B.L.O.O.D.L.I.N.E
FOUR
ASA
ภายในห้องทำงานอธิการบดีของ Arch University แตกต่างจากที่อื่น อย่างน้อยๆห้องทำงานที่ไหนก็คงไม่มีหนังสือประดับฝาผนังนับพันเล่มอย่างที่ผมเห็น เป็นเวลาหลายสิบชั่วโมงที่ผ่านไป ผมหลับนอนกินข้าวและนั่งกระวนกระวายอยู่ในห้องนี้ โทรศัพท์ผมหายก่อนจะมาถึงแอชยู ยังไม่ทันได้ติดต่อกลับไปหาโยชิ ผมกับเวสตันก็ถูกเรียกตัวมาสอบสวนโดยคณะผู้บริหาร Arch University หรือที่พวกเรารู้ก็คือ คนเหล่านี้เป็นผู้คุ้มครองพวกเราในแผ่นดินประเทศไทย ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดคือบาทหลวงเยโรมที่สิบสามผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาก็คืออธิการบดีคนแรกและคนปัจจุบัน
เรื่องที่ทำให้ผมถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องนี้เป็นเวลาเกือบสองวัน ก็ด้วยเรื่องข่าวคนตายที่เกิดขึ้นอีกครั้งหลังหญิงสาวผู้โชคร้ายล่าสุดที่เราพบพร้อมกับการมาของเอเดน พี่ชายต่างสายเลือดที่แสนจะชิงชังน้องชายร่วมพ่อเดียวกันอย่างผมยิ่งกว่าอะไรในโลกหล้า
พวกผู้คุ้มครองได้ตรวจสอบศพที่อยู่ในรูปแบบหลากหลาย และต่างก็ลงมติเห็นพ้องต้องกันแล้วว่า มนุษย์กลายร่างที่สามารถจัดการศพให้อยู่ในรูปแบบเหล่านี้ได้ก็คือพวกนากินี ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ศพแข็งเป็นหินเยี่ยงเมดูซ่า ศพที่ถูกรัดร่างกายจนกระดูกทั่วร่างแหลกละเอียด หรือศพที่ใบหน้าเละจากการถูกพิษของเรารินรดเสียชีวิต ซึ่งอย่างหลังเป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่าเหล่านากินีเป็นคนทำ
แต่นากินีที่จะทำได้ ต้องเป็นนากินีที่เป็นสายเลือดแท้หรือพวกชั้นสูงมีอายุมากกว่ากว่าห้าร้อยปีขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้นพวกผมจึงน่าสงสัยที่สุด เพราะพวกเราเป็นเสมือนผู้ปกครองชาวนากินีในประเทศไทย นับรวมๆกันแล้ว มีไม่ถึงยี่สิบตนที่สามารถสาปให้มนุษย์กลายเป็นหินหรือแพร่พิษทางการมอง เพราะฉะนั้นทางผู้คุ้มครองจึงได้จับผมมาเค้นหาความจริงว่าใครที่เป็นคนก่อเหตุอาชญากรรมรุกรานเหล่ามนุษย์สามัญคนธรรมดา
แน่นอนว่าพวกผมไม่ได้เป็นคนทำ ถึงจะมั่นใจกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ว่าการตายของมนุษย์ธรรมดาทั้งหมดจะเป็นฝีมือของเอเดน แต่ก็ยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าเขาทำมันจริงๆ จนกว่าเอเดนจะยอมรับจากปาก แต่คำถามต่อมาก็คือ เขาทำไปทำไม มันไม่มีเหตุผลที่เขาต้องทำแบบนี้ที่นี่ นอกเสียจากว่าเขาต้องการก่อกวนผม ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมก็ยังคงไม่เข้าใจเหตุผลที่เขาทำอีกอยู่ดี
