เซนติเมตรที่ 12
(Gawin’s side)
“ผมหรอที่จะไม่เหลืออะไรเลย?” ผมยืนขึ้น ก่อนจะแค่นยิ้มถามผู้หญิงใจทรามตรงหน้าด้วยสีหน้าของผู้ชนะ
“…” เธอนิ่งเงียบมองผมงงๆ
“เดี๋ยวคุณก็รู้” บางทีฟ้าอาจจะลืมไปว่าผมไม่ใช่คนขี้แพ้ และจะไม่ยอมให้ใครมาด่าเสียๆหายๆใส่หน้าแบบนี้ นี่ถ้าเป็นผู้ชายก็คงได้ไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มแล้วแน่ๆ
ว่าแล้วก็กดหยุดบันทึกเสียงจากโทรศัพท์ในมือขวาที่ผมไขว้อยู่ข้างหลัง ..ก็ในเมื่อเธอใช้วิธีสกปรกๆของเธอทำร้ายคนอื่นได้ ผมก็ทำร้ายเธอได้เหมือนกัน
ผมไม่ได้รอให้เธอสงสัยอะไรอีก และเลือกเดินออกมาจากตรงนั้นก่อนจะมุ่งหน้ากลับคอนโดทันที
แต่เอาจริงๆพอคิดดูดีๆคนผิดไม่ใช่ฟ้าเลยว่ะ แม่งเป็นผมเองอะ
ถ้าผมไม่เลือกทำอะไรโง่ๆโดยการหลอกคบกับฟ้า ไปล้อเล่นกับความรู้สึกของเธอที่มีให้ผมเพื่อจะได้ใกล้ชิดชยาจนเธอแค้น เรื่องนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ชยาก็คงไม่ต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายอะไรแบบนี้
ผมแม่ง..เหี้ยว่ะ
ชีวิตคนๆนึงต้องมาพังทลายลงก็เพราะผม..อีกแล้ว
12.36
เวลาผ่านไปจนถึงเที่ยงของวันถัดมา ผมที่กำลังกินข้าวอยู่ก็ต้องชะงักหยุดการกระทำตัวเองเพราะข้อความที่ฟ้าส่งมาให้
Aqua_sky : ฟ้ารู้นะว่าคิดจะทำอะไร
Aqua_sky : ถ้าคุณทำฟ้าก็จะยิ่งทำอีชยาให้มันแรงขึ้นอีก ก็ลองดูแล้วกันว่าใครจะชนะ
Aqua_sky : ช่วยทำตัวเป็นแฟนฟ้าเหมือนเดิมด้วยนะคะ ฟ้าชอบที่มีกวินทร์อยู่ข้างๆ
Aqua_sky : คุณรู้นะคะว่าคุณไม่มีสิทธ์เลือก
Aqua_sky : อยู่โรงอาหารวิศวะ มาหาฟ้าหน่อยสิ จะขึ้นเรียนแล้วแต่ว่าไม่มีใครเดินไปเป็นเพื่อนเลย
ผมกัดฟันกรอด อารมณ์ในหัวเดือดขึ้นปุดๆ จนแทบอยากจะปาจานข้าวตรงหน้าทิ้ง
จะทำอะไรชยาอีกวะ แค่นี้ก็ยังไม่พออีกหรอ ไม่คิดเลยว่าฟ้าแม่งจะเหี้ยได้ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยใช้คำว่าเหี้ยกับเธอเลยเพราะยังเห็นว่าเออครั้งนึงก็เคยเป็นแฟนกันแต่ไม่ไหวว่ะ มันเกินกว่าที่ผมจะรับได้แล้ว
ผมเดินตามเกมปัญญาอ่อนของเธอด้วยการไปหาที่ที่เธอบอกก่อนจะพาเธอไปส่งที่ตึกครุ ระหว่างทางที่เดินนี่ผมแทบจะประสาทแดก
ฟ้าเดินไปบอกคนนู้นคนนี้ระหว่างทางไปทั่วเลยว่าเป็นแฟนผม แถมยังเกาะแกะกับผมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลย
ซึ่งผมก็ทำอะไรไม่ได้เลยครับนอกจากจะนิ่งเงียบเออออไปตามน้ำ โคตรหงุดหงิดทำไมผมต้องมายอมคนแบบนี้ด้วยวะ
“ส่งฟ้าตรงนี้ก็พอแล้ว ฟ้าไปเรียนก่อนนะ กวินทร์ก็..ตั้งใจเรียนนะอย่าดื้อ” เสียงหวานๆที่ก่อนหน้านี้มันน่าฟังแต่ตอนนี้กลับน่าขนลุกแปลกๆ ฟ้าบอกผมพร้อมกับทำท่าทางออดอ้อนออเซาะอันปลอมเปลือก ผมยกยิ้มให้รางวัลตุ๊กตาทองแก่แอคติ้งปลอมๆของเธอ ฟ้ายิ้มตอบก่อนจะโบกมือลาบ๊ายบาย
