#ดอกไม้ป่าที่ริมหน้าต่าง
ตอนที่ ๗
รถบรรทุกข้าวของเครื่องใช้ใหม่ ๆ ตามมาในอีกหนึ่งวันให้หลัง ขณะที่ยืนกอดอกมองเหล่าพนักงานจัดเรียงให้เข้าที่อยู่นั้น เชนก็รีบปรี่ไปหาเพื่อนรักที่กำลังออกมาจากกระท่อม หลังจากที่เขาเจอะกับตาแล้วว่าวิลที่เคยเห็นมาตั้งแต่เล็กน้อยนั้นเปลี่ยนไป ราวกับเป็นคนละคน
“นายจะเอายังไงต่อ ตอนนี้ทุกคนแตกตื่นกันไปหมดแล้ว ฉันมัวแต่คิดเรื่องของลูก ๆ นายจนนอนไม่หลับ ตอนนี้คลิปที่ถ่ายวิลตอนที่อยู่ในร่างนั้นว่อนไปทั่วอินเตอร์เน็ตแล้วด้วย ดูนี่...” ชายหนุ่มยื่นสมาร์ทโฟนไปให้แวนกัสดู “ยอดวิวส์ไม่ใช่น้อย ๆ เลยด้วย”
“ฉันถึงพาพวกเขาหนีมาอยู่ในป่าอย่างนี้ไง”
“พวกนายต้องซ่อนตัว”
“ฉันรู้เชน ฉันรู้วิธีซ่อนพวกเขาแล้ว” แวนกัสตอบ น่าแปลกที่เชนเห็นว่าเจ้าตัวไม่แตกตื่นเลยทั้งที่เรื่องของลูกกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปหมดแล้ว “เดี๋ยวอีกหน่อยเรื่องก็ซาไปเอง”
“นายแน่ใจนะว่าจะเอาอยู่”
“เชื่อใจฉันเถอะ เรามาไกลขนาดนี้ไม่มีใครรู้ตัวตนของพวกเขาหรอก”
“นายไม่รู้อะไร ตอนนี้มีพวกบ้าที่มันกำลังออกไล่ล่าสิ่งเหนือธรรมชาติอยู่” เชนเล่า
“อะไร”
“พวกนั้นมันจ้องจะหาผลประโยชน์จากความอยากรู้อยากเห็นของคนอื่นเพื่อเงินไงล่ะ ฉันเกรงว่าพวกมันจะได้กลิ่นครอบครัวนายแล้วตามมาจนเจอ” เชนทำหน้าไม่สบายใจ แล้วฉุกนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน เขาขับรถนำแวนกัสไปที่โรงเรียนก่อน เห็นเหล่าคนกำลังถือโทรศัพท์ถ่ายผู้ชายตัวโตคนหนึ่งที่พยายามอย่างที่สุดที่จะหลบซ่อนอยู่หลังเหล่าน้อง ๆ
เป็นเคลที่กันผู้คนออกจากพี่ชายให้เพราะตัวที่โตไล่เลี่ยกันกับพี่ เห็นแล้วเชนก็ร้องเรียกให้เคลพาพี่ ๆ มาทางทิศนี้ กว่าจะฝ่าฝูงนักเรียนที่กำลังแตกตื่นแวนกัสก็มาถึงพอดี ชายหนุ่มช่วยต้อนลูกและกันผู้คนออกจากรถ แล้วพากันบึ่งกลับมาเก็บข้าวของที่จำเป็นขึ้นรถมาก่อน ซึ่งในเวลานั้นเองเป็นตอนที่เชนได้เห็นวิลครั้งแรก ท่าทางของวิลไม่ได้ดูตื่นกลัวหรืออะไร นอกจากมีความกังวลเรื่องย้ายบ้านเท่านั้นเอง
วินาทีที่เชนเห็นวิล จำได้ว่าชายหนุ่มตกใจจนค้าง วิลตัวโตขึ้นเยอะ เส้นผมสีเงินสว่าง มีเขาและเขี้ยว รวมถึงนัยน์ตาที่เป็นสีแดงกำลังจ้องมองมาที่เขา นั่นทำให้ลำขาของเชนต้องชะงักเพราะไม่อาจมองสิ่งมีชีวิตตรงหน้าเป็นหลานชายได้อีกต่อไปแล้ว แต่ก็เป็นความคิดแค่ช่วงวินาทีสั้น ๆ เท่านั้นเอง
‘ลุงเชน’
