เสื้อกาวน์เก่าๆ.......กับเราสองคน
ตอนที่ 150
ผมจะไม่นอนตื่นสายอีกแล้วคราบบบบบเช้าตรู่ของวันหยุดพักผ่อนของเดือนเมษายน ผมนั่งจิบกาแฟร้อนๆหอมกรุ่นอยู่บนระเบียงห้องในเช้าที่อากาศสดใส
แค่นี้ก็สร้างบรรยากาศให้ผมอารมณ์ดีไปตลอดทั้งวันได้อย่างสบายๆ
อย่างที่หมอติ๊บเคยบอกเอาไว้ว่าถ้าเราเริ่มต้นวันด้วยความรู้สึกดีๆ วันนั้นเราก็จะพบเจอแต่สิ่งดีๆไปทั้งวัน
จากเมื่อก่อนที่ผมเป็นคนนอนตื่นสายในวันหยุดด้วยความขี้เกียจ ยอมรับว่าตื่นในเวลาที่เคยตื่นไปทำงานนั่นแหละ
แต่มันขี้เกียจก็เลยไม่ยอมลุกขึ้นจากที่นอน นอนกลิ้งไปกลิ้งมาทั้งที่ความจริงก็หลับต่อไม่ได้อีกอยู่ดี
ผมยิ้มให้กับตัวเองและยิ้มข้ามซีกโลกส่งไปให้ใครหนึ่งคนที่เมืองไทย
เมื่อคิดถึงเรื่องราวเล็กๆน้อยแบบนี้จากคนตัวเล็กๆหนึ่งคนที่เข้ามามีบทบาทและมีอิทธิพลกับชีวิตผม ( มากขึ้นทุกที ) ขนาดนี้
“ พี่ไม้รู้มั้ยคับว่าหนึ่งวัน 24 ชั่วโมงเรานอนหลับไปหกชั่วโมง ในช่วงชีวิตหนึ่งเรานอนไปมากกว่าสองแสนชั่วโมง
พี่ไม้ว่ามันน่าเสียดายมั้ยกับเวลาสองแสนกว่าชั่วโมงที่เรานอนหลับไป
เวลาสองแสนกว่าชั่วโมงที่เรานอนหลับไปนั้นเราสามารถทำอะไรได้เยอะแยะเพื่อตัวเอง เพื่อคนที่เรารักได้อีกมากมาย
แล้วถ้าเรานอนเกินหกชั่วโมงไปเรื่อยๆพี่ไม้ลองคิดดูซิคับว่าเราสูญเสียโอกาสในการทำอะไรๆเพิ่มไปอีกเท่าไหร่
คิดง่ายๆอย่างเมื่อคืนนี้พี่ไม้นอนตามปกติตอนเที่ยงคืนพร้อมกับติ๊บ
ในขณะที่ติ๊บตื่นนอนตอนหกโมงเช้า พี่ไม้ตื่นนอนตอนเที่ยง
ในเวลาหกชั่วโมงที่พี่ไม้นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงไม่ว่าจะด้วยสาเหตุของการเหนื่อย จากความเคยชิน หรือจากความขี้เกียจก็แล้วแต่ แต่ติ๊บขอเหมาว่ามันมามาจากสาเหตุสุดท้ายเพราะติ๊บเห็นพี่ไม้ตื่นมาพร้อมกับติ๊บแต่พี่ไม้ไม่ยอมลุกจากเตียงเท่านั้นเอง เพราะปกติคนเรามันก็มีนาฬิกาปลุกอยู่ในตัวเองกันทุกคนอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลาที่เราเคยตื่นมันก็จะตื่นในเวลานั้นเป็นปกติ
ในเวลาหกชั่วโมงที่พี่ไม้นอนขึ้นอืดอยู่บนเตียง( อูยยย ประโยคนี้เจ็บแสบ ) โดยไม่ได้ประโยชน์อะไรมากกว่าให้ร่างกายได้พักผ่อน
ทั้งที่ก็ไม่ได้เหนื่อยมากมายเพิ่มขึ้นถ้าจะต้องตื่นมาในเวลาเดิม หกชั่วโมงที่เสียไปพี่ไม้ลองเปรียบเทียบดูนะ
