ตอนที่ 30
แล้ววันต่อมาผมก็สามารถออกจากโรงพยาบาลกลับไปพักฟื้นที่บ้านต่อได้ หมอบอกแล้วว่าไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง แม้จะมีอาการเจ็บแปลบตามแผลที่มีรอยฟกช้ำบ้างแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นทนไม่ไหว คราวนี้ต้องย้ายมาอยู่บ้านแทนจนกว่าจะหายดีถึงสามารถกลับไปอยู่คอนโดได้ตามคำสั่งของคนเป็นแม่ นั่นทำให้วินเองก็ต้องย้ายมาอยู่ที่บ้านผมชั่วคราวด้วยเช่นกัน
“วันนี้ป้าวรรณตั้งใจทำอาหารเยอะเป็นพิเศษต้อนรับคุณชายเล็กของเขากลับบ้านเลยนะ ยิ่งมีแขกมาแล้วด้วยมีความสุขใหญ่เลย” คุณแม่เอ่ยขึ้นในขณะที่ป้าวรรณและเด็กในบ้านกำลังตั้งโต๊ะ
“โธ่คุณพิมพ์คะ ตอนป้ารู้ข่าวก็ตกใจแทบแย่ พอคุณพัตออกจากโรงพยาบาลได้แล้วก็ต้องดูแลให้ดีขึ้น ยิ่งมีคุณวินมาอยู่ด้วยคนแก่ยิ่งปลื้มใหญ่เลยค่ะ บ้านเราจะได้มีสีสันมากขึ้น” คนถูกเอ่ยถึงชี้แจงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“คุณชายของเขานี่คุณ ดูแลยิ่งกว่าไข่ในหินมาตั้งแต่เด็กแล้ว” คราวนี้เป็นพ่อบ้างที่เอ่ยขึ้น
“ขอบคุณป้าวรรณมากนะครับ คนนี้นี่พัตรักที่สุดเลย” ผมเอ่ยบอกคนที่ยืนอยู่ข้างตัวพร้อมรอยยิ้ม
ป้าวรรณคือคนที่ดูแลผมมาตั้งแต่เด็กจริงๆและจนถึงวันนี้ก็ยังคอยดูแลอยู่แม้ว่าผมจะไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆเหมือนเมื่อวันวานแล้วก็ตาม ไม่ว่าจะทำอะไรหรืออยากได้อะไรก็จะตามใจตลอด เวลาที่พ่อกับแม่ไม่ว่างท่านก็คือคนที่คอยอยู่ข้างๆดูแลผม ถือว่าเป็นญาติผู้ใหญ่คนสำคัญของผมเลย
“ไม่เอาแล้วค่ะ พูดไปแล้วเดี๋ยวคนแก่จะร้องไห้ ทานข้าวกันดีกว่านะคะ” ป้าวรรณสิ่งยิ้มอ่อนโยนให้แล้วหันไปตักข้าวให้ทุกคนเป็นที่เรียบร้อยเรียบร้อยก่อนจะออกจากห้องอาหารไปให้เด็กคอยดูแลต่อ
ที่จริงแล้วผมบอกไปแล้วว่าไม่ต้องให้ใครอยู่ในห้องนี้เพราะไม่อยากรบกวน ให้ทุกคนไปทานข้าวเช่นเดียวกันแต่ทั้งป้าวรรณและเด็กในบ้านไม่มีใครยอมบอกว่าเป็นหน้าที่ที่เต็มใจทำ ขนาดพ่อกับแม่บอกยังไม่เป็นผล อย่างน้อยเลยต้องมีสองคนที่ยืนอยู่ในห้องอาหารด้วยเผื่อว่าใครจะต้องการอะไรเพิ่ม
มื้ออาหารค่ำผ่านพ้นไปหลังจากที่ทานยาเสร็จผมก็ถูกไล่ให้ขึ้นมาพักบนห้อง โดนสั่งให้อาบน้ำเพื่อที่จะได้รีบทายาตามรอยฟกช้ำ
“อาบน้ำเองไหวไหม” คนตัวเล็กเอ่ยถามในขณะที่เขากำลังยืนถอดเสื้อให้ผมที่นั่งอยู่ปลายเตียง
