ตอนที่ 9 F5
ผมนั่งพิงต้นไม้กอดก้อนหินที่นั่งหันหน้าเข้ามาหาแล้วเอาหัวซุกลำตัวหลับไป สายตาก็มองกองไฟและเหลือบไปดูคนทั้งห้ากระซิบกระซาบกันอยู่อีกฝั่งเป็นระยะ ไม่รู้จะทำลับๆ ล่อๆ ทำไม ไม่รู้หรือไงว่ามันกระตุกต่อมเผือกคนอื่นเขา ไปคุยกันไกลๆ เลยดีกว่าไหม?
หลังจากเดินทางออกจากจุดเกิดเหตุแล้ว พรีซาก็นำมาหาที่พักใต้ร่มไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ กับลำธาร ทั้งห้าแบ่งหน้าที่กันทำนั่นทำนี่อย่างรวดเร็ว ผมกับก้อนหินได้รับหน้าที่ให้ช่วยชเนาเซอร์หาฟืนเพื่อมาก่อกองไฟ ไม่นานพี่เทพ เอ๊ย! ไซเลอร์ก็ยื่นเนื้อตัวอะไรสักอย่างที่ย่างสุกแล้วมาให้ ส่วนของก้อนหินเป็นเนื้อดิบๆ ที่เสียบไม้มาให้เหมือนรู้ว่าปกติมันกินอาหารแบบไหน แสดงว่าคนที่นี่คุ้นเคยกับมังกรดี พอกินเสร็จแล้วทั้งห้าก็ไปนั่งจับกลุ่มคุยกันเบาๆ อยู่อีกฟากของกองไฟให้ผมอยากรู้อยากเห็นอยู่อย่างที่เป็นนี่แหละ
แต่มองไปสักพักตาก็ชักจะเริ่มปรือจนฝืนไม่ไหวก็ถอดเสื้อออกปูพื้นหยิบผ้าออกมาจากเป้ แล้วก็ขยับเอนตัวลงนอน ห่มผ้ากันหนาวให้กับตัวเองและก้อนหิน ก่อนจะเคลิ้มหลับไป
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาตามเวลาเดิมของนาฬิกาชีวิต ก่อนจะสะดุ้งโหยงสุดตัว เกือบจะแหกปากร้องออกมาแต่มันร้องไม่ออก เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า โว๊ยยยยย! เวลาหลับเวลานอนมึงไม่ถอดผ้าคลุมกันรึไงงงงงง
เข้าใจผมไหมครับมันใส่ผ้าคลุมสีดำสนิทแถมยังมีผ้าคาดปิดหน้า แทบจะไม่เห็นแม้แต่ลูกกะตา แล้วเสือกมานอนอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ พอนอนตะแคงแล้วลืมตาตื่นมาเห็นแล้วหัวใจแทบจะวาย ขวัญเอ๊ยยยย ขวัญมา ถ้าเอารองเท้าปาใส่หน้านี่ผมจะโดนฆ่าไหม ฮึ่ยยยย!!!
