บทที่ 19
จระเข้ขายออกแล้วจ้า
Jorrakay’ s talk
ช่วยบอกผมทีครับว่าเมื่อสักคครู่นี้ผมไม่ได้ฝันไป...
ผมรู้สึกตัวมาได้สักพักหลังจากที่อยู่ๆ ผมก็วูบไปโดยที่ไม่มีสาเหตุ ซึ่งผมเองก็ยังไม่กล้าลืมตาตื่นขึ้นมาและนอนคิดวนๆ อยู่ซ้ำๆ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นผมฝันไปหรือมโนขึ้นมาเอาเอง สิ่งที่ผมทำได้อยู่ในตอนนี้คือนอนหลับตาและรอจนแน่ใจว่าภายในห้องไม่มีใคร
ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาทีละข้างเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าไม่มีใครจริงๆ หลังจากที่นอนฟังความเคลื่อนไหวมาได้สักพักหลังจากที่ฟื้น เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจระเข้จึงลืมตาอีกข้างหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับยันตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงด้วยสภาพหวาดระแวง
“สรุป ถ้ากูฝันไปนี่ตลกเลยนะ คนยิ่งชอบฝันอยู่” จระเข้พึมพำอยู่คนเดียวโดยหารู้ไม่ว่ามีสายตาของคนที่เฝ้ารอนั้นจับจ้องมาที่เขาอยู่ไม่ห่างด้วยใบหน้ายิ้มๆ จระเข้นั้นไม่ทันได้สังเกตว่าอีกฟากหนึ่งของห้องมีพฤหัสที่นั่งอ่านหนังสืออยู่และนั่งอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ที่จระเข้เป็นลมหนีเขาไป
“เชี้ยยยยย ทำตัวไม่ถูกอะ” จระเข้ก้มหน้าลงพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างทึ่งผมของตัวเองแรงๆ เพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้นที่อยู่ภายในใจซึ่งตอนนี้เหมือนใกล้จะระเบิดออกมา “อ้ากกกก! รับมือกับความเขินไม่ไหวแล้วจริงๆ”
“ไม่เห็นต้องรับมืออะไรเลย”
“.......!!!” จระเข้หันมาตามเสียงอย่างรวดเร็วพร้อมกับใบหน้าที่บ่งบอกว่าตอนนี้ได้ช็อกไปเป็นที่เรียบร้อย เมื่อเห็นว่าพฤหัสนั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง “พะ...พี่ พี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ..ครับเนี่ย?” จากจระเข้ที่ช่างเจรจาต่อปากต่อคำ บัดนี้ได้กลายเป็นจระเข้ติดอ่างไปเป็นที่เรียบร้อย อยู่ๆ มือของเขาเย็นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ และอยากที่จะเป็นลมอีกครั้ง แต่ติดตรงที่ว่าครั้งนี้พฤหัสลุกขึ้นจากเก้าอี้และพุ่งเข้ามาประคองจระเข้ที่กำลังจะหงายหลังลงนอนบนเตียงอีกครั้ง
“ถ้าหนีเป็นลมแบบนี้เมื่อไหร่จะได้เป็นแฟนกันเนี่ย”
“ผมถามจริง? นี่ไม่ได้ฝันใช่ไหม?”
“หรือต้องพิสูจน์?”
“ก็....” ยังไม่ทันที่จระเข้จะตอบ พฤหัสไม่รอช้าก้มลงประกบริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากของจระเข้เบาๆ จากตอนแรกที่ปล่อยให้พฤหัสเป็นฝ่ายจูบ จระเข้ค่อยๆ จูบตอบพฤหัสกลับบ้างและปล่อยให้อารมณ์และความรู้สึกเป็นตัวนำของจุมพิตนี้
“ไม่ได้ฝันเนอะ?” พฤหัสผละออกมาจากริมฝีปากของจระเข้พร้อมกับก้มลงจูบที่หน้าผากเบาๆ
“ยิ่งกว่าฝันอีกครับ ฝันที่ไม่กล้าฝันจริงๆ”
“แล้วตกลง จะเป็นแฟนกับพี่ไหม?”
“เดี๋ยว แทนตัวเองว่าพี่เลยเหรอ? ไอ้เชี้ย!! เขินอีกแล้ว” จระเข้บิดตัวออกจากร่างของพฤหัสและคว่ำหน้าลงบนหมอนพร้อมกับกรีดร้องด้วยความเขิน เพราะการที่พฤหัสแทนตัวเองว่าพี่นั้นมันทำให้จระเข้คิดย้อนไปถึงช่วงเวลาตลอดห้าปีที่คุยกันมา แม้ว่าเริ่มแรกจะเป็นเพียงแค่การสอนการบ้านธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจของจระเข้ถึงเผลอหลงรักคนที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน ถ้าถามว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้จระเข้รักพฤหัสมากขนาดนี้ ก็คงจะเป็นเพราะ....
