CHAPTER 7
Beauty and the beast
___________________
น่านฟ้าแอบย่องเข้ามาในห้องครัว พอเห็นว่าหม่าม้ากำลังหันหลังทำกับข้าวอยู่เจ้าตัวก็แอบส่งสัญญาณกับป้านิดก่อนจะพุ่งเข้าไปกอดเอวคุณอิงดาวจนตัวเซ
“ม้า~”
“กลับมาแล้วเหรอคะ ทานข้าวไหม ม้าพึ่งทำเสร็จ”
“หนูไปทานกับผิงมาแล้วค่ะ” สองแม่ลูกกอดกันกลมพร้อมกับหอมแก้มกันไปมา
หม่าม้าหยิบทิชชู่ในกล่องออกมาซับเหงื่อข้างขมับให้ ก่อนจะดันตัวลูกคนเล็กไปนั่งที่โต๊ะอาหารแล้วยกจานผลไม้แช่เย็นออกมาให้ทาน
เมื่อช่วงเช้าน้องน่านบอกว่าจะเข้าร้านไปเคลียร์งานนิดหน่อย เจ้าตัวเลยขอยืมรถขับออกไปที่ร้านเองเพราะวันนี้ป๋าและคนอื่นๆออกไปงานแถลงข่าวตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว เจ้าตัวแสบเลยได้โอกาสออกไปตะลอนๆตามใจตัวเองหนึ่งวันเมื่อไม่มีคนคอยคุม
คุณปรีชาเนี่ยจะอะไรนักหนาไม่รู้ ลูกก็ไม่ใช่เด็กๆแล้วยังจะคุมเข้มอยู่ได้
แต่ก็อย่างว่าเขารักเขาหวงของเขามากนั่นล่ะ เดี๋ยวโดนน้องน่านอ้อนเข้าหน่อยก็ใจอ่อนเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลนแล้ว
“แล้ววันนี้น้องผิงจะมาไหมลูก” หม่าม้ารินน้ำส้มคั้นสดผสมน้ำมะนาวนิดหน่อยตามที่เจ้าตัวชอบไปให้ก่อนจะนั่งลงข้างๆกัน
เพราะเย็นนี้ที่บ้านจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดป๋า ป้านิดกับหม่าม้าเลยต้องวิ่งวุ่นออกไปตลาดแต่เช้าเพื่อซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารกินเลี้ยงโดยมีพวกเด็กๆในค่ายมาช่วยอีกแรง อันที่จริงจะซื้ออาหารข้างนอกมากินก็ได้แต่เด็กๆส่วนใหญ่นั้นบอกอยากกินฝีมือแม่ดาวกับแม่นิดมากกว่าเลยต้องยอมตามใจ
“มาค่ะ ผิงจะมาพร้อมเฮียเมฆ” มะละกอสุกชิ้นสุดท้ายถูกส่งเข้าปากเคี้ยวจนแก้มตุ่ย “เมื่อกี้หนูก็พาผิงไปเดินเลือกของขวัญให้ป๋ามาด้วย”
“นี่แอบไปซื้อก่อนม้าเหรอ ไหนบอกจะรอไปพร้อมกันไง น้องน่านเนี่ย”
คุณอิงดาวดึงแก้มนุ่มจนยืด
ช่วงนี้น้องน่านเริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นเยอะไม่ซูบโทรมเหมือนก่อนแล้ว คงเพราะเจ้าตัวยอมกินข้าวตามที่บอกซ้ำป้านิดยังขยันเอาใจทำแต่ของโปรดให้ทานน้องน่านเลยเจริญอาหารขึ้นมาก คิดว่าอีกไม่นานคงต้องวางแผนควบคุมน้ำหนักให้แน่นอน
“ม้า~หนูเจ็บ~” ตัวแสบยื้อหน้าหนีก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย “ของหนูซื้อแล้วแต่ก็พาหม่าม้าไปอีกรอบไง~”
