บทที่ 21
ตีตรา [END]
“ข่าวต่อไปนะครับ ศาลพิพากษาเบื้องต้นให้นางสาวอลิซาเบ็ธ เบิร์กบราวน์จำคุกสิบปีในข้อหาทารุณกรรมผู้อื่น จนถึงตอนนี้ทางตำรวจยังคงสืบหาผู้ที่คาดว่าเคยถูกนางสาวอลิซาเบ็ธจับมาทดลอง ซึ่งในตอนนี้ยังมีจำนวนไม่แน่นอน ผู้เสียหายท่านอื่นๆ ยังคงมีมาให้ปากคำอย่างต่อเนื่อง”
เสียงรายงานของนักข่าวบนหน้าจอโทรทัศน์ดังขึ้นทำให้วิลเลี่ยมที่กำลังดื่มกาแฟยามเช้าหันมาสนใจ ดูเหมือนคดีของอลิซาเบ็ธจะเริ่มมีความคืบหน้า
วิลเลี่ยมอดชื่นชมการทำงานของตำรวจไม่ได้ หลังจากอลิซาเบ็ธถูกจับก็เริ่มสืบหาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายรายอื่นๆ ซึ่งเป็นโอเมก้าที่เคยถูกหญิงสาวหลอกมาทำการทดลอง มีหลายคนที่ถูกพบเป็นศพแล้ว แต่ตำรวจก็ยังสามารถตามหาจนเจอต้นตอและสิ่งที่บ่งชี้ว่าเป็นฝีมือของอลิซาเบ็ธ
ลัทธิกำจัดโอเมก้าเสื่อมสลายลงไปอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ในวันที่เธอบังคับเซ็ธให้ฆ่าวิลเลี่ยมอย่างเลือดเย็นนั้นมีนักข่าวบันทึกภาพไว้ได้ และนำมันมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน ทำให้คนที่เคยให้การสนับสนุนแนวคิดของอลิซาเบ็ธเลิกติดตามไป บางคนถึงกับสาปแช่ง บ้างก็ชื่นชมในตัวเซ็ธที่มีความกล้าหาญ กล้าที่จะสละชีวิตตัวเองทำให้ภาพพจน์ของโอเมก้าดูดีขึ้น
ส่วนหลังจากที่อลิซาเบ็ธถูกจับกุมแล้ว ตำรวจยังสืบต่อได้อีกว่ามีผู้มีอิทธิพลและนักการเมืองบางคนที่ให้การสนับสนุนเธอและคัดค้านกฎหมายคุ้มครองโอเมก้าเป็นพวกค้ามนุษย์ บ้างก็เอาโอเมก้าไปทารุณด้วยรสนิยมส่วนตัว
พวกเขาเหล่านั้นถูกจับกุมในที่สุด ขณะที่สังคมส่วนใหญ่ให้การยอมรับโอเมก้ามากขึ้น บางครั้งก็มีข่าวลือว่าลูกที่เกิดจากโอเมก้าจะมีพลังจิตแข็งแกร่งกว่าที่เกิดกับอัลฟ่าด้วยกัน
กฎหมายคุ้มครองโอเมก้าถูกประกาศใช้ในประเทศวันที่ 18 ธันวาคม ก่อนวันคริสต์มาสไม่กี่วัน เรียกเสียงยินดีให้แก่ผู้ที่ให้การสนับสนุน หรือคู่รักต่างชนชั้นที่มารอฟังผลหน้าธรรมเนียบเป็นอย่างดี งานคริสต์มาสในปีนี้จึงเต็มไปด้วยความคึกคัก
หลังจากนั้นหลายๆ ประเทศก็เริ่มร่างและใช้กฎหมายคุ้มครองโอเมก้ามากขึ้น ความขัดแย้งด้านชนชั้นจึงอ่อนลงจากเมื่อก่อน
ทว่าก็ยังมีการทะเลาะหรือเหยียดหยามกันอยู่