‘ผมว่าผมจะไม่เรียนต่อแล้วอะพี่ ผมสงสารพ่อ อีกอย่างผมก็ไม่คุ้นชินกับฝั่งแม่เลย เมื่อวันก่อนผมพึ่งไปสมัครงานที่โรงสีมา เขารับพนักงานส่งของวุฒิมอสามเงินเดือนเก้าพันกว่า ผมว่าน่าจะพอช่วงพ่อได้’ จระเข้จำได้ดีว่าตอนนั้นเป็นช่วงที่จระเข้ตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่อเพราะไม่อยากเห็นพ่อต้องทำงานหนัก และอีกอย่างช่วงนั้นเป็นช่วงที่พ่อร่างกายอ่อนแอลงจากการที่ทำงานหนักเกินกำลัง จระเข้ไม่อยากเห็นสภาพพ่อเป็นแบบนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่อและเลือกที่จะปรึกษาพฤหัสพี่ชายที่สอนการบ้านเขาเกือบๆ สองปี
(แล้วถามพ่อเขาหรือยังว่าอยากให้เราลาออกมาทำงานไหม?)
‘ถ้าถามพ่อก็ด่าผมอีกว่าเก่งแต่คิดเรื่องแบบนี้ อีกอย่างผมก็ไม่อยากเป็นภาระพ่อแล้ว’
(เลิกได้ไหม นิสัยที่ชอบคิดไปเอง)
‘แต่วุฒิภาวะของผมโตพอที่จะคิดไปเองได้แล้วนะพี่’
(ถ้าเลือกลาออกตอนนี้เพื่อหวังให้พ่อสบายกับการที่ไม่ต้องส่งเสียให้เรียน กับตั้งใจเรียนให้เต็มที่อีกไม่กี่ปีก็จบ และทำให้พ่อสบายไปตลอดพร้อมกับความมั่นคง เลือกเอาว่าจะไปทางไหน และที่สำคัญอย่าตัดสินใจหรือคิดไปเอง)
‘แต่ผมก็ปรึกษาพี่อยู่นี่ไงครับ ไม่ได้ว่าตัดสินใจคนเดียวร้อยเปอร์เซ็นต์’
(ถ้าพี่บอกว่าให้เราเรียนต่อ เราจะเรียนไหม?)
‘ถ้าพี่คิดว่ามันเป็นทางที่ดีที่สุดที่ผมควรจะทำ ผมก็เรียนครับ’
(เก่งมาก เด็กดี)
นี่อาจเป็นเพียงแค่ตัวอย่างเหตุการณ์ที่พฤหัสเริ่มมีอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจในชีวิตของจระเข้มากขึ้นเรื่อยๆ และสิ่งที่พฤหัสแนะนำนั้นมีแต่ความหวังดีที่อยากจะมอบให้ โดยเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าความหวังดีของเขานั้นมันจะค่อยๆ สะสมกลายเป็นความรู้สึกดีที่เริ่มก่อตัวขึ้นในหัวใจของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง
‘พี่ ฮึก วันนี้ผมทะเลาะกับพ่อด้วย ทั้งๆ ที่ ฮึก ผมชนะการแข่งขันประติมากรรมของภาค แต่พ่อกลับมองว่าที่ผมทำมันไร้สาระ แล้วยังบอกอีกว่าถ้าผมทำแบบนี้ให้ลาออกมาสะดีกว่าเปลืองเงินที่เขาส่งเสียให้ผมเรียนอะครับพี่ ผมไม่อยากอยู่กับพ่อแล้ว’
