◑
คุ ณ ไ ม่ ต ร ง ป ก
ตอนที่ 9 : สัญญา
_________
การประชุมที่ภูเก็ตลุล่วงไปได้ด้วยดีจากการร่วมมือกันของทุกฝ่าย เราบินกลับกรุงเทพในรุ่งเช้าของวันอังคารทันทีเนื่องจากตารางงานของเจ้านายที่แน่นหนา และนั่นทำให้วันต่อมาสภาพร่างกายของเขาก็ไม่ปกติเท่าที่ควร
ภัทรจามตลอดทางที่นั่งรถมาในตอนเช้า กองม้วนทิชชู่ที่อยู่ในถังขยะใบเล็กข้างโต๊ะทำงานบ่งบอกเป็นอย่างดีการป่วยกำลังจะเริ่มต้นขึ้น มันมักจะเป็นอย่างนั้นเสมอ เมื่อไหร่ที่จะเป็นไข้ เขามักจะมีน้ำมูกและมีอาการเจ็บคอร่วมด้วยอยู่ตลอด
เขาไม่ใช่คนที่ป่วยบ่อย ร่างกายค่อนไปทางแข็งแรงถึงแข็งแรงมากเสียด้วยซ้ำ ถึงแม้จะมีไข้ปีละครั้งสองครั้งตามสภาพฤดูกาลแต่ไม่เคยป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลเลยสักรอบ ครั้งที่ป่วยหนักที่สุดคงจะเป็นโรคไข้เลือดออกเมื่อตอนเด็กที่นานเสียจนเขาก็แทบจะจำอาการและความรู้สึกไม่ค่อยได้มากนัก รู้แต่เพียงต้องนอนโรงพยาบาลหลายคืนและมีสายน้ำเกลือระโยงระยางอยู่ตลอด
“ฮัดชิ้ว!”
ร่างโปร่งตัวโยนเมื่อจามออกมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากบางอ้าค้างหอบหายใจอยู่อย่างนั้น สองมือรีบโกยหาทิชชู่เพื่อเช็ดน้ำมูกที่เริ่มจะไหลพ้นจมูกจนน่าอาย
“กลับมาก็ไม่สบายซะแล้ว อะไรกันเนี่ยเรา” พี่เล็กที่เข้ามาพอดีเอ่ยทักทาย ภัทรสูดจมูกสองสามรอบ ก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่ายกลับ
“พี่เล็กมาหาคุณคีหรอครับ?”
“อ่าใช่ เขาอยู่รึเปล่า?”
“อยู่ห้องรับรองด้านในครับ เข้าไปได้เลย” อีกฝ่ายมองตามมือเขาที่ผายไปยังห้องอีกฝั่งที่อยู่ติดกัน เจ้าตัวพยักหน้าก่อนจะตบบ่าเขาสองสามรอบ
“อย่าลืมกินยาด้วยล่ะ”
“ครับ” ภัทรหัวเราะแล้วยิ้มตอบ มองแผ่นหลังของผู้ชายที่หายลับไปกับบานประตูก่อนจะเบือนสายตาออกไปรอบๆ
ห้องของคีรติจะเป็นห้องทำงานขนาดใหญ่ที่มีหลายฟังก์ชันการใช้งานรวมกันอยู่ด้านใน มีห้องอื่นๆแยกออกไปตามความเหมาะสมของงานที่รับผิดชอบ ห้องที่เขาอยู่เป็นห้องบนชั้นสูงของตึก มีกระจกรอบด้านที่ยอมให้แสงสว่างลอดผ่านม่านผืนใหญ่ ตกแต่งด้วยสีโทนอุ่นโดยมีสีครีมและสีน้ำตาลปะปนกันเข้ากับผนังหินอ่อน ดวงตากลมโตทอดสายตาผ่านแว่นกลมไปยังโต๊ะทำงานกลางห้องที่วางบนพื้นยกสูง สีทองของผนังตกแต่งตัดกับสีของหินอ่อนจนสวยสด ของประดับทุกชิ้นเป็นสีดำและสีทองจนทำให้ทุกอย่างดูหรูหราขึ้นทันตาเห็น ทั้งหมดคงปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่ารสนิยมของคีรตินั้นดีเสียจนเขาต้องยอมรับ
“ฮัดชิ้ว!”