วิลเลี่ยมคาดเดาเรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว ใจคนไม่สามารถเปลี่ยนได้ในทันที การอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขของทั้งสามชนชั้นต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะสัมฤทธิผล เป้าหมายที่สมควรให้การสนับสนุนคือเด็กรุ่นใหม่ พวกเขาไม่ค่อยใส่ใจขนบความคิดของคนรุ่นเก่าเสียเท่าไร นี่นับเป็นโอกาสดีที่จะเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้น
หากต้องการให้เวลาแห่งสันติมาถึงเร็วๆ เราก็ต้องใส่ใจเรื่องการสั่งสอนเด็กรุ่นใหม่ในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น...คือสิ่งที่เขากล่าวไว้ในที่ประชุม
แผนการของรัฐบาลจึงมุ่งเน้นที่เด็กรุ่นใหม่เป็นส่วนใหญ่ มีหลายโรงเรียนที่เปิดรับโอเมก้าให้เข้าศึกษาได้และปฏิบัติเหมือนเด็กทั่วไป
เวลาของการเปลี่ยนแปลงระบบผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากสิ้นปีใหม่ทุกอย่างก็ลงตัวมากขึ้น วิลเลี่ยมมีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น แต่ถึงกระนั้นเซ็ธที่ยังเป็นนักเรียนก็ไม่ได้มีเวลาว่างตามเขา หลายครั้งต้องอยู่บ้านคนเดียวจึงรู้สึกเหงา ชายหนุ่มก็เลยมักจะไปเล่นกับแมรี่ ลูกสาวของเอดิสันกับเลนเนอร์อยู่บ่อยครั้ง
ยายหนูคนนี้ร่าเริงมาก เขาเล่นอะไรด้วยหน่อยก็หัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจ แต่คนที่ทำให้เด็กน้อยนี่ติดได้นอกจากเลนเนอร์ก็คือเซ็ธ ไม่รู้ว่าแมรี่ชอบใจตรงไหนแต่พอเห็นเด็กหนุ่มทีไรก็จะร้องงอแงให้อุ้มทันที
คนเป็นพ่อเห็นแบบนั้นก็อดหวงไม่ได้ที่ลูกสาวใจง่ายไปอยู่กับชายอื่นเลยมักจะมาถามว่า “เมื่อไรนายจะทำสัญลักษณ์กับเซ็ธสักที”
“เฮ้ เมื่อก่อนนายยังห้ามฉันอยู่เลยนะ” วิลเลี่ยมร้องประท้วง เอดิสันเลยเลิกคิ้วถามว่า
“หรือไม่อยากตีตรา”
“อยาก” วิลเลี่ยมตอบแทบจะทันทีก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “แต่รอให้เซ็ธพร้อมก่อน ถ้าทำไปจะถูกเพื่อนที่โรงเรียนนินทาหรือเปล่านะ”
“โอเมก้าวัยรุ่นที่ถูกตีตราจองจากคนรุ่นเดียวกันก็มีอยู่นี่”
“แต่เผอิญฉันคนละรุ่นกับเซ็ธนี่สิ” วิลเลี่ยมสวนกลับไปก่อนที่จะถอนหายใจออกมา ยิ่งระยะห่างของชนชั้นเบาบางลงก็ยิ่งทำให้เซ็ธเป็นจุดสนใจจากอัลฟ่าในโรงเรียนมากขึ้นไปอีก
ทุกวันก็มักจะมีแมลงมาตอมน้ำหวาน ยังดีที่มีไม้ไล่แมลงอย่างมิเกลอยู่ อัลฟ่าพวกนั้นเลยเข้าไม่ถึงตัวเซ็ธ จริงๆ วิลเลี่ยมก็เคยคิดว่าถ้าตีตราไปเลยน่าจะขจัดปัญหาคนมารบกวนได้