..หากแต่ผมไม่คาดคิดเลยว่ารอยยิ้มนั่นจะชั่วร้ายที่สุดตั้งแต่ผมเคยเห็นมา
เช้าวันถัดมาวันนี้เป็นวันศุกร์ที่สิบสาม อาจจะดูน่ากลัวหน่อยๆสำหรับคนที่เชื่อเรื่องนี้ แต่สำหรับผม ผมก็ไม่ซีเรียสอะไรกับเรื่องนี้มากนัก ในใจคิดว่ามันงมงายด้วยซ้ำ ทว่าวันนี้กลับมีความรู้สึกบางอย่างกวนใจผมตลอดเวลาเลยตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
วันนี้ผมมีเรียนแปดโมง แม่งเช้าสัดๆเลยสำหรับคนที่ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตกลางคืนแบบผม แต่ก็เพราะความเก่งกาจส่วนตัวผมก็เลยแหกขี้ตาตื่นมาได้ตอนหกโมงยี่สิบสาม
ใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวอยู่ร่วมชั่วโมงเลยก่อนจะมุ่งหน้าไปมอได้ และพอมาถึงตึกคณะตัวเองก็ได้แต่มองพวกกลุ่มคนที่กำลังแตกฮือไปรวมอยู่จุดๆเดียวด้วยสีหน้างงๆ
“มีอะไรกันอะ” ผมเดินไปถามหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้น
“ม..มีคนกำลังจะผูกคอตาย..” เธอตอบด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก ความโกลาหลวุ่นวายตรงนี้เสียงดังระงมไปทั่วบริเวณ
ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกหวั่นๆในใจอยู่เหมือนกัน เพราะเรื่องแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่จะให้ไปมุงดูกับกลุ่มคนพวกนี้ผมก็ขอยืนมองอยู่เฉยๆดีกว่า
เดี๋ยวก็มีคนเข้าไปช่วยมันเองนั่นแหละ
ทว่าขณะที่ผมกำลังจะก้าวขาหันกลับไปอีกทางผมก็ต้องสะดุดกึก..
“เฮ้ย! อย่า! ไอ้ชยาอย่าทำ!!!” เสียงตะโกนลั่นที่ดังราวกับระฆังกำลังลั่นสะท้านอยู่ในหัว ผมหันกลับไป จู่ๆสิ่งที่อยู่ในอกข้างซ้ายก็สูบฉีดเลือดถี่รัวจนเหงื่อชื้นๆซึมออกที่มือ
“…” ขาซ้ายและขวาพุ่งไปข้างหน้าโดยสัญชาติญาณ ผมวิ่งฝ่าฝูงชนไปอย่างไม่คิดชีวิต ก่อนจะได้เห็นภาพของคนตัวเล็กในห้องสมาคมที่บาดลึกหัวใจ
ฝ่ามือเล็กของเขาที่กำลังสั่นเทาจับบ่วงเชือกมาไว้ในมือ ก่อนจะสอดใบหน้าหวานที่ตอนนี้แดงไปหมดราวกับพึ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วงเข้าไปในเชือก
‘กวินทร์ว่า..ทนอยู่คนเดียวอย่างทรมานกับลาจากโลกนี้ไป อะไรดีกว่ากัน’
‘ทำไมถามแบบนี้ล่ะครับ หื้ม’
‘แค่..อยากรู้น่ะ ชยาเคยทนอยู่คนเดียวมาแล้ว มัน..ทรมานมากจริงๆ’
‘…’
‘ก็เลยอยากรู้ว่าถ้าเกิดลาจากโลกนี้ไป มันจะทรมานน้อยกว่ากันรึเปล่านะ?’
‘ชยาฟังนะ ชีวิตที่ผ่านมาของชยามันอาจจะยากลำบาก อาจจะต้องใช้ความอดทนมามาก แต่ชยาก็เห็นผลของมันแล้วนี่ ผลของความยากลำบาก ผลของความอดทน’
‘..ผลของมันหรอ..’
