บทที่ 33
ผมส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
“ทำไมล่ะ?”
“มันต้องคุยกันก่อนแล้วค่อยพิมพ์ออกมาสิ ขืนมึงเสนอไป เดี๋ยวก็ได้กลับมาแก้ไขใหม่อยู่ดี”
ยำทำหน้าครุ่นคิด “งั้นถ้ากูทำให้ปฏิเสธไม่ได้ก็พอใช่ไหม”
ผมย่นคิ้วเข้ากัน “แล้วมึงจะเอาอะไรไปเป็นข้อตกลง?”
“เอาน่า กูขอยืมตัวพาร์หน่อยนะ”
พาร์มองผม ก่อนตัดสินใจลุกจากโต๊ะพร้อมยำ สักพักเชนก็หายไปอีกคน เพราะโดนใช้ไปส่งข้าว กว่าพาร์กับยำกลับมาก็เกือบสี่สิบห้านาที เจ้าของกระดาษสองแผ่นทำหน้าระริกระรี้ยื่นของในมือให้ผมดู แต่ไอ้คนเดินตามหลังเข้ามากลับมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
“เห็นแล้วมึงจะอึ้ง”
ผมก้มหน้าอ่านด้วยความอยากรู้ บรรทัดหัวข้อขึ้นต้นเหมือนกัน มีชื่อไอ้ยำกับชื่อพี่ภูล่ะมั้ง (พอดีเป็นชื่อจริง) ส่วนใหญ่บรรทัดบนๆ ไม่แตกต่างจากของผมเท่าไหร่ แต่พอไล่สายตามาที่เงื่อนไขก็ชะงัก
“เอ่อ…ยำ มึงอธิบายข้อแรกสิ”
“ก็บอกชัดเจนดีออก ในเมื่อมันอยากให้กูอยู่ด้วย กูก็จะอยู่เฉพาะช่วงเปิดเทอม แต่ทุกช่วงปิดเทอมกูจะเป็นอิสระจากมัน ไม่ต้องเจอหน้า ไม่ต้องติดต่อ ตัดขาดสมบูรณ์!”
“…แล้วไอ้เงื่อนไขย่อย 7 ข้อนี่ล่ะ”
ผมเคาะนิ้วถาม พลางกวาดตาอ่านอีกรอบ
1.1 ช่วงสอบงดกิจกรรมบนเตียงทุกประเภท
1.2 ช่วงเวลาปกติ ถ้ามึงต้องการกูเรื่องอย่างว่า มึงต้องขอก่อน ถ้ากูไม่ให้ก็คือไม่ได้
1.3 ห้ามใช้ลูกเล่นหรือลูกไม้กับกูทุกประเภท
1.4 ถ้าคะแนนสอบกูตกจากเดิม กูจะกลับไปนอนกับเพื่อนเพื่อติวสอบจนกว่าจบช่วงสอบของอีกครั้ง ยกตัวอย่าง ถ้าคะแนนกลางภาคกูร่วงจากเดิม กูจะห่างมึงจนกว่าจบช่วงสอบปลายภาค เช่นเดียวกับช่วงปลายภาค กูจะห่างมึงจนกว่าสอบกลางภาคของอีกเทอมเลย
1.5 กูต้องติดต่อเพื่อนได้ตลอดเวลา ถ้าไม่ได้เพื่อนกูจะบุกมาถล่มมึงถึงที่
1.6 ห้ามขัดใจกู หวังว่าพูดครั้งเดียวมึงจะรู้เรื่อง ทางที่ดีมึงควรเข้าสมาคมคนกลัวเมีย
1.7 ถ้าทำตามเงื่อนไขย่อยไม่ได้ ช่วงปิดเทอมก็บอกลากันได้เลย เพราะกูจะไม่ยอมติดต่อหรือให้มึงเห็นหน้าแน่ๆ
ก็อุตส่าห์เขียนทางออกเผื่อให้ด้วย สรุปมันอยากเจอหน้าพี่ภูตอนปิดเทอมใช่ไหม?
“ก็เดี๋ยวมันหาว่ากูเผด็จการ กูเลยเอาแผนของมึงมาประยุกต์ใช้ แถมถ้ามันยอมทำตาม กูก็ได้ผลประโยชน์เต็มๆ”
“แล้วมึงคิดจะยื่นทั้งแผ่นให้พี่ภูดู?”
