ABnormal
ณ คอฟฟี่ช็อป แห่งหนึ่ง
คอฟฟี่ช็อปแห่งนี้เป็นเพียงแค่ร้านเล็กๆที่อยู่ห่างออกมาจากรั้วมหาลัยประมาณห้าร้อยเมตร ภายนอกร้านนั้นก็ดูตกแต่งธรรมดา แต่เมื่อเข้ามาดูภายในร้านแล้วละก็จะพบกับผู้คนนั่งกันอยู่แน่นร้าน สาเหตุนั้นอาจจะเป็นเพราะกลิ่นหอมที่กระจายไปทั่วร้านจนทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และอีกเหตุผลหนึ่งก็คงจะเป็นเพราะ... บาริสต้าของร้านนี้ พ่วงด้วยตำแหน่งเจ้าของร้านซะกระมัง
‘เทียนหลี่’
หรือที่คนรู้จักส่วนใหญ่จะเรียกกันสั้นว่า ‘เทียน’ ด้วยใบหน้าที่สวย และรอยยิ้มที่อบอุ่นแสนหวานชวนฝัน ความสามารถที่พูดคุยให้คำปรึกษากับผู้คนอย่างเป็นมิตร นั้นทำให้ใครหลายๆคนต่างก็หลงไหล
และที่นี่ก็ยังเป็นที่เบต้า อัลฟ่า และโอเมก้าอยู่กันอย่างเท่าเทียม ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ผู้คนที่อยู่ในร้านนี้มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างเป็นมิตร ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพศอะไรก็ตาม เมื่ออยู่ที่นี่แล้วรู้สึกผ่อนคลาย นั้นอาจก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ร้านนี้กลายเป็นที่นิยมในเกือบทุกกลุ่มวัย
“เฮ้อ... ทำไมวันนี้มันถึงได้แย่แบบนี้นะ อยู่ดีดีอาจารย์ก็ดันสอบควิชซะงั้นเลย”
เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาพูดบ่นขึ้นพร้อมกับเอาหน้าลงไปฟุ่บกับโต๊ะเคาเตอร์บาร์ เทียนหลี่ที่เห็นดังนั้นก็อดหัวหัวเราะในลำคอไม่ได้ เทียนหลี่ค่อยๆเทชาเขียวปั่นลงในแก้วพลาสติกจากนั้นก็ปิดฝาแล้วเสิร์ฟให้กับคนที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง
“มันก็เป็นสิทธ์ของอาจารย์เขานิ แล้วกานต์ทำข้อสอบได้รึป่าวละ... ชาเขียวปั่นของคุณลูกค้าได้แล้วครับ”
“มันก็ทำได้แหละครับ... แต่ดูเหมือนเขาจะมองผมแปลกๆ คงจะสงสัยละมั่งว่าทำไมโอเมก้าอย่างผมถึงทำข้อสอบได้ละมั่ง...”
“...”
“สุดท้ายแล้วไม่ว่าที่ไหนโอเมก้าก็ยัง...”
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ เทียนหลี่เองก็ยอมรับว่าในสังคมตอนนี้โลกยังคงมองโอเมก้าในแง่ลบกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็มักจะถูกจัดให้อยู่กลุ่มสุดท้ายเสมอ ยิ่งเด็กพึ่งเคยใช่ชีวิตในสังคมใหญ่แบบนี้ด้วยแล้วด้วย มันคงยากที่จะยังยากในการปรับตัว คงจะกลัวอยู่แน่นอนว่าถ้าเกิดฮีทในสถานที่ใหญ่ๆอย่างมหาลัยขึ้นมาคงกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ในตอนนี้ก็คงจะพูดทำได้แค่พูดกำลังใจเท่านั้น และเทียนหลี่ก็ค่อยๆลูบหัวของกานต์พร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน...
“ก็ที่นี่ไงละที่กานต์สามารถอยู่ได้อย่างสบายใจ ไม่เป็นไรนะ ถ้ายังเชื่อมั่นความสุขจะต้องเดินมาหากานต์อย่างแน่นอน...”
“ฮะฮะฮะ ขอบคุณนะครับพี่เทียน... หว่า!!”