ภัทรเผลอจามในตอนที่พี่เล็กออกมาจากห้องที่หายไปก่อนหน้า เจ้าตัวหัวเราะเสียงดังจนเขาตกใจ อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาแล้วเอ่ยถามอีกรอบ
“มียารึเปล่า? พี่มีอยู่ที่ห้องจะเอามั้ย?”
“มีครับ แต่เป็นยาที่กินแล้วต้องนอน ภัทรกะว่าจะรอตอนเย็นก่อนแล้วค่อยกิน” เสียงเขาอู้อี้ มือถูจมูกจนแดงก่ำ
“อ่านั่นสิ กลับไปก็กินข้าวกินยาล่ะ พรุ่งนี้ไม่ไหวก็ขอคุณคีเขาลานะ” อีกคนแสดงความเป็นห่วงเป็นใย ภัทรยิ้มหวานส่งไปให้ก่อนจะรับคำ
“ได้ครับ”
“มีอะไรกัน?” คีรติเอ่ยถามในตอนที่เดินตามมา รอยยิ้มที่มีกลับน้อยลงเรื่อยๆเมื่อเลขาคนเก่งอยู่ตรงหน้าเจ้านายสุดเนี้ยบ คนตัวเล็กกว่ายืดตัวตรง จับกระดาษในมือมั่นแล้วตอบรับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ไม่มีอะไรครับ พี่เล็กแค่เป็นห่วงภัทรเฉยๆ” อีกคนมีสีหน้าสงสัย
“พี่ขอตัวก่อนนะ ผมไปก่อนนะครับ” คนที่โดนพาดพิงถึงเห็นสถานการณ์ตรงหน้าแล้วรีบบอกลา ในประโยคแรกเจ้าตัวบอกเขาส่วนประโยคหลังบอกคนด้านข้างที่ตอนนี้กำลังกอดอกแล้วจ้องมาอย่างหาคำตอบ
“ไม่มีอะไรจริงหรอ?” เสียงคีรติเข้มขึ้น ภัทรยืดตัวอีกครั้ง หลบสายตาที่ยังไม่ละไปไหนอยู่อย่างนั้น
“ครับ”
“...”
“…”
“อืม” คนตัวสูงหันหลังกลับเมื่อเขาไม่ยอมพูดอะไรต่อ ทิ้งตัวลงยังโต๊ะทำงานแล้วเริ่มอ่านเอกสารที่วางอยู่อยู่อย่างตั้งใจ เมื่อเป็นดังนั้น เสียงถอนหายใจจึงดังขึ้นพร้อมกับตัวเขาที่หันหลังกลับมายังโต๊ะของตัวเองบ้างเช่นกัน
เหมือนอาการไข้จะมาไวกว่าที่เขาคิดไว้เสียแล้ว
/
ภัทรพยายามกลั้นเสียงจามให้เบาที่สุดในช่วงหลังพักกลางวัน โชคดีที่อาการคัดจมูกเริ่มเบาลงกว่าช่วงเช้าจึงทำให้เขามีสมาธิทำงานมากขึ้น มือเล็กเคาะแป้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะรีบหยิบแฟ้มเอกสารแล้วเดินเข้าห้องที่อยู่ติดกันโดยไม่ลืมเคาะประตูก่อน
“คุณคีครับ ทางบริษัทอาร์ตดีไซน์พร้อมที่ห้องประชุมแล้วครับ” เขาหยุดยืนเมื่อเดินไปไม่ถึงห้าก้าว เท้าเล็กแนบชิด ยืดตัวตรงจนเสื้อเชิ๊ตสีขาวไหวไปตามร่างกายที่ขยับ คนที่นั่งอยู่บริเวณโซฟาวางแก้วกาแฟเซรามิก ลงกับถาดรอง ใช้ผ้าซับริมฝีปากแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบสูทที่แขวนไว้ขึ้นสวมโดยมีเขาช่วยอีกแรง
“ยังไม่ถึงเวลานัดไม่ใช่หรอ?”