เมื่อผมขยับตัวก้อนหินที่นอนซุกอยู่ที่พุงก็พลอยตื่นไปด้วย มันลุกขึ้นมานั่งขยี้หูขยี้ตาแล้วขยับมากอดเอาหัวถูพุงอย่างออดอ้อนจนผมอดจะยิ้มและลูบหัวมันด้วยความเอ็นดูไม่ได้ อืม... สีจากเปลือกไม้ของลุงเซเรสนี่ติดทนนานดีจริงๆ ถูหนักแค่ไหนก็ยังไม่ลอก
“ก๊าส” ก้อนหินร้องประท้วงเมื่อรู้สึกว่าผมถูแรงเกินไป
“ขอโทษๆ ลืมตัวไปหน่อย” เผลอตัวนึกว่าช่วยถูต้นไม้ขอหวยให้พวกป้าๆ ที่บ้านคุณไฟ แหะๆ
“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงทักทายจากไซเลอร์ที่เดินมาจากในป่าดังขึ้น พร้อมกับที่เจ้าตัวถือสัตว์ตัวเล็กๆ ที่ถอนขนเรียบร้อยแล้วมาด้วย นอกจากความสูงแล้วผมยังแยกคนทั้งห้าได้จากเสียงด้วย ก็จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่เห็นหน้าท่านๆ เลยครับ เพราะทุกคนใส่ผ้าคลุมสีดำสนิทไว้เหมือนกันเดี๊ยะแถมยังไม่ยอมถอด ไม่รำคาญกันรึไง แค่เห็นผมยังรำคาญแทนจนอยากจะกระชากออกให้พ้นๆ ถ้าไม่กลัวโดนฆ่าก่อนอ่ะนะ
“อื้อ” จะตอบครับก็ฟังแตกต่างไป เพราะตั้งแต่เดินคุยกันมายังไม่ได้ยินใครสักคนพูดคำนี้ออกมาเลย ผมหันมามองคนที่นอนอยู่ข้างๆ ซึ่งน่าจะเป็นชเนาเซอร์ เพราะอีกสามคนน่าจะไม่มานอนใกล้ๆ ผมแน่ พอไซเลอร์เดินมาถึงก็มานั่งข้างๆ ผมเลิกคิ้วมอง อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนนอนอยู่ตรงนี้ เคลื่อนไหวกันได้เงียบมาก ผมไม่รู้สึกตัวเลยว่าแต่ละคนมานอนกันตอนไหน ถ้าเป็นคนร้าย คงโดนปาดคอตายไปแล้วครับ เฮ้อ!
“หลับสบายดีไหม?” เจ้าตัวถามต่อเมื่อเห็นผมเงียบไป มือก็หยิบกิ่งไม้มาหักแล้วเริ่มก่อไฟเพื่อย่างอาหาร
“สบาย... ครับ” อยากจะตบปากตัวเอง จะไม่ใช้มันก็ไม่ชินแถมฟังดูหยาบคายพิกล พอใช้ก็แปลกๆ อยากจะบอกเฮียแกไปเหลือเกินว่าหลับเหมือนซ้อมตายเลยครับ ถ้าโดนฆ่าคงไปรู้ตัวอีกทีตอนอยู่สวรรค์หรือไม่ก็นรกแล้วโน่นแหละ
“หึ” หัวเราะได้ประหยัดมากพี่ ไม่รู้จะหวงไว้ทำไม ผมหันไปมองแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าจะหึทำไม คือ มันสั้นจนไม่แน่ใจว่าพี่แกหัวเราะหรือกลืนน้ำลาย
“พูดตามที่เจ้าเคยชินเถอะ” กลายเป็นผมที่เป็นฝ่ายกลืนน้ำลายซะเอง อยากจะเห็นสีหน้าของคนข้างๆ จริงๆ เผื่อจะอ่านออกบ้างว่ารู้สึกยังไงกันแน่ มึงถอดผ้าคลุมออกได้ไหม กราบละ
“แล้วมันจะ... ไม่แปลกเหรอครับ” ผมถามอย่างไม่มั่นใจ
“อะไรที่ว่าแปลกล่ะ เจ้าหรือข้า” เอ๊า! ผมถามก่อนก็ตอบก่อนสิครับอย่าเพิ่งย้อน ผมงง!
“หึ” คนตรงหน้าส่งเสียงมาอีกทีเมื่อเห็นผมทำหน้าเอ๋อใส่
“สำหรับที่นี่ไม่มีอะไรแปลกหรอก ทุกอย่างคือเรื่องปกติ” อ้อ มีแต่เรื่องแปลกจนกลายเป็นปกติสินะ ผมเข้าใจถูกใช่ไหม?