จากสัมผัสจากการลูบหัวที่อ่อนโยนเมื่อกี้ มันกลับการเป็นการขยี้มันเมามันส์แทน ซึ่งคราวนี้ไม่ได้มาจากเทียนหลี่แต่อย่างใด เมื่อกานต์หันหลังไปก็พบกับโอมที่อยู่ในชุดของพนักงานร้านเช่นเดียวกับเขา รอยยิ้มที่ออกมาจากโอมนั้นต่างจากเทียนหลี่อย่างลิบลับ แต่ดูกวนประสาท... แต่มันกลับทำให้กานต์รู้สึกชื่นใจมากกว่า
“พะ พี่โอม...”
“อย่าพูดอะไรน่าหดหู่แบบนั้นสิ มีอะไรก็มาปรึกษาพี่ได้นะ”
พูดจบก็ขยี้หัวกานต์อีกสองสามที ก่อนที่โอมจะเดินไปทำงานเสิร์ฟอาหารต่อ ส่วนกานต์หลังจากที่โอมเดินจากไปแล้วก็เผลอเอามือขึ้นมาจับตรงที่ถูกขยี้อย่างไม่รู้ตัว เมื่อเทียนหลี่เห็นดังนั้นก็เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเกือบจะทุกอย่าง ดันเจอเรื่องยุ่งยากเข้าซะแล้วสิ... งั้นตัวเขาควรจะยื่นมือเข้าไปช่วยในเรื่องนี้มากแค่ไหนกันนะ
“สนิทกับโอมด้วยเหรอ”
“ห๊ะ!! ก็ เออ ประมาณว่าเป็นรุ่นพี่ที่คณะน่ะครับ แล้วก็รู้จักกันตอนรับน้อง... แล้วพี่เขาก็คอยช่วยเหลือผมด้วย แล้วก็... แล้วก็...”
“...ก็เลยชอบเค้าสินะ”
“พะ พี่เทียนพูดอะไรนะครับ ผมน่ะไม่ได้... ไม่ได้...”
“...”
“...ผมชอบเขาครับ”
ถึงตอนแรกกานต์จะพยายามปฏิเสธสิ่งที่เทียนหลี่พูดก็ตาม แต่ด้วยใบหน้าที่แดงจัดรวมถึงท่าทีร้อนตัวของกานต์นั้นมันออกจนชัดเจน ซะจนสามารถอธิบายทุกสิ่งได้ทั้งหมด กานต์รู้เลยว่าเขาคงไม่สามารถโกหกผู้ชายคนนี้ได้แน่นอน ในวันนี้กานต์ได้รู้แล้วรอยยิ้มของผู้ชายคนที่นอกจากมันจะดูอบอุ่น แล้วมันยังสามารถดูเจ้าเล่ห์ได้อีกด้วย
“แต่ว่าพี่เขาเป็นอัลฟ่า... เพราะงั้นแล้วมันคงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ต่อให้เรารักกันได้ครอบครัวของเขาคงจะไม่มีทางยอมรับผมหรอก”
คำพูดของกานต์ทำให้เทียนหลี่สะอึกไปเล็กน้อย มันทำให้เขานึกย้อนกลับไปยังอดีตของตัวเอง เขาเองก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน และในใจตอนนี้เขาก็ยังคงคิดอยู่ แต่... เขาอยากจะให้ความคิดนี้เกิดเพียงแค่กับเขาคนแค่เดียว ไม่จำเป็นต้องให้ใครเลือกทางเดียวกันกับเขา เพราะสุดท้ายแล้วผลลัพธ์มันจะออกเป็นอย่างไรตัวของเทียนหลี่ย่อมรู้ดีที่สุด...
“กานต์เชื่อเรื่องคู่แห่งโชคชะตารึป่าว...”