“ไม่ต้องเลย ม้าจะไปกับเฮียหมอกแค่สองคน” คุณอิงดาวพูดตัดบทพร้อมกับยกจานและแก้วเปล่าไปเก็บที่ซิงค์ล้างจาน ท่าทางงอนตุ๊บป่องทำให้ลูกคนเล็กต้องเข้าไปโอ๋อย่างว่องไว
หม่าม้าไม่ได้งอนจริง...แอบเห็นหรอกว่ายิ้ม
“ให้หนูไปด้วยน้า~เดี๋ยวไม่มีคนถือของช่วยนะม้า” คุณอิงดาวถูกจู่โจมหอมแก้มจนต้องเอี้ยวหน้าหลบเป็นพัลวัน
“จะขอเกาะไปซื้อเครื่องสำอางก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องมาเนียน” เลี้ยงมาตั้งแต่ตัวกระจ้อยทำไมจะดูไม่ออก
“โธ่ หนูไปซื้อกับผิงมาแล้วว”
“เดี๋ยวหนูก็ซื้ออีกเชื่อม้าสิ” ครั้งเดียวจบรอบเดียวจอดมีที่ไหน
“ทำอะไรกันแม่ลูก” เสียงร้องทักมาจากหน้าประตูห้องครัวดึงความสนใจของทั้งสองให้หันไปมอง คุณป๋าที่วันนี้แต่งตัวดูกระชากวัยมากกว่าทุกวันเดินเข้ามาหอมแก้มหม่าม้าแล้วรับน้ำเย็นเจี๊ยบจากป้านิดมาดื่ม
อันที่จริงป๋าปรีชาอายุก็ปาเข้าไปเลขห้าปลายๆแล้วแต่ถ้าเทียบกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันแล้วละก็ถือว่ายังหนุ่มยังแน่นและเตะปี๊ปกระเด็นไปได้หลายร้อยเมตรแบบสบายๆ
“แปลก...วันนี้ใส่ขายาว” พอหอมแก้มลูกคนเล็กเสร็จก็ต้องนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่วันนี้น้องน่านสวมกางเกงยีนขายาวสีดำกับเสื้อสเวตเตอร์สีเหลืองคัสตาร์ด...แบบที่นานๆที่จะใส่ให้ได้เห็น
ป๋าละอยากจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก
“เป็นของขวัญวันเกิดป๋า งดใส่สั้นวันนึง” เจ้าตัวยืดขึ้นไปจุ๊บแก้มเต็มรักแถมบ่นส่งท้ายมานิดหน่อยว่าให้ป๋าโกนหนวดได้แล้วมันบาดปาก
..ก็หม่าม้าเขาบอกชอบแบบนี้นี่หว่า
“ป๋าอยากจะมีวันเกิดทุกวันเลย” เพราะที่ผ่านมาความดันขึ้นจนเหนื่อยแล้ว
“เจ้าหมอกกับไทล่ะพ่อ” หม่าม้าถามหาลูกชายอีกสองคนทันทีเมื่อไม่เห็นแม้แต่เงา นี่ก็เที่ยงกว่าแล้วกลัวว่าจะหิวกัน
“ไอ้หมอกมันนอนอยู่โซฟานู่น ส่วนเจ้าไทคงคุยกับเด็กอยู่ที่ยิม” ป๋าปรีชาบุ้ยหน้าออกไปด้านนอก “พ่อหิวจังเลย ม้าทำอะไรกินบ้างครับ” ไม่ว่าเปล่ายังโอบเอวคุณภรรยาสุดรักเข้ามากอดแน่นจนโดนตีแขนไปป้าบใหญ่เพราะอายสายตาลูกกับป้านิดที่กำลังยิ้มล้อเลียน
“เยอะแยะ” คุณอิงดาวเอี้ยวหน้าหลบเมื่อกำลังจะถูกจู่โจมเป็นครั้งที่สอง “น้องน่านเอาน้ำไปให้เฮียเขาหน่อยลูก เอ๊ะ! พ่อนี่ ทำไมซนจัง”
น่านฟ้าหลุดขำกับภาพตรงหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ แม้ว่าป๋ากับหม่าม้าจะสวีทกันจนเป็นภาพที่ชินตามาตั้งแต่เด็กๆแล้วก็เถอะ