ข้อที่หนึ่ง ติ๊บตื่นตอนหกโมงเช้ามีโอกาสได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นแบบรำไร ได้สูดหายใจเอาอากาศยามเช้าเข้าปอดให้ร่างกายสดชื่น แค่นี้ก็สร้างความรู้สึกดีให้กับตัวเองได้ง่ายๆ
ข้อที่สอง ติ๊บตื่นตอนหกโมงเช้ามีโอกาสลงไปซื้อปาท่องโก๋ ติ๊บมีโอกาสได้ออกไปเรียนรู้ชีวิตผู้คนที่ตื่นตอนเช้า ได้ไปทักทายพ่อค้าปลาท่องโก๋ ได้เรียนรู้ชีวิตเขา นั่นก็หมายถึงติ๊บมีโอกาสเรียนรู้อะไรในชีวิตเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง
ข้อที่สาม หลังจากซื้อปลาท่องโก๋ติ๊บได้ไปเดินตลาดชาวบ้านแถวนี้มีโอกาสเลือกผักผลไม้ในตอนเช้าได้มากกว่าคนที่ไปตลาดตอนสายๆ เห็นมั้ยข้อดีของการตื่นเช้าแบบชัดเจน ( รู้ตั้งแต่ข้อแรกแล้ววุ้ย ) และนอกจากนี้ติ๊บยังมีโอกาสได้เห็นชีวิตแบบชาวบ้านแถวนี้ในตอนเช้า ว่าเขากินอะไร ประเพณีหรือความเชื่อสิ่งต่างๆของคนแถวนี้เป็นยังไง
ข้อที่สี่ ในขณะที่เดินตลาดเช้าติ๊บมีโอกาสได้ใส่บาตรพระสงฆ์ สร้างบุญสร้างกุศลให้แก่ตัวเองและอุทิศส่วนกุศลให้ย่าและคนอื่นๆรวมถึงพี่ไม้ได้ด้วย ( มิน่าใส่บาตรให้พี่แล้ว พี่ถึงต้องมาพนมมือรับพรอยู่นี่เอง )
ข้อที่ห้า หลังจากเดินตลาดกลับมาติ๊บมาเปิดดูทีวี ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง หรือถ้าจะให้เห็นภาพชัดเจนคือติ๊บตื่นเช้ามาดูทีวีติ๊บรู้ว่าวันนี้ฝนจะตกจากการดูข่าวพยากรณ์ ในขณะที่คนตื่นสายก็ไม่มีโอกาสรับรู้พอออกไปข้างนอกไม่ติดร่มออกไปด้วย กลับมาตัวเปียกก็โทษฝนโทษฟ้าว่าไม่เป็นใจ ทั้งที่ถ้าตื่นมาดูข่าวสารซักหน่อยก็จะไม่เปียกเป็นกระต่ายตกน้ำมาอย่างหลายๆที ( ขอบคุณมากที่รักที่ใช้คำว่ากระต่ายตกน้ำ ดูน่ารักขึ้นเยอะเลย )
ข้อที่ห้า ในขณะที่ติ๊บดูทีวีติ๊บก็ได้กวาดห้อง ถูห้อง ทำความสะอาดห้อง ทำให้ห้องสะอาดดูน่าอยู่ขึ้นเสมอๆ แค่นั้นไม่พอติ๊บยังมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ติ๊บชอบ คือมีความสุขกับการทำอาหารเช้า คิดเมนูแปลกๆใหม่ เป็นการพัฒนาฝีมือตัวเองไปในตัวโดยที่ติ๊บไม่ต้องลงทุนอะไรมากไปกว่าการตื่นนอนในเวลาที่เคยตื่นเท่านั้นเอง และการทำอาหารอย่างมีความสุขในตอนเช้าให้คนที่เรารักทานมันก็มีความสุขกว่าการนอนเยอะแยะเลยสำหรับติ๊บ ( จ้า น่ารักจริงๆ )
ข้อสุดท้าย เมื่อติ๊บตื่นนอนเช้าในเวลาเดิม ก็มีโอกาสได้เรียนรู้ว่าคนที่ตื่นนอนสายก็ไม่สามารถทำประโยชน์อะไรให้กับตัวเองหรือคนอื่นๆมากไปกว่าการนอนกลิ้งไปกลิ้งมาเท่านั้นเอง (เจ็บแสบบบบบ )
