Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love Rebound รักต้องคว้า บทแรก-บทพิเศษของกวีและชัย part 10 end (อัพ 9/July/2018)  (อ่าน 22137 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แก้แค้นทั้งกวี ทั้งชัยเลย นังนิ่มเน่า
อย่างนี้ค้องเอาคืนให้เจ็บเลย
คิดว่าตัวเองฉลาดคนเดียว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2018 12:31:29 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

............................(ต่อ)................


เสียงสายลมที่แทรกผ่านกระบังหน้าหมวกกันน็อคกระทบหน้า ดังขึ้นเรื่อยๆ ตามความเร็วที่ผมค่อยๆ เร่งขึ้นเพื่อไล่ตามรถซีดานวอลโว่สีน้ำตาลคันใหญ่ ที่วิ่งนำหน้าด้วยความเร็วกว่ากำหนดเล็กน้อย เปรียบเหมือนกวางวิ่งหนีเสือซึ่งกำลังวิ่งไล่ตามเพื่อคร่าชีวิต ผมไม่เคยเห็นกวีขับรถด้วยความเร็วระดับนี้มาก่อน เขาต้องการหลบหน้าผมขนาดนี้เลยหรือนี่

ผมรู้สึกว่าเขาเหมือนจะเห็นผมบิดมอเตอร์ไซค์ตามมา เพราะขนาดผมพยายามเพิ่มความเร็วมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งขับน้ำมันใส่ระบบเกียร์รถมากขึ้นเท่าไหร่ ระยะห่างระหว่างผมกับเขามันไม่ได้ใกล้ขึ้นเลย ด้วยความที่ถนนเส้นนี้เป็นถนนเส้นนี้เป็นถนนสายขาออกนอกตัวจังหวัดทำให้มีการใช้รถบนท้องถนนค่อนข้างบางตาการเร่งความเร็วในการขับรถจึงทำได้สะดวก  ใจหนึ่งผมเป็นห่วงกวีจับใจว่าการที่ไม่คุ้นชินกับการขับด้วยความเร็วระดับนี้จะทำให้เกิดอุบัติเหตุแล้วทุกอย่างคงเลวร้ายกว่านี้ ส่วนอีกใจหนึ่งผมไม่ต้องการให้เราจบกันแบบนี้ผมจะต้องตามไปอธิบายให้เข้าใจให้ได้

ระหว่างความคิดกำลังต่อสู้กันอยู่นั้น ป้ายจราจรที่ถนนซึ่งแสดงภาพสัญญาณไฟจราจรก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ผมมองเห็นโอกาสที่จะไล่ตามทันและภาวนาให้มีสัญญาณตรงแยกไฟจราจรด้านหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะที่การไล่ตามของผมกับกวีไปถึงตรงนั้น

เหมือนเทวดาอารักษ์บริเวณนั้นจะอ่านใจผมได้และบันดาลให้เป็นจริง ผมเห็นสัญญาณไฟจราจรด้านหน้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นเหลือง เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นสีแดงสว่างขึ้นมา คนอย่างกวีไม่มีทางขับฝ่าสัญญาณไฟสีแดงแน่นอน ผมเห็นรถของกวีที่ขับนำหน้าอย่างไม่ลดละ ทิ้งระยะห่างหลายเมตรค่อยๆ ลดความเร็วลงเรื่อยๆ จนไปจอดอยู่หน้าเส้นขีดสีขาวแสดงการหยุดรถรอสัญญาณไฟ

เมื่อโอกาสมาถึงขนาดนี้ผมไม่รอช้าที่จะขับเพื่อจอดขนาบข้างทันที ผมพยายามส่องมองเข้าไปผ่านกระจกรถสีเทาดำ ผมดีใจที่ได้เห็นใบหน้าที่น่ารักน่าเอ็นดูของเขาอีกครั้ง ผมพยายามใช้เวลาที่เทวดามอบให้พยายามให้เขาหันมาและลดกระจกลงเพื่อคุยกับผมดีๆ ผมเรียกร้องความสนใจทุกอย่างทั้งโปกมือ ทั้งเคาะกระจก ทั้งเรียกขื่อเขา แต่เขาทำเหมือนผมไม่มีตัวตน ไม่รับรู้ว่าผมพยายามจะปฏิสัมพันธ์กับเขา และแล้วเวลาที่ได้มาจากการภาวนาขอเทวดาของผมก็หมดลงเมื่อสัญญาญไฟจราจรเปลี่ยนสีไปเป็นสีเขียว กวีขับเคลื่อนรถออกตัวไปข้างหน้าอย่างเร็วจนไม่สนใจผมที่กำลังใช้มือเกาะกระจกหน้าต่างรถของเขาอยู่ แต่เสียใจด้วยนะหากถ้าต้องออกรถในเวลาใกล้เคียงกันอย่างนี้ด้วยฝีมือในการขับรถแข่งของผมไม่ใช่ปัญหาที่ตามทันเลย

ผมเปลี่ยนเกียร์บิดคันเร่ง สองสามครั้งความเร็วของผมก็ตามรถซีดานสีน้ำตาลคันเป้าหมายได้ทัน ผมพยายามสื่อสารกับเขาแต่ดูเหมือนความพยายามของผมมันไร้ประโยชน์ แต่หากเหตุการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีเพราะผมรู้เต็มอกว่าการทำแบบนี้มันอันตราย ผมผ่อนลมหายใจยาวพร้อมตัดสินใจใชัแผนสุดท้ายที่ผมคิดเผื่อไว้ระหว่างที่รอกวีอยู่หน้ารั่วบ้านอยู่นาน

‘เอาวะ!! เอาแผนนี้ก็แล้วกัน เป็นไงเป็นกัน!’

ด้วยความที่ประสบการณ์บนท้องถนนมันต่างกัน ผมใช้ความเร็วที่กำลังได้เปรียบบิดแซงขึ้นไปนำหน้าและเร่งความเร็วขึ้นไปอีกไกล ในใจก็พยายามคำนวนและหาพื้นที่ที่เหมาะสม แต่ผมไม่รู้ว่ากวีกำลังจะไปไหนผมต้องรีบดำเนินการตามแผน ‘แผนโง่ๆ’ คำพูดของไอ้หลงดังขึ้นมาในหัว

ภาพของกวีตอนนี้คงเหมือนผมตัดใจและบิดแซงขี้นมาเพื่อจะหนีหายไปตามอารมณ์ฉุนเฉียวของผมตามปกติ แต่เรื่องนี้ผมไม่ผิดผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก! เมื่อเห็นท้องถนนที่โล่งกว่างไร้รถยนต์วิ่งขนาบ มองกระจกหลังเห็นรถของกวีเป็นจุดสีน้ำตาลเล็กๆ เพียงคันเดียว ผมตัดสินใจชะลอ และหยุดรถ บังคับให้จอดขวางเลนที่กวีกำลังขับตรงมาพอดี ถนนตรงนี้ถูกบีบให้เหลือสองเลนเพราะกำลังซ่อมแซ่มทางอยู่ (ผมจำได้ลางๆ ตอนมาขับรถเล่น) ด้วยความเร็วระดับนั้นกวีเลี้ยวหลบไม่ทันแน่ เขาต้องจอดสถานเดียว!

เป็นดังคาด กวีดูท่าทางจะไม่เปลี่ยนเลนเลย และ.....ดูจะไม่ลดความเร็วเลย แย่แล้ว!! นี่เขามองไม่เห็นผมหรือจะวัดใจกับผมกันวะเนี่ย!?!  เอาวะ!!ผมกลั้นไม่ขยับรถออกจากจุดนั้น หากจะวัดใจกัน ผมใจแข็งกว่าเขาอยู่แล้ว!!

เอี๊ยด!!!!!!!!!!

เสียงยางรถยนต์เสียดสีเข้ากับ พื้นถนนคอนกรีตเสียงดังสนั่น รถเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ความเร็วลดลงก็จริงแต่มันยังไม่พอที่หยุดก่อนที่จะถึงผมแน่ๆ ในสายตาผมตอนนี้มองทุกอย่างเป็นภาพเคลื่อนไหวช้าๆ เหมือนภาพยนต์แอ็คชั่นที่เคยดู ไม่เคยนึกว่าของจริง สมองจะสั่งการให้เราเห็นภาพเหล่านี้ก่อนตายจริงๆ
‘แผนโง่ๆ’ เสียงไอ้หลงดังขึ้นในหัวอีกแล้ว ไอ้สัด!! เอ้ย เอาความทรงจำดีๆ ก่อนตายก็ไม่ได้

โครม!!!!!!!!!

เสียงโลหะปะทะกันด้วยความเร็วกึกก้องดังทั่วท้องถนน


........................................

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
กวี# 10


“ครับป๊า ได้ครับ เดี๋ยวผมออกไปหาครับ”

นั่นเป็นคำตอบของผมที่ให้กับป๊าของผมก่อนที่ท่านจะวางสายไป ท่านมักจะหาโอกาสไปกินข้าวกับผมตามลำพังและคุยกันประสาพ่อลูกอยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส ท่านรู้ว่าผมไม่ค่อยกินเส้นกับแม่เลี้ยงเท่าไหร่ แม้จะไม่เคยเถียงทะเลาะกันเสียงดังแต่ก็ทำให้บรรยากาศโดยรอบตึงเครียด

แม่เลี้ยงของผมที่ผมมักจะเลี้ยงเธอว่า ‘คุณน้า’ (บางทีต่อหน้าคนอื่นผมก็เรียกเธอว่า ‘คุณนาย’ บ้าง ‘คุณผู้หญิง’บ้าง) เธอเป็นเข้มงวดมากโดยเฉพาะกับผม แต่กับทีลูกชายของตัวเองกลับปล่อยปะละเลยจนกลายเป็นเด็กมีปัญหา

เฮ้อ..........

ผมผ่อนลมหายใจออกแรงๆ อย่างจงใจ เพื่อตัดเอาความคิดเกี่ยวกับแม่เลี้ยงตัวเองออกไป ผมมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใจลอย คิดถึงเรื่องที่เพิ่งเจอมาเมื่อวาน พยายามคิดทบทวนว่าสิ่งที่เกิดขี้นที่ร้านคาเฟ่เมื่อวานมันจริงเท็จแค่ไหน

จะจริงหรือไม่ ตอนนี้ไม่สำคัญแล้วเพราะเหตุการณ์นี้มันดันไปจี้ใจดำของตัวเอง มันเป็นสิ่งที่ผมกลัวมาโดยตลอด กลัวว่าความรักครั้งนี้มันจะไม่ยั่งยืน ผู้ชายสองคนมันจะไปรักกันได้ยังไง ผมไม่รู้ว่าชัยจะคิดยังไงกับเรื่องของเราสองคน แต่สำหรับผม ผมรู้สึกว่าตัวเองถลำลึกเสียจนถอนตัวไม่ขี้นแล้ว ไม่รู้ว่าชัยรู้ไหมว่า ผมแอบปลื้มเขามานานแล้ว แม้ตอนแรกจะไม่ได้อยากมีความสัมพันธ์แบบนี้ แต่พอมามันมาบรรจบกลายเป็นความรัก ผมรู้สึกมีความสุขแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ยิ่งมีความสุขมากก็ยิ่งกลัวมาก กลัวว่ามันจะไม่จีรังยั่งยืน

ด้วยความที่ผมรู้นิสัยของชัยดี เจ้าชู้ กะล่อน กิ๊กเยอะ เขาไม่เคยมีท่าทีชอบผู้ชายมาก่อนแต่ดันมาลงเอยที่ผม จากประวัติของเขาทำให้ผมไม่แน่ใจอะไรกับความสัมพันธ์ครั้งนี้เท่าไหร่อยู่ก่อนแล้ว ภาพเหตุการณ์เมื่อวานมันเป็นเครื่องยืนยันสิ่งนั้น สิ่งที่ผมคิดว่าสักวันมันต้องเกิด วันที่ชัยเจอผู้หญิงที่เขาสนใจจริงๆ อยากจะสร้างสัมพันธ์แบบจริงจังด้วย!!

ระหว่างที่นึกอะไรเรื่อยเปื่อยขณะมองออกมานอกหน้าต่างที่เป็นภาพวิวสวนหน้าบ้าน กว้างขวางและเงียบเหงา เสียงรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ขับมาจอดด้วยความเร็ว ภาพที่คุ้นตาทั้งรถทั้งคนปรากฏขึ้นตรงหน้า เป็นภาพที่คิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น ชัยต้องมาง้อหรือมาแก้ตัวอะไรแน่นนอน ดีที่ผมบอกกับลุงขาว เจ้าหน้าที่ รปภ. ที่มาเข้าเวรวันนี้ว่า ชัยจะเข้ามาหาและห้ามให้เข้ามาเหมือนเช่นปกติเด็ดขาด! (ลุงขาวสนิทกับชัยมาก ชัยเป็นคนเข้ากับคนอื่นง่ายจนน่ากลัว)

ลุงขาวแกพยายามถามหาเหตุผลของคำสั่งของผม ผมอ้ำอึ้งไม่รู้ตอบคำถามลุงไปว่าอะไรดี ด้วยความสนิทสนมระหว่างลุงขาวกับผม ลุงขาวเลยเซ้าซี้จนเส้นความอดทนของผมขาดลง ทำให้ผมหลุดปากไปเสียงดัง

‘จะเป็นใครก็ไม่ให้เข้าทั้งนั้น ผมจะทำการบ้าน อ่านหนัง ต้องการสมาธิ ลุงห้ามให้ใครก้าวข้ามประตูมาเด็ดขาด นอกจากป๊ากับคุณนาย!!’

ผมไม่เคยพูดแบบนี้กับคนในบ้านมาก่อน ลุงขาวแกคงแปลกใจมาก แต่ผมยังไม่อยากจะนึกถึงเหตุผลนั้น ไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนั้นเท่าไหร่ ไม่อยากตอบคำถามอะไรลุงทั้งนั้น แค่นี้ผมก็เจ็บมากพออยู่แล้ว

ผมปิดม่านเข้าหากันเหลือเพียงช่องเล็กๆ ที่พอจะให้ผมแอบมองได้ ผมเห็นเหมือนลุงขาวพยายามอธิบายให้กับชัยฟังอยู่ และดูจากอากัปกิริยาของชัยก็ตอบสนองต่อคำอธิบายได้ไม่ดีเท่าไหร่

ผมเดินยกโทรศัพท์บ้านเพื่อกดโทรไปที่ป้อม รปภ. หน้าบ้านทันที เสียงสัญญาณรอสายดังไม่กี่ครั้ง ลุงขาวก็รับสาย

“สวัสดีครับคุณหนู ..... คือ... คุณชัยมาหาน่ะครับ”
“ผมเห็นแล้วครับ”
“จะให้ผมเปิดประตูให้คุณชัยเข้าพบไหมครับ?”
“ไม่! ที่ผมโทรหาลุงเนี่ยเพื่อจะบอกว่า ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด!”
“คุณหนูกับคุณชัยมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าครับ ทำไมไม่คุยกันดีๆ”
“ไม่เอา ผมไม่อยากพูดถึงมัน พยายามไล่เขาออกไปก็พอ เดี๋ยวผมต้องออกไปกินข้าวกับป๊าตอนบ่าย แค่นี้นะ!”

ผมวางหูด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ทำไมพอมีคนมากระตุ้นให้คิดถึงเรื่องนั่นผมจะต้องพยายามเลี่ยงที่จะตอบมันผมก็ไม่เข้าใจ หรือคงเพราะในใจผมคงจะยอมรับมันว่าสุดท้ายมันจะต้องจบแบบนี้ งั้นให้มันจบเสียตอนนี้เลยดีกว่า ไม่อยากรับรู้เรื่องอะไรจากชัยอีกแล้ว

เวลาล่วงเลยมาจากนาทีเป็นชั่วโมงที่ผมพยายามมีสมาธิกับการทำรายงานวิชาสังคมศึกษา ที่ไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลย เพราะมัวแต่คอยแอบมองไปที่รั่วหน้าบ้าน ที่แม้ตอนนี้ผมจะไม่เห็นเงาของคนที่รบกวนจิตใจผมอยู่ตอนนี้ แต่ผมรู้จักเขาดี คนแผนเยอะอย่างเขาไม่ยอมรามือกลับไปง่ายๆ แน่ เขาจะต้องอยู่รอดักเจอผมแน่ ในทันทีที่ผมปรากฏตัวพ้นประตูรั่วไปต้องเจอเขาดักอยู่แน่นอน

ผมมองนาฬิกาที่เข็มสั้นคล้อยไปทางเลขหนึ่งแล้ว ใกล้ถึงเวลานัดหมายระหว่างผมกับป๊าแล้ว ผมต้องคิดหาทางหลบหนีจากเขาให้ได้ ในใจตัวเองก็รู้ดีนะว่าคงไม่สามารถหนีได้ตลอดชีวิต แต่ใจตอนนี้ยังไม่พร้อมจะเจอเขาจริงๆ มันเจ็บจี๊ดที่ใจแปล๊บๆ เวลานึกถึงเรื่องนี้

วันนี้ผมขอหนีให้ได้ก่อนก็แล้วกัน ในหัวคิดวนเวียนไปมาระหว่างเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมออกไปข้างนอก ก็นึกถึงประตูฉุกเฉินที่ไม่ได้ใช้มานาน เป็นประตูที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้รถพยาบาลเข้ามารับตัวแม่ของผมตอนที่ป่วยอยู่ได้ง่าย เป็นความทรงจำที่ไม่ได้อยากนึกเท่าไหร่ แต่ก็ดูจะมีประโยชน์ตอนนี้ล่ะ พอคิดได้ดังนี้ ผมรีบเก็บของ หยิบกุญแจรถและวิ่งไปที่โรงรถทันที

ผมวิ่งไปปลดล็อคประตูทางออกพิเศษของบ้าน และเลื่อนเปิดไปจนสุดทาง ผมขับเคลื่อนรถออกจากบ้านและวิ่งออกจากรถมาปิดประตูกลับตามเดิม ทำให้สายตาเหลือบไปเห็นลุงขาวที่กำลังเดินกึ่งวิ่งเข้ามาที่บริเวณบ้าน ผมรู้สึกสะกิดใจนิดหน่อยเพราะปกติลุงแทบจะไม่เคยเข้ามาบริเวณบ้านเลย หากไม่เรียกใช้ ตามกฏของคุณนายของบ้าน พอสายตาผมประสานกับลุงขาวขณะที่ผมเลื่อนบานประตูบานใหญ่ปิดลง ก็ทำให้ผมนึกได้ทันทีจากอาการกระตือรือร้นที่จะวิ่งกลับไปที่จุดเดิมของลุง

ผมน่าจะเดาได้ถูกต้อง ลุงขาวต้องแอบช่วยชัยอยู่แน่ เพราะดูลุงขาวแกเอ็นดูชัยเป็นพิเศษ ชัยต้องดักรออยู่แถวรั่วแน่นนอน ผมน่าจะเดาทางเขาได้ถูกต้อง โชคดีที่ไม่วิ่งออกทางประตูหน้า นึกได้ดังนี้ผมวิ่งขึ้นรถและเหยียบคันเร่ง ออกตัวรถอย่างเร็วแบบที่ผมไม่เคยทำมาก่อน!

วิ่งออกมาจนถึงถนนใหญ่แล้ว ผมพยายามมองกระจกหลัง และกระจกมองข้างสลับไปมาระหว่างขับรถที่เสียงเครื่องยนต์ดังฮัมเสียงกังวาล ไม่เห็นบิ้กไบค์คู่กรณีทำให้ผ่อนลมหายใจแบบโล่งอกที่ผมคงคิดไปเองว่าชัยจะติดตามมา ผมมองเข็มวัดความเร็วบนคอนโซลรถ มันชี้เลยไปที่เลข 100 นิดๆ
หนึ่งร้อยเป็นความเร็วที่ผมจำกัดให้กับตนเอง ผมไม่เคยขับถึงเลขนี้มาก่อน พอมาเจอเข็มที่มันวาดไปเกินร้อยนี่ทำเอาผมใจสั่นไปหมด ผมรู้สึกตัวเองไม่ค่อยถูกกับความเร็วเท่าไหร่  เพราะยิ่งเร็ว ความชัดเจนต่างๆ มันก็ยิ่งลดหน่อยลง การตัดสินใจต่างๆก็จะขาดความเฉียบคม ผมเคยเห็นอุบัติเหตุร้ายแรงมาก่อน เลยมีความกลัวแฝงมาโดยตลอด (ผมถึงไม่ชอบซ้อนท้ายชัยเท่าไหร่ เขาซิ่งจนผมเข่าอ่อนทุกครั้ง)

ขณะที่กำลังลดความเร็วลง หูเจ้ากรรมของผมก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่แสนคุ้นหูจนผมต้องเหลือบไปมองกระจกหลัง รถบิ้กไบค์สีแดงสลับดำและหมวกกันน็อกที่มีลวยลายไม่เหมือนใครแบบนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน ‘ชัย’ แน่นอน!!

เขาขับจี้ตามมาด้วยความเร็วสูง (ความเร็วปกติที่เขาขับนั่นแหละแต่สูงสำหรับผม) ภาพนั้นทำให้ผมหันกลับมาตั้งสมาธิกับการเหยียบคันเร่งใหม่อีกครั้ง ในหัวมันคิดได้แค่ต้องหนีให้พ้นแค่นั้น! ระหว่างที่ภาพต้นไม้และเสาบอกระยะทางวิ่งเข้าหาตัวรถอย่างเร็วจนผมได้ยินเสียงหวีดหวิวเขามาในรถก็นึกแผนที่จะสลัดเขาให้หลุดได้ ข้างหน้านี้มีสี่แยกไฟแดง หากทำให้เขาติดไฟแดงได้ ผมก็สามารถหลบเข้าซอยทางลัดข้างหน้าได้ น่าจะหลบหนีเขาได้พ้น ผมคุ้นเคยกับถนนเส้นนี้ดี เป็นเส้นทางไปร้านอาหารที่พ่อพาผมไปกินเป็นประจำเวลาอยากคุยกันลำพังตามประสาพ่อลูก คิดได้แล้วผมก็เหยียบคันเร่งไปให้ถึงจุดนั้น พอภาพสัญญาณไฟปรากฏขึ้นในสายตาผมก็คำนวนเวลาตามเลขที่นับถอยหลังที่เห็นไกลๆ นั่นทันที

ระยะทางจากรถและแยกไฟแดงค่อยๆ ร่นลงมาเรื่อยๆ จามความเร็วของผมและเลขที่นับถอยหลังไม่ถึง15 วินาที ผมคาดว่าผมคงจะขับผ่านแยกนี้ไปได้โดยทิ้งให้ชัยจอดค้างรอสัญญาณไฟแดงอยู่ที่แยกนี้ในขณะที่ผมเลี้ยวเข้าซอยทางลัดไปถึงจุดหมายได้โดยหายไปจากสายตาของผู้ติดตามได้สำเร็จ (ชัยไม่กล้าฝ่าไฟแดงแน่นอน เพราะเคยโดนพ่อเขาดุหลายทีแล้ว)

ชั่ววินาทีที่ผมคิดถึงความสำเร็จที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวลาประมาณ10วินาทีข้างหน้า ขณะที่รถเข้าใกล้สี่แยกมากขึ้นเรื่อยๆ ไฟสัญญาณจราจรก็เปลี่ยนสีเป็นแดงอย่างไร้เหตุผล ผมก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาบ้างนะ แต่ไม่นึกว่าจะมาเป็นในวันที่ผมอยากจะข้ามผ่านแยกนี้ไปได้อย่างรวดเร็ว ผมเปลี่ยนมาเหยียบเบรคจนเกิดเสียงเสียดระหว่างล้อกับถนน ผมมองเลขสีแดงข้างๆสัญญาณไฟจราจรที่แขวนอยู่เหนือหน้ารถซึ่งนับถอยหลังอย่างใจเย็น ผมมองซ้ายขวาไปมาหลายครั้ง จนเกิดความสงสัยว่า รถที่ขับผ่านแยกนี้แทบจะนับคันได้ ทำไมถึงได้ใช้เวลาในการนับถอยหลังนานขนาดนี้ ผมมองตัวเลข 40.....39.....38...... ตรงสัญญาณไฟอย่างร้อนรน

ก็อกๆๆๆ

ชัยที่ตอนนี้ขับมาจอดขนาบข้างเป็นที่เรียบร้อยแล้วพยายามเรียกร้องความสนใจโดยการเคาะกระจกรถบ้าง เรียกชื่อบ้าง โบกไม้โบกมือเหมือนคนบ้าเล่นกับกระจกบ้าง แต่ผมก็ใจแข็งพอที่จะไม่หันไปมอง ผมกลัวจะใจอ่อนเมื่อได้เห็นดวงตากลมใสของเขาจ้องมองมา รอยยิ้มที่ทำให้ผมอบอุ่นทุกครั้งที่มอง คำพูดทุกคำพูดที่ทำให้ผมยิ้มได้เสมอ  มันรู้สึกอึดอัดและทรมานมากๆ เมื่อผมต้องอยู่ใกล้กับคนที่เราแคร์เขามาก แต่ไม่สามารถโต้ตอบได้ ผมยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมาก ผิดหวัง เสียใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมอยากจะผ่านมันไปให้ได้ เรื่องที่ผมกลัวที่สุดมันก็กลายเป็นจริง ผมกลัวสิ่งที่ชัยจะพูดออกมา กลัวเขาจะบอกความจริงและอยากจะให้เรากลับมาเป็นเพื่อนเหมือนเดิม ผมทำใจเรื่องนั่นยังไม่ได้ ความกลัวทำให้ผมต้องหนี!