“ใช่ ไม่ต้องอธิบายให้เมื่อยปาก ปล่อยมันอ่านเอง”
ผมถอนหายใจทันที “มึงโง่กว่าที่กูคิดวะ”
“อยู่ๆ มาด่ากูทำไม”
“ไม่ให้ด่าได้ไง มึงทำแผนกูพังไม่พอ ดันแบไต๋ให้พี่ภูเห็นชัดขนาดนี้”
ถ้าผมเป็นพี่ภู หลังอ่านข้อแรกจบคงยิ้มขัน ไม่เห็นข้อตกลงพวกนี้อยู่ในสายตาหรอก ในเมื่อไอ้คนพิมพ์เล่นบอกโต้งๆ ว่าอยากอยู่ด้วยขนาดนี้ แล้วดูเนื้อหาดิ สื่อชัดมากว่าอยากให้เอาใจใส่มากกว่านี้หน่อย
ผมนวดขมับ “ฟังกูนะยำ กูว่ามึงเปลี่ยนใจเหอะ”
“ไม่”
“ถ้าเอาไปให้พี่ภูดู มึงจะ…” มองท่าทางภูมิอกภูมิใจของเพื่อนก็ได้แต่พ่นลมหายใจอีกรอบ ยอมเปลี่ยนคำพูด “เอ่อ มึงจะเอาอะไรไปใช้ต่อรอง”
“ทำไมต้องใช้? นี่ไง” นิ้วมันจิ้มใส่ข้อ 2. “บอกอยู่ชัดๆ ว่าครั้งแรกมันไม่มีสิทธิ์โต้แย้งหรือแก้ไขทั้งสิ้น”
เออ กูเห็นแล้ว
“แถมกูป้องกันการแก้ไขข้อตกลงด้วย”
ไอ้ที่ว่าจะแก้ไขหรือเพิ่มเติมต้องทำต่อหน้าพยาน หากพยานคนใดคนหนึ่งไม่เห็นด้วยก็จะแก้ไขไม่ได้ แถมกว่าจะแก้ไขครั้งแรกได้ก็ปาไปสามเดือน…เหอะๆๆ มึงคิดอยู่กับพี่ภูนานขนาดนั้นเลย
ผมมองหน้ายำด้วยความปลงตก ถามเสียงเอื่อยๆ “แล้วที่ต้องเอาฉบับจริงมาด้วยทุกครั้งล่ะ?”
“อ้อ แค่ป้องกันโดนทำลาย กูเลยเติมไปว่าถ้าไม่พกติดตัวมาก็ไม่มีสิทธิ์แก้ไขข้อตกลงเดิม”
ผมเหลือบมองพาร์ สบตากันปุ๊บก็ส่ายหน้าให้ผมทันที…เห็นแค่ตัวอักษรที่พิมพ์มาก็รู้แล้วว่ายำพิมพ์เอง น่าจะถกเถียงกับพาร์นานเลยล่ะ สุดท้ายพาร์คงยอมแพ้ ปล่อยคนดื้อยืมเอกสารข้อตกลงส่วนของมันให้ดูเป็นต้นแบบ ก่อนปล่อยให้พิมพ์ข้อความเอาเอง ผมบอกได้เลยว่า ข้อตกลงฉบับนี้ของยำเหมือนเด็กเขียนเล่นมากกว่า เอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้หรอก
“…ยังไงมึงก็จะใช้เจ้านี่?” ผมถามอย่างใจเย็น
“เออ”
“ไม่สนใจแผนกูแล้ว?”
“ถ้ามันไม่ได้ผล ค่อยใช้แผนมึง”
ผมส่ายหน้า “ถ้ามึงจะใช้เจ้านี่ แผนกูคงใช้การไม่ได้แล้ว มึงต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง”
ยำขมวดคิ้ว ครุ่นคิดไม่นานก็ชี้กระดาษในมือผม “กูเลือกใช้เจ้านี่”
ผมถอนหายใจ “ตามใจมึง”
พูดพลางคืนกระดาษทั้งสองแผ่นให้เจ้าของ นึกสงสัยในใจว่ามันเป็นพวกมาโซหรือเปล่า ชอบทำให้ตัวเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แล้วก็มาบ่นว่าถูกเขารังแก กรณีอย่างยำควรเรียกว่าสมยอมให้พี่ภูรังแกชัดๆ มิน่าพี่ภูถึงได้ไร้ความเกรงใจขนาดนั้น ผมล่ะกลุ้ม
“เอ่อยำ กูมีอีกเรื่องจะบอก”
“ไร?”
“กูให้คำแนะนำแค่ครั้งนี้ ต่อจากนี้กูจะไม่ยุ่งเรื่องมึงกับพี่ภูแล้ว”
ยำทำหน้างง “ทำไมล่ะ”
“มึงโตแล้ว อย่าดึงเพื่อนไปยุ่งเรื่องความรักของมึง”
“แต่พี่ไอ้ภูไม่ใช่…”
“จะรักไม่รักก็เรื่องของมึง” ผมพูดขัด “คนนี้มึงได้มาเพราะความขาดสติของตัวเอง อย่าลืมจำไว้เป็นบทเรียน และมึงควรรู้ได้แล้วว่าเพื่อนยังเป็นคน ไม่ใช่ผู้วิเศษ ช่วยมึงไม่ได้ทุกเรื่องหรอก”
“มึงจะตัดหางปล่อยวัดกู”
“เรียกผลักลูกเสือตกหน้าผาดีกว่า เพราะมึงพึ่งพาพวกกูมาตลอด ถึงเวลาที่มึงจะแก้ปัญหาที่เจอด้วยตัวเองได้แล้ว”
“มึงผิดหวังที่กูไม่ได้เลือกแผนมึงใช่ไหม”
“เปล่าเลย กูดีใจต่างหาก” ผมยิ้มให้มัน “เพราะเป็นก้าวแรกที่มึงเลือกทางเดินด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นทางที่ถูกหรือผิดก็ตาม เมื่อเลือกแล้วก็ห้ามเสียใจหรือถอยหลัง เจออุปสรรคอะไรก็ฝ่าฟันไปซะ แล้วมึงจะเข้มแข็งขึ้น โดยไม่ต้องแสร้งแสดงออกว่าตัวเองเข็มแข็งอย่างทุกวันนี้”
ยำนั่งหน้าหงอยใส่ผมทันที อย่าหวังว่าผมจะใจอ่อน…
“เอางี้ กูจะให้คาถามึงไว้ป้องกันตัวจากพี่ภู”
“คาถา?”
