Fallen and Destined 9
กว่าจะมาถึงบ้านอักษร ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ขอบฟ้าขยับถุงของฝากกรอบแกรบขณะยื่นมือไปกดกริ่ง ยืนรอสักพักจึงมีเด็กสาวคนหนึ่งวิ่งมา
“สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนของโอ้ เห็นเขาหยุดงานมาหลายวันเลยแวะมาเยี่ยม”
“เพื่อนคุณโอ้นี่เอง เชิญค่ะ”
ระหว่างเดินตามคนนำทาง เขาก็อดเหลียวมองสวนสวยที่คงได้รับการดูแลอย่างดี มองขนาดของตัวบ้านที่แม้จะไม่ได้ถึงขั้นเรียกว่าคฤหาสน์ แต่ก็ใหญ่โตหรูหราพอสมควร
“นั่งรอสักครู่นะคะ”
ทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้รับแขกแบบเกร็งๆ ถึงอักษรจะเคยบอกว่าบ้านพอมีกินมีใช้ แต่แบบนี้ เขาคิดว่ามันเกินระดับคำนั้นมามากพอสมควร
“ฟ้า” เจ้าของเสียงเดินลงมาจากบันได มองมาที่เขาแบบผิดคาด “มาได้ยังไง”
“เราเห็นว่าโอ้หยุดงานไปหลายวัน” เห็นท่าทางฝ่ายตรงข้ามที่ผิดจากคาด อักษรไม่ได้เจ็บหนัก ไม่ได้ตื่นเต้นดีใจกับการเห็นหน้าเขา ขอบฟ้าจึงเริ่มประหม่า “เมื่อวานซืนขอโทษนะที่ผิดนัด เรามีธุระด่วนนิดหน่อยแล้ว...ทำเบอร์โอ้หายด้วยเลย...”
“อ้อ” อักษรทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัว พยักหน้ารับคำแก้ตัว “มิน่าล่ะ หายเงียบไปเลย นี่ถ้าเราตายไป ฟ้าก็คงไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“เอ่อ...ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ ที่ตกบันไดนั่นมันมีอาการแทรกซ้อนอะไรเหรอ เห็นพี่อายบอกว่าออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้วนี่”
“ใช่ ก็เราไม่ชอบอยู่โรงพยาบาล” ตอบสั้นๆ เสร็จ อักษรก็พยักเพยิดหน้ามายังถุงขนมของฝากบนโต๊ะ “อะไรน่ะ”
“ขนมที่โอ้สั่งวันก่อนไง ขอโทษนะที่ช้าไปหน่อย” เขาชักอึดอัดกับสายตา ท่าทางของเพื่อนที่แปลกไปอย่างเห็นได้ชัด แต่พยายามคิดว่าอักษรคงงอนที่เขาหายเงียบไปเหมือนไม่เป็นห่วงอาการบาดเจ็บ จึงกุลีกุจอหยิบถุงมาขยับจะแกะ “กินเลยไหม”
“ไม่ล่ะ เราอยากกินวันก่อน ไม่ใช่วันนี้”
คนฟังหน้าม้าน ชักมือกลับมาวางบนตัก ขยับตัวเก้กังก่อนเอ่ย “งั้นเรากลับก่อนดีกว่า โอ้จะได้พักผ่อน”
อักษรเหลือบมองเขา ทำท่าอยากเอ่ยอะไรบางอย่างแต่เปลี่ยนใจเงียบเสีย แค่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
“จะกลับไปทำงานวันไหน โอ้โทรบอกเราแล้วกัน รักษาสุขภาพมากๆ นะ”
แยกจากกับอักษรมาแล้ว ขอบฟ้าก็เดินไปยังป้ายรถเมล์ หากแทนที่จะคอยมองดูรถเมล์อย่างคนอื่น เขากลับทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้พลาสติกสีซีดสำหรับนั่งรอ คิดถึงท่าทางแปลกไปของคนเป็นเพื่อนด้วยความหดหู่
หรืออักษรจะน้อยใจที่เขาหายเงียบไปเหมือนไม่เป็นห่วง
หรือเขาเผลอพูด เผลอทำอะไรให้เพื่อนโกรธโดยไม่รู้ตัว
หรือจะคิดว่าเขายุ่มย่ามมากไปที่จู่ๆ ก็มารบกวนถึงบ้าน
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด แต่เหมือนมีก้อนหินหนักๆ ถ่วงอยู่ในใจ ก้อนหินที่เขาต้องแบกไปด้วยตอนยืนบนรถเมล์ ตอนเดินช้าๆ ไปตามทางเท้าจนถึงที่พักชั่วคราว...คอนโดมิเนียมหรูหราริมแม่น้ำ ไม่ต้องคิดจินตนาการหรือกดเครื่องคิดเลขให้เมื่อยเลยว่าเขาต้องทำงานอีกกี่ชาติถึงจะสามารถเก็บเงินซื้อห้องพักแบบนี้ได้
ปวินมอบคีย์การ์ดมาให้เขาตั้งแต่ครั้งก่อน รู้สึกว่าจะเก็บเอาไว้ในกระเป๋า...