ในที่สุดผมก็ใจเข็งพอที่จะไม่หันไปสนใจจนกระทั่งเลขนับถอยหลังสีแดงจบลงและกลายเป็นสีเขียว ผมเปลี่ยนเกียร์และเหยียบคันเร่งจนสุด รู้สึกว่าตัวเองตอนนี้เหมือนพอล วอร์คเกอร์ ในฟาสต์แอนด์ฟิวเรียส ภาพวิวข้างหน้าวิ่งเข้ามาปะทะกับสายตาและผ่านพ้นขอบสายตาอย่างรวดเร็ว เสียงล้อยางเสียดสีพื้นถนนดังเข้ามาถึงภายในตัวรถ ผมกำลังก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง จนทำให้ใจสั่นไปหมด รับรู้ถึงการเต้นของหัวใจตัวเองไปทั่วทั้งตัว เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ เข็มบอกความเร็วบนแผงควบคุมด้านหน้าบอกว่าผมก็กำลังก้าวข้ามความเร็วที่ตัวเองจำกัดไว้ ในหัวไม่คิดอะไรนอกจากขับไปให้พ้นจากชัยที่กำลังขับตามมา

แต่เหมือนเป็นเรื่องเสียดสีขำขันในหนังสือที่ผมเคยอ่าน ในขณะที่ผมพยายามเร่งความเร็วจนฝ่าความกลัวของตนเองได้สำเร็จ แต่ไอ้บิ้กไบค์ของชัยกลับแซงผมไปได้ด้วยเวลาไม่ถึงสามนาที ไม่เท่านั้นยังแซงผมล้ำหน้าไปไกลหลายสิบเมตรจนผมเห็นรถของเขาเล็กลงจนเหลือแค่ขนาดไอซ์ครีมรสช้อกโกแลตแบล็คฟอร์เรส 1 สกูป(สงสัยผมจะหิว มองอะไรเป็นของกินไปหมด) ผมจึงตัดสินใจค่อยๆ ผ่อนความเร็วลงเพราะตอนนี้เข็มวัดระยะความเร็วมันชี้เลยเลข 120 มาเล็กน้อย ในเมื่อหนีเขาไม่พ้นก็คงต้องพยายามเผชิญหน้ากับเขาก็แล้วกัน

ในขณะที่ผมเพิ่งละสายตาจากหน้าปัดบอกความเร็วที่หลังพวงมาลัย รถบิ้กไบค์สีดำสลับแดงของชัยกลับค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเหมือนหยุดนิ่ง ไม่ใช่สิ! มันหยุดนิ่งอยู่จริงๆ ซ้ำยังจอดขวางเลนที่ผมกำลังมุ่งตรงไปด้วย เขาบ้าไปแล้วหรือไง! ระยะทางแค่นี้ผมหยุดรถก่อนที่จะถึงเขาไม่ได้แน่ด้วยความเร็วระดับนี้ ผมสลับเท้าตัวเองไปเหยียบที่คันเบรกทันที

เอี้ยดดดด!!

เสียงล้อยางขนาด 15 นิ้วเสียดสีกับพื้นถนนดังก้องไปทั่ว ภาพในวินาทีที่ผ่านเข้ามาตอนนี้เหมือนเป็นภาพช้าแบบฉากในภาพยนต์แอ็คชั่น รถวอลโว่ของผมค่อยๆขับเคลื่อนพุ่งไปที่เป้าหมายข้างหน้าอย่างช้าๆ จนได้ยินเสียงปะทะกันของโลหะสองสิ่งดังลั่น

..........................(ต่อ)..................

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
..........................(ต่อ)..................

โครม!!

รถหยุดลงตามด้วยเสียงที่เงียบงัน ศรีษะของผมที่โดนแรงเฉื่อยของการหยุดรถอย่างแรงเอนไปจนเกือบชิดติดกับพวงมาลัย ผมเงยหน้าขึ้นมองไปนอกรถด้านหน้า ใจหล่นวูบไปถึงตาตุ่มเพราะผมไม่เห็นรถของชัยจอดขวางแล้ว เห็นแต่เส้นถนนที่ทอดยาวออกไปท่ามกลางแสงยามบ่ายที่เผาจนภาพเบื้องหน้าบิดเบี้ยวไปหมด ผมรีบเปิดประตูรถลงไปดูสภาพแวดล้อม เพราะผมกลัวว่าจะเผลอขับรถทับชัยกับรถของเขาหรือเปล่า

ผมวิ่งอ้อมไปที่ด้านหน้ารถไปอย่างแรก ภาพที่เห็นทำเอาผมแทบเข่าอ่อน ดวงตาร้อนรุมไปหมด มันเป็นสภาพที่บิ้กไบค์ของชัยล้มลงไปราบกับพื้น มีรอยบุบที่ตัวถังและรอยถลอกประปรายไปทั่ว ชัยที่นอนราบหมดสติแผ่หลาบนพื้นถนนที่มีไอร้อนระเหยขึ้นมาจนมองเห็นด้วยตาเปล่า ผมก้าวเดินไปหาคนที่นอนอยู่เบื้องหน้าทีละก้าว สายตาก็พลางสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถและคนตรงหน้า

ผมไม่เคยขับรถแล้วมีอุบัติเหตุอย่างนี้มาก่อนในชีวิต ใจของผมแทบจะเต้นออกมานอกอก โดยเฉพาะกับภาพที่เห็นตรงหน้า ภาพของชัยที่นอนแน่นนิ่ง ผมกล้าๆกลัวๆที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เห็น ผมยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินเข้าไปนั่งใกล้และใช้มือสำรวจตัวเขา เขามีบาดแผลที่ด้านหลังศรีษะตรงท้ายทอย สังเกตได้จากเลือดที่ไหลหยดออกมาที่พื้นถนนซึ่งแทบจะแห้งทันทีเพราะความร้อน ใบหน้าของเขาสงบนิ่ง ร่างกายไม่เคลื่อนไหว ทั้งร่างนอนอยู่ห่างจากรถเพียงเล็กน้อยคงเพราะแรงกระแทก

ผมสัมผัสไปที่หน้าของเขา น้ำตาที่ไม่รู้ไปซ่อนอยู่ที่ไหนตอนนี้มันไหลท่วมหน้าผมจนผมแทบมองเห็นหน้าเขาเพียงลางๆ

“เพราะความดื้อด้านของเราเอง เราขอโทษ ทำไมนายทำอะไรโง่ๆ อย่างนี้!”
ผมพยายามปาดน้ำตาและตั้งสติโดยการตบหน้าตัวเองเบาๆ
“ไม่ได้ ไม่ได้ ต้องโทรหาหมอ โทรหาที่บ้านชัยทุกคน”

ระหว่างที่มือของผมกำลังพะวงอยู่กับการหาเบอร์โทรศัพท์อยู่นั้น ก็มีมืออุ่นๆ ยื่นมาจับแขนผมและเขย่าด้วยความอ่อนแรง

“อ้าว!! ชัย นายฟื้นแล้ว!!”
“ไม่เป็นไร! ไม่ต้องโทรหรอก เราไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรได้ไง นายบาดเจ็บแถมเมื่อกี้ก็หมดสติไปอีก ยังไงก็ต้องหาหมอ!!”
“ได้......งั้น.......นายช่วยฟังอะไรเราหน่อยได้ไหม?”
“.................เอ่อ......... อืม” ผมไม่รู้จะตอบเขาไปว่าอะไรกับสภาพที่นอนอ่อนแรงของเขา
“เรื่องผู้หญิงคนนั้น..”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องพูดอะไรเราเข้าใจ เรา....จะยอมหลีกทางให้....” น้ำตาที่หยุดไปของผม มันกลับมาเอ่ออยู่ที่ตาอีกครั้งไม่รู้ตัว แผลในใจที่เมื่อครู่นี้ลืมไปแล้วกลับมาเจ็บอีกครั้ง
“ไม่ใช่ เราไม่ต้องการ..... เราแค่จะบอกว่า เราไม่รู้จักเธอเลย เราโดนแกล้ง เราไม่มีวันทำแบบนี้กับนาย....”
“อย่ามาแก้ตัวเลย ใครเขาจะแกล้งกันขนาดนี้!!” ผมเผลอขึ้นเสียงกับคนเจ็บตรงหน้าแบบไม่รู้ตัว
“เรารักนายนะ เรารักนายแค่คนเดียว ยิ่งเรารู้ว่า เราจะเสียนายไปแบบนี้ เรายอมทำทุกอย่างให้นายกลับมาหาเรา แม้แต่วิธีโง่ๆ แบบนี้!”
“..........................” ในใจของผมสับสนอย่างที่ผมอธิบายไม่ได้ มันจะเป็นไปได้อย่างไร? เกิดคำถามขึ้นมากมายในหัว เพราะคนที่รู้ว่า ผมกับชัยเป็นอะไรกันมันมีไม่กี่คน

“หากนายไม่เชื่อ นายไม่ต้องโทรหาหมอหรอก เรายอมตายตรงนี้ ดีกว่าปล่อยให้นายเข้าใจผิดไปแบบนั้น” เขาคว้าโทรศัพท์ของผมไประหว่างที่พูด (ขนาดบาดเจ็บอยู่ก็ยังเร็วขนาดนี้)
“โอเคๆ เราเข้าใจแล้ว เราเชื่อนาย อย่าเอาชีวิตของตัวเองมาทำแบบนี้สิ!! เอาโทรศัพท์เราคืนมาได้แล้ว!!”
“สัญญาก่อน!!” ชัยเบี่ยงมือข้างที่ยึดโทรศัพท์ของผมให้เบนห่างออกไป
“ได้!”
“และห้ามโกรธเรา เรื่องที่เราทำแบบนี้ด้วย!”
“ได้ เราเข้าใจแล้ว เราสัญญาว่าจะไม่โกรธ” เขาอยู่ในสภาพนี้แล้วจะให้ผมโกรธลงได้ยังไงกัน
“อ่ะ... เอาคืนไป แต่ไม่ต้องโทรหาใครหรอก เราไม่เป็นอะไรมาก”
“จะบ้าเรอะ ไม่ได้! ยังไงก็ต้องไปหาหมอก่อน หัวของนายเลือดออก แล้วอาการของนาย......”
ผมยังไม่ทันพูดจบประโยค ชัยก็ลุกขึ้นมาเสียดื้อๆ ปัดเสื้อผ้าทั้งตัวแถมบ่นอุบอิบว่าร้อนยังงั้นยังนี้
“เฮ้ย!!! นายแกล้งเราเหรอ?”
“ไม่ได้แกล้ง นายชนเราจริงๆ แต่แค่สะกิดเบาๆ ทำให้เกิดเสียงนิดหน่อย เราพอจะหนีทันก็เลยคิดแผนแบบด้นสดแบบนี้แหละ ไม่งั้นนายก็ไม่ฟังที่เราพูดเลย ส่วนแผลที่หัวนี้ ไม่ใช่ฝีมือนายหรอก เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” ชัยเดินไปยกรถบิ้กไบค์ของตนเองขึ้นมาตั้งพลางสำรวจไปทั่ว แถมบ่นอุบอิบอีกว่า คงต้องโดนแม่สวดยับแน่นอน และอื่นๆ อีกมากมาย

“นาย!! นี่มัน!!” ผมรู้สึกเสียหน้าและโกรธจัดจนกำหมัดแน่น
“อ่ะๆ นายสัญญาแล้วนะ ว่าจะไม่โกรธ” เขาหันมาหาผมก่อนที่จะเข็นรถตัวเองไปจอดที่ไหล่ทาง

“..............”
จริงครับ ผมสัญญาไว้แบบนั้น ผมพยายามสะกดความโกรธของตัวเองลง
“กวีที่รักครับ ช่วยขับรถมาจอดที่ไหล่ทางด้วยกัน เราจะได้คุยกันดีๆ” ผมพยักหน้าแบบขุ่นๆ ก่อนที่จะขับรถมาจอดที่ไหล่ทางใกล้ๆกับรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของชัย

ผมกับชัยเลือกที่จะนั่งคุยกันต่อในรถของผมที่จอดในที่ปลอดภัยเรียบร้อย แถวนี้ไม่ค่อยมีรถขับผ่านเท่าไหร่ การจอดตรงไหล่ทางแบบนี้ก็ถือว่าปลอดภัย

เขาเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ตั้งแต่โดนล่อลวงให้ไปที่จุดเกิดเหตุ โดนไม้ตีหัวจนน็อคหมดสติ (อีกแล้ว) แล้วมารู้สึกเต็มตัวอีกทีก็อยู่ที่บ้านพี่หมอ มีคนที่้ช่วยเหลือทั้งพี่โน่แล้วก็คนที่ชื่ออาร์ตนั่นอีก

“พวกเขาจะทำไปทำไมวะ?” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากจบประโยคบอกเล่าของชัย ดูท่าทางเขาจะไม่ได้โกหก เพราะในเรื่องที่เล่ามีคนที่คนผมนับถืออย่างพี่หมอและพี่โน่อยู่ในเรื่องด้วย เขาคงไม่ยกคนพวกนี้มาโกหกด้วย เพราะชัยรู้ว่าผมเช็คได้เร็วแน่ไหน

“เรื่องนี้ นายจะได้รู้เร็วๆนี้! เป็นไงเชื่อเราแล้วใช่ไหม?”
“อืม.... มันก็น่าเชื่ออยู่ .....แต่....ก็ยังไม่หายโกรธนายอยู่ดี”
“อะไรวะ? เรื่องอะไรวะเนี่ย? มันไม่ใช่ความผิดเราเสียหน่อย เรื่องมันก็เรื่องไม่จริง!” ชัยทำเป็นแกล้งโวยวายเรียกร้องความสนใจเหมือนทุกครั้ง
“ใช่!! เรื่องไม่จริงที่นายแกล้งล้มเมื่อกี้ไง!!” ผมมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ชัยทำท่าหัวเราะกลบเกลื่อน
“อันนี้เราโกรธจริงๆ นายรู้ไหมว่า เราเป็นห่วงนายแค่ไหน เลิกให้เรารู้สึกแบบนี้เสียทีได้ไหม?”
“ดีใจจังที่นายรู้สึก..... แบบนั้น......โอเคๆ อย่างที่บอก เรายอมทุกอย่างให้นายหายโกรธ หายงอน นี่ก็หนึ่งในนั้น!”
ชัยดูจะรีบเปลี่ยนคำพูดทันทีหลังจากเห็นหน้าผมที่บอกบุญไม่รับ
“แต่ตอนนี้เรายังโกรธอยู่!!” ผมกระแทกเสียงใส่อีกครั้ง
“อืม....อยากให้เราทำอะไรให้นายดีขึ้น เราสัญญาเราจะทำ!”
“ทุกอย่างแน่นะ?”
“ทุกอย่าง บัญชามาเลย!!”
“งั้นคืนนี้ เราขอกดนายทีหนึ่ง ยอมไหม?”
ชัยดูหน้าเปลี่ยนสีทันทีหลังจากที่ผมพูดจบประโยค ซึ่งแน่นอนผมพูดจริง!! จะทำให้ไปเป็นผัวใครไม่ได้อีกเลย จะได้รับรู้ถึงความรู้สึกของผมเสียบ้าง

................................................

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

กวี# 11

หลังจากเคลียร์กับชัยเรียบร้อย ผมรีบขอแยกตัวออกจากชัยเพื่อมุ่งหน้าไปหาป๊าก่อน (ความจริงผมชวนชัยไปกับผมด้วย แต่เขาไม่ค่อยคุ้นกับการอยู่กับพ่อผมเท่าไหร่ ชัยมักจะบอกว่าพ่อผมดุ และดูจะเกร็งทุกครั้งที่อยู่ด้วย สำหรับผม ผมว่าพ่อผมใจดีจะตายไป) ก่อนขับรถออกไป ผมขอสำรวจความเสียหายของรถอีกครั้ง โชคดีที่มีรอยถลอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก และภาวนาไม่ให้พ่อเห็นรอยนี้ก่อนที่ผมจะส่งเคลมประกัน (ขอคิดคำแก้ตัวก่อน)

ผมไปถึงร้านอาหารชานเมืองซึ่งเป็นที่ประจำของผมกับพ่อ(และแม่) หากพ่อมีเวลาพ่อจะพาผมมาที่นี่เป็นประจำ เพื่อคุยกันประสาพ่อลูก และระลึกถึงแม่ที่เสียไป ที่นี่เป็นร้านที่ไม่ใหญ่มาก ตกแต่งเรียบง่าย เป็นร้านที่เปิดมานานหลายชั่วอายุคน พ่อผมกับเจ้าของที่นี่รู้จักกันและเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนตั้งแต่มัธยมยันมหาวิทยาลัย ที่นี่มีอาหารขึ้นชื่อหลายอย่าง แต่ที่ผมชอบและเป็นที่โดนเด่นของร้านนี้คือน้ำตกจำลองที่ตั้งอยู่กลางร้าน ผมมักจะชอบมานั่งทานอาหารใกล้ๆจุดนั้นเสมอ พอได้ยินเสียงน้ำไหลแล้วผมรู้สึกอารมณ์ดี ใจเย็น และเจริญอาหาร

วันนี้ผมจอดรถไกลจากร้านหน่อยเพราะไม่อยากให้พ่อสังเกตถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น ลานจอดรถที่นี่กว้างขวางพอสมควรน่าจะช่วยได้ ที่ผมมาสายก็ต้องโดนพ่อว่าแล้ว หากพ่อรู้เรื่องนี้อีก ผมว่าผมโดนยึดรถคืนแน่นอน

ผมเดินเข้ามาในร้านที่ตกแต่งประยุกต์จากเก๋งจีนขนาดใหญ่ เป็นร้านแบบเปิดให้อากาศหมุนเวียนจากด้านหนึ่งไปอีกได้หนึ่งได้สะดวก ภายในอาการไม่ร้อน เพราะถูกออกแบบมาให้มีหลังคาสูง หลายเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่ตกแต่งด้วยสีแดง เป็นภาพที่ดูขัดตากับสิ่งปลูกสร้างโดยรอบที่เป็นทุ่งนาและบ้านทรงไทย ผมมองกี่ทีก็ไม่เบื่อเลย (มันมีเอกลักษณ์ดี) ผมสาวเท้าอย่างเร่งรีบไปที่จุดหมายอย่างชำนาญพลางหลบหลีกโต๊ะอาหารที่วางกันแน่นขนัด และคนเริ่มทยอยเข้ามาลิ้มรสอาหารรสเด็ดของที่นี่มากขึ้นจนตาลาย กว่าผมจะถึงโต๊ะที่ป๊านั่งอยู่ก็กินเวลาพอสมควร

“ช้านะเรา ทำอะไรอยู่ ป๊าบอกตั้งแต่เช้าแล้วนี้ อาหารที่ป๊าสั่งให้เย็นหมดแล้ว!”
คำแรกที่หลุดออกจากปากพ่อของผมหลังจากที่ไม่เจอกันหลายวัน
“ขอโทษครับ ผม... ต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนออกมาเลยช้าครับ”
ผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าชาไปเล็กน้อยหลังจากพยายามคิดหาข้อแก้ตัวที่มันเข้าท่า แต่ผมก็ไม่พอใจกับสิ่งที่พูดออกมาเท่าไหร่

“เรียนดีอยู่แล้วนี่ ไม่ต้องทำให้มันหนักมากขนาดนี้ก็ได้ ยังไงพ่อก็วางแผนให้แกอยู่แล้ว เรื่องไปเรียนต่อเมืองนอกน่ะ แกไม่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียหน่อย!”

พ่อผมเริ่มบ่นยาวเรื่องนี้อีกแล้ว ดูท่าทางพ่อจะโกรธที่ต้องมารอผมนานขนาดนี้ (เพราะชัยคนเดียว!)  ผมตัดสินใจเงียบไว้ก่อน เพราะไม่อยากที่จะเถียงกับป๊าเรื่องที่ผมอยากสอบสัตวแพทย์มากกว่า ความใฝ่ฝันของผม เราคุยกันหลายรอบเรื่องนี้ แต่ดูป๊าจะไม่เข้าใจเท่าไหร่และเหมือนจะแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ด้วย ป๊ายังคงยืนกรานให้ผมไปเรียนต่อต่างประเทศตามที่ป๊าตั้งใจไว้ ท่านอยากให้ผมช่วยดูแลธุรกิจแทนท่านสักวันในอนาคต ผมก็เลยมักจะเหวี่ยงบอกป๊าไปเสียงทุกครั้งว่าก็ไปบังคับเจ้าสุนทรสิพ่อ (สุนทรน้องชายต่างแม่ของผม ที่...ช่างมันเถอะ...เรื่องมันยาวยังไม่อยากคิดถึงมันตอนนี้)

“ช่วงนี้ดูแกยุ่งๆ นะ ไม่ค่อยอยู่บ้านเลย แล้ว.. นิ่มแฟนแกล่ะ ไม่เห็นมาพักหนึ่งแล้ว?”
ความเงียบของผมจากการเลิกสนใจบทสนทนาของพ่อและหันไปสนใจกับข้าวบนโต๊ะแทนเปิดโอกาสให้พ่อคิดคำถามเพิ่มอีก
“ก็มีกิจกรรมที่โรงเรียนด้วยครับ งานกีฬาน่ะครับ ส่วน.... นิ่ม.. ผมไม่ได้คุยกันแล้ว”
ผมรู้สึกไม่ค่อยอยากพูดถึงนิ่มเท่าไหร่ก็เลยลังเลที่จะตอบ
“ป๊าขอพูดหน่อยนะ ป๊าไม่ชอบที่แกเล่นกีฬาเลย แกผอมลงป๊าก็รู้สึกโอเคอยู่ แต่หลายครั้งที่แกเจ็บตัวกลับมาอย่านึกว่าป๊าไม่รู้ ป๊าเป็นห่วงแกรู้ใช่ไหม?”
“ครับ” ผมตอบสั้นๆทุกครั้งที่ป๊าแกบ่นเรื่องนี้ซึ่งน่าจะเป็นครั้งที่พันได้
“เรื่องของนิ่มอีก เราได้เขาแล้ว เป็นลูกผู้ชายต้องรู้จักรับผิดชอบหน่อย อย่ากินทิ้งกินขว้างมันไม่ดี แล้วนี่แกป้องกันดีใช่ไหม ป๊ายังไม่อยากเลี้ยงหลานนะ!”
ผมแทบสำลักข้าวออกมาเพราะคำพูดของป๊า และเสียงท่านก็ไม่ใช่คนพูดเสียงเบาๆเสียด้วย
“ป๊า!!” ผมรีบตัดพ้อป๊าด้วยเสียงลากยาว
“อะไร!! ก็มันจริง ป๊าก็เคยเป็นวันรุ่นมาก่อนนะ เรื่องแค่นี้ทำไมป๊าจะไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง”
“โอเคครับป๊า... เอาเป็นว่าผมกับนิ่มเลิกกันด้วยดี ก็เธอทำนิสัยไม่ดีก่อนนี่ป๊า”
“อะไรวะ พวกแกคบกันไม่นานเสียหน่อย?”