“เขามาถึงก่อนครับ” ภัทรตอบ ไม่รู้ทำไมถึงได้ยิ้มออกไปแบบนั้นจนอีกฝ่ายเหลือบมองเป็นพักๆ มือเล็กจัดแจงปลายแขนเสื้อให้อยู่ทรง ถอยออกมาตั้งหลักเพื่อสำรวจความเรียบร้อยก่อนจะพยักหน้าให้เมื่อไม่มีอะไรที่ผิดปกติ และก่อนที่จะได้หมุนตัวกลับ คีรติกลับเอื้อมมือเข้าใกล้พร้อมกับบีบจมูกเขาไปมา
“เอ่ออ...” ภัทรอ้ำอึ้ง ไม่คาดคิดว่าจะโดนจู่โจมโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นนี้ มือใหญ่ขยับเล็กน้อยคล้ายหยอกล้อก่อนอีกคนจะโน้มตัวเข้าหาจนใจเขาเต้นแรง กระซิบข้างใบหูแล้วผละออกคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เดี๋ยวนี้คนป่วยชอบโกหกหรอครับ ผมก็เพิ่งรู้”
ความจริงที่เอื้อนเอ่ยออกมาทำให้ภัทรเพียงเดินตามหลังอีกคนไปเงียบๆเท่านั้น ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ไม่รู้ว่าคีรติจะโกรธไหมแต่ที่ทำไปเขาก็มีเหตุผล
แค่ไม่อยากเป็นคนอ่อนแอในสายตาคนอื่น
ก็แค่นั้น
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกพร้อมกับแขกในห้องสามคนที่ลุกขึ้นพร้อมกัน คนแรกเป็นชายสูงวัยในชุดสูทสีดำสนิท สองเป็นผู้ชายชุดสูทเช่นกันแต่หน้าตาอ่อนวัยกว่าเล็กน้อย และสาม...คนที่ทำให้เขายืนตัวแข็งทื่อไม่ต่างจากคนข้างกายที่มีอาการเดียวกัน
ผู้หญิงใส่แว่นคนนั้น กับท่าทางสุภาพเรียบร้อยและรอยยิ้มอ่อนหวาน
ภัทรสูดหายใจลึก เหลือบมองเจ้านายที่กระแอมในลำคอแผ่วเบาแล้วเดินไปนั่งยังหัวโต๊ะ
“เชิญนั่งครับ” ถึงแม้จะมีอาการประหม่าแต่คีรติก็เก็บมันไว้ได้เป็นอย่างดี เจ้าตัวผายมือเป็นการเชื้อเชิญจนทุกคนในห้องนั่งลงอย่างพร้อมเพรียง
“วันนี้คุณดนัยมีเรื่องอะไรครับ?” คนตัวสูงเอ่ยถาม ก่อนที่เราจะเริ่มต้นงานใหม่โดยมีสายตาเขาที่มอง
แฟนเก่าของใครบางคนอยู่เป็นระยะ
และเช่นเดียวกันกับสายตาเรียวรีคู่นั้น
ที่ไม่ได้จับจ้องมายังตัวเองอย่างที่เคยเป็น
การประชุมครั้งนี้ใช้เวลาไม่นานเท่าที่คาดไว้ เราสามารถเจรจากันได้โดยไม่มีอะไรติดขัด เจ้านายเขาเห็นชอบเป็นอย่างดีกับดีไซน์ใหม่ของงานที่อีกฝ่ายนำเสนอ เราเตรียมหารือกันในครั้งหน้าโดยมีคณะกรรมการชุดใหญ่เข้าร่วม เขาและคีรติขอตัวกลับเมื่อมีงานที่ต้องจัดการให้แล้วเสร็จจึงเดินล่วงออกมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีอีกหนึ่งคนที่เดินตามมาพร้อมกับรั้งข้อมือใหญ่เอาไว้
“คุณคีคะ”
วิภาวีเอ่ยทักก่อนจะรีบปล่อยมือเมื่ออีกคนหันกลับมามองด้วยความแปลกใจ ก่อนสีหน้าบนใบหน้าคมคายจะเปลี่ยนไปจากที่เขาเคยเจอ
ทั้งสับสน ยินดี และห่วงหา
“วิขอเวลาสักครู่ได้ไหม” หญิงสาวเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มจาง คีรตินิ่งไปสักพัก มองหน้าเขาสลับกับอีกฝ่ายไปมาก่อนจะออกคำสั่ง
และลูกน้องอย่างเขา มีหรือที่จะเคยขัด
“ภัทรขึ้นไปก่อน เดี๋ยวผมตามไป”
“ครับ” ถึงแม้จะได้ยินแบบนั้น แต่ยังไงใจเขาก็ยังมีความรู้สึกกระวนกระวายอยู่เต็มไปหมด สองมือเล็กจับแฟ้มแน่นกว่าเก่า ค่อยๆเดินถอยหลังจากมาพร้อมกับรอยยิ้มเช่นกัน
เป็นยิ้ม...ที่เขาไม่มีความสุขเวลาที่ได้ยิ้มเลยแม้แต่นิด
ปัก!
