ตอนที่ 23 ไข้
[nel talk]
“ทั้งหมด 7,500 บาทค่ะ” พนักงานสาวสวย ที่กระดุมเสื้อปริ นมทะลักออกมาสวัสดีกับสายตาฝูงชนคนธรรมดา จนคนอย่างผมไม่สามารถละไปไหนได้เลยนอกจากนมของคุณเธอ ตูมมากครับ เห็นแล้วน้ำลายแทบหก
“เก็บอาการหน่อยค่ะพี่เนล” น้ำหวานที่ยืนอยู่ข้างๆกระซิบเสียงเบา พร้อมเอาศอกมากระทุ้งสีข้างผมอย่างแรง “ดูๆ น้ำลายจะหกโดนนมเจ๊แกแล้ว ให้มันน้อยๆหน่อย”
“รู้แล้วครับ” ผมตอบไปอย่างอารมณ์ดี พลางเอามือขยี้หัวเธอไปด้วยความเอ็นดู ก่อนยื่นเงินสดให้พนักงานผู้หญิงคนนั้นไปแปดพันถ้วน สาวนมอึ๋มรับไปจากมือ ก่อนยื่นแบงค์ห้าร้อยทอนให้
จ่ายเงินเสร็จสรรพผมก็ถือถุงเสื้อผ้าของสาวร่างเล็ก เดินนำออกมาหน้าร้าน แอบรู้สึกผิดที่ให้ลูกหมานั่งรอตั้งนานสองนาน เดี๋ยวค่อยไปขอโทษมันแล้วกัน คิดว่ามันคงไม่โกธรผมเพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้หรอก
…มั้ง
พอเดินออกมาก็ไม่เจอไอ้ภีมที่นั่งตรงเก้าอี้หน้าร้านแล้ว แถมยังทิ้งของไว้ตรงนั้นอีก มันคิดอะไรของมัน ถึงได้ทิ้งไว้แบบนี้ ดีแค่ไหนที่ของไม่หาย ร่างเล็กเดินตามผมมาติดๆ ก็เอ่ยปากถามหาบุคคลที่หายตัวไปทันที “เพื่อนพี่หายไปไหนเหรอคะ”
“ไม่รู้ น่าจะไปเข้าห้องน้ำมั้ง” ผมตอบเธอไป ก่อนหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้รอไอ้ภีมอย่างใจเย็น
-------------------------------------------------------
ยกนาฬิกาขึ้นมาดูจนมันเฉา คนที่ผมกำลังรอก็ยังไม่โผล่หัวมา จนผมคิดว่าแม่งตกส้วมตายไปแล้วมั้ง นานอะไรขนาดนี้ ทนไม่ไหวจึงลุกขึ้นไปตามมันสักหน่อย
“น้ำรอพี่ตรงนี้แปปนะ เดี๋ยวไปตามเพื่อนก่อน” ผมเอ่ยบอกคนข้างๆ ก่อนก้าวขาฉับๆ ตรงดิ่งไปห้องน้ำทันที
พอมาถึงห้องน้ำก็รีบพุ่งเข้าไป กวาดสายตาหาไอ้ลูกหมาทันที เห็นคนแปลกหน้ายืนฉี่อยู่ 3 คน ในนั้นไม่มีเมียผมสักคน เดินไปดูตรงห้องส้วม เผื่อมันถ่ายหนัก แต่ประตูห้องน้ำกลับเปิดว่างหมดทุกห้อง
เชี่ย เมียหาย..
เอ่อ.....บางทีมันอาจจะไปเข้าชั้นอื่น โอเค จัดการสาวน่องเดินหามันแม่งทุกชั้น บางห้องปิดอยู่ก็ตะโกนเรียกชื่อมันไปด้วย แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเลยครับ เรื่องยุ่งแล้วไง
หายไปไหนของมันวะ…
ผมเปลี่ยนเป้าหมาย เดินไล่หามันแม่งทุกร้านนี่แหละ บางทีอาจเบื่อ อยากเดินเที่ยวเล่นอะไรอย่างนี้ สรุปคือไม่มีครับ หาจนทั่ว เดินจนขาลากก็ไม่เจอ ใจคอเริ่มไม่ดี ผมจึงเดินกลับไปหาน้ำหวานในสภาพเหงื่อชุ่มเต็มตัว คนตัวเล็กรีบลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินตรงมาหาผมด้วยความเป็นห่วง
“เจอไหมคะ”
“ไม่เจอเลย หายไปไหนก็ไม่รู้”
“แล้วจะเอาไงต่อดีคะ” เธอทำสีหน้าเป็นกังวล
“พี่คิดว่ามันอาจจะกลับไปแล้ว เดี๋ยวต้องไปดูที่บ้านก่อน” ผมตอบเธอออกไปด้วยท่าทางใจเย็นที่สุด ถึงแม้ในใจไม่ได้เย็นเลยก็ตาม โอกาสสุดท้ายที่น่าจะเป็นไปได้คือ กลับบ้านไปแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นมันน่าโมโหมากนะครับ ที่หนีกลับก่อนโดยไม่บอกผม อย่างน้อยๆก็น่าจะแจ้งให้รู้สักนิดยังดี จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาหามันแบบนี้