สุดท้ายผมเลยเล่าเรื่องความนิสัยเสียของนิ่มให้ป๊าฟังพอสังเขปเฉพาะเรื่องที่ผมรู้ดี ส่วนเรื่องข่าวลือต่างๆ ส่วนใหญ่ผมก็ไม่ได้เล่า

“เสียดาย หน้าตาน่ารักขนาดนั้น แม่ออกจะนิสัยดี เป็นถึงนางงามของจังหวัดเชียวนะ พ่อก็ดีใจเผื่อที่จะได้ดองกันเสียอีก แกนี่แน่กว่าพ่อเยอะ”
“พ่อรู้จักแม่นิ่มด้วย!?!”
“คนสมัยพ่อ ใครๆก็รู้จัก ก็ต่างแย่งกันจีบนี่นะ!”
“โห...... แล้วใครสวยกว่ากันครับระหว่างแม่ผมกับแม่นิ่ม”
“ไอ้นี่ ถามเอาอะไรวะ? ก็ต้องแม่เอ็งสิวะ! พอๆ แค่นี้แหละ!! เรื่องของผู้ใหญ่ไม่ต้องอยากรู้ให้มากนัก!!”
“ครับ...ครับ” ในที่สุดผมก็เปลี่ยนบรรยากาศบริเวณโต๊ะสำเร็จ
“เออ!......ช่วงนี้แกเป็นไงบ้าง? มีอะไรจะเล่าให้ป๊าฟังไหม?”
“........... ไม่มีนี่ครับ ก็อย่างที่พ่อรู้  ผมก็ยุ่งกับการซ้อมกีฬา แล้วก็อ่านหนังสือสอบแล้วก็เลิกกับนิ่มแล้ว”
“แค่นี้?”
“อืม....ก็คิดว่า...แค่นี้ครับ” ปากพูดไปแบบนั้นแต่ในใจก็คิดถึงเรื่องของชัย
“ไม่มีอะไรใหม่ๆมาอัพเดทป๊าเลย?”
“เอ่อ.... ยังไม่มีครับ” หน้าของชัยลอยมาวนเวียนอยู่ในความคิด ใจเต้นตูมตามเหมือนหนูที่วิ่งอยู่ในกรงล้ออย่างไม่เป็นสุข
“อืม.. ยังไงมีอะไรก็มาปรึกษาป๋าได้นะ ป๊ายินดีรับฟังเสมอ”
“ครับป๊า”
ป๊าผมถึงจะดูดุและเข้มงวด แต่ก็ทำไปด้วยความรัก และสุดท้ายก็มักจะจบลงด้วยความห่วงใยผมเสมอ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นการที่ป๊าห่วงผมมาก มากเสียจนผมแทบไม่มีอิสระจากความคิดของป๊าเลย มันก็เลยทำให้ผมอึดอัดนิดหน่อย เรื่องเรียนต่อสัตว์แพทย์ กับเรื่องของชัยคงต้องรออีกสักพักถึงค่อยคุยกัน

หลังจากกินมื้อบ่ายกันเสร็จป๊าก็ขอตัวแยกไปทำงานต่อเลย มีประชุมกับหุ่นส่วนของบริษัท พ่อพยายามเดินมาส่งผมที่รถแต่ผมพยายามแยกตัวออกจากป๊าจนสำเร็จ (สงสัยจะติดความกะล่อนจากชัยมา)

............................

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
สายลมเย็นๆ พัดมาจากทิศตะวันตกขณะที่ผมเดินออกจากสนามบาสเก็ตบอลหลังจากจบการซ้อมแบบหฤโหดจากโค้ชเลือดเย็นประจำโรงเรียน พอเข้าช่วงใกล้การแข่งขันทีไร ก็เหมือนโดนผีเข้าสิงทุกที ซ้อมกันเสียคนในทีมต่างหมดแรงไปตามๆกัน แม้จะเป็นทีมที่เป็นที่สองมาตลอดอย่างโรงเรียนผม ก็อยากจะได้ที่หนึ่งมาครอบครองบ้าง ทำให้ช่วงใกล้งานแข่งขันทำให้บรรยากาศแห่งความจริงจัง มาเยือนสนามซ้อมอย่างต่อเนื่อง ผมแอบคิดว่าโรงเรียนของผมมีแต่เด็กเนิร์ดเด็กเรียนจะไปสู้กับโรงเรียนเด็กนักกีฬาอย่างนั้นได้อย่างไรกัน แต่ในเมื่อใจมันรักที่จะเล่นมันก็ต้องทำให้สุดล่ะครับ แม้ทีมที่จะต้องแข่งด้วยมันคือทีมที่มีแฟนตัวเองเล่นอยู่ก็ตาม
(ใช้คำว่าแฟนทีไรแอบเขินทุกที)

วันนี้ผมก็มีนัดกับชัยเช่นเคย แต่คราวนี้มันดูจะแปลกๆ เสียหน่อยเพราะเขาบอกผมไปนั่งรอก่อนเดี๋ยวเขาจะตามมา เขาขอตัวไปทำธุระก่อน ชัยจะมาช้าหน่อยและย้ำให้ผมรออยู่ทึ่เดิมอย่าไปไหนก่อนที่เขาจะมา ผมตกลงตามปกติ เพราะเกือบทุกครั้งผมก็จะไปถึงก่อนและรอชัยเป็นประจำอยู่แล้ว ผมมองว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่แปลกคือเรื่องที่โทรมาบอกให้รอนี่แหละ

ผมมาถึงที่ร้านคาเฟ่ร้านประจำในเวลาไม่ต่างจากทุกวัน ผมเดินมาลงนั่งที่เดิมแทบจะทันที แต่วันนี้เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงทำเลเล็กน้อยของตู้หนังสือและโต๊ะบางตัวรอบๆ บริเวณที่ประจำของผม สงสัยคงอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศในร้าน ผมหยิบทุกอย่างที่เตรียมไว้ลงมากองไว้บนโต๊ะเช่นเดิม และไม่ลืมที่จะสั่งเมนูแก้หิวระหว่างรอชัยที่มักจะมาช้าเป็นประจำ

ของที่สั่งทุกอย่างมาวางเป็นระเบียบอยู่บนโต๊ะทุกอย่างแล้วทั้งคาวทั้งหวาน ผมนั่งเล็มอาหารบนโต๊ะเรื่อยๆ ระหว่างรอคนที่ผิดเวลาเสมออย่างชัย วันนี้ลูกค้าในร้านค่อนข้างแน่น อาจเพราะเป็นช่วงต้นเดือนเลยมีคนไหลเข้ามานัดกันกินอาหารกันอย่างไม่ขาดสาย ผมอ่านหนังสือหนึ่งย่อหน้าพลางยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา ทำแบบนี้เป็นระยะ หลายนาทีผ่านไปที่ยังต้องนั่งอยู่คนเดียวกับกองหนังสือและอาหารคาวหวานที่สั่งเผื่อสำหรับสองคน มีเพียงข้อความสั้นๆ จากชัยว่า ‘กำลังไป’ แสดงอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดที่ทำให้ผมยังนั่งรอเขาอยู่ วันนี้ผมรู้สึกว่าผมรอนานกว่าทุกวัน

“พวกนายนัดฉันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย? คนเยอะขนาดนี้จะบ้าเรอะ”
เสียงผู้หญิงแหลมเล็กฟังดูคุ้นหูดังขี้นไม่ไกลจากอีกฟากของตู้หนังสือ
“คนเยอะสิดี จะได้ไม่มีใครสังเกตเรา เอ่อ... คือ....พวกพี่กำลังเดือนร้อน ทำไมน้องไม่บอกว่าคนที่น้องให้ไปจัดการ รู้จักคนใหญ่คนโตในจังหวัดด้วย!”
เสียงผู้ชายอีกคนดังขึ้นแต่ไม่ชัดเจนเท่าไหร่เหมือนกระซิบกระซาบมากกว่า ทำให้ผมเอียงหูฟังอย่างไม่ตั้งใจ
“ก็พวกแกคุยนักหนาไม่ใช่เหรอว่า แค่มีเงินให้จะให้ทำอะไรก็ทำได้ไม่กลัว ทำมาเยอะแล้ว”
เสียงผู้หญิงที่คุ้นหูอีกแล้ว แต่ผมไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนไหนพูดด้วยถ้อยคำประมาณนี้เท่าไหร่
“โห...น้อง... จะมีเรื่องกับใคร พี่ก็ไม่กลัวหรอกแต่ต้องไม่ใช่กับเฮียโน่คนนี้!!”
“โอ้ย!! เบื่อ!! รำคาญพวกดีแต่ปาก งานที่สั่งให้ทำก็ไม่เห็นได้เรื่องเลย แล้วนี่ต้องการอะไร?”
“พี่ต้องการเงินที่เหลือเดี๋ยวนี้ เงินที่บอกว่าจะให้อีกครึ่งหนึ่งหลังเสร็จงานไง!!”
“เสร็จงาน? งานไหนมิทราบ งานยังไม่สำเร็จเสียหน่อยจะเอาเงินอะไรของแกอีก บอกให้จัดการสั่งสอนไอ้ผู้ชายหน้าด้านนั่น และทำให้มันเลิกกันให้ได้ แล้วไหนล่ะ ก็ยังเห็นสองคนนั้นไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เลย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!! งานไม่เสร็จก็ไม่ได้ส่วนที่เหลือ เข้าใจไหม!! ฉันยังเสียดายเงินที่จ่ายไปก่อนหน้านี้อยู่เลย”
“นังนี่นิ!! ฉันเหลืออดแล้วนะ!! ถ้าไม่เห็นแก่พี่โน้ตญาติแก ฉันตบแกตรงนี้เลย งานก็ทำให้แล้ว คิดจะเบี้ยวหรือไง!”
เสียงผู้หญิงอีกคนดังแหลมขึ้นมาจนผมต้องหันไปสนใจต้นเสียงนั้น โดยพยายามมองผ่านช่องว่างของตู้หนังสือที่คั่นระหว่างโต๊ะที่ผมนั่งกับคนกลุ่มนั้น แต่ก็เห็นเป็นอวัยวะบางส่วนเท่านั้น

“ใจเย็นๆ ใจเย็นๆก่อนที่รัก” เสียงผู้ชายคนนั้นเหมือกำลังปลอบให้อีกฝ่ายเย็นลง
“น้องพี่ขอร้องนะ พี่ไม่อยากจะเดือนร้อน พี่แค่อยากได้เงินส่วนที่เหลือ แล้วพี่ก็จะหนีหายไปเลย เรื่องของน้องพี่จะปิดปากเงียบไม่พูดถึงอีกเลย”
“นี่จะขู่กันเหรอ?”
“ก็น้องทำพี่ไม่มีทางเลือกนี่”
“เชอะ! ก็ได้แต่มีแค่ สองพันนะ จะเอาไหม?”
“ได้ครับน้อง”
หญิงสาวน้ำเสียงเหยียดหยามนั่นยกมือสอดเข้าไปในกระเป๋าเพื่อค้นหาของบางสิ่ง และหยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งขึ้นมายื่นให้ ผมฟังจากบทสนทนาทั้งหมดของคนกลุ่มนี้ไม่น่าจะร่วมมือกันทำเรื่องดีๆแน่นอน ในระหว่างที่คิดจะลามือจากการตั้งใจฟังบทสนทนาที่ติดลบเหล่านั้น สายตาผมก็ดันไปจับจ้องอยู่ที่สร้อยข้อมือของผู้หญิงเสียงเหยียดคนนั้น ผมจำได้ทันทีว่านั้นมันเป็นสร้อยข้อมือที่ผมเคยซื้อให้ใครคนหนึ่ง และสร้อยเส้นนั่นมันมีจี้ที่ผมทำเป็นพิเศษให้ด้วย จี้รูปเสี้ยวจันทร์ ตามชื่อของผู้ส่วนใส่ ‘สิตางศุ์’ ที่แปลว่าพระจันทร์ ชื่อจริงของนิ่ม

“แล้วเฮียโน่นี่เป็นใครกันชักอยากจะรู้จักเสียแล้วสิ ทำพวกนายกลัวได้ขนาดนี้!”

ผมรู้สึกอยากลุกขึ้นไปพิสูจน์ว่าเสียงนั่นใช่นิ่มจริงหรือไม่ เพราะฟังจากเสียงนับว่าใกล้เคียงมากเว้นเสียแต่สำเนียงและคำพูดที่ฟังไม่คุ้นหูเท่าไหร่ แต่เนื้อหาในบทสนทนามันทำให้ผมนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับชัยในทันที ขณะที่ผมกำลังยกตัวขึ้นเพื่อลุกไปดูด้วยตาตัวเอง ก็ถูกมือเล็กมือหนึ่งสัมผัสแน่นที่หัวไหล่ให้นั่งลงที่เดิมด้วยแรงกดที่ผมต้านไม่อยู่ ผมมองไปทางมุมของมือนั่นเพื่อดูที่มาของแรงกดนี้

“รอก่อน ละครยังไม่จบ”
“พี่โน่!”
“เบาๆ หน่อยสิ” พี่โน่ทำเสียงซุบซิบใส่ผม พร้อมใช้นิ้วชี้ทาบที่ปากตัวเอง ผมเลยได้แต่ทำหน้าตกใจใส่พี่โน่ไปเท่านั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-12-2017 09:00:55 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
“นี่ๆ อยากรู้จริงหรือว่า พี่โน่เนี่ยคือใคร จะให้เล่าให้ฟังไหม?”
เสียงที่ผมรู้จักดีดังขึ้นทันทีที่ก้นผมสัมผัสกับเบาะนั่งอย่างสมบูรณ์

“พี่ชัย?”
เสียงหญิงสาวที่คุ้นหูกับสำเนียงการใช้น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้ผมเริ่มแน่ใจในตัวตนของคนพูด

“ใช่พี่เอง.... อย่าทำหน้าตกใจแบบนี้สิ แล้วพวกนายก็ด้วยว่าไง?”
ชัยเหมือนกับรู้จักกับอีกฝ่ายหนึ่งด้วย

“พี่ชัยก็รู้จักคนพวกนี้หรือคะ?”
“เรียกว่าว่ารู้จักได้ไหมนะ? เอาเป็นว่าว่าเคยเจอกันดีกว่า ก็เพราะน้องไง!”
“พี่ชัยพูดถึงเรื่องอะไรคะเนี่ย” เสียงหญิงสาวดูร้อนรน
“พี่ว่าน้องรู้ดีนะ”

“พี่ชัยคะ .... คนพวกนี้เขาพยายามจะมาแบล็คเมล์นิ่มน่ะคะ เป็นคนไม่ดี หากพี่รู้จักคนพวกนี้ก็ช่วยนิ่มด้วยสิคะ” เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูขัดกับบทสนทนาเมื่อครู่จนขาดความน่าเชื่อถือ
“นิ่ม!! เลิกเล่นละครเหอะ!! งั้นพวกนายสารภาพมาตรงนี้เลยดีกว่า!”

เหมือนจะเกิดสูญญากาศขึ้นชั่วครู่กับบทสนทนาต่อไป ผมแอบส่องลอดช่องชั้นหนังสือไปเห็นสองคนชายหญิงปริศนานั่นทำท่าเหมือนเกี่ยงกันอธิบาย
“นิ่มไม่รู้จักสองคนนี้นะคะ นิ่มกำลังโดนข่มขู่อยู่นะคะ เขาแอบถ่ายนิ่มในห้องน้ำเลยจะมาขอเงินแบล็คเมลนิ่ม”

“หยุดเลยนังตอแหล นั่นเป็นเรื่องก่อนที่แกจะมาข่มขู่ชั้นแบบนี้ แล้วชั้นก็ไม่มีรูปแกแล้วด้วย ถ้าไม่โดนไอ้พี่โน้ตข่มขู่ว่าจะไปฟ้องตำรวจ ฉันไม่ทำงานสกปรกนี้ให้แกหรอก!!”
“อะไร!! เธอพูดเรื่องอะไร ชั้นไม่รู้เรื่อง!” หญิงสาวที่บอกว่าตกเป็นเหยื่อดูรนรานมากขึ้น
“ได้เลย อีนี่นิ พอถึงเวลานี้จะเอาตัวรอดแบบนี้ใช่ไหม?! ได้!!”
“งั้นเรื่องมันเป็นยังไงครับ?”
“ก็นังนี่มัน บอกว่าจะจ้างให้พวกฉัน ไปทำร้ายน้อง แล้วพยายามใส่ความให้น้องเลิกกับแฟนน้องน่ะสิคะ”
“โอ้....จริงหรือนิ่ม?” ถึงมองไม่เห็นหน้าชัยก็พอนึกภาพสายตาเจ้าเล่ห์ที่เขาทำอยู่ตอนนี้ได้

“.................” สูญญากาศเกิดขึ้นอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าตอนนี้นิ่มทำหน้ายังไงรู้แต่ว่าตัวเธอมีอาการสั่นเล็กน้อย
“นังงูพิษนี่บอกให้พี่หลอกน้องไปดักทำร้าย และถ่ายรูปตอนเราเปลือยกายและให้โทรไปคุยกับแฟนน้องให้เข้าใจผิด แผนการที่ทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้อย่างพี่คิดไม่ได้หรอกนะ เห็นหน้าตาน่ารักแบบนี้ ทำไมร้ายกาจขนาดนี้นะ!”
“นิ่ม เธอทำแบบนี้ไปทำไมน่ะ!?!”

“ทำไมน่ะหรือคะ?!? ก็นิ่มเกลียดพวกพี่ไงคะ เกลียดพี่ชัยที่พยายามแยกนิ่มจากคนที่นิ่มรัก เกลียดพี่กวีที่บอกว่าจะดูแลนิ่ม จะมีนิ่มคนเดียวแต่ก็ดันไปเสียท่าให้ผู้ชายอย่างพี่ พี่อุตส่าห์ยอมมอบครั้งแรกของนิ่มให้ แต่สุดท้ายก็ทิ้งนิ่มไปอยู่กับผู้ชายอย่างพี่ รู้ไหมว่านิ่มรู้สึกเสียหน้าแค่ไหนตอนรู้ความจริงเรื่องนี้ ผู้ชายอย่างพี่มันมีดีกว่านิ่มตรงไหน? นิ่มจะทำให้พวกพี่ไม่มีความสุข จะให้พบจุดจบเหมือนนิ่ม!! จะทำให้พวกพี่อายจนไม่มีที่ยืนในสังคม!!”

“นิ่มกำลังยอมรับว่านิ่มเป็นคนทำทั้งหมด รวมถึงเรื่องนี้ด้วยใช่ไหม?” ชัยหยิบมือถือขึ้นมาแสดงแต่ผมกลับมองไม่เห็นภาพที่แสดงบนหน้าจอไม่ชัด
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ใช่ ฝีมือนิ่มเอง นิ่มจะให้พี่กวีรู้สึกอับอายขายหน้าเหมือนที่นิ่มรู้สึกตอนนี้!!”
“เธอนี่มัน!!” รู้สึกถึงความโกรธของชัยผ่านน้ำเสียงโดยไม่ต้องมองหน้า
“ใช่! พี่ชัยก็ด้วย พี่ก็ต้องไม่มีความสุขเหมือนที่นิ่มเป็น เป็นไงล่ะ พี่กวีเลิกกับพี่ชัยหรือยังล่ะ ทะเลาะกันบ้านแตกหรือยัง? นิ่มเคยบอกพี่กวีแล้วว่า พี่ชัยจะต้องทำพี่กวีเสียใจเข้าสักวัน นิ่มก็แค่ทำให้เห็นภาพนั้นเร็วขึ้นเท่านั้นเอง!!! จะได้รู้ว่าคบกับพี่ชัยมีดีกว่านิ่มตรงไหนกัน?”

“ก็ตรงจิตใจไงล่ะ!!” ผมเผลอสะกดอารมณ์ไม่อยู่ขณะที่ทนนั่งฟังจนจบ ผมสะบัดไหล่ที่พี่โน่พยายามรั้งไว้และเดินไปที่โต๊ะเป้าหมายทันที พอผมเดินไปถึงมันก็ตรงกับที่ผมจินตนาการไว้ทุกอย่าง สภาพการนั่งของแต่ละคนและหน้าตาโกรธกริ้วของนิ่มที่ตอนนี้กำลังซีดเผือดลงเรื่อยๆ

“กวี!! มาทำไมเนี่ย ละครยังไม่จบเลย!”
“ไม่จำเป็นแล้ว” ผมหันไปบอกชัยด้วยนำเสียบเยียบเย็นและหันไปหานิ่มเป็นรายถัดไป
“นิ่ม พี่รู้สึกผิดมาตลอดเรื่องนิ่ม พี่นึกว่านิ่มจะให้อภัยและสามารถเป็นพี่น้องกันได้”
“นิ่มเจ็บขนาดนี้จะให้นิ่มเป็นพี่น้องกับพี่เนี่ยนะ!!”
“ถ้าจะโกรธจะเกลียดจะด่าพี่ยังไงก็ได้ แต่พี่ไม่นึกเลยว่านิ่มจะเป็นคนแบบนี้ สิ่งนี้เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า...พี่คิดถูกแล้วที่ไม่เลือกนิ่ม!!”

“นิ่ม.. นิ่ม... ขอโทษ ที่นิ่มทำทุกอย่างไปเพราะอยากให้พี่กวีกลับมาหานิ่มนะคะ!!” นิ่มเอื้อมมือมาจับแขนผมไว้ เป็นปฏิกิริยาที่ผมคาดไม่ถึง

“นิ่มใช้ผิดวิธีนะ!!” ผมพยายามจะสะบัดมือนิ่มให้หลุดแต่แรงเธอเยอะกว่าที่คิด
“ใช่ๆ ผิดมาก และเรื่องนี้ มันจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เฮ้ย! พวกนาย ตอนนี้ยังไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊คอยู่ไหม?” สองคนที่นั่งนิ่งอยู่ตอนนี้ได้หยิบสมาร์ทโฟนออกจากกระเป๋าที่วางอยู่ทางด้านหลังออกมา
“นิ่ม! กล่าวทักทายทุกคนหน่อยสิ!!”