เขาไม่ชอบผมไปจนถึงขั้นเกลียดเข้าไส้ ด้วยอะไรบางอย่างทำให้เขากลัวว่าผมจะแย่งทุกอย่างที่เป็นของเขา แย่งอำนาจที่เอเดนพึงได้รับจากพ่อ แต่ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่เคยคิดอยากได้ของๆเขา ไม่เคยต้องการความรักจากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อ คนๆเดียวกับคนที่สั่งฆ่าคนรักของผมอย่างเลือดเย็นเยี่ยงกำพืดตามเผ่าพันธุ์ ผมไม่ต้องการอะไรจากตระกูลสเตนเบิร์ต ตระกูลที่เป็นนากินีสายเลือดแท้หรือเรียกอีกอย่างว่าสายเลือดราชวงศ์
สิ่งที่ผมต้องการคืออยู่การได้อยู่กับคนที่ผมรัก อยู่ในที่ๆมีแค่ผมกับดาร์เรล ไม่ต้องการยิ่งใหญ่ ต้องการแค่อิสระในการดำรงชีวิต ไร้กฎเกณฑ์ข้อบังคับ ไร้เงาอำนาจของครอบครัว
ผมถึงได้ตัดสินใจออกจากผืนแผ่นดินที่ตระกูลสเตนเบิร์คมีอำนาจควบคุม มาอาศัยอยู่ในเมืองไทยพร้อมกับดวงจิตของดาร์เรล นับแต่นั้นชีวิตผมก็สงบสุข แม้ชีวิตในแต่ละวันแต่ละปีจะผ่านไปด้วยการเฝ้ามองคอยคุ้มครองคนที่รัก แต่แค่มีเขา ผู้เป็นดั่งดวงใจ ชีวิตก็เต็มไปด้วยความสุขที่หาจากใครไม่ได้อีก
บางสิ่งบางอย่างที่เชื่อมโยงให้ผมกับดาร์เรลอยู่เคียงข้างกันแม้ว่าเขาจะตายจากไป กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาเพื่อรอเวลาย้อนคืนสู่วังวนเดิม บางสิ่งบางอย่างที่เชื่อมโยงดวงจิตของเราสองคนเอาไว้ เขาอยู่ที่ไหนผมอยู่ที่นั่น ผมไปไหนเขาจะตามติดไปเกิดยังทุกหนแห่งที่ผมอยู่ ในกรณีที่ผมไม่ยอมให้เขากลับสู่วังวนเดิม เขาจะถือกำเนิดใหม่ในสถานที่ที่ใกล้ตัวผมที่สุด ที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด และมันจะเป็นตลอดไป
ถึงอยากให้โยชิอยู่กับผมตราบนานเท่านาน ไม่มีวันพรากจากกัน แต่การได้เป็นมนุษย์ธรรมดา เปรียบเสมือนได้รับพรวิเศษจากพระเจ้า ไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ ชีวิตขาวสะอาดไร้คำสาปให้แปดเปื้อนหม่นหมอง การเป็นมนุษย์กลายร่างไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี ไม่สวยงามเหมือนที่ใครคิด และผมไม่มีวันให้โยชิตกนรกทั้งเป็น
แกร๊ก!
ผมหลุดออกจากความคิด หันมองไปที่ประตูไม้โอ๊คบานใหญ่ ร่างสูงใหญ่ในชุดนักบวชสีขาวสลับฟ้าหม่น ฮูทด้านหลังขลิบด้วยผ้าปักดิ้นสีทอง ผิวหนังมีริ้วรอยไปตามกาลเวลา เขาเป็นมนุษย์ปกติทั่วไปที่อยู่เหนือพวกเราที่นี่ นักบุญเยโรม
“เบื่อแล้วสินะ ที่ต้องนั่งอยู่ในห้องแคบๆ” นักบุญเยโรมเอ่ยเมื่อก้าวเข้ามาใกล้ผม ก่อนจะเดินเลี่ยงไปที่มุมห้องเพื่อชงชา เสียงช้อนกระทบแก้วช่วยให้ห้องไม่เงียบ
“ผลการตรวจเป็นยังไงบ้างครับ” ผมอดทนรอไม่ไหวจึงชิงถามถึงการตรวจสอบพิษของผมกับเวสตันว่าตรงกับเหยื่อที่ตายหรือไม่ ส่วนคนอื่นๆเพียงแค่รีดพิษมาตรวจสอบเท่านั้น