ติดที่ว่าเด็กของเขาจะพร้อมหรือเปล่า
หลังจากนั้นหลายวันพวกเขาได้รับการติดต่อจากเอดิสันว่าให้มาร่วมงานวันเกิดของเลนเนอร์ซึ่งจัดที่บ้านใหญ่ของอีกฝ่าย
ฝั่งเอดิสันเองก็สามารถขึ้นเป็นใหญ่ในตระกูลและทำให้ครอบครัวยอมรับเลนเนอร์ได้ จากที่เคยถูกคนดูถูกเหยียดหยาม บางคนถึงกับสาปแช่งลูกของทั้งคู่ แต่ในขณะนี้คนรักของเจ้าบ้านถูกประคบประหงมอย่างดี
งานเลี้ยงจัดอย่างยิ่งใหญ่ มีผู้คนที่มีหน้ามีตามาเข้าร่วม มีการบันทึกภาพจากสถานีโทรทัศน์ มีวงดนตรีคลาสสิกมาร่วมบรรเลงเพลงตลอดทั้งงาน ยิ่งใหญ่เสียจนเจ้าภาพทำตัวไม่ถูก
“คิดว่าบางทีเขาโอเวอร์เกินไปหรือเปล่า” ในที่สุดเลนเนอร์ก็บ่นขึ้น ชายหนุ่มนั่งอยู่ที่เก้าอี้ซึ่งอยู่ริมผนัง ข้างๆ คือวิลเลี่ยมที่มานั่งพัก อีกฝ่ายหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะบอกว่า
“ก็เห็นโอเว่อร์ทุกรอบนั่นแหละ ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนาย” ตั้งแต่ขึ้นชื่อว่าเปิดตัว ไม่ว่าเลนเนอร์จะทำอะไรก็ดูเป็นที่ต้องตาต้องใจของเอดิสันเหลือเกิน
“นี่ถ้าแมรี่ยืนได้คงมีงานฉลองอีก” วิลเลี่ยมคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป “จากนั้นก็งานฉลองแมรี่พูดได้ แมรี่เรียกพ่อได้ แมรี่ไปโรงเรียนครั้งแรก...”
เลนเนอร์หัวเราะขึ้นกับมุกของวิลเลี่ยม ถึงจะบอกว่าเป็นมุกแต่พวกเขารู้ว่าอาจจะเกิดขึ้นได้
วิลเลี่ยมเคยถามเอดิสันว่าเมื่อก่อนไม่ใช่คนที่ชอบงานเลี้ยง แล้วทำไมถึงพยายามหาจัดงานเลี้ยงเพื่อเลนเนอร์บ่อยๆ อีกฝ่ายแค่ยิ้มแล้วตอบว่า “มันก็แน่นอนในคำถามอยู่แล้วนี่”
เพื่อเลนเนอร์...เพื่อให้คนที่รักมีความสุข เอดิสันเลยพยายามจัดงานรื่นเริงที่แต่ก่อนเกลียดนักเกลียดหนาขึ้นมาให้แก่อีกฝ่ายจนทำให้วิลเลี่ยมอดนับถือในความพยายามนั้นไม่ได้
“แมรี่ยังติดเซ็ธแจอยู่เลย” เลนเนอร์เอ่ยขึ้นขณะหันไปมองยังเด็กหนุ่มที่อุ้มลูกสาวเดินไปเดินมาอยู่ไม่ใกล้ ตอนนี้เซ็ธทำหน้าที่เป็นคนดูแลทารกน้อยแทนเขาที่มานั่งพัก
“เลนเนอร์” เอดิสันปลีกตัวออกมาจากกลุ่มนักธุรกิจที่ยืนคุยกันอยู่ “มานี่หน่อยสิ”
“มีอะไรเหรอ?” ชายหนุ่มถามขึ้นขณะถูกดึงให้ลุกจากเก้าอี้ เอดิสันจับมือพาเขาเดินไปใกล้เวทีขณะที่พิธีกรเริ่มการพูดเกริ่นนำขึ้น