เขาได้ยินวิลเรียกชื่อ แม้เสียงเจ้าตัวจะต่ำพร่า แต่นั่นก็บอกเชนได้ว่าตรงหน้าคือวิล
“ขอถามหน่อย” เชนหรี่ตามองเพื่อนรัก “ก่อนหน้านี้นายบอกฉันว่าเคลเองก็เปลี่ยนร่างได้ งั้นร่างที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ยังไม่ใช่ร่างจริงของเด็ก ๆ งั้นสิ”
“อืม” แวนกัสหันไปมองเหล่าคนงานที่กำลังยกของ
“งั้นอะไรเป็นตัวแปรที่ทำให้พวกเขาเปลี่ยนร่าง”
ผู้ถูกถามทำเป็นกระแอม ไม่อยากตอบ “มันมีอยู่”
“แล้วถ้าเด็ก ๆ อยู่ในร่างที่สมบูรณ์แล้ว พวกเขาจะเปลี่ยนไปมั้ย”
“หืม...” แวนกัสทำเป็นหรี่ตามองเพื่อนกลับบ้าง “นายกลัวเหรอ กลัวหลานตัวเองที่เลี้ยงมาตั้งแต่ไข่เล็กเท่านกกระทา จนโตมาเท่าไข่นกกระจอกเทศ นายกลัวพวกเขาลงเหรอ”
“เปล๊า...กลัวเกลอที่ไหน ฉันก็แค่อยากรู้” เชนยักไหล่
“งั้น...คืนนี้ก็ระวังตัวให้ดีล่ะ”
“อะ...อะไร!” เชนถลึงตาถามอย่างเอาจริง บนใบหน้ามีแววหวาดระแวง
“ก็ระวังเด็ก ๆ จะลุกขึ้นมา หักคอนาย แล้วก็จับกินไงล่ะ!”
“อ้ากกกก กัส!” ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าแวนกัสตั้งใจจะพูดยั่วอารมณ์เพราะอยากแกล้งไปเท่านั้นเอง เชนก็พุ่งตัวกอดแขนเพื่อนเสมือนวัยเด็กเพิ่งผ่านมาไม่นาน ทั้งที่ตอนนี้ต่างคนต่างมีลูกโตเป็นหนุ่มสาวกันหมดแล้ว ชายหนุ่มยังทำเป็นเด็ก เดินตามติดแวนกัสไม่ยอมให้ห่าง “เด็ก ๆ ไม่มีทางทำร้ายว่าที่พ่อตาได้ลงคอหรอก ฉันรู้จักพวกเขาดี”
“เฮอะ ก็ไม่แน่ ถ้าได้รู้ว่านายปฏิเสธพวกเขา แถมด่าว่าโง่อีกต่างหาก”
“ใครพูด ฉันไม่ได้ว่าลูกนายอย่างนั้นเลย ฉันหมายถึงอยากให้พวกเขาได้เอจริง ๆ”
“นายนี่ตลกชะมัด” แวนกัสหัวเราะคิกเมื่อแกล้งเพื่อนได้สำเร็จ “ทำดีกับฉันไว้ถ้านายยังรักชีวิต โอเค๊”
“โอ้ ลูกเขย ทำอะไรกันอยู่” ผู้เป็นพ่อกอดอกยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย มองตามเพื่อนเบี่ยงประเด็นไปหาไคล์กับไวน์ที่กำลังดวลเกมกันอยู่บนโซฟาอีกมุม ยังดีหน่อยที่ไฟฟ้ามาถึงที่นี่กันถ้วนหน้าแล้ว ขณะที่หันไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายกับพนักงานส่งของ แวนกัสก็เพิ่งมานึกได้ว่าลูกชายคนโตกับคนเล็กไม่ได้อยู่แถวนี้
คิดได้ดังนั้นแวนกัสก็เดินวนรอบบ้าน ไร้ร่างของวิลกับเคล ชายหนุ่มมองออกไปยังหลังบ้านอันเป็นบริเวณที่เคยคุ้นชิน เห็นธารน้ำไหลเอื่อย หากทว่าไร้ร่างของลูกชายที่คิดว่ากำลังสำรวจแถวนี้ หรือจะเดินเข้าไปในป่ากันแล้ว เพราะเห็นว่าที่นี่เป็นป่าที่เขาเคยอยู่
เด็กดื้อ!