แต่ที่ทำให้ลูกๆต้องนึกอิจฉาในใจก็คือสายตาที่ป๋าใช้มองหม่าม้านี่แหละ ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปนานแค่ไหนก็ตาม สายตาคู่นั้นก็ยังคงมั่นคงอยู่เสมอไม่มีนอกลู่นอกทาง แค่เห็นก็รู้แล้วว่าคุณปรีชาเขารักของเขามากแค่ไหน
น้ำเปล่าเย็นเจี๊ยบสองขวดถูกถือออกมาเผื่อใครบางคนด้วย แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อเห็นว่าที่โซฟารับแขกตรงกลางบ้านเฮียหมอกไม่ได้นอนอยู่คนเดียวอย่างที่ป๋าว่า
“แต่งตัวเรียบร้อย...ก็ว่าทำไมวันนี้ฟ้ามันครึ้มๆ โอ๊ย! ไอ้หมวย!” เอ่ยปากแซวน้องยังไม่จบก็ถูกมันโยนขวดน้ำใส่ท้องในขณะที่กำลังนอนดูรายการทีวีอยู่เพลินๆ
“พูดมาก” น่านฟ้าไม่ได้สนใจพี่ชายตัวเองที่กำลังมองมาตาเขียว กลับเดินไปอีกฝั่งแล้วยื่นขวดน้ำให้ใครบางคนแทน
“อะ...รอบนี้เอามาเผื่อ” บอกไว้แค่นั้นก็เดินกลับไปนั่งเบียดกับพี่ชายที่โซฟาตัวเดียวกัน เฮียหมอกบ่นไม่หยุดปากว่าน้องสองมาตรฐานแต่สุดท้ายก็ค่อยๆกระเถิบตัวมานอนหนุนตักอย่างแนบเนียน
ตักไอ้หมวยนุ่มนิ่มนอนแล้วหลับโคตรสบาย
น่านฟ้าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมานั่งเล่นไปเรื่อยเปื่อย ทำทีเป็นไม่สนใจใครอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พออาศัยจังหวะที่คิดว่าอีกฝ่ายกำลังเผลอแอบลอบมองก็ต้องสะดุ้งเพราะทางนั้นดันเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกันพอดี
วันนี้แทนไทดูแปลกตาไปกว่าเดิมนิดหน่อยเพราะเจ้าตัวสวมเสื้อโปโลสีดำของทางค่ายแบบเดียวกันกับที่ป๋ากับเฮียหมอกใส่ ซ้ำทรงผมยังถูกเซตเปิดไปด้านหลัง ลุคกึ่งๆทางการแบบนี้มันเลยพานทำให้คนมองต้องกระแอมไอแก้เก้ออยู่หลายครั้ง
..ปกติไทชอบใส่แค่เสื้อยืดสีพื้นธรรมดาๆ พอแต่งตัวแบบนี้มันเลยไม่ค่อยจะชินตาเท่าไรนัก…
จู่ๆก็เผลอไล่มองตามปลายนิ้วเรียวยาวที่กำลังลูบพาดผ่านข้างริมฝีปากในขณะที่เจ้าตัวกำลังนั่งมองจอโทรทัศน์ พลันใบหน้าก็ร้อนวูบขึ้นมา
...ภาพความทรงจำบนรถเมื่อคืนมันยังคงชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสอบอุ่นที่กอบกุม...
และลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารินรดอยู่ข้างผิวแก้มเจือกลิ่นหอมเย็นของเมนทอลและนิโคลตินอ่อนๆ ทำให้บรรยากาศรอบข้างคล้ายถูกสะกดตรึงเอาให้หยุดไว้เพียงเท่านั้น
ไม่อยากจะคิดเลยถ้าตอนนั้นไฟเขียวไม่มาช่วยชีวิตเอาไว้ก่อนละก็..