‘ใช่ครับ ก็เหมือนกับท้องฟ้าตอนที่พายุเข้านั่นแหละ มันมืดมนน่ากลัวใช่มั้ยล่ะ’
‘…’
‘แต่พอฝนหยุด พายุที่ว่าหายไป ชยารู้มั้ยว่าท้องฟ้าตอนนั้นมันสวยมากๆเลยนะ’
‘…’
‘.. ‘ฟ้าหลังฝน…มักสวยงามเสมอ’ นะครับ’
‘…’
‘ชีวิตของเรามีค่านะ อาจจะมีช่วงที่ยากลำบาก แต่ถ้าอดทนจนมันผ่านไปได้ สิ่งตอบแทนของความอดทนหลังจากนั้นมันคุ้มค่านะ และมันก็คุ้มค่าพอ..ที่จะมีชีวิตอยู่’
‘แต่ชีวิตชยา..ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีค่าสำหรับใครมั้ย ไม่ว่าพ่อ แม่ หรือพี่ของชยา ..ชยาดูไร้ค่ามากเลย สำหรับพวกเขา’
‘ไม่หรอก อย่าคิดแบบนั้น อย่างน้อยที่สุดเลยนะครับ’
‘…’
‘…อย่างน้อย.. ก็มีค่ากับกวินทร์นะ’
คนตัวเล็กคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเตะเก้าอี้ที่ตัวเองยืนอยู่ทิ้งลงไป
“กรี๊ดดดดดดดดดด!!!!!!”
…ตาผมเบิกโพลง ใจตกไปอยู่ที่ปลายเท้า
“หลบ.. หลบไป” เสียงของผมพูดออกไปแผ่วเบา ใช้สองมือแหวกคนตรงหน้าออกเพื่อเดินไปยังประตูกระจก ก่อนจะหยิบหินก้อนใหญ่แถวนั้นขึ้นมาแล้วทุบมันจนเศษกระจกกระเด็นไปอีกฝั่งกระจัดกระจาย
ผมกระโจนเข้ามาข้างในผ่านช่องแตกๆของประตูนั่น กระจกแหลมๆบางส่วนกรีดลงบนแขนผมจนเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตของชยาแล้ว
ผมจับเก้าอี้ที่ถูกเตะไปตั้งขึ้นอีกครั้งก่อนจะขึ้นไปยืนข้างบน แล้วใช้มือข้างนึงอุ้มพยุงตัวของชยาให้สูงๆ เชือกนั่นจะได้ไม่รัดคอเขาเพิ่มอีก พยายามใช้มืออีกข้างเอื้อมไปแกะปมเชือกออกแต่ก็ยากลำบากเหลือเกิน
“มีใครมีกรรไกรมั้ย!” ผมตะโกนถาม ไม่นานนักก็มีกรระไกรยื่นมาให้ผม
“ชยา..มองกวินทร์นี่ กวินทร์อยู่ตรงนี้แล้ว..” ผมพยายามเรียกสติคนตรงหน้า แต่น้ำเสียงผมก็สั่นเครือจนแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์
“เงยหน้าขึ้นไปหน่อย” สูดหายใจลึกๆเพื่อให้ตัวเองใจเย็นก่อนจะบอกคนตรงหน้าทว่ากลับไม่มีการตอบรับใดๆกลับมา เปลือกตาสีไข่ของชยาค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ ต่อหน้าต่อตาผม..
สุดท้ายแล้วผมจึงทำใจสอดปลายกรรไกรเข้าไปในช่องระหว่างเชือกกับผิวคอ ถึงจะทำมันอย่างระมัดระวังแล้วก็แต่ก็กลัวกรรไกรจะทำร้ายเขาเหลือเกิน
ผมรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีใส่กรรไกรเพื่อตัดบ่วงเชือกออก
ฉับ!
