ตอนที่ 1 ใครๆ ก็เป็นหนี้
“ฮัลโหลครับ”
"อานนทกรอ่า ถ้าลื้อยังไม่จ่ายงวดนี้ อั๊วจะไม่ใจดีแล้วน่า"
"เอ่อ เจ๊หงส์ครับ"
"ไม่ต้องมาครับน่า ไม่ใจอ่อนแล้วน่า" ผมได้ยินเสียงกุกกักๆ ดังมาตามสาย "อานนทกร ถึงลื้อจะเป็นคนดีและเป็นสเป็คอั๊ว แต่หนี้ของลื้อมันก็เยอะจนอั๊วต้องทวงน่า ลื๊อเข้าใจอั๊วหน่อยซี่"
"ครับ ผมเข้าใจ ที่เจ๊ไม่คิดดอกเบี้ยผมก็ถือว่าเจ๊เมตตาผมมากพอแล้วครับ"
"ใครก็ได้! มาทำความสะอาดห้องรับแขกที...” ผมเอียงหัวจากโทรศัพท์เพราะเสียงตะโกนแหลมๆ ที่ผมเดาอารมณ์ว่าคงกำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ ...ซวยแล้ว “อ่า ลื้อเข้าใจนี่ ว่าอั๊วเมตตา แต่นี่มันสี่เดือนแล้ว มันแปลว่าอะไร!!!"
"อ่า.." ผมเอียงหน้าหนีอีกครั้งที่เจ๊หงส์ตะโกนใส่ "ผมรู้ครับ แต่ผมเพิ่งเริ่มงานได้เดือนแรก คือผมยังไม่ได้เงินเดือนเต็มๆ เลยครับ"
"เฮ้อ” เจ๊หงส์เงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดต่อ “งั้นอั๊วจะลดให้แต่ต้องจ่ายวันนี้เท่านั้นนะ"
"เจ๊หงส์ครับ" พูดออกไปด้วยเสียงอ่อนแรง เมื่อคิดถึงจำนวนหนี้หกหลัก ถึงผมจะได้รับเงินเดือนมาหมาดๆ แต่เงินเดือนผมนั้นถูกหักไปเกือบครึ่งของเงินเดือนทั้งหมด ไหนจะต้องจ่ายค่าไฟ ค่าน้ำและค่าใช้จ่ายชีวิตประจำวัน
"วันนี้ เดี๋ยวนี้!!!"
"อ่า ครับ" สุดท้ายก็ต้องยอมเพราะที่ซุกหัวนอนเก่าๆ ที่ผมอยู่ฟรีในตอนนี้ก็เป็นของเจ๊หงส์
"อั๊วให้ลื้อผ่อนเดินละสองพัน แต่ลื้อหายไปสี่เดือนเต็มๆ" ผมได้ยินเสียงถอนหายใจของเจ๊ “เจ๊เข้าใจเรื่องเงินเดือนลื้อนะ...งั้นรอบนี้เจ๊คิดสี่พันแล้วกัน”
"..." ผมเงียบไปบ้างเพราะรู้สึกซึ้งน้ำใจเจ้าหนี้ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วคิดหนักเพราะถ้าหักหนี้ไปแล้วคงเหลือเงินประมาณห้าพันกับการใช้ชีวิตอีกหนึ่งเดือนเต็มๆ สงสัยผมต้องงดข้าวกลางวันด้วยแล้ว "ครับ"
ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า ทั้งจากงานที่ทำมาทั้งวันและจากการคุยโทรศัพท์กับเจ้าหนี้ ผมเดินไปเข้าลิฟท์เบียดกับผู้คนแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ น่าเบื่อเหมือนทุกวัน มองตัวเลขที่นับถอยหลังไปเรื่อยๆ แล้วก็มีความคิดอยากให้เกิดลิฟต์ตกขึ้นมา คงจะดีไม่น้อย
“น้องนน กลับบ้านดีๆ นะคะ”
“...”
