ตอนที่ 1 : Prince’s room
“รู้จัก Prince’s room รึเปล่า”ผมส่ายศีรษะระหว่างจัดเก็บเครื่องแก้วให้เป็นระเบียบ
“ว่าไงรัญ รู้จักมั้ย”
“...กูส่ายหน้าไปแล้ว”
ผมตอบด้วยเสียงเหนื่อยหน่ายกับเพื่อนร่วมงานที่มัวแต่ก้มหน้างุดๆ ใส่โทรศัพท์ หลังดูความเรียบร้อยเสร็จก็เดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อนอกเป็นชุดลำลองธรรมดา ไม่ลืมจัดเครื่องแบบเสื้อกั๊กสีดำและเนคไทแขวนไว้กับล็อกเกอร์พนักงาน
เครื่องแบบที่ประดับตรา ‘มงกุฎพระราชา’ ตรงอกเสื้อ
สัญลักษณ์ของ ‘King’s Club’
คิงส์คลับเป็นคลับผิดกฎหมายครับ ตอนแรกผมสมัครเป็นบาร์เทนเดอร์ที่ ‘ผับ’ ซึ่งเป็นฉากหน้าของคลับต่างหาก แต่พอครบปีและรู้ในสิ่งไม่ควรจะรู้เข้า เพื่อเป็นการปิดปาก...ผมจึงถูกบังคับแกมชักชวนให้มาทำงานในฉากหลังพร้อมกับเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นสองเท่า
บอกตามตรง...สองเท่ายังไม่นับเป็นกำไร เพราะการรับมือกับลูกค้าที่มึนเมาใน ‘ชั้นสอง’ เป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสมาก ทุกครั้งหลังเลิกงานตอนตีสาม ผมเป็นต้องหมดเรี่ยวหมดแรงทุกที
ชั้นสองคืออะไรเหรอครับ อืม...เอาเป็นว่าคลับแห่งนี้มีสองชั้น ชั้นล่างคือแหล่งการพนัน อย่างรูเล็ต ไพ่แบล็กแจ็ค มีกระทั่งการแทงสนุกเกอร์ ส่วนชั้นสองคือแหล่งสังสรรค์ สร้างความเป็นส่วนตัวให้ลูกค้าด้วยโต๊ะกลมที่คลุมม่านปิดทึบเพื่อทำ ‘อะไรๆ’ ตามต้องการ แม้จะมีที่นั่งด้านหน้าบาร์ แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่เพราะมักหวังอย่างอื่นมากกว่า
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ตำแหน่งบาร์เทนเดอร์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะการทำเครื่องแก้วแตกสักใบ หรือการมอมเหล้าลูกค้าให้เมาอาละวาด ถือเป็นสิ่งที่ ‘อัศวินประจำชั้นสอง’ ชื่นชอบ ด้วยจิตวิญญาณรักการบริการของผม ครั้งแรกที่ถูกย้ายมาทำงานที่คลับถึงกับรับความเละเทะไม่ได้ แต่เมื่อทำใจให้ชิน ผมก็เริ่มรู้สึกว่าโลกนี้ยังมีสัจธรรมอีกมากต้องเรียนรู้
ก่อนจะเริ่มเข้าสู่ปรัชญาไปซะก่อน ผมขอพื้นที่ในการแนะนำตำแหน่งในคลับคร่าวๆ ไม่กี่ย่อหน้า
คืองี้ครับ คิงส์คลับแบ่งลำดับชั้นด้วยหมากรุก อาจเพราะเจ้าของหรือบอสนั้นชื่อคิง จึงคิดค้นการแต่งตั้งตำแหน่งอย่างสวยหรูขึ้นมา
ผู้มีอำนาจมากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นบอส
รองลงมาคือควีน คนรักของเขา
ถัดจากนั้นคือเรือ หุ้นส่วนของคลับที่ผมไม่ค่อยได้เจอเท่าไหร่
ต่อมาคือบิชอป ถ้าตามความเข้าใจทั่วไปคือเลขา หรือถ้าให้ง่ายกว่านั้นอีกก็คือฝ่ายบุ๋น
ส่วนอัศวิน...ครับ ฝ่ายบู๊ของคลับนั่นแหละ ตำแหน่งเรือ บิชอป และอัศวินจะมีอย่างละสองคน โดยอัศวินจะแบ่งเฝ้าระวังชั้นหนึ่งกับชั้นสองของคลับเพื่อรองรับเหตุทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้นในทุกวี่วัน
ส่วนผม...ผมคือ
หรัญญ์ เป็นแค่ ‘เบี้ย’ คนหนึ่ง
ครับ พนักงานธรรมดากินเงินเดือนทั่วไปที่ได้ทิปหนักหน่อยนั่นแหละ
“ลองไปกันมั้ย”
“หืม?”