ทันทีที่เชือกขาดลงร่างไร้สติของชยาก็ร่วงลงมาในอ้อมกอดของผม ทว่ามันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ลำคอของเขาแดงเถือกเป็นรอยเชือกจนอดหวั่นใจไม่ได้ว่าเขาอาจจะไม่หายใจแล้ว
ผมพยุงตัวเองและร่างของคนตัวเล็กลงมาจากเก้าอี้ก่อนจะวางเขานอนราบลงกับพื้น ยอมรับว่าตอนนี้ผมลนลานมากๆ ตาเบลอไปหมดเพราะน้ำตาที่รื้นเอ่อ ซ้ำมือไม้ก็แทบจะควบคุมไม่อยู่ แต่ผมจะไม่มีทางปล่อยให้ชยาเป็นอะไรไปแน่ๆ ผมรู้แค่นี้
ผมทรุดลงข้างๆร่างของชยาแล้วจัดการประสานมือของตัวเอง กดลงบนอกของเขาอย่างหนักแน่นเป็นจังหวะ สลับกับการปิดปลายจมูกและจับริมฝีปากเขาให้อ้าออกเล็กน้อยแล้วเป่าลมเข้าไป
“ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลหน่อย.. เร็ว!” ผมพูดเสียงดังลั่นใช้เสียงทั้งหมดเท่าที่มีเพื่อหวังจะให้คนอื่นให้ความช่วยเหลือ
..แต่ก็เปล่าประโยชน์
คนพวกนี้เอาแต่เถียงกัน หาคนผิดหาคนรับผิดชอบ โดยไม่สำเหนียกขึ้นมาในใจเลยว่าตัวเองก็ต่างมีส่วนผิดกันทุกคน ถ้าเกิดว่าเอาเวลาที่เถียงกันอยู่มาช่วยชยามันคงจะดีไม่น้อยเลย
แต่คนตัวเล็กของผมคงรอจนถึงเวลานั้นไม่ได้
“โว้ย! เป็นเหี้ยไรกันเนี่ยไอ้สัด พอละไม่ต้องโทรละ” ผมตวาดลั่นอย่างไม่สบอารมณ์แต่ก็ยังคงจัดการทำซีพีอาร์ต่อไปเรื่อยๆไม่ได้หยุดพัก ใช้เวลาอยู่หลายนาทีสัมผัสที่มือจึงรู้ได้ว่าคนตัวเล็กกลับมาหัวใจเต้นอีกครั้งแล้ว
“ชยา!” ผมเรียกสติคนตัวเล็ก จู่ๆภาพที่เห็นก็เบลอหนักกว่าเก่า ความรู้สึกดีใจมันล้นเหลือจนแทบจะทะลุออกมาจากใจ
ขอบคุณ..ขอบคุณเหลือเกิน
“ชยา..ตื่นสิ ลืมตาก่อน มองกวินทร์สิครับ..มองกวินทร์..”
คนตัวเล็กค่อยๆปรือเปลือกตาสีไข่ของเขาขึ้น ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆแล้วมาหยุดที่ผม..
“…” ชยาไม่ได้พูดอะไร ผมจึงดึงเขาเข้าไปกอดในอ้อมอกอย่างแนบแน่น เพียงเท่านั้นน้ำตาที่อัดอั้นมาตลอดก็ไหลลงมาไม่ขาดสาย
“ขอโทษ..กวินทร์ขอโทษ ขอโทษ..” ผมพร่ำคำขอโทษโง่ๆออกไป ไม่รู้หรอกว่ามันจะมีค่ามั้ยในตอนนี้ แต่ผมรู้สึกผิด.. รู้สึกผิดที่ดูแลชยาไม่ได้เลย
“…”
“ไม่เอานะ..ไม่ทำแบบนี้อีกแล้วนะชยา ชีวิตชยามีค่ามากๆนะ”
“…”
“..อย่างน้อยก็มีค่าสำหรับกวินทร์นะ”
..ขอบคุณที่ยังมีชีวิตอยู่
13.45
หลังจากนั้นผมก็พาชยามาโรงพยาบาล ทันทีที่พยาบาลเห็นสภาพคอของคนตัวเล็กก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเกิดอะไรขึ้นและต้องทำอย่างไรบ้าง
คนตัวเล็กถูกวางนอนลงบนเตียงพยาบาล ก่อนจะเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินจนลับสายตาผมไป
ผมจมอยู่กับความเป็นห่วงอยู่ตรงนั้นจนแทบบ้า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากนั่งโง่ๆรอต่อไป
ประมาณครึ่งชั่วโมงผ่านไปประตูสีหม่นข้างหน้าจึงได้ถูกเปิดออกอีกครั้ง แต่ว่าคนตัวเล็กไม่ได้ถูกเข็นออกมา มีเพียงพยาบาลคนนึงเท่านั้นที่เดินมาหาผม