“ใช่ แต่ต้องสัญญาก่อนว่าห้ามเอามาใช้บ่อย และต้องใช้เฉพาะเวลาถึงขีดสุดแบบทนไม่ไหวแล้วเท่านั้น”
“ทำไม?”
“เพราะถ้าเอามาใช้บ่อยจะไม่ศักดิ์สิทธิ์”
“…คาถาอะไร?”
“สัญญามาก่อน”
“สัญญา”
ผมพยักหน้าพอใจ ก่อนเฉลย “คาถาเมิน”
“ฮะ?”
“เมินชนิดว่าเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงอากาศธาตุ พี่ภูทำอะไรมาก็ไม่ต้องไปโต้ตอบ นิ่งเฉยเป็นตอไม้ได้ยิ่งดี”
คนฟังมีปฏิกิริยาต่างกันไปทันที ยำอ้าปากเหวอ ส่วนพาร์หรี่ตามองผมใหญ่
…ไม่ต้องมองจับผิดแบบนั้น ผมไม่เอาวิธีนี้ไปใช้กับพาร์หรอก ขืนทำจริง แล้วเจอมากอดมาอ้อนทำตัวหงอยใส่ ผมคงรู้สึกผิดมากกว่ารู้สึกดี แต่ยำต่างไป เพราะมันนิ่งเฉยไม่เป็น ไม่พอใจก็แสดงออก ชอบใจก็แสดงออก โวยวายเก่งเป็นที่หนึ่ง เกิดจู่ๆ นิ่งเฉยขึ้นมาคงแปลกพิลึก ผมคาดเดาว่าพี่ภูต้องไม่ชอบใจ ยิ่งถ้าวิธีแก้ของตัวเองไม่ได้ผลต้องกระวนกระวายใจแน่ๆ ถือเป็นข้อได้เปรียบข้อมันล่ะนะ
“กูหวังว่ามึงจะเอาคาถานี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเองสูงสุด”
ปล่อยให้ยำซึมซับคำพูดของผมไปคิด ถือโอกาสนี้ไปจ่ายเงินค่าอาหารกับค่าเค้ก (ที่เชนออกให้ก่อนหน้านี้) แล้วค่อยชวนไปหาพี่ภู (ตอนนี้จะสี่ทุ่มอยู่แล้ว) คนที่ไปมีแค่สามคน (เชนขอบาย เพราะต้องอยู่ช่วยงานพี่สาว)
รอลิฟต์คอนโดพี่ภูอยู่ไม่นานก็ได้เข้ามายืนในกล่องสี่เหลี่ยม ปล่อยตัวเลขเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผมมองทางยำยำ มันยืนเงียบอยู่ข้างแผงตัวเลขในลิฟต์ ไม่ยอมมองมาตั้งแต่ออกจากร้านแล้ว
ผมลอบถอนหายใจ…ช่วยไม่ได้ล่ะนะ
ทันทีที่ลิฟต์เปิดออก ยำก็จำเท้าเดินออกไปก่อน ก้าวเร็วจนพวกผมต้องรีบเดินตาม
…มันรีบไปหาพี่ภู? หรือกำลังหนีหน้าผม เพราะงอนเนี่ย?
“เชนบอกกูว่ามึงต้องการบอดี้การ์ด?”
ผมหันไปมองพาร์ “ก็ไม่เชิง แค่อยากได้คนเก่งๆ ช่วยระวังให้กูอีกต่อ เผื่อพลาดขึ้นมาจะได้มีคนช่วยทันเฉยๆ”
พาร์พยักหน้ารับรู้ “…ไม่นึกว่ามึงจะสั่งสอนเพื่อนต่อหน้ากู”
“สถานการณ์พาไป”
“เพื่อนมึงคงอายกูแย่”
ผมกระพริบตา “แต่ถ้ากูไม่พูดตอนนั้นคงไม่มีจังหวะได้พูดอีก”
“มึงคิดมากไป”
ผมขมวดคิ้ว “มันดื้อขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่จังหวะที่ควร มันก็ไม่ฟังหรอก ไม่สิ มันฟัง แต่ปล่อยผ่านหูไม่สนใจเก็บไปคิดมากกว่า”
“…เลยจะปล่อยให้พี่ภูอบรมเพื่อนมึง?”
“เรียกว่าสั่งสอนทางอ้อมดีกว่า สำหรับยำเรียนรู้จากภาคปฏิบัติน่าจะเร็วกว่าเรียนจากทฤษฏี มึงก็เห็นว่ามันไม่ใช่คนที่คิดอะไรซับซ้อนเป็น ยังไงก็สู้พี่ภูไม่ไหวหรอก”
“ดูมึงรู้จักพี่ภูดีนะ”
ผมชะงัก “…มึงหึง?”
พาร์ทำหน้าประหลาดใจที่โดนถามแบบนี้ แต่ก็ตอบตามตรง “นิดหน่อย ไปรู้จักกันตอนไหน?”