“Prince’s room น่ะ ลองไปกันมั้ย”
“เป็นผับหรือคลับล่ะ”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างเลยเพื่อน”
‘แมน’ บาร์เทนเดอร์ประจำคลับอีกคนหนึ่งเผยยิ้มซุกซนพลางยกนิ้วส่ายไปมาอย่างนึกสนุก
“เอาเป็นว่าตกลงแล้วนะ”
“...จะทำอะไรก็ทำเถอะ” ผมดึงหนังยางคล้องกับข้อมือเพื่อปล่อยเส้นผมสีดำละเอียดยาวสยายปรกบ่า ไม่ใช่ว่าชอบ แต่การทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ทำให้นาฬิกาชีวิตผมผิดเพี้ยน การจะตื่นไปร้านตัดผมเป็นอะไรที่ยากลำบากกว่าสมัยเรียนมากนัก เลยตัดปัญหาด้วยการไว้ผมยาวและรวบมัดตอนทำงานซะเลย
‘ผมนายสวย...’...แม้สาเหตุหลักจะเพราะเคยมีคนชมไว้ก็เถอะ
หลังเลิกงานผมมักซ้อนมอเตอร์ไซค์แมนไปที่หอพักเพราะเราอาศัยอยู่ที่เดียวกันแต่คนละชั้น ฉะนั้นต่อให้ผมไม่อยากมา สุดท้ายก็ต้องจำใจรับปากไป ไม่งั้นผมก็คงกลับห้องไม่ได้ ใช่ว่าอยากจะงกหรอกนะ แต่ช่วงเวลาดึกดื่นตีสามย่างตีสี่แบบนี้เรียกแท็กซี่ยากยิ่งกว่าอะไร เผลอๆ จะโดนขึ้นราคาอีกต่างหาก
ผมถอนหายใจเฮือกอย่างปลงตกเมื่อโดนพามาหยุดยืนอยู่หน้าตึกหรูหราที่ประดับประดาสวยงาม ถึงขนาดมีน้ำพุโดดเด่นอยู่ด้านหน้า
“โรงแรม? ม่านรูด?”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เอ่อ...แต่ก็ไม่ต่างกันมากหรอก”
ผมมองแมนอย่างไม่เข้าใจ
“เอาน่า มึงเองก็ไม่ได้นอนกับใครมาตั้งนานเพราะเบื่อๆ เซ็งๆ ไม่ใช่รึไง มาลองของแปลกดีกว่า”
“ช่วยพูดอะไรให้เข้าใจมากกว่านี้จะได้มั้ย”
“ที่นี่น่ะคือ Prince’s room”
“อ่าฮะ” ผมกอดอก ยืนปักหลังอยู่ข้างมอเตอร์ไซค์อย่างแสดงเจตจำนงว่าจะไม่ขยับไปไหนจนกว่าจะได้คำอธิบาย
“เอ่อ...อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลย กูเองก็ยังไม่เคยมา แต่เห็นคนรีวิวว่าที่นี่จะมีสองห้อง ห้องแรกคือห้องพักส่วนตัว ส่วนห้องที่สองก็คือห้องสำหรับ...” แมนเอาสองมือประกบแล้วทำหน้าหื่น แต่พอโดนผมมองหน้าเรียบเฉย ก็เปลี่ยนมายกมือลูบหัวแก้เก้อ “ประเด็นสำคัญคือคู่นอนจะเป็นแบบสุ่ม เข้าใจมั้ยรัญ ห้องที่สองน่ะเป็นห้องปิดทึบมืดตึดตื๋อ พอเอากันเสร็จก็กลับห้องพักเดิม อาบน้ำแล้วเดินออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น! เราจะไม่มีทางรู้จักหรือเห็นหน้าคู่นอนตัวเอง หมดปัญหายืดเยื้อกวนใจ!”
ยิ่งพูดแมนก็ยิ่งใส่อารมณ์อย่างตื่นเต้น
“สรุปแล้วนี่น่ะเหมาะสำหรับวันไนท์แสตนด์ และพวกไม่เลือกมากมากเรื่องแถมยังรักสนุกแบบเราๆ ไงล่ะ!”