เมื่อถึงทางแยกของโถงยาว แผ่นหลังเล็กจึงทิ้งน้ำหนักเข้ากับกำแพงด้านข้าง พยายามลบความรู้สึกที่อยู่ในดวงตาของคนตัวสูงให้หมดไปแต่ทำอย่างไรมันก็ยังติดตรึงใจเขาอยู่อย่างนั้น
เพราะเขากำลังกลัว กลัวว่าอีกคนจะเปลี่ยนไปไม่เป็นดังเก่า
และบางครั้ง เขาก็รู้สึกแย่ที่ต้องตกอยู่ในสถานะของคนที่มาทีหลัง
มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด
ภัทรยกแฟ้มในมือขึ้นกอด พยายามบังคับตัวเองให้หอบหายใจเป็นจังหวะ ก่อนที่จะชะโงกหน้าแอบมองสองคนที่ยืนอยู่แล้วพบว่าเขานั้นคิดผิดถนัด
เพราะสายตาและรอยยิ้มหวานที่คีรติมีให้อีกฝ่ายกลับดูสดใสมากกว่าตอนที่อยู่กับเขาหลายเท่า
ความผิดหวังที่อยู่ในใจเริ่มก่อตัวขึ้นจนบางคนแทบไม่รู้ตัว ภัทรไม่รู้ว่าต้องทำแบบไหนในเมื่อสถานะระหว่างเขาและคีรติมันช่างคลุมเครือจนเดาไม่ถูก อีกฝ่ายไม่มีอะไรที่แน่ชัดมอบให้ และเขาก็ไม่กล้าเอ่ยถามเพราะกลัวว่าความต้องการจะสวนทางกับความเป็นจริง
กลัวว่าจะผิดหวัง เพราะเขาเองก็ไม่ได้ล้อเล่นกับทุกความรู้สึกที่มีให้อีกคนเลยสักนิด
แต่ไม่รู้ว่าคีรติจะคิดแบบนั้นเหมือนกันรึเปล่า
“งั้นเย็นนี้ไปทานข้าวด้วยกันไหมครับ?”
เขาไม่รู้เลยจริงๆ
/
และกลับกลายเป็นว่าภัทรไม่มีสมาธิอีกเลยตลอดช่วงบ่ายของวัน ทั้งงานที่ต้องทำให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนดก็ส่งล่าช้าจนโดนดุกลับมาจากแผนกอื่น ทั้งอาการหวัดที่ยังไม่หายดีและตอนนี้ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวก็กลับมาเล่นงานเขาอย่างหนัก ไม่รวมสายตาอีกคู่ที่มองมาเป็นพักๆจากโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ตรงหน้า
ทุกอย่างไม่ควรเกิดขึ้นในวันเดียวกันเลยจริงๆ
ติ๊ง!
ติ๊ง!
ติ๊ง!
“อ๊ะ!”
ข้อความมากมายเด้งขึ้นบนหน้าจอเมื่อเขาเผลอกดปุ่มอะไรสักอย่างเข้าให้ ตัวอักษรที่เลื่อนไปมาทำเอาภัทรกุมขมับ งานเขายังไม่ทันเสร็จและตอนนี้คอมพิวเตอร์ก็เริ่มจะมีปัญหาเข้าซะแล้ว
คนตัวเล็กยกโทรศัพท์ ต่อสายตรงเข้ากับระบบไอทีอย่างร้อนรนใจและไม่นาน ผู้ชายที่พอคุ้นหน้ากันดีก็เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
“อาการมันเป็นยังไงครับคุณภัทร?” อีกฝ่ายถาม มีรอยยิ้มประดับตลอดเวลาตามประสาคนอารมณ์ดี
“เหมือนภัทรจะไปกดโดนปุ่มอะไรสักอย่าง หน้าจอเลยรวนแบบนั้น”
“อ่อ พอจะจำได้ไหมครับว่าปุ่มไหน?”