“ฮัดชิ้ว!” เคลยกหลังมือถูที่จมูกของตัวเอง รู้สึกเหมือนโดนใครต่อว่าหรือนินทา ขณะพากันเดินไต่ขึ้นไปตามธารชั้นที่สองเพื่อสำรวจป่า หัวใจของสองพี่น้องตื่นเต้นจนแทบจะหลุดจากอกเพราะความกว้าง ความอุดมสมบูรณ์บริเวณนี้มันน่าวิ่งเล่น ไหนจะเหล่าสัตว์ที่หลากหลายกว่าเขาลูกน้อยที่เคยวิ่งเล่นเมื่อสมัยยังเด็ก
“ดูสิเคล ตรงหน้ามีน้ำตกเล็ก ๆ แถวนี้น่ามานอนเล่นนะ ว่ามั้ย”
“อยากพาไคล์กับไวน์มาด้วย ปะป๊าก็ด้วย”
“นายคิดว่าปะป๊าไม่เคยมารึไง ใกล้บ้านออก” วิลที่สวมฮู้ดยิ้มหน้าบาน ไม่ได้กังวลเรื่องร่างกายของตัวเองเลยเพราะรู้ดีว่าจะไม่มีใครเห็น พวกเขาอพยพหนีผู้คนมาอยู่ในป่า และนี่ก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนฝันและเป็นอิสระกว่าทุกครั้ง “ทำไมฉันรู้สึกสบายใจอย่างนี้นะเคล ฉันอยากอยู่ที่นี่ตลอดไปเลย”
“ฉันก็ด้วย” น้องว่า แล้วหน้าเศร้า “แต่ปะป๊าคงไม่ยอม ถ้าเรื่องซาลงไปเมื่อไหร่เราคงต้องย้ายกลับไปอยู่ในเมืองอยู่ดี ฉันไม่อยากย้ายเลยจริง ๆ”
“งั้นฉันก็จะไม่กลับคืนร่างเหมือนนาย” วิลว่า
ผู้เป็นน้องตาโต “ไม่ได้ ปะป๊าโกรธแน่”
“ฉันจะแกล้งไม่รู้วิธีคืนร่างเดิมไง”
เคลได้ฟังแล้วก็นึกขัน “นายไม่รู้จริง ๆ ก็บอกมาเถอะ ขนาดทำไมพวกเราถึงกลายร่างเป็นแบบนี้นายเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะอะไร ถูกมั้ย” คนกล่าวเดินลงไปจุ่มเท้าในน้ำเล่น ซึ่งคำพูดเหล่านั้นทำให้วิลรู้สึกใจแป้วลง
“บางทีคนที่รู้ทุกอย่างน่ะ อาจจะเป็นปะป๊าก็ได้”
“ฉันก็คิดเหมือนกัน” เคลตอบ แล้วเบิกตาขึ้น “แต่ตอนที่ฉันเปลี่ยนร่าง ฉันฝันเห็นกวางตัวสีขาว”
วิลแปลกใจ “นายก็ฝันเหรอ ฉันฝันว่าเขาเรียกฉันว่าเด็กที่น่าสงสาร” เด็กหนุ่มเล่า ได้ยินผู้พี่บอก เคลก็พยักหน้ารับฟังต่อ “แล้วเขาก็ถามฉันว่าอยากได้อะไร ฉันตอบไปว่าอยากเจอแม่ กวางตัวนั้นก็ตอบมาว่ายินดีที่จะให้ฉันเจอแม่อย่างที่ฉันหวัง ฉันจำได้ว่ามันเหมือนจริงมาก แล้วฉันก็เห็นน้ำตาจากกวางตัวนั้น ให้ตายสิ...มันชักจะแปลกกันไปทุกทีแล้ว”
“ในหนังสือ ฉันอ่านถึงหน้าที่เล่ารูปพรรณสัณฐานร่างแยกของเทพเจ้า ว่าเป็นกวางตัวสีขาวทรงสง่างาม แต่มันก็เป็นแค่เรื่องเล่า แล้วเรื่องที่เราฝันก็แค่อุปทานหมู่ มันอาจจะบังเอิญก็ได้” เคลสะบัดมือไล่น้ำออกจากตัว เห็นน้ำทีไรเด็กหนุ่มต้องลงมาเล่นทุกทีไป
“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ถึงขั้นฉันเปลี่ยนร่างขนาดนี้นายจะว่ามันเป็นอุปทานหมู่ได้ยังไงไอ้บ้า”
“ชู่...”