“ถ้าไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไร ทุกอย่างถือว่าไม่แปลก” โอเค ฟังดูเหมือนจะงง แต่ก็เข้าใจ
“ครับ” ผมจ้องอาหารตรงหน้าอย่างสนใจเมื่อมันเริ่มจะส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย ขนาดก้อนหิน ยังผละจากพุงมาทำจมูกฟุดฟิดแล้วนั่งจ้องแข่งเลียนแบบผมอย่างกับฝาแฝด
สักพักสามคนที่เหลือก็เดินออกมาจากป่าพร้อมเนื้อสัตว์ เห็ดกับผลไม้อีกสองสามอย่าง ผมก็มองอย่างสนใจเพราะจะได้จำไว้ว่าชนิดไหนมันกินได้บ้าง เผื่อต้องเดินทางคนเดียวจะได้ไม่ลำบาก
“ตื่นได้แล้วไอ้ขี้เซา” มาสทิฟฟ์เดินไปจะเอาขาสะกิดชเนาเซอร์ที่นอนอยู่ แต่ยังไม่ทันได้แตะเจ้าตัวก็ลุกพรวดพร้อมกระชับดาบไว้แน่น อืม ประมาทฝีมือไม่ได้จริงๆ เห็นร่าเริงอัธยาศัยดีอย่างนั้น ดูท่าแล้วน่าจะเก่งพอตัว พอบิดขี้เกียจได้สองสามทีชเนาเซอร์ก็หันหน้ามาทางผมแล้วเอ่ยทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ก้อนดิน ก้อนหิน เราไปล้างหน้าล้างตากันเถอะ” พูดจบก็ลุกขึ้นยืนรอ ผมเลยลุกขึ้นตาม ก้อนหินที่นั่งจ้องเนื้ออยู่ก็เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะลุกขึ้นมายืนเหมือนจะตามไปด้วย
เราทั้งสามเดินมาถึงลำธาร ชเนาเซอร์ก็บอกว่าขอไปทำธุระส่วนตัวก่อน ปล่อยให้ผมกับก้อนหินล้างหน้าล้างตาอยู่ด้วยกัน น้ำเย็นๆ ทำให้สดชื่น แดดอ่อนๆ ทำให้ผืนป่าดูเขียวขจีสดใส ดอกหญ้าสีขาวบานสะพรั่งในยามเช้า สัตว์ป่าตัวเล็กๆ ออกมาหาอาหารกิน ว่าแต่ ไอ้พวกนั้นมันจับตัวอะไรไปให้แดกวะ เห็นตัวเป็นๆ อย่างนี้แล้วกินไม่ค่อยลงแฮะ มีแต่ตัวที่น่ารักๆ ทั้งนั้นเลย ไอ้พวกโหดดดดด อืม แต่มันก็อร่อยดีนะ...
“หินกินปลากันไหม” เจ้าตัวดีมันเงยขึ้นมองหน้าก่อนจะกระโดดลงน้ำไปจับปลา คือ กูแค่ถาม มันไม่ใช่คำสั่งนะหิน สงสัยมันจะอยากกินด้วยละมั้งถึงได้ไวขนาดนี้ มันจับปลามาได้สี่ตัวผมก็บอกให้พอ พอมันขึ้นน้ำมาก็เอาผ้ามาเช็ดตัวให้ก่อนจะหาอะไรห่อปลาไว้พอดีกับที่ชเนาเซอร์เดินกลับมา
“ล้างหน้าไหมชเนาเซอร์”
“ข้าเรียบร้อยแล้ว จับปลาไปด้วยเหรอ”
“อื้อ อยากกินปลาน่ะ ปลาในลำธารนี่อร่อยดี”
“อีกตัวนั่นเผื่อข้าใช่ป่ะ” รู้สึกเหมือนโดนกระดิกหางใส่พิกล
“ได้สิ ก้อนหินจับไปเผื่ออยู่แล้ว” ผู้ชายตัวควายๆ หกคนกินอาหารกันธรรมดาที่ไหน ยัดหาย ยัดหายเหมือนตายอดตายอยากกันทุกคน เอาไปเผื่อก็ไม่เสียหายอะไร
“แล้วไม่ถอดผ้าคลุมเหรอชเนาเซอร์ ไม่อึดอัดรึไง” ผมกล้าถามเพราะรู้สึกสนิทใจกับชเนาเซอร์ที่สุดในกลุ่มเนื่องจากเจ้าตัวมาตีสนิทชวนคุยตั้งแต่แรก