“เซ็ธ” วิลเลี่ยมเองก็ลุกขึ้นบ้างและหันไปเรียกเด็กหนุ่มที่อุ้มทารกอยู่ “ไปใกล้ๆ เวทีกันเถอะ”
“ครับ? มีอะไรหรือครับ” เซ็ธเดินตามวิลเลี่ยมไปที่หน้าเวที อีกฝ่ายโอบไหล่เขาไว้ก่อนที่จะบอกด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนจะมีเรื่องดีๆ กำลังจะเกิดขึ้นนะ”
ทั้งงานมืดลง บริกรเข็นรถที่มีเค้กขนาดยักษ์เข้ามา วงดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงอวยพรวันเกิดท่ามกลางเสียงร้องเพลงที่ดังขึ้น แม้แต่เด็กหนุ่มข้างตัวเขายังร้องด้วย หลังจากเพลงจบไฟก็สว่างขึ้น ช่วงเวลาต่อไปเป็นการมอบของขวัญ
เขาจำสิ่งที่เอดิสันเคยตั้งปณิธานไว้ได้ ตอนนี้เลยเข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่ายจัดงานวันเกิดของเลนเนอร์เสียใหญ่โต
“ถ้างั้นขอเชิญคุณเอดิสันมอบของขวัญให้แก่คุณเลนเนอร์ก่อนเลยครับ” พิธีกรผายมือไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนเวที เอดิสันหันเข้าหาเลนเนอร์ก่อนจะล้วงเอาบางสิ่งออกมาจากเสื้อสูท
กล่องขนาดเล็กจิ๋ววางอยู่บนฝ่ามือขวาของอีกฝ่ายก่อนที่เอดิสันจะใช้มืออีกข้างเปิดมันออกขณะที่คุกเข่าลงตรงหน้าเลนเนอร์
“เราก็...ผ่านความทุกข์ยากกันมานานแล้ว ตอนที่ฉันเศร้านายก็อยู่ ตอนที่ฉันมีความสุขนายก็อยู่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายก็จะอยู่เคียงข้างฉันเสมอ ที่ผ่านมาอยากจะขอบคุณจริงๆ ขอบคุณที่มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ฉัน มันอาจจะช้าไปสักหน่อย แต่...”
คำพูดของเอดิสันสะกดทุกสิ่งให้เคลื่อนไหว ไม่มีใครกล้าพูดแทรก แม้แต่เลนเนอร์เองยังยืนนิ่ง วัตถุที่ถูกใส่อยู่ด้านในกล่องเปล่งประกายยามกระทบแสงไฟ
“เลนเนอร์...แต่งงานกับฉันเถอะนะ” เอดิสันเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม เรียกเสียงฮือฮาให้แก่ผู้ที่รอลุ้นอยู่ทันที เขายังนั่งอยู่ท่าเดิมเพื่อรอคำตอบจากอีกฝ่าย
“บ้าอะไร...” เลนเนอร์พึมพำขึ้นขณะที่ยกยิ้มทั้งที่น้ำตาเริ่มคลอออกมา “อยู่ด้วยกันขนาดนี้ยังจะขอทำไมอีก นายพาฉันเข้าห้องหอเลยยังได้”
“ตอบตกลงก่อนสิ” เอดิสันเร่งเร้าทำให้คนที่เขินจนหน้าแดงยิ่งอึกอักที่จะพูด แต่ในที่สุดเลนเนอร์ก็ยื่นมือซ้ายออกไปแล้วบอกว่า
“ตกลง ต่อจากนี้ก็ขอฝากตัวด้วยนะ ที่รัก”