“แล้วน้ำจะเอาไง ให้พี่ไปส่งที่บ้านก่อนไหม”
เธอส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะ หาเพื่อนพี่ให้เจอก่อนก็ได้ น้ำหวานไม่รีบ”
“ครับ งั้นพี่ขอกลับไปดูไอ้ภีมก่อนนะ แล้วจะรีบไปส่งน้ำ” ผมพูดกับเธอ ก่อนเดินนำร่างเล็กไปที่ลานจอดรถ ข้างนอกฝนตกหนักพอสมควร ทำให้การเดินทางลำบาก ติดไฟแดงหลายแยกจนรู้สึกหงุดหงิดไปหมด ในใจก็นึกบ่นไอ้คนที่ทำให้ผมกระวนกระวายใจอยู่ตอนนี้ หัวเสียมากจนอยากขับฝ่าไฟแดงเพื่อไปคิดบัญชีกับเด็กที่บ้านให้รู้แล้วรู้รอด
พอรถจอดตรงลานเรียบร้อย ผมรีบสาวเท้าลงมา เดินไปเปิดประตู หาตัวลูกหมาจนทั่ว ตะโกนเรียกจนลั่นบ้าน แต่ที่ได้กลับมาคือความเงียบ ที่ห้องนอนก็ไม่อยู่ ห้องครัวก็ไม่มี แม้แต่ห้องน้ำก็ไม่พบตัวมัน
ไอ้ภีมไม่ได้กลับบ้าน..
หายไปไหนของมัน...
จะเกิดอะไรขึ้นกับมันหรือเปล่า...
ในหัวผมมีแต่คำถามเต็มไปหมด อารมณ์ขุ่นมัวที่ก่อตัวเมื่อครู่มลายหายไปทันที เมื่อกลับมาแล้วไม่เจอเจ้าตัว อย่างที่คิดเอาไว้
ทำไงดีวะ…
“เป็นไงบ้างคะ” น้ำหวานที่นั่งรออยู่ด้านล่าง ถามขึ้นมาเมื่อเห็นผมเดินกลับมาหาเธอ ผมได้แต่ส่ายหัวตอบกลับไป ก่อนพาตัวเองมานั่งที่โซฟาอย่างคิดไม่ตก เอามือทึ่งหัวตัวเองอย่างหัวเสียที่ปล่อยมันรออยู่คนเดียว ป่านนี้เจ้าตัวจะเป็นยังไงบ้าง รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “ยิ่งเอ๋อๆอยู่ จะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ ฝนตกแบบนี้มันคงไม่เปียกฝนจนไม่สบายหรอกนะ”
“หวานว่าพี่เนลใจเย็นๆก่อนนะ ลองค่อยๆคิด บางทีพี่ภีมอาจจะอยู่ที่ห้างก็ได้” น้ำเอามือตบไหล่ผมเบาๆ เป็นการปลอบ…
"มันไม่อยู่หรอกหวาน พี่หาดีแล้ว"
"งั้นเราลองไปขอดูกล้องวงจรปิดดีไหมคะ หวานคิดว่ามันอาจจะช่วยได้บ้างก็ได้" เธอเสนอ
เอ่อว่ะ อาจจะช่วยอะไรบ้างก็ได้ อย่างน้อยๆก็รู้ตำแหน่งสุดท้ายมันก็ยังดี เมื่อคิดได้อย่างนั้น สองขาก็รีบก้าวไปที่รถคันหรูฉับๆ โดยมีร่างเล็กของน้ำตามมาติดๆ
ผมรีบขับออกมาอย่างรวดเร็ว จุดหมายปลายทางก็คือห้างเดิม ระหว่างทางก็มองหามันไปด้วย เผื่อนั่งรอรถอยู่ที่ป้ายไหนสักที่ แต่ก็ไร้วี่แววคนตัวเล็ก ใจผมมันร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก อยากเจอมันไวๆ จึงหักรถเข้าซอย ซอยหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยวน่าดู แต่มันเป็นทางลัดที่ถึงห้างเร็วที่สุดแล้ว ถ้าเป็นไปได้ผมจะไม่มาทางเส้นนี้เด็ดขาด ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
ทางนี้ค่อนข้างมืด ต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นเต็มข้างทาง มีบ้านคนอยู่แค่ไม่กี่หลัง บางหลังก็ถูกทิ้งให้ร้าง กำแพงบ้านถูกพ่นสีจนลายหูลายตา ส่วนในตัวบ้านก็ถูกพวกวัชพืชขึ้นเต็มไปหมด ขับรถผ่านตอนกลางวันนับว่าน่ากลัวแล้ว ตอนมืดๆแบบนี้ไม่ต้องคิดเลยว่าจะขนาดไหน
ผมขับออกมาเรื่อยๆ เริ่มมีเสาไฟกิ่งข้างทางช่วยให้ความสว่างขึ้นมาบ้าง นั่นเป็นสัญญาณที่ดีว่าผมใกล้จะออกถนนใหญ่แล้ว ข้างหน้าเป็นสวนสาธารณะ ถ้าผ่านตรงนั้นไปได้ ขับต่ออีกนิดก็ถึงห้างซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง
"กรี๊ด" จู่ๆน้ำหวานก็กรี๊ดออกมา ผมจึงรีบหันไปหาเธอ คนข้างๆก้มหน้างุด หลับตาปี๋ เหมือนไปเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้า
"เป็นอะไรหรือเปล่าน้ำหวาน" ผมถามเธอออกไปด้วยความเป็นห่วง
"รีบๆขับรถไปจากตรงนี้เถอะค่ะ หวานว่า...หวานเห็นผีค่ะ" เธอตอบออกมาเสียงสั่นๆ จนผมต้องแบนสายตามองผ่านกระจกฝั่งเธอออกไปดูตรงสวนสาธารณะ เห็นเงามืดๆดำๆ นอนคว่ำหน้าอยู่ข้างๆชิงช้า เชี่ย หลอนสัด
แต่พอเพ่งสายตาดูดีๆแล้ว อีผีมันใส่เสื้อคุ้นๆ เหมือนเสื้อตัวโปรดราคาหลักหมื่นของผมเลย แถมกางเกงที่มันใส่อยู่เป็นรุ่นลิมิเต็ดที่ผมทนกัดฟันซื้อมาอย่างยากลำบาก เป็นผีที่หัวสูงน่าดู เห้ย ไม่ใช่ละ นั่นเสื้อผ้าที่ผมให้เมียใส่เมื่อเช้าชัดๆ
เห็นอย่างนั้น ผมก็จอดรถ รีบเปิดประตูไปหาคนที่นอนแน่นิ่งอยู่ข้างชิงช้าทันที
"ไอ้ภีม!!" ผมเรียกชื่อมันเสียงเสียงดัง เมื่อจับคนที่นอน พลิกตัวขึ้นมามองหน้าชัดๆ ตัวมันเปื้อนดินเปื้อนโคลนไปหมด แถมยังนอนหมดสติอยู่ ใจผมกระตุกวูบ มือที่สั่นค่อยๆประคองคนตรงหน้าขึ้นมานอนตัก ก่อนจะเอาผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวขึ้นมาเช็ดหน้าคนตรงหน้าให้สะอาดสะอ้านก่อน
"ไอ้ภีม ได้ยินกูไหม" มือที่ว่างอยู่ก็ตบหน้ามันเบาๆเพื่อเรียกสติไปด้วย ตัวมันเย็นมาก ผมไม่รู้ว่ามันนอนตากฝนแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว จึงรีบช้อนตัวมันมาอุ้มไปที่รถทันทีด้วยความเป็นห่วง
"อืมม" มันครางในลำคอ หน้าก็พยายามมุดเข้ากับอกของผม
"ไอ้ภีม" ผมเรียกมันอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ามันเริ่มได้สติ “เป็นไงบ้าง”
“ไอ้ซานเหรอ” มันถามออกมาเสียงแผ่ว เหมือนคนหมดแรง
ผมชะงักเท้า เมื่อได้ยินชื่อบุคคลที่3 ออกมาจากปากมัน ฟังแล้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล จึงเผลอกำชับอ้อมแขนแรงขึ้น มือออกแรงบีบอย่างลืมตัว จนร่างเล็กต้องดิ้นรน “โอ้ย ไอ้ซาน! เจ็บ”
“…”
“อืออ ไอ้ซาน ปล่อยย”
“กวนประสาทกูอยู่หรอ” ผมกดเสียงต่ำอย่างไม่สบการมณ์ “เวลาแบบนี้มึงยังจะคิดถึงมันอยู่เหรอ แต่ขอโทษด้วย กูที่ไม่ใช่คนที่มึงกำลังคิดถึงอยู่”
“อืออ ไอ้ซาน” มันเอามือขึ้นมาดึงเสื้อผมไว้แน่น หน้าก็พยายามมุดเข้ามา
“หนาวเหรอ” ผมถามคนในอ้อมแขน ที่อยู่ในสภาพกึ่งหมดสติ
“อือ”
“อดทนหน่อยนะ จะถึงรถแล้ว” พยายามเร่งฝีเท้า พาไอ้ลูกหมาตัวเปียกไปที่รถให้เร็วที่สุด
ผมเปิดประตูหลัง พร้อมพาร่างไอ้ภีมเข้าไปนอนข้างใน จัดท่าให้มันนอนสบาย ก่อนเอื้อมมือไปหยิบเสื้อกันหนาวที่วางพาดตรงเบาะฝั่งคนขับมาห่มให้ คนตัวเล็กยังนอนสั่นไม่หยุด หน้ามันซีดมาก จนอาการน่าเป็นห่วง
น้ำหวานที่นั่งข้างหน้าจึงถอดเสื้อกันหนาวของเธอออก แล้วยื่นส่งมาให้ผม
“แค่นั้นไม่อุ่นหรอกค่ะ เอาของหวานไปด้วยก็ได้”
ผมยอมรับมาห่มให้มัน ถึงแม้จะช่วยได้ไม่เยอะมากก็ตาม
“อดทนอีกนิดนะ เดี๋ยวกูจะพามึงไปส่งโรงพยาบาล”
“ไม่ไป” ไอ้ภีมตอบงึมงำ
“ไม่ได้ มึงต้องไป”
“ไม่เอา จะกลับบ้าน” ขนาดไม่ได้สติ มึงยังจะดื้อกับกูอีกเหรอไอ้ลูกหมา
“ไม่ได้”
“อืมมมม จะกลับบ้าน” มันเริ่มงอแง คนอะไรวะ เอาแต่ใจซะมัดเลยมึง
“….”