“เคยปะทะกันทางโทรศัพท์หนหนึ่ง”
“เมื่อไหร่?”
“ตอนไปห้องยำไง มึงกลับมาจากซื้อข้าวยังจ้องกูซะน่ากลัว นั่นนะกูพึ่งวางสายจากพี่ภู”
พาร์ย่นคิ้วครุ่นคิดใหญ่ สักพักก็ทำหน้านึกออก “มึงยิ้มด้วย ชอบสินะ?”
“ก็ถูกใจนิดๆ อย่างน้อยพอวางใจได้ว่าเพื่อนกูจะไม่โดนทิ้งก่อน”
“เขาชอบเพื่อนมึง?”
“งั้นมั้ง…เป็นพวกขี้หึงเหมือนมึงเลย”
พาร์ใบ้กินทันที ผมได้แต่ยิ้มขำ ระหว่างเดินกันเงียบๆ จู่ๆ พาร์ก็เรียกผมเสียงแผ่ว
“กูมีเรื่องจะบอก”
“หือ?”
พาร์โน้มหน้าเข้าใกล้ กระซิบข้างหูของผม “ลิฟต์ตัวเมื่อกี้มีเรื่องเล่าด้วยนะ”
เรื่องเล่า?!
“เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะตอนกลางคืน…”
“ไม่ๆๆ กูไม่อยากรู้ ไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น!”
พูดไปก็เผลอกวาดตามองระแวงรอบตัวไป ทางเดินติดหลอดไฟจะสู้แสงอาทิตย์ได้ไง แต่ๆ เวลานี้พระอาทิตย์หนีไปนอนนานแล้ว แล้วทำไมไม่มีใครเดินสวน หรือเดินตาม…ไม่ๆ ไม่ต้องเดินตามหรอกผมสยอง ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว สุดท้ายก็คว้าชายเสื้อพาร์มากำเป็นเด็กๆ แต่ผมอุ่นใจที่ได้ทำแบบนี้มากกว่า
“ไม่อยากฟังแน่นะ?”
“ไม่ฟัง!”
เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะในคอ ผมขมวดคิ้วหันมองพาร์ แต่สีหน้ามันเป็นปกติ แถมยังมองมาเป็นเชิงถาม
“ม…ไม่มีอะไร เดินตามยำไปเถอะน่า”
แต่คนพูดถึงเดินนำห่างตั้งแต่ต้น กลับเป็นฝ่ายเดินวกกลับมาหาก่อน พร้อมรอยยิ้มเหือดแห้ง
“เอ่อ ห้องพี่ภูหมายเลขอะไรนะ”
ผมติดสตันไปสามวิ ก่อนถามกลับ “มึงไม่รู้?”
“ไอ้พี่ภูอุ้มกูที่หลับเข้าห้อง ตอนออกมาก็เดินกึ่งวิ่งตามแรงฉุดของมึง ไม่ทันได้มองเลขห้องวะ”
ผมตบหน้าผากทันทีหลังได้ยิน “แล้วเดินนำทำไม”
“ก็…” พูดถึงตรงนี้มันก็เงียบไป
ผมถอนหายใจ กวาดตามองดูเลขห้องแถวนี้ ก่อนยกมือชี้ทาง “เรามาผิดทางแล้ว ต้องเดินย้อนกลับไปทางลิฟต์ แล้วเลี้ยวไปอีกด้าน”
“อ้าว”
อย่ามาอ้าว แค่นึกว่าต้องเดินผ่านลิฟต์ผมก็ขนแขนลุกแล้ว คิดแล้วก็โบกมือให้ยำเดินนำ ลากพาร์เดินไปด้วยกัน ยิ่งเข้าใกล้ลิฟต์ผมยิ่งขยับชิดพาร์มากกว่าเดิม ไม่คิดหันไปมองลิฟต์ตัวที่ว่า กว่าจะผ่านพ้นมาได้ใจผมเต้นผิดสเต็ปด้วยความระทึกตั้งนาน
ย...ยอมรับก็ได้ว่าผมกลัวผี!
ทำใจสักพักค่อยเงยหน้ามองทางข้างหน้าอย่างหวาดระแวง แว่วเสียงหัวเราะเบาๆ จากคนข้างๆ
“หัวเราะอะไร”
“หัวเราะคนน่ารัก”
ผมขมวดคิ้ว แถวนี้มีคนน่ารักที่ไหน มองไปทั้งทางเดินมีแต่ผู้ชายสามคน วังเวงเป็นบ้า…เฮ้ย มันคงไม่เห็นอะไรแบบว่า อึ๋ย อย่าคิดๆ
“ช่วยน่ารักน้อยลงหน่อยได้ไหม มันไม่ดีกับหัวใจกู”
“อีกไกลไหมวะ?”
เสียงยำตะโกนแทรกมา หลังชูมือบอกหมายเลขห้องให้เห็นก็ปล่อยยำมองหาเอาเอง หันไปถามคนข้างๆ ซ้ำอีกที เพราะเมื่อกี้จับใจความทันแค่คำว่า ‘ช่วย’ กับ ‘ไม่ดีต่อหัวใจ’ อะไรสักอย่าง
“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ?”