เอดิสันยิ้มกว้างขึ้นมากกว่าเดิม เขาสวมแหวนให้อีกฝ่ายก่อนจะลุกขึ้น หยิบอีกกล่องที่เตรียมไว้ให้อีกฝ่ายสวมแหวนที่นิ้วของตนบ้าง เมื่อเลนเนอร์สวมให้เรียบร้อย ชายหนุ่มก็คว้าตัวอีกฝ่ายมาจูบบนเวที ท่ามกลางการแสดงความยินดีของทุกคน
“ดีจังเลยนะ เนอะ แมรี่” เซ็ธเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปหาหนูน้อยวัยสามเดือนที่เริ่มงัวเงีย วิลเลี่ยมได้ยินแบบนั้นก็เลยได้โอกาสถาม
“อยากทำแบบนั้นหรือเปล่าล่ะ”
“ผมคงหัวใจวายคาเวทีพอดี” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเจือเสียงหัวเราะ ให้อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้เขาคงไม่มีความกล้ามากพอขนาดนั้น
วิลเลี่ยมได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “ฉันไม่มีปัญญาจัดขนาดนี้ได้หรอก อย่างมากก็แค่ทำให้เป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ”
“แมรี่ง่วงหรือยัง” จู่ๆ เลนเนอร์ที่เพิ่งลงมาจากเวทีก็ถามขึ้น ก่อนจะเข้ามาช้อนตัวอุ้มหนูน้อยต่อจากเซ็ธ แมรี่ทำท่าง่วงนอนแล้วจริงๆ ดังที่อีกฝ่ายคาด
“ยินดีด้วยที่จะได้แต่งงานนะ เลนเนอร์” วิลเลี่ยมอวยพรขึ้นก่อนที่เซ็ธจะตามมาว่า “ยินดีด้วยนะครับ”
“ขอบคุณนะ ทั้งสองคน” เขาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มซึ่งดูมีความสุขมาก “ฝากบอกเอดิสันหน่อยนะว่าฉันจะพาแมรี่ขึ้นไปนอนแล้ว”
“ได้ ให้แม่หนูนี่ได้พักเสียบ้าง วันนี้คึกเหลือเกิน” วิลเลี่ยมรับปากก่อนที่จะหยิกแก้มอวบๆ ของเด็กน้อยเล่นเบาๆ แล้วปล่อยให้เลนเนอร์พาขึ้นไป
งานเลี้ยงเลิกตอนสี่ทุ่ม พวกพนักงานเริ่มทำความสะอาด เอดิสันเองคุยกับวิลเลี่ยมเล็กน้อยก็ขึ้นไปบนห้องเพื่อพักผ่อน ส่วนพวกเขาสองคนก็ขับรถตรงกลับบ้าน
หลังจากอาบน้ำเสร็จวิลเลี่ยมก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เตียง รอเด็กหนุ่มเข้ามาในห้อง
อีกฝ่ายเข้ามาหลังจากอาบน้ำเรียบร้อย กลิ่นแชมพูยังคงติดอยู่บนเส้นผมชวนให้หลงใหล สิ่งที่ทำให้วิลเลี่ยมแปลกใจอีกอย่างคือต้นคอที่ไร้ปลอกคอป้องกันของอีกฝ่าย
“เซ็ธ ปลอกคอไปไหนน่ะ?” เขาถามขึ้น เซ็ธเดินมานั่งคุกเข่าบนเตียงก่อนจะเล่าว่า
“วันนี้ผมได้คุยกับเลนเนอร์ เขาบอกการสร้างพันธะก็นับว่าเป็นเรื่องดี เพราะจะได้ไม่มีใครมารังควานอีก” เซ็ธสัมผัสที่สัญลักษณ์ซึ่งอยู่ที่หลังคอก่อนจะบอกว่า “ผมอึดอัดเวลาที่อยู่ที่โรงเรียนแล้วมีพวกอัลฟ่ามายุ่งด้วย”
“เซ็ธ...”