“อย่างมึงน่ะสิ” ผมกุมขมับ ใครนะช่างสรรสร้างที่แบบนี้ขึ้นมาได้
“อย่าดูถูกเชียวนะไอ้รัญ ที่นี่น่ะวางระบบดีมาก แถมมีการแบ่งระหว่าง ‘รุก’ กับ ‘รับ’ ฉะนั้นจะไม่มีการพลิกล็อกแน่นอน แถมยังเลือกได้ด้วยว่าอยากเจอชายหรือหญิง แบบแรนด้อมก็ยังมี”
“กูกลับล่ะ...”
“เฮ้ย มาถึงที่แล้ว ลองสักหน่อยสิวะ!” แมนตามมาลากแขนผมก่อนจะเดินหนี เจอมือปลาหมึกเข้าไปก็ชักรำคาญ สรุปกับตัวเองได้ว่า...มันอยากลอง แต่ไม่กล้าเข้าไปคนเดียวแหงแซะ
“แค่วันเดียวนะ”
“เออน่า ไม่ต้องห่วง เราไม่เจอกันเองหรอก เพราะกูเลือกผู้หญิง ส่วนมึง...”
ผมเดินนำเข้าไปทันทีจนแมนรีบวิ่งตามแทบไม่ทัน ต้องยอมรับว่าปริ้นส์รูมไม่ได้ไร้รสนิยมอย่างที่คิดไว้ เพราะด้านในตกแต่งเหมือนโรงแรมห้าดาว เรียกว่าทุ่มทุนสร้างมากเลยทีเดียว
“กรอกข้อมูลได้เลยค่ะ”
ผมมองแบบฟอร์มลงทะเบียนแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ มีทั้งเขียนโรคประจำตัว และสอบถามเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด แล้วยังรสนิยมส่วนตัวอย่างประเภท BDSM อีก ผมกรอกผ่านๆ ก่อนจะส่งให้พนักงาน ตอนมีคนเดินนำขึ้นชั้นสอง ก็เริ่มจะลุ้นๆ ขึ้นมาบ้าง...
“ถ้าเสร็จแล้วโทรไปแต่ไม่รับ แสดงว่าค้าง โอเคนะ”
ผมส่งสัญญาณมือเป็นเชิงเข้าใจกับแมน เพราะเราถูกพาแยกไปคนจะโซน แน่ล่ะ...ก็ผมเป็นรับ แถมยังเลือกผู้ชายอีกด้วย...
เป็นความโชคดีที่คิงส์คลับไม่แบ่งแยกเรื่องพรรค์นี้เท่าไหร่ แม้จะมีคนรู้ว่าผมเป็นเกย์ แต่ก็ไม่มีใครรังเกียจ
แหงล่ะ บอสเล่นควงผู้ชายเข้ามาโต้งๆ ขนาดนั้น ใครกล้าชักสีหน้าไม่พอใจมีหวังโดนยำเละพอดี!ผมอยากบุหรี่ขึ้นมานิดๆ อาจเพราะรู้สึกตื่นเต้นและหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเดินมาถึงชั้นสอง เห็นทางเดินเล็บแคบก็คลับคล้ายเหมือนถูกลวงมาฆ่า แต่เมื่อมองดีๆ ทางเดินนั้นถูกแบ่งแยกหลายสายจากตรงบันได ค่อนข้างเป็นส่วนตัวทางใครทางมันดี
“มีอะไรสอบถามเพิ่มเติมมั้ยคะ”
“ไม่ครับ ขอบคุณครับ”
หลังมองส่งพนักงานที่ขอตัวลงไปชั้นล่าง ผมก็ใช้การ์ดเปิดประตูอย่างไม่วาดหวังมาก ก่อนจะพบว่า...ไม่ใช่แค่เคาน์เตอร์ต้อนรับด้านหน้าที่หรูหรา ห้องพักข้างในก็ไม่ยิ่งหย่อนไปว่ากัน เทียบกับราคาเข้าพักแล้วถูกกว่าโรงแรงห้าดาวเป็นไหนๆ ทั้งตู้ทั้งเตียงและที่นั่งเล่นรวมถึงโทรทัศน์สำหรับดูวีดีโอ ครบครันและเป็นของมียี่ห้อทั้งนั้น
ผมสำรวจทั่วห้อง เจอถุงยางทุกขนาดวางเรียงในตู้หยอดเหรียญข้างๆ กับตู้เครื่องดื่ม ห้องน้ำใช้ได้ฟรีเพราะรวมในค่าบริการแล้ว แต่ถ้าต้องการชุดสำหรับเปลี่ยนก็มีขายเพิ่มเป็นพิเศษ รวมถึงอุปกรณ์ตามรสนิยม...ก็มีให้ยืมเสียด้วย
เอากำไรจากของพวกนี้นี่เองผมหยิบคู่มือบนเตียงอ่านอย่างละเอียด ส่วนใหญ่อยู่ในกฎระเบียบที่เซ็นรับรองไปตั้งแต่ตอนกรอกข้อมูลข้างล่าง เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ที่บังคับใช้ถุงยาง การทำความสะอาดก่อนเจอคู่นอน ฯลฯ ส่วนที่เพิ่มเติมคือถ้าไฟประตูห้องทางขวามือขึ้นสีเขียวเมื่อไหร่ แสดงว่าอีกฝั่งมีคนเตรียมพร้อมรออยู่แล้ว...