ขอบฟ้ากำลังขมวดคิ้วล้วงหาคีย์การ์ด นี่ถ้าทำหาย มีหวังต้องโดนด่าไม่ซ้ำคำ แล้วถ้าต้องจ่ายเงินเพื่อขอใบใหม่ คงแพงมากแหงๆ งั้นถ้าเขาบอกว่าไม่เอาก็ได้ล่ะ ก็คงไม่แคล้วโดนด่าอีก
หากพอเงยหน้ายุ่งๆ ขึ้นก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างสูงคุ้นตากำลังยืนสูบบุหรี่อยู่บริเวณหน้าบันไดทางขึ้น
เพราะสายตาไม่ค่อยดีมาแต่ไหนแต่ไร ขอบฟ้าจึงยืนเพ่งอยู่นานและได้เห็นท่าทางเดินวนไปวนมา ยกบุหรี่ขึ้นสูบบ้าง ยกมือขึ้นขยี้ผมบ้าง ดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือบ้าง บางคราก็ควักโทรศัพท์ออกมาถือไว้แต่กลับเปลี่ยนใจเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง ใบหน้าคมที่เห็นรางๆ ดูเหมือนทั้งเคร่งเครียด ทั้งบูดบึ้ง ถ้าให้จำกัดความก็คงใกล้เคียงกับคำว่าร้อนรน กระวนกระวายกระมัง
ไม่รู้ว่าเผลอยืนมองอยู่นานแค่ไหน แต่เมื่อฝ่ายนั้นเผอิญหันมาเห็นเขาเข้าก็ชะงักนิ่งไป
คงเพราะสายตาไม่ค่อยดี ขอบฟ้าจึงเห็นสิ่งที่เหมือนกับความโล่งอกปรากฏอยู่บนใบหน้าฝ่ายนั้น
แน่ล่ะว่าคงตาฝาด เพราะเมื่อกรขยับตัวอีกครั้ง เจ้าตัวก็หันหลังกลับ ก้าวยาวๆ มุ่งหน้าเดินขึ้นบันไดหินแกรนิตสีดำแบบไม่เหลียวหลัง
ขาเขาให้วิ่งตามคงไม่ทัน ขอบฟ้าก้มหน้าลงพยายามหาคีย์การ์ดต่อ ทว่า...
“ฟ้า!!!” คนที่เมื่อครู่เห็นว่าเดินหายไปแล้วหวนกลับมายืนเท้าเอวมองอยู่ไม่ไกล คิ้วเข้มที่ขมวดนิดๆ ทำให้สีหน้าเจ้าตัวยังดูหงุดหงิด “มัวแต่ทำอะไรอยู่”
เขายิ้มยามแหงนมองใบหน้าหงุดหงิดนั้น
นี่อาจเป็นครั้งแรก ที่ขอบฟ้ารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ากรเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
ระหว่างที่ยืนรอลิฟต์ โทรศัพท์เขาก็ดังขึ้น ขอบฟ้ากดรับทันทีเมื่อเห็นชื่อปลายฝน
“ว่าไง”
“พี่ฟ้า ฝนมาดูห้องใหม่แล้ว น่าอยู่มากๆ เลย หนิงบอกว่าจะย้ายมาเมื่อไหร่ก็ได้ ฝนเลยว่าจะย้ายวันอาทิตย์นี้”
เสียงร่าเริงของน้องสาวทำเอาเขาอดยิ้มตามไม่ได้
“ก็เอาสิ อ๊ะ รอเดี๋ยวนะ” ลิฟต์ที่กดเรียกไว้เปิดออก ขอบฟ้าจึงรีบบอกกับชายหนุ่มที่ยืนตะแคงหน้าฟังบทสนทนาของเขาอยู่อย่างเปิดเผย “ไปก่อนเลยครับ”
“ไม่ไป” ผู้ชายขวางแกนโลกปฏิเสธสวนทันควัน ซักต่อพร้อมส่งสายตาคุกรุ่น “คุยกับใคร ชู้หรือไง”
อึ้งจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ขอบฟ้าก้าวถอยหลัง รีบตอบรับเสียงเรียกของปลายฝน “ฝนว่าไงนะ”
“พี่ฟ้าอยู่ที่ไหน เมื่อกี๊พูดกับใคร เสียงคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยิน...”