“วิลเลี่ยม...” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นขณะยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกฝ่าย ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำบ่งบอกว่าใช้ความกล้าอย่างมากที่จะพูดออกมา “ถ้า...ถ้าคุณรักผม ช่วยตีตราให้ผมทีได้ไหม”
คำพูดนั้นทำให้วิลเลี่ยมชะงักไปชั่วขณะ หนังสือที่อ่านอยู่หล่นลงบนตัก แม้นี่จะเป็นสิ่งที่รอมานานแต่พอได้ยินแบบปุบปับเช่นนี้ก็ชวนให้ตกใจไม่ได้
“จะดีเหรอ?” เขาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ มือก็แอบจิกตัวเองเพื่อยืนยันว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ผล็อยหลับคาหนังสือไป
“คุณไม่อยากเหรอ...” น้ำเสียงของอีกฝ่ายเศร้าหมองลงทำให้วิลเลี่ยมต้องแก้ตัว
“อ้ะ เปล่าๆ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นนะ ที่จะพูดก็คือ...นายต้องการแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม ต่อจากนี้นายจะจับคู่กับคนอื่นไม่ได้อีกแล้วนะ”
ถึงจะรักมากเพียงใด แต่เซ็ธยังเป็นวัยรุ่น ส่วนเขาเป็นผู้ใหญ่ เซ็ธมีสังคมที่ต้องเจอมากกว่าเขา วิลเลี่ยมเคยเผื่อใจไว้ครึ่งหนึ่งว่าถ้าเซ็ธเจอคนที่ชอบจริงๆ ก็จะปล่อยไป
“ผมต้องการคุณ แค่คุณคนเดียว” เซ็ธเอ่ยขึ้นน้ำเสียงหนักแน่น ปลุกสัญชาตญาณของวิลเลี่ยมให้ตื่นขึ้น เขายกมือขึ้นจับใบหน้าของอีกฝ่ายมาใกล้ก่อนที่มอบจูบอันหวานล้ำให้ ลิ้นร้อนผ่าวได้รับการตอบรับอย่างดีในโพรงปากของอีกฝ่าย เนิ่นนานกว่าที่ชายหนุ่มจะหยุด
“งั้นฉันจะไม่เกรงใจละนะ” วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นขณะดึงตัวอีกฝ่ายมากอดไว้อย่างแนบแน่น ปลดเสื้อผ้าทุกชิ้นของเซ็ธออกพร้อมกับเล้าโลมด้วยความต้องการจากตัณหาที่ลุกโหมขึ้น
เขาเอื้อมมือไปหยิบถุงยางออกมาสวม แล้วชโลมเจลหล่อลื่นตรงช่องทางด้านหลังของเด็กหนุ่มซึ่งโก่งสะโพกปล่อยให้เขาเตรียมพร้อมด้วยนิ้วมือเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
วิลเลี่ยมสอดนิ้วมือเข้าไปอย่างง่ายดายกว่าครั้งก่อน เขาเริ่มขยับ เซ็ธก็เริ่มครางออกมา มือกำผ้าปูเตียงแน่นด้วยความเสียวซ่าน
เมื่อคิดว่าน่าจะพร้อมแล้วเขาจึงดึงนิ้วออกแล้วยกสะโพกอีกฝ่ายขึ้น จากนั้นก็แทรกส่วนที่ตื่นตัวเพราะแรงขับดันทางเพศเข้าไป
เซ็ธกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บแปลบที่เล่นเข้ามาชั่วขณะก่อนที่จะปล่อยตัว มัวเมากับความสุขอันหอมหวานที่อีกฝ่ายมอบให้ เขาครางออกมาโดยไม่สามารถกลั้นไว้ได้
“อืม เซ็ธ...ดีหรือเปล่า” วิลเลี่ยมถามขึ้นขณะขยับช้าๆ ให้เซ็ธเริ่มชิน อีกฝ่ายพยักหน้ามาแทนคำตอบ เขาจึงเริ่มขยับให้เร็วขึ้น ขณะก้มลงใช้ลิ้นลากผ่านสันหลังของอีกฝ่ายแล้วขบใบหูของเด็กหนุ่มเบาๆ เพราะตรงนั้นคือจุดอ่อนไหวของเซ็ธทำให้ร่างนั้นสั่นสะท้านทันที