นักบุญเยโรมหันมามองแต่ไม่ได้ตอบ เดินถือแก้วชากลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ตรงข้ามกับผมที่นั่งรอมาเป็นวันๆ
“แล้วเจ้าคิดว่าผลควรจะเป็นยังไง” ริมฝีปากหยักโค้งยิ้มอ่อนโยน ใช้สายตาอ่อนโยนแทนคำตอบ
“ไม่ตรง เพราะผมกับเพื่อนไม่ได้เป็นคนทำ” ความจริงก็คือผมเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่คนร้าย
“แต่พวกนากินีทำ เจ้ารู้ใช่ไหม” ท่านถามกลับ ผมพยักหน้าสองทีเห็นพ้อง
“ผมรู้” พยักหน้าสองทีเห็นพ้อง “ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด”
นักบุญเยโรมมีสีหน้าพอใจเมื่อผมเอ่ยว่าจะเป็นคนจัดการเรื่องยุ่งยากที่เกิดขึ้น “ฉันจะปล่อยตัวเธอไปจัดการกับปัญหานี้ แต่อย่าลืมเสีย ห้ามฆ่าผู้ที่ทำ จับเป็นมาให้พ่อ พ่อและทางผู้คุ้มครองจะเป็นผู้จัดการเอง”
“ครับ” ผมรับปากไม่เต็มเสียงนัก อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ยามที่ผมโมโห ไม่เคยสักครั้งที่จะควบคุมตัวเองอยู่
“แล้วอย่าช้านัก พ่อไม่อยากให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตายเพิ่มอีก ทุกชีวิตมีค่า ดูแลพวกเขาให้ดี” นักบุญเยโรมพูดพลางยกชาร้อนกลิ่นหอมกรุ่นขึ้นจิบ ผมนักรอคำอนุญาตออกจากห้องนี้ “ไปเถอะ จิตใจของเจ้าดูจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ทำอะไรก็ระวังตัวให้ดี มีสติตลอดเวลา” คำแนะนำสุดท้ายก่อนที่ผมจะถูกปล่อยตัวออกจากห้องสี่เหลี่ยมที่ใช้ควบคุมตัวผมเป็นเวลาถึงสองวัน
ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้แทบจะทันทีที่จบประโยค เดินอาดๆไปที่ประตูไม้บานใหญ่ เวสตันยืนพิงกำแพงรอกึ่งสบายใจกึ่งกังวล
“จะเอายังไงต่อ” เราสองคนเดินไปตามทางออก ผมครุ่นคิดถึงแผนการที่ไม่ได้มีไว้ล่วงหน้า ผมไม่ถนัดวางแผนหรือใช้สมองสักเท่าไหร่ ถ้าซึ่งๆหน้าละก็ขอให้บอก
“ฉันจะไปคุยกับเอเดน” เพียงพูดชื่อเขา ไฟในตัวก็แทบจะแผดเผาเพราะโทสะ
“เย็นไว้ อาซา อย่าตื่นไปกับหมากที่เขาวางไว้ให้นายเดิน นายต้องตั้งสติให้มากกว่านี้ถ้าคิดจะรับมือกับเอเดน” เวสตันยั้งไหล่เตือนสติ ผมถอนหายใจยาว หลุบตาต่ำแล้วลืมตาจ้องหน้าเวสตัน
“ฉันจะกลับไปหาโยชิ” สองวันที่ผมไม่ได้ติดต่อไป คงทำให้เขาร้อนใจหรือไม่ก็โกรธ ก่อนอื่นผมต้องกลับไปดูว่าเขาปลอดภัยดีให้เห็นกับตา แล้วค่อยกลับมาสะสางปัญหา
“แล้วนายจะบอกเรื่องนี้กับโยชิไหม” เวสตันเดินนำ เลี้ยวขวาก็เจอทางออก
“เป็นไปได้ ฉันไม่อยากให้โยชิยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้” คราวเจอร์โรมถือว่าเด็กไปเลยถ้าเทียบกับความร้ายกาจของเอเดน ผมไม่อยากให้โยชิเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาสมควรใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย
“ฉันว่ารับมือโยชิยากกว่ารับมือเอเดนนะ” เสียงหัวเราะขำของเวสตันพลางทำให้ผมยิ้มเมื่อนึกถึงเด็กแสบ ช่างขี้สงสัยอยากรู้อยากเห็นไปซะทุกเรื่อง แต่ผมไม่เคยรำคาญ ก็แค่ต้องหาวิธีรับมือกับแววตาช่างถามที่คอยจะส่งมาตลอดเวลายามที่เจ้าตัวเกิดข้อสงสัย
“ก็จริง แต่เพื่อความปลอดภัยของเขา ก็คงต้องยอมให้โกรธ” ผมส่ายหัวเนือยๆ
“ฉันเอาใจช่วย”
อย่างที่เวสตันว่า การรับมือโยชิหนักหนากว่าอะไรทั้งปวง เพราะผมไม่รู้จะหาวิธีไหนทำให้เขาอยู่ให้ห่างจากความยุ่งยากโดยที่เขายอมแต่โดยดีแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวและต้องไม่ให้เขาเสียใจน้อยใจ นักใจยิ่งกว่าต้องรับมือกับพี่ชายร่วมสายเลือดพ่อ
ในตอนที่ผมกับเวสตันเดินออกมาที่หน้าตึกอำนวยการ เจอกับฟรินน์ที่ยืนรอผมด้วยใบหน้ากระวนกระวาย เมื่อฟรินน์หันมาเห็นผมทั้งสองคนก็รีบวิ่งตรงเข้ามา เสียงลมหายใจดังพรืด
“ข่าวร้าย” ฟรินน์ว่าหน้าไม่สู้ดี
“เรื่องอะไร” เวสตันเป็นคนถาม ฟรินน์สบตากับผม แววตาเปลี่ยนเป็นดวงตาของอสรพิษเพียงเสี้ยวนาที
“เอเดนไปหาโยชิที่บ้าน ตอนนี้เขาอยู่ที่นั่น ที่ๆนายเพิ่งจะไปมา” ฟรินน์พูดกับผมเสียงเครียด ผมได้ฟังก็ถึงกับสมองชา เหมือนถูกกระแสไฟฟ้าช็อตเข้าที่หัว
“ใครบอกนาย” เวสตันตั้งสติได้ดีกว่าผมเสมอ ผมขมวดคิ้ว นิ่งงัน สูดลมหายใจยาวและเรียกสติกลับคืน
“โยชิโทรมาหาฉัน เขาติดต่อนายไม่ได้” ฟรินน์ล้วงโทรศัพท์ออกมาให้ ผมรับมากดโทรหาโยชิโดยพลัน สัญญาณดังแค่สองครั้งก็มีคนรับสาย
“ฮัลโหลฟรินน์ นายบอกอาซาหรือยัง!”
“โยชิ นี่ฉันเอง” ผมกรอกเสียงทุ้มต่ำลงไป ต้องใช้แรงอย่างมากในการยับยั้งร่างกายไม่ให้กลายร่าง เป็นทุกครั้งยามที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่ว่ามนุษย์กลายพันธุ์หน้าไหนก็เป็น เว้นแต่เป็นพวกใจเย็นที่จะเก่งเรื่องควบคุมความรู้สึก แต่ผมไม่ใช่ ผมใจร้อนยิ่งกว่าลาวาใต้พิภพ
“อาซา! โอ้พระเจ้า!!! นายหายไปไหนมา ทำไมไม่ติดต่อกลับมาหาฉันบ้าง รู้ไหมว่าฉันจะบ้าตายอยู่แล้วที่ติดต่อนายไม่ได้!!!” โยชิใส่อารมณ์เต็มขั้น ผมดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหูนิดหน่อย เวสตันแหละฟรินน์ทำหน้าหวาดกลัวกับเสียงของโยชิที่เล็ดลอดให้ได้ยิน ผมกระแอมไอในลำคอ เตรียมอธิบายให้โยชิฟัง
“ใจเย็นๆ ฉันขอโทษ จากใจจริงเลย” ผมใช้น้ำเสียงอ่อนโยนสยบโยชิ ได้ผล เขานิ่งเงียบไป ผมพูดต่อ “โทรศัพท์ฉันหาย และฉันมีเรื่องด่วนมากเลยไม่ได้ติดต่อไป ฉันจะเล่าให้นายฟังหลังจากฉันไปถึงบ้านนาย โอเคไหม” ผมจริงจัง เดินไปที่รถของฟรินน์เพื่อกลับไปเอารถที่บ้านพัก
โยชิคงรับรู้ได้ เขาตอบรับสั้นๆ แม้น้ำเสียงติดจะฮึดฮัด “อาซา ฉันมีเรื่องจะบอก เอเดนเขา...”