“เหม่อไรไอ้หมวย” อวัศย์เงยหน้าขึ้นถามเมื่อสังเกตเห็นว่าน้องหูแดง
แม่ง...มันขาวได้หม่าม้ามาเต็มๆ เขากับเฮียยังไม่ขาวขนาดนี้เลย
“เปล่า..” น่านฟ้าส่ายหน้าปฏิเสธ พยายามเบี่ยงเบนความสนใจเฮียสุดความสามารถ “เอ้อ เฮีย ซื้อไรให้ป๋าอะ ของขวัญวันเกิด”
“ไม่บอกเว้ย เป็นความลับ” หมอกเอามือน้องมานวดๆเล่นอย่างที่ชอบทำมาตั้งแต่เด็ก...ยิ่งเห็นสายตาของหมาบางตัวมันแสดงอาการก็ยิ่งได้ใจ...รู้หรอกว่าอยากจับ สมน้ำหน้าทำได้แค่มอง! รอต่อไปเถอะมึง! “ว่าแต่หมวยซื้อเค้กให้ป๋ายัง”
“เรียบร้อย หนูทำเองด้วยไม่อยากจะอวด”
“...เออ...เฮียจะได้ไม่กิน” หมอกแสร้งตีหน้าสยองล้อเลียนน้อง...แล้วก็ได้ฝ่ามือฟาดเข้ามาตรงต้นแขนหนึ่งป้าบ
“เด็กๆไปกันหรือยัง” หม่าม้าเดินออกมาจากห้องครัวหลังจากที่หาข้าวหาน้ำให้คุณสามีทานเสร็จเรียบร้อย...สงสัยคุณเขาจะหิวจริงเพราะนั่งทานไม่พูดไม่จา พอถามว่าทำไมไม่แวะกินก่อนเข้ามาคำตอบที่ได้ก็เล่นเอาเขินจนลืมอายุ
‘ก็พ่ออยากกลับมากินข้าวฝีมือม้านี่’
ดูพูดเข้า รู้เลยลูกชายบ้านนี้ปากหวานได้ใคร
“ไปๆ” หมอกเด้งตัวขึ้นกะทันหันจนหัวโขกกับน้องดังโป๊ก “อูย ไอ้หมวยไมไม่หลบวะ”
“เฮียนั่นแหละ!” แล้วสองพี่น้องก็ตีกันไปมาจนหม่าม้าต้องส่ายหัวอย่างเอือมระอาพร้อมออกปากดุไปด้วยเมื่อเห็นว่าเจ้าหมอกเริ่มแกล้งน้องแรงเกินควร
“ปะไท ไปซื้อของขวัญให้ป๋ากัน”
“ครับ” คุณอิงดาวเลิกสนใจสองแสบ แล้วหันไปชวนลูกชายอีกคนแทน ฝ่ายนั้นพยักหน้ารับโดยไม่หือไม่อือพร้อมกับเดินไปหยิบกุญแจรถมาเตรียมพร้อม
ถ้าเจ้าหมอกสงบปากสงบคำได้ครึ่งของไทคงดีไม่น้อย...จะได้พักหูซะบ้าง ทุกวันนี้พูดจ้อไม่หยุด พูดน้ำไหลไฟดับหม่าม้าล่ะเหนื่อยที่จะฟัง
“เชิญค่ะคุณผู้หญิง” ลูกชายคนกลางเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้พร้อมกับโค้งกายอย่างสุภาพทั้งๆที่มองยังไงมันก็โคตรจะกวนบาทา
“หมอกมาขับ ให้ไทเขาพักบ้าง” คุณอิงดาวสั่ง
“ไม่เป็นไรครับน้าดาว” แทนไทยิ้มตอบรับพร้อมกับช่วยปิดประตูให้
“กูขับเอง” หมอกรีบแย่งกุญแจรถมาถือไว้ซะเอง...เปิดทางให้ขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวอีก “มึงไปนั่งหลังกับไอ้หมวยนู่นไป”
มันดูลังเลนิดหน่อยแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี
หมอกเดินอ้อมไปขึ้นรถทางฝั่งคนขับพร้อมปรับเบาะให้นั่งได้สบาย ดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดโดยไม่ลืมย้ำให้หม่าม้าคาดด้วยเพราะคุณนายเธอมัวแต่ตอบไลน์กับเพื่อนสาวอยู่
แว่นกันแดดที่เก็บไว้ประจำรถถูกหยิบออกมาสวมด้วยความเคยชิน
เท่านี้ก็พร้อมแล้วสำหรับหน้าที่สารถีตามที่คุณอิงดาวเขาต้องการ
“ม้าจะซื้ออะไรอีกไหมครับ”