(อึดอัดอะไร พูดออกมาให้หมด ฟังอยู่นะ) แม้ว่าช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่เขาอยู่ปีสามและต้องเรียนหนักมากขึ้นกว่าเดิม แต่สิ่งที่เขายังคงทำอยู่ทุกวันคือรับโทรศัพท์จากน้องชายคนละสายเลือด ด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่ฟังสิ่งที่จระเข้ระบาย พฤหัสก็ตัดสินใจล้ำเส้น ขอเบอร์โทรของพ่อจระเข้จากน้าสะใภ้ของเขา และโทรเข้าไปอธิบายให้พ่อของจระเข้เข้าใจ และนั่นก็เป็นอีกสิ่งที่จระเข้ไม่เคยรู้ว่าทำไมอยู่ๆ ปฏิกิริยาของพ่อก็เปลี่ยนไปและหันมาสนับสนุนสิ่งที่เขาชอบโดยที่ก่อนหน้าพึ่งจะทะเลาะกันเพราะสิ่งที่พ่อเคยบอกว่าไร้สาระ
ตลอดห้าปีที่ผ่านมานั้นพฤหัสมักจะส่งของขวัญวันเกิดไปให้จระเข้เสมอรวมถึงหนังสือเรียนของเขาที่เคยทำสรุปเอาไว้ช่วงที่สอบเข้ามหาลัยและนั่นก็เป็นอีกสิ่งที่จระเข้รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่หวังดีกับเขาจริงๆ จากความรู้สึกที่คิดว่าเขาคือพี่ชายมันก็ค่อยๆ กลายเป็นอย่างอื่น จระเข้เฝ้าบอกกับตัวเองว่าถ้าในชีวิตมีโอกาสได้เจอกับพฤหัสตัวจริง เขาจะไม่ยอมปล่อยพฤหัสไปให้หลุดมือไปได้เด็ดขาด และแล้ววันนี้ของเขาก็มาถึง วันที่เราสองคนได้เป็นแฟนกันจริงๆ
“ตกลงจะคบไหมเนี่ย? ทำไมเล่นตัวเก่งจังวันนี้” พฤหัสแซวยิ้มๆ เมื่อเห็นท่าทางน่าเอ็นดูของจระเข้ที่แสดงอยู่ตรงหน้าเขา
“เป็นดิพี่ เอาจริงๆ แต่งงานเลยก็ได้ ผมว่าผมเรียนรู้พี่มามากพอแล้ว”
“หายเขินแล้วเหรอ?”
“ก็ยังเขินอยู่ แต่กลัวพี่เปลี่ยนใจมากกว่า”
“.......” พฤหัสไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไร เพราะสายตาของเขาในตอนนี้มันมีแต่คำว่าเอ็นดู เอ็นดูทุกการกระทำ ไม่รู้ว่าสิ่งที่จระเข้แสดงออกมานั้นจะมีเอฟเฟคกับเขามากมายขนาดนี้
พฤหัสอยากจะตีตัวเองแรงๆ ที่ปล่อยให้ความสับสนเข้าครอบงำและไม่ยอมทำความรู้สึกของตัวเองเสียที ไม่รู้ว่าถ้าเขายังปล่อยให้มันไม่ชัดเจนแบบนี้ต่อไป บางทีหัวใจของจระเข้อาจจะเปลี่ยนจากที่เคยบอกรักเขานั้นมันจะกลายเป็นพี่ชายอย่างที่ปากของเขาเคยพร่ำบอก
“ขนาดนี้ไม่เปลี่ยนใจแล้ว”
“พี่หัสครับ”
“ครับ?”
“เดี๋ยวผมมานะพี่ ผมว่าผมมีเรื่องที่ต้องรีบไปทำด่วน แล้วจะรีบกลับมาสวีทนะ” จระเข้พึ่งนึกบางสิ่งบางอย่างออก ทำให้เขาผุดลุกขึ้นนั่งและตรงไปอาบน้ำทันที เพราะสิ่งต่อไปนี้ต้องใช้วิจารณญาณในการรับอ่าน!