“คุณเป็นคนทำซีพีอาร์ให้คุณชยาหรือเปล่าคะ ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ถ้าไม่ได้คุณ คุณชยาอาจจะไม่รอดแล้วก็ได้ ยังไงตอนนี้ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วนะคะ” เธอบอกกับผมก่อนพร้อมด้วยรอยยิ้มอย่างยินดีทำเอาผมรู้สึกเขินๆอย่างบอกไม่ถูก ไม่นึกเลยว่าที่ทำแบบนั้นมันจะช่วยชีวิตคนๆนึงไว้ได้ทัน
แต่ทว่าการรักษาก็ยังดำเนินผ่านไปจนถึงบ่ายโมงก็ยังไม่แล้วเสร็จ จิตใจที่กำลังว้าวุ่นของผมจึงสั่งให้ผมเลิกนั่งโง่ๆอยู่ตรงนี้ซะก่อนจะเดินมุทะลุเข้าไปข้างในห้องฉุกเฉินที่ว่า แต่ทันทีที่เปิดประตูออกผมก็ต้องชะงักหยุดเพราะมีชายวัยกลางคนในชุดกาวน์สีขาวสะอาดกำลังจะออกมาเช่นเดียวกัน
“เข้าไปไม่ได้นะครับ ว่าแต่คุณคือ..ญาติของ..คุณชยาใช่มั้ยครับ?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามถึงผม
“ครับ เขาเป็นยังไงบ้างครับหมอ”
“คุณชยาต้องแอดมิตที่นี่ก่อนเพื่อดูอาการ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะนานแค่ไหนแต่สภาพร่างกายของคุณชยาตอนนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ถึงแม้หัวใจจะกลับมาเต้นหรือรู้สึกตัวแล้ว แต่ก็วางใจไม่ได้ว่าเขาจะปลอดภัยไปตลอด”
“…”
“จากการวินิจฉัย หมอพบอวัยวะหลายส่วนบอบช้ำอย่างหนัก กล้ามเนื้อบางจุดฉีกขาด และกระดูกที่มีบางส่วนนั้นได้หักลง ซึ่งหมอได้ทำการรักษาอย่างเต็มที่แล้ว ..ทั้งนี้ก็อยู่ที่ตัวคนไข้ ถ้าร่างกายของเขาแพ้พิษบาดแผลไม่สามารถฟื้นฟูส่วนต่างๆได้อีกแล้ว คุณชยาก็มีโอกาสที่จะ..เสียชีวิต”
“…” ในหัวของผมพยายามประมวลผลสิ่งที่ได้ยินใหม่อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้งซ้ำๆ เพื่อเปลี่ยนให้มันเป็นแค่คำโกหกหรือเพียงแค่ฝันร้าย
“อีกอย่างนึง ..ขอโทษนะครับแต่หมอจำเป็นต้องแจ้งให้ญาติทราบ”
“…”
“หมอพบความผิดปกติบางอย่างในกระเพาะของคนไข้”
..แต่สุดท้ายแล้วก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจยอมรับความจริง
ก๊อกๆๆ
ผมเอื้อมมือไร้เรี่ยวแรงไปเคาะประตูห้องผู้ป่วยที่ภายในห้องเป็นคนตัวเล็กของผมอย่างมีมารยาทก่อนจะเปิดประตูออกแล้วแทรกตัวเข้าไป
..คนตัวเล็กเขาอยู่ในชุดผู้ป่วยสีฟ้าอ่อนของทางโรงพยาบาล เขานั่งพิงหลังกับหัวเตียง ทอดสายตามองออกไปด้านนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย
“..เป็นยังไงบ้างชยา” ผมสูดหายใจลึกๆพยายามใช้โทนเสียงที่ปกติที่สุดให้ได้ถึงแม้มันจะออกมาสั่นเครือไปหน่อย
..ถ้อยคำที่เขาประกาศเกล้าในวันนั้นมันยังคงดังสะท้านอยู่ในหัวผมตลอดมา
‘ต่อให้ผมเจ็บปางตายยังไงก็ตาม สิ่งที่คุณทำได้ก็คือยืนดู ไม่ก็ไสหัวไปไกลๆซะ’
..หากแต่ตอนนี้ผมกลับเลือกที่จะฉีกสิ่งที่คนตัวเล็กบอกทิ้งไป ผมทนไม่ได้ถ้าจะให้เห็นคนตัวเล็กตายไปต่อหน้าต่อตาจริงๆ...