“ผมฉันรู้แล้ว” ผมพูดแทรก หลับตาและพยายามสูดลมหายใจช้าๆ รู้ตัวว่ากำลังกัดฟันกรอดๆ “ เขาทำอะไรนายไหม”
ผมไม่เคยลืมช่วงเวลานั้น แค่ช่วงเวลาที่แสนสั้น แต่ติดตรึงในความทรงจำไม่เคยจาง ไม่มีวันลบเลือน เสี้ยววินาทีที่เลวร้ายที่สุด ภาพนั้นยังคงชัดเจน คมมีดแหลมปักบนร่างบาง กลิ่นเลือดยังลอดติดจมูก คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เสียงกรีดร้องยังคงสะท้อนก้องอยู่ในหู ลมหายใจแผ่วเบาแน่นิ่งโดยที่ผมไม่อาจช่วยอะไรนอกจากทุรนทุรายมองเขาจากไปต่อหน้าต่อตา
“ฉันปลอดภัยดี แต่ฉันกลัว” ท้ายเสียงแผ่วเบา ผมหลุดออกจากอดีตกลับสู่ปัจจุบัน
“อย่ากลัวที่รัก ฉันจะรีบกลับไปหานาย” ผมปลอบโยชิ “ระหว่างนี้นายต้องระวังตัว อยู่ให้ห่างจากเอเดนไว้ เข้าใจไหม” ผมสั่งกำชับหน้าเครียด ยังเดาไม่ได้ว่าเอเดนต้องการอะไรถึงได้ไปหาคนของผม
“เร็วๆนะ”
“อืม” โยชิเอ่ยล่ำลากับผมอีกสองสามคำก่อนจะวางสายไป รถฟรินน์จอดสนิทที่หน้าบ้าน ผมลงจากรถเดินไปที่รถของตัวเอง เวสตันเดินมายืนข้างตัวรถ
“ให้ไอ้ฟรินน์ไปด้วย ฉันกลัวว่านายจะลงข้างทางก่อนไปถึงเชียงใหม่” ฟรินน์ถูกเวสตันจับยัดใส่รถผม จูเลียตเดินออกมาจากในบ้านพร้อมกระเป๋าหนึ่งใบ ผมลากสายตากลับมาที่พี่ใหญ่ของบ้าน “ฉันส่งข้อความให้จูเลียตจัดของที่จำเป็นให้นายกับฟรินน์”
“ขอบใจ” สั้นๆ แต่ทั้งหมดที่ผมรู้สึกกับสิ่งที่เวสตันทำเพื่อผม
“ด้วยความเต็มใจน้องชาย ขอให้โชคดี” เวสตันโบกมือลา ฟรินน์โยนกระเป๋าไปที่เบาะหลัง ผมกำมือชกกับเวสตันอีกทีก่อนจะกระชากรถมุ่งหน้าสู่ภาคเหนือของประเทศไทย
‘นายแน่มากเอเดน ที่ทำให้ฉันหัวหมุนไปกับเกมของนาย แต่มันจะไม่ตลอดไป’ ที่ผ่านมาผมไม่เคยตามเอเดนทัน เขาเก่งกว่าผมไปเสียทุกอย่าง แต่ถ้าเขาคิดจะทำอะไรคนที่ผมรัก ผมจะใช้ทุกอย่างที่ผมมีเพื่อทำลายเขา!
ไม่เว้นแม้แต่บางสิ่งบางอย่างที่ผมจะเอามาใช้เพื่อปกป้องคนที่ผมรัก!
กลัวก็แต่ว่า มันจะเป็นสิ่งที่เอเดนต้องการ YACHT
“ถึงแล้วครับ ไร่สตรอเบอรี่” ผมหันไปบอกแขกคนสำคัญทั้งสองคน ที่ว่าสำคัญเพราะเอเดนและชาร์ล เพื่อนใหม่สองคนจากอเมริกากำลังจะทำธุรกิจร่วมกับผม โดยเขาสนใจจะรับไวน์ที่ไร่ไปขายที่ร้านของเขา ในกรุงนิวยอร์ก และในอีกหลายเมือง ผมจึงให้การต้อนรับทั้งสองคนอย่างดี
“ที่นี่อากาศดีมาก ไม่หนาวและไม่ร้อนเกิน” ชาร์ลพูด เขาอยู่ในชุดสบายตาอย่างเสื้อโปโลสีขาวกับกางเกงขาสั้นพอดีเขา เอเดนก้าวลงมาจากรถ มือถอดแว่นกันแดดออก ดวงตาคมกริบกวาดตามองไร่สตรอเบอรี่สถานที่เที่ยวแรกของวันที่ผมอยากนำเสนอ
เหตุผลแรกเพราะเป็นไร่ของเพื่อน เหตุผลที่สองคือใกล้กับไร่ของผม มาง่าย เดินทางสะดวก อีกเหตุผลก็คือ ผมคิดว่าเขาน่าจะสนใจ เพราะดูเขาน่าจะชอบอะไรเกี่ยวกับธรรมชาติ