“อะไร” วิลระงับอารมณ์ของตัวเองเมื่อถูกเคลปราม เด็กหนุ่มผละหันไปมองตามสัญชาตญาณ เห็นร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งชะโงกมองมาที่พวกเขาพอดี วิลรีบยกฮู้ดปกปิดตัวเองแล้วเดินหลบอยู่หลังน้องชาย ในขณะที่จุดหมายกำลังเดินไต่โขดหินข้ามมาหาพวกเขาทันทีที่เห็น “เฮ้ พวกนายคือคนที่ย้ายมาเมื่อวานสินะ”
บนมือคนถามถือสมุดสเก็ตภาพติดมาด้วย คาดว่าจะมานั่งวาดรูปอยู่ที่นี่ได้พักใหญ่แล้ว เคลกลืนน้ำลายมองผู้มาใกล้แล้วทำได้เพียงยกยิ้มเล็กน้อยพอเป็นพิธี ยิ่งเห็นว่าคนที่ทักทายเป็นรุ่นพี่แล้วก็ได้เพียงแค่มองโดยที่ทำตัวไม่ถูก มาถึง อีกฝ่ายก็ยื่นมือมาจับ “ฉันวิคเตอร์ อยู่บ้านป้ามีญ่า เธอสนิทกับพ่อของพวกนายนะ”
คนฟังเลิกคิ้ว “พวกเขาสนิทกันเหรอ”
“ใช่” วิคเตอร์ลอบสำรวจคนที่ยืนหลบอยู่ข้างหลัง แล้วมองคู่สนทนา “ดูท่านายจะรุ่นเดียวกับฉันนะ เรียนที่ไหน สาขาอะไร ฉันวิคเตอร์นะ ยินดีที่ได้รู้จัก แต่ดูเหมือนคนข้างหลังนายจะไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่ ถูกมั้ย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันเคลนะ ใช่...เราน่าจะอายุเท่า ๆ กันแหละดูท่าแล้ว แล้วเอ่อฉันไม่ได้เรียนล่ะตอนนี้ ดรอปอยู่ แบบว่าเรากำลังมีปัญหาอะนะ แต่ไม่ใช่เรื่องเงิน แบบว่าเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องยากที่จะเล่าให้ใครฟังได้เลยขออุบไว้ดีกว่า”
เคลตอบไปบางส่วนอย่างจำใจ ด้วยสภาพร่างกายตอนนี้บอกไปใครจะเชื่อว่าพวกเขาอายุเพียงสิบห้าเท่านั้น เด็กหนุ่มยักไหล่แล้วรีบพูดต่อ “เอ่อ ส่วนข้างหลังฉัน...ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยินดีที่ได้รู้จักนายหรอกนะ วิลน่ะเป็นพวกเขาถึงยาก เขาไม่ค่อยชินกับการพบปะผู้คนเท่าไหร่ แต่นายไม่ต้องห่วงหรอกนะ นายเห็นหน้าฉันก็เหมือนได้เห็นหน้าวิลแล้วล่ะ”
วิคเตอร์ยิ้มขึ้น “อะไรของพวกนาย”
“ก็เราเป็นแฝดไง หน้าเราเหมือนกัน” เคลชี้ที่หน้าตัวเอง
“อ๋อ งั้นก็ไม่เห็นต้องปิดหน้าปิดตาขนาดนั้นเลยนี่ถ้าเหมือนนาย”