“ไม่ได้เลยครับ” เขาส่ายหน้า อีกคนหัวเราะเบาๆก่อนจะตอบรับ
“ฮ่าๆ โอเคครับ รอสักครู่นะเดี๋ยวผมดูให้” รุ่นน้องฝ่ายไอทีก้มๆเงยๆกับหน้าจออยู่พักใหญ่ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเมื่อได้เริ่มแก้ไขจุดที่บกพร่อง ภัทรยืนเคียงข้างเพื่อแสดงความเป็นห่วงเป็นใย และทั้งหมดก็ตกอยู่ในสายตาของคนที่นั่งทำงานบนโต๊ะอยู่ตลอดเวลา
ดวงตากลมโตบังเอิญสบกับสายตาเย็นที่ส่งให้ เขาเบือนหน้ากลับเมื่อนั่นไม่ได้ทำให้รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด เมื่อเช่นนั้น ภัทรจึงเอาแต่สนใจกับผู้ชายด้านข้างมากกว่าเจ้านายที่นั่งอยู่
“น่าจะประมาณนี้นะครับ คุณภัทรลองดูก่อน” ผู้ชายผมจุกใช้มือลูบคางเมื่อคลิกเมาส์เสร็จ ลุกขึ้นให้เขานั่งยังเก้าอี้ตัวเดิมแล้วเท้าแขนวางไว้เมื่อชี้ไปยังหน้าจอเพื่ออธิบาย
“กดตรงนี้...กดตกลง...ต่อไป...ครับ...ใช่ครับ”
“ฮึ่ม!” เสียงดังขัดจังหวะทำให้เราหันไปมองยังทางเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง คีรติถอนหายใจ ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วก้มทำงานต่อโดยยังไม่หลุดมาดน่าเกรงขามเลยสักนิด ภัทรดันแว่นขึ้น เงยมองคนที่คร่อมตัวเองอยู่กลายๆแล้วส่งยิ้มเป็นเชิงขอบคุณ
“ได้แล้วครับ น้องแม็คเก่งจัง”
“ไม่เก่งหรอกครับ” คนที่ยืนอยู่เกาหัวคล้ายเขินอาย ก่อนจะผละออกแล้วถามย้ำให้แน่ใจ “ใช้ได้แน่แล้วนะครับ?”
“ครับ เป็นเหมือนเดิมทุกอย่างเลย”
“งั้นผมขอตัวก่อนนะ มีอะไรก็โทรหาได้เลย” อีกคนยักคิ้วเป็นเชิงหยอกล้อ เขาหัวเราะตามก่อนที่แผนการใหม่จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ในเมื่อคุณไปทานข้าวกับคนอื่นได้ เขาเองก็ไปทานข้าวกับคนอื่นได้เหมือนกัน
“เพื่อเป็นการขอบคุณ ให้ภัทรเลี้ยงข้าวสักมื้อได้ไหมครับ?”
เสียงที่เอื้อนเอ่ยดูจะตั้งใจให้ดังมากกว่าเก่าหนึ่งระดับ เผื่อแผ่ไปยังคนที่นั่งทำงานร่วมห้อง คีรติชะงักมือค้างกลางอากาศแม้จะยังไม่หันมามอง แต่นั่นเขาก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายรับรู้ทุกอย่าง
“ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจแย่” อีกคนรีบปฏิเสธในทันที
“ถือว่า เป็นการชดเชยที่คราวที่แล้วภัทรไม่ได้ไปด้วยแล้วกันครับ” คราวนี้ มือเล็กเอื้อมไปจับแขนไว้เพื่อขอร้อง และนั่น...สมองเขาก็คำนวณมาเป็นอย่างดีว่ามันจะได้ผล
ทั้งกับคนนี้
และกับคนนั้น
“เอ่อ..”
“นะครับ” สายตาและน้ำเสียงออดอ้อนเพิ่มมากขึ้นเท่าตัวกลัวว่าจะไม่เป็นไปตามแผน เมื่อโดนเล่นงานเข้าอย่างจัง มีหรือคนที่แอบหวังบางอย่างจะไม่สมยอม
“ก็ได้ครับ”
ปัง!