ผมรีบหันไปหาประตูที่ว่าทันที ประตูไม้ธรรมดาไร้แสงไฟ
ด้านหลังบานประตูนั้นคือจุดนัดพบและการแลกเปลี่ยนสัมพันธ์ทางกายกับคนแปลกหน้า
หรือเผลอๆ จะไม่ทันเห็นหน้าด้วยซ้ำ
ไม่ยึดติด ไม่ต้องทำความรู้จัก ไม่มีการผูกมัด
ถึงจะวิตกอยู่บ้างแต่ก็ช่างยวนใจ
ผมวางคู่มือบนเตียงแล้วเข้าไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวให้พร้อม เดิมที...ชีวิตเซ็กซ์สำหรับผมไม่นับว่าแปลกใหม่ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ หน้าตาผมไม่ได้แย่อะไร บางครั้งบางคราวมีลูกค้าในคลับเชิญชวนบ้างก็เล่นด้วยตามอารมณ์ จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อน ดันไปตกได้ลูกค้างี่เง่าเข้า ทำให้เสียการเสียงานและเสียอารมณ์
เอาเป็นว่าเพราะเคยเกิดเรื่องครั้งหนึ่งจนทำเอาต้องขาดงานหลายวัน ผมเลยไม่อยากจะควงกับลูกค้าอีก แต่จะให้ไปเดินหาเอาข้างนอกก็ยากแสนยาก เพราะถ้าไม่เข้าคลับผมก็นอนแผ่อยู่กับบ้าน ทำให้ช่วงนี้ค่อนข้างจะห่างเหินกับเรื่องประเภทนี้อยู่พอสมควร
ผมเดินเปลือยโดยมีผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องรอบคอ ไม่คิดสวมใส่เสื้อผ้าเพราะในคู่มือชี้แจงว่าหากไม่อยากให้เสื้อผ้าที่สวมใส่มายับย่น สกปรก หรือถูกฉีกขาด สมควรถอดแขวนไว้ในห้องจะดีที่สุด ผมนั่งเอนหลังบนเตียง ความหนานุ่มของเบาะนอนทำให้ชักเริ่มเคลิ้ม รอไปรอมาก็อดคิดไม่ได้ว่าที่ไฟไม่ติดอย่างนี้เป็นเพราะไม่มีใครเข้ามาใช้บริการเอาตอนตีสามย่างตีสี่รึเปล่า
ถ้าอย่างนั้นผมก็มาเก้อน่ะสิ
ในคู่มือไม่มีบอกในกรณีที่คู่ขาดเสียด้วย แต่สถานบริการจะไม่มีมาตรการรองรับเลยหรือไง ผมชักรู้สึกหงุดหงิด แต่พออ่านคู่มืออีกรอบ ก็เพิ่งฉุกคิดได้ว่าผมลืมกดปุ่มข้างประตู...อันเป็นสัญญาณว่า ‘พร้อม’ แล้ว
เออว่ะ อีกฝั่งเองก็รอไฟสีเขียวเหมือนกันสินะผมลุกจากเตียงไปกดปุ่มที่ว่าทันที ระหว่างกำลังรอด้วยใจระทึกอยู่นั้น...ไฟเหนือประตูก็กลายเป็นสีเขียว!