เนื่องจากวันนี้ตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ห้างจึงมีคนพลุกพล่านมากเป็นพิเศษซ้ำผู้คนยังเลือกที่จะมาเดินตากแอร์เย็นๆเพื่อหลบหนีอากาศที่ร้อนจัดช่วงบ่ายแก่
หลังจากที่เดินวนดูของขวัญให้เจ้าของวันเกิดอยู่สองสามรอบในที่สุดหม่าม้าก็ตัดสินใจได้ซะทีว่าปีนี้จะซื้อกระเป๋าสตางค์ให้คุณสามีเพราะเจ้าตัวนั้นยังคงใช้ใบเก่าที่เคยซื้อให้เป็นของขวัญเมื่อสามปีที่แล้วไม่ยอมเปลี่ยนซะที จนตะเข็บรุ่ยแล้วรุ่ยอีก
อันที่จริงคุณปรีชาก็เคยบอกไว้แล้วว่าไม่จำเป็นต้องซื้อของขวัญให้มากพิธี แค่ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาก็พอแล้ว
“ไม่ละ” หม่าม้าส่ายหน้า เดินนานๆชักจะเมื่อยขา “น้องน่านจะซื้ออะไรไหม”
“หนูขอเดินไปดูเครื่องสำอางแป๊ปนึง” เจ้าตัวอมยิ้มโชว์รอยบุ๋มตรงแก้มเมื่อถูกพี่ชายหรี่ตามอง
“แป๊ปนึงไม่มีอยู่จริง” หมอกทำหน้าเมื่อยใส่น้อง “เฮียไปด้วยทีไรไม่เคยต่ำกว่าชั่วโมง”
“ตอนหนูไปเป็นเพื่อนเฮียซื้อรองเท้าก็นานพอกันนั่นแหละ” ไอ้ตัวแสบมันเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ พอกำลังจะเอื้อมมือไปผลักหัวมันหม่าม้าก็เข้ามาห้ามทัพไว้ซะก่อน
“งั้นหมอกไปกับม้าก็แล้วกัน ม้าอยากไปดูหนังสือที่คิโนะหน่อย” หม่าม้าเข้าไปคล้องแขนลูกชายเอาไว้เป็นการบังคับทางอ้อม “ส่วนหนูก็ไปเดินเล่นตามใจเลยนะไม่ต้องรีบ ถ้าเสร็จแล้วโทรหาม้านะคะ”
หลังจากทั้งสองเดินห่างออกไปก็พอดีกับที่ใครบางคนเดินกลับออกมาจากห้องน้ำ แทนไทเลิกคิ้วเป็นเชิงคำถามเมื่อเห็นว่าตอนนี้เหลือเพียงแค่น่านฟ้าที่ยืนอยู่คนเดียว
“ม้ากับเฮียไปร้านหนังสือ”
“แล้วไม่ไปด้วยรึไง”
“ไม่อะ น่านว่าจะไปดูลิปหน่อย” เผลอยกมือขึ้นมาเกาปลายจมูกเมื่อเริ่มรู้สึกถึงความประหม่าเวลาที่ได้อยู่กันสองต่อสองอีกครั้ง “แล้ว...ไทจะไปซื้ออะไรไหม”
“เดี๋ยวไปด้วยก็ได้”
“จะดีเหรอ มัน...น่าเบื่อนะ” ตอนที่คบกับเตชินฝ่ายนั้นยังเคยหลุดปากบ่นออกมาเลย...เพราะมันต้องใช้เวลาเลือก กลัวว่าอีกฝ่ายจะหงุดหงิดเอา
“ไม่เป็นไร ไม่ได้อยากไปไหนอยู่แล้ว”
“แต่”
“จะไปไม่ไป”
“อื้อ ไปแล้วๆ””
ปลายแขนเสื้อสเวตเตอร์ถูกกำเอาไว้เมื่อร่างสูงใหญ่เขยิบเข้ามาใกล้เพื่อหลบทางให้เด็กๆที่กำลังวิ่งไล่จับกันอยู่
เพียงชั่วขณะที่กระแสลมอ่อนๆพัดพา กลิ่นหอมเย็นเจือจางที่ลอยมาปะทะจมูกทำให้น่านฟ้าแอบใจกระตุกไปเล็กน้อย
โดยปกติแล้วแทนไทไม่ใช่ผู้ชายที่ติดน้ำหอม ยกเว้นก็แต่เวลาที่จะต้องไปออกงานสำคัญๆเจ้าตัวถึงจะฉีดเพื่อเสริมบุคลิกภาพและสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง
น่านฟ้าคุ้นเคยกับกลิ่นหอมนุ่มแบบนี้ดี...น้ำหอมยอดฮิตของคุณสุภาพบุรุษทั้งหลาย
Chanel bleu…กลิ่นเดียวกันกับที่แฟนเก่าเคยใช้เป๊ะเลย...