“เออ จะว่ายังไงดีละมันก็พูดยากเหมือนกันนะครับ ถ้าถามว่าเชื่อไหม...ก็คงเชื่ออยู่บ้างละมั่งครับ”
“แล้วไม่คิดมั่งเหรอว่าโอมอาจจะเป็นคนในโชคชะตาคนนั้นก็ได้น่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้ามันง่ายแบบนั้นคนเขาคงจะมีคู่กันเกลื่อนเต็มไปเป็นหมดแล้วละครับ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องความรักแบบนี้แล้ว ผมเองอยากรู้เรื่องของพี่เทียนเหมือนกันนะครับ พี่เทียนเองก็เป็นคนสวยนะครับ มีแฟนรึยังครับเนี่ย”
พอพูดถึงเรื่องนี้เทียนหลี่ก็ยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเช่นเคย เพียงแต่ความรู้สึกที่ปล่อยออกมาจากรอยยิ้มนั้นมันต่างออกไป แต่คนที่จะรู้สึกถึงมันมันได้ก็คงจะมีแค่ตัวของเขาเองเท่านั้นละ
“ก็เคยมีนะ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วละ สำหรับโอเมก้า... ไม่สิ สำหรับคนอย่างพี่แล้ว เรื่องมีแฟนเนี่ยเอาไว้หลังสุดเลยละ”
“พี่เทียนเป็นโอเมก้า!! ผมก็นึกว่าพี่เป็น...”
“เบต้า... ใช่ไหมละ”
ประโยคที่ถูกเทียนหลี่พูดตัดขึ้นมานั้นมันทำให้เกิดช่องว่างความเงียบที่ทำให้กานต์รู้สึกเหงื่อตก กานต์รู้สึกตกใจจริงๆที่รู้ว่าเทียนหลี่เป็นโอเมก้า เพราะจากการที่สังเกตมาตลอดนั้น จากการกระทำต่างๆที่ผ่านมา ไม่ว่าใครก็คงจะคิดว่าเทียนหลี่เป็นเบต้า หรือถ้าจะไม่ใช่ก็ดูแล้วควรจะเป็นอัลฟ่ามากกว่าโอเมก้าเสียอีก แต่ตอนนี้ที่แน่ๆกานต์ต้องพยายามหาเรื่องคุยเพื่อทำลายให้บรรยายหนักอึ้งนี่เสียก่อน
“อ๊ะ จริงด้วย!! แล้วคู่แห่งโชคชะตาของพี่เทียนละครับ...”
“...”
“...เคยเจอบ้างรึป่าว”
กานต์พึ่งรู้สึกตัวว่า ตัวเองได้พลาดในการเลือกประโยคคำถามไปซะแล้ว... (อ๊ากกกกกกกกกกกกกก/เสียงในใจกานต์)
“คู่แห่งโชคชะตา... ก็อาจจะเคยเจอแล้วละมั้ง”
“จริงเหรอครับ!!” น่าสนใจขึ้นมาซะงั้นกานต์คิด
“แต่สุดท้ายพี่ก็เลือกที่จะทิ้งโชคชะตาที่ว่านั้นไปเอง ไม่ว่านั้นจะเป็นของจริงหรือไม่ก็ตาม...”
สุดท้ายอารมณ์ก็ยังคงดิ่งลงเหวอย่างช่วยไม่ได้ กานต์อยากจะพูดขอโทษเหลือเกิน ที่ไม่ฉลาดในการตั้งคำถามชวนคุยเอาซะเลย บรรยายการในตอนนี้ทำเอากานต์อยากจะร้องไห้มากๆ แต่เมื่อกานต์ได้ก้มลองดูที่นาฬิกาข้อมือ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีเรียนบ่าย และมันก็ใกล้จะถึงเวลาเรียนแล้วด้วย ถ้าขืนเป็นแบบนี้เขาอาจจะเข้าเรียนสายก็ได้ ดังนั้นกานต์จึงตัดสินใจคว้าแก้วน้ำที่อยู่บนเคาน์เตอร์ และรีบสะพายกระเป๋าเตรียมออกวิ่ง
“พี่เทียนครับงั้นผมคงต้องขอตัวก่อน...”
หมับ!!
“เอ๋...จับแขนผมไว้ทำไมครับ!!”