น้ำลายถูกกลืนอย่างฝืดคอพร้อมเสียงปลดล็อก ชักรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองจนเกือบเผลอเดินถอยหลัง แต่ไม่รู้ว่าเพราะความอยากลองที่มีมากกว่ารึเปล่า ถึงทำให้ผมบิดกลอนประตูและเปิดออกอย่างกล้าๆ กลัวๆ
พลันไฟทั้งหมดดับพรึ่บ
ผมสะดุ้งเฮือก แวบแรกคิดว่าไฟตก แต่เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูจากอีกฝั่ง ก็นึกได้ว่านี่เป็นระบบอัตโนมัติเพื่อป้องกันไม่ให้เห็นหน้าค่าตาของคู่นอนนั่นเอง
เห็นเพียงเงาร่างสีดำภายใต้ความมืดที่น่าระแวง
แต่ถึงอย่างนั้นก็กระตุ้นเตือนถึงความเร่าร้อนกระหายอยาก
ผ้าขนหนูถูกถอดทิ้งตั้งแต่เดินลงจากเตียง จึงมีเพียงร่างเปลือยเปล่าของผมที่เดินเข้ามาในห้องเล็กแคบไม่อาจมองเห็นด้วยตาว่ามีความกว้างยาวเท่าไหร่ แต่เมื่อลองยกมือแตะกำแพงทั้งสองด้าน ผมก็ต้องประหลาดใจเพราะมันแคบพอๆ กับทางเดินตอนเข้ามาเลยทีเดียว จะกางแขนให้สุดยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
มาประหยัดต้นทุนอะไรในห้องนี้ล่ะเนี่ยแม้จะนึกเคืองไม่น้อย แต่ความเล็กแคบก็ทำให้ผมจำต้องก้าวเดินไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว เสียงของฝีเท้าที่เข้าใกล้กันมากขึ้น เสียงของลมหายใจที่เด่นชัดในความมืดที่เงียบสงัด
เมื่อเห็นเงาร่างสูงโปร่งหยุดยืนเบื้องหน้า ปลายลิ้นแลบเลียก็เผลอขบกัดบนริมฝีปากคล้ายกระดากอาย
ใจเต้นตึกตักจนแทบทะลุจากอก
ทำยังไงต่อดีล่ะ...ทันทีที่ตั้งคำถาม คำตอบก็ถูกยัดเยียดโดยไม่ทันตั้งตัว
ร่างของผมถูกกระชากไปประกบจูบร้อนแรง บดเบียด ขบกัดซ้ำรอยเสียจนต้องหอบหายใจ สัญชาตญาณทำให้เผลอสะบัดตัว แต่ด้วยสถานที่ที่เล็กแคบการกระทำของผมเลยไร้ความหมาย
ไม่นานผมก็เป็นฝ่ายจูบตอบ
สองมือค่อยๆ สำรวจร่างของคู่นอนในค่ำคืนนี้ เริ่มจากช่วงลำตัวและกล้ามเนื้อแขน ผมไล้ปลายนิ้วไปตามแนวลาดไหล่ก่อนจะขย้ำท้ายทอยร่างนั้นเพื่อแลกลมหายใจผ่านปลายลิ้นที่สอดแทรกเข้ามา
หากสองมือของผมซุกซนอย่างน่ารัก สองมือของเขาก็คงเหมือนกรงเล็บสัตว์ที่เริ่มไล้จากด้านบนลงล่างแบบสวนทาง เริ่มจากขย้ำเส้นผมยาวชื้นของผมกึ่งบังคับให้แหงนหน้ารับจูบอันดุดัน ก่อนจะจับยึดลำคอไม่ให้ขัดขืน จนเมื่อผมคล้อยตาม สองมือนั้นก็ค่อยๆ ลากตามแนวสันหลังที่เล่นเอาสะท้านเฮือก และหยุดลงตรงช่องทางที่เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว
สองนิ้วแทรกเข้ามาโดยไม่ตั้งตัว ทำเอาผมถึงกับเผลอขบลิ้นอีกฝ่ายจนร้องโอดโอย แล้วในนาทีต่อมาก็เป็นผมที่ร้องลั่นซะแทนเมื่อร่างนั้นดันเอาคืนโดยการตีก้นดังป้าบ ผมยิ่งไม่ยอมแพ้อ้าปากกัดข้างลำคอจนจมเขี้ยว
ช่างเป็นการต่อสู้ที่ไร้สาระอะไรอย่างนี้ อีกฝ่ายก็คงคร้านจะเอาคืน เลยยกขาข้างหนึ่งของผมขึ้นจนต้องยึดบ่าเพื่อทรงตัว สองนิ้วที่ดุนดันเข้ามาถูกถอนออกไป แทนที่ด้วยบางสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นจมจ่อเข้ามาโดยไม่ต้องอารัมภบทให้มากความ
“ดะ...เดี๋ยว...”