“ว้าย!!!” เสียงกรี๊ดร้องที่คิดว่าจะได้ยินแค่ในละครดังลั่นออกจากปากนิ่ม
“พวกแกทำกับฉันแบบนี้จบไม่สวยแน่” นิ่มปล่อยแขนผมและยกขึ้นมาชี้หน้าทุกคนยกเว้นผม

“อย่าแม้แต่คิด แค่นี้เรื่องก็บานปลายแล้ว อย่าทำให้มันแย่กว่านี้!! หากเห็นทำอีก อย่านึกว่าเป็นผู้หญิงแล้วพี่จะไม่กล้าทำอะไร หากมาวุ่นวายกับคนที่พี่รักอีก เราจะได้เห็นดีกัน!!”
ผมจับนิ่มหันมาเผชิญหน้ากับผม

“พี่กวี!!” น้ำเสียงดูตัดพ้อที่ฟังแล้วสะท้อนใจผมมากแต่ก็ต้องอดกลั้นไว้ เพื่อตัวนิ่มเองจะได้ไม่ทำเรื่องพวกนี้อีก
“อ้อ! อย่าลืมยิ้มทักทายให้กล้องวงจรปิดตรงนั้นด้วย ตอนนี้ถ่ายทอดสดไปทั่วร้านเลยนะ!” ชัยชี้ไปที่กล้องทรงกลมที่ติดอยู่บนเพดานร้าน ผมกับนิ่มมองตามขึ้นไป ผมคิดในใจว่าไม่เคยเห็นเจ้าสิ่งนี้มาก่อน ส่วนนิ่มมีสีหน้าที่ซีดเผือดลงไปอีก

เธอกรีดร้องโวยวายก่อนจะวิ่งหนีจากจุดนั้นไป ผมได้แต่ถอนหายใจกับภาพที่เห็น ไม่นึกว่าเรื่องมันจะบานปลายขนาดนี้

“หวังว่าจะได้บทเรียนบ้างนะ” พี่โน่พูดขึ้นขณะปรากฏกายแบบเงียบๆ
“นี่เป็นแผนของพี่โน่ใช่ไหมเนี่ย?”
“อืมมม...ส่วนหนึ่งน่ะ”

“ใช่เพราะแผนส่วนใหญ่เป็นของเจ้เอง นี่ถือว่าเบาะๆ นะ ตอนแรกกะว่าจะให้ยัยนั่นอายกว่านี้ โดยการทำเหมือนที่มันทำกับกวี แต่พี่โน่น่ะห้ามไว้ บอกว่าถึงร้ายยังไงก็เป็นผู้หญิง ทำแบบนั้นมันโหดร้ายไปโน่นนี้ ยัยนิ่มโดนแค่นี้เบาจะตายไป”
เจ้พิ้งค์ปรากฏกายตามมาข้างหลังพี่โน่พร้อมเสียงเจื้อยแจ้วดังลั่นตามประสาคนสวยขี้โวยวาย
“พิ้งค์!! พูดมากไปแล้ว!!” พี่โน่หน้าดุเสียงเข้มใส่

“เอ่อ....ผมสงสัยตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว นิ่มเขาทำอะไรผมเหรอ แล้วรูปที่ชัยให้นิ่มดูคืออะไร ขอดูได้ไหม?” ตอนนี้ผมสับสนกับสิ่งที่เจ้พิ้งค์พูดมาก นอกจากที่ทำกับชัยแบบนั้นแล้ว นิ่มเธอทำอะไรกับผมด้วยงั้นเหรอ ฝันร้ายที่เกิดขึ้นติดต่อกันหลายคืนก่อนอยู่ๆก็กลับมาในหัวผมทั้งๆที่ยังตื่นอยู่

“อุ้ย!!” เจ้พิ้งค์อุทานออกมา สบตาพี่โน่กับชัยด้วยสีหน้าสำนึกผิด
“ไม่มีอะไรหรอก! แค่ภาพตัดต่อนะ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
ชัยพยายามพูดให้ผมเลิกร้อนใจ

“ไหนดูหน่อย?” ผมยื่นมือที่สั่นเล็กน้อยออกไปขอโทรศัพท์ในมือของชัย
“ภาพมันไม่น่าดูหรอก!” ชัยพยายามโน้วน้าวให้ผมเลิกสนใจและทำหน้าเหมือนขอความช่วยเหลือจากพี่โน่

“ให้ดูไปเถอะ กวีเป็นคนฉลาด เดี๋ยวก็หาทางรู้เองจนได้แหละ อีกอย่างจะได้รู้ว่ายัยนั่นมันร้ายกาจแค่ไหน? ส่วนกวีดูแล้วอย่าคิดมาก ตอนนี้พวกพี่จัดการให้หมดแล้วไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว”
“ครับ” ผมหันไปตอบพี่โน่และหันไปทางชัยที่ทำหน้าตัดพ้อพี่โน่ที่ยอมให้ผมดูภาพเหล่านั้น

“..............” ผมรับโทรศัพท์จอใหญ่สีดำจากชัย ผมเข้ารหัสของชัยด้วยความคล่องแคล้วเหมือนโทรศัพท์ตัวเอง เพราะชัยมักให้ผมเข้าไปทำอะไรในโทรศัพท์ให้บ่อยๆ เขาไม่เคยมีความลับกับผม จนผมแปลกใจว่ารูปพวกนี้มันอยู่ตรงไหมทำไมผมไม่เคยเห็น (คงเพิ่งได้จากพี่โน่หรือเจ๊พิ้งค์)

ผมเลื่อนดูทีละภาพอย่างใจระทึก ผมจำสภาพห้อง สภาพเตียงได้ เหมือนภาพต่างๆ ที่เหมือนความฝันเหล่านั้นมันชัดเจนขึ้น ผมรู้สึกตัวสั่นไปหมด ทั้งโกรธและอายไปพร้อมๆ กัน โชคดีที่ผมได้รู้จักพี่โน่และพี่พิ้งค์ ไม่งั้นภาพพวกนี้คงเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วจังหวัด ไม่สิ! น่าจะทั่วประเทศเลย

“ไม่เป็นไรนะ รูปพวกนี้เป็นรูปสุดท้ายที่เหลืออยู่” ชัยเข้ามาโอบกอดผมอย่างอ่อนโยน แต่ผมยังคงดูรูปภาพเหล่านั้นวนเวียนไปเรื่อยจนเหมือนย้ำคิดย้ำทำ

“ทำไมนิ่มต้องทำกับเราขนาดนี้?” ผมปล่อยแขนข้างที่ถือโทรศัพท์ลงไปข้างตัวขณะที่พูดและมองหน้าชัยที่อยู่ใกล้ๆ ดวงตาร้อนผ่าวไปหมด ฟันขบเบียดกันแน่นในปากจนมีเสียงเสียดสี เอี๊ยดอ๊าด ดังออกมาเป็นระยะ ผมรู้สึกสับสนกับความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ ใจหนึ่งอยากจะให้อภัยแต่อีกใจหนึ่งอยากจะตามไปถามเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เหมือนมีเทวดากับปีศาจต่อสู้กันอยู่ในจิตใจ

“การกระทำของคนเลวๆน่ะ มันไม่มีเหตุผลเสมอไปหรอก” เสียงพี่โน่ดังขึ้นมาทางด้านหลัง
“ใช่ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว วันนี้คงทำให้ยัยนิ่มได้สำนึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองแล้ว” ชัยขยับตัวเข้ามากอดผมแน่นขึ้นจนหน้าผมที่ก้มลงมองพื้นอยู่เบียดกับหน้าอกแน่นๆของเขาจนผมเริ่มหายใจไม่ออก แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ผมผ่อนคลายจากเหตุการณ์วันนี้ลงไปมาก อยากอยู่แบบนี้ไปสักพัก วันนี้ผมเลยปล่อยให้ชัยกอดไว้แบบนี้ไม่ขัดขืน

“สำนึกน่ะก็ใช่ และก็อายมากๆ ด้วย ในที่สุดเจ๊ก็สามารถทำลายหน้ากากนางเอกของนางได้สำเร็จ แต่เจ้ว่านี่มันดูน้อยไปเสียด้วยซ้ำ!! เจ๊อยากให้นางอายกว่านี้อีก!!”

“พอเถอะ นิ่มยังเด็กอยู่ แค่นี้น่าจะเป็นบทเรียนที่ดีในการกลับตัวนะ อีกอย่างหากเราทำมากกว่านี้ เรานี่แหละจะติดคุกเสียเองนะ!” พี่โน่พูดเสียงเรียบใส่เจ้พิ้งค์ รู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่ของพี่โน่ขึ้นมาทันที ไม่เคยเห็นพี่โน่ในมุมนี้

“ขอบคุณครับทุกคน ผมว่าแค่นี้ก็พอแล้วครับ ผมอยากให้มันจบๆ ไป แม้มันจะจบแบบนี้ แต่ผมก็ไม่ต้องการให้เรื่องมันไปไกลมากกว่านี้แล้วครับ อีกอย่างครอบครัวผม....”
ผมสะบัดตัวหลุดจากอ้อมแขนแน่นของชัยหันมาหาผู้มีพระคุณทั้งสองทางด้านหลัง แอบเหลือบเห็นชัยมีสีหน้าเสียดายเล็กน้อย

“ก็นั่นแหละ ที่พี่โน่เตือนสติเจ๊ เจ๊ก็เลยสั่งสอนนังชะนีน้อยนั่นแค่เบาะๆ แต่อย่าให้มันมาหาเรื่องอีกนะ แล้วจะหาเจ๊ไม่เตือน รับรองยัยนั่นมันต้องอับอายมากกว่านี้!!” เจ๊พิ้งค์ทำหน้าเหมือนตัวร้ายในทีวีช่องมากสีจนผมอดอมยิ้มไม่ได้
“ไง..... รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหม?” พี่โน่ยิ้มฟันขาวส่งมา และยื่นมือมาจับแขนผมอย่างอ่อนโยน
“ครับ....ขอบคุณพี่โน่มากๆ เลยครับ” ผมยิ้มตอบอย่างไม่เต็มที่นัก
“พี่ๆนี่แฟนผมนะ” ชัยพูดพลางกระชากไหล่ผมให้เซไปอยู่ในอ้อมกอดเขา
“เออ รู้ว่าแฟนเอ็ง ทีหลังมึงก็หัดดูแลแฟนตัวเองดีๆ หน่อยสิวะ .......แต่น้องกวี หากเสียใจจากมันเมื่อไหร่ พี่เปิดรับน้องเสมอนะ” พี่โน่หัดมาคุยกับผมด้วยสายตาจริงจัง
“ไม่มีทาง ผมไม่ยอมเสียกวีให้ใครแน่นอน” ผมรู้สึกโดนกอดรัดแน่นขึ้นแต่ก็รู้สึกอุ่นใจดีกับทั้งคำพูดและการกระของเขา

“กูจะคอยดู! กูรอได้!!”
“รอให้แก่ตายไปเลยไอ้พี่โน่ กวีเป็นของผมคนเดียว” พูดจบเขาก็อุ้มผมเดินหนีไปจากกลุ่ม
“เฮ้ย!! ไอ้บ้า!! ปล่อย!!” ผมเผลอหัวเราะออกมาไม่รู้ตัว คงเป็นเพราะชัย เขาทำให้ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่อยู่ด้วยเสมอ จนผมคิดว่าไม่ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ผมกับเขาคงข้ามผ่านมันไปได้

..............................................

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
หลง # 14

เสียงพลุและดนตรีวงดุริยางค์บรรเลงครื้นเครงเสียงดังไปทั่วบริเวณสนามกีฬาเอนกประสงค์ประจำจังหวัด แสงแรกของวันสัมผัสพื้นได้ไม่ทันร้อน ผู้คนจากนานาโรงเรียนที่ร่วมงานนี้ก็ได้เข้ามาประจำพื้นที่ของตนเป็นที่เรียบร้อย  งานเปิดตัวกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัดได้เริ่มขึ้นแล้ว ผมซึ่งอยู่ในทัพนักกีฬาที่เดินพาเหรดรอบสนามเรียบร้อยและมาหยุดอยู่ที่กลางสนามเพื่อมาฟังคำปราศรัยของผู้ว่าราชการจังหวัดที่ยืดยาวจนไม่มีใครสนใจจะฟัง ผมต้องทนกับอาการเบื่อจนกระทั่งท่านผู้ว่าฯ กดปุ่มจุดไฟที่คบเพลิงกลางสนามและเสียงพลุที่ทะยานขึ้นฟ้าเป็นควันหลากหลายสี ซึ่งทำให้มีผู้คนทั้งสนามให้ความสนใจอย่างล้นหลาม (มากกว่าการฟังบรรยายก่อนหน้านี้ ฟังจากเสืยงฮือฮาทั่วสนามก็คงจะเดาได้)

แสงสีเสียงภายในงานไม่ได้ดึงความสนใจของผมไปได้เท่าไหร่เพราะผมมัวแต่พะวงมองหาพี่เอิร์ธของผมอยู่ วันนี้ผมชวนเขามาดูผมแข่งขันนัดเปิดสนามกับผมแล้ว แต่ดูเหมือนพี่เขาบอกว่าติดงาน มีเวรที่เขาจะต้องขึ้นให้ได้อยู่ แม้ผมจะทำสลดแค่ไหน แต่พี่เอิร์ธเหมือนจะใจแข็งเสียจนผมหมดหนทางจะทัดทานได้ ประโยคสุดท้ายที่พี่เอิร์ธพูดกับผมก็คือ ‘เดี๋ยวก็เจอกัน’ ผมไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่รู้นะครับหมอทำงานหนักแค่ไหน กว่าจะเจอกันคงหลังจบงานนั่นแหละ แต่ผมก็แอบหวังว่าพี่เขาจะแวะมาได้บ้าง (อยากได้กำลังจากแฟน เหมือนที่เพื่อนๆ ผมเขามีกัน ไม่ต้องไปพูดถึงไอ้ชัย แฟนมันอยู่ทีมใกล้ๆนี่เอง อิจฉาฉิบหาย)

หลังจากพยายามมองไปทั่วสนามเหมือนกวางหาคู่แล้ว ผมก็ต้องผิดหวังเพราะว่าไม่ว่าจะเป็นบนอัฒจันทร์ หรือรอบๆสนามแข่งขัน ผมพบแต่ความผิดหวัง จนไอ้ชัยเดินอยู่ข้างๆ ต้องตบไหล่ผมเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ ผมหันไปหาเพื่อนแสดงสีหน้าขอบใจส่งไป แต่ก็พบว่าสายตามันไม่ได้มองผมเลย มันมองทีมนักกีฬาอีกโรงเรียนหนึ่งพร้อมโบกมือทักทายเรื่อยๆ

“ไอ้บ้า กูก็นึกว่ามึงจะให้กำลังใจเพื่อน สัด!! มองหาแต่แฟนอยู่นั่นแหละ”
“อ้าว! ก็มึงดูสิ แฟนกูแม่งโคตรน่ารักอ่ะ ใส่ชุดกีฬาสีน้ำเงินแล้วดูดีโคตรๆ... กวี! ทางนี้”
มันพูดไปโบกมือไป แต่ดูท่าทางกวีจะทำเป็นมองไม่เห็นก่อนที่จะเดินตามเพื่อนๆในแถวเข้าที่เก็บตัวนักกีฬาไป

ผมเดินคอตกเดินตามแถวที่ทยอยเข้าสู่ที่พักนักกีฬาสำหรับโรงเรียนผม ไม่นานโค้ชก็เรียกไปประชุมทีมเพื่อเตรียมแข่งนัดเปิดสนามกับโรงเรียนเอกชนประจำจังหวัด วันนี้โค้ชดูจริงจังกว่าทุกครั้ง (ลงแข่งจริงแล้วจะพลาดไม่ได้) ซักซ้อมแผนให้พวกเราอีกครั้ง แม้ผมจะอยู่ใกล้อาจารย์ที่สุดในฐานะหัวหน้าทีม แต่ผมกลับไม่มีจิตใจจะฟังเท่าไหร่ เพราะโชคดีที่เราได้ทีมอ่อนตั้งแต่แข่งคู่แรกแบบนี้ และกำลังใจผมก็ไม่ได้มาด้วยยิ่งบั่นทอนกำลังไปหมด (งอนนิดหน่อย)

โป๊ก!!!!

“โอ้ย!!”
“ไอ้หลง เอ็งเป็นหัวหน้าทีม ตั้งใจฟังหน่อยสิวะ!”
อาจารย์โค้ชฟาดสมุดแผนที่พกมาด้วย ม้วนฟาดมาที่หัวผมอย่างจัง
“ครับ ครับ โหย... อาจารย์! ทีมอ่อนขนาดนี้ หลับตาเล่นยังชนะเลย”
“เอ็งอย่าประมาท ทุกทีมเขาซ้อมกันมาหนักทั้งนั้น อาจารย์ไปแอบสืบมาแล้วห้ามประมาท เข้าใจไหม?”
อาจารย์โค้ชเตรียมง้างใส่หัวผมอีกจนผมยกมือขึ้นไหว้และพยักหน้าเข้าใจทันที
“พอแล้วครับ เข้าใจแล้วครับ”
“แล้ววันนี้เป็นอะไรของเอ็งเหม่อเชียว?”
“ป่าวครับ”
“มันขาดกำลังใจครับ อาจารย์”
ไอ้ชัย ไอ้เพื่อนเลวพูดแทรกขึ้นมา
“เฮ้อ!! เบื่อพวกวันรุ่นเสียจริง เออๆ อย่าให้เสียการแข่งขันก็แล้วกัน รีบเรียกสติคืนมาด้วย!!”
“ครับ.....” ผมตอบเสียงลากยาวและถอดถุงเท้าเตรียมปาใส่ไอ้เพื่อนเลวข้างๆ

ในที่สุดก็ถึงเวลาแข่งขัน ผมและเพื่อนๆในทีม ถูกอาจารย์เกณฑ์เดินแถวไปเตรียมตัวที่สนาม ระหว่างเดินผมพยายามเรียกสติกลับคืนมา งานแข่งกีฬาปีนี้นับเป็นการแข่งกีฬางานใหญ่ครั้งสุดท้ายในชีวิต ม.ปลายของผมแล้ว คงต้องทำให้ดีที่สุดและหากทำได้ดี ผมอาจจะได้เสนอชื่อเป็นโควต้านักกีฬา ผมอาจจะได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยที่อยากไปโดยไม่ต้องสอบ แม้ตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าจะเลือกเรียนอะไรก็เถอะ

“แกๆ เห็นคุณหมอที่จุดปฐมพยาบาลตรงข้างสนามป่ะ น่ารักโคตรๆ”
“ใช่แล้วแก! ฉันนะอยากจะเป็นลมแล้วให้เขาดูแลจัง อ้าย!!”
สาวๆ กลุ่มทีมงานสนับสนุนกองเชียร์พูดขึ้นขณะเดินสวนกับผมเข้าไปด้านในห้องพักนักกีฬาและห้องจัดเตรียมกองเชียร์

ทำให้ผมแอบหวังว่าจะเป็นพี่เอิร์ธขึ้นมาจับใจ หรือว่าเขาจะมาทำให้ผมประหลาดนะ ผมเร่งฝีเท้าแซงเพื่อนร่วมทีมคนรวมถึงไอ้ชัยที่มัวแต่คุยแก้เครียดกับเพื่อนคนอื่นๆ ในทีม หลังจากผมเดินหลุดออกจากซุ้มประตูทรงห้าเหลี่ยมเข้าสู่ภายในสนามที่คึกคักคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่เป็นกองเชียร์และทีมงาน ผมพยายามมองหาคนที่ผมคิดถึงอยู่ที่จุดปฐมพยาบาล แม้จะอยู่อีกมุมสนามแต่ก็เห็นคนสวมชุดเหมือนเจ้าหน้าที่ ซึ่งน่าจะเป็นหมอและพยาบาลกำลังจัดเตรียมความพร้อมของยาและอุปกรณ์ต่างๆ

ผมกวาดตามองจนไปสะดุดที่ผู้ชายรูปร่างสูงบาง ผมค่อนข้างยาวยืนหันหลังพลางเช็คโน่นนี่พัลวัล ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันทีเหมือนบ่อน้ำที่กำลังเอ่อล้นด้วยน้ำผุดจากใต้ดิน ผมสาวเท้าก้าวเดินต่อไปยังจุดที่ชายคนนั้นยืนอยู่โดยไม่ได้สนใจว่าจุดที่เพื่อนร่วมทีมผมต่างรวมตัวกันอยู่นั้นมันคนละทาง

อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะถึงจุดหมายผมก็ต้องหยุดเท้าลงเพราะน้ำเสียงของชายคนนั้นมันต่างจากพี่เอิร์ธมากแม้จะมีรูปร่างใกล้เคียงกัน และความสดชื่นของผมก็หมดไปโดยพลันเมื่อชายคนนั้นหันหน้ามาเพราะเขาไม่ใช่พี่เอิร์ธ แม้จะมีหน้าตาที่หล่อเท่พิมพ์นิยมเหมือนดาราเกาหลี แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกปลื้มเลย (ผมชอบพี่เอิร์ธคนเดียวนี่นา)

“อ้าว น้องเป็นอะไรหรือเปล่า?” คุณหมอประจำจุดปฐมพยาบาลเอ่ยทักผมก่อน อาจเพราะผมเดินมาด้วยความรวดเร็วและมาหยุดตรงด้านหน้าโต๊ะและทำสีหน้าผิดหวังแบบสุดๆ
“ไม่.. ไม่มีอะไรครับ”
“อ้าว! เห็นเดินมานึกว่าเป็นอะไร”
“ไม่มีอะไรครับหมอ ผมก็แค่... ทักคนผิด”

“เป็นนักกีฬาทำไมไม่ไปนั่งตรงที่ตัวเอง มากวนหมอทำงานทำไม?” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นทางด้านหลัง
“พี่เอิร์ธ!!” ผมหันไปเจอคนที่ผมอยากเจอที่สุด
“เออ พี่เอง แล้วเสียงดังทำไมวะ”
“ก็ผม.... ไม่นึกว่าพี่จะมา...ก็ไหนว่าพี่ติดงาน” เสียงผมแผ่วลงมาโดยอัตโนมัติ
“งาน? ก็นี่ไงงาน โดยไว้วานให้มาอยู่แลจุดปฐมพยาบาลที่นี่ ต้องคอยมาดูแลพวกอินเทิร์นที่นี่ไง”
“โหย.. จะเซอร์ไพรส์ผมน่ะสิ”
“เออๆ เซอร์ไพรส์ก็ได้ รีบๆกลับไปประจำที่ไป!!” พี่เอิร์ธดูมีอาการเขินอายเล็กน้อย

“ผมเตรียมจุดนี้ เสร็จแล้วนะครับ พี่จะให้ผมทำอะไรต่อครับ?”
หมอหน้าเกาหลีเดินมาแทรกบทสนทนาระหว่างผมกับพี่เอิร์ธ และใช้ปากสีอมชมพูนั่นยิ้มให้พี่เอิร์ธโดยไม่ได้มองผมเลย

“ขอบใจมาก”
“น้องเป็นอะไรไหมครับ ให้พี่ช่วยอะไรไหม?” หมอหน้าเกาหลีหัดมาพูดทักผมด้วยท่าทีตรงกันข้ามกับคำพูด รู้สึกเหมือนโดนไล่
“อ้อ! ไม่เป็นไร เด็กคนนี้พี่รู้จัก น้องไปนั่งสแตนด์บายเถอะ”
พี่เอิร์ธตอบแทนผมที่กำลังคิดหาคำเจ๋งๆสวนกลับไป

“ใช่เรารู้จักกันดีด้วย สนิทแนบแน่น!!”
ผมคิดออกได้เท่านี้ พูดออกมาพร้อมจับมือพี่มือที่มีอาการเกร็งขึ้นมา ทำให้อีกฝ่ายมีสีหน้าแปลกๆใส่ผม
“จะเริ่มแข่งแล้วยังไม่ไปอีก!!จะไร้สาระตรงนี้อีกนานไหม?”
พี่เอิร์ธขึ้นเสียงจนผมต้องวิ่งกลับไปประจำจุดรวมพลของผม แต่ก่อนไปผมขอบีบมือพี่เขาอีกครั้ง
“อยู่ดูผมแข่งก่อนนะ!”
ผมพูดสั้นๆ ทิ้งท้ายไว้
พี่เอิร์ธแค่ยิ้มแบบเขินตอบกลับมาซึ่งผมเข้าใจว่ามันคือคำว่า ‘ตกลง’

ผมพอจะรู้ว่าอะไรเป็นไรอยู่บ้างหลังจากอยู่กับพี่เอิร์ธบ่อยๆ พี่คงไม่ชอบให้ผมป่าวประกาศไปตรงๆว่าเราเป็นอะไรกัน โดยเฉพาะกับคนที่ผมรู้ว่าเขาก็แอบเล็งพี่เอิร์ธอยู่อย่างไอ้หน้าเกาหลีนั่น ผมทำแค่นี้ก็น่าจะรู้นะว่าผมเป็นอะไรกับพี่เอิร์ธ

การแข่งขันนัดเปิดสนามวันนี้เผ็นไปตามคาด หมูในอวยดีๆนี่เอง ทีมผมเอาชนะได้ไม่ยากเย็นคะแนนห่างกันเกือบจะสองเท่า คงเพราะสัปดาห์ที่ผ่านมาเราทุ่มเทกับการฝึกซ้อมกันมาก แม้จะมีนักกีฬาหน้าใหม่ที่สูงกว่าผมเข้ามาเพิ่มในทีมฝั่งตรงข้าม แต่ก็ยังไม่ทำให้ทีมผมลำบาก เพราะยังเล่นประสานกันได้ไม่ดี

ระหว่างการแข่งขันผมมักจะหันไปเจอทีมเชียร์ลีดเดอรที่วันนี้จัดเต็มกว่าปีที่แล้วมาก ชุดเสื้อผ้าที่แนบเนื้อที่ทองและส้มนั้น ไหนจะส่วนที่เปิดช่วงไหล่ของฝ่ายหญิงที่เปิดให้เห็นความขาวเนียนของผู้สวมใส่ ทำให้แอบเคลิ้มเบาๆ แต่ผมคงแอบมองแบบนั้นบ่อยไม่ได้เพราะพี่เอิร์ธนั่งมองอยู่ (เดี๋ยวโดนโกรธเอา) สายตาเจ้ากรรมมักจะหันไปเจอนิ่มที่ยังคงเต้นนำอยู่ในทีมอยู่ เป็นอีกครั้งที่ผมนับถือในความเข้มแข็งของเธอ ทั้งๆ ที่เธอถูกพูดถึงในทางที่ไม่ดีมากมายจากทุกคนในโรงเรียนหลังคลิปวิดีโอนั่นเผยแพร่ออกไปทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค จนคิดว่าเธอคงจะสติแตกไปแล้ว แต่เธอก็ยังทำหน้าที่ได้ดีแบบไม่ขาดตกบกพร่อง หากเธอนิสัยดีผมคงยังรักเธออยู่ แต่ตอนนี้แม้แต่คำว่าน้องสาวผมยังลำบากใจที่จะเรียกขาน