“ฮึ กูจะกลับบ้าน” คนที่นอนอยู่ สะอึกสะอื้นออกมา ร้องไห้อยู่เหรอวะ… ผมได้แต่มองมันนิ่งๆ รู้สึกเหมือนตัวชาไปหมด ที่เห็นมันในสภาพอ่อนแอแบบนี้ มือของคนตัวเล็กเอื้อมมาดึงชายเสื้อผมไว้แน่น “ไปส่งบ้านหน่อย”
“เอ่อๆ กลับก็กลับ ถ้าพรุ่งนี้อาการแย่ลง มึงต้องไปโรงพยาบาล โอเคไหม”
“อืม” มันพยักหน้ารับ ก่อนจะค่อยๆปล่อยมือจากชายเสื้อผมช้าๆ ผมจึงเปิดประตูออกไป แต่มืออีกข้างก็รั้งขอมือผมไว้อีก
“ขอบใจนะ…” คนตัวเล็กพูดออกมาเสียงแผ่ว ผมจึงคลี่ยิ้มออกมา เอามือไปลูบหัวมันเบาๆ เวลาไม่สบาย แล้วขี้อ้อนแบบนี้ ก็น่ารักดีแฮะ
“ขอบใจจริงๆ…. ไอ้ซาน…” พอประโยคนี้ออกจากปากนั่น ผมถึงกับหุบยิ้มทันที ฟังแล้วรู้สึกเจ็บแปลบๆขึ้นมายังไงก็ไม่รู้ ทำไมเวลาแบบนี้มึงถึงได้คิดถึงแต่มัน เป็นกูไม่ได้หรือไง หรือเพราะว่ามันอยู่กับมึงช่วงที่มึงอ่อนแอ มึงถึงคิดถึงมันแบบนี้…
“อู้ยยย เจ็บ” เสียงน้ำหวานทำให้ผมหลุดออกจากภวัง หันไปมองสาวน้อยที่ชโงกหน้ามองอยู่
“ใครเจ็บ” ผมปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หันไปโมโหกรบเกลื่อนความรู้สึกที่ก่อขึ้นในใจ ถึงแม้จะเกิดขึ้นมาแค่เสี้ยววิก็ตาม คิดอะไรของกูว่ะ เจ็บ? เจ็บอะไร ตลกแล้ว ทำเหมือนพลาดไปชอบไอ้ภีมอย่างนั้นแหละ สงสัยเพี้ยนไปแล้วแน่ๆเลยกู
“แววตามันฟ้อง” น้ำหวานชูสองนิ้วขึ้นมา ชี้ที่ทั้งสองตาของเธอเป็นท่าทางประกอบคำพูด
“คิดไปเอง”
“หวานมโนไปเองก็ได้ ถ้ามันเป็นเหตุผลที่ทำให้พี่เนลสบายใจ…” ปากได้รูปยกยิ้มยียวน “…อะนะ”
“ว่าแต่พี่ภีมเนี่ย น่ารักจริงๆนะ เห็นครั้งแรกก็อยากได้ไปกอดที่บ้านเลย หวานขอนะ” มือเรียว พยายามเอื้อมมาจิ้มแก้มลูกหมาที่นอนหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราว
ผมจึงรีบปัดมือเธอออก ก่อนที่นิ้วนั่นจะจิ้มโดนแก้ม “ฝันอยู่หรือไง”
“หวงหรือไง”
“หวงทำไม!”