“เขาคงไม่อยากให้นายเห็นคนหล่อแบบคูณสองไง”
คนฟังกอดอก แล้วส่ายหน้า “เขาควรจะมั่นหน้าเหมือนนายบ้างซักนิด”
“ใช่ บายนะ” เคลยิ้มรับแล้วมองตามร่างสูงของอีกฝ่ายจนหายลับไป ครั้นสิ้นร่างของวิคเตอร์แล้วผู้น้องก็ถูกตีมาฉาดหนึ่งเพราะคำพูดน่าอายที่เผลอพูดไป “นายพูดบ้าอะไรของนาย น่าอายชะมัด”
“อะไร เมื่อกี้วิคเตอร์ยังชมอยู่เลยว่าฉันมั่นใจในตัวเอง”
“โง่ เขาหมายถึงนายหลงตัวเองต่างหาก” วิลพูดจบก็เดินนำต่อไป
“เฮ้ นายอย่ามาทำตัวเป็นคนฉลาดหน่อยเลย ใคร ๆ ก็บอกว่าฉันหล่อทั้งนั้น”
“หุบปากไปเลยเคล”
เสียงสองพี่น้องที่กำลังไต่เดินไปยังต้นน้ำดังก้องอยู่ในป่า วิคเตอร์ที่เดินแยกมาชะงักฝีเท้า มองกลับไปเห็นทั้งสองกำลังกึ่งทะเลาะกึ่งกระเซ้ากันอยู่อีกฝั่ง วิคเตอร์ส่ายหน้าเมื่อเห็นแล้วว่าท่าทางของเคลกับวิลดูไม่ได้แปลกอะไรมากมายนัก หนำซ้ำยังออกจะซื่อบื้อเสียด้วย บางทีเขาเองก็ควรจะเข้าหาสองคนนั้นเพื่อที่จะได้รู้จักแวนกัสมากขึ้น
แล้วชายหนุ่มจะได้ลองถามไถ่แวนกัสดู ว่าเคยพบเจอเรื่องประหลาดในป่าหรือไม่ อย่างเช่นเรื่องยักษ์ตัวใหญ่ผมยาว ตัวที่เขาเคยพบเจอคืนนั้น คืนที่วิคเตอร์ต้องเสียพ่อกับแม่ไป
เดินขึ้นมาได้พักใหญ่แล้ว ธารน้ำดูเหมือนจะลึกและไหลเชี่ยวกรากแรงขึ้นด้วย เคลเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเองพักหนึ่ง รับรู้ได้ว่าจะถึงน้ำตกใหญ่อยู่ไม่ไกลจากนี้ เมื่อได้ยินเสียงน้ำกระทบหิน ทั้งสองก็มองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม เป็นเด็กหนุ่มที่กำลังตื่นเต้นจนอดไม่ไหวที่จะวิ่งนำไปก่อน “ต้องสวยมากแน่ ไปละ”
“เฮ้ นายนี่มันเห็นน้ำไม่ได้เลย!” วิลวิ่งตามน้องชาย ทั้งสองหัวเราะคิกคักผ่านต้นไม้ใบหญ้าว่องไวอย่างที่เคยทำ แล้วไปหยุดกึกอยู่ที่โขดหินใหญ่ตรงหน้าน้ำตกสูง ด้านบนมีต้นไม้มหึมา น่าปีนขึ้นไปเล่นยิ่งนัก ไม่ว่าอย่างไรที่นี่มันก็มหัศจรรย์กว่าที่สองพี่น้องคิด “เจ๋งโคตร! ฉันว่าที่นี่อย่างกับดินแดนมหัศจรรย์แหนะ ดูรากต้นไม้นั่นสิใหญ่กว่าตัวเราอีก โน่นตรงโน้นมีรูปปั้นคนด้วย!”