“โอมใกล้ถึงเวลาเรียนแล้วใช่ไหม ถ้างั้นพี่ฝากกานต์ไปกับโอมด้วยนะ”
“ได้คร้าบ! งั้นกานต์ไปรอพี่ที่หลังร้านก่อนเลย เดี๋ยวพี่ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อแปปเดียว”
กานต์ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อเมื่อตามสิ่งที่เทียนหลี่ทำไม่ทัน สุดท้ายกานต์ก็ได้ไปกับโอมตามที่เทียนหลี่จัดแจงเอาไว้ โดยมีเทียนหลี่โบกมือลาเป็นกำลังใจให้จากในร้าน สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าเขาเผลอไปยุ่งเรื่องคนอื่นจนได้ แต่มันอาจจะเป็นการทำไป เพราะแก้อาจการตกใจจากเรื่องเมื่อกี้ที่พูดออกมา
ตัวเขาได้ทิ้งคนที่อาจจะเป็นโชคชะตาของตัวเองไปจริงๆงั้นเหรอ... ยังไงเขาก็เป็นคนเลือกเอง เพราะอาจจะดีกว่าที่คนๆนั้นจะได้อยู่กับเขาก็ได้
หลังจากเลยเวลาบ่ายโมงไปแล้ว คนในร้านก็ค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน หรือประมาณห้าโมงเย็นนั้นเองที่จะคนจะเริ่มแน่นขึ้นมาอีกครั้ง ร้านของเทียนหลี่มักจะปิดไม่เป็นเวลาเท่าไหร่นัก บางครั้งก็หนึ่งทุ่ม สามทุ่ม หรือปิดร้านเกือบห้าทุ่มก็เคยมีมาแล้ว
ซึ่งเมื่อถึงช่วงเย็นก็มักมีลูกค้าที่คุ้นหน้าคุ้นตา แวะเข้ามาในเวลาช่วงหนึ่งทุ่มกว่าๆด้วยชุดไปรเวทเสมอ แล้วเทียนหลี่ก็ยิ้มออกมาเพื่อทักทาย กานต์มักจะมาที่ร้านในช่วงเวลานี้บ่อยๆ เพราะมันอยู่ห่างจากหอพักของเขาไม่มากนัก
“เมื่อตอนบ่ายทำกันแสบมากเลยนะพี่เทียน...”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ...”
“...”
กานต์ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่แสดงออกด้วยท่าทางที่หลบสายตา แถมด้วยแก้มสีแดงที่ชัดเจนขึ้นไปถึงใบหูนั่นทำให้เทียนหลี่สรุปได้ว่า...
‘มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ’
เมื่อเห็นดังนั้นเทียนหลี่จึงหยุดไม่ได้เลยที่จะต้องซักถามความจริงจากปากของกานต์ ถึงจะดูเป็นเด็กไปหน่อย แต่ยังไงการได้ยุ่งเรื่องน่ารักๆแบบนี้ก็สนุกจริงๆ ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้นเองบทสนทนาทุกอย่างก็ต้องถูกหยุดลง เมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน
กริ๊ง...!!
เมื่อเทียนหลี่เห็นผู้ชายคนนี้ก็มองไปรอบๆร้าน โชคดีที่ตอนนี้ก็ค่อยข้างจะเหลือน้อยแล้ว เทียนหลี่ขอโทษที่ต้องให้กานต์กลับไปก่อน เพราะดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะต้องปิดร้านเร็วๆกว่าปกติซะแล้ว หลังจากที่ลูกค้าคนสุดท้ายเดินออกจากร้าน และเทียนหลี่เอาประตูเหล็กลงหมดทุกบานแล้ว ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาจะได้เริ่มคุยกับผู้ชายคนนี้ซักที...
“วันนี้มาที่นี่มีอะไร...”