“ไม่ต้องขึ้นเสียงก็ได้ แค่แหย่เล่นเอง”
“เป็นผู้หญิง มาโดนตัวผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่ใช่คนในครอบครัว แถมพึ่งรู้จักกันแค่วันเดียวแบบนี้ มันดูไม่ดี หัดหวงเนื้อหวงตัวบ้าง”
“แต่หวานไม่ถือเรื่องนี้”
“แต่พี่ถือ”
น้ำเบะปากใส่ ก่อนจะหันกลับไปนั่งเล่นโทรศัพท์เงียบๆ คนเดียวโดยไม่หันมาสนใจผมอีก ผมจึงเปิดประตูออกไป นั่งฝั่งคนขับ จะได้พาไอ้คนน่าทุบที่สุดของวันนี้ กลับไปดูแลที่บ้านตามระเบียบ
[End]
------------------------------------------------------------
แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างยามเช้าของวันใหม่ กระทบเข้ากับม่านตา ทำให้ผมที่นอนหมดสติค่อยๆลืมตาตื่น ภาพแรกที่เห็นหลังจากที่ดวงตาปรับแสงได้แล้วคือ ใบหน้าหล่อๆของใครบางคน นอนฟุบกับเตียงอย่างหมดแรง ในมือถือผ้าขนหนูชุบน้ำค้างเอาไว้ ข้างๆมีกะละมังใบเล็กตั้งอยู่
ผมค่อยๆพยุงตัวให้ลุกขึ้นจากเตียงนุ่มอย่างช้าๆ รู้สึกปวดหัว แถมยังเมื่อยเนื้อเมื่อยไปหมด ก้มลงมองสำรวจตัวเอง ก็เห็นว่าเสื้อผ้าที่ใส่เมื่อวานได้ถูกเปลี่ยนเป็นชุดนอนลายทางสีเทาที่ตัวใหญ่พอสมควร แขนเสื้อยาวเลื้อย เลยแขนผมไปเยอะ แถมกางเกงก็ยาวเลยเท้าไปหลายเซน ก็พอจะเดาได้ว่าชุดที่ผมใส่อยู่นี้เป็นของใคร
มองไปรอบๆเพื่อดูว่าตนเองอยู่ที่ไหน ก็ต้องพบกับความจริงว่าอยู่บ้านตัวเองเรียบร้อย แถมยังนอนอยู่ในห้องเจ้านายที่ทิ้งผมให้นั่งรอตั้งนานอีกด้วย
ตอนนี้มีคำถามอยู่เต็มหัวไปหมด…ผมมาอยู่ห้องมันได้ไง!? เกิดอะไรขึ้น! จำได้ว่าครั้งสุดท้ายเดินตากฝนทำ MV อยู่ที่ไหนสักแห่งหลังจากนั้นก็วูบเลย ทุกอย่างมืดสนิท ตื่นมาอีกทีเหมือนวาปได้
“อ่าว ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทุ่มต่ำเอ่ยถามอย่างงัวเงีย พลางยกมือขึ้นขยี้ตาไปด้วย
“...” ผมไม่ได้ตอบอะไรไปนอนจากดูมันนิ่งๆ อยู่บนเตียง สมองก็พยายามประมวลผลไปด้วย ว่าเมื่อวานมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ดีขึ้นหรือยัง” พี่เนลเอามือขึ้นมาทาบหน้าผากผมเพื่อวัดอุณหภูมิ “ไข้ลดลงจากเมื่อวานแล้ว แต่ตัวยังอุ่นๆอยู่”
“…”
“เดี๋ยวกินข้าว แล้วกินยา จะได้หายไวๆ” พูดจบก็หยิบกะละมังใบเล็ก กับผ้าขนหู เตรียมลุกออกไป ผมจึงรีบคว้าแขนมันเอาไว้ เพื่อถามคำถามที่ค้างคาใจก่อน
“ผมมาอยู่ตรงนี้ได้ไงครับ”
“กูควรถามมึงมากกว่า ว่าไปอยู่ตรงนั้นได้ไง” มันถามผมกลับ
“เอ่อ…” ผมอ้ำๆอึ้งๆสักพัก ควรจะบอกมันว่ายังไงดีวะ… ตอนออกมาก็ไม่ได้คิดด้วย
“ตอบคำถามกูมาก่อน แล้วจะบอกว่ามึงมาอยู่ที่นี่ได้ไง” มันวางกะละมังลง ก่อนจะพาร่างของตัวเองมานั่งบนเตียง
ตอนนี้เปลี่ยนใจทันไหม ไม่อยากรู้แล้ว
ผมเลือกที่จะเงียบ พี่เนลจึงใช้สายตาจ้องเข้ามาในตาผมอย่างคาดคั้น “ว่าไงครับเมีย?”