หลังจากนี้ก็เป็นช่วงพักผ่อนเพื่อรอแข่งรอบชิงชนะเลิศเลย ปกติงานแข่งขันกีฬาโรงเรียนแบบนี้ต้องจัดแข่งให้จบภายในหนึ่งวัน โชคดีที่โรงเรียนซึ่งเข้าโครงการนี้มีเพียงแค่ 6 โรงเรียนเท่านั้น ดังนั้นหากผมซึ่งเป็นแชมป์เก่าชนะรอบเปิดสนาม ทีมผมก็มีสิทธิ์ไปรอแข่งรอบชิงชนะเลิศทันที ทีมตัวเก็งที่จะคาดการณ์กันไว้ว่าจะมาแข่งรอบชิงชนะเลิศกับทีมของผมก็มีสองทีมคือทีมไอ้แฝดนรกนั่น กับทีมของเหล่าคุณหนูเรียนดี (ทีมของกวี) ช่วงเวลาแบบนี้โค้ชจึงให้พักผ่อนให้เต็มที่ก่อนที่จะเรียกประชุมทีมแบบจริงจังตอนก่อนแข่ง

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชอบบบบ ไรท์ลงยาวจุใจ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

นิ่ม โดนซ้อนแผน ยังอยากให้กวีมาชอบตัวเองอีก
ทั้งที่ทำร้ายกวีขนาดนี้ จิตใจนางช่างเหี้ยมโหด เลวซะจริง
กวี ก็ตอบนางได้ถูกใจจริงๆ คิดถูกแล้วที่ไม่เลือกนาง  :z3: :z3: :z3:

พี่เอิร์ธ หลอกหลง ที่แท้มาเซอร์ไพรซ์ หลง
แต่นศพ.อินเทิร์นที่มา ท่าทางจะชอบพี่เอิร์ธของหลงซะแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ Panizzz3838

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
เป็นเรื่องที่อ่านเรื่อยๆ แต่บางตอนก็ขัดใจความคิดตัวละคร สงสัยจะอิน  :z2: :z2: :z2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

โค้ชขอตัวไปดูทีมอื่นแข่งก่อน ที่เหลือใครอยากทำอะไรก็ทำแต่ห้ามออกนอกบริเวณงาน โดยปกติปีที่ผ่านมาผมกับไอ้ชัยจะหนีไปแอบส่องสาวๆเชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียนต่างๆ  นั่งดูลีลาเธอโยกย้ายส่ายสะโพกอย่างสวยงาม แต่ปีนี้ไอ้ชัยรีบวิ่งไปดูการแข่งของเมียมัน หลังทีมเราแข่งเสร็จมันหายไปเหมือนหายตัวได้ วิ่งหนีบรรดาแฟนคลับของมันไปแอบนั่งอยู่ข้างสนามฝั่งโรงเรียนของกวีแบบเนียนๆ ส่วนผมได้แต่เดินโฉบไปมาแถวๆจุดปฐมพยาบาลที่พี่เอิร์ธกับไอ้หมอฝึกหัดหน้าตี๋นั่นทำงานอย่างขมักเขม่น  จนผมรู้สึกอิจฉาอยากเรียนหมอบ้าง แต่หัวสมองผมมันไม่เอาไหน คงสอบไม่ติดแน่นอน ตอนนี้ก็ได้แต่ยืนมองห่างๆ วันกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัดแบบนี้ เด็กนักเรียนจากหลากหลายโรงเรียนต่างมากระจุกอยู่ที่เดียว ไหนจะเล่นกีฬา ไหนจะเล่นสนุกกันอย่างโลดโผน ทำให้เกิดอุบัติเหตได้ง่าย จุดของพี่เอิร์ธเลยมีคนเดินเข้ามาใช้บริการกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เป็นลม บางรายมีเลือดตกยางออกแบบหนังแอ็คชั่นก็มี รู้สึกสงสารพี่เอิร์ธมาก ผมอยากเข้าไปช่วยนะแต่กลัวจะไปเกะกะมากกว่า

ผมคิดว่าพี่เอิร์ธน่าจะรู้สึกถึงสื่อความคิดที่ผมส่งให้ พี่เอิร์ธเงยหน้าขี้นมามองผมหลายครั้งระหว่างดูแลเด็กนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ ผมยิ้มให้ทุกครั้งที่เขามองมา จนกระทั้งครั้งนี้ พี่เอิร์ธมองมาทางผมและยกมือกวักเรียกผมให้เข้าไปหา ผมรู้แปลกใจนิดหน่อยที่พี่เอิร์ธเรียกผมขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่ ปกติเวลาแบบนี้เขาจะไม่ให้ผมเข้าไปกวนเลย (หน้าตอนพี่เอิร์ธทำงานดุมากจนผมสั่น)

”ครับพี่ พี่เอิร์ธเรียกผมหรือเปล่า?” ผมเดินเข้ามาใกล้พี่เอิร์ธในขณะที่พี่เขากำลังใชัมือสัมผัสแขนนักกีฬาคนหนึ่งอยู่
“ว่างไหม?”
“ตอนนี้ยังว่างอยู่ครับ” สงสัยพี่หมอจะพาผมไปกินข้าวผมนึกในใจเพราะตอนนี้เริ่มหิวแล้วหลังจากวิ่งอยู่ในสนามหลายรอบ
“ช่วยหน่อย!”
“หา!!?!” ผมอุทานด้วยความสงสัย
“นี่ไง! ไม่รู้วิ่งอีท่าไหน ล้มแขนหักเนี่ย ต้องหาอะไรมาดาม แล้วพาไปที่โรงพยาบาลต่อ พี่ขอแรงช่วยปฐมพยาบาลตรงนี้ก่อนได้ไหม?” ผมมองไปเห็นนักกีฬากรีฑาโรงเรียนผมที่ดูสบักสบอมดูไม่จืด อืม.... จริงไปล้มอีท่าไหนของมันฟะ? แผลถลอกเต็มตัวแล้วแขนที่ช้ำผิดรูปนี้อีก
“ได้ครับ” ผมตอบอย่างเต็มใจ หลังจากที่เข้ามาเห็นเหงื่อพี่หมอในระยะประชิดแบบนี้ โถงที่พี่เอิร์ธอยู่มันไม่ร้อนเท่าไหร่แต่ดูสภาพพี่เอิร์ธเหมือนอยู่ในห้องอบซาวน่าไม่ผิด (ไอ้หมอฝึกหัดหน้าตี๋นั่นก็ด้วย)
“น้องตี๋กับพยาบาลที่พามาด้วยก็วุ่นอยู่กับพวกกองเชียร์ที่เป็นลมล้มอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวนี้จริงจังกันขนาดนี้เลยหรือเนี่ย?” พี่เอิร์ธที่หันไปหยิบอุปกรณ์บางอย่างหันกลับมาบ่นอุบอิบ
“ประมาณนั้นครับ” ผมก็เคยชินกับมันไปแล้วเสียด้วยเลยตอบได้แค่นี้
“เฮ้อ.... เอ้า!! ช่วยพี่หน่อย” พี่หมอสั่งให้ผมทำโน่นนี่อย่างคล่องแคล้ว ผมซึ่งไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนโดนดุไปหลายรอบจนเริ่มเครียด แต่ก็สามารถเสร็จสิ้นเคสแขนหักนี้ไปได้ ไม่นานก็มาคนบาดเจ็บรายถัดๆ จนผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของจุดปฐมพยาบาลไปโดยไม่รู้ตัว หมอเป็นอาชีพที่เหนื่อยและเสียสละมากครับ ผมบอกได้เลย (ซึ่งตอนนี้ผมไม่คิดจะเป็นแล้ว)

เวลาผ่านมาจนเกือบเที่ยง ตอนนี้จุดปฐมพยาบาลเริ่มอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้แล้ว คนเริ่มมาน้อยลงอาจเพราะอากาศด้านนอกเริ่มเย็นขึ้นจากการที่เมฆฝนเริ่มมาปกคลุมทัองฟ้าทั่วบริเวณสนาม การแข่งขันกีฬาต่างๆ ก็เริ่มทยอยหยุดพักกันไปตามกำหนดเวลาการแข่ง ทำให้พี่เอิร์ธและบรรดาคนติดตามต่างได้มีเวลาพักหายใจกันบ้าง โดยเฉพาะกับผมที่ผ่อนหายใจออกยาวๆ หลายครั้ง

“ขอโทษนะ เลยกลายเป็นว่าต้องมาช่วยพี่เลย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมว่างอยู่ อีกอย่างจะได้อยู่ใกล้พี่เอิร์ธด้วย”
“............” พี่เอิร์ธไม่ตอบอะไรแค่ยิ้มตอบกลับมาแบบเหนื่อยๆ
“อย่างนี้จะไปกินข้าวกันยังไงครับ จุดปฐมพยาบาลนี่ปิดได้ไหมครับ?” ผมถามเพราะท้องมันเริ่มงอแงแล้ว
“อ้อ...เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง จุดปฐมพยาบาลมีสองจุด เวลาพักก็ผลัดกันไป เดี๋ยวเที่ยงจุดนี้ได้ไปก่อน แต่คงได้แค่ครึ่งชั่วโมงล่ะ”
“งั้น......” ผมกำลังจะชวนพี่เอิร์ธไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันแต่ก็ถูกอีกเสียงหนึ่งดังแทรกกลางวงสนทนาผมกับพี่เอิร์ธ
“พี่เอิร์ธครับ ผมเตรียมปิดจุดปฐมพยาบาลแล้วครับ ที่เหลือพี่อ้อยเขาจัดการต่อ เรารีบไปกินข้าวกันก่อนเถอะครับ”
ผมเหลือบมองนางพยาบาลร่างท้วมกำลังขมักเขม้นเก็บข้าวของอุปกรณ์เพื่อปิดจุดปฐมพยาบาลจุดนี้พร้อมตั้งป้ายพักทานข้าว

“ไม่เป็นไรครับตี๋ เดี๋ยวพี่ไปกินกับน้องครับ ตี๋ไปกินกับพี่อ้อยเถอะ แล้วกลับมาเจอกัน” ถึงผมจะขัดใจสรรพนามแทนตัวผมว่า ‘น้อง’ จากประโยคพี่เอิร์ธแต่ก็รู้สึกดีที่พี่เอิร์ธปฏิเสธคนอื่นเพื่อเลือกไปกับผม เหมือนเขาจะรู้ว่าผมอยากไปกินข้าวด้วย

“อ้อ ครับ.....” ไอ้หมอฝึกหัดหน้าตี๋ในชุดกราวด์สั้นนั่นหน้าหดลงไปเหลือสองนิ้วเห็นจะได้ ก่อนที่จะเดินหันหลังกลับไปทางนางพยาบาลที่กำลังหน้าหงิกกับการตั้งป้ายให้ตั้งตรงเห็นชัด

“น้อง? ใครน้อง”
“ก็เอ็งไง!!”
“เรียกแฟนไม่ได้เหรอ?”
“หลงไม่อายเหรอ ที่มีแฟนเป็นผู้ชายตัวสูงเหมือนกันแบบนี้”
“อายทำไม โคตรภูมิใจ แฟนผมเป็นหมอนะ เก่งแถมน่ารักขนาดนี้”
“ไอ้บ้า พูดซะเสียงดัง เอ็งไม่อาย แต่พี่อายนะเว้ย”
“พี่อายเหรอที่มีผมเป็นแฟน?”
“ไม่ใช่ หมายถึงจะมาทำหวานทำซึ้งอะไรต่อหน้าคนเยอะแยะ”
“ไม่อาย ผมจะได้ประกาศให้ทุกคนรู้ไปเลยว่าผมกับพี่เป็นอะไรกัน!!” ผมแอบเหลือบมองไปทางไอ้หน้าตี๋ที่แอบเหลือบมองมาทางนี้จนตาประสานกัน

“พอๆ ไปกินข้าวกันเถอะ”
“ไปกินไหนดีครับ ความจริงทางโรงเรียนก็เตรียมข้าวให้นักกีฬาแล้วอะนะ แต่ผมอยากกินกับพี่มากกว่า แต่ร้านอาหารแถวนี้คนคงเยอะแน่เลย!”
ผมเดินไปโอบไหล่พี่เอิร์ธและพยายามดันหลังให้พี่เขาเดินหน้าทั้งๆที่ยังสวมเสื้อกราวด์ยาวสีขาวอยู่
“งั้นตามพี่มา” พี่เอิร์ธเบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อไล่มือผมที่โอบไหล่เขาอยู่ให้ตกไปเพื่อถอดเสื้อกราวด์ออก เผยให้เห็นเสื้อโปโลที่มีอักษรย่อโรงเรียนของผมที่หน้าอกข้างซ้าย ผมเผลอยิ้มเมื่อเห็นมันชัดขึ้น

“ยิ้มอะไร?”
“เห็นก็รู้เลยครับว่าพี่มาเชียร์แฟนตัวเอง ผมนี่อย่างปลื้ม!”
“ไอ้บ้า เชียร์ทีมโรงเรียนเก่าตัวเองผิดตรงไหนวะ!”
พี่เอิร์ธพูดด้วยอาการแก้มแดงจนผมรู้สึกอยากชิมแก้มนั้นเสียตรงนี้ ผมขยับเข้าไปใกล้แบบห้ามตัวเองไม่อยู่
“เลิกทำตัวเยอะได้แล้วตามมา!!” พี่เอิร์ธใช้สายตาดุผมพลางเดินนำหน้าผมไป
“ไปไหนน่ะครับ?” ผมสาวเท้ายาวๆ ตามไป
“ไปกินข้าวไง!”
“ไปไหนน่ะพี่?”
“ตามมาเหอะ อย่ามัวแต่พูดมากพี่มีเวลาน้อย”

.........

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ผมเดินตามพี่เอิร์ธไปที่ด้านหลังอาคารกีฬาเอนกประสงค์ มีอาคารสำนักงานสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลสถานที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เป็นอาคารชั้นเดียวที่ปลูกสร้างแบบง่ายๆ สีไข่ไก่หม่นไปทางเก่า พี่เอิร์ธเดินเข้าไปที่โถงของอาคารที่มีห้องแยกเป็นสองฝั่งมากมาย สักพักก็มีคุณป้าอายุน่าจะแก่กว่าแม่ผมพอควร เดินกึ่งวิ่งออกมาด้วยท่าทีเป็นมิตร

“คุณหมอ มาแล้วเหรอคะ ป้าเพิ่งเตรียมเสร็จพอดีเลย”
ป้าแกเดินมาพรัอมเสียงที่ดังกังวาล
“ขอบคุณครับป้า อยู่ที่ไหนครับเดี๋ยวไปหิ้วมาเอง”
พี่เอิร์ธตอบไปเหมือนรู้จักกันดี
“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวป้าเอามาให้”
พูดจบป้าก็เดินหายเข้าไปอีกห้องหนึ่ง เพียงอึดใจเดียวป้าก็หอบหิ้วตระกล้าพลาสติกสีเขียวแบบมีฝาปิดเดินมายื่นที่พี่เอิร์ธ
“ป้าอุ่นไว้ให้แล้วตามที่บอกเลยลูก”
“ขอบคุณครับป้า”
พี่เอิร์ธพูดพร้อมหยิบธนบัตรสีแดงจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋ายื่นให้คุณป้าคนนั้น

“อุ้ย!! ป้ารับไว้ไม่ได้หรอก คุณหมอช่วยป้ามาเยอะแล้วนะ คราวที่แล้วก็ไม่คิดตังค์ที่พาหลานไปหาหมอ”
“ไม่เป็นครับป้า ผมจ้างป้านี่นา รับไปเหอะ?”
พี่หมอทำท่ายืนยันให้ป้ารับให้ได้จนเกิดเหตุการณ์ยื้อยั้งธนบัตรจำนวนนั่นจนผมอยากเดินไปหยิบเข้ากระเป๋าตัวเอง สุดท้ายคุณป้าก็ต้องยอมแพ้ให้กับความดื้อของพี่เอิร์ธแล้วรับเงินไป พร้อมไหว้ขอบคุณพี่เอิร์ธจนพี่เอิร์ธทำตัวไม่ถูกกับการที่ถูกคนอายุคราวป้ายกมือไหว้ขนาดนี้

“อะไรกันครับพี่ เมื่อกี้?” ผมถามหลังจากเดินออกห่างจากอาคารไปได้สักระยะ
“พี่เคยช่วยป้าแกน่ะ เห็นแกไม่ค่อยมีเงินเลยไม่เก็บค่ารักษา 2-3 ครั้งเห็นจะได้” พี่เอิร์ธพูดขึ้นโดนแทบไม่มองผมเหมือนกำลังรีบเดินไปที่ไหนสักแห่ง
“อ้อ... ครับ แล้วพี่ให้ป้าแกทำอะไรน่ะครับ”
“............” พี่เอิร์ธเหมือนทำเป็นไม่ได้ยินและเดินนำผมไปจนคนเดินตามอย่างผมเหนื่อยหอบ (ผมเป็นนักกีฬานะ ยังหอบ)

ในที่สุดพี่เอิร์ธก็ไปหยุดเดินที่ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอีกด้านหนึ่งของสนามแข่งกีฬาซึ่งถือว่าเงียบสงบร่มรื่น แม้จะได้ยินเสียงฮาเฮดังมาจากสนามไกลๆ อยู่บ้าง

“โชคดีนะที่ยังอยู่”
“อะไรครับพี่?”
“ต้นไม้ต้นนี้ไง ตอนสมัยเรียนพี่ชอบหนีมานั่งเล่นแถวนี้ มันเงียบสงบและต้นไม้ก็ร่มรื่นดี”
“อ้อ....ก็คงจะเงียบล่ะ” ผมชี้ไปทิศที่เลยไปอีกไม่เกินสองร้อยเมตรที่เห็นอุโบสถ และเมรุ ของวัดที่ตั้งอยู่ข้างๆ พื้นที่สนามกีจังหวัด
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พี่ก็ว่างั้น แต่พี่ไม่กลัวผีหรอกนะ หรือว่าหลงจะกลัว?”
“ไม่.. ไม่กลัวครับ” เหมือนจะโกหกพี่เขาไม่เนียน เพราะพี่เอิร์ธดูยิ้มแบบมีเลสนัยมาที่ผม

“ว่าแต่... นั่นอะไร ยังไม่เฉลยเสียที?”
พี่เอิร์ธไม่พูดอะไรแต่พี่เอิร์ธวางตระกร้าลงและจัดเตรียมทุกอย่างออกมาจากตระกล้าอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นมื้ออาหารเที่ยงที่น่ากินในปิ่นโตขนาดต่างๆ วางบนผ้าปูสีเรียบๆที่เคยเห็นที่บ้านพี่เอิร์ธ ทั้งของคาวของหวาน
“อ่ะ!... เฉลย!! พี่อุตส่าห์ไปทำกับน้ารุ่งตั้งแต่เช้า ถึงได้มาสาย รู้ว่าป้าคนนั้นแกเป็นแม่บ้านดูแลที่นี่ก็เลยไปฝากแกอุ่นสำหรับกินตอนเที่ยงไง”
“พี่ทำให้ผม?”
“อื้อ ไม่รู้อร่อยหรือเปล่า เพิ่งเคยทำตามสูตรน้ารุ่ง”
“แม่กับเมียอุตส่าห์ทำให้กิน! น่ารักที่สุดเลย” ผมกำลังจะเตรียมโผไปกอดพี่เอิร์ธก็ถูกมือยาวของอีกฝ่ายประทับที่หน้าหงายไปอีกทาง
“ไอ้บ้า!! จะมาทำอะไรตรงนี้!!”
“แปลว่าที่บ้านทำได้?” ผมลุกขึ้นมานั่งประจำจุดใกล้ๆพี่เอิร์ธ
“หุบปากแล้วรีบกินเข้าไป เดี๋ยวช่วงบ่ายก็ต้องแข่งแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ได้กินของฝีมือแฟนแบบนี้ กำลังใจมาเต็ม! ชนะแน่นอน”
“อย่าให้มันอิ่มมากล่ะ เดี๋ยววิ่งไม่ได้พาลจะแพ้เอานะ ทำมาเยอะไม่ต้องกินหมดก็ได้ เหลือก็เก็บไว้กินเย็นได้!”
“ครับ..พี่เอิร์ธที่รัก”
คราวนี้เขาไม่ว่าอะไรแล้วนอกก้มหน้าตักข้าวใส่จานให้ผมพร้อมแก้มที่แดงเหมือนผลแอปเปิ้ลที่น่ากิน

......................


หลังจากกินมื้อเที่ยงด้วยความเร่งรีบ เพราะช่วงแรกของการนั่งกินข้าวมัวแต่ชิมโน้นนี่ที่พี่เอิร์ธทำให้ ตั้งแต่แกงเขียวหวานสูตรพิเศษของแม่ผม หมูผัดกระเทียมชิ้นใหญ่ ไข่เจียวกุ้ง ผัดผักรวมใส่หมูกรอบ ของโปรดทั้งนั้น กว่าจะกินกันอิ่มก็ทำให้พี่เอิร์ธไปทำงานสายไปร่วมสิบนาทีจนนางพยาบาลที่มาด้วยแอบแซวพี่เอิร์ธ ตามด้วยความหน้าหงิกงอของตี๋ แพทย์อินเทิร์นประจำจุดนี้ แต่ผมไม่สนใจและแอบยิ้มเยาะใส่ ก่อนจะลาพี่เอิร์ธไปรอประชุมทีมก่อนแข่งขัน

ผลการแข่งขันรอบรองชนะเลิศเป็นไปตามคาดการณ์ของผมคือ ผมจะได้แข่งกับทีมไอ้แฝดนรกนั่น เท่าที่ได้ฟังจากโค้ชคือ ทีมนี้มีกลยุทธ์ที่หลากหลายกว่าทีมของกวีมาก อาจเพราะชั่วโมงการซ้อมที่ต่างกัน บวกโค้ชใหม่ไฟแรงของทีมแฝดนรกนั่นทำให้ชนะมาอย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่ คะแนนต่างกันเกือบสิบคะแนน จนไอ้ชัยหลุดปากขึ้นมาว่าจะแก้แค้นให้กวี

“แล้วกวีเป็นไงบ้างวะ?”
“ก็ไม่เป็นอะไร แค่เหนื่อย แต่ก็ดูเหมือนจะยอมรับผลของการแข่งขันดี เพราะทีมนั่นเขาซ้อมมาน้อยจริงๆ”
“เออ งั้นก็ดี แล้วมึงจะไปแก้แค้นพวกมันเพื่ออะไรฟะ?”
“พวกมันทำให้กูไม่ได้แข่งกับกวี กูว่ากูจะแสดงความเทพให้กวีเห็น จะได้หลงกูหนักขึ้นไปอีก”
“ถุย! นี่มึงสนองตัณหาตัวเองล้วนๆเลยนี่หว่า!!”

“เฮ้ย!! พวกเอ็งสองตัวจะแข่งอยู่แล้ว ช่วยมีสมาธิกับการประชุมทีมหน่อยสิวะ!!”

โค้ชตะโกนลั่นข้ามหัวเพื่อนร่วมทีมผมที่นั่งอยู่ด้านหน้ามาถึงผมจนรู้สึกถึงรังอำมหิตแผ่มาชัดเจน ผมกับไอ้ชัยเลยทำได้แค่ยิ้มแห้งๆตอบกลับไปและหันกลับไปตั้งใจฟัง

การประชุมทีมก่อนแข่งครั้งนี้บรรยากาศดูเครียดกว่าทุกครั้ง อาจเพราะโค้ชไปเห็นการเล่นที่พลิกแพลงของทีมที่จะมาแข่งด้วยเต็มสองตา แผนที่วางมาตั้งแต่แรกมีการปรับปรุงนิดหน่อย ผมซึ่งในนามของหัวหน้าทีมผมต้องจำทริกเหล่านี้ให้ได้ทั้งหมดซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไร หากเป็นเรื่องกีฬาผมดูจะเข้าใจอะไรง่ายไปหมด และที่เหลือโค้ชบอกให้ผมประยุกต์ใช้แผนเอาเองตามสถานการณ์อีกที จริงๆ ผมมีไพ่ตายอยู่แต่ยังไม่อยากบอกโค้ช แต่คิดไว้แล้วว่าวันนี้คงถึงเวลาควักออกมาใช้แล้วล่ะ....