“เอ่อ คือ น้องนน ได้ยินไหมคะ”
“ครับ”
ผมยิ้มบางๆ ให้กับพี่ผู้หญิงที่เข้ามาคุยกับผม พี่เขาเป็นพนักงานบริษัทหนึ่งที่อยู่ในตึกเดียวกันนี้ ผมรู้ว่าพี่เขาคงอยากสานสัมพันธ์กับผม แต่ผมไม่อยากยุ่งกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว มือเรียวนั้นเอื้อมมือมาแตะแขนผมเบาๆ แล้วยิ้มให้ ผมยิ้มตอบ ยกมือไหว้ ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกจากตึกไปและรีบเดินเร่งฝีเท้าเข้าไปโรงจอดรถ
บรืน
ผมสตาร์ทฟีโน่คู่ใจ ใส่หมวกกันน๊อคสีดำและเร่งรถออกไป รีบกลับห้องเก่าๆ ของตัวเอง ขับไปเรื่อยๆ ผมก็นึกถึงผู้หญิงที่เจอหน้าลิฟต์เมื่อกี้ที่พยายามจะสานสัมพันธ์กับผม เฮ้อ อย่างผมน่ะ ไม่เหมาะที่จะมีความรักหรอก
.
.
ผมเดินทอดน่องเข้าซอยบ้านเจ๊หงส์เพื่อเป็นการถ่วงเวลา ไม่ขี่มอเตอร์ไซต์เข้ามาเพราะเปลืองน้ำมัน เลยจอดไว้ที่หอที่อยู่ถัดจากซอยนี้เพียงสามซอย มองเข้าไปในซอยแล้วถอนหายใจ แค่เดินเข้าไป ผ่านเสาไฟไปห้าต้น...เงินเดือนผมก็จะหายไปครึ่งหนึ่ง
ในตอนนี้รอบข้างเริ่มมืดลง ในระหว่างที่ผมเดินเข้าไปเสาไฟฟ้าพวกนี้ก็สว่างขึ้นมาต้อนรับผม ผมมองนู้นนี่ระหว่างทางไปเรื่อยๆ แบบไม่รีบร้อนนักเพราะข้างทางในตอนนี้น่าสนใจกว่าบ้านหลังใหญ่ที่ผมจะไปตั้งเยอะ และการสังเกตการณ์ของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น เสาไฟฟ้าต้นที่หนึ่งค่อนข้างสภาพดีเพราะอยู่ติดป้ายชื่อซอย ต้องเป็นหน้าตาของซอยเสียหน่อย
เสาไฟฟ้าต้นที่สองมีแผ่นกระดาษแปะไว้ทั่ว ทั้งใบรับสมัครแม่บ้าน งานซ่อมต่างๆ และการประกาศตามหาแมวที่มีค่าตอบแทนเป็นเงินรางวัลหมื่นกว่าบาท เยอะกว่าผมที่ทำงานมาเต็มเดือนอีกหรือบางทีผมจะไปทำอาชีพคนล่าแมวดีนะ
เสาไฟฟ้าต้นที่สามคือที่สิ้นสุดของกำแพงของบ้านหลังใหญ่ที่อยู่หน้าซอยนี้ ถัดไปจากต้นนี้ก็เป็นป่ารกร้าง จนไปถึงต้นที่ห้าก็จะเป็นบ้านหลังใหญ่ของเจ๊หงส์ ผมเดินห่างออกจากบริเวณเสานี้เล็กน้อยเพราะมีถังขยะเหล็กสีเขียวขนาดใหญ่วางไว้อยู่และแน่นอนขยะก็ยังล้นส่งกลิ่นเหม็นออกมาจนทำผมต้องกลั้นหายใจ เห็นแมลงสาบสองตัวเดินคู่กันแล้วก็แทบจะไปเดินลงไปกลางถนน ในใจก่นด่าทั้งแมลงสาบทั้งการจัดการขยะของประเทศตัวเอง
ผมกำลังจะผ่านเสาต้นนี้ไป แต่สิ่งมีชีวิตที่นั่งกอดเข่าตัวเองและซุกหน้าตัวเองไว้ที่เข่า ทำให้ผมเห็นเพียงแค่เส้นผมสีดำสนิทอยู่ข้างเสาไฟฟ้านั้น ก็ทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อยและรีบสาวเท้าเดินให้ไวขึ้นกว่าเดิม
นี่มัน...อันตรายชะมัด ไม่มีเวลานึกถึงต้นที่สี่และห้า ผมรีบเดินเร็วๆ ให้พ้นป่าข้างทางให้ไปถึงบ้านเจ๊หงส์เร็วๆ ที่ต้องรีบไปจากตรงนี้เพราะเกรงว่าคนบ้าคนนั้นจะลุกขึ้นมาอาละวาดเสียก่อน…ไม่อยากจะวุ่นวายและยุ่งเกี่ยวกับใคร
.