พยายามค่อยๆก้าวขาไปทีละนิดๆเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนชยา ..อีกไม่กี่ก้าวผมก็เข้าใกล้เตียงแล้ว ..อีกนิด
“มาช่วยชยาทำไม” คนตัวเล็กพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนผมต้องหยุดการกระทำ เขายังคงมองออกไปข้างนอกอยู่แบบนั้นไม่ได้หันมาทางผม ยอมรับว่าตอนนี้ใจสั่นไปหมดเลย เพียงเพราะได้ยินคำแบบนั้นตอกหน้ากลับมาหลังจากที่ผมพยายามช่วยเขาจนตัวเองก็พลาดเลือดตกยางออก
..ทำไมผมถึงได้อ่อนแอแบบนี้วะ
“จะให้กวินทร์ทนดูชยาตายไปต่อหน้าต่อตาหรอ …กวินทร์ทำไม่ได้หรอก.. กวินทร์ขอโทษ” ผมไม่มีทางทำแบบนั้นได้ ผมทำไม่ลงหรอก ..คุณอย่าโกรธผมเลยนะ
“เคยบอกไปแล้วนี่ว่าไม่ต้องมาช่วย..” คนตัวเล็กยังคงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นราวกับเค้นคำพูดทุกคำมาจากใจ
“…กวินทร์ขอโทษ..”
“ไม่ต้องการ”
“…”
“มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรอถ้าชยาจะหายไปซะ”
“..ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
“กวินทร์ก็..เคยต้องการแบบนั้น ไม่ใช่หรอ..” ตราความผิดจากความไม่ยั้งคิดของผมกำลังสะท้อนกลับมาที่ผมแล้วสินะ
..ผมพูดอะไรไม่ออกเลย ก้อนอะไรบางอย่างมันจุกขึ้นมาที่คอจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป
“..กวินทร์ไม่เคยต้องการแบบนั้นจริงๆหรอก” แล้วก็เลือกแถออกไปโง่ๆ มันก็เป็นความจริงแหละที่ผมไม่เคยต้องการแบบนั้น แต่ตอนนี้ไม่มีทางหรอกที่ชยาจะเชื่อไอ้เหี้ยที่ทำชีวิตเขาพังอย่างผม
“แต่คุณก็พูดมันออกมา..”
“…”
“ไม่คิดบ้างหรอว่าคนฟังอย่างผมจะรู้สึกยังไง”
“..ขอโทษ” ผมขยับเข้าไปใกล้คนตัวเล็กให้มากขึ้นพยายามไม่สนใจปฏิกิริยาของเขา ที่ต้องทำแบบนั้นเพราะว่าเรื่องที่ผ่านมามันไม่สำคัญเท่ากับตอนนี้แล้ว ตอนนี้เขากำลังเจ็บ กำลังทรมาน นั่นแหละคือสิ่งที่ผมควรจะหาต้นตอสาเหตุ และควรจะแก้ไขมัน
ชยากำลังไล่ผมอ้อมๆ ผมรู้ และผมก็รู้ตัวว่าตัวเองหน้าด้านแค่ไหนก็ตอนนี้นี่แหละ
“แล้ว..ชยาไปมีเรื่องกับใครมาล่ะทำไมถึงโดนขนาดนี้”
“…”
“ไหนขอกวินทร์ดูหน่อย” ผมขยับเข้ามาชิดเตียงก่อนจะเอื้อมมือไปหวังจะจับบริเวณแผลเพื่อดูอาการ แต่ทว่าชยากลับปัดมือผมออกอย่างแรง
“ไม่ต้องยุ่ง!”
“…”
“คุณจะไปไหนก็ไปเถอะ จะมาอยู่นี่ทำไม”
“…”
“ไปได้ละ รำคาญ”
“…”
“ไปสิ” บางทีผมต่างหากที่ควรจะสำเหนียกตัวเอง ควรรู้ได้แล้วว่าที่ทำอยู่มันไร้ค่า
“ขอโทษที ผมก็แค่..เป็นห่วง”
สองวันถัดมาผมเอาเรื่องทุกอย่างไปบอกพี่ธนพี่รหัสของชยาให้เขาได้รับรู้ ซึ่งพอเขาได้รู้เขาก็ตกใจไม่แพ้ผมเลย เขาเองก็น่าจะรู้จักฟ้าดีเหมือนกัน ก็คงนึกไม่ถึงหรอกว่าวันนึงน้องสายรหัสตัวเองจะเป็นคนทำเรื่องแบบนี้
ผมเอาคลิปเสียงที่ผมอัดเอาไว้ให้เขาฟัง ส่วนตัวเขาเองเขาบอกว่าไม่อยากให้เอาคืน เพราะถ้าทำงั้นมันก็คงไม่จบไม่สิ้น ซึ่งเออ แม่งก็จริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละ บางทีผมอาจจะอารมณ์ร้อนไปหน่อยเลยไม่ทันคิดตรงจุดนี้
แต่ว่ามีอีกเรื่องนึงที่ผมยังไม่ได้บอกเขา เพราะในใจลึกๆผมยังคงหวังอยู่ว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น มันจะไม่เป็นเหมือนที่หมอบอก..