“ใครเมียพี่”
“ก็มึงไง”
“ตลก”
“กูขำอยู่เหรอ อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ตอบคำถามกูมาก่อน” คนตรงหน้าขยับตัวเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ สายตามีเสน่ห์นั่นจ้องมองลึกเข้ามาในตาเรื่อยๆ จนผมต้องเบี่ยงหน้าหลบไปอีกทาง
พี่เนลไม่ยอมแพ้ เอามือมาจับคาผมให้หันกลับไปมองตามันอีกครั้ง “จะไปไหนทำไมไม่บอกกู” เสียงทุ่มต่ำถามออกมา สีหน้าจริงจังขึ้น
“อยากกลับบ้าน” ผมตอบมันส่งๆ แบบขอไปที
“แล้วทำไมไม่บอก จะได้ขับรถมาส่ง”
“ไม่อยากรบกวน”
“รบกวนเชี่ยไร กูพามึงมาก็ต้องพามึงกลับสิวะ” คุยกันเหมือนคนไม่เคยเจอกันเป็นชาติ เห็นแบบนั้นใครมันจะกล้าบอกล่ะครับ ว่ากูอยากกลับบ้าน บ้าหรือเปล่า
“ผมเกรงใจ”
“เกรงใจ?” พี่เนลมองผมอย่างไม่เข้าใจ มันขมวดคิ้วจนเป็นปม “เกรงใจอะไร ไม่เห็นต้องเกรงใจเลย ถ้ามึงอยากกลับก็แค่บอกกูตรงๆ จะรีบพามึงกลับทันทีเลย ถ้ามึงไม่อยากอยู่”
“ผมไม่ได้เกรงใจพี่ครับ แต่เกรงใจคุณน้ำหวาน”
คนที่ชื่อน้ำหวานต่างจากผู้หญิงคนอื่นที่พี่เนลเคยควงมาก เธอดูไม่มีพิษมีภัยอะไร แถมเธอดูดีใจมากที่ได้อยู่กับพี่เนล ผมไม่อยากไปขัดความสุขของคนอื่น ยิ่งเป็นคุณน้ำหวานนั่น จิตใต้สำนึกผมบอกว่ายิ่งไม่ควร
“แล้วออกมาคนเดียวแบบนั้น ไม่รู้หรือไงว่ามันอันตรายขนาดไหน จะทำอะไรทำไมไมคิด”
“….” ตอนนั้นไม่ได้คิดครับ อารมณ์มันพาไป
“ถ้ากูไม่บังเอิญไปเจอมึงเมื่อวาน ป่านนี้มึงคงนอนหมดสติเพราะพิษไข้อยู่ตรงนั้นทั้งคืน ดีไม่ดีอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีกับมึงก็ได้ ทำไมถึงชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงแบบนี้วะ” พี่เนลสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
โดนดุเฉย… ทำไมถึงเป็นมันวะ ที่เป็นฝ่ายต่อว่าผมฉอดๆแบบนี้
“ถ้าเกิดอะไรกับมึงขึ้นมาจริงๆ แล้วกูจะ…!” พี่เนลชะงักไป ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเอง “ช่างมันเถอะ”
“….”
“วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกเข้าใจไหม”
“ครับ” วันหลังผมจะไม่ทำอีกแล้ว… จะไม่ไปเดินโง่ๆตากฝนคนเดียว แล้วร้องไห้กับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้อีกแล้ว มันดูไม่เท่เลย
คนตรงหน้ายกยิ้มพอใจ ก่อนจะเอามือใหญ่ๆนั่นลูบหัวผมเบาๆอย่างอ่อนโยน “เดี๋ยวลงไปทำข้าวต้มให้ กินเสร็จจะได้กินยา” พูดจบก็ลุกขึ้นเต็มความสูง โดยไม่ลืมที่จะหยิบกะละมัง กับผ้าขนหนูติดตัวไปด้วย
รอไม่นานพี่เนลก็เดินเข้ามาพร้อมถ้วยข้าวต้ม กับแก้วอีกหนึ่งใบ ร่างสูงเอาแก้ววางไว้บนชั้นวางของข้างเตียง ก่อนจะหันมาพูดกับผมด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“อะ ข้าวต้มร้อนๆฝีมือกูเอง ค่อยๆกินนะมันร้อน หรือจะให้กูป้อน” พี่เนลไม่รอฟังคำตอบ ถือช้อนตักข้าวต้มขึ้นมาเป่า พร้อมยื่นมาจ่อปากผม “อ้ามม กินสิไอ้ภีม” พี่เนลทำหน้าเหมือนตัวเองกำลังป้อนเข้าเด็ก
โตเป็นควายขนาดนี้มึงยังกล้าทำอะไรแบบนี้อีกเหรอวะ อายแทน…
ผมไม่ยอมอ้าปากรับข้าวต้มจากคนตรงหน้า มันรู้สึกพะอืดพะอมไปหมด จนไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น
“ผมไม่หิว”
“เห้ย ได้ไง กูอุสาห์ทำมาให้ ข้าวต้มฝีมือกูลิมิเต็ดอิดิชั่นมากนะโว้ย ถ้าไม่กินแม่งโคตรพลาด!” เจ้าตัวโฆษณาเต็มที่
“….” ลิมิเต็ดตรงไหนครับ หน้าตาก็ข้าวต้มทั่วไป มึงอย่ามาโม้
“จะไม่กินจริงๆเหรอ” พี่เนลถามเสียงอ่อน
ผมยังคงตอบกลับไปคำเดิม ตอนนี้ไม่อยากกินอะไรเลยครับ รู้สึกท้องไส้หยุดทำงาน
“กูไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้ใครกินเลยนะ”
“…”
“ถ้าคนนั้นสำคัญจริงๆ”
“….”