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ไปกินเกลือบ้านตาแป๊ะเลยครับ เพราะตอนนี้ผมมีแฟนแล้ว!! จุดพลุเตรียมฉลองเลย หากถามว่าผมดีใจไหมที่ได้คนที่รักมาเนิ่นนานมาเป็นแฟน ต้องบอกเลยครับว่ามาก มากถึงมากที่สุด แต่ตอนนี้ผมจะมัวมาดีใจไม่ได้ เพราะสิ่งที่ต้องทำหลังจากที่ได้พี่หัสมาเป็นแฟนแล้วคือการแก้บน ใช่ครับ จำวัดที่ผมเคยไปทำบุญกับพี่หัสเมื่อคราวนั้นได้ไหม ผมอธิษฐานในใจว่าถ้าพี่หัสตกปากรับคำว่าเป็นแฟนผมแล้ว ผมจะนำผลไม้เก้าอย่างพร้อมกับไข่ต้มหนึ่งร้อยฟองมาถวายทันที แต่ไม่ใช่ที่วัดหรอกนะครับ เพราะสถานที่ ที่ผมบนนั้นต้องเฟี้ยวฟ้าวแน่นอน
“มึงก็สายมูฯ เหมือนกันนะ” ผมลากพี่ยิมออกมาด้วยเพราะเรื่องนี้พี่หัสจะรู้ไม่ได้ครับ เพราะถ้ารู้ขึ้นมาก็อาจจะหาว่าความรู้สึกของเขาที่เปลี่ยนไปนั้นจะมาจากสายมูฯ ซึ่งเอาเข้าจริงผมก็แอบคิดนะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันคือความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งที่ผมอธิษฐานหรือเป็นเพราะความรู้สึกของพี่หัสจริงๆ
“มันคือความสบายใจพี่ เรียกว่ามีที่พึ่งมากกว่า” พี่ยิมที่ถือไข่ต้มหนึ่งร้อยฟองเดินตามมายังสถานที่หนึ่งที่ผมใช้ในการบนบานเอาไว้
“กูถามจริง? ไอ้เข้ กูถามจริง?!” พี่ยิมร้องอุทานทันทีที่ผมพามายังสถานที่ที่ผมอธิษฐาน นั่นก็คือป้ายรถเมล์หน้าวัดนั่นเอง
“ก็ตอนนั้นรอรถเมล์ผมก็อธิษฐานของผมไปเรื่อยอะพี่ พอมาได้จริงๆ ก็ต้องมาแก้บนสักหน่อย อีกอย่างผมก็กลัวว่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ป้ายรถเมล์จริงๆ ด้วยความสบายใจเลยมาแก้ทันทีดีกว่า”
“กูอายมาก มีแต่คนมอง มึงรีบเลย” พี่ยิมวางถาดไข่ต้มลงบนพื้นด้านหลังป้ายรถเมล์ ส่วนตอนนี้ผมก็เตรียมการที่จะจุดธูปและกล่าวคำถวาย เอาจริงๆ ผมก็กลัวว่าจะมีเทศกิจมาจับผมกับพี่ยิมนะ เพราะตรงนี้มันเป็นที่สาธารณะ แล้วอีกอย่างก็คือคนเยอะมากครับ
“อย่าเร่งพี่ ต้องรอธูปหมดครึ่งดอกก่อนถึงจะลาได้” ผมหันไปบอกพี่ยิมหลังจากที่ปักธูปลงที่พื้น โชคดีที่หลังป้ายรถเมล์นั้นเป็นดินทำให้ง่ายต่อการปักธูป
“กูละเชื่อมึงจริงๆ เลยไอ้เข้”
“เอาหน้า ผมแบ่งไข่ให้พี่ห้าสิบลูกเลย”
“ไม่ต้องการครับ ถ้าไม่ติดว่าแฮงค์อยู่นะ กูไม่ยอมมากับมึงหรอก”
“ไหนๆ ก็ว่างแล้ว มาเป็นเพื่อนน้องนุ้งหน่อยนะครับ”
“กูอายอะมึง” พี่ยิมหันซ้ายหันขวาด้วยความหวาดระแวง สงสัยจะกลัวคนอื่นหาว่าบ้ามั้งครับ แต่พี่ยิมเขาไม่น่าอายเท่าไหร่ เพราะคนที่สมควรอายคือผมมากกว่าครับ
“แค่พี่หลับตาก็ไม่มีใครเห็นพี่แล้ว”
“เออ จริงด้วย ถุ้ย!” นอกจากไอ้เธียร์แล้วก็มีพี่ยิมนี่แหละครับที่เล่นกับผมได้ทุกมุข ไม่ว่าจะมุขเคลิ้ม มุขคำผวน หรือมุกเจ็บตัว พี่ยิมก็ไม่เกี่ยง สงสัยผมต้องมอบไข่ต้มเพิ่มให้พี่มันไปสะแล้ว เพื่อตอบแทนน้ำใจในการเล่นมุขและไม่ปล่อยให้ผมแป๊ก
“พี่ยิม...”
“อะไรของมึงอีก!”
“อย่าอารมณ์เสียสิ เมื่อก่อนไม่เห็นพูดกับผมด้วยน้ำเสียงแบบนี้เลยพี่ยิม เรียกแต่น้องเข้ครับ แต่พอมาตอนนี้นะ โอโห้! ไม่ไพเราะเลย”
“สนิทกันแล้วไง”
“ถ้าอย่างนั้น ผมขออะไรอีกอย่างดิพี่”
“อะไร?”
