ปรสิต | 08
หลังจากเสียงปิดประตู ความเงียบก็ดูเหมือนมีอิทธิพลเหนือความในใจของคนสองคนขึ้นมาอย่างเด่นชัด อธิศวางกระเป๋าส่วนตัวไว้ยังโซฟาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งตามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ความอึดอัดใจเล่นงานจนไม่อาจคิดหาคำพูดดี ๆ มาสานต่อบทสนทนาได้ หากจับเวลาตั้งแต่ตอนอยู่บนรถ นี่ก็พักใหญ่แล้วที่พวกเขาเอาแต่เงียบและมองหยั่งเชิงกันไปมา ชนกันต์ไม่รู้ว่าเขาควรพูดอะไร ในเมื่อไม่มีคำพูดปลายเปิดจากหมออธิศหลุดออกมาเป็นตัวช่วย ริมฝีปากแห้งผากที่พยายามจะเปิดปากพูดก็ดูเหมือนยิ่งเหนียวติดกันอย่างไรอย่างนั้น เขาบอกตัวเองให้นั่งลง แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเมื่อทุกอย่างสงบนิ่งจนได้ยินเพียงเสียงแอร์และสายฝน
ภายในห้องสี่เหลี่ยมโทนอุ่นนั้นเย็นขึ้นมาในระยะเวลาไม่นาน อธิศอยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตสีฟ้าเหม็นกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อน ๆ และจมอยู่ในความคิด เขามองชนกันต์สลับกับพรมสีน้ำตาลตรงกลางพื้นห้อง จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครยอมเปิดปากพูดก่อน
จนกระทั่งอธิศยอมแพ้ “ทำไมไม่นั่งล่ะครับ”
เหมือนขวานจามเอาโซ่ล่ามหนัก ๆ ให้ชนกันต์กล้าขยับตัวเองไปนั่งลงยังพื้นที่ว่างบนโซฟา เหลือระยะห่างกับคนข้างตัวไว้ราวหนึ่งศอกแล้วก็เหมือนกลืนทุกอย่างลงคอไปอีกครั้ง
‘ผมเจอเธอแล้ว’นั่นคือประโยคล่าสุดที่เปล่งออกมาจากปากจิตแพทย์ พอเอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าเขาควรต้องรู้สึกอย่างไรดี แน่นอนมันเหมือนมีเพื่อน แต่นี่มันก็ไม่ใช่ลางดีนักหรอกในเมื่อมีใครสักคนถูกดึงเข้ายุ่งเกี่ยวกับความไม่ปกติในชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกคน
“หมอ” เขาเรียก และร่างสูงก็หันมามองทั้งที่ข้อศอกแทบจะชนกัน
“ว่ายังไง”
“เรื่องที่หมอพูดบนรถ” ชนกันต์กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “จริงเหรอครับ”
อธิศยิ้ม คนถามคิดว่าริมฝีปากของอีกฝ่ายก็คงแห้งผากไม่ต่างกัน “จริงอยู่ที่จิตแพทย์อย่างเราต้องเออออตามคนไข้ในบางครั้ง แต่ผมคิดว่าคุณรู้ว่านี่คือคำโกหก -- หรือเรื่องจริง”
ชนกันต์มีสิ่งที่อยากรู้ใจจะขาด แต่เขาไม่กล้าถามออกไปทั้งที่ความกลัวยังเล่นสนุกอยู่กลางใจเช่นนี้ ถึงกำลังรู้สึกอย่างนั้น แต่สมองก็คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางความคิดซึ่งใหญ่ที่สุดเสมอ
“หมอเจอที่ไหน” หลีกเลี่ยงจะพูดคำว่า
เธออย่างที่อีกฝ่ายพูด ในระยะเวลาไม่กี่วินาทีที่หมอนั่งคิด เด็กหนุ่มคิดว่าหัวใจของเขาเต้นไม่ต่ำกว่าสามสิบครั้ง นายแพทย์อธิศชอบใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา เทียบสถานการณ์ตอนนี้แล้วมันน่าอึดอัดขึ้นอีกสิบเท่า
“ที่ห้องของคุณ”
“....”