“เพื่อนพี่เองน่ะ เพื่อนพี่ เอ่อ แล้วตกลงว่าฝนจะย้ายหออาทิตย์นี้เลยใช่ไหม งั้นเดี๋ยวพี่ไปช่วยขนของ” พยายามไม่มองไปทางคนยืนจังก้ากอดอก ทำหน้าเหมือนภูเขาไฟก่อนระเบิด
“จริงๆ ของฝนก็ไม่ค่อยเยอะนะ แต่ถ้าได้พี่ฟ้ามาช่วยก็ดี ว่าแต่...ถ้าเดินขึ้นลงบันไดมากๆ ขาจะไหวเหรอ”
ขอบฟ้าเบี่ยงออกมาอีกสามสี่ก้าว ตอบเสียงเบา “ไม่เป็นไร สรุปว่าวันอาทิตย์นะ พี่จะไปหาเราที่หอประมาณสิบโมงเช้าแล้วกัน”
“ดีค่ะ ฝนจะได้เตรียมแพ็คของให้เรียบร้อย อ๊ะ ว่าแต่พี่พลจะว่างไหมน้า พี่ฟ้าลองโทรไปถามพี่พลก่อนสิ เผื่อเราจะได้ไม่ต้องลำบากเรียกรถแท็กซี่...”
ชื่อที่ได้ยินทำให้เขาเดินผละจากจุดเดิมอีกเกือบสิบก้าว “ไม่ได้ๆ พี่เขาไม่อยู่ ไม่ว่าง เราอย่าไปรบกวนเขา เอาไว้...”
ต้นแขนที่ถูกคว้าหมับทำให้คำพูดชะงัก ขอบฟ้าสูดหายใจเฮือกยามร่างสูงที่มาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้จ้องเขม็งพร้อมออกแรงบีบที่แขนจนต้องนิ่วหน้า
“ใคร” ดวงตาคมหรี่ลง เสียงดุต่ำจนเหมือนเสียงคำรามในความรู้สึกคนฟัง “กำลังพูดถึงใคร”
“เรา...เอ่อ...พี่หมอกยุ่งมากๆ” เป็นชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองตื้อๆ เขารีบตัดบทก่อนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะทันทักท้วง “สรุปว่าวันอาทิตย์นะ แล้วเจอกัน”
กรยืนนิ่งท่าเดิม ทำไมไม่รู้ แต่ขอบฟ้าคิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังรอคำอธิบาย
“ฝนจะย้ายหอ”
ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ คงไม่ใช่ส่วนที่อยากฟัง
“ผมว่าจะไปช่วยน้อง”
เริ่มมาถูกทางเพราะกรถามห้วน “คนเดียว”
“ครับ” ให้ตายสิ อย่าบอกนะว่า...