เอาล่ะมาถึงตรงนี้ใครอยากจะลองตบหน้าผมก็มาลองได้เลย ผมไม่เจ็บหรอกเพราะหน้าผมแม่งด้านกว่าพื้นปูนซีเมนต์อีก
หลังจากเรียนเสร็จผมก็ตรงดิ่งมาโรงพยาบาลในทันที เหตุผลก็คือผมกลัวว่าคนตัวเล็กของผมจะเหงาที่ต้องอยู่คนเดียว
ผมจำได้นะว่าเขาไม่ชอบการอยู่คนเดียว ยิ่งถ้าเป็นตอนกลางคืนมืดๆ ชยาก็ยิ่งกลัว แถมเจ้าตัวเองก็ยังเป็นคนขี้หนาวอีก
แบบนี้แล้วจะให้ผมทิ้งเขาได้ยังไงกัน
กวินทร์คนนี้ไม่ทำหรอกครับ!
ก๊อกๆๆ
“…” คนตัวเล็กหันมามองตาปริบเมื่อเห็นผมเดินเข้ามา โอโหเขินเลยมองกันแบบนี้เนี่ย เปล่าเว้ย ชยามองเหมือนแบบ ‘ยังจะกล้ามาอีกนะ’ ไรงี้อะ ฮ่าๆๆ เขินเลย เขินทั้งนั้มตา
“ผม..ซื้อมาฝาก” จังหวะนี้ก็ต้องซื้อใจกันก่อน ผมรู้ว่าคนตัวเล็กของผมเขาเป็นหมูอ้วนดีๆนี่แหละ เขาชอบของกิน
“กองไว้ตรงนั้น” โอเค จบ
“แล้ว..ตอนนี้เป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนมั้ย” ผมนั่งลงตรงโซฟาข้างเตียงผู้ป่วย คนตัวเล็กไม่ได้มีท่าทีสนอกสนใจสิ่งที่ผมพูดเลยแม้แต่น้อย เอาง่ายๆเลยก็คือเหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้เลย
“วันนี้มีคนถามถึงชยาด้วยน้า” แต่ผมก็ยังดื้อดึงพูดกับเขาต่อไป ทั้งที่จริงๆคือเหมือนพูดอยู่คนเดียว
“หลายคนเลยที่บอกว่าเป็นห่วงชยา”
“…”
“จริงสิวันก่อนกวินทร์ไปเจอพี่หมีด้วย ที่กวินทร์เคยใส่ตอนวันเกิดชยาปีที่แล้ว เจออยู่ข้างๆตู้เก็บของข้างนอก มันสกปรกนิดหน่อยแต่เดี๋ยวกวินทร์จะเอาไปซัก…”
“…”
“ชยาจำหนังเรื่อง The Notebook ที่เราเคยดูด้วยกันได้มั้ย กวินทร์เจอแผ่นมันตกอยู่ก็เลยหยิบมาดูอีกที แต่ดูไปดูมาก็ไม่มีสมาธิกับหนังเลย ในหัวคิดถึงแต่ชยา”
“…”
“จำได้ว่าครั้งนั้นที่เราดูด้วยกัน ชยาอินจนร้องไห้จ้าเหมือนเด็กเลย เป็นคนอื่นอาจจะหัวเราะไปแล้วแต่กวินทร์ไม่หัวเราะหรอก น่ารักดี”
“…”
“ชยาอ่อนไหวง่าย กวินทร์รู้ ชยาบอกว่าชยานับถือในความพยายามของโนอาเรื่องนี้เลยที่พยายามอ่านสมุดโน้ตนั่นให้แอลลี่ฟังอยู่ทุกวันเพื่อรื้อฟื้นความจำถึงแม้จะไม่มีความหวังเลย อันนี้กวินทร์ก็จำได้”
“…”
“กวินทร์ไม่รู้มาก่อนเลยว่าชยาจะเคยเขียนเรื่องราวต่างๆลงสมุดโน้ตเหมือนกัน จนเมื่อวานกวินทร์ไปเจอมันในลิ้นชักโต๊ะทำงานของชยา”
“…”
“สิ่งที่ชยาเขียนมันน่ารักมากเลยนะ น่าเสียดายที่ชยาหยุดอยู่แค่หน้าที่สิบกว่าๆแล้วไม่ได้เขียนต่ออีก”
“กลับไปได้รึยัง?”