“....”
“หมอเชื่อผมแล้วใช่ไหม”
“ผมคิดว่ามันต้องมีเหตุผลนะกันต์”
เสียงนั้นราบเรียบกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ ตอนนี้ชนกันต์ไม่ได้อยู่ในกรอบสายตาของคนตรงหน้า เขาไม่เข้าใจแม้กระทั่งว่าพรมบนพื้นกลายมาเป็นจุดนำสายตาได้อย่างไร “เหตุผลอะไร หมอจะบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคน หรือเราพากันหลอนเพราะปลาสลิดในร้านข้าวต้ม”
นี่อาจจะเป็นนิสัยเสียของชนกันต์ไปแล้วก็ได้ ผิดคาดอีกนั่นแหละที่หมออธิศไม่ใส่ใจจะตำหนิอะไรเขานอกเหนือจากการเบือนสายตาขึ้นสบกัน
“ผู้หญิงคนนั้นทำไมต้องมายุ่งกับคุณ”
“....”
“แล้วถ้าเรื่องที่คุณเล่ามันไม่ใช่การคิดไปเอง พอจะบอกผมได้ไหมว่าทำไมคุณถึงได้ถูกคุกคามขนาดนี้”
ชนกันต์เงียบไปหลังจากเจอยิงคำถามที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่มีคำตอบ ไม่รู้ว่าควรต้องเริ่มพินิจจากตรงไหน ภาพเหตุการณ์นับตั้งแต่เริ่มเจอเรื่องแปลก ๆ พากันแย่งฉายขึ้นมาในหัว ทำไมเขาถึงทนมันมาได้ตั้งเกือบเดือนกัน
นี่อาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับการคุยเรื่องพรรค์นี้นัก แต่เชื่อเถอะว่าสำหรับคนที่ถูกข่วนขาตอนกลางวันแสก ๆ มาแล้ว ทุกเวลามันก็เหมือนนรกทั้งเป็นทั้งนั้นแหละ
“คุณรู้จัก
เธอไหม”
ร่างเล็กท้าวข้อศอกลงกับหน้าขาก่อนจะโค้งตัวลงเพื่อนวดขมับเบา ๆ อย่างคนใช้ความคิด ถ้าตอบโดยไม่ต้องคิดอะไร แน่นอนเขาคงจะบอกว่าไม่ แต่คำตอบนั้นมันไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นก็ควรต้องคิดดูก่อน
รู้ตั้งแต่ตอนที่เห็นหน้าครั้งแรกแล้วว่าไม่คุ้นหน้าเธอเลยสักนิดเดียว ไม่ใช่แม้แต่ผู้ป่วยไอซียูที่พุ่งเป้าไปตอนแรกอย่างไร้เหตุผล สมองสั่งให้คิดทบทวนย้อนขึ้นไปก่อนหน้านั้น ซึ่งชนกันต์นึกออกแค่ชีวิตที่ปกติสุขของตัวเอง เขายังสามารถปิดไฟนอนคนเดียวได้ เดินโดยไม่ต้องเปิดเพลงในหูฟังดัง ๆ หรือแม้แต่การขับรถกลับบ้านที่ต่างจังหวัดตอนกลางคืนโดยไม่นึกถึงเรื่องผี ๆ สาง ๆ ขึ้นมา
“ผมนึกไม่ออก” ถึงปากพูดไปอย่างนั้นแต่ก็ยังพยายามนึกต่อไป “ผมไม่เคยเจอผู้หญิงคนนั้นด้วยซ้ำ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นใคร”
เขาพูดเสียงแข็ง และนั่นทำให้อธิศยอมแพ้จนยุติบทสนทนานี้ในที่สุด ความแคลงใจขยายวงกว้างหลังได้ฟังคำยืนยันจากปากอีกฝ่าย นี่มันแปลกเกินไป อธิศเชื่อว่าทุกอย่างบนโลกต้องมีที่มาที่ไป แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็เช่นกัน หรืออย่างน้อยถ้าเริ่มต้นจากรู้ตัวตนของผู้หญิงคนนั้น อาจมีหนทางนำไปสู่ทางออกของเรื่องนี้ก็เป็นได้