การแข่งขันเป็นไปอย่างตึงเครียดเพราะทีมผมโดนนำไปก่อน 10 แต้มจาการสลับกันชู้ตของไอ้แฝดนรกนั่นที่สับขาหลอกได้เก่งเสียจนทำให้กระบวนแผนของทีมผมรวนไปหมด รวมทั้งที่เหมือนฝ่ายนั่นศึกษานักกีฬาทีมผมมาอย่างดีจนสามารถสกัดการทำคะแนนของผมและชัยได้ รวมถึงเพื่อนร่วมทีมของผมทั้งไอ้บอลและไอ้แจ็คต่างโดนสกัดการส่งบอลให้ตัวทำคะแนนอย่างผมและชัยได้อย่างหมดจด จนกระทั้งหมดครึ่งแรก แม้ผมจะเปลี่ยนยุทธวิธีการทำคะแนนไปเยอะแต่ก็ทำได้แค่ทำแต้มตีตื้นขึ้นจนไม่ทิ้งระยะห่างมาก ทีมผมตามอยู่ 5 แต้ม

โค้ชดูร้อนรนขึ้นพยายามถกกับทีมในห้องพักนักกีฬาระหว่างพักครึ่ง เพื่อเพิ่มคะแนนของทีมผมให้สูงขึ้นในครึ่งหลัง

“โค้ชเชื่อใจผมไหม?”
“หือ!!??”
“เอาน่า! เชื่อใจผมไหม? ผมว่าทีมนั้นศึกษาข้อมูลทีมเรามาดีครับ จะให้เล่นแบบเดิมคงเอาชนะไม่ได้ ไหนจะมีคนที่เก่งๆอย่างไอ้แฝดสองตัวนั่นป่วนอีก”
“.........อืม......เออ....โค้ชเชื่อเอ็ง!!”
โค้ชคิดหนักก่อนจะตอบแบบปลงๆ
“งั้นผมขอเอา ไอ้นิคกี้ลงครึ่งหลังนะ!”
“เฮ้ย.... จริงน่ะ มันไม่เคยซ้อมจริงกับเราเลยนะ”
“ไม่เป็นไร เอาไปลงแทนไอ้แจ็ค ส่วนเรื่องที่เหลือผมจัดการเอง” ผมมองโค้ชด้วยสายตาแน่วแน่ก่อนที่จะขยิบตาใส่ไอ้นิคกึ้ที่ดูรนๆแบบไม่มั่นใจ

“เออ!! เอาไงเอากันวะ!!”
โค้ชพูดออกมาเสียงดังก่อนจะผ่อนลมหายใจแบบยาวๆ ใส่พื้นที่ด้านหน้าตัวเอง ทำให้กลิ่นสาบบุหรี่ลอยวนอยู่ตรงนั้นสักพัก
“งั้นมาสรุปแผนกันใหม่ ผมเคยให้ไอ้นิคกี้ไปถ่ายวีดิโอการซ้อมจริงของไอ้พวกนั้นมาแล้ว ผมพอจะมีแผนลับในหัวอยู่บ้าง” ผมเรียกให้ทุกคนมาขยับมาตั้งกลุ่มกันแน่นขึ้น

“เอ่อ....พี่หลงครับ.... คือ.....”
“เฮ้ย! มั่นใจในตัวเองหน่อย เอ็งเคยซ้อมพี่ ทำได้อยู่แล้ว!”
“เอ่อ...ครับ” นิคกี้ตอบตกลงทั้งที่แววตายังดูหวาดหวั่น

..........

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Happy New Year 2018
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๑  ขอให้ไรท์สุขสันต์ มีความสุขมากๆ

หลง น่าจะแก้เกมได้นะ
หลง พี่เอิร์ธ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
         :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
..........

”เฮ้ย!! ไอ้หลง! มึงแน่ใจนะ!” ไอ้ชัยเดินมาหาผมหลังจากที่ประชุมทีมวางแผนใหม่กันเรียบร้อยแล้ว
“เออ! สิวะ”
ผมตอบออกไปเสียงดังขณะที่ทุกคนในทีมที่นั่งอยู่ในห้องดูท่าทางกระสับกระส่าย จนทุกคนแอบมองมาทางผมกับไอ้ชัย

“อย่าลืมว่า ไอ้นิคกี้น่ะมันก็นักกีฬาโรงเรียนสมัย ม.ต้นนะ”
“เออ!! กูรู้ กูรู้ว่าตอนมันอยู่ ม.ต้นที่ต่างอำเภอมันเป็นนักกีฬามาก่อน แต่มันไม่เหมือนกันป่าววะ?”
“เชื่อกูสิ ตอนที่กูใช้มันไปถ่ายวีดิโอให้ มันก็กลับมาวิจารณ์เสียทะลุปรุโปร่ง และความเห็นส่วนใหญ่มันก็ตรงกับกู ทำให้กูคิดแผนแก้เผ็ดพวกทีมไอ้แฝดนั้นจนได้ และพอได้จับคู่ซ้อมกับมันบ่อยๆ ทำให้รู้ว่าน้องมันทักษะดีพอๆกับกูเลยนะ”

“..............” ไอ้ชัยเงียบและทำท่าคิดหนัก เหมือนกับทุกคนในห้องที่ไม่ได้พูดคุยกันเลย ทุกคนเหมือนตั้งใจฟังผมอธิบายเหตุผลของการวางแผนของผม
“ลองดูก็ไม่เสียหายนะ ดีกว่าเล่นแบบเดิมให้พวกนั้นแก้ทางได้”
“เอาวะ! เพื่อชัยชนะ!!” ไอ้แจ็คพูดขึ้นในขณะที่ไอ้บอลพยักหน้าเห็นด้วยชัดเจน
“เออ! ต้องชนะเท่านั้น!!” ไอ้ชัยเสริมขึ้นมาทำให้ทั้งห้องกลับมามีกำลังใจที่จะแข่งอีกครั้ง ผมยิ้มกับภาพที่เห็น ในที่สุดผมก็สามารถทำให้ทีมกลับมาเป็นทีมได้อีกครั้ง

“แต่เดี๋ยวก่อน!!” ไอ้ชัยกระชากคอผม ก่อนที่ผมจะหันหลังเดินไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย
“อะไรของมึง!!” ผมรู้เจ็บที่ท้ายทอยนิดหน่อย แรงเยอะฉิบหาย
“ว่าแต่... กูไม่เคยเห็นมึงจะเคยดูวีดิโอเหล่านั้นให้พวกกูเห็นเลย และมึงไปซ้อมกับไอ้นิคกี้ตอนไหนวะ?”
“ก็ช่วงที่มึงวุ่นวาย เรื่องของมึงไง กูห่วงว่าปีนี้กูจะแพ้ มันสำคัญกับกูมากนะ กูไม่ได้เรียนเก่งเหมือนพวกมึง กูอยากได้โควต้านักกีฬา กูไม่อยากให้พี่เอิร์ธต้องเป็นห่วงเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัย” ผมเอามือไอ้ชัยออกให้พ้นคอและหาที่นั่งคุยกับมันตรงมุมห้อง
“กูก็เลยใช้ไอ้นิคกี้ไปแอบถ่ายพวกนั้นซ้อมมา มันเป็นเด็กใหม่คงไม่ค่อยมีใครจำได้ ไฟล์มันยาวมากไอ้นิคกี้ก็เลยเอามือถือมันมาดูที่บ้านพี่เอิร์ธด้วยกัน”
“อ้อ...อยู่ด้วยกันบ่อยจังนะ ตั้งแต่แม่ไฟเขียวเนี่ย”  ไอ้ชัยมันพยักหน้ากวนๆใส่ผม
“ไอ้สาด!! มึงจะฟังต่อไหมเนี่ย!” ผมตวาดใส่มันไปที
“เออๆ แล้วไง ทำไมมึงถึงมั่นใจในตัวไอ้เด็กนี่จัง” ไอ้ชัยมันมองไปทางไอ้เด็กใหม่ตัวสูงชะรูดที่ยืนกระสับกระส่ายที่มุมห้องอีกด้านหนึ่งด้วยความตื่นเต้น

“ก็ตอนกูนั่งดูอยู่กับมัน ระหว่างที่พล่ามไม่หยุดเกี่ยวกับสิ่งที่มันเห็น กูก็ไม่ได้สนใจฟังมันหรอก แต่พี่เอิร์ธน่ะสิเห็นแววมันเลยให้กูลองทดสอบทักษะบาสฯกับมัน ปรากฏว่านี่มันเพชรในตมชัดๆ!!”
“ถามจริง... มึงรู้ความหมายประโยคที่มึงพูดไหมเนี่ย?”
“กูก็ไม่แน่ใจ.. แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นโค้ชให้กูมองหาคนที่จะมาแทนกูมาตลอดเทอม กูว่ากูเจอแล้ว!”
“หากมึงพูดขนาดนี้ กูก็จะคอยดูนะ”
พอพูดจบไอ้ชัยก็เดินไปหาไอ้เด็กโย่ง ม.สี่นั้นทันที  ไอ้ชัยเหมือนจะไปพยายามพูดคุยให้เด็กนั่นผ่อนคลายกับการแข่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงชั่วโมงนี้

และแล้วการแข่งขันก็เป็นไปตามที่ผมคาดเดาไว้ ช่วงสิบนาทีแรก ทีมผมลองใช้แผนเดิมในการลงสนาม ปรากฏว่าทีมไอ้แฝดนรกนั่นรู้วิธีการส่งบอลของเรา เกือบทุกจังหวะ นับว่าทำการบ้านมาดี แม้เราจะพยายามเปลี่ยนแผนเร็วแค่ไหนแต่ก็เหมือนทีมนั้นปรับกลยุทธ์ตามเราได้อย่างทันท่วงที จนกระทั้งทีมผมตามอยู่ 10 แต้ม หลังจากผมเห็นว่าเราจะทำแต้มได้ยากขึ้นจากการบุกและตั้งรับแบบเดิมๆ ตอนนี้ทีมผมเริ่มอ่อนล้าและหมดกำลังใจจากการที่เราพลาดท่าให้กับทีมคู่แข่งบ่อยขึ้น ใน 10 นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก ผมตัดสินในเปลี่ยนแผนลับที่เตรียมไว้ทันที

ผมส่งสัญญาณบอกโค้ชให้พักเบรกและเปลี่ยนตัวให้นิคกี้เข้ามาอยู่ประจำตำแหน่ง เด็กผู้ชายสูงขาวแบบไทยๆ เดินเก้งก้างอย่างไม่มั่นใจเกินเข้าสู่วงล้อมของการประชุมทีมตัวจริงในช่วงพักเบรก และก้าวลงสนามไปด้วยสีหน้ากังวล แต่ที่แน่ๆคือทีมตรงข้ามค่อนข้างแปลกใจกับการลงมาของสมาชิกคนใหม่ในทีมผมถึงกับทำหน้าประหลาดใจจนเห็นได้ชัด

ทีมนั่นต่างมองหน้ากันอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับไอ้แจ็คที่ถูกแทนทีด้วยไอ้เด็กไร้ชื่อที่ไหน สัญญาณเป่านกหวีดดังขึ้นเพื่อให้เวลาการเล่นเดินต่อไป การส่งบอลจากทีมฝั้งตรงข้าม โดยเริ่มจากหัวหน้าทีมที่อยู่ตำแหน่งเซ็นเตอร์ที่สูงที่สุด บอลถูกส่งให้กับสมาชิกทีมที่เร็วที่สุดอย่างไอ้เฟรมแฝดผู้พี่ ที่เลี้ยงบอลหลบหลีกเก่งได้อย่างกับจับวาง ทีมผมต่างพยายามตั้งโซนป้องกันอย่างที่เตรียมกันมา แต่อาจจะแปลกไปบ้างตรงที่ นิคกี้ไม่ได้ยืนตรงที่แจ็คควรจะยืนแต่เป็นตัวอิสระในการมองหาโอกาสตีโต้ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังเพราะวินาทีที่ไอ้เฟรมตัดสินใจไม่ปะทะกับโซนป้องกันที่ทีมผมตั้งรออยู่ เขาเตรียมส่งให้กับมือชู้ตระยะไกลซึ่งในทีมมีสองคนคือ ไอ้ไอซ์น้องชายมันกับไอ้แขก (จำชื่อไม่ได้แต่เห็นหน้าเหมือนแขกอินเดียก็เลยเรียกแบบนั้น) ตัวเล็กที่สุดของทีม พอหลังจากที่ไอ้เฟรมเหวี่ยงบอลออกจากมือเพื่อส่งให้กับคนใดคนหนึ่งในนั้น ซึ่งตำแหน่งอยู่คนละทางเลยปีกซ้ายและปีกขวา เราเสียท่ากับการสับขาหลอกแบบนี้หลายครั้ง ไหนจะมีกัปตันทีมที่อยู่ในตำแหน่งเซ็นเตอร์อีกคนที่คอยเก็บบอลตอนพลาดอีก คนนั้นสูงกว่าผมและทุกคนในทีมผม และยังตัดสินใจในการส่งบอลต่อได้เร็วมาก (อันนี้ผมนับถือ ว่าทีมนี้ซ้อมกันมาดีจริงๆ) แต่ไม่ใช่ครั้งนี้! จังหวะที่บอลลอยคว้างออกไปยังทิศปีกซ้ายที่เป็นที่อยู่ของไอ้ไอซ์ บอลกำลังพุ่งไปถึงแค่ระยะกลางทางก็มีมือยาวๆ ขาวๆ มาคว้าตัดหน้าไปเสียก่อน

ไอ้นิคกี้นั่นเอง!! พร้อมทั้งวิ่งพุ่งขึ้นไปที่ห่วงฝั่งตรงข้ามด้วยความเร็วชนิดที่ผมคิดไว้แล้วว่าเขาต้องทำได้

“เฮ้ย!! ทุกคน” ผมตะโกนเรียกสติทุกคนให้วิ่งขึ้นไปสนับสนุนไอ้นิคกี้เพราะทั้งทีมผมอยู่ในภาวะอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดอย่างรวดเร็วเมื่อสักครู่อยู่ แต่ผมว่าไม่ใช่แค่ทีมผมหรอก ทีมฝั่งตรงข้ามเองก็เป็นอะไรที่นึกไม่ถึงเหมือนกัน เสียงตะโกนของผมเหมือนปลุกทุกคนในสนามให้ออกจากภวังค์ เพื่อดำเนินเกมส์ต่อไป แต่ดูเหมือนว่าทีมไอ้แฝดนรกนั่นจะไปไม่ทันการชู้ตลงห่วงแบบสบายของไอ้นิคกี้เสียแล้ว การชู้ตครั้งนี้ของมันเรียกเสียงเชียร์ทั้งสนามให้ดังกระหึ่มและสร้างกำลังใจให้กับทีมอีกครั้ง ทุกคนในทีมผมวิ่งเข้าไปลูบหัวขยี้หัวไอ้นิคกี้จนแทบล้มพร้อมเฮกันลั่นและชื่นชมในความเก่งและการตัดสินใจที่ดีของนิคกี้ ผมยิ้มให้เขาไกลๆ ผมเห็นความมั่นใจแผ่ออกมาจากเขามากขึ้น สีหน้าดูสว่างไสวและมุ่งมั่นมากขึ้น

หลังจากนั้นตลอดทั้งการแข่งขันนิคกี้ทำให้กระบวนการส่งบอลทั้งหมดภายทีมฝั่งตรงข้ามรวนไปหมดเพราะเขาจับทางได้ทุกครั้ง อันนี้อาจจะเป็นพรสวรรค์ของเขา เพราะตอนที่มันไปพูดมากใส่ผมตอนดูวิดิโอบันทึกการซ้อมนั้น พี่เอิร์ธเกิดเห็นแววในตัวมันเข้าจึงให้ผมลองใส่ใจมันให้มากขึ้น ทำให้ผมมองเห็นพรสวรรค์ของนิคกี้ เขาจำทุกการส่งลูกได้หมดของทีมฝั่งตรงข้ามรวมถึงเห็นถึงวิธีการตัดสินใจของการส่งต่อบอลในแต่ละครั้ง ซึ่งเท่าที่ผมลองทดสอบก่อนหน้านี้ ปรากฎว่ามีความแม่นยำเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ (สุดยอด) ผมเลยฝึกฝนให้มันเล่นเข้าขากับผมให้ดียิ่งขึ้น และให้นิคกี้เป็นไพ่ตายของผม สิ่งที่ผมกลัวมีแค่เรื่องเดียวคือการยอมรับจากเพื่อนในทีมซึ่งนิคกี้ก็กังวลเช่นกัน ผมมักจะบอกเขาอยู่เสมอว่าให้ทำให้เต็มที่ก่อน แล้วการยอมรับมันก็จะมาเอง วันนี้เขาก็ได้พิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนได้เห็น

ตลอดการแข่งขันหลังจากนั้น ทีมผมสามารถโต้กลับได้เร็วขึ้นและสามารถสกัดการทำคะแนน ของทีมฝั่งตรงข้ามได้เกือบตลอดทั้งเกม ทำให้คะแนนของทีมผมกลับมานำคะแนนทีมฝั่งตรงข้ามแต่ก็ไม่ถึงห้าคะแนน ต่อไปนี้เป็นการแข่งที่สูสี ไม่มีใครได้เปรียบใครมากเหมือนเมื่อช่วงแรกของการแข่งขัน แต่ทีมผมใช้ความเจนสนามของสมาชิกในทีมซึ่งแข่งขันด้วยกันบ่อยจนแทบไม่ต้องมองหาก็สามารถทำตามความนึกคิดของอีกฝ่ายได้ ทำให้ทีมผมนำจนถึงช่วงท้ายเกมและชนะไปอย่างเฉียดฉิวเพียงแค่ 3 คะแนนเท่านั้น พอเสียงนกหวีดเป่าหมดเวลา ความเหนื่อยตลอดการแข่งขันเหมือนถูกปลดเปลื้อง ผมมองคะแนนที่สกอร์บอร์ด แล้วกู่ร้องด้วยความดีใจก่อนจะล้มลงนั่งด้วยความอ่อนแรง ในที่สุดพวกผมก็ปกป้องแชมป์ได้สำเร็จ ทุกคนเดินมารวมตัวกันที่ผมและยกผมขึ้นมาโยนกลางสนามพร้อมส่งเสียงร้องไชโยอย่างมีชัย ผมมองไปที่จุดพยาบาลเห็นพี่เอิร์ธยิ้มและปรบมือ และยกนิ้วโป้ที่แปลว่ายอดเยี่ยมมาทางผม ผมรู้สึกดีใจที่ทำให้พี่เอิร์ธรู้สึกภูมิใจในตัวผม ( วันนี้ลองอ้อนแล้วจัดสักดอกพีเขาน่าจะให้- - ถ้าผมไหว)

........(ต่อ)..........

Happy new year every one!!

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
พอวางผมลงทุกคนก็วิ่งไปนิคกี้ โอบล้อมด้วยท่าทีดีใจและยอมรับในตัวเขามากขึ้น ผมได้ยินแต่เสียงชื่นชมนิคกี้ที่ดูจากสีหน้าแล้วเขาคงอยากจะร้องไห้มากกว่าหัวเราะ

“สุดยอดเลยครับ” เสียงห้าวๆสากๆ แบบเพิ่งแตกเนื้อหนุ่มดังขึ้นข้างผม
“..........” ผมหันไปหาต้นเสียง
“ทีมพี่..แม่งโคตรสุดยอด” ไอ้เฟรมแฝดผู้พี่ที่เดินมาจากไหนไม่ทราบมายืนยิ้มทั้งที่เหงื่อเต็มหน้าอยู่ข้างๆ
“ขอบใจ ทีมน้องก็สุดยอดเหมือนกัน ทีมพี่ไม่เคยทุ่มสุดตัวแบบนี้มาก่อน”
“กว่าจะได้แบบนี้พวกผมก็ซ้อมกันอย่างบ้าคลั่งเลยล่ะครับ เป็นการแข่งขันที่สนุกจริงๆ! ผม.....เฟรมนะครับ พี่หลง”
ไอ้เฟรมยื่นมือมาทำท่าเชกแฮนด์เพื่อแสดงความเคารพแบบฝรั่ง ผมยื่นมือไปจับแบบไม่ลังเล และยิ่มแสดงความจริงใจให้คืนไป ผมทำท่าไม่แปลกใจที่เขาจะรู้จักผมเพราะดูจากสไตล์การเล่นแล้วก็รู้ว่าคงศึกษาพวกผมมาอย่างดี

“เอ่อ... ผมขอตัวก่อนนะครับ”เหมือนไอ้เฟรมเห็นอะไรบางอย่างดึงความสนใจของเขาและวิ่งตามไป ผมหันตามหลังที่สวมเสื้อกล้ามนักกีฬาสีขาวสลับเขียวที่วิ่งไปทางเชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียนผม เขาวิ่งไปจนหยุดอยู่ตรงหน้านิ่มที่พยายามช่วยคนในทีมที่เหลือเก็บอุปกรณ์สำหรับเชียร์กีฬาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทั้งที่นิ่มทำงานร่วมอยู่กับทุกคนแต่ทุกคนกลับทำเธอเป็นอากาศธาตุ เหมือนเธอยืนอยู่ตรงนั่นคนเดียว

ผมมองการสนทนาของทั้งสองทั้งที่ไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน นิ่มพยายามที่จะหลบหน้าแต่อีกฝ่ายคว้ามือเอาไว้แล้วเหมือนพูดอะไรบางอย่าง สายตาของนิ่มที่ดูเศร้าสร้อยนั้นผมสามารถมองเห็นได้จากจุดกลางสนามที่ผมยืนอยู่ มันคงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เธอโดนแฉผ่านโซเชี่ยลโดยการ ‘ไลพ์’ เฟสบุ๊คของเพจ ‘หนุ่มน่ารักฯ’ ไป เธอก็แทบจะอยู่ที่โรงเรียนแบบสงบสุขไม่ได้ เพื่อนเริ่มทยอยเลิกคบเพราะความชั่วร้ายที่เธอทำมันเกินที่ใครในโรงเรียนจะรับได้จริงๆ

ไหนจะพี่โนที่เคยเอ่ยปากว่าจะไม่ให้เธอมีจุดยืนในสังคมนั่นอีก พี่โน่กัดไม่ปล่อยโดยการไปขุดเอาความชั่วที่เธอทำกับคนอื่น ทั้งแบล็คเมล์และกลั่นแกล้งอื่นสารพัด มาประจานลงโซเชี่ยลอีกเรื่อยๆ จนเธอเกือบจะถูกปลดจากการเป็นเชียร์ลีดเดอร์และตัวแทนอื่นๆของโรงเรียน โชคดีของเธอที่เธอมีความสามารถจริงๆ และหาใครมาเป็นเชียร์ลีดเดอร์ตำแหน่งเธอได้ นิ่มจึงยังยืนอยู่ตรงนี้ได้

สุดท้ายการสนทนาจบลงด้วยที่นิ่มพยายามจะหนีแต่ถูกไอ้เฟรมกระชากเข้ากอดและพูดอะไรบ้างอย่างจนนิ่มสงบลง ผมผ่อนลมหายใจออกอย่างโล่งอกและภาวนาให้ความรักของทั้งสองลงเอยด้วยดี และขอให้นิ่มเลิกนิสัยแบบเดิมเสียทีเธอจะได้มีความสุขกับเขาบ้าง ความรักมันไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากการแย่งชิงเหมือนการทำแต้มในเกมบาสเก็ตบอลหรอกนะ หวังว่าครั้งนี้นิ่มคงจะได้บทเรียนและมีความรักจริงจากไอ้เฟรมช่วยเยียวยาจิตใจให้ดีขึ้น คนเมืองนี้ ลองได้ทำตัวดีๆหน่อยสักปีเดียวก็ลืมแล้ว อดทนไปก็แล้วกันนะ

“เป็นอะไรเหม่อเชียว?” เสียงทุ้มที่อ่อนหวาน (สำหรับผม) ดังขึ้นมาทางด้านหลัง
“พี่เอิร์ธ!!” ผมพูดขึ้นด้วยท่าทางตกใจ
“เสร็จแล้วไปไหนกันต่อล่ะ”
“พี่หมอก็รู้ธรรมเนียมของที่นี่ ชนะหรือแพ้ก็ต้องฉลอง!! พี่ไปด้วยกันไหมครับ”
ใช่ครับ! ธรรมเนียมของที่นี่ คือการฉลองกับการแข่งขันที่อุตส่าห์เก็บตัวแข่ง ซ้อมกันหนัก ฉลองกับการทำที่เต็มที่ของทีม ซึ่งเป็นแบบนี้มานานจนการเป็นธรรมเนียมประจำทีมไปแล้ว เพียงแต่หากแพ้โค้ชจะไม่เลี้ยงก็เท่านั้นเอง
“ว่าแล้วเชียว! ไปกับเพื่อนในทีมเหอะ พี่มีเข้าเวรต่อถึงสองทุ่ม”
“................” ผมทำหน้าผิดหวังส่งไป
“เอาน่าๆ หากฉลองเสร็จแล้วก็ไปนอนบ้านพี่กันนะ พรุ่งนี้วันหยุดราชการนี่ แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปฉลองด้วยกันนะ เอ้านี้กุญแจบ้านสำรอง พี่บอกน้ารุ่งให้แล้ว”
สมกับเป็นแม่ที่น่ารักจริงๆ พอพี่เอิร์ธ(ว่าที่สะใภ้) ขออนุญาติแล้ว อนุมัติทุกอย่างเลยนะ ส่วนเรื่องฉลองนี่ผมกะไว้ว่าจะไม่รอถึงพรุ่งนี้หรอก ขอคืนนี้เลยก็แล้วกัน
“ครับ แล้วเจอกัน”
แล้วผมกับพี่เอิร์ธก็แยกย้ายกันตรงนี้

........................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-01-2018 13:35:30 โดย Shonennihon »

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
............