“…”
“เผื่อคุณจะเป็นห่วงกันจริงๆ ..ก็รู้ไว้ด้วยว่าสิ่งที่คุณทำอยู่มันทำให้ผมรำคาญ”
“อ่า.. โอเค งั้นวันนี้กวินทร์กลับก่อนนะ”
“ขอโทษที กวินทร์เลิกช้าเลยมาซะค่ำ ดูสิ กวินทร์ซื้อของที่ชยาชอบมาด้วย”
“มาทำไมอีก”
“กวินทร์มาหาชยา”
“ใครเขาต้องการแบบนั้นกัน? ผมขอคุณหรอว่าให้คุณโผล่หน้ามาทุกวัน”
“คุณไม่ได้ขอ”
“แล้วคุณมาอีกทำ..”
“ผมเป็นห่วงคุณ”
“…”
“ผมไม่อยากให้คุณอยู่คนเดียว ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบ”
“เผื่อคุณจะไม่รู้ ผมอยู่ได้แล้วตั้งแต่ไม่มีคุณอยู่ในชีวิต”
“วันนี้เป็นไงบ้างครับชยา กวินทร์ซื้อผลไม้มาฝาก วันก่อนนี้มีแต่ขนม วันนี้มารักสุขภาพบ้างดีกว่า”
“นี่ยังปกติอยู่ปะ หรือยังไง”
“กวินทร์ปกติดีน่า ขอบคุณที่เป็นห่วง”
“ขอโทษนะที่จะบอกว่าคุณมโนไปเอง”
“ฮ่าๆ ผมรู้ ผมรู้ ดีใจนะที่คุณพูดกับผมหลายพยางค์มากขึ้น”
“…”
“อ่าวไม่น่าพูดงั้นเลย คุณไม่พูดเลยเนี่ย โธ่ ไม่น่าเลยกวินทร์”
“อย่าบอกนะว่าคุณจะอยู่นี่ทั้งวัน”
“ใช่ครับ วันนี้ผมไม่มีเรียน”
“…”
“ขอโทษที่ต้องบอกให้รู้นะ แต่ว่าคุณเตรียมปวดหัวกับผมได้เลย ฮ่าๆ”
“คุณมันน่ารำคาญ”
“ผมรำคาญตัวเองเหมือนกัน ทำไมถึงมัวแต่เป็นห่วงคุณอยู่ตลอดเลยก็ไม่รู้”
“โอ๊ย ออกไปเลยนะ”
“หมายถึงให้ผมไปมินิมาร์ทข้างล่างให้หรอ ได้ครับแต่อีกซักพักละกัน”
“…”
“วันนี้อากาศดีเนอะ เหมาะกับการออกไปนั่งชิวๆอยู่สวนสาธารณะ หรือไม่ก็นั่งจิบกาแฟในคาเฟ่มากๆเลย”
“ก..กลับไป..”
“จริงสิ จำได้ว่าตอนนู้นคุณเคยบอกว่าอยากไปภูเก็ต ผมหาข้อมูลมาคร่าวๆแล้ว ไว้คุณออกจากโรงพยาบาลแล้วเราไปด้วยกันนะ”
“…”
“ชยา..”
“กลับไป..นะ”
“ชยา!”
“ฮือ..บอกให้กลับไปไง.. กลับไป ชยาไม่อยากให้กวินทร์เห็น..”
“ชยา.. ชยาเป็นอะไร เจ็บตรงไหน! บอกผม”
“กลับไป..”
“หมอ.. หมอครับ ช่วยด้วย!”
“อึก..ม..มันไม่มีวันนั้นหรอก”
“รอเดี๋ยวนะชยา อีกซักพักหมอก็คงมาแล้ว”
“มันไม่มีวันนั้น..”
“…”
“...กวินทร์ก็รู้ว่าชยาไม่มีทางได้ออกจากโรงพยาบาลอีกต่อไปแล้ว”