เอเดนและชาร์ลมีเวลาแค่วันนี้วันเดียวในการเที่ยวชมเมืองเชียงใหม่ เนื่องจากทั้งคู่มีธุระต้องกลับไปกรุงเทพกะทันหัน วันนี้จึงขอแรงให้ผมเป็นไกด์พาเขาเที่ยวก่อนกลับ
“เป็นไงครับเอเดน คุณชอบไหม” ผมผายมือฉีกยิ้มนำเสนอ เอเดนหันกลับมามองผมก่อนจะกระตุกยิ้มบางว่าพอใจ
“สวยดี เราเข้าไปดูข้างในกันเถอะ” เอเดนเดินลงไปในไร่ ผมโทรบอกเพื่อนเอาไว้แล้วแต่มันไม่อยู่ เลยให้ผมจัดการนำเที่ยวเอง คนงานในไร่ก็รู้จักผมกันหมด ทุกคนเอ่ยทักทายเมื่อผมและเพื่อนต่างชาติอีกสองคนเดินผ่าน
ร่างสูงของเอเดนย่อตัวนั่งบนส้นเท้า จับลูกสตรอเบอรี่สีแดงฉ่ำน่ากินก่อนจะเด็ดแล้วกัดเข้าปาก ชาร์ลเห็นแบบนั้นก็เงยหน้ามองผมเหมือนจะถามความเห็น
“ตามสบายครับ เด็ดทานได้เลย”
สิ้นคำอนุญาต ชาร์ลก็เลือกผลไม้สีแดงลูกโตก่อนจะชิม
“รถชาติเป็นยังไงครับ” ผมเลิกคิ้วถาม เชื่อในใจว่าทั้งคู่จะต้องชอบ
“ดี ดีมาก” เอเดนเป็นคนตอบ เขาเลือกอีกลูกหนึ่งเพื่อชิมรสให้แน่ใจ
“ไม่น่าเชื่อว่าเมืองไทยจะปลูกสตรอเบอรี่ได้อร่อยไม่แพ้ที่อเมริกา ลูกใหญ่ หวานฉ่ำ เปรี้ยวนิดๆกำลังดี” ชาร์ลเอ่ยชมคำโต
“สตรอเบอรี่ที่เราปลูกเป็นพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งจะคิดค้นได้ กว่าจะได้ออกมาคุณภาพดีแบบนี้ก็ล้มลุกคุกคลานมาพอดู”
เพราะอย่างนั้นผมถึงอยากให้เขามาได้เห็น ว่าบ้านเมืองเราก็ทำอะไรเจ๋งๆได้แม้จะเป็นประเทศเล็กๆที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศมหาอำนาจ
กริ๊งงงง
“ขอตัวสักครู่นะครับ” ชาร์ลปลีกตัวออกไปรับโทรศัพท์ เอเดนมองตามก่อนจะกลับมาให้ความสนใจพุ่มไม้เตี้ยตรงหน้า ผมส่งตะกร้าที่คนงานเอามาให้ให้เอเดน เขาไม่รับไปถือ เพียงแต่สบตาผม
“ถือให้ผมหน่อย ได้ไหม” เขาขอ ผมเพียงแค่ยิ้ม
“คงไม่ได้ครับ ผมก็ต้องถือของตัวเองเหมือนกันนะ” ผมชูตะกร้าอีกใบในมือให้เขาดู
“โอเค” เอเดนไหวไหล่ หยิบตะกร้าไปถือเอง ผมลอบมองใบหน้าเขา รู้สึกแปลกกับอะไรบางอย่างที่เขาแสดงผ่านสีหน้า เหมือนจะเป็นคนสุภาพยิ้มง่าย แต่ออร่าบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวทำให้ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้สุภาพอย่างที่ตาเห็น มีความแข็งกระด้างซ่อนอยู่ภายใน และมีความเอาแต่ใจอยู่ลึกๆ ในตอนนี้ผมยังมองเขาไม่ออก เขาลึกลับเกินกว่าจะมองให้ทะลุด้วยตาเปล่า
“ถ้ามองผมนานอีกนิด ผมจะคิดว่าคุณสนใจผมนะยอร์ช”
“อ่า” ผมครางในคอ สะดุ้งที่เขาจับได้ว่าผมแอบมอง และรู้สึกเขินแปลกๆที่ทำให้เขาเข้าใจผิดมหัน “ผมเปล่าชอบคุณ ผมหมายถึง ในแง่นั้น”