“กูบอกว่า…เพื่อนมึงกระโดดแหยงๆ อยู่นู้นแล้ว”
ผมหันมองตามที่พาร์ชี้บอก เห็นยำกำลังชูมือกระโดดแหยงๆ อีกข้างชี้ใส่บานประตูห้อง จู่ๆ ประตูบานที่ว่าก็เปิดออกกะทันหัน ลากไอ้ยำที่ไม่ทันตั้งตัวหายวับเข้าไปด้านใน
เฮ้ย!
ระหว่างรีบวิ่งไปที่หน้าห้องนั้น ผมเห็นประตูปิดต่อหน้าต่อตา แว่วเสียงกดล็อกกลอนลอยเข้าหู ลองพยายามเปิดประตูกลับติดล็อกตามคาด
“เอาไงต่อ?”
ผมมองหน้าคนถาม ตัดสินใจปล่อยมือจากลูกบิด บอกด้วยเสียงปลงตก “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อีกอย่างกูพอจะเดาผลได้ตั้งแต่ยำเลือกเอกสารข้อตกลงของมันแล้ว”
“งั้นก็กลับ”
พวกผมเดินผละจากมา ลองคิดดูอีกที พี่ภูคงรู้ว่าเป็นยำจากเสียงตะโกนถามหาห้อง แล้วยังเสียงกระโดดหน้าห้อง ถ้าไม่ใช่ยำคงไม่มีใครกล้าทำ ผมขอถอนหายใจอีกเฮือกแล้วกันครับ รู้สึกเหมือนผมไหม มันทำตัวเองชัดๆ
“คิดว่าพี่ภูจะยอมเซ็นชื่อปะ?”
“ไม่อ่ะ” ผมตอบทันที “ถ้าไม่ทำลายทิ้ง ก็อาจยอมเซ็นเล่นๆ ให้ยำตายใจจะได้อยู่ในโอวาท”
“…ดูมึงรู้ความคิดเขาดีนะ”
“ช่วยไม่ได้วะ ความคิดของกูกับพี่ภูมีบางส่วนคล้ายกัน เดาไม่ยากหรอก”
“งั้นเหรอ”
“อือ แต่ถ้าสมมุติพวกกูอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน แม้จะคิดคล้ายกัน แต่วิธีการคงไม่เหมือน เพราะอุปนิสัยต่างกันล่ะมั้ง…”
ผมหยุดพูด เพราะความรู้สึกเหมือนตกจากที่สูงช้าๆ แบบนี้มัน รีบกวาดตาสังเกตรอบตัวก็พบว่ากำลังอยู่ในลิฟต์...
แว๊กกก!
ผมกระโจนเข้าหาสิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวใกล้ๆ เกาะติดหนึบพาร์ประหนึ่งเราเป็นปาท่องโก๋ หลับหูหลับตาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หากโหยหวนได้คงบอกแค่ประโยคนี้
ปล่อยกูออกไป~
ติ๊ง!
ดุจเสียงสวรรค์ ผมรีบลืมตาลากพาร์ออกมาทันที ไม่สนใจว่าชั้นไหนทั้งนั้น ขอแค่ออกห่างจากลิฟต์ผีสิงได้ก็พอ แต่โชคดีที่มันเป็นชั้น1
ทางออกอยู่ไหน มองเจอปุ๊บลากพาร์ไปปั๊บ “จอดรถไว้ไหนวะ รีบเลย กูอยากกลับบ้าน”
“พรืด!”
“ใช่เวลาหัวเราะที่ไหน! นำทางเลย เร็วๆ”
“ครับๆ”
แต่พอจะถึงบ้านจริงๆ ผมกลับไม่อยากให้ถึงซะนี่
“เอ่อ แวะที่อื่นก่อนดีไหม”
“มันดึกแล้ว”
“พึ่งเลยสี่ทุ่มครึ่งมานิดเดียวเอง”
“ก็ดึกแล้วอยู่ดี”
ความเงียบเริ่มปกคลุมในรถ ผมนั่งเครียดทำใจเตรียมรับสถานการณ์ที่จะเกิด…
“ที”
“อะไร”
“ถึงหน้าบ้านมึงพักหนึ่งแล้ว นู้น ผู้ปกครองสองคนออกมายืนหน้ายักษ์รอมึงอยู่”
เร็วเกินไปแล้ว!
“รีบลงรถเลย กูอยากอาบน้ำนอนจะแย่แล้ว พรุ่งนี้กูมีสอบเช้าด้วย”
คนสอบพรุ่งนี้บ่ายอย่างผมทำได้แค่เปิดประตูรถลงมาด้วยสีหน้าเจี๋ยมเจี้ยม ยังไม่ทันอ้าปากพูดขอโทษ สองเสียงก็ประสานใส่หน้าผม
“กักบริเวณ!”
ผมถอนหายใจ คาดเดาไม่ผิด
“เอาตารางสอบมาให้ทาจังด้วย เพราะทั้งขาไปและขากลับจากมหาลัย นิกกับทาจังจะคอยรับส่งเราเอง นอกนั้นห้ามออกจากบ้านจนกว่าทาจังจะพอใจ”
อันนี้ก็ตามคาด
“พกกระเป๋าเงินได้ แต่ข้างในต้องมีแค่ยี่สิบบาท”
ผมทำหน้าเหวอกับคำพูดลุงนิก “แล้วทีจะมีเงินที่ไหนไปซื้อข้าวกิน?”