--------------------------------------------------
“อ้าว วันนี้วันหยุดนายไม่ใช่หรือไง”
คิ้วเรียวเลิกขึ้นหลังจากเห็นร่างสูงโปร่งของใครบางคนเดินทอดน่องเข้ามาในโถงโรงพยาบาลพร้อมกาแฟร้อนเจ้าอร่อย ถ้ามีเวลาล่ะก็ นี่เป็นทางเลือกที่ดีกว่าร้านตรงโรงอาหารทีเดียว วันนี้อธิศอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนสบาย ๆ และกางเกงผ้า ส่วนอีกมือก็ถือกระเป๋าสัมภาระทรงแบนที่คาดว่าคงเป็นกระเป๋าแล็ปท็อปขนาดสิบสามนิ้ว
“มันไม่มีอะไรทำน่ะ” อธิศตอบด้วยรอยยิ้ม ซึ่งศรัณย์คิดว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงหรอก
“ว่างงานนี่มันดีจริง ๆ เลย บางทีฉันควรจะเลือกไปเรียนจิตเวชตั้งแต่แรก” ประชดไปด้วยเสียงหัวเราะแบบไม่จริงจังนัก จริงอยู่ที่แพทย์เฉพาะทางอย่างพวกเขาต้องเข้างานตามเวลาราชการ แต่ถึงอย่างนั้นก็จำเป็นจะต้องผลัดกันเข้าเวรบ้างในกรณีมีเหตุจำเป็น และสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉินยังไม่เป็นที่นิยมนักในหมู่นักเรียนแพทย์ไทย
วันนี้ควรจะได้เป็นวันหยุดของอธิศหลังจากดื่มเหล้าไปค่อนคืน สีหน้าศรัณย์ดูอิดโรยไม่แพ้กัน แต่ก็ก้ำกึ่งระหว่างการนอนน้อยและฟุ้งซ่าน ร่างผอมสวมเสื้อยืดโปโลสีขาวและกางเกงยีนส์สีเข้มอย่างที่ไม่มีทางเห็นในวันทำงานปกติ ห้อยสเตทโตสโคปขนาดยี่สิบเจ็ดนิ้วไว้ที่คอ เดาได้ไม่ยากว่าคงแวะเข้ามานอกเหนือเวลางาน
“นายเองก็เถอะ” อธิศหัวเราะ มองอินเทิร์นที่กำลังเดินประกบเตียงคนไข้ไปยังลิฟท์ “ตอนนี้บ่ายสอง เดี๋ยวสักราว ๆ สี่โมงเย็นไปกินมื้อเย็นด้วยกันไหม”
“เอาสิ”
ตกลงกันแค่นั้น ศรัณย์จึงเป็นฝ่ายแยกตัวไปก่อน ดูรู้ได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายมีเรื่องที่อยากคิดอัดแน่นอยู่เต็มหัว เขาเองก็ไม่อยากไปสะกิดใจมากนัก นี่คงเป็นวิธีบำบัดตัวเองแทนการอยู่ว่าง ๆ เพื่ออ่านหนังสือจนจบเล่มแต่สรุปไม่ได้ว่ามันเกี่ยวกับเรื่องอะไร
--------------------------------------------------