นี่แค่หกข้อเล่นๆเบาๆนะพี่ไม้
ลองคิดดูว่าแค่พี่ไม้ตื่นมาในเวลาเดิมพี่ไม้มีโอกาสทำอะไร หรือเสียโอกาสที่จะทำอะไรไปบ้าง
อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาโทษว่าไม่มีเวลาทำโน่น นี่ นั่น หรือบ่นว่าอยากให้วันหนึ่งมีมากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง
เวลาหนึ่งปี มีค่ามากมายสำหรับเด็กที่เอ็นทรานซ์ไม่ติด สอบไม่ติดแล้วต้องรอในปีต่อไป
เวลาหนึ่งเดือน มีค่ามากมายสำหรับสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง หรือโรคอื่นๆในระยะสุดท้าย หรือพนักงานออฟฟิสที่กินเงินเดือนจากบริษัท
เวลาสิบห้าวัน มีค่ามากมายสำหรับคนไข้ที่ต้องฟอกไตทุกสองสัปดาห์ คนทำงานหนังสือรายปักษ์ ตลอดจนคอหวยทั้งหลาย
เวลาหนึ่งสัปดาห์ มีค่ามากมายสำหรับคนไข้ที่เป็นโรคสิวหรือโรคอื่นๆที่ต้องพบหมอทุกอาทิตย์มีค่าสำหรับคอละครที่ต้องนั่งรอเวลาติดตามเรื่องโปรดของตัวเอง
เวลาหนึ่งวัน มีค่ามากมายสำหรับคนไข้ที่ไส้ติ่งอักเสบและไส้ติ่งแตกที่ต้องผ่าตัดใน 24 ชั่วโมง หรือนักเดินทางที่พลาดจากรถ เรือ เครื่องบิน ที่พลาดเที่ยวสุดท้ายของวัน
เวลาหนึ่งชั่วโมง มีค่ามากมายสำหรับคนไข้เส้นเลือดหัวใจตีบตันที่ต้องผ่าตัดรักษาภายในหนึ่งชั่วโมงก่อนหัวจะวาย หรือคนที่ทำงานแลกเงินเป็นรายชั่วโมงๆ
เวลาหนึ่งนาที มีค่ามากมายสำหรับคนไข้ที่จมน้ำ ขาดอากาศหายใจ และต้องการออกซิเจนจากการขาดอากาศหายใจ หรือนักเรียนที่ทำข้อสอบข้อสุดท้ายในการสอบไม่ทัน โดยเฉพาะแลปกริ๊งงง ( เออ อันนี้ชัดเจนว่ะ )
เวลาเสี้ยววินาที มีค่ามากมายสำหรับคนไข้เส้นเลือดในสมองตีบตัน หรือคนที่ได้ที่สองจากการวิ่งร้อยเมตรชิงแชมป์โลก ตลอดจนคนใกล้ตายที่ยังไม่ได้สั่งเสียหรือล่ำลาบุคคลอันเป็นที่รัก
เห็นมั้ยครับว่าเวลามีค่ามากแค่ไหน
อย่างน้อยการนอนตื่นเช้าในเวลาเดิมที่เราเคยตื่นมันไม่ได้ทำให้เราเหนื่อยหนักหนาไปกว่าที่เคย
นอกจากนี้เรายังสามารถใช้เวลาที่เรานอนอยู่บนเตียงทำอะไรได้อีกมากมายให้กับตนเองและคนอื่นๆ
อย่างน้อยเราก็จะได้ไม่ต้องเสียใจถ้าเราพลาดโอกาสหรือช่วงจังหวะที่สำคัญนั้นไป
เราไม่มีทางรู้หรอกว่าเราจะมีโอกาสอยู่บนโลกใบนี้ได้นานแค่ไหน
เพราะถ้าคุณหมดโอกาสนั้นไปแล้วคุณก็จะได้นอนหลับไปอีกนานเท่านาน
เพราะฉะนั้นจะรีบนอนหลับโดยเสียโอกาสแบบนั้นไปทำไม เมื่อเวลานอนยังมีอีกมากมายนัก ”
สาธุ .........................