“ถ้าวันไหนสอบทั้งเช้าและบ่าย ทาจังทำข้าวกล่องให้เอง รีบเข้าบ้านอาบน้ำซะ ก่อนนอนลงมาให้ทาจังสั่งสอนก่อนด้วย”
“สะ…สั่งสอนแบบไหนครับ?”
“ทางวาจา ส่วนร่างกายรอไปก่อน ทาจังก็อยากรู้ว่าเราขึ้นสนิทหรือยัง”
ผมรีบส่ายหน้า “ไม่แน่นอน ทีพึ่ง…” หุบปากฉับ ขืนบอกว่าไปเตะผ่าหมากคนมาด้วยเหตุผลขี้ปะติ๋ว มีหวังโดนดุด่าหนักกว่าเดิม
“พึ่ง?”
“พึ่งนึกได้ว่าควรฝึกร่างกายทุกวัน แต่ช่วงนี้ติดสอบ ทีเลยไม่ค่อยได้ทำ”
“นั่นสินะ แต่ก่อนนอนอย่าลืมมาหาทาจังล่ะ”
“ครับ”
ผมขานรับเสียงแห้ง เอาเถอะ โดนด่ายาวก็ดีกว่าแบกร่างกายสะบักสะบอมไปสอบล่ะนะ
เข้าสู่ช่วงสอบสองอาทิตย์ ในมหาลัยจะว่าเงียบสงบก็ใช่ แต่ก็เหมือนคลื่นใต้น้ำ บางทีก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกจากมุมโน้นมุมนี้ อาการบ้าๆ บอๆ ของเพื่อนที่สติแตกก็มีให้เห็น เรียกเสียงหัวเราะคลายเครียดได้ไม่น้อย เป็นช่วงที่หลายคนเลือกอยู่กับตัวเอง บางคนก็เลือกติวกับเพื่อน
ผมอยู่ในกรณีแรก เพราะติดโทษกักบริเวณจากผู้ปกครอง จะมีเวลาอิสระก็แค่ก่อนเข้าสอบเกือบชั่วโมง ส่วนหลังสอบไม่ต้องถามหา ถ้ากระโดดเกาะรถที่มาจอดหน้าตึกถูกเวลาได้คงทำไปแล้ว ลองเลียบเคียงถามดู ถึงพบข้อเท็จจริงบางอย่าง
ลุงนิกกับทากะซังเป็นศิษย์เก่าที่นี่ครับ ที่หายไปช่วงผมสอบเนี่ย ไม่ได้ไปไหนไกลเลย แค่แวะเวียนตามร้านอาหารต่างๆ ในมหาลัยบ้าง นอกมหาลัยบ้าง เชื่อเถอะ ลุงนิกกับทากะซังไปรำลึกความหลังกันมาแหงๆ ที่น่าเหลือเชื่อคือ กะเวลาผมสอบเสร็จได้ตรงเผง คือผมน่ะออกก่อนหมดเวลาสอบทุกที ความจริงไม่ควรกะเวลาได้สิ
“อ้อ ง่ายจะตาย ทีใช้เวลาทำข้อสอบพอๆ กับทากะ แล้วลุงคำนวณของทากะมาตั้งกี่ครั้ง ถ้ายังเดาของทีไม่ถูกก็แย่แล้ว”
เป็นคำตอบที่ผมพูดไม่ออก ส่วนคนโดนอ้างชื่อแค่ยิ้มแห้งส่งให้
ขอวกกลับเข้าเรื่องเดิมอีกครั้ง เนื่องจากเวลาอิสระมีแค่นี้ แขกที่แวะมาหาเลยต้องมาช่วงนี้ตาม
ขาประจำเป็นใครไม่ได้นอกจากพาร์ มันจำตารางสอบของผมได้ แถมยังสามารถให้ข้อมูลกับคนอื่นได้อีก ถึงตอนนี้ยังอยู่บ้านเดียวกัน แต่ต่างคนต่างไป รถผมโดนมันยึดครองไปแล้ว (ยอมครับ พาร์จำเป็นต้องใช้) เพราะเวลาสอบส่วนใหญ่ไม่ตรงกัน มีตรงกันอยู่ครั้งหนึ่งพาร์เลยติดรถมาด้วย กลายเป็นว่าขากลับมันโดนลุงนิกทิ้ง ต้องหาทางกลับมาเอง (โชคร้ายที่วันนั้นทากะซังไม่ได้ไปด้วย) สุดท้ายเอารถมาเองสะดวกสำหรับมันมากกว่า
ส่วนขาจร (ที่มาเพียงครั้งเดียว) คนแรกคือพี่ดินครับ มาหาเมื่อวันพุธ ผมสอบวิชาที่สองพอดี มาถึงก็นั่งหน้ายุ่งใส่ผม
“พี่ได้ยินพาร์บอกว่าเราโดนผู้ปกครองสั่งกักบริเวณ”
“ครับ”
“มารับมาส่งตามเวลา ห้ามเถลไถล”
“ครับ”
“แผนพี่เลยต้องงดไปโดยปริยาย”
“...ครับ”
“เฮ้อ…” พี่ดินเคาะนิ้วกับโต๊ะ “เอาเถอะ เป็นเรื่องช่วยไม่ได้”
แล้วพี่ดินก็จากไปแบบงงๆ อันที่จริงผมลืมแผนของพี่แกไปแล้ว ที่พอจำได้ก็ให้ตัวติดกันเข้าไว้ กินข้าวกลางวันด้วยกัน ไปหากันถึงหน้าห้องสอบ อะไรพวกนี้ แต่ที่ผมจำได้แน่ๆ คือตารางสอบของพาร์ครับ ไม่ใช่อะไรหรอก โดนพี่ดินสั่งให้ท่องจำหลายเที่ยวมาก ประมาณไม่แม่นไม่ปล่อยตัว
หลังจากนั้นสองวัน ยำเป็นฝ่ายมาหาผมถึงที่ สงสัยเพราะผมสอบตึกรวม แถมเพื่อนผมก็ยังไม่มีใครมา มันถึงกล้าเข้ามาหา เพราะจนถึงตอนนี้มันก็ยังเข้าหน้าเพื่อนกลุ่มผมไม่ติด ยิ่งหลังทั้งกลุ่มรู้ว่ายำกับเด็นเลิกกันไปแล้ว และคาดเดาว่าที่เด็นโดดสอบก็เพราะยำเป็นเหตุด้วย มันก็ยิ่งหลีกเลี่ยงมาหาผมมากขึ้น
“ไอ้ที”
“หือ?”