ชนกันต์ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี อันที่จริงหมออธิศควรจะได้นอนพักผ่อนที่ห้องแทนการขับรถมาโรงพยาบาลกับเขาแล้วยังจะรอจนถึงสี่โมงเย็นอีก ถึงวันนี้จะต้องทำงานเพราะปรัชญาขอแลกเวร แต่ก็ได้เลิกงานตั้งแต่สี่โมงเย็น อย่างน้อยตอนที่ฟ้าสว่างมันวังเวงน้อยกว่าตอนกลางคืนเป็นไหน ๆ เกิดความรู้สึกลำบากใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อคิดว่าตัวเองเป็นภาระของหมออธิศขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจให้พักด้วยไปถึงเมื่อไร ทั้งที่จริง ๆ ชนกันต์เองสามารถนอนโรงพยาบาลได้เหมือนช่วงแรกแท้ ๆ
“แค่ก...” หลบลงใต้โต๊ะก่อนจะพยายามขากความรู้สึกขยะแขยงในปากออกมา ถึงใครอีกคนจะบอกว่ามันไม่มีเส้นผมหรือดินโคลนอะไรเทือก ๆ นั้นอยู่จริงก็เถอะ ถ้าทำใจเชื่อได้ง่าย ๆ ก็คงไม่ต้องคอยประสาทเสียอยู่กับสิ่งที่ไม่รู้แบบนี้
“ไหวไหม?” โจ้เป็นเจ้าหน้าที่อีกคนที่ประจำอยู่ แน่ล่ะว่าส่วนใหญ่เขาต้องทำงานประกบกับพี่ตองบ่อยกว่า เวลาพี่โจ้มาเข้าเวรถึงได้เป็นตอนที่เขาพยายามข่มตาหลับอยู่ทางด้านในของห้องจ่ายยาแทบทุกครั้ง
“ขอบคุณครับ”
แทนที่จะบอกว่าไม่เป็นอะไร ชนกันต์กลับเลือกขอบคุณแบบปิดบท เพราะเขาคงตอบคำถามไม่ถูกหากอีกฝ่ายถามไถ่มากกว่าเดิม เลี่ยงตัวไปจัดยาขึ้นบนชั้นแล้วให้คนตำแหน่งสูงกว่านั่งประจำตรงเคาน์เตอร์แบบสบาย ๆ เป็นเรื่องธรรมดาในการที่เด็กฝึกงานอย่างเขาต้องเสนอตัวรับงานหนักกว่าเป็นการแสดงน้ำใจ
เรื่องที่คุยกันเมื่อคืนยังคงไม่หายไปจากหัวสมอง คำพูดของหมออธิศคล้ายการบีบให้เขารีบคิดหาเหตุผลของเรื่องนี้เสียถ้าไม่อยากจมอยู่กับมันไปเรื่อย ๆ ที่ผ่านมาชนกันต์คิดว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้และกลัวว่ามันจะทวีความรุนแรงขึ้นหากยังเป็นเช่นนี้อยู่ ต้องคอยหันไปมองว่าเภสัชกรรุ่นพี่ยังอยู่ดีและไม่ได้หายไปไหน อย่างน้อยการมีมนุษย์เป็น ๆ อยู่ใกล้ตัวก็ช่วยให้สภาพจิตใจของเขาเข้มแข็งพอจะฝืนคิดถึงเรื่องผู้หญิงคนนั้นต่อ อีกครั้งที่ พยายามฟื้นความทรงจำตั้งแต่ที่รู้สึกถึงความผิดปกติในชีวิต เขาเริ่มต้นจากเตียงผู้ป่วยไอซียูคนนั้น เสียงทีวีเปิดปิดเอง สัมผัสตอนจับโดนเท้า พลันที่ขาก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ในห้องตรวจคราวนั้น
มันคลับคล้ายคลับคลาว่ายังมีอะไรอีก
อะไรที่เขามองข้ามไป
“ชนกันต์”
ร่างทั้งร่างสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันไปมองโจ้ซึ่งเอี้ยวตัวหันมามองด้วยสายตาประหลาดใจ ก็รู้อยู่หรอกว่าที่ตัวเองเป็นอยู่ทุกวันนี้มันเข้าขั้นประหลาด “ครับ?”