..แต่พอเป็นแทนไทแล้ว...กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ดวงตากลมโตมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินนำหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
ไล่ตั้งแต่ทรงผมอันเดอร์คัทที่ถูกเซตเป็นระเบียบ ช่วงลำคอและแนวบ่าแข็งแรงรับกับท่อนแขนกำยำ ลายเส้นสีดำของรอยสักบางส่วนที่โผล่พ้นออกมาจากแขนเสื้อด้านขวาช่วยดึงเสน่ห์ความดิบของผู้ชายออกมาได้เป็นอย่างดี บั้นเอวสอบที่รับกับช่วงขายาวก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงพร้อมแผ่นหลังกว้างแกร่ง
ทั้งหมดทั้งมวลนั้นสร้างความรู้สึกอุ่นใจให้กับคนที่แอบมองได้อย่างน่าประหลาด
รู้ตัวอีกทีก็เผลอเนียนเขยิบเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นหอมเย็นนุ่มจมูกชวนให้ใบหน้าต้องร้อนผ่าว
..เข้ากันได้ดีเกินไปแล้ว…
ก็เคยได้ยินมาบ่อยเหมือนกันว่าไอ้เจ้าน้ำหอมตัวนี้ถ้าใครใช้แล้วละก็แฟนจะหวงจนไม่อยากให้ออกไปไหน แถมยังอยากจะกอดอยากจะซุกทั้งวัน ตอนแรกก็รับฟังมาแบบขำๆไม่คิดจะเชื่อคำโฆษณาโอเวอร์เกินจริง เพราะตอนที่เตชินใช้ก็ไม่เห็นจะรู้สึกอะไร ออกจะฉุนจมูกไปนิดด้วยซ้ำ
แต่ทำไมพอเป็นแทนไทใช้แล้วมันกลับเข้ากันแบบสุดๆ..
กลิ่นหอมเย็นนุ่มนวลที่เป็นเอกลักษณ์ความเป็นผู้ใหญ่ช่วยเบรกความดิบของคนวัยหนุ่มได้อย่างพอเหมาะ มันเลยกลายเป็นกลิ่นเฉพาะตัวที่ทำให้น่านฟ้าต้องยอมเชื่อคำโฆษณาที่เคยได้ยินมาโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
ที่บอกว่าแค่ได้กลิ่นก็ใจเต้นแล้ว...คงจะจริงก็งานนี้..
“ทำอะไร” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยทักเมื่อรู้สึกสัมผัสบางอย่างที่ชนเข้ากับบริเวณต้นแขน พอก้มลงมองก็เห็นว่าน้องเอาจมูกมาแตะๆแถวแขนเสื้อตัวเอง
“ห้ะ อ๋อ ป...เปล่า พอดีน่านเดินเพลินไปหน่อย โทษที” น่านฟ้าส่ายหน้าปฏิเสธ...ไม่ได้แอบดมเลยนะจริงๆ...