ได้แฟนสุดที่รักเทศนาและจิกกัดแบบนี้แต่เช้า นอกจากสารประโยชน์ที่ได้จากว่าที่คุณหมอแล้ว ผมยังรู้สึกหน้าชาๆยังไงไม่รู้แฮะ ถ้าขืนยังแกล้งนอนหลับต่อไปแบบนี้ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วละครับ
ผมยิ้มให้กับตัวเอง และขอบคุณติ๊บมากมายที่ให้แง่คิดกับผม
ตั้งแต่วันนั้นมาถ้าไม่เหนื่อยจริงๆผมก็ไม่เคยลุกหรือตื่นสายอีกเลย
เพราะมาคิดทบทวนมันก็เป็นจริงอย่างที่เจ้าตัวเล็กว่ามาทุกสิ่งอย่าง และเป็นหนึ่งในสี่ที่จะพาเราไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอีกด้วยนะ
อย่านอนตื่นสาย
อย่าอายทำกิน
อย่าหมิ่นเงินน้อย
อย่าคอยวาสนา
นี่ถ้าผมผิดตั้งแต่ข้อแรกแล้วแบบนี้ ผมจะมีโอกาสก้าวหน้าในชีวิตได้อย่างไรกันละเนาะ
ผมยกกาแฟขึ้นจิบพลางคิดถึงเจ้าตัวเล็กอย่างอารมณ์ดี
ไดอารี่เล่มโปรดที่ผมชอบอ่านผมหยิบมันมาเปิดอ่านอย่างอารมณ์ดี แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเปิดอ่านมันก็ตามที
แต่เชื่อมั้ยว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมเปิดอ่านแล้วรู้สึกเบื่ออยากจะวางมันลง
ผมยังมีความสุขและยิ้มให้กับไดอารี่เล่มนั้นอยู่ทุกครั้งที่ได้เปิดมันขึ้นมาดูรูปเจ้าตัวเล็ก รูปผม รูปวาดสวยๆ( ฝืนใจนิดนึงกับประโยคนี้ ) ตลอดจนบทกลอนเพราะ บทความดีๆจากเจ้าตัวเล็ก ที่ขีดเขียนเรื่องราวความรู้สึกทั้งหมดลงในไดอารี่เล่มนี้ แค่นี้ก็ทำให้ผมอุ่นใจได้ตลอดเวลาที่หยิบมันขึ้นมาอ่านทุกที
ป่านนี้คงเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกหัด เข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลพุทธชินราชเป็นที่เรียบร้อยแล้วซินะ
วันก่อนคุยกันใน MSN ยังบ่นกับผมอยู่เลยว่าเสื้อกาวน์ที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้หมอที่มาขึ้นเวรใส่ไม่ได้มาตรฐานเลย เพราะเจ้าตัวหยิบมาใส่ทีไรเสื้อกาวน์มันก็คลุมไปถึงตาตุ่มแทนที่จะอยู่แค่ใต้เข่าก็พอ ( เอออ อันนี้พี่ว่าโทษที่ตัวเองโหลดต่ำเกินไปหรือเปล่า ดีกว่ามั้ย )
ถ้าผมเป็นคนไข้ของหมอติ๊บไม่ใช่ในฐานะแฟน
ผมก็คงจะเป็นคนไข้ที่รู้สึกเจ็บปวดจากโรคที่เป็นได้น้อยกว่าคนไข้ที่เป็นโรคเดียวกันมากมายนัก
อย่างแรกคงเป็นเพราะมีความสุขทุกครั้งเวลาที่หมอมาตรวจเพราะคุณหมอหน้าตาน่ารัก และยิ้มแย้มให้กับคนไข้เสมอๆ
อย่างน้อยแค่หมอยิ้มก็ทำให้คนไข้อุ่นใจขึ้นได้เยอะเลยจริงมั้ย ดีกว่าไปตั้งหน้าตั้งตาตรวจเสร็จแล้วก็เดินจากไป