โจ้พยายามรักษาน้ำใจเขาด้วยการปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “พี่ตองฝากบอกว่าเอกสารฝึกงานที่จะให้เซ็นน่ะทิ้งไว้ที่นี่ได้เลยนะ เดี๋ยวเข้าเวรแล้วแกจะได้เซ็นให้”
ชนกันต์ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือตัวเอง ตอนนี้เกือบบ่ายสามโมง แล้วเอกสารที่ว่าเขาก็ทิ้งไว้ในรถมาพักใหญ่โดยไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับมันนัก ปรัชญามักจะย้ำเสมอว่าอย่าเอามาให้เซ็นทีเดียวในวันที่ฝึกงานจบ แบบนั้นจะประเมินกันลำบาก
“ให้ผมไปเอาเลยไหม” เขาถาม ตอนนี้ห้องยาไม่ได้งานยุ่งมาก ถึงจะกลัวการอยู่ตามลำพังแต่ชนกันต์ก็คิดว่าเขาควรเอาชนะมันให้ได้ก่อนที่จะส่งผลกระทบทางลบต่อผู้ร่วมงาน อีกทั้งในโรงพยาบาลยังมีคนเดินผ่านไปมาอยู่ตลอด นั่นทำให้รู้สึกปลอดภัยมากพอ
โจ้พยักหน้าส่ง ๆ ก่อนหันไปจดจ่ออยู่กับรายการการสั่งยาเพื่อจะได้นำให้ปรัชญาตรวจเช็กอีกทีตอนช่วงเย็น เห็นอย่างนั้นชนกันต์ก็วางตะกร้ายาในมือลงกับโต๊ะแล้วพาตัวเองออกจากห้องจ่ายยาแคบ ๆ แสงไฟจากโถงภายนอกทำให้เขารู้สึกดีขึ้น แน่นอนว่ารวมทั้งเสียงจอแจจากผู้คนที่ชนกันต์เคยบอกเพื่อนว่าเกลียดนักเกลียดหนาด้วย
--------------------------------------------------
ชั้นเรียนภาควิชาอายุรศาสตร์ของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีสี่นั้นน่าง่วงนอนกว่าทุกวัน รามิลคิดว่าเขาโชคดีกว่าเพื่อนอีกสามสี่คนในกลุ่มที่เพิ่งออกเวรไปเมื่อเช้า การมานั่งฟังบรรยายและสรุปผลการเรียนการสอนในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงเช่นนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นวันหยุดสำหรับคนที่ไม่ต้องเข้าเวรอย่างเขาก็ได้ เต้ที่นั่งข้าง ๆ กำลังแสดงออกว่าเครียดพอสมควร แน่นอนว่าพวกเขาไม่ควรวินิจฉัยผิดต่อหน้าอาจารย์ แต่หลาย ๆ คนก็พลาดมันไปและพยายามกดดันตัวเองมากขึ้น เขาอาจจะโชคดีกว่าคนอื่นก็ได้ที่มีศรัณย์คอยช่วยติวให้หากมีโอกาส
ถึงเสียงของอาจารย์จะเบาและเนิบนาบแค่ไหน ทุกคนกลับรู้แก่ใจว่าไม่ควรหลับตามใจตัวเอง เสียงปากกาเคมีส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดขณะเสียดไปตามพื้นผิวกระดานไวท์บอร์ดไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจนัก รามิลต้องเอื้อมตัวไปสะกิดเต้ให้เปิดหนังสือหน้าต่อไปด้วยความเป็นห่วง เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาต้องมีชั้นเรียนเสริมในวันสุดสัปดาห์ อาจจะมีใครสักคนรู้ว่าชั้นเรียนนี้มันน่าเบื่อก็ได้ เสียงประตูห้องเปิดออกถึงได้จุดชนวนความสนใจให้สมาธิของใครหลายคนแตกกระเจิง
“....”