“ไหวครับ แค่นี้เอง” พอออกจากโรงพยาบาลทั้งแม่และวินก็ดูจะเข้มงวดกับผมยิ่งกว่าหมอในโรงพยาบาลเสียอีก ทั้งที่ผมและหมอยืนยันแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไรมากแต่ทั้งสองก็ไม่ยอม จะทำนู้นทีนี่ทีต้องเข้ามาช่วยเหลือตลอด แถมยังบ่นให้อีกว่าเพราะผมไม่ระวังตัวแบบนี้ถึงได้บาดเจ็บ
“ให้เราเข้าไปอยู่ในห้องน้ำด้วยไหม เผื่อจะเกิดอะไรขึ้น” วินหยิบเอาทั้งเสื้อและกางเกงขายาวไปใส่ตะกร้าที่อยู่ตรงมุมห้องก่อนจะเดินกลับมาหาผมอีกครั้ง
“พัตไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆครับ” สายตาของคนตรงหน้ากวาดมองไปทั่วร่างที่มีรอยช้ำอยู่ประปราย ความเจ็บปวดจากความรู้สึกข้างในของวินแผ่ซ่านจนผมรับรู้ได้ ดวงตาโตสั่นไหวจนต้องรั้งเอวเล็กเข้ามาหา
เขายังคงมีความรู้สึกทุกครั้งที่เห็นแผลตามตัวผม ราวกับเป็นภาพตอกย้ำ
“พัตยังอยู่ตรงนี้นะ ไม่ได้เป็นอะไรไปทั้งนั้น” กอบกุมใบหน้าเล็กเอาไว้ด้วยสองมือ สัมผัสให้เขารู้ว่าผมยังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ทิ้งเขาไปไหนแบบที่นึกกลัว ผมรู้...รู้ดีว่าในใจวินรู้สึกยังไงบ้าง แค่ลองคิดว่าถ้าผมเป็นเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะหายใจไม่ออกแล้ว และผมรู้สึกผิดเสมอที่ทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้
“อย่าทิ้งเรานะ...ห้ามทิ้งเรา” คนที่ยืนอยู่ซบหน้าลงมาใกล้จนหน้าผากเราแนบชิดกัน น้ำเสียงสั่นไหวเอ่ยพูดอย่างแผ่วเบา
“ครับ” แนบสัมผัสลงไปที่ปากเล็กแทนคำสัญญา ไม่มีการสัมผัสที่มากกว่านั้นแต่กลับหนักแน่นในความรู้สึก ให้วินได้เลิกกลัวเลิกกังวลกับทุกสิ่งอย่างที่เขากำลังคิดอยู่
แม้จะผละออกจากกันแล้วแต่ริมฝีปากผมก็ยังคลอเคลียอยู่กับแก้มนุ่มๆไม่ห่างไปไหน สองแข่นของคนในอ้อมกอดก็โอบรอบคอผมแน่น
“วันเสาร์นี้เราไปทำบุญกันนะ”
“อืม...ไปกันทั้งครอบครัวเลยดีไหม พ่อกับแม่วินจะว่างหรือเปล่า” ผมคิดไว้อยู่เหมือนกันว่าอยากจะให้ทั้งพ่อแม่ผมและพ่อแม่วินได้เจอกัน ทั้งสองครอบครัวจะได้สนิทใจกันมากขึ้นให้ทางฝั่งวินเห็นว่าผมจริงจังและจริงใจ แต่เนื่องจากที่ผ่านมาบ้านผมไม่ว่างบ้างบ้านวินไม่ว่างบ้างเลยทำให้ไม่มีโอกาสได้เจอกันเป็นจริงเป็นจริงซักที
“เดี๋ยวเราจะลองถามพ่อกับแม่ดู...ไปอาบน้ำได้แล้วนะ จะได้ออกมาทายา”
“แล้วนี่ที่เหลือจะไม่ถอดให้หมดเหรอ” เอ่ยเหย้าคนตัวเล็กจนวินรีบขยับถอยหลังออกจากความใกล้ชิดไปทันที
“พัตก็ถอดเองสิ” แม้ผมจะพูดเพียงแค่นั้นแต่คนขี้เขินก็หน้าแดงขึ้นมาได้
“ก็นึกว่าแฟนจะใจดีถอดให้ไงครับ”
“ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลยนะ” ผมได้แต่หัวเราะกับท่าทางของแฟนตัวเองแล้วค่อยๆลุกขึ้นไปอาบน้ำก่อนที่จะโดนคนน่ารักงอนเข้าจริงๆเสียก่อน ถึงแม้ว่าใบหน้าวินจะงอเง้าแต่เขาก็ขยับเข้ามาช่วยพยุงทันทีที่ผมลุกขึ้น ก่อนที่จะปิดประตูห้องน้ำก็ย้ำอีกทีว่าไม่ต้องล็อกประตูถ้าเกิดรู้สึกไม่ดีให้รีบเรียกทันที
ผมใช้เวลาจัดการตัวเองค่อนข้างนานกว่าเพราะไม่ค่อยถนัดซักเท่าไหร่นัก เวลาที่จะขยับร่างกายมันไม่สามารถทำได้อย่างปกติ รู้สึกขัดๆบ้างถ้าขยับตัวเร็วเลยทำให้ทุกอย่างช้าลง กว่าจะออกจากห้องน้ำได้ก็ตอนที่วินเคาะประตูถาม
“ทำไมอาบน้ำนานจัง” ทันทีที่ประตูเปิดออกคนที่รออยู่หน้าห้องน้ำก็รีบถามทันที
“ไม่มีอะไรครับ พัตแค่ขัดตัวนานไปหน่อย” ยืนยันคำพูดด้วยรอยยิ้มที่ทำให้วินสบายใจ อีกฝ่ายถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเข้ามาจับแขนเพื่อพยุงให้ผมเดินออกมานั่งที่เตียง
“พื้นห้องเปียกหมดแล้ว ขยี้หัวก่อนออกมาบ้างไหมหรืออาบน้ำเสร็จก็เดินออกมาเลย” คนที่กำลังซับน้ำออกจากหัวให้ทางด้านหลังเอ่ยบ่นขึ้นมา อย่างที่เขาถามไม่มีผิดเลย พออาบน้ำเสร็จผมก็เช็ดแค่ตัวใส่กางเกงนอนได้ก็เดินออกมาเพราะรู้อยู่แล้วว่าจะมีคนเช็ดผมให้เลยไม่แตะต้องมัน
“ขี้เกียจนี่ครับ”
“ถ้าไม่เห็นว่าเจ็บอยู่เราจะบ่นให้หูชา”
“งั้นก็เห็นใจคนป่วยเถอะเนอะ” ถึงแม้เวลาวินบ่นจะเหมือนมีคนมาส่งเสียงหงุงหงิงอยู่ข้างหูเสียมากกว่าแต่การที่เขาไม่บ่นมันก็คงจะดีกว่า วินเช็ดผมให้จนแห้งเรียบร้อยจึงเอาผ้าเช็ดหัวไปตากแล้วกลับมาทายาให้ คราวนี้วินนั่งลงปลายเตียงข้างกันเพื่อที่จะทายาแถวสีข้างให้ผมก่อน
“ถ้าเจ็บบอกเรานะ” อย่าว่าแต่เจ็บเลย สัมผัสจากมือเล็กๆนั้นบางเบาเสียจนผมแทบไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ คงเพราะเขากลัวว่าผมจะเจ็บเลยไม่กล้าลงน้ำหนักมือเยอะ
“ไม่เจ็บหรอกครับ วินไม่ต้องกังวลขนาดนั้นทาแบบปกติเลย” ที่จริงมันก็รู้สึกเจ็บบ้างแต่ผมไม่อยากให้เขาเกร็งหรือกังวลมากจนเกินไป วินกังวลจนผมกลัวว่าเขาจะกลายเป็นจิตตกไปแล้ว
“มันขึ้นรอยช้ำขนาดนี้นี่นา เรากลัวทำพัตเจ็บ”
“ถ้าพัตทนไม่ไหวพัตบอกแน่นอนโอเคไหมครับ”
“อื้อ ต้องบอกนะ” คราวนี้วินลงน้ำหนักมือมากขึ้นอีกหน่อยแต่ก็ไม่ได้มากถึงขั้นที่จะทำให้ผมเจ็บ พอทายาแผลเล็กแผลน้อยด้านข้างและด้านหลังเสร็จก็ย้ายมาทาด้านหน้าซึ่งมีแผลใหญ่สุดอยู่
ดูเขาตั้งใจให้เสียจนผมนึกขัน ปกติแล้วถ้าต้องมาลูบมาจับตัวผมแบบนี้วินเขาไม่ทำหรอก หน้าหวานๆนั่นคงขึ้นสีจนลามไปถึงหูไม่เป็นอันทำอะไร แต่ครั้งนี้คงลืมความรู้สึกพวกนั้นไปหมดเพราะมัวสนใจแต่รอยตามตัวผมมากกว่า
“จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้มาซักพักแล้วนะครับ” อย่างที่บอกไปว่าพอขึ้นปีสามต่างคนก็ต่างยุ่งกันมากขึ้น เราแทบไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเลยในช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าจะคิดถึงมากแต่ก็เข้าใจว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ จะให้เราทิ้งทุกอย่างเพื่อกันและมันเป็นไปไม่ได้
“เราขอโทษนะที่ไม่มีเวลาดูแลพัตจนทำให้พัตต้องมาเจ็บแบบนี้” คนตรงหน้าหมุนฝาหลอดยาเพื่อปิดแล้ววางมันไว้ที่ข้างเตียง วินช้อนสายตาขึ้นมามองหน้ากันด้วยแววตาสั่นไหว ผมเอื้อมมือไปลูบแก้มนิ่มของคนตรงหน้าอย่างปลอบประโลม
“พัตต่างหากที่ต้องขอโทษที่ไม่มีเวลาดูแลวินเลย”
“เราไม่เป็นไร” เพราะว่าวินเป็นแบบนี้ผมถึงได้รักเขามากมายขนาดนี้
สัมผัสนุ่มนวลอ่อนหวานทาบทับสนิทกันเมื่อผมเป็นคนเคลื่อนหน้าเข้าไปหาอีกฝ่าย ให้ความรู้สึกของเราได้พูดแทนคำพูดทั้งหมด ปากเล็กนี้ ลิ้นเล็กนี้ ทุกอย่างยังคงอ่อนหวานสำหรับผมเสมอ ราวกับได้รับกำลังใจและพลังงานมากมายเมื่อสัมผัสมันและครั้งนี้ก็เช่นกัน
ความรู้สึกนุ่มละมุนและอบอุ่นล้อมรอบตัวจนซึมลึกเข้าไปข้างใน ผมหลงรักทุกสัมผัสของวิน
“อ๊ะ อื้อ...พัตยังเจ็บอยู่นะ” เสียงเล็กๆรีบเอ่ยบอกเมื่อรู้สึกตัวว่าทุกอย่างเริ่มจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ ตอนนี้วินนอนราบไปกับเตียงเป็นที่เรียบร้อยในขณะที่ผมตามมาคร่อมทับเขาไม่ห่าง นานแล้วเหมือนกันที่ผมไม่ได้สัมผัสเขาแบบนี้ โอกาสมาถึงใครจะปล่อยไปง่ายๆ
“ก็กำลังจะรักษาไงครับ วิธีนี้จะทำให้พัตหายเป็นปลิดทิ้งเลยนะ”
“อื้อ...มั่วแล้ว” วินหลุดเสียงในลำคอออกมาทันทีเมื่อผมแนบปากไปกับซอกคอเขาแล้วขบเม้มเบาๆ คนที่นอนอยู่ใต้ร่างก็เอียงหน้าไปอีกทางอย่างให้ความร่วมมืออย่างดี
“ไม่มั่ว”
“ระ เรายังไม่ได้อาบน้ำ”
“ไม่ต้องอาบแล้ว แค่นี้ก็หอมแล้วครับ”
“อ๊ะ!” คราวนี้ไร้ซึ่งเสียงทัดทานใดๆเมื่อผมไม่เปิดโอกาสให้วินได้พูดอะไรออกมาอีก คำพูดแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางหวานที่ผมชอบฟังแทน สัมผัสตอบรับเป็นไปอย่างธรรมชาติ ทุกๆความรู้สึกล้อมรอบตัวเรานั้นทำให้รู้สึกอุ่นๆในใจ ยิ่งกอดยิ่งสัมผัสยิ่งรู้สึกถึงคำว่ารักที่มอบให้กันและกัน
แล้วคืนนี้ผมได้ยาดีจนแทบจะหายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ...
............................................................