ทันทีที่เซ็นเอกสารยอมรับตั้งแต่หน้าเคาน์เตอร์ คำปฏิเสธก็เสมือนลมที่พัดผ่านไปไม่มีอำนาจห้ามปราม
ผมทำได้เพียงกลั้นใจและจิกปลายนิ้วบนลาดไหล่ที่ถูกเกาะเป็นเสาหลักเมื่อถูกเติมเต็มเข้ามาสุดจนจุกอัก
ขนาดเตรียมตัวไว้ก็ยังเจ็บ
เล่นเอาน้ำตาแทบเล็ด
“อืม...”
ยัง...ยังจะครางอย่างสุขสมอีก ผมจุกจนหมดอารมณ์ แต่ก็ชาดิกขยับแทบไม่ได้ พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหายใจช้าๆ เพื่อไม่ให้สะเทือนไปถึงด้านล่าง เพราะตอนนี้เจ้าหนูของผมหดหมดแล้ว
แต่คู่นอนของผมไม่เข้าใจ
ไม่รอให้ผมได้ปรับตัวกับขนาด ไอ้บ้านี่ยังช้อนคาผมอีกข้างขึ้นแล้วเดินเครื่องทันที
ผมชักมีอารมณ์ หมายถึงอารมณ์กรุ่นโกรธเพราะไม่มีความสุขกับเซ็กซ์ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อโดนยึดสะโพกและถูกกระแทกสวน มือที่เกาะบ่าเลยเปลี่ยนมากระชากหัวร่างนั้นจนหงาย กลายเป็นว่าล้มกลิ้งทับตามกันมา
“โอ๊ย!”
สองเสียงประสาน เพราะขาสองข้างโดนยึดพอฝ่ายนั้นล้มหงายไปผมก็กลายเป็นคร่อมทับอยู่ด้านบนไปเสียฉิบ อีกฝ่ายน่ะร้องเพราะหัวกระแทก ส่วนผมก็ร้องเพราะช่วงล่างโดนทะลวงซ้ำจนต้องกัดปาก แต่เอาเถอะ มุมนี้กำลังดีตามต้องการ อย่างน้อยผมก็ได้คุมจังหวะ ไม่ต้องมานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดกับเซ็กซ์ที่เจ็บปวดอยู่ฝ่ายเดียว
“อะ...”
ไม่รอให้ร่างที่ล้มโครมสิ้นท่าอ้าปากด่า ผมก็โน้มตัวเข้าไปประกบจูบและเริ่มขยับสะโพก หาจุดดีๆ ที่จะทำให้ตัวเองกลับมามีอารมณ์อีกครั้ง มาถึงขั้นนี้แล้ว เงินก็จ่ายไปแล้ว จะถอนตัวกลับคงไม่ได้
ผมแค่อยากมาปลดปล่อยตัวเองด้วยเซ็กซ์ดีๆ สักยกสองยกเท่านั้นเอง
ไม่รู้ว่าเพราะความตั้งใจผมส่งผลผ่านน้ำลายที่แลกลิ้นกันอย่างออกรส หรือเพราะการขยับเพื่อปรับขนาดของผมนั้นเนิบช้าเร้าใจไปอีกแบบ คู่นอนที่โดนผมทับไว้ถึงไม่ยักขัดขืนอย่างที่คาด แถมยังช่วยปลุกปั้นเจ้าหนูของผมให้ผงาดขึ้นอีกครั้ง
ไม่นานจังหวะทิ้งตัวก็เริ่มหนักหน่วงขึ้นจนหลุดคราง ความถี่ที่เพิ่มมาพร้อมกับอารมณ์ที่ทบทวีจนต้องผละตัวจากการจูบ แต่ร่างนั้นไม่ยอมปล่อยผม ปลายลิ้นตามเกาะเกี่ยวไม่ห่าง รู้ตัวอีกครั้งผมก็ถูกดันตัวในท่ากึ่งนั่งซ้อนตัก หลังแนบพิงกับกำแพง ช่วงร่างโดนกระแทกกระทั้นเร่าร้อนพอๆ กับรสจูบที่เรียกได้ว่าแทบละลาย
“อะ...อื้ม อ๊า”
ด้วยความเล็กแคบของห้องทำให้สองขาของผมที่อ้ากว้างจิกเกร็งอยู่กับกำแพงอีกฝั่ง ช่วยยันตัวให้ขยับเอวตรงจังหวะสอดคล้องกับการสอดใส่ของคู่นอนที่เริ่มเป็นฝ่ายคุมเกม ผมเองก็ปล่อยตัวปล่อยใจ ทิ้งให้ร่างกายเป็นไปตามสัญชาตญาณ
ริมฝีปากแนบชิด ปลายลิ้นเกาะเกี่ยว สองมือโอบแน่น ช่วงล่างต่างสวนเข้าหากันด้วยจังหวะที่เป็นหนึ่งเดียว
ถึงไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ
นั่นเป็นเซ็กซ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของผมเลย
ผมตื่นขึ้นมาตอนบ่ายของเช้าอีกวันหนึ่งเพราะเสียงโทรศัพท์ที่รำคาญจนจำใจต้องรับอย่างช่วยไม่ได้
แน่นอนว่าย่อมเป็นเพื่อนซี้ของผมเอง
(( กว่าจะรับได้นะรัญ เมื่อคืนหนักเหรอวะ ))
ผมตอบไม่ถูก...เพราะจะบอกว่าหนัก...ก็คงได้ละมั้ง แต่ถ้านับจริงๆ แล้วน่าจะเป็นเซ็กซ์ที่สุดยอดเกินไปจนกลายเป็นความเคลิบเคลิ้มมากกว่า จนถึงตอนนี้ผมก็ยังจำสัมผัสที่แนบแน่นบนริมฝีปากได้อย่างดี รสจูบที่แฝงกลิ่นอายความกระหายเร่าร้อน สัมผัสที่เคล้นคลึงไปทั่วร่างกาย และ...เสียงกระเส่าที่ครางอย่างสุขสม
หลังเสร็จสมไปหนึ่งครั้งพวกเราก็ไม่ได้เร่งร้อนทำต่อ เขาโอบกอดผมเพื่อให้ปรับลมหายใจ ลูบสางเส้นผมอย่างอ่อนโยนจนไม่เหมือนคนที่ดึงดันสักแต่จะสอดเสียดเข้ามาตอนแรก จนเมื่อแตะไปแตะมาและพากันจูบเม้มอีกครั้ง พวกเราก็เปลี่ยนท่าและเริ่มยกสอง...ยกสาม วนลูปอย่างค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้จวบจนรุ่งสาง
นี่ไม่ใช่เซ็กซ์ที่สักแต่ฝืนทำและฝืนตัวเอง เมื่อถึงจุดอิ่มตัวที่เริ่มคิดว่าควรพอได้แล้ว ผมและเขาก็พากันเดินกลับห้อง ความเหนื่อยล้าที่รีดเค้นไปทั้งจิตวิญญาณและร่างกายทำเอาผมนอนหลับเป็นตาย ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของแมนจนถึงตอนนี้
(( เข้างานไหวมั้ยวะ ))
“ไหวๆ” ผมพูดเมื่อลองขยับตัวนั่ง แม้จะยังง่วงงุนและเสียดช่วงล่างอยู่บ้าง แต่ก็ไม่หนักหนาขนาดหยุดงานที่เงินดีขนาดนั้น “ไว้เจอกันที่ทำงาน แค่นี้นะ”
ไม่รอให้แมนถามต่อผมก็รีบวางสาย ก่อนจะพาร่างตัวเองไปทำความสะอาดในห้องน้ำแล้วสำรวจบาดแผลเป็นอย่างแรก โชคดีที่เตรียมตัวไว้ก่อน ไม่งั้นตอนอีกฝ่ายฝืนดันเข้ามาผมคงเลือดออกไปแล้ว คนอะไรไม่รู้จักดูสภาพคู่นอนซะบ้างเลย เฮ้อ...แต่อย่างน้อยช่วงหลังก็ทำดีล่ะนะ
หลังอาบน้ำผมก็สวมเสื้อตัวเมื่อวานที่แขวนไว้อย่างดี ก่อนจะลงมาจ่ายเงินเพิ่มสำหรับการค้างคืน ระหว่างทางผมไม่เจอใครเลย คงเพราะช่วงสายแบบนี้ไม่ค่อยมีคนกล้าเข้าโรงแรมอย่างว่าแบบประเจิดประเจ้อ เป็นผมซะเองที่ต้องก้มหน้าก้มตาตอนเดินออกจากปริ้นส์รูม
ถึงจะบอกว่าเมื่อคืนเป็นเซ็กซ์ที่ดี แต่ถึงอย่างนั้นสภาพร่างกายก็ทำเอาดินกะเผลกแอบเป๋ไปเหมือนกัน เพราะออกกำลังกายตลอดคืนผมเลยหิวแทบคลั่ง พอเจอก๋วยเตี๋ยวข้างทางเลยรีบเข้าไปนั่งทันที
แต่พอจับตะเกียบเตรียมก้มหน้าก้มตากิน เส้นผมยาวตรงของผมก็แทบจะจมเข้าไปในชาม ผมถอนหายใจเฮือก รวบผมด้วยสองมือ แต่พอจะเกี่ยวยางมามัดก็เจอแต่ข้อมือผอมที่ความว่างเปล่า
ผมนิ่งงันชั่วครู่ ก่อนจะดึงมือกลับปล่อยให้เส้นผมสยายกลับตามเดิม พลิกซ้ายพลิกขวาจนมั่นใจก็เพิ่งระลึกได้ว่า...หนังยางของผมหายไปแล้ว!