เสียงปิดประตูห้องดังสนั่นเมื่อมีคนทนไม่ไหวจนต้องเดินออกไปข้างนอก รุ่นน้องมองตามอย่างหวาดหวั่นแต่ภัทรก็กระตุกมืออีกครั้งให้อีกคนหันกลับ รอยยิ้มหวานถูกนำมาใช้งานจนเขาคิดว่าอาจจะเป็นวันที่เขายิ้มมากสุดแล้วก็ได้ ภัทรใช้นิ้วโป้งไล้แขนอีกคนไปมาเพื่อเบี่ยงความสนใจ เอื้อนเอ่ยถ้อยคำให้สัญญาว่าดินเนอร์ของเขาทั้งคู่ไม่ได้เป็นแค่เรื่องโกหก
“เจอกันตอนเย็นนะครับ”
/
ไม่ใช่เรื่องยากถ้าอยากรู้ว่าร้านอาหารร้านไหนที่คีรติพาสาวๆมาทานข้าวด้วยบ่อยๆ เป็นร้านอาหารบรรยากาศดี ตกแต่งหรูหรา ราคาแพงหูฉี่
และแน่นอน...เขาเองก็เลือกร้านนั้นสำหรับมื้อค่ำในเย็นนี้
ร่างโปร่งเลือกที่นั่งในมุมมืด ไม่ยากเกินไปที่คนอย่างเจ้านายจะสามารถมองเห็นได้จากที่ไกล และไม่ยากเกินไปถ้าเขาจะจัดแจงไม่ให้รุ่นน้องเห็นอีกคนร่วมด้วย มื้อเย็นผ่านไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่ทำให้บรรยากาศร่าเริงอยู่ตลอด เจ้าตัวเล่นมุกบ้าง หยอดเขากลับบ้างเมื่อมีจังหวะ แต่ถึงอย่างนั้น ภัทรก็ไม่ได้ลุ่มหลงอีกฝ่ายมากไปกว่าเก่า
เพราะเขาไม่สามารถรักใครได้อีกนอกจากคนที่แอบมองมาเป็นระยะ
เราบอกลากันที่หน้าคอนโดแห่งใหม่ที่เขาเพิ่งซื้อได้ไม่นาน ถ้าไม่ติดว่าอาการป่วยเริ่มกลับมาเล่นงานในตอนเย็นเขาคงได้ใช้เวลากับอีกคนให้มากกว่านี้อีกสักนิด ภัทรหมุนตัวกลับถอนหายใจยาวเพราะเอาจริงๆแล้วเขาก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกสบายใจแบบนี้มาสักพักใหญ่
เท้าเล็กก้าวไปตามทางที่ไฟส่องสว่าง ผ่านสวนต้นไม้ที่ปลูกไว้อย่างสวยงามก่อนที่จะเข้าไปยังด้านในตัวตึก ในมุมหนึ่งของลานจอดรถกลับมีแรงรั้งข้อมือเขาไว้จนร่างโปร่งสะดุ้งจนสุดตัว
“!!”
ร่างเขาลอยหวือจนเกือบจะชิดแผงอกของคนตัวสูง ภัทรกำแขนแกร่งไว้แน่นเพื่อทรงตัว กลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเห็นว่าใบหน้าหล่อเหลามีแต่อารมณ์ที่พร้อมจะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ
“ไปไหนมา” เสียงเข้มเอื้อนเอ่ยพร้อมกับแรงจากมือที่เพิ่มขึ้น เขาพยายามจะบิดแขนออกจากการเกาะกุมเพราะเริ่มรู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหว
“ปล่อยภัทรก่อนครับ”
“ผมถามว่าคุณไปไหนมา!” คีรติออกแรงกระชากอีกครั้ง ครั้งนี้ภัทรใช้มือดันร่างกายอีกคนเอาไว้ไม่ให้เข้าใกล้
“ภัทรเจ็บ”
“ทำไมไม่ตอบ?” อีกฝ่ายจ้องหน้าเขา ดวงตาเรียวรีมองเขม็งอย่างคนไม่พอใจ
“คุณเห็นว่าภัทรไปที่ไหนมาก็ที่นั่นแหละครับ” เมื่อพันธนาการที่แขนมันเกินจะห้ามไหว เขาจึงหยุดดิ้นแล้วเงยหน้าขึ้นเพื่อตอกกลับบ้าง
“เหอะ! ทานข้าวกับผู้ชายคนใหม่ของคุณน่ะหรอ?”