อีกแล้ว นี่เป็นเรื่องน่าเบื่อที่ทำให้คนส่วนใหญ่ในห้องนี้แสดงความอึดอัดใจออกมากับความรู้สึกเลว ๆ ของตัวเอง ใช่ พวกเขาเกือบจะเข้าขั้นรำคาญแล้วกับการต้องเห็นหน้าใครสักคนในชายหญิงคู่นั้น ครั้งนี้เป็นคนแม่ สีหน้าหล่อนดูทรุดโทรมแต่ก็แฝงแววเกรงใจแม้จะรู้ตัวว่ากำลังทำเรื่องเสียมารยาท
“รบกวนหน่อยนะคะ”
หล่อนพูดกับอาจารย์วัยกลางคนหน้าชั้นเรียนซึ่งมีสีหน้ากระอักกระอ่วน แน่นอนว่าเขาเห็นใจเธอ แต่ก็คิดว่ามันไม่ถูกต้องกับการมารบกวนเวลาเรียนเช่นนี้
“ฉัน -- ฉันมาถามหายัยพลอยค่ะ” เสียงนั้นติดอ่าง นักศึกษาซึ่งนั่งอยู่โต๊ะเลคเชอร์ด้านหน้า ๆ เริ่มพากันเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพราะกลัวจะเป็นเป้าสายตา “มีใครได้ข่าวคราวพลอยกันบ้างไหม”
เงียบต่างรู้อยู่แก่ใจว่าคงไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา นางสุพิศยิ้มแห้ง ๆ แล้วพูดอีกครั้ง “ไม่มีใครได้ข่าวพลอยบ้างเลยเหรอลูก”
“....”
“ทำไมไม่มีล่ะ พวกเธอเป็นเพื่อนยัยพลอยไม่ใช่เหรอ”
รามิลเป็นหนึ่งในคนที่คิดว่าเธอไม่ควรมาที่นี่อีกหลังจากโวยวายให้ตำรวจสอบปากคำคนในห้องนี้จนครบทุกคน แน่นอนมันไม่ได้เรื่อง ไม่มีใครให้ข้อมูลเรื่องการหายตัวไปของนักศึกษาคนหนึ่งในชั้นได้เลย
“บอกฉันหน่อยเถอะนะ ขอร้องล่ะ”
โต๊ะเลคเชอร์ไม่ได้ใหญ่จนปกปิดอะไรได้มิดนัก เพราะอย่างนั้นรามิลถึงต้องคลายมือออกจากหน้าขากางเกงทุกครั้งที่รู้สึกตัว แอร์ในห้องเย็นเฉียบ แต่เขาก็ยกมือขึ้นปาดเหงื่อกาฬตรงขมับด้วยท่าทางที่เป็นปกติที่สุด ร่างโปร่งปั้นหน้าเรียบเฉยเฉกเช่นคนอื่น เขาไม่มีความคิดที่จะทำให้นางสุพิศสนใจ
“ก็พลอยหายไปวันที่อยู่กับพวกเธอ”
“....”
“แล้วจะไม่มีใครรู้เรื่องได้ยังไง”
เสียงสั่นเครือนั้นเริ่มฟังไม่ได้ศัพท์ นางสุพิศเริ่มทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาอย่างง่ายดาย ทุกครั้งที่เธอมาถามหาข่าวคราวลูกสาวก็มักไม่เคยได้อะไรกลับไปเลยสักครั้ง แม้แต่คำพูดของตำรวจที่ว่าเริ่มตันกับคดีคนหายครั้งนี้ก็คล้ายจะฉีกหัวใจคนเป็นแม่อย่างเธอออกเป็นเสี่ยง ๆ
“ลูกฉันหาย...” เธอคร่ำครวญ “แต่เพื่อน ๆ แกกลับไม่รู้เรื่องเลยสักคน”
“....”