“ฮ่าๆๆ ไม่หรอก ชินกันแล้วละ” เอาที่สบายใจเถอะ จะทำอะไรก็ทำไปแค่ไม่คิดจะทำร้ายกันก็พอแล้ว แต่ถ้าจะทำก็คงทำไปนานแล้วแหละ ฝีมือขนาดพวกนี้ แค่ดาบเดียวผมก็ตายสนิท
“งั้นกลับกันเถอะ ก้อนหินน่าจะหิวแล้ว”
กลับมาถึงเนื้อที่ย่างอยู่ก็สุกพอดี ผมเลยเอาปลาเสียบไม้ลงย่างสองตัว อีกสองตัวก็เสียบไม้แล้วส่งให้ก้อนหินกิน เพื่อจะได้ไม่เลอะมือ มันนั่งรอจนปลาผมสุกและเริ่มกินมันถึงได้กินของตัวเองบ้าง พอปลาหมดร็อตที่นั่งอยู่เงียบๆ ก็ยื่นเนื้อเสียบไม้ให้ก้อนหิน ซึ่งมันก็รับไปกินแต่โดยดี ก้อนหินกินจุขึ้นแฮะ ดูเหมือนตัวมันจะโตขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อยด้วย
“ขอบคุณครับ” ผมขอบคุณแทนก้อนหิน
“อืม” ประหยัดคำพูดกันจริงๆ แต่ละคน
พอกินอิ่มแล้วเราก็ช่วยกันดับไฟแล้วออกเดินทางต่อ โดยมีมาสทิฟฟ์กับพรีซาเดินนำหน้าเหมือนเดิม ผมเดินคู่ไปกับชเนาเซอร์ที่ยังคงชวนคุยไม่เลิก ส่วนไซเลอร์ก็เดินคู่กับร็อตตามหลังมา รู้สึกเหมือนโดนประกบ ถ้าคิดจะหนีก็คงหนีไม่ได้แน่ๆ
เราเดินทางกันไปเรื่อยๆ ค่ำไหนก็นอนนั่น ผ่านไปหลายวันก็ยังไม่ถึงจุดหมายซะที ใกล้ตรงไหนของมึงฮึชเนาเซอร์ ผมรู้สึกเหมือนกับคนทั้งห้าจงใจเดินช้าลงเพื่อให้ผมตามทัน สังเกตดูว่าบางทีคนนำก็จ้ำพรวดๆ อย่างลืมตัว จนได้ยินเสียงกระแอมจากด้านหลังนั่นแหละถึงได้ผ่อนฝีเท้าลง ส่วนไอ้ตัวข้างๆ ก็หัวเราะคิกคักสนุกสนานอยู่คนเดียว
“ดีจังที่ดินมาด้วย” ผมหันไปมองผ้าคลุมข้างๆ ด้วยความสงสัย
“ทำไมล่ะ”
“ก็จะได้เดินช้าๆ แบบนี้บ้างไง ปกติพรีซารีบอย่างกับจะตามล่าเสือ” โห... บ้านผมนี่แค่เดินตามควายว่าเก๋แล้วนะ นี่เล่นเดินล่าเสือเลยเหรอ โคตรเจ๋งว่ะ
“แบบนี้จะได้ดูอะไรบ้าง ปกติรีบจนเห็นแค่เงาวูบวาบข้างทาง” เอ่อ นั่นเดินหรือเหาะ ถามจริง
“เย่ย” เพราะมัวแต่คุยเลยต้องกระโดดโหยงถอยกลับมาเมื่อเกือบจะชนกับคนข้างหน้าที่หยุดกะทันหัน ผมกลัวพรีซามากครับบอกตรงๆ คนอะไรแค่อยู่นิ่งๆ ก็แผ่ออร่าความน่ากลัวมาข่มขวัญกันได้
“ตรงนี้เรียกเมืองครอส เป็นเมืองชายขอบของเคลเบรอส เพราะติดกับป่าไวท์ที่เราเพิ่งจะออกมาที่สุด” ชเนาเซอร์อธิบายให้ฟังระหว่างที่พรีซาปรึกษาอะไรกันสักอย่างกับคนที่เหลือ ผมมองไปข้างหน้าก็เห็นว่าเริ่มจะมีผู้คนเดินขวักไขว่ ข้างๆ ทางมีแผงวางขายของอยู่ เดาว่าตรงนี้คงจะเป็นท้ายตลาด เพราะคนไม่เยอะมากนัก ผู้คนแต่งตัวกันด้วยเสื้อผ้าที่ตัดเย็บง่ายๆ ผู้ชายก็เป็นเสื้อแขนสั้นหรือแขนยาวกับกางเกงขายาว ส่วนผู้หญิงก็นุ่งกระโปรงเลยเข่าสีสันสดใส หน้าตาและสีผมก็หลากหลาย แต่ดูกลมกลืนอย่างประหลาด