.
“เดือนหน้าก็จ่ายด้วยล่ะ”
“ครับ”
“อย่าหายไปอีกน่า”
“ครับ”
“...อั๊วเป็นห่วง”
“ครับ”
พูดได้แค่คำว่าครับ แล้วเดินตัวเบาออกมาจากคฤหาสน์แสนสวย เดินเหม่อลอยมาเรื่อยๆ เงยหน้ามองฟ้าถามคนบนนั้น จะทดสอบความอดทนกันอีกนานไหม เหมือนผมอดทนมาเพื่อเจอกับเรื่องที่ต้องอดทนกว่าเดิมและเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ ที่ผมคิดอยากหายไป
ถ้าผมหายไปทุกอย่างคงไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ผมไม่มีพ่อแม่ ไม่มีคนรัก ไม่มีใครต้องเสียใจกับการหายไปของผม ถ้าหายไป...ทุกอย่างก็คงจะเงียบสงบเหมือนบรรยากาศของซอยในตอนนี้ ที่มีเพียงเสียงลมพัดไปเป็นเสียงเดียวที่ดังที่สุด แต่แล้วก็มีเสียงสะอื้นของใครบางคนที่ทำลายความเงียบนี้ลงไป
“ฮึก”
“...”
ผมยืนหยุดนิ่งตรงเสาไฟฟ้าต้นที่สาม มองคนที่นั่งกอดเข่าอยู่ที่พื้นอย่างช่วยไม่ได้เพราะเขาเป็นเจ้าของเสียงสะอื้นที่ได้ยิน กลุ่มผมสีดำค่อยๆ ยกขึ้นจากเข่า ทำให้ผมได้เห็นใบหน้าขาวซีดและดวงตาที่มีประกายสดใส แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเศร้าและน้ำตา เขาเบิกตามองผมด้วยความตกใจก่อนที่จะหลบตา แล้วใช้แขนเสื้อสีขาวปาดน้ำตาตัวเองออก
เขาเงยหน้ามามองสบตาผมอีกครั้งและไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมจ้องมองไปที่ดวงตากลมที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้านั้นอีกครั้ง
น่าแปลก...ที่ไม่กลัว
น่าแปลก...ที่ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ซ่อนไว้ถูกพังทลาย
ราวกับเจอคนคนเดียวกัน
“...”
ไม่มีเสียงสะอื้นใดหลุดออกมาจากปากบางสีสดนั้นอีก เราจ้องตากันอยู่แบบนั้นสักพัก แต่แล้วก็เป็นเขาที่หลบสายตาผม เขารีบลุกขึ้นยืนและหยิบกระเป๋าเป้สีแดงบนพื้นขึ้นมาสะพายขึ้นหลัง ร่างบางที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับ กางเกงสแล็คสีดำและรองเท้าผ้าใบสีขาวนั้นดูบอบบางจนเหมือนจะปลิวหายไปกับสายลม
ผมคงเข้าใจผิดที่คิดว่าเขาเป็นคนบ้า...มองคนที่ตัวเล็กกว่าผมอีกครั้ง เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วเดินผ่านผมไป ผมยังคงยืนเขามองอยู่แบบนั้นจนภาพร่างเล็กที่สะพายกระเป๋าสีแดงที่ใหญ่กว่าตัวนั่นเริ่มเล็กลง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมจึงมองเขาไม่วางตาและไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมถึงตัดสินใจแอบเดินตามเขาไปด้วย
.