“เป็นไปได้ยังไง มีใครตอบได้บ้างว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง”
สุดท้ายแล้วเธอก็ปล่อยโฮออกมา แม้แต่อาจารย์เองก็ทำอะไรไม่ถูก เขาพยายามเข้าไปพยุงเธอออกไปจากห้องนี้เพื่อให้บุรุษพยาบาลมารับช่วงต่อ แต่กลับถูกผลักออกอย่างไร้มารยาท
รามิลรู้ตัวขึ้นมาว่าเขากำลังขยำกางเกงด้วยมือชื้นเหงื่ออีกแล้ว ดวงตาสีเข้มหลุบลงมองพนักเก้าอี้ของคนข้างหน้า ละอายใจเกินกว่าจะทนให้นางสุพิศอยู่ในกรอบสายตาต่อไปได้ รู้สึกขอบคุณที่ตั้งแต่การสอบปากคำไม่มีใครโพล่งชื่อของเขาขึ้นมา สถานภาพรามิลไม่ต่างจากเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ทำตัวเหมือนน้ำท่วมปาก น้ำในปากเขามันเป็นสีขุ่น ทั้งเหม็นและน่าสะอิดสะเอียนเกินกว่าจะยอมคายออกมาให้ใครได้รับรู้
นางสุพิศถลาตัวไปจับไหล่ของคนที่นั่งโต๊ะตรงหน้าราวเสียสติ หล่อนดึงให้เด็กสาวยืนขึ้นแล้วพูดเสียงดังจนฟังไม่ได้ศัพท์
“เธอล่ะ! เธอเห็นพลอยบ้างไหม ลูกฉันเคยคุยกับเธอหรือเปล่า” หล่อนลนลานกลอกตาไปทางคนที่อยู่ทั้งข้างซ้ายและขวาด้วย “พลอยล่ะ... พลอยโทรหาเธอบ้างไหม บอกหรือเปล่าว่าแกอยู่ที่ไหน”
ไม่มีใครนับว่านางสุพิศพูดชื่อแพรพลอยออกมากี่ครั้ง อาจารย์พยายามช่วยเข้าไปแกะมือเธอออกจากร่างนักศึกษา เด็กสาวร้องโอดโอยหลังถูกเขย่าตัวหลายต่อหลายครั้ง ดวงตาเหลือกโลนของหล่อนยิ่งดูปูดโปนเมื่อมันเต็มไปด้วยรอยหมองคล้ำน่ากลัว
“หนูไม่รู้!”
นักศึกษาแพทย์โชคร้ายคนนั้นร้องเสียงดัง รามิลโกรธตัวเองที่เขายังนั่งก้มหน้าอยู่กับที่ หนำซ้ำกลับขยำกางเกงอีกแล้ว
“ต้องรู้สิ! เธอต้องรู้! ต้องมีคนรู้ -- อะ!”ร่างเล็กแกร็นถูกผลักออกจนล้มไปกับพื้น เด็กสาวตื่นตระหนกหลังจากเผลอทำร้ายหญิงวัยกลางคนกับมือ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสนใจกล่าวโทษ ทุกสายตาในห้องกลับจับจ้องไปยังร่างที่กำลังโอดครวญอยู่ตรงพื้นหน้าชั้นเรียน
นางสุพิศปล่อยโฮ เธอกรีดร้องเป็นคำพูดฟังไม่ได้ศัพท์ “ทำได้ยังไง...!”
“....”
“พวกเธอทำได้ยังไง! ทอดทิ้งพลอยได้ยังไง”
“....”
“ทั้ง ๆ ที่แกหายไป พวกเธอทำ... ได้... ยังไง...”