“จะเข้าเมืองแล้ว ถอดผ้าคลุมออกเถอะ จะได้ไม่สะดุดตา” ผมละสายตาจากผู้คนตรงหน้ามาสนใจคำพูดของพรีซาแทน ทั้งห้าไปยืนใกล้ๆ กัน พรีซาท่องอะไรสักอย่างสั้นๆ ก่อนทั้งห้าจะปลดผ้าปิดปากและปลดผ้าคลุมออกมา
ผมได้แต่มองตาค้าง
อื้อหือ...
หล่อแสบตา ออร่าจับทั้งห้าตัว สลัดคราบแก๊งทวงหนี้เป็นโอปป้าได้ทันที กูว่าพวกมึงๆ ใส่ผ้าคลุมไว้แบบเดิมดีกว่านะ แบบนี้มันสะดุดตายิ่งกว่าเดิมอีกสัด! คนมองแทบทั้งเมืองโดยเฉพาะสาวๆ
เหอะ! นี่ผมไม่ได้อิจฉาเลยนะครับ พูดจริงๆ...
ในที่สุดก็ได้เห็นหน้าค่าตากันซะที หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายวัน
ไล่จากชเนาเซอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด ผมสั้นๆ สีแดงเพลิงหยิกยุ่งกับตาโตๆ สีน้ำตาล ผิวขาวจัด รอยยิ้มสดใสเหมือนเด็กซนๆ ทำให้รู้สึกเอ็นดูได้ไม่ยาก
ร็อตที่ยังคงทำหน้านิ่งๆ เหมือนบุคลิกมีผมสีดำสนิทยาวประบ่า แต่มัดเป็นจุกเล็กๆ อยู่ที่ท้ายทอย ผิวเข้มคร้ามเหมือนโดนแดดเป็นประจำ ตาสีดำสนิทสีเดียวกับสีผม
พรีซามีผมสีเงินเป็นเงาเรียบยาวเกือบถึงเอวแต่มัดรวบไว้ง่ายๆ ตาสีฟ้าเข้มจัดคมเฉี่ยว ผิวขาวจัด บุคลิกสง่างามและดูมีชาติตระกูลที่สุดในกลุ่ม (แต่ก็ดูน่ากลัวที่สุดในกลุ่มด้วยในความรู้สึกของผม)
มาสทิฟฟ์ที่ตัวใหญ่ที่สุดตัดผมซะเกรียนแทบจะติดหนังหัว ใบหน้ามีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ลากพาดจากแก้มฝั่งซ้ายเฉียงลงมาถึงแก้มขวา ทำให้ใบหน้าที่น่าจะดูหล่อเหลากลับดูดุและดิบเถื่อนแทน ยิ่งคอยมองถลึงตาใส่คนที่มองมาที่กลุ่มเราโดยเฉพาะคนที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ่งดูน่ากลัวจนคนที่มองหลบตากันวูบวาบ เอ่อ... ทำไมมันทะแม่งๆ พิกลหว่า
ส่วนไซเลอร์ พี่เทพของผมก็ไม่น้อยหน้า พี่แกมีผมสีทองเข้มไล่ระดับความเข้มจากโคนไปจนถึงปลายผมคล้ายสีทองไหม้ สงสัยจะโดนแดดเลีย... ผมตัดสั้นๆ เข้ารูปกับหัวทุยๆ ตาสีเขียวเข้ม จมูกโด่งรับกับริมฝีปากหยักเต็มที่กำลังอมยิ้ม หือ ยิ้ม? ผมขยับสายตาขึ้นไปสบกับดวงตาสีเขียวระยับที่กำลังจ้องกลับมา แล้วเลิกคิ้วถามว่ามองอะไร มองหน้าหาเรื่องกันอีกแล้วใช่ไหม? พี่แกก็แค่หัวเราะหึแล้วก็หันกลับไปเก๊กหน้าขรึมทำหน้าเย็นชาเมื่อมีคนมอง จะเก๊กเพื่อ???
