่าย ก่อนจะนอนลงและให้ช่างหนุ่มสระผม อธิปพงศ์ยิ้มบางๆ เอ่ยปากถามพลางเปิดน้ำจากฝักบัว
"แล้วไม่คิดจะไว้ผมยาวมั่งเหรอน้องเขียว"
"ไม่ล่ะค่ะ เดี๋ยวลูกดึงผม นี่วัยกำลังซนเลย"
"อืม..เหรอ"
"ค่ะ อยากให้คล่องตัวหน่ะค่ะ"
"อ่อ จ้ะ"
"พี่หมูล่ะค่ะ เป็นไงมั่ง พาคุณนิธินไปเยี่ยมที่ร้านตอนนั้นและก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย"
"ก็เรื่อยๆ จ้ะ" อธิปพงศ์ยิ้มๆ "วันหลังมาเยี่ยมพวกพี่ที่ห้องสิ มาสอนพี่ทำกับข้าวบ้าง"
"พี่เอาจริงเหรอคะ?" เพื่อนรุ่นน้องย้อนถาม เพราะประหลาดใจในตัวอธิปพงศ์ที่เธอรู้ว่าไม่เคยยุ่งกับงานครัวนอกจากล้างจาน
"ทำไมอ่ะ พี่จะหัดทำกับข้าวมั่งไม่ได้เหรอ"
"ค่ะๆ อยากทำอะไรก็บอกนะคะ"
"จ้ะ"
อธิปพงศ์รับคำและสระผมต่อ ชายหนุ่มชั่งใจสักพักแล้วลองถามสิ่งที่เขาคาใจมานาน
"น้องเขียวครับ"
"คะ"
"เอ่อ น้องเขียวพอจะรู้มั๊ยว่า จริงๆ คนอินเดียนิสัยยังไง"
"หืมม์?...เขียวว่าอันนี้พี่หมูน่าจะรู้ดีนะคะ"
"พี่หมายถึงทั่วไปหน่ะ"
"เอ พี่หมู นึกยังไงถึงถามแบบนี้ล่ะคะ มีอะไรรึเปล่า"
"คือ...พี่เคยได้ยินว่า คนอินเดียน่ะ เอ่อ เห็นแก่ตัว และก็ขี้เหนียวน่ะ"
"ค่ะ..แล้ว?"
"น้องเขียวว่าไงอ่ะจ๊ะ"
"เท่าที่เขียวรู้มันก็มีส่วนนะคะ"
อธิปพงศ์ก้มหน้ามามองเพื่อนรุ่นน้องทันที
"ยังไงเหรอ"
"ก็ที่อินเดียยังมีการแบ่งวรรณะ และก็มีประชากรมากมายนะคะ ก็เลยแย่งกันกินแย่งกันใช้เป็นธรรมดา ว่าแต่พี่ไปได้ยินมาจากใครเหรอคะ"
"ลูกค้าพี่กุ้งหน่ะ เค้ามาบ่นให้ฟังว่าเจอฤทธิ์เพื่อนร่วมงานอินเดีย"
"อืมม เขียวก็เคยได้ยินค่ะ ก็พอรู้นะคะว่าที่พวกเค้าเป็นคนอย่างนั้นเพราะเค้ามีสาเหตุหลายอย่าง เช่น บ้านเค้าคนเยอะเลยต้องแย่งงานกันทำ และก็ความยากจน ไหนจะเคยเกิดสงครามกลางเมืองอีก ก็ไม่รู้อ่ะค่ะ อธิบายยาก"
"อืม"
"แต่เขียวว่าความจริงคนเราถ้าอยู่ในสภาวะยากลำบากอย่างนั้น ก็คงเป็นเหมือนกันหมด ไม่มีใครดีกว่าใครหรอกค่ะ"
"ก็จริงนะ" อธิปพงศ์พึมพำเบาๆ นอกจะเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้วยังรู้สึกผิดต่อคนรักอีกด้วย เพราะนิธินไม่ใช่คนอย่างนั้นที่เขาเคยจับผิดเลย
ชายหนุ่มจึงย้อนมาดูว่า ที่จริงแล้วเขาเองต่างหากที่เป็นคนไม่ดีพอกับสิ่งที่นิธินมอบให้ ยิ่งคิด อธิปพงศ์ก็ยิ่งละอายแก่ใจยิ่งนัก
"พี่หมู เป็นไรไปคะ เงียบเชียว"
"เปล่าจ้ะ"
อธิปพงศ์ยิ้มรับและล้างผมต่อ เขารู้สึกผิดเหลือเกินที่คิดแบบนั้นกับคนรัก และเสียใจที่ใจร้ายกับผู้ชายที่แสนดีอย่างนิธินได้ลงคอ
นิธินที่เพิ่งกลับจากฟิสเนสเปิดประตูห้องพักและเปิดไฟที่ข้างประตูก่อนจะเดินเข้ามา ทันใดนั้นเขาก็ตกใจเมื่อเห็นโซฟาสีน้ำเงินกรมท่าที่เขาอยากได้อยู่กลางห้อง ชายหนุ่มเข้าไปลูบดูอย่างประหลาดใจกับของที่อยากได้ ว่าเหตุใดมันจึงมาอยู่ตรงนี้
"คุณชอบมั๊ย"
นิธินหันไปตามเสียงก็พบอธิปพงศ์เดินออกมาจากมุมครัว เขามองหน้าคนรักเพื่อจะขอคำตอบ แต่อธิปพงศ์ก็บอกว่า