“ผมบนว่าจะเต้นเมาคลีล่าสัตว์....”
“มึงก็เต้นไป จะมาบอกกูทำไม”
“กับพี่ด้วย”
“โกหก”
“จริงๆ พี่ ถ้าพี่ไม่เต้นกับผมมีอันเป็นไปนะ”
“เป็นไปอะไรของมึง?”
“เป็นไปด้วยรัก ถุ้ย!” ท้ายที่สุดแล้วเราสองคนก็ต้องมาเต้นเมาคลีล่าสัตว์อยู่ที่ป้ายรถเมล์ บอกตามตรงว่าอายมากครับ แต่ไม่อยากติดค้างทำให้ผมกับพี่ยิมต้องจำใจเต้น
“หนุ่มๆ พวกเอ็งมาขออะไรกัน?”
“ขอเรื่องความรักครับ” แม่ค้าแถวๆ นั้นถามผมด้วยความสงสัยหลังจากที่ผมเอาไข่ต้มและผลไม้ไปแจกจ่ายคนแถวนั้น
“ศักดิ์สิทธิ์มากเลยเหรอ?”
“มากครับ ผมพึ่งได้แฟนมาเนี่ย” และหลังจากวันนั้นผมก็พึ่งได้รับข่าวมาว่าบริเวณหลังป้ายรถมเมล์กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เรียบร้อย
“พี่หัสครับ อุ้มๆ หน่อยน้า”
“เข้ครับ เราเป็นแฟนพี่นะ ไม่ได้เป็นลูก”
“นี่อ้อนนะครับ”
“ไม่ได้อยากด่านะครับ”
“ก็...”
“อุ้มก็อุ้ม ปวดหัวจริงๆ” และแล้วพี่หัสก็อุ้มผมจนได้ แต่ไม่ได้น่ารักหรือโรแมนติดนะครับเพราะท่าที่พี่มันอุ้มผมนั้นไม่ต่างจากที่อุ้มหมาอุ้มแมวเลย แต่เอาเถอะครับ อย่างน้อยพี่หัสก็ไม่ด่าผมเหมือนอย่างก่อนหน้า ผมก็ดีใจจนเนื้อเต้นแล้ว
“เข้”
“ครับ?”
“พี่บอกพ่อเราแล้วนะ”
“เดี๋ยว....” ผมหันไปมองหน้าพี่หัสทันทีหลังจากที่ได้ยินว่าเขาบอกพ่อของผมเป็นที่เรียบร้อย ไม่ใช่ว่าตกใจและไม่อยากให้พี่หัสบอกนะครับ แต่ผมกลัวว่าพ่อจะไปพูดอะไรให้พี่หัสเปลี่ยนใจไม่คบกับผมมากกว่า “พ่อผมได้พูดอะไรแปลกๆ ไหม?”
“มีเรื่องไหนที่ไม่แปลกบ้าง”
“พี่ นั่นพ่อผมนะครับ”
“ฮ่าๆ ก็พูดนั่นแหละว่าคิดดีแล้วเหรอ เพราะเราเหี้ยมากนะ พี่จะเอาไหวหรือเปล่า?”
“อันนี้พี่พูดเองละครับ”
“เอ้า พ่อเราพูดจริงๆ”
“พ่อจะด่าผมแบบนั้นเลยเหรอ?”
“ได้ข่าวว่าเคยด่าแรงกว่านี้” ก็น่าคิดครับ เพราะพ่อน่าจะต้องเตือนพี่หัสแน่ๆ ว่าอย่ามาคบกับคนอย่างผม ถ้าให้เดาน่าจะทำนองที่ว่าคิดดีแล้วเหรอ แน่ใจเหรอ เปลี่ยนใจได้นะ หรือเลวร้ายที่สุดเลยก็ต้องกล่าวหาผมว่าผมไปเล่นของใส่พี่หัสแน่ๆ มีไม่กี่อย่างหรอกครับที่พ่อจะพูด
“พี่อย่าไปถือสาพ่อผมเลย”
“บอกไปแล้วว่าพี่มั่นใจที่จะคบกับเรา”
“......”
“เป็นอะไร? เขินเหรอ?”
“พี่จะทำให้ผมเขินไปถึงไหนเนี่ย?? โว๊ะ! ไม่ชินนะบอกเลย” ยิ่งคบกันพี่หัสก็ยิ่งทำให้ผมหลง ผมอยากจะบอกพ่อว่าคนที่ทำเสน่ห์น่าจะไม่ใช่ผม แต่น่าจะเป็นพี่หัสมากกว่า