สุดท้ายก็จบที่ร้านหมูกะทะร้านใหม่ที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน คนแน่นร้านเพราะดันเป็นจุดหมายเดียวกันของนักกีฬาทุกคน โชคดีที่ร้านกว้างใหญ่พอสำหรับนักกีฬาทุกคนที่ตั้งใจมาเกือบครึ่งงาน ผมคิดว่าวันนี้ร้านนี้คงจะขาดทุนแน่นอนเพราะพวกนักฬาเป็นที่รู้กันว่ากินจุมาก (รู้สึกสงสารเจ้าของร้านขึ้นมาทันที)

จริงๆแล้วคนที่มาร่วมเลี้ยงเฉลองก็ไม่ได้มีแค่นักกีฬาเท่านั้น บรรดาเหล่าสต๊าฟกองเชียร์และเชียร์ลีดเดอร์ก็มาด้วย ผมไม่เห็นนิ่มกับแฟนใหม่ของเธอ แต่ก็ไม่แปลกใจที่จะไม่กล้ามาเจอผู้คนเยอะๆแบบนี้ในเวลาที่เธอกำลังเป็นข่าวคาวๆ ขณะนี้

แต่ตอนนี้ปัญหาของผมคือ บรรดาสาวๆ เหล่าสต๊าฟกองเชียร์และเชียร์ลีดเดอร์จากหลากหลายโรงเรียนกำลังผลัดกันเข้ามาทักทายผมจนผมแทบจะไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากข้าวผัดวิญญาณกุ้งที่ตักมาจากโต๊ะบุ๊ฟเฟ่ฝั่งอาหารทานเล่น

“พี่มีไลน์ไหมคะ?”
“พี่คะแลกเบอร์กันไหมคะ?”
“พี่คะ นี่เบอร์หนูนะคะ?”
“พี่มีแฟนหรือยังคะ?”
“เสร็จนี่พี่ไปไหนต่อไหมครับ ไปเที่ยวต่อกันไหม?” (ฟังไม่ผิดหรอกครับ มีผู้ชายมาชวนผมไปต่อด้วยจริงๆ)

แต่ละคำชวน คำจีบ กรูเข้ามาจนผมอยากจะหายไปจากตรงนั้นสักพัก ความจริงมันก็เกือบจะปกตินั่นแหละสำหรับนักกีฬาหน้าตาอย่างผม แต่ครั้งนี้ผมกลับปฏิเสธไปเสียทุกคน เพราะคนที่ผมคิดถึงอยู่ตอนนี้มีเพียงคนเดียว คือ พี่เอิร์ธเท่านั้น อยากกลับไปหาเขาเหลือเกิน แต่ไอ้เพื่อนเวรฝูงนี้ ยังกับฝูงซอมบี้ที่พยายามจะฉุดรั้งให้อยู่จนจบงาน เพราะต่างถูกอกถูกใจคนที่มาชวนผมคุยทั้งนั้น และพยายามใช้ผมเป็นพ่อสื่อให้ (ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกูเลย ไอ้พวกเวรนี่)

“พี่หลงๆ ขอบคุณนะครับวันนี้” นิคกี้เดินมาพูดกับผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความซึ้งใจ
“เออ ไม่เป็นไร มึงเก่งของมึงอยู่แล้ว กูแค่ช่วยให้คนอื่นยอมรับก็เท่านั้น ปีต่อๆไปก็ฝากทีมเราด้วยนะ”
“จริงสิ! พี่จะเรียนจบแล้ว....” เสียงของนิคกี้ดูแผ่วลงที่ท้ายประโยค
“...........” ผมไม่พูดอะไรแค่ยิ้มกลับไปให้พร้อมพยักหน้า
“ได้ครับ ผมจะไม่ทำให้พี่ผิดหวัง!!” นิคกี้ตอบด้วยสายตามุ่งมั่น
“ดีมาก และที่สำคัญ อย่างลืมคำว่าทีมเด็ดขาด!!”
“ครับพี่!!..........ว่าแต่....... คนที่พี่ชัยไปคุยด้วยนี่ใครน่ะครับ?” นิคกี้มองกวีกับชัยนั่งกินข้าวคุยกันด้วยท่าทางสนิทสนม (โต๊ะตัวเองมีก็ไม่มากินด้วยกันนะไอ้ชัย ติดเมียจริงนะมึง!!)
“อ้อ!! กวี นักกีฬาทีม AAA วิทยาไง แฟนไอ้ชัยมัน!”
“หา!! เป็นแฟนพี่ชัย?? ผมไม่เห็นเคยรู้สึกเลยว่าพี่ชัยชอบผู้ชายด้วย!?!”
“ไปอยู่ไหนมาวะ คู่นี้ออกจะดังลั่นโซเชี่ยล”
“โหย... เสียดาย พี่กวีน่ารักมากเลย ว่าจะจีบสักหน่อย!”

“...........” ผมได้แต่มองเด็กผู้ชายสูง 179 ซม.ที่มองผู้ชายสูงร้อยแปดสิบกว่าสองคนนั่นแบบเสียใจปนเสียดาย ผมแปลกใจที่นิคกี้มันมีรสนิยมแบบนี้ด้วย (แต่ก็ไม่แปลก เพราะตอนนี้ผมเองก็มองผู้ชายน่ารักอยู่หลายคน รวมถึงไอ้นิคกี้นี่ด้วย!! ไม่ๆ พี่เอิร์ธน่ารักที่สุดสิ)

สุดท้ายกว่าจะได้กลับถึงบ้านก็เลยสี่ทุ่มมานิดหน่อย ผมติดรถเพื่อนร่วมทีมที่อาศัยอยู่แถวบ้านพี่เอิร์ธมาส่งถึงหน้าประตูรั้วบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังเล็กที่ตอนนี้มืดเพราะเหลือดวงไฟที่เปิดอยู่เพียงไม่กี่ดวง ภายในบ้านดูมืดและเงียบสงบ สงสัยว่าพี่เอิร์ธคงจะเข้านอนแล้วเพราะวันนี้ก็เป็นวันที่หนักหน่วงสำหรับพี่เอิร์ธเหมือนกัน มีคนเข้ามาใช้บริการไม่ขาดสาย (หมอหน้าตาดีสองคนอยู่จุดเดียวกันมันก็เลยคึกคักเป็นพิเศษ) มีตั้งแต่เป็นลมหมดสติไปจนถึงบาดเจ็บเล็กน้อย บางรายถึงขั้นกระดูกหัก ไม่แปลกเลยที่พี่เอิร์ธอาจจะหลับไปเรียบร้อยแล้ว

ผมใช้เปิดกุญแจสำรอง เปิดเข้าไปในตัวบ้านที่มืดสลัว มีโน้ตอยู่ที่ประตูว่า ‘หากพี่หลับแล้วก็เข้าไปอาบน้ำแต่งตัวในห้องพี่ได้ไม่เป็นไร แต่ต้องอาบน้ำก่อนนอนเข้าใจไหม!!’

“ว้า....รู้ทัน” ผมพูดออกมาลอยๆ

ผมเดินขึ้นไปที่ห้องนอนอย่างเงียบเชียบเพราะไม่อยากรบกวนพี่เอิร์ธที่น่าจะหลับไปแล้ว ที่หน้าประตูห้องแปะโน้ตว่า เตรียมชุดนอนให้แล้ว วางอยู่ตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะกระจก ผมอมยิ้มกับความเตรียมพร้อมของพี่เอิร์ธ

เมื่อบิดลูกบิดและผลักประตูให้เปิดกว้างออก สายลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศภายในห้องปะทะเข้าที่หน้าอย่างจัง ทำให้ขนลุกขึ้นมาเพราะอากาศที่แตกต่างกันระหว่างนอกห้องกับภายในห้อง แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในห้องมีเพียงโคมไฟริมห้องใกล้ห้องน้ำเปิดแรงไฟอ่อน แม้จะแสงจะสลัว
แต่ก็เพียงพอที่จะมองสภาพภายในห้องเห็นอยู่บ้าง ผมมองสำรวจเห็นพี่เอิร์ธที่นอนห่มผ้าห่มหันหลังให้ และกองชุดนอนที่เก้าอี้หน้ากระจกตามที่พี่เอิร์ธเขียนบอกไว้ เพียงแต่ดูเหมือนว่าชุดเหล่านั้นวางทับอะไรไว้ มันดูสูงผิดปกติ

ตอนนี้ผมเพลียมากจากการใช้ร่างกายอย่างฟุ่มเฟือยทั้งวันจนไม่มีแรงจะสำรวจอะไร ผมรีบขอหยิบผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำก่อน เพราะการอยู่ในห้องที่ต่ำกว่า 24 องศาฯ ตอนนี้เริ่มรู้สึกหนาวแล้ว ก่อนจะขี้เกียจอาบน้ำผมคงต้องรีบจัดการตัวเองก่อน แล้วก็รีบก้าวเท้าเข้าห้องน้ำไป .......

ผมออกจากห้องน้ำด้วยเนื้อตัวเปียกโชก ผมมองพี่เอิร์ธที่ยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม ผมรีบเช็ดตัวและหยิบกองเสื้อผ้าขึ้นมาใส่อย่างที่เคยทำทุกครั้งเพื่อจะได้รีบโดดไปกอดพี่เอิร์ธเป็นการขอโทษที่กลับมาเสียดึก

ทันที่ที่ผมกางเกงชุดนอนขึ้นมาใส่ ผมก็พบโน้ตแผ่นหนึ่งที่ติดไว้บนกล่องใต้เสื้อผ้า เขียนว่า

‘รางวัลแห่งความสำเร็จนะครับ ยินดีด้วย’

........ต่อ.......

Page 516

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ผมอมยิ้มและดึงกระดาษโน้ตแผ่นใหญ่ออกจากกล่อง ที่เผยให้เห็นเป็นกล่องขนาดยาวประมาณหนึ่งฟุตสีดำสนิท มีโลโก้สินค้าดังติดอยู่ที่กลางกล่อง ด้วยความตื่นเต้นผมรีบเปิดฝากล่องออกทันที ภายในกล่องมีรองเท้ากีฬาหุ้มส้น สีดำสลับขาว ลายที่พื้นรองเท้าออกแบบอย่างปราณีต เป็นรองเท้ายี่ห้อดังรุ่นจำกัดจำนวน ที่หาซื้อยาก และแพงมาก ผมเคยบ่นๆกับพี่เขาสองสามครั้งเองว่าอยากได้ แต่ตอนนี้มันมาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว ด้วยความดีใจทำให้ผมเกือบร้องลั่นออกมา แต่โชคดีที่คิดได้ว่าพี่เอิร์ธนอนหลับอยู่จึงทำให้เสียงออกมาแบบแผ่วๆ จนผมรู้สึกขำกับเสียงตัวเอง

ผมปิดฝากล่องและรีบแล่นไปที่เตียงเพื่อทำการขอบคุณเขาอย่างเงียบๆ โดยการขโมยหอมแก้มพี่เขาเบาๆ แล้วค่อยทำพิธีขอบคุณอย่างจริงจังในวันพรุ่งนี้

ผมค่อยๆ สอดตัวเองเข้าไปที่ในผ้าห่มใกล้พี่เอิร์ธที่นอนตะแคงอยู่อีกมุมหนึ่งของเตียง และค่อยๆสอดมือเข้าไปโอบกอดเขาเบาๆใต้ผ้าห่ม เอี่ยวตัวข้ามไปกดริมฝีปากที่แก้มของเขา

“รอจนจะหลับไปจริงๆ แล้วเนี่ย!”

เสียงเอิร์ธดังขึ้นจนผมสะดุ้งผงะไปข้างหลัง
“เฮ้ย!! พี่ยังไม่หลับเหรอเนี่ย?”
“ก็รอเซอร์ไพรส์หลงจนเกือบหลับไปจริงๆ แล้วเนี่ย!”
พี่เอิร์ธหันมาพูดกับผมที่ตอนนี้อยู่ในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่งจากการผงะถอยออกมาด้วยความตกใจ
“ขอบคุณนะครับ ไปหาซื้อมาได้ยังเนี่ย ของมันหายากไม่ใช่เหรอ?”
“พี่มีเพื่อนเยอะ ของแค่นี้หาไม่ยากหรอก  พี่น่ะอุตส่าห์รีบกลับมารับของที่เพื่อนที่พี่ฝากเขาซื้อมาจากเมืองนอกเลยนะ ไหนจะต้องเลี้ยงข้าวมันอีก นึกว่าจะกลับมาไม่ทันเราเสียแล้ว แต่หลงดันกลับดึกซะงั้น!”

“ขอโทษครับพี่”  ผมขยับเข้าไปโอบพี่เอิร์ธที่นอนอยู่เพื่อง้อ เพราะเสียงพี่เขามีความน้อยใจแฝงอยู่นิดหน่อย
“อืม ไม่เป็นไร” พี่เอิร์ธยกศรีษะขึ้นมาเพื่อให้ปากของเขาชนกับริมฝีปากผมเบาๆ
“แล้วชอบไหม?” พี่เอิร์ธถามต่อ
“ชอบครับ... แต่ไม่ชอบเท่าพี่เอิร์ธ ผมชอบพี่เอิร์ธมากกว่า”
ผมกอดพี่เอิร์ธแน่นขึ้นพร้อมเอาหน้าซุกไปที่หน้าอกอุ่นๆของเขา

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้เด็กบ้า จะให้พี่หลงเราไปถึงไหน?”
“ผมจะพี่หลงผมจนโงหัวไม่ขึ้นเลย!”  ผมเอาหน้าถูไถไปที่หน้าอกของพี่เอิร์ธจนได้ยินเสียงหัวใจพี่เขาเต้นแรงขึ้น
“หลง! พี่จั๊กจี้ หยุดนะ!” พี่เอิร์ธร้องขึ้น พร้อมใช้มือยกศรีษะผมขึ้นมาเสมอหน้าของเขา ผมมองเห็นเขาในแสงไฟสลัวนั่นได้ชัดเจน สายตาเริ่มปรับชินกับแสงสว่างเพียงน้อยนิดในห้อง ผมเห็นสายตาที่เขามองผมอย่างโหยหา

เพียงเสี้ยวนาทีที่ผมกำลังคิดว่า เขาเป็นผู้ชายที่น่ารักที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา ใจผมเริ่มสั่นระรัวกับความปรารถนาภายในกาย พี่เอิร์ธกลับเป็นคนเริ่มกดริมฝีปากลงมาที่ผมอย่างเร้าร้อน จนผมแทบตั้งตัวไม่ทัน แท่งลิ้นที่อ่อนนุ่มเลียวนรอบริมฝีปากผมอย่างชำนาญ แต่การกระทำนั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมตกใจ ยิ่งปลุกไฟที่รุมเร้าผมในตอนนี้ให้ตื่นขึ้นไปอีก ผมผลักพี่เขาให้นอนแผ่อยู่เบื้องล่างและกระโจนขึ้นทาบบนตัวเขาและกดริมฝีปากลงที่ปากสีชมพูสดอย่างดูดดื่ม ผมโลมลันรุกเร้าพี่เอิร์ธอยู่พักหนึ่งจนกลัวปากพี่เขาจะช้ำ ผมเลยหยุดมองหน้าเขาที่ดูน่าจะเปลี่ยนสีไปทั้งมาก สายตาพี่เอิร์ธดูเปลี่ยนไปจากปกติจนผมรู้สึกขนลุกไปหมด ความปรารถนาอย่างดุดันแสดงออกมาทางสายตาจนผมรู้สึกได้

ผมหยุดพักหายใจเพียงครู่ เปิดโอกาสให้พี่เอิร์ธได้เปลี่ยนท่า เขาผลักผมให้ล้มไปนอนหงายอยู่ข้างๆ พี่เอิร์ธในสภาพที่ถูกผมปลดเปลื้องกระดุมเสื้อชุดนอนออกจนเกือบหมด ลุกขึ้นมาขึ้นคล่อมผมจนผมรู้สึกถึงความแข็งแรงของเขาที่กลางลำตัวกระทบกับท้องน้อยผมอย่างจัง

“วันนี้หลงเหนื่อยแล้ว พักอยู่เฉยๆนะ เดี๋ยวพี่จัดการให้”
เสียงพูดสั่นๆ ปนหอบถูกพ่นใส่หูผมทันทีที่พี่เอิร์ธก้มลงมาประชิดหูผม หลังจากนั้นผมก็โดนพี่เอิร์ธใช้ริมฝีปากสัมผัสทุกส่วนตั้งแต่ใบหน้าจนไปถึงส่วนอก มือของผมที่ถูกมือของพี่เอิร์ธกดลงกับพื้นเตียงแน่นจนแทบขยับไม่ได้ บิดเกร็งไปด้วยรสสัมผัสแห่งความต้องการที่พี่เอิร์ธมอบให้อย่างร้อนแรง ผมไม่เห็นเห็นพี่เอิร์ธเป็นแบบนี้มาก่อน ปกติผมจะเป็นคนไล่รุกพี่เขาให้ทำตามที่ผมต้องการบนเตียงมาตลอด (ก็ไม่กี่ครั้งที่พี่เขาจะยอม) แต่ครั้งนี้กลับเป็นผมเองที่โดนรุกไล่โลมเลียเสียจนผมอ่อนเปลี๊ยะไปหมด

พี่เอิร์ธใช้ปากสัมผัสผิวผมลงต่ำเรื่อยๆ จนถึงท้องน้อยและลงไปถึงหลงน้อยที่ตอนนี้แข็งขันลุกขึ้นพร้อมสู้อยู่ ผมรู้สึกหนาวไปทั้งร่างกาย ไม่รู้ว่าเพราะการโดนโลมรันจากพี่เอิร์ธ หรือเพราะการที่เสื้อผ้าถูกปลดเปลื้องออกโดยไม่รู้ตัวกันแน่

ทันที่พี่เอิร์ธทำให้หลงน้อยชุ่มไปด้วยน้ำบ่อน้อยที่เอิร์ธบรรจงมอบให้อย่างแผ่วเบาที่ทำเอาผมบิดตัวไปมาร้องเสียงหลง เขาก็เปลี่ยนท่ายกตัวขึ้นมาจูบผมที่ปากเบาๆ หนึ่งครั้งก่อนที่จะเอื้อมไปหยิบอะไรดังก๊อกแก๊กและกลับไปประจำที่เดิม ด้วยแสงที่ค่อนข้างจำกัดและจากการที่ผมหลับตาเคลิ้มมาตลอดกิจกรรมเมื่อครู่ทำให้ไม่แน่ใจว่าพี่เอิร์ธทำอะไรอยู่ จนกระทั้งหลงน้อยถูกสวมเสื้อผ้าและชโลมด้วยของเหลวเย็นๆ เพียงชั่วครู่ ผมก็เกือบร้องเสียงหลงจากการที่เจ้าหลงน้อยถูกบีบอัดเข้าไปในที่คับแคบ  สัมผัสหยาบลื่นที่เคลื่อนไหวไปตามจังหวะแบบไม่ตั้งใจทำให้ผมพบกับความหฤหรรษ์ที่พี่เอิร์ธมอบให้จนแทบกระอัก ผมลืมตาแอบมองพี่เอิร์ธที่กำลังขยับขึ้นลงตามจังหวะช้าบ้างเร็วบ้างจนผมรู้สึกทึ่ง ประหนึ่งผมเป็นม้าศึกที่ควบข้ามสนามรบเพื่อเอาชัยชนะ พี่เอิร์ธทำกิจกรรมตรงนั้นซ้ำๆอยู่เรื่อยๆ จนผมแทบจะทนไม่ไหวกับอาการปริ่มล้นที่แทบจะพุ่งออกมา กล้ามเนื้อทุกส่วนเริ่มเกร็งจนจะเป็นตะคริว

ผมตัดสินใจช่วยพี่เอิร์ธโดยการเอื่อมมือไปจับเอวเพื่อควบคุมจังหวะให้เหมาะสม การทำแบบนี้ให้ผลดีเกินคาดพี่เอิร์ธเริ่มส่งเสียงสอดประสานกับผมดีขึ้นจนในที่สุดผมก็ให้ความรักของเรามันล้นออกมาจนสุดแรง จนถึงนอนแผ่เพราะหมดแรงจากการเกร็งครั้งสุดท้าย  แต่พี่เอิร์ธยังขยับต่อไปอีกสักพีกจนผมเริ่มจะรู้สึกตื่นอีกครั้ง เพียงขยับเพิ่มอีกไม่กี่ครั้งพี่เอิร์ธก็ทำผมเลอะเทอะเนอะไปทั่วตั้งแต่ท้องจนถึงหน้าอก ผมดึงพี่เอิร์ธเข้ากอดไว้บนตัวแน่น

“ไม่เอาน่า เลอะเทอะหมดแล้ว ไปล้างตัวกันเถอะ”
พี่เอิร์ธพูดด้วยน้ำเสียงเขอะเขิน จนผมแอบยิ้ม
“แหม.. พี่... วันนี้เล่นทำเอาผมหมดแรงเลย นี่ยิ่งกว่าแข่งบาสฯอีกนะเนี่ย”
“ไอ้เด็กบ้า... งั้นทีหลังไม่มีแล้ว!!”
พี่เอิร์ธเหวี่ยงเสียงด้วยความเขินอาย และทำท่ายันแขนขึ้นเพื่อจะลุกหนี
“ไม่เอาน่าพี่ อย่างอนสิ พี่ทำแบบนี้กับผมได้ทุกวันที่พี่ต้องการเลย”
“ไอ้เด็กบ้า ไม่พูดด้วยแล้ว ลุกไปอาบน้ำเลย พี่หนาวจะแย่แล้ว”
“ไม่เอา กอดอยู่แบบนี้แหละ ดีจะตาย”
“ไม่เอา ไปอาบน้ำ!!” พี่เอิร์ธเสียงเข้มขึ้น
“พี่ไม่รักผมเหรอ?” ลองอ้อนด้วยมุกนี้
“เอ่อ.... รัก..... รักสิ ไม่รักจะทำให้ขนาดนี้รึไง!” เสียงพี่เอิร์ธแผ่วลงเรื่อยๆ จนผมแทบไม่ได้ยินท้ายประโยค
“อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย”
“เออ รักไง ไม่รักเอ็งพี่จะทำขนาดนี้ไหม?”