“อือ วิล...ช้าหน่อย อ๊ะ” เซ็ธร้องขอขึ้นเมื่อรับรู้ถึงความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของการขยับเข้าออกส่วนนั้นของเขา วิลเลี่ยมนั้นยากจะควบคุมตัวเองเมื่อได้กลิ่นอันหอมหวานของเซ็ธ เขาพยุงตัวอีกฝ่ายขึ้นกอดจากด้านหลังขณะที่ยังขยับสะโพกไปด้วย เสียงครางหวานของเด็กหนุ่มเจือปนไปกับเสียงหอบหายใจของเขา
“วิล ฮึก ตรงนั้น...อย่า” ร่างกายของเด็กหนุ่มสะท้านราวกับถูกไฟช็อตทำให้วิลเลี่ยมชะงัก รับรู้ได้ว่าเจอจุดอ่อนไหวภายในตัวของอีกฝ่ายแล้ว เขาเริ่มเน้นย้ำตรงนั้นมากขึ้นทำให้เซ็ธเปล่งเสียงออกมามากกว่าเดิม
“อ๊า วิล พอ...พอที” เซ็ธเอ่ยขอร้องเมื่อรู้สึกทุกความสุขที่เอ่อล้นจนทำให้หายใจลำบาก อีกฝ่ายไม่ได้หยุดตามที่เขาร้องขอ ชายหนุ่มพรมจูบที่ไหล่ของเขาก่อนที่จะมาหยุดที่หลังคอ
“เซ็ธ...” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเรียกขึ้นก่อนที่จะกระซิบด้วยคำหวาน “ฉันจะไม่ทิ้งนายไปไหนเด็ดขาด”
“อ๊า!” เด็กหนุ่มสะท้านไปทั่วทั้งตัวเมื่อถูกกัดที่หลังคอ พร้อมกันนั้นเขาก็ยังเสร็จพร้อมๆ กับวิลเลี่ยมอีกด้วย
ราวกับพลังงานทั้งหมดถูกช่วงชิงไป วิลเลี่ยมประคองเด็กหนุ่มที่อ่อนแรงลงบนเตียง เช็ดทำความสะอาดให้อีกฝ่ายก่อนที่กลับมานอนข้างๆ
เซ็ธยังไม่ได้หลับไป และรออีกฝ่ายมานอนข้างๆ “วิลเลี่ยม”
“หืม” วิลเลี่ยมเลิกคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันมาหา
“ผมรักคุณนะ รักเพียงแค่คุณคนเดียว” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่กลับทำให้วิลเลี่ยมมีความสุขมากกว่าเดิม เขาขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายก่อนจะมอบจุมพิตลงบนหน้าผากอีกฝ่าย
“ฉันก็รักนาย” วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นขณะลูบผ่านรอยแผลที่เขาเพิ่งกัดอีกฝ่ายไปเมื่อครู่ ความอบอุ่นของอีกฝ่ายทำให้เขาดึงเข้ามากอดซุกไว้อย่างหวงแหน
“อยู่ด้วยกันตลอดไปนะ เซ็ธ...”
เซ็ธเงยหน้าขึ้นมาจูบเขาอีกครั้งเป็นคำตอบ
แรกเริ่มที่ทำวิจัย เขาแค่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนมาก แต่ตอนที่ได้พบกับองค์ราชินีครั้งแรกเธอกล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีประโยชน์ต่อตัวเขาในภายภาคหน้า ทีแรกวิลเลี่ยมไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้เจอเซ็ธ ได้รู้จักทุกแง่มุมของอีกฝ่าย ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา แม้จะเป็นระยะเวลาที่สั้นแต่กลับฝังรากลึกยากที่จะลืม
ในตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจสิ่งที่องค์ราชินีเคยกล่าวไว้ เขาได้รับประโยชน์จากงานวิจัยของตนเอง การเปลี่ยนแปลงที่นำเขามาพบเจอกับความรัก รักที่ต่อจากนี้ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไรเข้ามา พวกเขาก็พร้อมจะอยู่เคียงข้างกัน
มอบความสุขให้แก่กันชั่วกาลนาน...
-END-
--------------------------
สวัสดีค่ะ ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามเรื่องนี้ ถึงจะเหงาๆ ไปบ้าง แต่ก็ดีใจที่ได้ลงจบนะคะ