"วันนี้อากาศดีนะ ผมว่าเราไปนั่งที่ระเบียงกันเถอะ"
นิธินพยักหน้ารับคำพร้อมช่วยกันยกโซฟาไปที่ระเบียงห้อง วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ไร้เค้าเมฆฝน อากาศบนอาคารสูงอย่างนี้ก็กำลังสบายตัว เมื่อแหงนมองไปข้างบนก็พบว่ามีดาวกำลังส่องแสงประดับท้องฟ้าอยู่มากมาย
"คุณ...ไปซื้อมาเหรอ" นิธินเอ่ยปากถามหลังจากทิ้งตัวลงบนโซฟาใหม่
"อื้ม..คุณชอบมั๊ยล่ะ"
อธิปพงศ์ที่นั่งอีกด้านถามเอาใจคนรัก
"ชอบสิครับ...ไหนคุณบอกว่าห้องเราก็มีแล้วไม่ใช่เหรอ"
"ผมเห็นว่าคุณอยากได้น่ะ"
“แต่มันแพงไม่ใช่เหรอครับ”
“มันไม่สำคัญหรอก คุณชอบมันไม่ใช่เหรอ”
“ชอบสิ...ขอบคุณนะครับ”
“อืม..ครับ”
อธิปพงศ์ตอบรับ ภายในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด นิธินมองดูเห็นคนรักเป็นอย่างนั้นจึงเอ่ยปากถาม
“คุณ...มีอะไรรึเปล่า”
“เปล่าครับ...”
แต่นิธินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอธิปพงศ์ไม่ได้มีร่างกายแข็งแรง จึงรีบชวนคนรักไปพักผ่อน
“เดี๋ยว...ตอนนี้คุณไม่สบายอยู่นี่ ไปๆ เข้าไปในห้องกันดีกว่า…”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมโอเค”
“ไม่ได้หรอก คุณดูอ่อนเพลียมาทั้งสัปดาห์นี่ ไป ๆ นอนกันเถอะ”
อธิปพงศ์รีบคว้าข้อมือแข็งแรงนั้นไว้ พอนิธินหันมามองก็พบว่าใบหน้าของคนรักกำลังเอ่อนองไปด้วยน้ำตา
“คุณหมู....” นิธินรีบเช็ดน้ำตาให้คนรัก “เป็นอะไรไป...”
“ผม..ขอโทษ...”
นิธินมองหน้าคนรัก เพราะไม่เข้าใจว่าอธิปพงศ์ขอโทษเรื่องอะไร
“ความจริง ผมไม่ได้เป็นอะไรหรอก....”
“แล้ว คุณขอโทษผมเรื่องอะไรล่ะ”
“นิธิน..คุณบอกผมได้มั๊ยว่าผมมีอะไรที่คุณรับไม่ได้บ้าง”
นิธินส่ายหน้ายิ้ม ๆ พร้อมกับลูบหน้าคนรักไปด้วย
“คุณอย่าทำอย่างนี้สิ บอกผมมาตามตรงได้มั๊ย”
“ทำไมคุณถามผมแบบนี้ล่ะ..”
“ผม..ผมก็แค่คิดว่า คนเราถ้าจะรักกันมันต้องรู้จักด้านแย่ ๆ ของกันและกันน่ะ”
“อืม...” นิธินโอบไหล่คนรักก่อนจะลูบผมเบา ๆ
“อันที่จริงเราสองคนก็เห็นกันหมดทุกอย่างแล้วนะ เพียงแต่ว่าเราเก็บมันมาใส่ใจรึเปล่าก็เท่านั้น”
อธิปพงศ์หันมามองหน้าคนรัก และฟังต่อ
“ที่ผมบอกว่าผมรับได้ทุกอย่างที่เป็นคุณ ผมพูดจริงนะ เพราะว่าผมรักคุณไปซะแล้ว”
“หึหึ”
อธิปพงศ์หัวเราะในคอกับความรู้สึกขลาดกลัวของตัวเอง เขานึกถึงคำพูดหนึ่งที่เคยได้ยิน ว่าให้เลือกมองแต่ส่วนดีของมนุษย์ มากกว่าจับผิดส่วนที่เสียในตัวแต่ละคน และนึกถึงตัวเองที่เขาไม่เคยมองเห็นนิธินในด้านลบก็เพราะว่าเขาไม่เคยตีค่าของความรักเป็นแบบอื่นนอกจากตัวมันเอง
เขารักนิธิน เพราะว่า นิธินเป็นแบบนี้
และวันนี้เขาก็ดีใจเหลือเกินที่รู้ว่าคนรักก็รักเขาในสิ่งที่เขาเป็น
อธิปพงศ์พิงร่างกายกับบ่ากว้างของนิธิน โดยที่มีแขนแข็งแรงโอบรอบเอวไว้ไม่ห่าง คืนนี้ไร้ซึ่งเม็ดฝน อากาศเป็นใจให้คู่รักชายหนุ่มรับลมชมดาวอยู่ที่ระเบียง...
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