“กูไปด้วย”
ขอบฟ้าครางเจ็บปวด กลืนน้ำลายเอื้อกเรียกหาความกล้า “คุณจะไปทำไม”
“ก็แล้วทำไมจะไปไม่ได้”
บทสนทนาของพวกเขาเหมือนพวกเด็กประถมหาเรื่องตีกันไม่มีผิด
“ถ้าคุณไป น้องผมก็ต้องรู้ ถ้าฝนรู้ พี่หมอกก็ต้องรู้ด้วย”
อธิบายอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเป็นเหตุเป็นผล ทว่าคนไม่สนใจว่าโลกมนุษย์ยังหมุนรอบดวงอาทิตย์หรือเปล่าแบบกรกลับหัวเราะ
“รู้ก็รู้ไปสิ กูไม่ว่าอะไรหรอก”
เริ่มรู้สึกว่าพูดกันคนละเรื่อง พอดีจังหวะมีคนออกมาจากลิฟต์ ขอบฟ้าจึงเดินเข้าไป นึกอยากหามุมเงียบๆ นั่งใช้ความคิดคนเดียวแต่คนที่เดินตามเข้ามาไม่ปล่อยให้ทำได้อย่างต้องการ
“จริงๆ นะ กูไม่มีปัญหาอะไรกับการเปิดตัวสักนิด น้องสาวมึง กูก็รู้จัก พี่มึง กูก็เคยคุยด้วย คนกันเองทั้งนั้น”
กรยังคงพูดต่อไป ซึ่งแต่ละประโยคทำให้เขาหวนนึกถึงเหตุการณ์ไม่สู้ดีทั้งหลายแหล่ ประเภทอันนี้ว่าแย่แล้ว แต่อันนั้นดันแย่กว่า...ประมาณนั้น แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคิดต่างออกไป เพราะชายหนุ่มยังคงพูดต่อด้วยท่าทางสบายๆ จนกระทั่ง...
“หรือต่อให้คนทั้งบริษัทรู้ก็ไม่เห็นเป็นไร ดีเสียอีก...”
“คุณเคยบอกผมว่ามันจะดูไม่ดีถ้ามีใครรู้ว่าคุณเคยรู้จักพนักงานระดับล่างแบบผม”
ไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ แต่เผอิญว่ามันฝังติดแน่นในหัวมาตั้งแต่วันที่ได้ยิน กระทั่งทุกวันนี้ เขาก็ยังจำสายตา น้ำเสียงคนพูด ยังจำความเจ็บกับน้ำตาตัวเองได้อยู่เลย
ประตูลิฟต์เปิด ขอบฟ้าก้าวออกมาแล้วแต่เห็นร่างสูงกลับยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาจึงรีบยกมือดันประตูไว้และส่งเสียงเรียก “ถึงแล้วนะครับ”
“หา เอ่อ อื้อ” กรพยักหน้ากระตุกๆ ก้าวพรวดๆ ผ่านหน้าเขาเข้าห้องไปก่อน ขอบฟ้าโคลงศีรษะแล้วนั่งพักที่โซฟา
“แล้วกินข้าวมาหรือยัง”
เสียงเอ่ยถามใกล้ตัวดึงเขาออกจากภวังค์
“ยัง แต่ไม่ค่อยหิว”
“ไม่ได้ ไม่หิวก็ต้องกิน” ร่างสูงถลกแขนเสื้อขึ้นพลางสั่ง “ไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวกับข้าวคงเสร็จพอดี”
ถึงจะยังไม่อยากลุก แต่เขาก็ยอมละจากโซฟา เดินเข้าห้องอาบน้ำ จัดการชำระคราบเหงื่อจนสบายตัว ออกมาเจอกับข้าวร้อนๆ กับใครอีกคนที่นั่งกอดอกรอเงียบๆ
“ยังไม่ได้กินเหรอครับ วันหลังคุณไม่ต้องรอผมก็ได้” เอ่ยขณะทรุดตัวลงนั่งพร้อมกวาดตามองกับข้าวบนโต๊ะ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่ากรทำกับข้าวได้น่ากินเหมือนเดิม ไม่สิ มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไร” คนตอบงึมงำคว้าช้อนตักกับข้าวให้เขาและพูดออกตัว “ไม่ค่อยมีเวลาทำ แต่คิดว่ารสชาติน่าจะพอกินได้นะ”