“จะไปร้านไหน” ยืนรอให้น้องตัดสินใจสักพักเจ้าตัวก็ชี้ไปที่ร้านเครื่องสำอางร้านใหญ่ที่มีผู้คนค่อนข้างหนาแน่น และส่วนมากก็มีแต่ผู้ชายทั้งนั้นที่ยืนคอยอยู่หน้าร้าน
“ไทรออยู่ข้างนอกก็ได้นะ น่านขอเข้าไปแป๊ปนึง” นึกอยากจะขำกับแววตาประกายวิบวับเหมือนเด็กเล็กๆเวลาที่เห็นของเล่นถูกใจ
“เดี๋ยวเข้าไปด้วยก็ได้” เพราะรออยู่ข้างนอกก็ไม่รู้จะทำอะไรอยู่ดีนอกจากยืนมองตากับผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกัน
“เอาจริงดิ”
“อืม” อยากจะรู้เหมือนกันว่าเวลาที่รอน้องซื้อเครื่องสำอางจะน่าเบื่อเหมือนกับที่ไอ้หมอกเคยมาบ่นให้ฟังบ่อยๆไหม
“งั้น...อย่ามาบ่นทีหลังแล้วกัน” น้องยักไหล่ใส่ทีนึงก่อนจะเดินนำหน้าเข้าไปในร้าน
โดยไม่ต้องรอให้เสียเวลาตะกร้าสินค้าก็ถูกนำมาคล้องแขนเอาไว้ด้วยความรวดเร็ว ก่อนเจ้าตัวจะตรงดิ่งไปที่เชลฟ์เครื่องสำอาง เผลอแป๊ปเดียวก็คลาดสายตาไปแล้ว
แทนไทเดินตามหาทีละล็อกจนในที่สุดก็เจอเจ้าตัวกำลังยืนเลือกลิปสติกอยู่หน้าเชลฟ์ พอเดินเข้าไปหาก็ต้องคอยเบี่ยงตัวหลบทางให้ลูกค้าคนอื่น
พึ่งจะรู้สึกว่าตัวเองตัวใหญ่เทอะทะก็ตอนนี้...ดูเกะกะเก้งก้างไปหมด
ผู้ชายตัวโตสูงโดดเด่นช่างขัดกับบริบทโดยรอบอย่างสิ้นเชิง
“ไทว่าสีไหนสวย” พอน้องหันมาเจอก็ยิ้มโชว์เจ้ารอยบุ๋มข้างแก้มก่อนจะชูลิปสติกสองแท่งที่ดูยังไงมันก็แทบจะไม่มีความแตกต่างขึ้นมาให้ช่วยเลือก
“มันก็แดงเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน
“ไม่เหมือน อันนี้มันจะออกส้มๆ” ลิปสติกแท่งที่อยู่ในมือซ้ายถูกยื่นมาตรงหน้า “แต่อันนี้จะตุ่นๆ” อีกแท่งถูกยื่นเข้ามาติดๆ ทำเอาคนพี่ต้องขมวดคิ้วมองอย่างงุนงง
“อะไรตุ่นๆ” ยอมรับว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ
“ก็ตุ่นๆไง สีตุ่นๆ” น้องเร่งเร้า “เร็วช่วยเลือกหน่อย”
“เอาไอ้ตุ่นก็ได้” ตัดสินใจให้พร้อมกับชี้ไปที่มือข้างขวา แต่ผลที่ได้รับคือน้องกลับตีหน้าเสียดายซะงั้น
“จริงดิ...แต่น่านชอบอีกอันมากกว่า”
“งั้นก็เอาอันนั้นแหละ”
“แต่สีตุ่นก็สวยนะ”
“…”
“งั้นเอาทั้งสองเลยก็แล้วกันเสียดายอะ”
แล้วก็ได้เข้าใจซะทีว่าทำไมตอนนั้นเพื่อนๆมันชอบมาบ่นให้ฟังว่าไม่ควรออกความคิดเห็นถ้าแฟนให้เลือกสีลิปช่วย...