ตั้งแต่ตอนไหนผมพยายามนึกย้อน หนังยางเส้นนั้นใส่ติดตัวเสมอจนกลายเป็นความเคยชิน แม้จะถอดเสื้อตัวเปล่าเปลือยแต่ผมก็ยังสวมไว้ประหนึ่งเครื่องประดับ ถ้าจะหายก็คงมีแต่ตอนโรมรันพัวพันกับชายแปลกหน้าในห้องนั้น...
ผมเหม่อมองปริ้นส์รูมจากอีกฝั่ง แต่จะให้เข้าไปถามหาหนังยางเส้นเดียวก็ใช่ที่
ถ้าพนักงานเก็บได้แล้วเอาไปทิ้งก็ช่างเถอะ แต่ถ้าคู่นอนคนนั้นของผมเก็บได้...
“หึ”
ผมหลุดหัวเราะเมื่อจินตนาการว่าอีกฝ่ายอาจเก็บไว้เป็นของดูต่างหน้า บ้าชะมัด เผลอๆ คนนั้นจะไม่ใส่ใจด้วยซ้ำ ถ้าติดมือไปด้วยจริงๆ ก็คงโยนทิ้งไม่ต่างกัน
“คิดว่าตัวเองเป็นซินเดอเรลร่าที่ทิ้งรองเท้าแก้วให้เจ้าชายรึไง ไอ้รัญ”
แถมรองเท้าแก้วที่ว่ายังเป็นแค่หนังยางเส้นละยี่สิบบาทซะด้วย
ชักจะเพ้อหนักแล้วสิ หรัญญ์เอ๊ย---------------------------------------------------------------------------------------------------
เปิดเรื่องใหม่กับหนูรัญและเจ้าชายปริศนา(?)
เรื่องนี้ยืมโลเคชั่นของคิงส์คลับมาค่ะ ตัวละครใหม่หมดไม่เคยไปโผล่เรื่องไหนมาก่อน แต่ตัวละครของคลับอาจมีโผล่บ้างอย่างเช่นเก่ง (อัศวิน) กับพี่แว่น(บิชอป) ซึ่งประจำชั้นสองชั้นเดียวกับรัญอยู่แล้ว อันนี้ได้เจอผ่านๆ กันแน่นอน
อะแฮ่ม จะพูดถึงที่มาของเรื่องนี้ก็เขินแปลกๆ
แบบว่า...เรื่องที่สามแล้ว...เลขสามแบบนี้ก็ต้องฉลองสักหน่อย แล้วก็ปิ๊งไอเดีย อยากจะสามพีซะงั้น เลยเปิดเรื่องใหม่! คู่ใหม่ซะเลยค่ะ!! //ดนตรีมา แท่นแทนแท้นนน
แต่เรื่องนี้จะไปสามพียังไง จะไปลงเอยกันแบบไหน ตอนหน้ามาเจอกับผู้เข้าชิงกันนะคะ เตรียมโบกป้ายไฟได้เลย!
เพจนักเขียนที่เปิดเรื่องใหม่แบบสามพีด้วยเหตุผลที่เหมือนจะมีสาระแต่ก็ไม่มีสาระ