“นายมั่วแล้ว ก็แค่หินรูปร่างเหมือนคน” เคลยิ้มแล้วถอดเสื้อเตรียมจะกระโดดลงน้ำลึก อยากจะเล่นน้ำเต็มแก่ ครั้นเหลือบไปเห็นวิลกำลังด้อม ๆ มอง ๆ แถวรากไม้ เด็กหนุ่มก็ดิ่งลงน้ำ
ด้านใต้เป็นน้ำลึกพอสมควร เสียงน้ำที่ตกจากด้านบนยังสะท้อนถึงในนี้ ขณะที่มองตามเหล่าฝูงปลาแหวกว่าย รู้สึกเหมือนมีแสงวิบวับอะไรแยงมาที่ตา เคลหรี่มองที่ผืนดินใต้น้ำ เขาเห็นเหมือนลูกแก้วดวงหนึ่งกำลังล่อให้เด็กหนุ่มดำลงไปหยิบขึ้นมาดู มันสวย มีหลายหลากสีเหมือนห้วงอวกาศ ขณะจะเอาขึ้นไปอวดพี่ชายเด็กหนุ่มก็ผวา เมื่อหันไปเจอะเขากับรูปปั้นหนึ่งอยู่ด้านหลัง
หน้าตามันน่ากลัวเพราะตะไคร่น้ำ เคลตกใจขวัญหาย แม้เจ้ารูปปั้นนั้นจะอยู่เฉย ๆ แต่มันก็น่ากลัวประหลาด มันตัวใหญ่เกินจะเป็นรูปปั้นคน เด็กหนุ่มรีบว่ายขึ้นไปด้านบนอย่างนึกตกใจ “ข้างล่างมีรูปปั้นเหมือนกัน ฉันตกใจหมดเลย!”
“ไหนบอกว่าฉันคิดไปเองไง นี่...อยู่นี่อีกตัวนึง ถูกดินโคลนทับมาครึ่งตัวแล้ว เหมือนว่าเรากำลังมาเจออารยธรรมของอะไรเข้าสักอย่างแล้วล่ะ ดูสิ ทางนั้นมีทางให้เราเดินเข้าไปด้วย นายอยากจะไปมั้ย”
“รึว่านี่จะเป็นเมืองยักษ์ เมืองบิ๊กฟุต หรือเมืองลับแล” เคลย้อน
“เหลวไหล”
“นายจะเอายังไงแน่ เมื่อกี้นายยังบอกอยู่เลยว่าไม่ใช่อุปทานหมู่ อย่าทำเป็นฉลาดหน่อยเลย!”
วิลบุ้ยปากแล้วพยักเพยิดให้มองไปยังรากไม้ “จะเข้าไปมั้ย”
“อะไร”
“ก็ข้างในนั้นไง เหมือนมันเป็นถ้ำอะไรสักอย่าง บางทีเข้าไปแล้วเราอาจเจอสมบัติก็ได้”
“เหลวไหล ฉันว่ารังสัตว์ป่าธรรมดามากกว่า” เคลว่าแล้วเดินนำไปด้อมมองแถวใต้ต้นไม้ใหญ่ น่าแปลกที่มองดูจากภายนอกมันเหมือนจะเข้าไปได้ยากเย็น หากทว่าเมื่อลองมุดเดินเข้าไปแล้วกลับพอดีตัวอย่างประหลาด “ตามเข้ามาซี่ นายป๊อดรึไง แค่เห็นความมืดก็ขาสั่นแล้วเหรอน้องสาว”
“นายไม่ว่ามันแปลกรึไง รังสัตว์ตัวไหนถึงได้ใหญ่กว้างแบบนี้” วิลสำรวจปากทางเข้า “ดูนี่นะ มีดินที่ถูกน้ำซัดมาเกาะขอบทางเข้ากว่าครึ่ง พอเดินเข้ามามันกว้างมาก แสดงว่าเจ้าของถ้ำนี่ต้องตัวใหญ่ขนาดไหน แล้วทำไมปากทางเข้าถึงถูกกลบด้วยดิน ก็เพราะว่าเจ้าของไม่ได้อยู่ดูแลป้องกันแน่นอน”
“ก็ดีสิ เราจะได้ยึดที่นี่เป็นฐานลับของเราไง”
“เราจะมาหลบในนี้ ถ้าเกิดมีใครเห็นเรา ตกลงไหมเคล”