หมอติ๊บที่ผมรู้จักนอกจากจะตรวจคนไข้ตามปกติแล้ว หมอยังยิ้มแย้ม ทักทายสารทุกข์สุกดิบคนไข้ทุกครั้ง จับมือให้กำลังใจโดยไม่รังเกียจหรือหวาดกลัวการติดเชื้อจากคนไข้
หมอติ๊บเป็นคนพูดจาไพเราะรู้จักใช้คำพูดจากการเป็นนักพูดของโรงเรียนมาก่อน จึงทำให้น้ำเสียงที่เอ่ยออกมามันดูไพเราะเพราะเขามีพื้นฐานในการพูด การใช้ภาษาที่ดูสละสลวยมาก่อน
และหลังจากการตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้วก่อนจะเดินจากคนไข้ไปตรวจเตียงอื่น หมอติ๊บมักจะมีถ้อยคำให้กำลังใจที่ประทับใจคนไข้อยู่ทุกครั้ง อย่างน้อยก็เช่น หายไวๆนะครับ พร้อมยิ้มสวยๆในขณะที่หมอคนอื่นตรวจเสร็จแล้วก็จะเดินจากไป
ขอบคุณที่มา และบรรณานุกรม จากหมอบอย ทั้งที่ผมก็ไม่เคยเป็นคนไข้หมอติ๊บหรอก แต่ได้ฟังที่หมอบอยและคนที่ผมรู้จักคนหนึ่งซึ่งมีโอกาสได้เป็นคนไข้ของหมอติ๊บเล่ามาอีกทีนึง มีแหล่งอ้างอิงนะ เดี๋ยวจะหาว่าผมอวยแฟนตัวเองมากไป
ด้วยเหตุประการฉะนี้ จึงไม่แปลกใช่มั้ยที่ผมจะแกล้งเอาดายเป่าผม ปรับระดับให้ร้อนสุด มาเป่าที่หน้าตัวเองให้มันร้อนๆ แล้วแกล้งนอนซมเพราะไข้ ให้คุณหมอมาเอาใจใส่ดูแลบ่อยๆ ฮาๆ
( แต่ตอนนี้ใช้แผนนี้ไม่ได้แล้ว เพราะหมอติ๊บเดี๋ยวนี้ไม่ใช้ดรายเป่าผม แต่เปลี่ยนเป็นที่หนีบผมแทน จะเอามาทาบหน้าผากตัวเองก็จะกระไรอยู่ สงสัยเขารู้ทันแน่ๆเลย ใช้บ่อยเกินไป )
ขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่ยังคิดถึงหมอติ๊บ และหมอไม้คนนี้นะคับ
ช่วงนี้เนื่องจากน้องแฮคได้ลาไปทำหน้าที่ทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ลาบวชไปซักช่วงหนึ่งผมเลยมาทำหน้าที่ในการโพสแทนชั่วคราว ต้องขอโทษที่ไม่สามารถอัพเดทขึ้นตอนใหม่ในสารบัญได้เพราะทำไม่เป็น แต่ผมว่าคนที่จะทำสารบัญด้วยต้องเป็นคนโพสด้เวยนิใช่มั้ย เพราะฉะนั้นช่วงนี้ก็ขอโทษแฟนคลับนิดนึงนะคับยังไงรบกวนติดตามจากรีพลายแทนสารบัญซักช่วงนึง
ถ้าน้องแฮคกลับมาคิดว่าทุกอย่างจะเข้าสู่สถานการณ์เดิมครับ แต่ระหว่างนี้คิดว่าจะยังคงติดตามเรื่องราวเสื้อกาวน์เก่าๆนี้กันต่อไป หวังว่าจะยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะคับสำหรับหมอติ๊บ
ส่วนเรื่องจะให้อัพเดทข่าวคราวหมอติ๊บนั้น เดี๋ยวจะมาอัพเดทเป็นระยะๆให้คับ
จากการคุยกันเมื่อคืนเห็นบอกว่าไปโดนแดดเผาหน้าแดงเป็นตูดลิงเลย บ่นใหญ่เลยว่าฝ้าจะขึ้นหน้า
สงสารเหมือนกันแต่ก็อดขำไม่ได้ ขนาดสิวขึ้นเม็ดสองเม็ดยังกังวลขนาดนั้นถ้าเป็นฝ้านี่มีหวังนอกจากต้องไปเข้าหาหมอผิวหนังแล้วคงต้องไปพบจิตแพทย์กันด้วยเลยทีเดียวว