“กูกลัว”
“ฮะ?”
“พี่ภูโคตรน่ากลัวเลย!”
“มึงโดนแกล้งอีกแล้ว?”
มันส่ายหัวไปมา ทำหน้าจะร้องไห้ “พี่ภูโคตรใจดี ใจดีจนเหมือนไม่ใช่มัน กูกลัววะ”
ซะงั้น
“แล้วมึงบอกวินยัง?”
“บอกแล้ว กูโดยมันโวยวายใส่แทบแย่”
“ก็สมควร มันเป็นห่วงมึงมากนี่”
“วินกับไวแค่เข้าใจผิด คิดว่าคู่แค้นอย่างพี่ภูอุ้มกูไปทำร้ายร่างกาย…ถึงมันจะเดาถูกส่วนหนึ่งก็เถอะ”
ผมยิ้มให้กับประโยคหลังแผ่วเบานั้น เพราะหน้าคนพูดออกอาการกระอักกระอวนไม่ค่อยอยากเอ่ยถึง
“แล้วมึงไปสารภาพกับพวกนั้นหรือยังว่านั่นนะสามี”
“ใครจะไปกล้าบอก”
“ไม่บอกเพื่อนก็เข้าใจผิดไม่เลิก”
“กูรู้ ทุกวันนี้เล่นโทรมาถามสารทุกข์สุขดิบทุกคืน จนพี่ภูมองเขม่นทุกทีเวลากูคุยโทรศัพท์กับวิน”
ก็สมควร
คิดอย่างปากผมพูดอีกอย่าง “เรื่องของมึง ตัดสินใจเอาเอง”
“กูนึกว่ามึงจะอาสาไปช่วยบอกซะอีก”
ผมเลิกคิ้วหลังได้ยินเสียงโอดครวญ “กูบอกแล้วว่าไม่ยุ่งก็คือไม่ยุ่ง มึงจัดการเอาเองเถอะ”
ถัดมาอีกอาทิตย์ (วันจันทร์) บังเอิญเจอพี่ภูหน้าห้องสอบ ส่วนผมกำลังรอเข้าสอบห้องที่เฮียแกพึ่งออกมานั่นแหละ พี่ภูเดินแยกกลุ่มเพื่อนเจาะจงมาหาผม ทำเอาเพื่อนกลุ่มผมกระเจิงไปคนละทาง เพราะหน้าเฮียแกโคตรไม่รับแขกเหมือนเดินมาหาเรื่องกันชัดๆ มาถึงก็ฉีกยิ้มเหนื่อยๆ ให้ สงสัยโดนข้อสอบสูบพลังงานไปเยอะ
“พี่ได้ยินว่ายำไปโวยวายกับเรา”
“พี่คงมีสายเยอะมาก” ข่าวถึงได้วิ่งเข้าหูพี่แก
พี่ภูหัวเราะ “ก็ไม่เท่าไหร่ แล้วจริงหรือเปล่าล่ะ”
ผมพยักหน้า “ได้ยินว่าพี่เปลี่ยนมาใจดีแล้ว?”
“ก็ลูกแมวเล่นบอกโต้งๆ” พี่ภูชูนิ้วขึ้นนับ ยิ้มกริ่มอย่างน่าหมั่นไส้ “ช่วยดูแลฉันดีๆ หน่อย ช่วยตามใจฉันหน่อย อ้อ มีช่วยเอาอกเอาใจฉันหน่อย พี่เลยทำเฉยไม่ลง กลัวลูกแมวไม่พอใจหนีไปอีก”
“แล้วข้อตกลงสองแผ่นนั้น?”
“หลังอ่านจบ พี่ก็จัดการเอาไปเคลือบพลาสติกแขวนเก็บไว้อย่างดี ข้อความอ้อนจากลูกแมวเถื่อนเชียวนะ ใครจะทิ้งลง”
“แล้วพี่ได้เซ็นชื่อปะ?” ผมถามเรื่องอยากรู้ที่สุด
“เซ็นสิ”
ผมทำหน้าประหลาดใจ “เพื่อให้ยำตายใจ?”