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่เราทั้งสองครอบครัวมีนัดไปทำบุญเก้าวัดที่อยุธยาด้วยกัน เป็นเวลาเหมาะเจาะกันเหลือเกินที่พ่อกับแม่วินมีเวลาว่างช่วงนี้พอดีเมื่อท่านไม่ต้องเดินทางไปไหน ตอนที่ผมอยู่โรงพยาบาลท่านมีบินไปดูงานเลยไม่ได้มาเยี่ยม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังโทรมาหาและฝากกระเช้าผ่านวินมาให้
ป๊าวินถึงจะพูดด้วยเสียงแข็งๆตอนคุยโทรศัพท์กันแต่ก็ยังอวยพรว่าขอให้หายเร็วๆ ทางฝั่งพ่อกับแม่ผมเองก็ว่างประจวบเหมาะกันเนื่องจากว่าผมประสบอุบัติเหตุด้วยเลยทำให้พ่อกับแม่ยังไม่อยากเดินทางมากนัก ช่วงนี้ท่านเลยยังอยู่ดูงานที่ไทยซะส่วนใหญ่ ส่วนทางอื่นก็ให้เลขาดูให้ไปก่อน
ทริปนี้มีครอบครัวผมและครอบครัววิน แถมตัวแถมสองคนอย่างไอ้กิมและไอ้จีนมาด้วย เลยถือโอกาสใช้มันเป็นคนขับนั่งหน้าคู่กันไปเลย
“สวัสดีค่ะคุณพิมพ์ สวัสดีค่ะคุณชัต”
“สวัสดีค่ะคุณษา คุณไวย์ด้วยนะคะ” ทันทีที่เปิดประตูรถมาคุณหญิงทั้งสองบ้านก็ทักทายกันตามประสา ฝั่งพ่อผมกับพ่อวินก็ทักทายกันเรียบร้อย เราตกลงกันว่าจะเอารถที่บ้านผมไปวันนี้เลยมารับครอบครัววินแต่เช้าเพราะต้องใช้เวลาทั้งวัน เราใช้รถตู้สำหรับครอบครัวซึ่งมีผมและวินนั่งหลังสุดของรถ
สองสาวของครอบครัวเม้ากันไปตลอดทางโดยไม่สนใจลูกและสามีเลยซักนิด ฝั่งทางคุณพ่อก็เช่นกัน คุยกันอย่างถูกคอทิ้งผมกับวินสองคนนั่งแกร่วอยู่ทางด้านหลัง
“เราเหมือนหมาหัวเน่าเลยเนอะ” คนที่ซบอยู่ตรงไหล่บ่นแบบไม่จริงจังมากนักออกมา
“อืม หัวเหม็นแล้วจริงๆด้วย” ผมกดจมูกลงไปที่กลุ่มผมนิ่มทีนึง ซึ่งกลิ่นมันห่างไกลจากคำที่พูดไปมาก หัววินหอมเพราะเจ้าตัวสระผมทุกวัน เราใช้ยาสระผมยี่ห้อเดียวกันเนื่องจากวินเป็นคนดูแลเรื่องพวกนี้ให้แต่ทำไมรู้สึกเหมือนผมวินจะหอมกว่ายังไงไม่รู้ มันคือความหลงแฟนตัวเองใช่ไหม
“ไม่เหม็นสิ เราสระมานะเมื่อเช้า เราสระผมทุกวันเลย” คนที่ซบอยู่ตรงไหล่เด้งตัวขึ้นมาพูดด้วยหน้าตาเอาเรื่อง มือเล็กๆจับหัวตัวเองแล้วเอามาดมราวกับพิสูจน์กลิ่น
“พัตล้อเล่น จริงจังขนาดนั้นเลยเหรอหืม”
“จริงจังสิ ไม่ได้นะ ผมเราต้องหอม ดมอีกๆ...หอมนะใช่ไหม” มีการยื่นหัวมาให้ดมใหม่อีกรอบ แล้วผมจะทำอย่างไรได้นอกจากกดจมูกลงไปที่หัวทุยๆนั่นอีกที คราวนี้แถมหอมแก้มให้ด้วย
“หอมครับหอม หอมทั้งตัวเลย”
“คนอะไรชอบฉวยโอกาสจริงๆเลย” ปากบ่นแต่หัวกลับเอียงซบลงมาที่เดิม มือเล็กก็กดโทรศัพท์ในมือเจ้าตัวดูไปเรื่อย ผมเองก็ดูความเคลื่อนไหวของโซเชียลไปพร้อมกับวินเพราะของตัวเองไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าสนใจ นานๆทีผมถึงจะเข้าไปเช็คดูบ้าง
พอเจออะไรตลกๆหรืออะไรที่น่าสนใจอีกคนก็เอ่ยพูดด้วย เป็นอย่างนั้นไปตลอดทางจนเราไปถึงวัดแรกของแผนที่เรากำหนดไว้