เขาดูไม่ค่อยเชื่อ แต่ผมไม่สนใจ ผมเป็นผู้ชายเต็มร้อย ไม่เบี่ยงเบนไปทางไหน เขาจะเชื่อหรือไมก็ช่างเขา
ผมเลิกจ้องเอเดน หันไปเก็บสตรอเบอรี่กลับไปฝากน้องชายแสนซนที่ไม่ค่อนจะซนเท่าไหร่ตั้งแต่อาซากลับกรุงเทพไปเมื่อสองวันที่แล้ว
“เก็บไปให้ใคร” เขาชวนคุย ผมคิดว่านะ
“เก็บไปให้น้องชายผม เขาชอบกินมาก คุณเชื่อไหม หมดไร่ก็ไม่พอให้โยชิกิน” ผมหัวเราะเมื่อนึกถึงน้องชาย นี่ถ้าไม่ห้ามเข้าไร่เพราะกลัวได้รับอันตราย องุ่นกว่าค่อนไร่คงหายไปอยู่ในท้องเล็กๆแทนเอาไปบ่มไวน์หรือส่งขาย
“ผมเชื่อ” คราวนี้เขาทำผมแปลกใจอีกรอบ เรื่องที่น่าเชื่อกลับทำเหมือนไม่เชื่อ เรื่องที่ไม่น่าเชื่อกลับเชื่อ
สงสัยผมคงออกอาการแปลกใจให้เขารับรู้ “ฉันเชื่อเพราะแววตานายดูจริงใจ” เอเดนกล่าวเสียงเบา ลมหนาวพัดผ่านเราสองคน ผมยกมือลูกหน้าจับตาตัวเองหาความจริงใจที่เขาว่า
“ไม่เชื่อผมเหรอ” เขาเลิกคิ้ว ยกมือเสยผมที่ขยับไหวตามแรงลมให้เข้าที่
“ก็เปล่า แต่จะให้ยอมรับโต้งๆ ก็ดูจะเป็นการถือดีเกินไปหน่อย” ผมละสายตาจากเอเดน มองดูชาร์ลที่ยังคุยโทรศัพท์ไม่เสร็จ ลุกเปลี่ยนไปเก็บผลไม้รสหวานซ่อนเปรี้ยวแถวถัดไป เอเดนขยับตามมา
“ผมพูดตามที่เห็น และผมเชื่อในสิ่งที่ตาตัวเองเห็นเสมอ ถ้าคุณจะยอมรับความจริง ผมไม่คิดว่ามันเป็นการถือดีหรอกนะ”
“งั้นเหรอ” ยิ่งพูดคุยมากเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกว่าเขาน่าทึ่ง เป็นผู้ชายที่น่าหลงใหล ทั้งรูปลักษณ์และคำพูดคำจา
“คุณมีน้องชายไหม” ผมเปลี่ยนเรื่องคุย ตะกร้าของผมเต็มแล้ว แต่ของเอเดนยังเหลือที่ว่างอีกเยอะ ผมจึงเก็บสตรอเบอรี่ใส่ในตะกร้าให้เขา
เขานิ่งคิดอยู่ราวสองนาทีเห็นจะได้ “ก็ไม่เชิง”
“แปลว่ามี” ผมเดาความหมายที่เขาตอบ
“มั้ง คนละแม่”
“คุณดูไม่ค่อยอยากพูดถึงน้องชายเท่าไหร่ ไม่ถูกกันเหรอ”
“ประมาณนั้น”
“อืม” ผมรับรู้ ไม่ถามอะไรต่อ หลีกเลี่ยงหัวข้อที่ก่อให้เกิดความอ่อนไหวทางอารมณ์ หัวกำลังคิดอยู่ว่าจะชวนเอเดนคุยเรื่องอะไรต่อดีเพื่อให้บรรยากาศรอบตัวเราเงียบ เขาก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนอีกครั้งหนึ่ง
“คุณรักน้องชายคุณมากไหม”
“รักมาก รักมากรองลงมาจากพ่อผมนิดหนึ่ง” ผมไม่ลังเลที่จะตอบในสิ่งที่รู้สึกอยู่แล้ว
“แล้ว...” เขาหยุด ผมหันตัวไปทางเขา รอฟังคำถาม “คุณ ไม่คิดบ้างเหรอว่าน้องจะแย่งความรักพ่อแม่ไปจากคุณ”
“หืม?” คำถามของเขาทำให้ผมมึนตึบไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าจะโดนถามคำถามแบบนี้ เพราะไม่เคยมีใครถาม “ไม่ ผมไม่เคยคิดแบบนั้น ผมคิดอยู่อย่างเดียวว่า ต้องรักโยชิให้มากๆ ดูแลโยชิให้ดีที่สุดเท่าที่พี่ชายคนหนึ่งจะดูแลน้องชายได้”