“เปล่า แค่เซ็นรับรู้ว่าได้รับข้อความประท้วงจากลูกแมวแล้ว แต่พี่เซ็นไปแค่แผ่นเดียว” พูดถึงตรงนี้พี่ภูก็หัวเราะ “น่ารักดีนะ พี่ไม่รู้เลยว่ายำคิดทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย”
ผมอยากถอนหายใจจริงๆ คนหนึ่งคิดอย่าง อีกคนคิดอย่าง แต่กลับอยู่ด้วยกันได้ ลองนับนิ้วดูแล้วผมก็รีบถาม “อยู่ร่วมกันหนึ่งอาทิตย์แล้วเป็นไงบ้าง?”
“ดีนี่ ช่วงนี้ลูกแมวของพี่ตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือเลยไม่อยากไปกวน แต่เวลาพี่เครียดๆ ก็ชอบไปแหย่เล่นนะ เห็นปฏิกิริยาตอบกลับมามันสนุกดี”
“แล้ว…เอ่อ เรื่องทางร่างกาย?”
“ช่วงนี้พี่ไม่ได้ไปยุ่ง”
ผมพยักหน้า รู้สึกโล่งใจแทนเพื่อน “ยังไงก็ช่วยทะนุถนอมร่างกายเพื่อนผมหน่อยนะครับ”
“พี่จะพยายาม”
แต่ก่อนพี่ภูจากไป กลับทิ้งท้ายให้ผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ว่าพี่แกจะมาเอาคืนหรือเปล่า
“ลูกเตะเราเยี่ยมมาก หึๆๆ”
-------------
“โดนทากะซังไล่ออกมา?”
ผมยิ้มแห้งให้พาร์ จัดการถอดผ้ากันเปื้อนออกจากตัว
จะว่าไงดี ผมช่วยเตรียมวัตถุดิบได้ แต่ช่วยทำอาหารไม่ได้ เนื่องจากวิชาในครัว ผมเรียนมากับแม่บ้านของคุณย่าที่เป็นคนไทย เวลาปรุงรสมันเลยออกไปทางไทยมากกว่าญี่ปุ่น สรุปคือทากะซังไม่ปลื้ม ผมเลยต้องระเห็จออกมานั่งรอกินด้านนอกแทน เพราะถ้าอยู่ในครัวต่อ มันอดไม่ได้ต้องคันไม้คันมืออยากทำบ้าง และกลายเป็นว่าไปขัดแข้งขัดขาทะกะซังแทน (ผมเลยมักโดนไล่ออกมาตลอด)
“เหลือสอบอีกกี่ตัว?”
ผมทำหน้านึก “สาม”
“แล้วเพื่อนมึงล่ะ โผล่หน้ามาสอบยัง”
“ไม่เห็นเลย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ คนที่คิดซิวบางคนไม่มาสอบก็มี เด็นเลยโดนเพื่อนๆ ลงความเห็นว่าอาจจะซิวไปเรียนที่อื่น”
“มึงยังไม่ได้บอกเพื่อนคนอื่น?”
“รอสอบเสร็จก่อน บอกไปตอนนี้ก็ทำให้กังวลเกินเหตุเปล่าๆ ปล่อยพวกนั้นมีสมาธิกับเรื่องสอบไปเถอะ…แล้วได้ข่าวอะไรเพิ่มไหม?”
“ผู้ปกครองมึงปิดปากเงียบ เดาว่าคงคิดเหมือนมึงคืออยากให้สอบเสร็จก่อน กูเลยได้แต่แอบๆ ฟังมา ไม่ค่อยปะติปะต่อเท่าไหร่”
ผมถอนหายใจ “เอาเถอะ เรื่องถึงตำรวจแล้ว พวกเราทำได้แค่รอผลอย่างเดียว”
พาร์พยักหน้าเห็นด้วย “อ้อ ได้ยินมาว่า ตำรวจแจ้งไปทางผู้ปกครองเด็นกับทางมหาลัยแล้ว”
สีหน้าผมเปลี่ยน “กลายเป็นเรื่องใหญ่แล้วสินะ”
“ก็คนหายไปเป็นอาทิตย์”
“แต่ยังมีชีวิตอยู่”
“จากที่ตามร่องรอยพบ” พาร์ว่าเสริม “และดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับสามคนที่เราแจ้งบอก ทางตำรวจเลยแค่จับตามองพวกมันอยู่ห่างๆ”
“ถ้าไม่เกี่ยวแล้วเด็นจะหายไปได้ยังไง?”
“กูเดานะ แค่เดา บางทีอาจหนีจากคนพวกนั้นล่ะมั้ง”
“แล้วถ้าไม่ใช่”
พาร์ส่ายหน้า “กูไม่รู้ เท่าที่จำข้อมูลพวกมันได้ ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น”
“พาร์! ที! มาช่วยทาจังยกออกไปหน่อย”
พวกผมขานรับ รีบตรงเข้าครัวไปช่วยยกอาหารออกมาจัดวางบนโต๊ะ ยุติเรื่องเครียดลงแค่นั้น
############
ใครสนใจคู่ภูยำ เรามีเปิดเรื่องไว้นะคะ
ชื่อเรื่อง: [My Cat Trap] กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน!
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56932.msg3535252#msg3535252