“ทำไมแม่กับป๊าไม่สนใจวินเลย เจอเพื่อนแล้วลืมลูก” วินขยับเข้าไปอ้อนพ่อกับแม่ตัวเองทันทีที่ลงรถ พ่อกับแม่ผมได้แต่ยืนอมยิ้มกับความน่าเอ็นดูของลูกสะใภ้ตัวเองอยู่อย่างนั้น แววตาอ่อนโยนยิ่งกว่าตอนมองลูกตัวเองเยอะ ผมนี่สิหมาหัวเน่าของจริง
“โตจนมีแฟนเป็นตัวเป็นตนขนาดนี้แล้วยังอ้อนแม่เป็นเด็กๆอีกเหรอหืม”
“ป๊า~” พออ้อนแม่ไม่ไดวินก็เปลี่ยนเป็นเข้าไปอ้อนพ่อแทน ซึ่งคราวนี้คนเป็นพ่อก็โอ๋ลูกอย่างดี พ่อของวินตามใจและรักเขายิ่งกว่าอะไร เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่ลูกอ้อนของคนตัวเล็กจะไม่ได้ผล
“น้องวินนี่น่ารักดีนะคะ ต่างจากลูกบ้านนี้ที่ไม่มีหรอกจะเข้ามาอ้อนแม่บ้าง” คราวนี้เป็นคิวผมที่โดน ทั้งที่ยืนอยู่เฉยๆก็โดนพาดพิงถึง นี่ผมทำผิดอะไรกัน
“ไอ้กิมกับไอ้จีนมาแล้วผมว่าเราเข้าข้างในกันเลยดีกว่านะครับ” พอเห็นว่าเพื่อนทั้งสองที่ไปหาที่จอดรถเดินเข้ามาได้จังหวะเอาตัวรอดพอดีเลยรีบเอ่ยอย่างไว คนเป็นแม่ส่งสายตาค้อนมาให้หนึ่งวงจนผมต้องรีบเข้าไปกอดแล้วหอมแก้มท่านฟอดใหญ่ถึงได้หายงอน ก่อนที่เราทั้งหมดจะเดินเขาไปในส่วนของตัววัด
เราใช้เวลาเกือบทั้งวันในการไว้พระทำบุญเก้าวัด บบรเทาให้สิ่งไม่ดีออกไปและขอให้มีแต่สิ่งดีๆที่เข้ามา ผมเองก็ไม่ได้เข้าวัดมานานแล้วเหมือนกัน ครั้งนี้ช่วยให้จิตใจปลอดโปร่งและสงบนิ่งขึ้น รู้สึกสบายใจ
“มึงจำตอนที่เราบวชพร้อมกันได้ไหมวะ ตอนก่อนจะขึ้นปี1” ไอ้กิมเป็นคนเอ่ยขึ้นมาในตอนที่เรากำลังให้อาหารปลากันอยู่ ส่วนวินกับพ่อแม่เขาและพ่อแม่ผมอยู่ทางอีกฝั่ง วัดนี้เป็นวัดที่เก้าแล้ว วัดสุดท้ายของวันก่อนที่เราจะกลับ
“เออ ที่มึงปวดขี้ตอนดึกๆแล้วห้องน้ำแม่งไกลและมืดจนต้องให้พวกกูไปนั่งเฝ้ามึงขี้ทั้งที่หมาก็หอนไง โคตรเหี้ย” นึกภาพเหตุการณ์ที่ไอ้จีนเล่าแล้วก็ต้องส่ายหน้าออกมา วันนั้นคือสุดยอดจริงๆ บรรยากาศมันวังเวงมากเพราะวัดที่เราบวชเป็นวัดที่อยู่นอกเมือง ด้วยการที่อยากจะเข้าถึงรสพระธรรมอย่างลึกซึ้งเลยเลือกไปที่นั่น
เป็นยังไงล่ะ รู้ซึ้งเลยจริงๆ
“ฮ่าๆ ก็กูท้องเสียนี่หว่า...ได้มาวัดแบบนี้แล้วก็คิดถึงตอนไง ลำบากหน่อยแต่ก็ได้อะไรมาเยอะ”
“ว่าแล้วเราก็ไม่ได้ไปหาหลวงตามานานแล้วนะ” ผมเอ่ยขึ้น ถือว่านานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้แวะไปที่นั่นเลย
“หลังจากนี้เราหาเวลาว่างไปกันดีกว่า” ไอ้จีนเสนอความเห็น
“ตอนที่มึงประสบอุบัติเหตุหลวงตาท่านก็โทรมาหากู บอกว่าฝันไม่ดีเกี่ยวกับมึงแล้วก็ไม่ผิดเลย...ท่านบอกให้มึงทำบุญถ้าว่างก็ให้ไปเอาน้ำมนต์กับท่าน หลวงตาบอกมีของจะให้เราด้วย” ไอ้กิมหันมาพูดกับผม โทรศัพท์ผมเองก็พังจนใช้งานไม่ได้จากอุบัติเหตุท่านเลยคงไม่ได้โทรเข้าเครื่อง วินพึ่งจะซื้อเครื่องใหม่ให้หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลซึ่งผมก็ยังไม่ได้โทรบอกท่าน
“งั้นถ้าว่างก็แวะไปหาท่านกัน” ผมเอ่ยย้ำ คราวนี้ยังไงก็ต้องไปให้ได้