“เขาไม่ใช่ผู้ชายคนใหม่ของภัทร!”
“ไม่ใช่คนใหม่แล้วมันเป็นใคร!?”
“แฟนเก่ามั้งครับ!” ร่างโปร่งกัดฟันตอบ หอบหายใจหนักไม่ต่าง ในเมื่ออีกคนอยากเล่นสงครามประสาทมากนักเขาก็ยินดี
“...” คีรติยืนนิ่ง คงจะตกใจไม่น้อยที่เขาพูดไปแบบนั้น ร่างกายที่อ่อนล้าเริ่มหมดแรงจะขัดขืน อุณหภูมิที่ร้อนจัดทำเอาคนตัวสูงแปลกใจแต่ก็ไม่เท่าความสงสัยที่ยังคงอยู่
“แล้วภัทรถามคุณบ้างได้ไหมล่ะ?”
“...” อีกฝ่ายเงียบ
“ว่าคุณคีไปทานข้าวกับใครมา?” มือใหญ่ปล่อยข้อมือเขาให้เป็นอิสระ ถอนหายใจออกมาก่อนจะพิงไปที่ตัวรถที่อยู่ด้านหลัง “ย้ำให้ภัทรมั่นใจแบบที่คุณชอบพูดสิ บอกภัทรว่าภัทรไม่ได้คิดไปเอง”
เมื่อความเงียบเป็นคำตอบ เขาจึงไม่คาดคั้นอะไรต่อนอกจากหอบหัวใจที่มันไร้ความรู้สึกแล้วหันหลังกลับช้าๆ ดวงตากลมโตหลับลงพร้อมกับพร่ำบอกตัวเองซ้ำๆว่าไม่เป็นไร
แต่แล้วอีกฝ่ายก็รั้งเอาไว้จากแรงแผ่วเบาที่ข้อมือพร้อมกับดึงเขาเข้าสบตาอีกครั้ง
เอาล่ะ...เขาคิดว่างานน้ำตามันต้องมาเสียหน่อย
ความรู้สึกเสียใจปนกับอารมณ์หลากหลายที่วนเวียนกันกลั่นกรองออกมาเป็นหยาดน้ำใสที่รื้นขึ้น ดวงตาคู่สวยจ้องมองผ่านเลนส์แว่นอย่างไม่คิดจะหลบ เป็นครั้งแรกที่เขาเงียบพร้อมกับกำมือไว้แน่น และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เขาเห็นสีหน้าตกใจของคนอายุมากกว่า
คีรติยืนนิ่ง คำพูดที่จะบอกกล่าวถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อมีน้ำตาหนึ่งเม็ดร่วงหล่น คนข้างกายเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อปกปิดมันเอาไว้จนมือใหญ่ต้องจับไหล่ให้หันมาอย่างแผ่วเบา เขาดึงภัทรเข้าในอ้อมกอด ความรู้สึกผิดวนเวียนอยู่ซ้ำๆจนคำว่าขอโทษยังไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ย
เสียงสะอื้นมาพร้อมกับมือที่กำเสื้อเอาไว้แน่น เขาลูบศีรษะอีกฝ่ายไปมาคล้ายกลังปลอบประโลม
“ขอโทษนะครับ...”
เสียงเจ้าตัวแหบแห้ง ไม่ต่างจากเสียงของคนในอ้อมกอดมากเท่าไหร่
“ขอโทษที่ทำให้คุณต้องร้องไห้”
“…”
”…”
“สัญญาได้ไหม…” ภัทรใช้สถานการณ์ตรงหน้าเดิมพัน “...ว่าจะไม่ไปกับเขาอีก”
“…”
“…”
“ครับ”
และใช้สถานการณ์ตรงหน้าปกปิดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เขาเก็บมันไว้ไม่มิด
“ผมสัญญา”อย่างน้อย...น้ำตาที่เสียไปก็สามารถตัดคู่แข่งคนสำคัญไปได้อีกหนึ่ง
#คุณไม่ตรงปก
171218
before30october