.
ลมเย็นพัดผ่านไป ผมเสยผมที่ปลิวมาบังสายตาและเดินเงียบๆ ตามหลังเด็กกระเป๋าแดงต่อไป เขายังคงเดินไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด จนมาถึงบริเวณท้ายซอย
ผมหยุดเดินตรงจุดตัดของถนนปูนที่เชื่อมกับถนนที่เป็นดินลาดลงไป ทางลาดนั้นทอดยาวไปจนถึงสะพานเก่าๆ บริเวณนี้ค่อนข้างมืด โชคดีที่ยังมีแสงไฟจากหลอดไฟเพียงหลอดเดียวบนสะพานที่ส่องสว่างอยู่ช่วยให้ผมมองเห็นร่างเล็กที่เดินไปหยุดตรงกลางสะพานนั้นได้
เส้นทางนี้เป็นทางลัดที่เอาไว้ใช้ไปอีกซอยหนึ่งได้เพียงแค่ข้ามสะพานไม้ที่เอาไว้ใช้ข้ามคลองนี้ไป ก็จะไปยังท้ายซอยของอีกซอยได้ แต่เพราะข่าวการปล้นจี้ในบริเวณนี้ ทำให้เส้นทางนี้เป็นทางที่ไม่มีใครอยากผ่านในเวลากลางคืนของคนทั้งสองซอย
ผมมองร่างเล็กที่ดูบอบบางจนผมกลัวว่าเขาจะปลิวไปกับสายลม เขายืนนิ่งอยู่กลางสะพานนั้น ผมมองเส้นผมสีดำที่ปลิวไปตามสายลม ดูอ่อนไหวและนุ่มสลวยเหมือนใบหน้าของเขา น้ำตาของเขายังคงไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่แล้วเขาก็เริ่มขยับ ถอดเป้สีแดงวางไว้ มือเรียวจับราวสะพานไว้ แล้วก้าวขาขึ้นไปนั่งบนนั้น เขาขึ้นไปนั่งห้อยขาบนนั้นและก้มมองลงไปในคลองนั้น ผมเห็นเขาหลับตาลงและผมก็ไม่ต้องการสังเกตอะไรอีกแล้ว
ฟรึ่บ
“เห้ย!”
“...”
“ปล่อย!”
“...”
“ฮึก ปล่อย! อย่ามามอบความโชคดีที่จิงไม่ต้องการ!” ร่างเล็กยังคงดิ้นไม่หยุด พร่ำเพ้อพูดออกมาด้วยเสียงสะอื้น เตะต่อยแขนขาผอมๆ นั่นไปมาแต่เพราะโดนผมกอดรัดไว้จากด้านหลังทำให้แขนขาที่เตะต่อยไปทั่วนั้นไม่ได้ทำร้ายผม “จิงไม่อยากได้!”
“คุณ”
“ปล่อย!”
“อยากตายขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“..ฮึก ใช่!”
“อย่าทำแบบนี้เลย...”
“ไม่ต้องมายุ่ง ปล่อยๆๆ”
ฟรึ่บ
ดิ้นไปสักพักร่างเล็กก็หมดแรงและเป็นลมไป ผมตกใจเพราะไม่คิดว่าเขาจะสลบไปแบบนี้ พลิกตัวประครองให้หันมาหากัน พินิจมองไปทั่วใบหน้าขาวซีด...ผมคงต้องทำอะไรสักอย่าง
.
.