ผมกวาดสายตามองคนทั้งห้าอีกครั้ง ก็ไม่แปลกหรอกที่ผู้คนจะสนใจ เพราะทั้งห้ามีออร่าบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ใช่คนธรรมดา ก็นั่นสินะ คนธรรมดาที่ไหนฝีมือการต่อสู้ดีขนาดนั้น ถ้าอยู่ด้วยกันต่อไปก็คงได้รู้สักวันว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่
“หิว หาอะไรกินก่อนได้ไหมพรีซา” ชเนาเซอร์ถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง มองรอบๆ ตัวตาวาว พอๆ กับก้อนหินที่อยู่ในอ้อมแขนของผมที่ทำจมูกฟุดฟิดกระดิกหางและมองรอบๆ ตัวอย่างสนอกสนใจ
“ก็ดีเหมือนกัน กินเสร็จแล้วจะได้ขึ้นมังกรกลับเมืองเลย ไม่ต้องเสียเวลาแวะกลางทางอีก” มาสทิฟฟ์ออกความเห็นบ้าง หือ ขึ้นมังกร ผมหันไปมองอย่างงงๆ
“งั้นไปร้านใกล้ๆ ที่ฝากมังกรไว้ก็แล้วกันจะได้ไม่เสียเวลา” ชเนาเซอร์บ่นเสียดายอยู่คนเดียว เพราะอยากจะเดินเตร่เที่ยวตลาดซะมากกว่า แต่ก็ยอมเดินตามไปบ่นไปอยู่ดี ส่วนผมก็เดินตามไปต้อยๆ อย่างใจง่าย เพราะยังงงกับบทสนทนาของทั้งคู่อยู่
“เดี๋ยวไปถึงก็จะเข้าใจเอง” ไซเลอร์เดินมาข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้บอกขึ้น ผมก็ผงกหัวรับ โอเค ผมเข้าใจ ถ้าเห็นเดี๋ยวก็รู้เองแหละ
ระหว่างทางชเนาเซอร์ชวนดูนั่นดูนี่ข้างทางตลอด เผลอๆ ก็ลากแวะไปดูใกล้ๆ โดยมีไซเลอร์คอยอธิบายในสิ่งที่ผมสงสัยและคอยต้อนกลับเข้าทางเป็นระยะ
ผมมองผู้ชายกับผู้หญิงหลายๆ คู่ที่เดินมาด้วยกัน ถ้าแค่เดินด้วยกันมันไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่หรอก แต่นี่เดินจับมือกันมาบ้าง โอบเอวกันมาบ้างนี่สิ แถมยังมองตากันด้วยสายตาที่ปกติถ้าเป็นเพื่อนกันคงไม่มองแบบนี้แน่ๆ เพราะมันดู เอ่อ... ลึกซึ้งจนเกินไป ผมเหลือบมองดูมาสทิฟฟ์ที่จับมือพรีซาลากไปดูแผงขายมีดและคอยส่งสายตาเหมือนจะแดกหัวให้คนที่มองพรีซาแล้วคิ้วกระตุกยิกๆ หรือผมจะคิดมากไป คนที่นี่อาจจะดูแลเพื่อนแบบนี้เป็นเรื่องปกติ? รึเปล่า?...