“โอเค/เค” เรายืนให้อาหารปลาจนหมดถุงก่อนจะได้เวลาที่ต้องกลับ ถือว่าจบทริปการทำบุญเก้าวัดเป็นที่เรียบร้อย
กลับมาถึงกรุงเทพกันในช่วงหนึ่งทุ่มและเป็นข้อตกลงของสองบ้านว่าจะทานข้าวที่บ้านของวิน แม่วินเป็นคนเสนอเองว่ามื้อนี้ขอเป็นเจ้ามือซึ่งทางแม่ผมเองก็ไม่ขัด บอกเพียงว่าคราวหน้าขอเชิญที่บ้านตนบ้าง
“อ้อ คุณษาคะ เพชรคอลเลคชั่นใหม่ของทางร้านดิฉันขอจองซักชุดนะคะ เห็นแบบแล้วถูกใจจนอยากเก็บไว้จริงๆ” แม่ผมเอ่ยขึ้นในขณะที่เรากำลังทานข้าวกันอยู่ ผู้หญิงนี่คุยกันเรื่องความสวยความงามเครื่องประดับกันตลอด พอพ่อได้ยินนี่เริ่มเหงื่อตก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่างานนี้ใครที่ต้องจ่าย
“ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะให้คุณพิมพ์จองไว้คนแรกเลยนะคะ จะได้บอกเด็กว่าไม่ปล่อยชุดนั้นไป”
“ขอบคุณค่ะ นักออกแบบของที่ร้านนี่เก่งจริงๆนะคะ สวยทุกคอลเลคชั่นเลย ส่วนแฟชั่นโชว์ที่จะจัด...” แล้วบทสนทนาก็ถูกผูกขาดด้วยผู้หญิงที่เป็นใหญ่ที่สุดของทั้งสองบ้าน บรรยากาศเต็มไปเสียงพูดคุยและรอยยิ้ม ความสุขฉายชัดบนใบหน้าของทุกคนไม่เว้นแม้กระทั้งเพื่อนตัวดีของผมทั้งสอง
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงเวลาหนึ่งเลยจริงๆ
.
.
.
.
.
.
หลังจากทานข้าวมื้อค่ำเสร็จเป็นที่เรียบร้อยก็มีเวลาย่อยซักครึ่งชั่วโมงเพราะครอบครัวผมจะต้องกลับบ้านก่อนที่มันจะดึกไปมากกว่านี้ แต่ละคนแยกย้ายกันไปเป็นคู่ๆ
“วิน พัตมีอะไรจะปรึกษา” ตอนนี้เราทั้งสองคนนั่งอยู่ที่ชิงช้าหน้าบ้าน บรรยากาศในตอนค่ำคืนของสวนหย่อมตรงนี้สวยเสียจนทำให้รู้สึกสบายและผ่อนคลาย ยิ่งมีแสงของดวงจันทร์ที่ลอยเด่นบนท้องฟ้ายิ่งทำให้ทุกอย่างลงตัวไปหมด ผมชอบความรู้สึกของช่วงกลางคืนเพราะมันสงบกว่าตอนกลางวัน
“หืม ว่าไง” คนที่นั่งอยู่ข้างเอียงหน้ามาถาม ขาเล็กก็แกว่งไปมาเล่นอย่างสนุก
“พัตว่าจะขอวินหมั้นไว้ก่อนแล้วหลังจากที่เรียนจบเราค่อยแต่งงานกัน...แบบนี้วินว่าโอเคไหมครับ” คราวนี้วินนิ่งไปทันทีที่ผมพูดจบ เขาคงจะไม่ทันได้ตั้งตัวว่าผมจะพูดเรื่องนี้ออกมาตอนนี้
“ดะ เดี๋ยวนะ เราขอตั้งสติแป๊บนึง” คนตัวเล็กยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองแล้วก็สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะลดมือลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยแก้มสีระเรื่อ “นี่พัตคิดเรื่องนี้มาดีแล้วเหรอ”
ผมอยากจะบอกว่าผมคิดมาตั้งแต่วันแรกที่เขาตกลงเป็นแฟนเสียด้วยซ้ำ ที่ทำทุกอย่างนี้ก็คุยกับพ่อและแม่มาเรียบร้อยแล้วซึ่งท่านก็เห็นด้วยและบอกให้ผมมาคุยกับวินก่อนแล้วค่อยถึงขั้นไปคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่ของวิน ดูว่าพวกท่านทั้งสองจะโอเคไหม ส่วนเรื่องงานพิธีการอะไรต่างๆที่ผมคิดไว้เราก็จะจัดกันแบบเรียบง่ายมีแค่คนในครอบครัว ไม่ใช่งานที่ใหญ่โตอะไร