“อา...อยากชวนไคล์กับไวน์มาดูจัง โอ้ถึงแล้ว...” เดินมาได้สักพักทั้งสองก็เจอเข้ากับโถงกว้าง แต่ที่น่าแปลกก็คือมีแสงสว่างสาดเข้ามาทั้งที่เคลกับวิลเดินเข้ามาลึกพอควร ทั้งสองมองหน้ากัน ด้านหน้าเห็นเป็นม่านเครือไม้ปกคลุม เป็นเคลที่ใจกล้าเดินไปแหวกออกให้ความสว่างเพิ่มขึ้นอีกนิด หากทว่าใจเด็กหนุ่มหลุดวูบ เมื่อเปิดม่านเหล่านั้นแหวกกว้างออกให้เห็นภาพเบื้องหน้า
“อา...นี่มันสวรรค์รึไง”
“อะไร ขอดูด้วยหน่อย” วิลตามไปหยุดยืนข้าง
“ระวังตก” ผู้น้องเอื้อมแขนมาปราม ทำให้วิลต้องใจเย็นลงแล้วสำรวจว่าที่พวกเขายืนอยู่คือริมขอบผาที่มีม่านเครือไม้ปกคลุม ด้านนอกมองเห็นทิวทัศน์ทั้งป่า ไกลสุดลูกหูลูกตา และเมื่อความสว่างสาดเข้ามาด้านใน ทำให้วิลต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อพบว่านี่ไม่ใช่รังของสัตว์แต่อย่างใด มันมีร่องรอยของมนุษย์อาศัยอยู่ไม่ผิดแน่
“เคล เราเจอบางอย่าง”
วิลกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นนัก เมื่อเดินสำรวจภายในพบฟูกนอน หมอน เสื้อผ้า รวมไปถึงของใช้จิปาถะของมนุษย์เพศชายคนหนึ่ง แม้มันจะดูเก่ากรังไปหมดแล้วก็ตาม นิ้วมือเรียวหยิบจับวิทยุเครื่องหนึ่งขึ้นมาพิศ ความเก่าของมันน่าจะบ่งบอกได้ กระทั่งเหลือบไปเห็นถุงช็อกโกแลตที่ยังไม่ถูกแกะวางทิ้งไว้อยู่ ตัวเลขที่ระบุบอกเด็กหนุ่มแล้วว่าของเหล่านี่มาจากยุคไหน
“เคล ช็อกโกแลตนี่ผลิตตั้งแต่สิบหกปีก่อน”
“วิล ฉันเจอบางอย่างที่มันแปลก”
“มีอะไรแปลกว่านี้อีกเหรอ” วิลหมุนตัวไปมองผู้น้อง แล้วเด็กหนุ่มก็จำต้องตัวชาไปเสียดื้อ ๆ เมื่อเห็นในมือของเคลถืออะไรบางอย่างอยู่ มันเหมือนกับสิ่งที่พวกเขาสวมไว้ตั้งแต่จำความได้ บิดาบอกพวกเขาว่าเป็นของสำคัญที่ควรพกติดตัวไว้ตลอดเวลา
วิลกับน้องชายมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ หรือมนุษย์เจ้าของถ้ำใหญ่นี้เป็นแวนกัสบิดาของพวกเขากันหนอ วิลกับเคลคิดขณะที่ก้มมองสร้อยนั้นอย่างไม่วางตา มันมีอยู่หลายเส้นห้อยทับกันบนผนัง เหตุใดแวนกัสถึงบอกพวกเขาว่าของพวกนี้มีแค่สี่ชิ้น และพ่อแท้ ๆ ของพวกเขาเป็นคนทิ้งไว้ให้
มันไม่ชอบมาพากลแล้ว แล้วสรุปพวกเขาเป็นใคร
บางที...คำตอบอาจจะอยู่กับแม่ของพวกเขาก็เป็นได้
หรือเขาควรไปตีสนิทกับวิคเตอร์เพื่อหลอกถามป้ามีญ่า ว่ารู้เห็นแวนกัสแปลกไปในช่วงที่มาอาศัยหรือเปล่า เพราะหากคาดเดาไม่ผิด ของพวกนี้อยู่ที่นี่ก่อนที่พวกเขาจะเกิดด้วยซ้ำ วิลกับเคลอยากรู้เหลือเกิน ว่าอะไรเปลี่ยนใจบิดาที่ชอบป่าไม้ให้พาพวกเขาหนีออกไปอยู่ในเมืองกัน
พวกเขาจะต้องหาคำตอบให้จงได้