“หึๆ” ผมละสายตาจากสี่หนุ่มที่ยืนดูแผงมีดมามองคนที่ยังยืนอยู่ข้างๆ แทน ขำอะไรไม่ทราบ ผมเลิกคิ้วถาม
“ใช่” หือ... หมายถึงอะไร อยู่ๆ ก็มาใช่เฉยเลย
“ก็สิ่งที่เจ้าคิดนั่นแหละ ข้าบอกว่าใช่” ผมอ้าปากค้าง จริงดิ? ใช่เหรอ???
“ปกติเหรอ” ผมหันไปมองผู้ชายที่เดินโอบเอวกันมาแล้วถามเหมือนละเมอ
“ใช่ เป็นเรื่องปกติ” อะ... โอเค เข้าใจ ว่าผู้ชายกับผู้หญิงเป็นคนรักกันที่นี่ถือเป็นเรื่องปกติ อาจจะเป็นเพราะอยู่ใกล้ป่าด้วยรึเปล่านะ คนแถวนี้ถึงได้นิยมไม้ป่าเดียวกัน...
“ละ... แล้ว” ผมมองไปมาสทิฟฟ์กับพรีซาที่ยืนเลือกมีดกันอยู่ ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองไหมว่ามาสทิฟฟ์ดูอ่อนโยนขึ้น ส่วนพรีซาก็ดูผ่อนคลายขึ้น ไม่แน่ใจว่าเพราะมีด หรือเพราะคนที่ยื่นมีดให้กันแน่
คนที่โคตรจะโหดอย่างนั้นน่ะเรอะ จะเป็น เอ่อ เป็น... ฮื้อ ไม่อยากจะเชื่อ ว่าจะ... กับมาสทิฟฟ์ได้ ที่จริงเป็นกับผู้ชายคนไหนก็ไม่น่าเชื่อทั้งนั้นแหละ ถ้ากับสาวๆ สวยๆ จะไม่แปลกใจเลย หล่อสะดุดตาซะขนาดนั้น
“ปกติ” ครับพี่ ปกติก็ปกติ ผมจะทำใจให้ชิน ผมก็แค่แปลกใจแค่นั้นแหละ เพราะโลกที่จากมาถึงความรักของเพศเดียวกันจะเป็นที่ยอมรับมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้โจ่งแจ้งแบบนี้ นี่คนรอบข้างก็มองแบบเฉยๆ เหมือนกับเป็นเรื่องปกติ ไม่มีใครแสดงท่าทีรังเกียจหรือแปลกใจ มันก็ดีนะ ดูอิสระเสรีฟรีดอมดี
ผมยืนมองทั้งคู่มีโมเม้นท์มุ้งมิ้งท่ามกลางกองมีด เอ่อ... ก็ดูโรแมนติกแบบ... น่าขนลุกดี ผมเผลอลูบแขนก่อนจะล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมานั่งลงเช็ดมือให้ก้อนหินเมื่อมันกินผลไม้สดที่ร็อตซื้อมาให้หมด นอกจากไซเลอร์แล้วดูร็อตจะเอ็นดูก้อนหินมากกว่าคนที่เหลือ เพราะคอยส่งอาหารให้ แล้วก็คอยมองแล้วทำหน้าครุ่นคิดตลอดเวลา ไม่รู้สงสัยอะไรนักหนา
“อยากได้มีดบ้างไหม” ไซเลอร์ถามก่อนจะเดินนำไปที่แผงมีด ผมก็อุ้มก้อนหินเดินตามไปอย่างสนใจ เพราะจากที่ยืนดูก็เห็นว่าปลอกมีดแต่ละอันทำได้สวยมาก บางเล่มมีอัญมณีประดับตรงฝัก ด้ามหรือไม่ก็ทั้งสองที่ ดูน่าสะสมมากกว่าจะเอามาใช้ แต่เชื่อเลยว่าถ้าคนพวกนี้ซื้อคงไม่ซื้อไว้เก็บแน่ น่าจะเอาไว้เสียบ เอ่อ หมายถึงน่าจะเอาไปใช้ประโยชน์แน่นอน