“กินหน่อยเถอะ จะได้กินยา ไม่กินอะไรแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะหาย”
“แต่…”
“ให้มึงเลือก ว่าจะให้กูป้อนดีๆ หรือจับยัดปากทั้งถ้วย เลือกเอา บอกไว้ก่อนเลย ว่าอย่างที่สองกูกล้าทำโดยไม่ลังเลเลย ถึงแม้มึงจะป่วยอยู่ก็ตาม” กูเชื่อว่าคนอย่างมึงกล้าทำแน่ๆ ไม่ใช่แค่ขู่ให้กลัวแบบคนทั่วไปหรอก เพราะมึงมันคนใจดำอำมหิต ไอ้คนหลายใจแต่ไร้คุณภาพ!
ทำอะไรไม่ได้อย่างเช่นทุกที จึงยอมอ้าปากกินข้าวต้มที่มันป้อนให้ รสชาติอร่อยใช้ได้เลย แต่คือไม่หิวไงครับ เลยกินได้แค่นิดเดียว ถ้ามันฝืนป้อนให้อีก พี่จะคืนให้หมด ทบต้นทบดอกแล้วนะครับ นี่ไม่ได้ขู่ มึงเห็นไหม กูตั้งท่าจะอวกอยู่แล้ว หยุดมือมึงเดี๋ยวนี้ กูไม่ไหวแล้ว ผมรีบยกมือขึ้นห้ามพี่เนลที่เอาแต่ป้อนไม่ลืมหูลืมตา ก่อนที่จะมีผ้าจำนวนมากพลีชีพเพราะอวกผม
“อิ่มแล้วเหรอ”
“ครับ”
“กินนิดเดียวเอง เอาอีกคำไหม” มึงไม่ต้องมาเป็นห่วงกูในช่วงเวลาแบบนี้ กูไม่ต้องการ ปล่อยกูไปได้แล้ว ผมรีบส่ายหัวรัวๆ พี่เนลมันถึงยอมวางถ้วยแต่โดยดี
มือหนาหยิบยา รินน้ำใส่แก้ว แล้วยื่นมาให้ผม ผมก็รับจากมือมันมาทันที จัดการกินยา แล้วตามด้วยดื่มน้ำตามระเบียบ ก่อนยื่นแก้วคืนให้มัน แล้วล้มตัวนอนทันที
พี่เนลหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเงียบๆ ปล่อยให้ผมได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ จะมีบางครั้งที่มันเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ ผมที่ตอนนี้นอนซมเพราะพิษไข้จึงปล่อยให้มันทำไปโดยไม่มีท่าทีขัดขืนอะไร
นอนหลับยาวยันค่ำ อาจจะเป็นเพราะพิษไข้ด้วย จึงทำผมนอนโง่ๆได้นานขนาดนี้ จะรู้สึกสลึมสะลือเป็นบางครั้ง แต่ทุกครั้งที่ลืมตามา ก็จะเห็นพี่เนลมันนั่งเฝ้าผมไม่ยอมไปไหนเลย บางครั้งก็เห็นมันอ่านหนังสืออยู่ บางทีลืมตาตื่นมาก็เห็นมันนั่งเอามือเท้าคางมองหน้าผมอยู่เงียบๆ หรือไม่ก็นั่งหลับ แต่ทุกครั้งต้องเห็นมันอยู่ข้างๆตลอด
ในหัวผมมีแต่คำถามเต็มไปหมด
มันทำดีกับผมทำไม… ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย ที่คนอย่างมันต้องมานั่งเฉยๆดูแลคนป่วยอย่างผม ยิ่งเป็นคนอย่างพี่เนลแล้วยิ่งยาก ที่ต้องมาดูแลคนอื่นแบบนี้ แต่มันก็เลือกที่จะทำ
บางทีผมก็ไม่ชอบให้มันมาทำตัวอ่อนโยนแบบนี้ด้วยเลย สู้ทำตัวแย่ๆให้รู้สึกเกลียดเหมือนเดิมยังดีกว่า ถ้ายังทำตัวดีแบบนี้ มันทำให้รู้สึกว่าตัวเองพิเศษ ถึงแม้ไม่ควรคิดแบบนี้ แต่ผมไม่สามารถห้ามความคิดแย่ๆนี้ได้เลย ยิ่งชอบหยอด ชอบแหย่ พูดจาเป็นเจ้าของ บางเวลาก็ชอบทำตัวลามกใส่ แม้ลึกๆจะรู้ว่ามันไม่ได้คิดอะไรเลยก็ตาม แต่เสี้ยวหนึ่งก็อดรู้สึกดีไม่น้อยเลย
ผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ถ้าเห็นมันจูบกับคนอื่น จะรู้สึกเฉยๆเหมือนเมื่อก่อนได้หรือเปล่า ถ้ามันพาผู้หญิงมามั่วที่บ้าน หรือเห็นมันทำตัวดีกับคนอื่นไปทั่วเหมือนที่กำลังทำกับผมอยู่ตอนนี้ ผมจะรู้สึกแย่ขนาดไหน
ไม่มีอะไรรับประกันได้เลย ว่าสุดท้ายผมจะไม่เจ็บ
บางที ผมอาจจะรู้สึกชอบมันแล้วก็ได้…