กลิ่นหอมเย็นๆ เป็นสิ่งแรกที่ผมรู้สึก แล้วสมองก็สั่งให้ลืมตา ภาพที่มองเห็นเบลอไปสักพักก่อนจะชัดเจนขึ้น สิ่งแรกที่มองเห็นคือใบหน้าของคนที่ผมไม่รู้จักและผมก็ลุกขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติ
ท่ามกลางความเงียบ เราจ้องกันอยู่แบบนั้น ใบหน้าของเขานิ่งเฉยจนผมรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ เขาเป็นใคร แล้วผมมานอนอยู่ตรงนี้ได้ยัง ผมเผลอขมวดคิ้ว แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเขายื่นยาดมนั่นมาที่จมูกผม
“เห้ย” อุทานออกไปแล้ว เผลอขยับตัวให้ออกห่างคนที่นั่งข้างกัน
ฟรึ่บ
ตกใจอีกครั้งเพราะผมดันถอยหลังมากไป จนจะหงายหลังตกจากเตียง กำลังจะเตรียมใจรับความเจ็บ แต่ก็ต้องผมเบิกตากว้างตกใจ เมื่อคนที่ตัวใหญ่กว่าผมเขาดึงผมไว้และดึงเข้าไปหาเขา ผมเลยมานั่งเกยอยู่บนตักเขาและใบหน้าเราห่างกันแค่คืบ
“เดี๋ยวตกครับ”
เสียงทุ้มพูดออกมานิ่งๆ แล้วจ้องมองเข้ามาในตาผม จ้องและจ้อง จนผมรู้สึกเกร็ง ใช้มือดันอกเขาออกแล้วกระเถิบตัวเองลงจากตักเขา มานั่งข้างกันเหมือนเดิม แล้วทุกอย่างในห้องก็เงียบ ผมแอบมองคนที่ตัวใหญ่ที่นั่งข้างกัน ทำหน้านิ่งหมุนปิดฝายาดม...จำได้แล้ว เขาคือคนที่ยืนจ้องผม ก่อนที่ผมจะ...
“มาห้ามจิงไว้ทำไม”
“คุณพูดแบบนี้กับคนที่ช่วยคุณไว้เหรอครับ”
“…จิงไม่ได้ขอ”
“...” เขาเงียบไปแต่ยังคงจ้องหน้าผมอยู่
“ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อนแล้วกัน จิงจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
“ประทับใจมากเลยครับ”
“พี่จะเอาอะไร ไม่ได้ขอให้ช่วยแล้วยังจะมาเหน็บกันอีก”
“...”
“รู้ไหมว่าจิงทรมานแค่ไหน” ผมจ้องคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ข้างผม เขาจ้องกลับมาและถอนหายใจใส่ผม ก่อนจะขยับลงจากเตียงไป หน้านิ่งของเขาทำให้ผมหงุดหงิดจนเผลอตะโกนออกไปด้วยความรู้สึกครุกกรุ่นอยู่ในใจ “จิงอยากตาย ได้ยินไหม!”
“เหมือนกันเลย” เสียงทุ้มพูดกลับมานิ่งๆ แล้วลุกออกจากเตียงไป เขาเดินไปเลื่อนประตูกระจกออกไปนั่งที่พื้นตรงระเบียง ทิ้งผมให้นั่งอยู่กับอารมณ์ของตัวเอง
ผมถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด ลุกไปหยิบกระเป๋าตัวเองเตรียมหันหลังจะออกจากห้องนี้ แต่ภาพแผ่นหลังใหญ่ในตอนที่เดินออกไปที่ระเบียงและในตอนนี้ที่กำลังพิงประตูกระจกอยู่นี้ดูโดดเดี่ยว...เหมือนกับผม นั่นทำให้ผมหยุดอยู่ที่เดิม
.
.