ผมยืนดูมีดที่วางไว้บนถาดอย่างหลากหลาย ยื่นมือไปรับมีดปลอกไม้สลักลายสีดำสนิทประดับด้วยอัญมณีสีเขียวฝังไว้ที่ด้ามมาพลิกดูอย่างชอบใจ ผมลูบหัวก้อนหินที่อยู่ในอ้อมแขนแล้วยิ้ม ตั้งแต่ได้ก้อนหินมาก็รู้สึกชอบสีเขียวมากขึ้นซะอย่างงั้น อยู่ๆ สมองก็นึกถึงลูกกะตาสีเขียวๆ ของคนข้างๆ จนต้องสะบัดหัว เย่ย! คิดอะไรของมึงฮึก้อนดิน
“ไม่ชอบเหรอ” ผมชะงักกึก เหลือบมองคนที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องมาอย่างจริงจัง
“เปล่า... มะ หมายถึง ก็ชอบครับ” แล้วกูจะติดอ่างทำไม วุ้ย! ตบปาก ไซเลอร์มองผมอย่างแปลกใจก่อนจะหยิบมีดในมือไป
“งั้นเอาด้ามนี้ก็แล้วกัน”
“แต่ผมไม่มีเงินนี่ครับ” ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเงินซักกะบาท แต่ถึงจะมีก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้ไหม
“ไหนดิน เอาด้ามนี้เหรอ” ชเนาเซอร์หันมามองอย่างสนใจ
“เปล่าหรอก แค่เห็นมันสวยดี ผมไม่มีเงินซื้อหรอกครับ”
“ข้าซื้อให้เอาไหม” ชเนาเซอร์เสนอตัวอย่างกระตือรือร้น
“ไม่ต้อง” ไซเลอร์ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“ครับ ไม่ต้อ...”
“คนของข้า ข้าซื้อให้เอง” หือ??? ชเนาเซอร์หัวเราะหึๆ แบบมีเลศนัยแล้วก็ยักไหล่หันกลับไปเลือกมีดต่อเมื่อถูกคนตาเขียวมองตาเขียว ส่วนผมก็มองตาปริบๆ ฟังแล้วแปลกๆ พิกล มันเป็นคำพูดแบบปกติๆ ของพี่แก ผมไม่ควรคิดมาก...ใช่ไหม? มัวแต่งงจนไม่ทันได้ทักท้วง ได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัวมองไซเลอร์หยิบเงินจ่ายให้กับเจ้าของร้านแล้วเอามีดเล่มเดิมมายื่นให้
“เก็บไว้ป้องกันตัว” แล้วจะชักออกจากฝักทันอีกไหม ถามใจดู เดี๋ยวๆ ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“เอ่อ แต่ผมไม่มีเงิน”
“ข้าซื้อให้”
“ตะ...แต่ว่า”
“ไม่มีแต่ ถ้าไม่รับจะถือว่าเจ้ารังเกียจ” ทำไมต้องทำหน้าดุใส่ด้วย กะ... กลัวแล้วครับ
“ขอบคุณมากครับ ราคามันเท่าไหร่ครับ ถ้ามีเงินเมื่อไหร่ผมจะคะ..คืน” ยังไม่ทันได้พูดจบ คนฟังก็เดินหนี ตาสีเขียวๆ ขุ่นคลั่ก ทำท่าเหมือน...
งอน???
ใช่เหรอ? แต่ไอ้ท่าทางแบบนี้มันเหมือนเวลาคุณไฟงอนชัดๆ เอ่อ... ไม่มั้ง เพิ่งจะรู้จักกัน พี่แกจะมางอนผมทำไม แล้วงอนเรื่องอะไร? พี่มึงครับ อย่าเพิ่งเดินหนี มีอะไรก็คุยกันได้ อย่าให้ผมตีความเอง กูมีปัญหากับเรื่องการตีความหนักมากครับ ไม่งั้นคงไม่โดนคุณไฟฟาดงวงฟาดงาใส่บ่อยๆ หรอก เฮ้อ!