ถ้าเป็นแบบนั้น เรื่องที่คิดว่าจะเอาบ้านคืนมาง่ายๆ เพียงแค่ทนอยู่กับคนอย่างมันให้รอด จะไม่รอดเพราะใจผมเอง หลังจากนี้ผมต้องเว้นระยะห่างกับพี่เนลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ต้องรีบถอยหลังกลับไปที่จุดเดิมให้ได้ เรื่องนี้มันต้องจบลงโดยที่ผมต้องไม่พลาดให้กับมัน
“พี่เนล” ผมเรียกมันเสียงแผ่ว
“หือว่าไง หิวน้ำเหรอ” ร่างสูงวางหนังสือลง เอือมมือไปหยิบแก้ว เทน้ำใส่ ก่อนยื่นมาให้ผม
“ไม่ต้องเอาใจผมขนาดนั้นก็ได้ มันไม่ชิน” ผมบอกมันไปตรงๆ พร้อมรับแก้วจากมือหนา ยิ่งมันทำดีด้วยเท่าไหร่ ผมจะยิ่งลำบากเท่านั้น
ต่อจากนี้ต้องรักษาระยะห่างเอาไว้
เพื่อเป็นเกาะป้องกันตัวเอง เงินล้านหนึ่งผมไม่มีปัญญาคืนมันหรอก
เพราะฉนั้น เกมนี้ผมจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
“ไม่ได้หรอก” พี่เนลพูดเบาจนแทบไม่ได้ยิน “กูเป็นห่วง…”
“ถ้าห่วงก็ช่วยอยู่ห่างๆจะดีต่อผมมาก” ผมตอบมันไปแบบไร้เยื่อใย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวผมเอง เกมนี้เราไม่ควรใกล้ชิดกันตั้งแต่แรกแล้ว ควรต่างคนต่างอยู่ตามข้อตกลงที่พี่มันสร้างมากกว่า ถึงแม้ผมแทบจะไม่เคยล้ำเส้นมันเลย แต่มันกลับทำตัวล้ำเส้นผมซะเอง เหมือนข้อตกลงมันถูกออกแบบมาใช้กับผม แต่เจ้าตัวกลับไม่เคยปฏิบัติมันได้
“ทำไมมึงถึงพูดแบบนั้น…” สีหน้ามันดูไม่ดี เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมสื่ออกไป “กูทำอะไรให้มึงไม่พอใจหรือเปล่า”
“ต่อจากนี้ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพี่อีก ยกเว้นพวกงานต่างๆที่เรามีสัญญาต่อกันเท่านั้น ส่วนพี่ก็เลิกยุ่งกับผมนอกจากเวลางานได้แล้ว”
“ไอ้ภีม…มึงพูดอะไรออกมารู้ตัวไหม”
“มันควรเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว หวังว่าพี่จะเคารพข้อตกลง” ผมใจแข็งพูดออกไป ทำหน้านิ่งราวกลับไม่รู้สึกอะไร ถึงแม้ในใจจะรู้สึกเจ็บแปลบๆก็เถอะ แต่ควรตัดไฟแต่ต้นลม เรื่องนี้ผมเอาตัวเองเข้ามาถลำลึกเกินไป
“มึงโกรธอะไร บอกกูสิ” พี่เนลจับแขนผมไว้แน่น “ไม่พอใจอะไรก็พูดออกมา อย่าทำตัวงี่เง่าใส่กู!” มันเริ่มขึ้นเสียงใส่ผม
“ผมง่วงแล้ว” ผมพูดตัดบท สองขาก้าวลงจากเตียงเดินไปที่ประตู เพื่อกลับห้องของตัวเอง
“จะไปไหน”
“กลับห้องครับ”
“นอนห้องกูเนี่ยแหละ”
“ไม่ดีกว่าครับ”
“ไม่พอใจอะไรก็บอกกูมาสิวะ ไม่ใช่ทำตัวประชดแบบนี้ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ ทำอะไรทำไมไม่คิด!! มึงไม่รู้หรอกว่ากูเป็นห่วงขนาดไหน กูแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้วตอนมึงหายไป ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่ามึงคงเบื่อจนกลับบ้าน พอมาถึงมึงก็ไม่อยู่ ตอนนั้นกูทำอะไรไม่ถูก ได้แต่คิดต่างๆนาๆเหมือนคนเสียสติ สุดท้ายมาเจอมึงนอนนิ่งอยู่ข้างทาง ใจกูเสียแค่ไหน ทำอะไรทำไมไม่คิดถึงความรู้สึกกูบ้างวะ” พี่เนลพูดสิ่งที่เก็บกดมาเป็นชุด ผมทำได้เพียงรับฟังเงียบๆ ก่อนจะพูดออกไป
“ฝันดีนะครับ เจ้านาย”
พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก ผมผิดเอง…
ให้เวลาผมทำใจหน่อยนะ ผมเชื่อว่าอีกไม่นาน ผมจะกลับมารู้สึกเฉยๆเวลาที่เห็นพี่จูบกับคนอื่น...