“ผมไม่ชอบกลิ่นบุหรี่” ผมพูดออกมาตอนที่เด็กคนนี้เดินมานั่งข้างผม ผมขยับไปไปข้างๆ อีกนิดให้คนตัวเล็กกว่ามานั่งด้วยกัน แต่เพราะขนาดระเบียงที่เล็กมาก ทำให้เรานั่งชิดกันอยู่ดี…ชิดจนไหล่เราเบียดกัน
“อ่อ โอเค”
เด็กคนนั้นจี้มันลงที่ราวจับและเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อตัวเอง ความเงียบก่อตัวอีกครั้ง มีเพียงลมเย็นๆ พัดมาแทรกความเงียบของเราทั้งคู่
... ผมละสายตาจากท้องฟ้ามืดมิดตรงหน้า มองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน
“ออกมานั่งด้วยทำไมครับ”
“ไม่รู้” ปากบางพูดออกมาเสียงแผ่วเบา ดวงตาคู่นั้นมองไปที่ท้องฟ้าสีดำและผมก็ละสายตาไปมองมันบ้าง “ที่พี่พูดเมื่อกี้ หมายความว่าอะไร”
“ครับ?”
“เมื่อกี้…”
“อ่อ ที่บอกอยากตายใช่ไหมครับ”
“...” ความเงียบทำให้ผมหันกลับมามองเขา แล้วพบว่าเขามองผมอยู่ เขาไม่ได้หลบสายตาผมอีกแต่กลับจ้องตาผมแล้วพยักหน้าขึ้นลงแทนคำตอบ
“ใช่ ผมหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ” เว้นวรรคละสายตาไปมองที่ภาพท้องฟ้าอีกครั้ง “ผมอยากตายจริงๆ แต่ยังติดบางอย่างอยู่ครับ”
“พี่กลัวเหรอ”
“ไม่ได้กลัว” ผมหันกลับมามองลึกไปที่ดวงตานั้นแล้วพูดออกไป “แค่ยังมีเรื่องติดค้าง แต่ก็เคยพยายามนะแต่ความตายมันยาก…คุณเชื่อผมไหม”
“เชื่อ...เพราะพี่ก็เพิ่งช่วยจิงมา”
“หึ” อดที่จะขำกับคำพูดของคนที่ชอบแทนชื่อตัวเองไม่ได้
“แล้วพี่ติดอะไรอยู่”
“จริงๆ แล้วผมติดหนี้อยู่ครับ”
“จริงดิ” ผมมองรอยยิ้มที่เกิดขึ้นที่มุมปากของคนข้างๆ “จริงๆ แล้วจิงก็เหมือนกัน”
“...”
“ทนทำสิ่งที่ติดค้างมาตลอด แต่ตอนที่ยืนอยู่บนสะพาน มัน...”
“มันทนไม่ไหวแล้วใช่ไหมครับ”
“อือ”
“ถ้าผมทำสิ่งนั้นเสร็จแล้ว ผมก็คงจากไป”
“เหมือนกันเลยพี่”
“ครับ?”
“พอใช้หนี้เสร็จหมดแล้ว เรามาตายพร้อมกันดีไหมพี่”
“…”
ผมเงียบไปมองคนที่มองผมอยู่ ดวงตาสวยที่เต็มไปด้วยประกายสดใส แต่ถ้ามองดีๆ แล้วในควงตาคู่นี้ก็ยังคงเศร้าหมอง ไหล่เล็กดูโดดเดี่ยวจนน่าสงสาร ริมฝีปากบางสีสดเม้มไปมาเหมือนประหม่ากับสิ่งที่พูดไป ผมยื่นมือไปตรงหน้าคนหลงทาง
“…” เขามองมือผม แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าหวาน เป็นรอยยิ้มที่สว่างไสวกว่าดาวประจำเมืองบนท้องฟ้า
“ตกลง” ทันทีที่ผมพูดออกไป มือขาวก็ยื่นมาจับมือผม มองใบหน้าที่ยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อผมตกปากรับคำก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากยิ้มตาม “เราจะตายไปพร้อมกัน”
*********************************
TBC