สถานการณ์ตอนนี้เป็นได้แค่ผู้รับฟังที่ดีเท่านั้นเพราะถูกลิดรอนสิทธิโดยชอบธรรมตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาในร้านแล้ว
เขาอาสาถือตะกร้าให้น้องเพราะอีกฝ่ายจะได้เลือกของได้สะดวก น่านฟ้าเดินข้ามไปอีกเชลฟ์เพื่อซื้อทินต์ตัวโปรดที่พึ่งจะหมดไป แล้วก็ได้เห็นว่าแบรนด์นี้ออกลิปคอลเลคชั่นใหม่ ไม่รอช้าแขนเสื้อสเวตเตอร์ก็ถูกดึงร่นขึ้นมาอยู่ช่วงศอกก่อนลิปสติกแต่ละสีจะถูกปาดลงบริเวณแขนจนเป็นรอยปื้นตัดกับผิวขาว
“ทำอะไร” แทนไทก้มลงมองตามอย่างสงสัย
“ก็ลองสวอชสีดูไงว่าอันไหนสวยบ้าง”
ยอมพยักหน้ารับรู้ทั้งๆที่ในใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่าลิปสติกเอาไว้ทาปากทำไมต้องไปลองกับแขน แต่ก็ทำได้แค่เก็บความสงสัยเอาไว้เพราะเวลาที่มองคนตรงหน้ากำลังมีความสุขไปกับการเลือกซื้อเครื่องสำอางมันเพลินตาอยู่ไม่น้อย
...ไม่เห็นจะน่าเบื่อเหมือนที่ไอ้หมอกมันชอบบ่นเลยสักนิด
เส้นผมสีอ่อนปล่อยยาวถูกเหน็บทัดหูไว้ตอนที่เจ้าตัวกำลังก้มลงอ่านขวดคลีนซิ่งของยี่ห้อหนึ่งอยู่ ริมฝีปากเล็กขบเม้มเบาๆเวลาที่สมาธิได้จดจ่ออยู่กับอะไรบางสิ่งบางอย่าง
แม้ปอยผมบางส่วนจะหลุดลงมาจนบังเสี้ยวหน้าเอาไว้แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจ พอจะเอื้อมมือขึ้นมาทัดเก็บกลับช้ากว่าใครบางคน..
สัมผัสอุ่นร้อนจากปลายนิ้วแข็งปัดผ่านใบหูเพียงนิดพร้อมกับทัดเก็บเส้นผมให้เสร็จสรรพ
แม้จะเป็นเพียงสัมผัสผิวเผินแต่กลับส่งผลให้เลือดในกายสูบฉีดขึ้นมาจนรู้สึกร้อนที่ใบหน้าจนลามไปถึงใบหู
“ไหนบอกจะมาซื้อแค่ลิป” แทนไทยิ้มมุมปากพร้อมกับหยิบขวดคลีนซิ่งในมือน้องมาใส่ไว้ในตะกร้าให้เพราะเห็นว่าเจ้าตัวอ่านอยู่นานแล้วไม่ตัดสินใจสักที
“ก็อันนี้มันออกใหม่..” ตอบได้ไม่เต็มเสียงนักเพราะตอนนี้ของในตะกร้ามีเกินสิบอย่างเข้าไปแล้วด้วย...
“จะซื้ออะไรอีกไหม” เพราะเมื่อกี้น้าดาวโทรมาหาบอกว่าจะไปรอที่รถก่อน
“เดี๋ยวน่านขอไปดูแฮนด์ครีมแป๊ปนึง” ล็อกตรงข้ามเป็นเชลฟ์ของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทุกรูปแบบ น่านฟ้าสุ่มเลือกเทสเตอร์แฮนด์ครีมมาหลอดนึงก่อนจะเปิดทาแล้วยกขึ้นดมกลิ่น
“ไทว่าหอมไหมอะ” แตะหลังมือเข้าที่ปลายจมูกซ้ำๆอย่างไม่มั่นใจจนในที่สุดก็หันไปขอความช่วยเหลือจากคนข้างกายอย่างลืมตัว
ท่าทีชะงักไปนิดหน่อยของฝ่ายนั้นทำให้น่านฟ้าที่พึ่งจะรู้สึกตัวตั้งท่าจะชักมือกลับ แต่ก็สายไปแล้วเมื่อร่างสูงใหญ่ก้มหน้าลงมาใกล้พร้อมกับแตะปลายจมูกเข้ากับหลังมือแผ่วเบา
“ก็หอมดี”
เพียงเสี้ยววินาทีก็ได้ยินเสียงอื้ออึงเต้นตุบโครมใหญ่จนหูอื้อ น่านฟ้าชักมือกลับพร้อมกับวางแฮนด์ครีมไว้ในตะกร้าแล้วเดินไปต่อแถวที่เคาน์เตอร์เพื่อรอชำระเงินปล่อยให้ใครบางคนที่อยู่ด้านหลังต้องกลั้นยิ้มเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
..ลูกคนเล็กของป๋านี่ยังไง
มาทำให้คนอื่นเขาเสียอาการแต่ตัวเองดันชิงเขินก่อนซะงั้น...
(ต่อด้านล่าง)