เสียงหายใจช่วงท้ายติดขัด ดวงตาเบิกโพลงเหมือนคนหายใจลำบาก นั่นทำให้อาจารย์รีบเข้าไปประคองร่างเธอก่อนจะเรียกนักศึกษาที่นั่งอยู่ใกล้ประตูให้ไปเรียกบุรุษพยาบาลทันที เสียงนางสุพิศร้องไห้ปานจะขาดใจยังดังก้องอยู่ในหูของรามิลราวกับคำก่นด่า ในตอนนี้เขาอยากร้องไห้ออกมารอมร่อ เหงื่อที่ไหลซึมลงมาตามใบหน้าไม่ได้อยู่ในความสนใจของคนในห้องนี้เลยสักนิด
หล่อนถูกหามออกไปแล้ว ทั้งที่ตอนนี้ห้องทั้งห้องเหลือแค่ความเงียบจนดูเคว้งคว้าง ทว่าใจของรามิลนั้นไม่ต่างอะไรจากไฟสุมอก
ภาพของแพรพลอยกำลังกรีดร้องในการเจอกันครั้งสุดท้ายฉายชัดขึ้นมา
--------------------------------------------------
“โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นฝากด้วยนะ ยังไงวันจันทร์ผมจะเข้ามาดู --”
“หมอคะ!”
เหลียวมองไปทางต้นเสียง มือที่จับปากกาหมึกซึมรีบวางลงก่อนจะเร่งฝีเท้าตามเตียงคนไข้ซึ่งเพิ่งถูกเข็นเข้าไปอยู่หลังม่านมุมหนึ่งของห้องฉุกเฉิน เดินตามไปได้ครึ่งทางนางพยาบาลก็ตามเข้ามาประกบ
“คนไข้เป็นอะไรมา”
ถามออกไปเสียงเรียบ อย่างที่รู้กันว่าวันนี้ไม่ใช่เวรประจำของหมอศรัณย์ แต่ถึงอย่างนั้นการปล่อยให้แพทย์ประจำบ้านหรือแพทย์ฝึกหัดที่กำลังงานล้นมือปลีกตัวจากคนไข้มากะทันหันก็ไม่ใช่เรื่องดี หากไม่ได้ต้องผ่าตัดหรือเป็นเคสร้ายแรงอะไร การยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือก็ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงเขานัก
“คนไข้อยู่ในภาวะช็อกค่ะ บุรุษพยาบาลนำมาส่งจากคณะแพทย์”
คนฟังขมวดคิ้ว “แล้วรู้สาเหตุหรือเปล่า”
พยาบาลสาวส่ายหน้า พอดีกับที่นายแพทย์หนุ่มเลื่อนม่านเปิดออกจนเห็นพยาบาลสองคนกำลังทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ศรัณย์แทรกตัวเข้าไปยืนอยู่ข้างเตียง เปิดดูม่านตา ก่อนหยิบเอาสเตทโตสโคปขึ้นมาใส่หูแล้วทาบไปบนอก หล่อนหายใจหืดหอบจนเหมือนจะขาดใจ มือเท้าจีบเกร็ง นายแพทย์หนุ่มกลอกตามองนางพยาบาลข้าง ๆ ซึ่งกำลังเอาเครื่องวัดความดันหนีบเข้ากับนิ้วชี้ของหญิงวัยกลางคน ส่วนอีกคนกำลังเร่งฝีเท้ากลับมาพร้อมหมอนใบหนึ่ง
“คุณ” เขาก็หันไปสั่งพยาบาลฝึกหัดที่ได้แต่ยืนงุ่นง่านหลังจากเอาหมอนวางรองบริเวณข้อเท้าคนไข้ “รบกวนโทรตามหมออธิศให้ทีครับ”
“คะ?” หล่อนดูงุนงง จนเขาต้องพูดอีกรอบ
“หมออธิศ แผนกจิตเวช ให้คุณโอ๋โทรให้ก็ได้” ลอบถอนหายใจเมื่อหล่อนเดินพ้นจากม่านไป จากนั้นจึงมองไปยังคนข้าง ๆ ก่อนจะว่า “ส่วนคุณ รบกวนเตรียมกรวยกระดาษให้ผมหน่อย”
------------------------------------------------------
( มีต่อ )