“อร่อยออกครับ” หลังกลืนคำแรกจนหมด เขาก็รีบบอกคนที่ยังนั่งขมวดคิ้วรอคำวิจารณ์ “คุณทำอาหารอร่อยจะตาย ผมจำได้”
พ่อครัวค่อยยิ้มออกนิดหนึ่งและเริ่มตักอาหารกินบ้าง หลังจากนั้นพวกเขานั่งกินข้าวโดยไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก จนใกล้อิ่มแล้วนั่นล่ะ จู่ๆ กรก็เอ่ยขึ้น
“โกรธหรือเปล่า” พอเห็นสีหน้างุนงงของเขา ชายหนุ่มค่อยขยายความ “เรื่องที่พูด...ว่ามันจะดูไม่ดีอะไรนั่น”
คนฟังเม้มปาก นึกทบทวนความรู้สึกในใจทั้งหมดแล้วขอบฟ้าจึงค้นพบคำตอบที่ใช่มากที่สุด
“ไม่ได้โกรธครับ...แค่เสียใจ”
ทว่าปฏิกิริยาของกรฟังคำตอบแบบตรงไปตรงมาของเขาคือปล่อยช้อนส้อมกระทบจานดังแคร้ง ทำเหมือนโดนเขากระโดดถีบแสกหน้าก็ไม่ปาน ขอบฟ้านั่งมองดูสักพักจนพอใจแล้วค่อยเอ่ยต่อ
“แต่พอมาคิดๆ ดูหลังจากนั้น ผมก็พอจะเข้าใจ” เขาพยักหน้าหงึกหงักให้ตัวเอง “อย่าว่าแต่คุณกับผมเลย ต่อให้เป็นพนักงานทั่วไปถ้ามีข่าวว่าคบหาหรือมีอะไรกับหัวหน้าก็คงฟังดูไม่ดีทั้งนั้น ยิ่งถ้าทั้งคู่เกิดพูดคุยกันแบบสนิทสนมหรือจู๋จี๋กัน ในสายตาของเพื่อนร่วมงานคงอดคิดไม่ได้ว่าไม่เหมาะสม ต่อให้ไม่กล้าพูดต่อหน้าแต่ลับหลังคงโดนตำหนิแน่ๆ ผมเลยคิดว่าคุณคิดถูกแล้วที่ระวังตัว ยิ่งคุณกรเป็นถึงระดับฝ่ายบริหาร ยิ่งไม่สมควรที่จะพูดคุยกับผมเป็นการส่วนตัวเลยด้วยซ้ำ”
กรนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ก่อนจะคำราม
“นี่มึงโกรธกูอยู่ใช่ไหมเนี่ย! ก็ได้ กูยอมรับก็ได้ว่าพูดแรงไป แต่อย่าลืมนะว่ามึงทำกูไว้แสบมาก รู้ไหมว่ากู...”
อยู่ๆ กรก็ชะงัก ขอบฟ้าแน่ใจว่าตนนั่งอยู่เฉยๆ มือไม่ได้เผลอไปกดโดนปุ่มหยุดเลยนั่งรอฟังต่อ ทว่าเจ้าตัวกลับกระแอม หน้าตึงขึ้นกะทันหัน
“เรื่องของเราสองคน...ในเมื่อกูไม่ได้คิดจะปิด แต่ถ้ามึงไม่คิดจะเปิดงั้นก็ปล่อยไปแบบนี้แล้วกัน กินข้าวต่อได้แล้ว อย่ามาเนียนอิ่มดื้อๆ เลยมึง”
นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาสัมผัสถึงความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นของอีกฝ่ายได้ ไอ้การต่อปากต่อคำพรรค์นี้นี่ถ้าเป็นสมัยก่อน รับรองได้ว่ากรจะต้องหัวเสียเหวี่ยงใส่จนกว่าเขาจะกระเด็นไปติดข้างฝานั่นล่ะถึงจะยอมเลิกรา
“ยิ้มอะไร” คนถามเสียงรวนมองมาอย่างระแวงนิดๆ “หน้ากูเหมือนตลกหรือไง”
คราวนี้ขอบฟ้าถึงกับขำพรืด “ไม่เหมือน พี่...เอ๊ย คุณกรหล่อกว่าเยอะ”
“แหงอยู่แล้ว” คนโดนชมถึงกับยิ้มกว้างและค่อยๆ เอ่ย “ถ้าชินปาก จะเรียกพี่เหมือนเดิมก็ได้นะ กูไม่ถือ”
คร้านจะวกกลับไปเข้าประเด็นเดิม เขาจึงไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ แต่ยังไม่ทันกลืนข้าวคำสุดท้ายลงคอดี คนที่คิดว่าโตเป็นผู้ใหญ่เสียทีก็เอ่ยขึ้นอย่างวางมาด
“แต่วันอาทิตย์นี้ ยังไงกูก็จะไปด้วย”
...บ้าเอ๊ย คิดว่าลืมไปแล้วแท้ๆ
+++++++++