“เทียนหลี่... ใครสอนให้นายพูดกับพี่ชายห้วนๆแบบนี้กัน”
ผู้ชายคนนี้ก็คือ ‘จงซิน’ หรือพี่ชายของเทียนหลี่ ผู้บริหารใหญ่ของบริษัทชั้นนำในเรื่องผลิตยาระงับฟีโรโมน และความต้องการทางเพศ ที่มีความจำเป็นสำหรับโอเมก้าและอัลฟ่าในปัจจุบันอย่างมาก ซึ่งในวันนี้ที่จงซินมาที่นี่ก็เพื่อจะมาดูความคืบหน้าของสินค้าทดลองนั้นเอง
“เป็นยังไงบ้างละ มันอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากครั้งก่อนที่ฉันมาตรวจสอบรึป่าว”
“ทุกอย่างยังเป็นปกติ ยังไม่มีใคร... ไม่มีโอเมก้าคนไหนที่เกิดอาการฮีทภายในร้ายเลยซักราย รวมถึงอัลฟ่าเองก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลุ้มคลั่งด้วย”
“งั้นก็หมายความว่ากลิ่นอโรม่าตัวนี้ประสิทธิภาพใช่ได้ น่าจะใช้เป็นสินค้าตัวใหม่ได้...”
สิ่งที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็คือตัวจริงของกลิ่นหอมภายในร้าน สาเหตุที่คนที่เข้ามาที่นี่แล้วรู้สึกใจใจสงบนั้นก็เป็นเพราะคุณสมบัติของยาระงับตัวใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในรูปแบบของกลิ่นอโรม่า ส่วนร้านแห่งนี้ก็คือห้องทดลองที่ถูกสร้างขึ้นนั้นเอง จงซินเอากระดาษบางอย่างขึ้นมาจดพร้อมกับเดินดูไปทั่วร้าน หลังจากเสร็จแล้วก็วางของต่างๆเอาไว้ที่โต๊ะแล้วเดินเข้ามาหาเทียนหลี่
“เรื่องงานจบแล้ว... งั้นต่อไปก็ถึงเรื่องของเราบ้างละนะ”
“...เห้อ” เทียนหลี่ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย
“เทียนเทียน!! เมื่อไหร่นายจะกลับบ้านซักทีห๊ะ!! รู้บ้างรึป่าวว่าคนที่บ้านเป็นห่วงแค่ไหน ทั้งที่เฮียก็บอกแล้วว่าการสังเกตการณ์ให้คนอื่นมาทำแทนก็ได้”
เทียนหลี่ถอนหายใจอีกครั้งกับสภาพของพี่ชายที่อยู่ตรงหน้า ถ้ายังอยู่ในเรื่องงานก็จะทั้งวางมาดและก็น่าหมั้นไส้ที่สุดเลยแท้ๆ แต่พอเรื่องงานจบที่ไรก็จะกลายเป็นพี่ติดน้องแบบนี้ทุกที่ เพราะแบบนี้ไงเทียนหลี่เลยไม่ค่อยอยากจะกลับบ้านซักเท่าไหร่ เพราะถ้ากลับไปบ้านเขายังต้องเจอคนที่นิสัยแบบนี้อีกตั้งสามคน คงเป็นเพาะว่าตัวเขาเป็นลูกคนเล็กด้วยละมั่ง ที่บ้านก็เลยทำเหมือนว่าเขาเป็นเด็กเล็กๆที่ต้องทะนุถนอมอยู่ตลอดเวลา
“เป็นผมนั่นแหละดีแล้ว... เพราะถ้าเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมา ผมก็คงจะไม่เป็นอะไรอยู่ดี”
“อย่าพูดอย่างงั้นสิ... แล้วม๊าก็บอกมาด้วยว่า นสบควรจะมีคนดูแลได้แล้วนะ”
“เรื่องนี้ผมขอเถอะเฮีย... แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว”
“หรือว่านาย... ยังคิดถึงไอ้หมอนั้นอยู่”
คำถามนี้ของจงซินทำให้เทียนหลี่ชะงักไปเล็กน้อย ถ้าหากถามว่าเขายังคิดถึงอยู่รึป่าว เทียนหลี่ยังคงคิดถึงเขาอยู่... เพียงแต่ไม่ใช่ในฐานะคนรัก มันอาจจะเป็นเหมือนกับที่ใครๆต่างพูดกันว่าใจของมนุษย์นั้นมันเปลี่ยนกันได้อย่างง่ายดาย เมื่อเวลาผ่านไปคนที่เคยรักก็เป็นเพียงแค่คนรู้จัก หากวันใดได้เจอหน้ากันอีกพวกเขาอาจจะไปแม้แต่ทักกันเลยก็ได้
“เห้อ... ผมจะกลับบ้านก็ได้”
“เฮียรู้อยู่ละว่านายต้อง... ห๊ะ จริงเหรอ!! งั้นหมายความว่านายจะเลิกทำงานนี้แล้วกลับไปอยู่ที่บ้านใช่รึป่าว”
“ผมจะกลับไปอยู่ที่บ้านสามวัน แล้วก็ไม่เลิกทำงานนี้ด้วย”
“ทำไมละเทียนเทียน...”