“คิดมาดีแล้วครับ คุยกับพ่อกับแม่แล้วท่านก็อยากให้ทำอะไรให้มันเป็นเรื่องเป็นราว”
“หมั้นเลยนะ คิดดีแล้วจริงๆใช่ไหม”
“ทำไมวินถามแบบนั้นล่ะครับ หรือว่าไม่อยากจะหมั้นกับพัต” คิ้วผมเริ่มขมวดชนกันเมื่อฟังประโยคที่วินพูด
“กล้าคิดว่าเราไม่อยากหมั้นด้วยเหรอ ใครๆก็ต้องอยากแต่งงานกับคนที่รักกันทั้งนั้น ถึงแม้เราจะไม่ใช่คู่ชายหญิงทั่วไปแต่การทำอะไรตามประเพณีมันก็เป็นสิ่งที่ดีและควรทำใช่ไหม แต่เอาตามตรงคือเราไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย พอพัตถามก็เลยตกใจนิดหน่อย ถ้าพูดออกมาแบบนี้แสดงว่าแอบคิดแอบเตรียมการมาซักพักแล้วใช่ไหม”
“คิดมาแล้วครับ...หมั้นกันนะ มัดจำไว้ก่อนแล้วพอเรียนจบก็แต่งเลย” เอื้อมมือไปจับมือเล็กของวินแล้วกุมไว้แน่น ย้ำคำพูดผ่านทางความรู้สึก
“ตกลง...แต่ตอนจะแต่งขอโรแมนติกกว่านี้หน่อยได้ไหม อันนี้ขอเราหมั้นน่าตาเฉยเลย” ปากสีสดยู่เข้าหากันจนผมหลุดหัวเราะออกมา ตอนที่จะพูดก็ไม่ได้นึกว่าจะเป็นตอนนี้ เพียงแต่พอมาอยู่ตรงนี้แล้วก็รู้สึกอยากพูดขึ้นมาเสียอย่างนั้น พูดแบบที่ไม่ได้เตรียมคำพูดอะไรมาทั้งสิ้น
“อืม งั้นแบบนี้ดีไหม...หมั้นกับพัตนะครับ” ผมลุกจากชิงช้าแล้วคุกเข่าลงข้างหน้าวินอย่างรวดเร็ว อีกคนตาโตขึ้นมาก่อนที่จะยิ้มกว้างเมื่อตั้งตัว เลือดสูบฉีดไปทั้งหน้าจนมันขึ้นสีจัด แม้แสงจะไม่มากแต่ผมก็ยังเห็นและรับรู้ได้ว่าเขาเขิน
“อื้อ เราตกลง” วินโน้มตัวลงมากอดผมไว้แน่น ซบหน้าเล็กลงกับไหล่ในขณะที่ผมก็กอดเขาแน่นเช่นเดียวกัน
ขอบคุณทุกอย่าง ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เราได้มาเจอกัน ให้ผมได้มีคนตัวเล็กอยู่ในอ้อมกอดแบบนี้ และผมสัญญากับตัวเองเสมอว่าจะดูแลเขาให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนนึงจะดูแลคนที่ตัวเองรักได้
ไม่ว่าวันนี้ พรุ่งนี้ วันหน้า หรือว่าวันไหน...เราก็จะมีกันตลอดไปEND.
Talkก่อนอื่นเลยต้องขอโทษที่หายไปนานนะคะ รู้สึกผิดมากๆๆๆๆๆๆ
พอมันเป็นตอนสุดท้ายดูเหมือนว่ามันจะยากขึ้นกว่าตอนปกติ แล้วอีกอย่างพอปิดเทอมคนแต่งก็หนีเที่ยวยาวเลย
...และแล้วเรื่องนี้ก็ดำเนินมาจนถึงตอนนี้ในท้ายที่สุด อยากบอกว่าขอบคุณทุกคนจริงๆนะคะที่เป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ให้กับนักเขียนอนุบาลคนนี้ บางทีเราเหนื่อยเราท้อแต่แค่เพียง1คอมเมนต์ก็ช่วยเอาไว้ได้มากจริงๆ ขอบคุณที่เอ็นดูพัตวิน เกินกว่าคำที่จะพูดก็ไม่มีคำไหนแล้วนอกจากคำว่า...ขอบคุณมากๆจริงค่ะ
ใครที่ติดตามพัตวินเข้าไปดูข่าวสารที่เพจได้นะคะ จะมีแจกของด้วยน๊า ให้ทุกคนเลย
สุดท้ายนี้
จนกว่าจะพบกันใหม่ค่ะ...ด้วยรัก
page >>
https://www.facebook.com/Writer-Ex-SoulL-713126712164342/tw >> @exsoull_
ask.fm >> @itsmesoull