“ทำไม” ผมแอบเหลือกตามองฟ้า ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมพูดแม้แต่เด็กอนุบาลก็ยังเข้าใจได้ แต่ผมทำได้แค่อธิบายให้เอเดนฟังอย่างใจเย็น
“ก็แล้วทำไมต้องกลัวว่าพ่อแม่จะรักน้องมากกว่าละ ในเมื่อพ่อแม่ไม่ได้ทิ้งขว้างเราไปไหน ทุกวันแม่ก็ทำอาหารเช้าไว้ให้พวกเรา ถึงแม่จะต้องคอยป้อนน้อง แต่นั่นก็เพราะน้องยังกินข้าวเองไม่ได้ ตอนเราเด็กๆ แม่ก็คงต้องทำแบบเดียวกัน ในเมื่อพ่อกับแม่ยังดูแลเหมือนตอนที่ยังไม่มีน้อง ก็แค่อาจจะต้องแบ่งเวลาไปดูแลน้องบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าพ่อกับแม่ไม่รักเราซะเมื่อไหร่ ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว”
“งั้นเหรอ” ดวงตาสีเขียวเข้มมองจ้องลึกเข้ามาในตาผมราวกับต้องการค้นหาบางอย่าง ถ้าเขาบอกว่าเขาเห็นความจริงใจจากดวงตาผม เขาก็ต้องเห็นความรักที่ผมมีให้โยชิเช่นกัน
“ให้เดา คุณคงเป็นพี่ชายขี้อิจฉา ใช่ไหม” ผมแค่พูดแหย่เล่น แต่เอเดนเปลี่ยนสีหน้าชั่วพริบตา ดวงตาแข็งกร้าวดุดัน ดวงตาคมกริบฉายแววไม่พอใจ “เอ่อ ขอโทษที ผมแค่พูดเล่น อย่าใส่ใจเลย”
“ไม่เป็นไร” เอเดนตอบอย่างเย็นชา สีหน้าเขาสนทางกับคำพูดนิดหน่อย ผมยิ้มให้บางๆ จบประเด็นพี่ชายน้องชายไว้เท่านั้น
ชาร์ลเดินกลับมา ผมยิ้มให้เขา บรรยากาศอึมครึมผิดกับสภาพแวดล้อมที่แสนจะสดชื่น ทั้งสองคนพูดคุยกันเสียงเบา ผมจับใจความได้แค่ว่าพวกเขามีธุระด่วน ก่อนที่ชาร์ลจะเป็นคนหันมาเอ่ยขอโทษผมเนื่องจากเขามีธุระต้องไปทำที่กรุงเทพกะทันหัน จึงอยู่เที่ยวต่อไม่ได้ ผมจึงพาเขาไปส่งที่สนามบินพร้อมกับความสงสัยที่ว่า
พวกเขาเอากระเปาเสื้อผ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ได้เรื่องว่ายังไงบ้าง” เสียงเข้มถามเพื่อนคนสนิทเมื่อเอนหลังติดกับเบาะที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสบนเครื่องบิน
“มันรู้แล้วว่าเราอยู่ที่นี่ และตอนนี้มันกำลังรีบกลับมา ส่วนคนของเรา เตรียมพร้อมอยู่ที่นู่นแล้ว” ชาร์ลยกขาขึ้นไขว้ห่าง สองมือยกกอดอก
“ดีมาก ไปกัน กว่ามันจะรู้ตัวว่าช้า ทุกอย่างก็สายเกินแก้” ริยยิ้มเย้ยหยันพึงพอใจกับคำตอบ
“แล้วเด็กนั่นกับพี่ชาย” ชาร์ลถาม
“ปล่อยไว้ก่อน พวกนั้นมีประโยคต่อเราแน่ๆไม่ ทางใดก็ทางหนึ่ง” ...........................................
ถามนิด รบกวนให้ความเห็นกันหน่อยนะคะว่าการบรรยายแบบบุคคลที่หนึ่งสองสลับกันไปพา และบางทีก็จะมีติ่งห้อยเป็นการบรรยายแบบบุคคลที่สามแบบตอนนี้ มันโอเคไหม พอรับได้หรือเปล่า กลัวจะมีนักอ่านคนไหนไม่ชอบ ช่วยตอบกันหน่อยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้น กำลังใจชั้นหนึ่งของริริเลยค่ะ ^_^