“เพราะงานนี้มันเหมาะกับผม... ที่ไม่ปกติ” พูดจบเทียนหลี่ก็เดินหายเข้าที่หลังร้านปล่อยให้จงซินอยู่เพียงลำพัง
ไม่ปกติ... จะว่าไปแล้วนั้นมันก็เป็นเหตุผลที่เทียนหลี่ขอรับหน้าที่จะเป็นคนสังเกตการณ์นี่นะ จงซินเอามือลูบหน้าตัวเองหนึ่งทีพร้อมกับถอนหายใจยาวๆ คำว่าไม่ปกติที่เทียนหลี่พูดนั้นหมายถึงร่างกายของตัวเขาเอง ระบบร่างกายของเทียนหลี่นั้นไม่ปกติมาตั้งที่เข้าเกิดแล้ว แพทย์ไม่สามารถระบุได้ว่าเทียนหลี่นั้นเป็นเพศอะไรกันแน่ระหว่างอัลฟ่าหรือว่าโอเมก้า แต่เนื่องจากในใบรับรองจำเป็นต้องใส่เพศที่ชัดเจน ทางครอบครัวจึงขอให้แพทย์ใส่เพศของเขาเป็นโอเมก้า ระบบฮอร์โมนที่ทำงานผิดปกตินั้นทำให้เขายากที่จะไม่เข้าสู่ช่วงฮีทหรืออาจจะไม่มีเลย และทนต่อฟีโรโมนที่โอเมก้าปล่อยออกมาได้อย่างกับเบต้า แต่เขาก็ไม่ใช่เบต้า...
ถึงแม้ว่ามันมันจะดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่เพราะมันเป็นแบบนั้นบางครั้งร่างกายของเทียนหลี่มักจะทำงานผิดปกติทำให้เขาเป็นลมสลบไป และถ้าหากมันเกิดขึ้นบ่อยๆคงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
หลังจากที่เทียนหลี่เก็บของเสร็จ เขาก็เดินไปที่รถของจงซินโดยที่มีคนรับใช้คอยรอรับอยู่ หลังจากที่จงซินที่ตามมาที่หลังขึ้นนั่งแล้ว รถก็เริ่มเคลื่อนตัวออกจากบริเวณร้านกาแฟทันที เทียนหลี่มองออกไปที่นอกหน้าต่างพร้อมกับครุ่นคิดบางอย่าง ถึงเหตุผลอีกอย่างที่ทำให้เขาไม่อยากจะกลับไปที่บ้าน นั่นเป็นเพราะป๊าและม๊าของเขาอยากให้เทียนหลี่แต่งงานมีครอบครัว เพราะนั้นอาจจะเป็นวิธีที่จะทำให้เทียนหลี่เป็นปกติ จากที่แพทย์สันนิฐานไว้ก็คือ ‘การใช้วิธีบางอย่างเพื่อนกระตุ้นให้ฮอร์โมนเพศทำงานอย่างสมบูรณ์’ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเทียนหลี่ต้องเลือกว่า...
จะกัดต้นคอ โอเมก้า เพื่อจะเป็น อัลฟ่า
หรือจะยอมโดน อัลฟ่า กัดเพื่อเป็น โอเมก้า
...
ในระหว่างที่รถแล่นออกไปนั้นเองเทียนหลี่ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครคนหนึ่งเห็นเขาตอนเดินออกจากร้านก่อนที่จะเดินขึ้นรถซะแล้ว
“หาพบแล้ว...”