คราวนี้ได้ยินชัดจากการถถูกตะโกนใส่หู ผมถึงกับดึงมือออกจากการโอบกอดพี่เอิร์ธมาถูที่หูเบาๆ พี่เอิร์ธได้โอกาสเลยเดินหนีเข้าห้องน้ำทั้งที่ร่างกายเปลือยเปล่า ผมลุกจากที่นอนเดินตามไปติดๆ

“พี่มีทีเด็ดไม่เบานะเนี่ย ทำไมเก็บไว้ ไม่เอาออกมาใช้ตั้งแต่แรก!” ผมพูดขึ้นทันที่เอาตัวไปอยู่ใต้ฝักบัวกับพี่เอิร์ธ

“ไอ้เด็กบ้า..... พี่ก็....... ไม่เคยทำแบบนี้หรอก.... แต่..”
“แต่อะไร?” ผมถามย้ำเพราะเสียงพี่เอิร์ธเริ่มถอยหายไปอีกแล้ว
“ก็เพื่อนพี่มันบอกว่า มีแฟนเด็ก ก็ต้องมีทีเด็ดให้เด็กมันหลง มัดเด็กให้อยู่มัน มันก็เลยแนะนำให้ทำแบบนี้”
“โห... เพื่อนพี่สุดยอดอ่ะ แล้วมีทีเด็ดอะไรอีกไหม?”
“............” พี่เอิร์ธเหมือนจะทำตัวไม่ถูก เลยใช้ความเงียบตอบแทน ดูจากอาการแล้วน่าจะไม่เคยทำอะไรแบบนี้ อาการขวยเขินแบบนี้ยิ่งดูน่ารักขึ้นไปอีก ผมตัดสินใจโผไปโอบกอดเขาจากข้างหลังทันที
“เฮ้ย!! ทำอะไร!!??!”
“พี่ก็ทำให้ผมหลงจริงๆ แล้วไง งั้นผมขอต่อเลยนะ!”
“เฮ้ยเดี๋ยว!!”
พี่เอิร์ธยังไม่ทันห้ามผมจนจบประโยค ผมก็เริ่มเล่าโล้มพี่เขาจนไม่สามารถปฏิเสธผมได้ และเราก็เริ่มกันอีกครั้งภายใต้ฝักบัวที่ส่งน้ำอุ่นออกมาเป็นเส้นฝอยไม่ขาดสาย..................

.................................

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1

ผมตื่นมาด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่าใต้ผ้าห่มหนาผ้าซาตินสีน้ำเงินเข้ม รู้สึกหนาวและคอแสบแห้งผาดจากอากาศที่แห้งเย็นภายในห้อง ผมค่อยๆให้สายตาปรับสภาพกับแสงสลัวในห้องที่ปิดทึบด้วยม่านกันแสงยูวีหนาสองชั้น ทำให้ภายในห้องมีบรรยากาศไม่ต่างกับกลางคืนเท่าไหร่ ผมพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่ตอนที่ร่างกายเพิ่งตื่นใหม่พยุงตัวลุกขึ้นและเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำมาดื่มจนหมดแก้ว ทำให้คอชุ่มชื่นขึ้นมาหน่อย

ผมบิดตัวเองเบาๆ ไล่เอาความง่วงและความเกียจคร้านออกไป ทำให้พบว่าตัวเองปวดเหมื่อยไปหมด ร่างกายเหมือนถูกสูบพลังออกไปและการนอนยังไม่สามารถเติมเต็มพลังกายได้หมด จากสภาพห้องที่ปิดทึบทุกด้านยากจะคาดเดาได้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว

ผมจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าเมื่อวานผมนอนตอนไหน ผมหลับไปนานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา ผมกับพี่เอิร์ธเราต่างได้มอบความสุขให้แก่กันหลายครั้งจนผมลืมนับไปแล้ว ที่เหลืออยู่ตอนนี้คืออาการปวดเหมื่อยและอาการแสบร้อนในบางพื้นที่ของอวัยวะบางส่วนเท่านั้น

ผมขยับร่างกายตัวเองไปหาคนที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ข้างๆ ในสภาพนอนคว่ำและแขนข้างหนึ่งตกออกนอกเตียงจนมือถึงพื้น ปกติพี่เอิร์ธจะเป็นคนนอนนิ่งและเรียบร้อยมาก ผมเลยรู้สึกแปลกใจกับท่านอนที่แปลกประหลาดของพี่เขามาก ผมโอบกอดพี่เขาทางด้านหลังที่เปลือยเปล่าของพี่เอิร์ธ ใช้มือสอดเข้าไปในช่องว่างระหว่างลำตัวกับแขนขวาและแขนซ้าย ใช้หน้ากดลงไประหว่างร่องกล้ามเนื้อบริเวณหลัง สัมผัสถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากตัวพี่เอิร์ธ

“ไม่เอาแล้วนะหลง พี่ไม่ไหวแล้วนะ”

พี่เอิร์ธพูดลอยๆขึ้นมาเหมือนละเมอทำให้ผมแอบที่จะขำไม่ได้ (ผมเองก็จะบอกว่า ‘ก็ไม่ไหวแล้วนะ’ เหมือนกัน) พี่เอิร์ธพยายามพลิกตัวและสลัดผมให้หลุดออกจากท่าเดิม แต่กลายมาเป็นหันมาประจันหน้าผมแทน เสียงลมหายที่พ่นเข้าออกของพี่เอิร์ธชัดเจนขึ้นเมื่อมาอยู่ใกล้ในระยะนี้ เขายังหลับตาและอยู่ในภาวะเหมือนจำศีล ผมพยายามใช้มือลูบโครงหน้าเล็กๆ ของเขา ดวงตาและสันจมูกที่สวยได้รูป ผมนอนจ้องแผงขนตาเหล่านั้นได้ไม่เบื่อเลย ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองชอบมองของเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่ามันทำให้ผมรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่มองเขาโดยเฉพาะในระยะนี้

“จัองกันขนาดนี้พี่ก็เขินนะ”
“หึ..... จ้องแฟนตัวเองมันแปลกตรงไหนครับ ตื่นแล้วหรือครับพี่?” ผมยิ้มออกมาเพราะมันเหมือนพี่เอิร์ธละเมออยู่จริงๆ (แต่หลับตาอยู่แบบนี้รู้ได้ไงว่าผมจ้องอยู่นะ?)
“อืม... ง่วงนะแต่หิวมากกว่า สงสัยออกกำลังมากไปหน่อยเมื่อคืน”
“ก็เมื่อคืนอ่อยผมขนาดนั่น ผมก็ขอปล่อยทีเด็ดบ้างสิ!!” ผมพูดกึ่งหัวเราะออกไป
“ทีหลัง ไม่เอาแล้วนะ พี่เจ็บไปทั้งตัวแล้วเนี่ย!” พี่เอิร์ธพูดทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่
“พี่ก็เลิกทำตัวน่ารักสิ ผมจะได้เลิกหลงพี่แบบโงหัวไม่ขึ้นเสียที” ผมพูดสวนไปทันที หลังจากจบประโยคของผม พี่เอิร์ธก็ดึงผมเข้าไปในอ้อมกอดเขาแน่น เขายิ้มและไม่พูดอะไรปล่อยให้ความอบอุ่นของร่างกายเราสองคนสอดประสานกัน ใช้จังหวะหัวใจของเราสองคนเต้นประสานจังหวะกันให้เป็นทำนองเดียวกัน จนกระทั่งสติของผมค่อยหายไปตามจังหวะหัวใจของเราสองคน

.......................................

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พี่เอิร์ธ หลง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หลง แหย่พี่เอิร์ธแรงนะเนี่ย
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
.......................................

กว่าผมกับพี่เอิร์ธจะเดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าค้าใหญ่ของตัวจังหวัดก็เกือบบ่ายสองแล้ว หลังจากที่เราหลับกันต่อในช่วงเช้า และถูกพี่เอิร์ธปลุกเพราะความหิวของเขา ผมเลยเสนอให้เราออกมาหาอะไรอร่อยๆ กินกันเป็นมื้อรวมเช้ากับกลางวันไปเลย อีกอย่างจะได้เดินยืดเส้นสายที่ต้องขดอยู่บนเตียงตลอดช่วงเช้าด้วย (หลังอาบน้ำเสร็จมาผมโดนตีไปหลายครั้งเพราะผมดันมันมือมือไปหน่อยทำพี่เอิร์ธมีรอยแดงตามตัวเต็มไปหมด)

เราหาอะไรกินง่ายๆ ด้วยความหิวที่ร้านประจำของผม ต่อด้วยธรรรมเนียมของพี่เอิร์ธที่ต้องเดินเล่นย่อยอาหาร เหมือนเช่นทุกครั้ง พี่เอิร์ธมักจะมีอาการตื่นเต้นกับสินค้านานาชนิดที่ขายอยู่ในห้างสรรพสินค้า ปากก็บ่นว่าไม่ไม่ค่อยได้มีเวลามาเดินเล่นแบบนี้เท่าไหร่ เป็นหมอนี่ลำบากเหลือเกิน สุดท้ายก็ซื้อของเต็มมือเต็มไม้ไปหมด (เต็มมือผมนี่ไง!!) และที่จะขาดไม่ได้คือร้านรองเท้าคัทชูสำหรับใส่ทำงาน ผมแอบแซวไปหลายครั้งแล้วเรื่องรองเท้าของพี่เอิร์ธที่เขามีจนสามารถใส่ได้ทั้งเดือนไม่ซ้ำ (ไม่ค่อยเข้าใจว่าจะมีทำไมหลายคู่)

“อ้าว! ใช่พี่เอิร์ธจริงๆด้วย” หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายพี่เอิร์ธด้วยท่าทางลังเล ผมที่กำลังนั่งรอพี่เอิร์ธเลือกรองเท้าถึงกับต้องสะดุดสายตาเพราะเธอสวยและแต่งตัวดูดีเกินกว่าที่จะเป็นคนท้องที่

“อ้าว!! ลูกเกด!! ไปไงมาไงล่ะเนี่ย?” พี่เอิร์ธหันมายิ้มด้วยท่าทางเป็นมิตร การแสดงออกแบบนี้แปลว่ารู้จักกันดี ปกติผมไม่ค่อยได้เจอเพื่อนหรือคนรู้จักของพี่เอิร์ธเท่าไหร่ ญาตินี่ไม่ต้องพูดถึง พี่เอิร์ธเป็นคนไม่ค่อยผูกมิตรกับใครง่ายๆ การแสดงท่าทีเป็นมิตรแบบนี้คงเป็นเพราะรู้จักกันดีมากแน่นอน

“ก็.... มาทำธุระกับ....อืม... คนรู้จักน่ะคะ” หญิงสาวพูดเหมือนพยายามจะปั้นคำตอบออกมา
“มาเสียไกลกรุงเทพเลยนะ” พี่เอิร์ธพูดพร้อมรอยยิ้มที่ผมแทบจะไม่เคยเห็น
“อืม.. คะ..... แล้วพี่เอิร์ธหยุดหรือคะ แล้วมาทำอะไรที่นี่คะเนี่ย?”
“ก็ว่าจะมาซื้อรองเท้าเพิ่มสักครู่ รองเท้าที่มีก็เริ่มสึกหมดแล้ว”
“เป็นหมอหรือเป็นทหารค่ะเนี่ย ต้องเดินทางไปรักษาในป่าด้วยไหมคะเนี่ย?”
“ก็มีบ้างนะ แต่ส่วนใหญ่ะเตรียมรองเท้าแบบลุยๆ ไป .....เอ๊ะ!!! นี่แซวพี่ป่าวเนี่ย?!?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า......... พี่เอิร์ธความรู้สึกช้าเหมือนเคยเลยนะคะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”  พี่เอิร์ธหัวเราะตามแก้เขินทันที

เป็นการสนทนาที่ผมนั่งอยู่ไม่ไกลแต่กลายเป็นคนนอกขึ้นมาทันที แต่ก็แอบเห็นด้วยกับหญิงสาวคนนั้นไม่ได้ จนเผลอขำออกมาไม่รู้ตัว

“อ้อ นี่หลง มากับพี่เองล่ะลูกน้ารุ่งที่พี่เคยเล่าให้ฟัง น้ารุ่งที่พี่มาอยู่ด้วยสมัยเรียนไง” พี่เอิร์ธพยายามอธิบายทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวคนนั้นทำท่าทางสงสัยกับอาการขำของผมในระยะประชิดซึ่งไปแทรกบทสนทนาของทั้งสองคน

“อ้อ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะน้องหลง ขอบคุณที่ช่วยดูแลคุณหมอขี้เหงานะคะ”
“ครับ ไม่เป็นไรครับ จริงๆ ผมว่าสลับกันมากกว่า พี่หลงต่างหากที่คอยดูแลผม ฮ่าฮ่าฮ่า”
“........” หญิงสาวทำหน้านิ่งจนผมคิดว่ามุกตีสนิทของผมคงจะใช้ไม่ได้เสียแล้ว
“หลง.. นี่พี่ลูกเกดนะ เป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทแม่พี่เอง เมื่อก่อนบ้านอยู่ติดกันก็เลยเล่นด้วยกันบ่อยๆ จนพี่มาสอบติดหมอนี่แหละก็เลยห่างๆ กันไป”
“สวัสดีครับ เอ่อ.....”
“สวัสดีคะ เรียกพี่ลูกเกดก็ได้คะ แล้วมากันสองคนหรือคะ”
“ครับพี่ลูกเกด.. เมื่อวานไปค้างบ้านพี่เอิร์ธก็เลยมาหาข้าวทานกัน”
“ว้าย!! เดี๋ยวนี้พี่เอิร์ธกินเด็กเหรอคะ?” พี่ลูกเกดหลุดพูดออกมาเสียงดัง จนผมอดไม่ได้ที่จะเขินและมองไปรอบๆ
“ชู่ส์ๆๆ... เบาหน่อยสิลูกเกด” พี่เอิร์ธรีบตัดบท
“อ้อคะ ขอโทษนะคะ แล้วมันจริงไหมคะ?”
“เอ่อ..... คือ....”

€~>€€~<¥>~~

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเหมือนเป็นระฆังช่วยชีวิต ผมยังไม่ชินกับการถูกคนไม่คุ้นเคยมาถามเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ แม้จะไม่อายที่จะบอกว่าพี่เอิร์ธน่ะแฟนผมแต่มาเจอสาวสวยเหมือนนางฟ้ามาจี้ถามต่อหน้าแบบนี้มันเลยรู้สึกแปลกๆ

“คะ...... คะ...... ได้คะ....... เดี๋ยวเจอกันนะคะ”
เสียงพี่ลูกเกดหันหลังไปคุยโทรศัพท์เสียงใส
“ขอตัวก่อนะคะ คือโดนตามตัวแล้วนะคะ คือลูกเกดแอบมาเดินเล่นรออีกคนที่มาด้วยเขาทำธุระอยู่นะคะ”
พี่ลูกเกดหันมาพูดด้วยท่าทางยิ้มแย้มและร้อนรน
“มาเที่ยวกับแฟนก็บอกพี่ได้นะ ไมเห็นต้องปิดบังเลย พี่ไม่บอกพ่อน้องหรอก!”
“แหม... พี่เอิร์ธน้องยังไม่มีแฟนเสียหน่อย นี่ถ้าไม่ใช่เรื่องธุระทางบ้าน ลูกเกดไม่มาไกลขนาดนี้หรอกพี่ก็รู้ ขอตัวไปก่อนนะคะ”
พูดจบเธอก็ตอกส้นสูงเดินไปอย่างรวดเร็ว ผมกับพี่เอิร์ธหันไปมองกันด้วยท่าทางขบขันกับสาวไฮโซ ที่มาเดินห้างฯ ต่างจังหวัดแบบนี้ เดินด้วยท่าทางร้อนรนแต่ก็ยังสง่าเหมือนเดินบนรันเวย์เดินแบบ ดูมันไม่ค่อยเข้ากับสภาพแวดล้อมเสียเท่าไหร่

“ดูสนิทกับพี่ดีนะครับ”
“ก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก”
“เธอดูไฮโซมากเลยนะครับ”
“เพื่อนแม่พี่ก็มีแต่แบบนี้แหละ”
“.............” ผมมองหน้าพี่เอิร์ธเมื่อเวลาที่พี่เอิร์ธพูดถึงแม่ทุกครั้ง พี่เอิร์ธจะทำหน้าแปลกไปจนอธิบายไม่ถูก ดูเหมือนคิดอะไรอยู่แต่พอผมถามเขาก็มักจะพูดว่า ‘ไม่เป็นไร’ ทุกครั้ง เขามักไม่ค่อยพูดถึงครอบครัวตัวเองเท่าไหร่ เพราะจากสีหน้าของเขาเวลาพูดถึงเรื่องครอบครัว ทำให้ผมไม่กล้าที่จะถามต่อ ผมพยายามไปสืบจากแม่แล้ว แต่แม่ก็บอกแค่ว่าครอบครัวพี่เอิร์ธไม่สมบูรณ์แบบเหมือนที่เห็นจากรูปลักษณ์ภายนอกของพี่เอิร์ธที่ทุกคนคิดว่าน่าจะมีความสมบูรณ์แบบ หากอยากรู้มากกว่านี้ให้พี่เอิร์ธเล่าเองดีกว่า แต่ผมก็ไม่เคยกล้าถาม

“เพื่อนแม่พี่... ก็แม่ผมเนี่ยนะ!” แม่ผมเป็นคนเรียบง่ายสมถะมาก
“ฮ่าฮ่าฮ่า เออ! ใช่พี่ก็ลืมนึกไป พี่ว่าน้ารุ่งน่าจะเป็นข้องดเว้นนะ เพราะตั้งแต่รู้จักเพื่อนแม่ทุกคน มีน้ารุ่งนี่แหละไม่เหมือนใคร แต่รู้ไหม? พี่ว่ามีน้ารุ่งคนเดียวนี่แหละที่พูดกับแม่พี่แบบตรงไปตรงมาได้คนเดียว”
“จริงง่ะ?”
“จริงสิ! ก็ตอนพี่มาอยู่ที่นี่น่ะ น้ารุ่งโทรศัพท์ไปต่อว่าแม่พี่ตั้งหลายเรื่อง แต่แปลกนะที่แม่พี่ไม่เคยโกรธน้ารุ่งเลย ดูท่าทางจะเกรงใจมากด้วย”
“แม่เจ๋งอ่ะ แสดงว่าแม่พี่เป็นคนดุมาก?”
“แม่พี่เป็นผู้หญิงทำงานเก่ง เป็นคนใหญ่คนโตของบริษัท ใครๆก็เกรงใจ”
“อ้อ.... แล้วแม่ผมไปดุแม่พี่เรื่องอะไรล่ะ?”
“ก็เรื่องที่แม่พี่แยกทางกับพ่อพี่แล้ว จับพี่ย้ายหนีมาอยู่ไกลขนาดนี้แล้วไม่มาดูแลนั่นแหละ”
“อ้าว....แล้วทำไมเลิกกันล่ะครับ?”
“........ เรื่องของผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้!” พี่เอิร์ธอยู่ๆก็เสียงเข้มขึ้น
“ครับๆ แต่แปลกนะ ผมก็ไม่เคยเห็นแม่พี่จริงๆ นะแหละ ผมจะมีโอกาสไปกราบแม่ของเมียบ้างไหมครับ?”
ผมพยายามทำตัวตลกเหมือนเช่นทุกครั้งเพื่อคลายบรรยากาสที่ดูจะตึงเครียดขึ้น

“..................” พี่เอิร์ธมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย และเงียบเฉยไป ทำให้ผมรู้สึกว่าร้านรองเท้าที่ยืนกันอยู่มีบรรยากาศเย็นขึ้นจนสัมผัสได้
“เอ่อ...... พี่เอิร์ธครับ....... พี่เลือกรองเท้าได้หรือยังครับ?”
ผมพยายามพูดเปลี่ยนเรื่องเปลี่ยนบรรยากาศ
“เอ้อ... อืม..... แม่เขาก็ยุ่งตลอดแหละ พี่เองก็ไม่ค่อยได้เจอ...”
“อ่า... ครับ ไม่เป็นไรครับ ผมก็พูดไปงั้นแหละ มีโอกาสก็คงได้เจอกัน แล้วเรื่องรองเท้า....?”
ผมทำตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่ง หลังจากที่เจอคำตอบที่ไม่ตรงกับคำถาม
“เออ! จริงด้วย พี่เอาคู่นี้แหละ สวยไหม?”  พี่เอิร์ธชี้รองเท้าที่ตัวเองกำลังลองสวมใส่อยู่ ผมได้ยิ้มตอบไปเชิงเห็นด้วย

................................

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
มีแววดราม่านะ
เหมือนหลงจะต้องได้เจอแม่พี่เอิร์ธ
ดูๆ ลูกเกดจะปิดบังเรื่องคนที่มาด้วย
เหมือนคนที่มากับลูกเกด ต้องรู้จักเอิร์ธ
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
นับจากวันแข่งกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัด ความรู้สึกของผมเหมือนจะผ่านไปไม่นาน แต่ตอนนี้ทั้งโรงเรียนก็เข้าสู่บรรยากาศของการเตรียมสอบปลายภาคแล้ว รวมถึงการเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย ทุกคนดูหมกหมุ่นกับการอ่านหนังสือกันไปหมด ส่วนผมช่วงหลังๆ มานี่ โค้ชเรียกผมไปคุยด้วยบ่อยครั้งเกี่ยวกับโควต้านักกีฬาของผม ซึ่งจากผลงานในช่วงวันกีฬาโรงเรียนประจำจังหวัดที่ผ่านมา ผมทำได้ดีจนมีมหาวิทยาลัยมาให้เลือกถึงสามมหาวิทยาลัย ทั้งมหาวิทยาลัยท้องถิ่นและที่กรุงเทพฯ

โค้ชแนะนำให้ผมไปเรียนที่กรุงเทพเพราะทีมแข็งแรงกว่าและมีคณะที่น่าสนใจเยอะ โดยเฉพาะคณะที่เกี่ยวกับการกีฬาอย่างวิทยาศาสตร์การกีฬาน่าจะเหมาะกับผมที่เรียนสายสามัญแทบจะเอาตัวไม่รอด ติดอยู่ที่ต้องมีเกรดที่ดีระดับหนึ่ง (2.50 ขึ้นไปแต่ผมนี่ เฉียดไปมาอยู่แถว 2.25-2.40) ในใจผมกะจะเลือกมหาวิทยาลัยในตัวจังหวัดนี้ แต่พี่เอิร์ธก็เป็นอีกคนที่อยากให้ผมไปเรียนที่กรุงเทพ เพราะเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกับพี่เอิร์ธ ช่วงนี้เลยกลายสภาพเป็นเหมือนช่วงก่อนสอบกลางภาคที่ถูกบังคับให้เรียนพิเศษกับไอ้คู่รักหัวดีนั่นจนกว่าจะสอบเสร็จ เลยกลายเป็นว่าช่วงนี้ทำให้ผมไม่ได้เจอพี่เอิร์ธเท่าไหร่ และพี่เอิร์ธก็ไม่เคยชวนผมไปนอนที่บ้านของเขาอีกเลย เพราะอ้างว่าผมจะเสียสมาธิ ทำให้อ่านหนังสือสอบไม่เต็มที่ หากสอบได้ตามเป้าคือ จะต้องมีเกรด 3 เกินครึ่งจึงจะให้ผมมาค้างที่บ้านเขาได้ พี่เอิร์ธบอกว่ามันเป็นการเสริมแรงให้ผมอยากอ่านหนังสือเพื่อสอบให้ผ่าน แต่ผมนี่สิเหมือนจะขาดใจ โดยเฉพาะที่ต้องมานั่งมองไอ้สองคนตรงหน้าอย่างไอ้ชัยกับไอ้กวีมาจู๋จี๋กันอยู่ตรงหน้า (หมั่นไส้...แอบปาหมอนใส่มันไปหลายครั้ง!)

แล้วแล้วช่วงเวลาแห่งความทรมานของผมก็สิ้นสุดลง วันที่สอบปลายภาควิชาสุดท้าย พี่เอิร์ธบอกว่าให้เอาผลการเรียนทั้งหมดที่ผ่านตามเกณฑ์ที่ตกลงกันไปให้เขาดูจึงจะสามารถไปพบเขาที่บ้านได้ ด้วยความใจร้อนและการมีทักษะทางวาจาที่ดีเลิศบวกกับใช้ความเป็นลูกของอาจารย์ในโรงเรียนผมจึงขอให้อาจารย์แต่ละท่านตรวจข้อสอบและคำนวนเกรดคร่าวๆให้ (แล้วให้ไอ้ชัยที่เก่งคำนวนช่วยคำนวนเป็นเกรดเฉลี่ยอีกที) ทำให้ผมมีผลคะแนนไปแสดงให้พี่เอิร์ธเร็วกว่ากำหนด (ผมทนไม่ไหวแล้ว ที่ผ่านมาได้เจอหน้ากันก็จริง แต่ก็เจอที่โรงพยาบาล หรือไม่ก็ตามร้านอาหาร ไม่ได้กอดพี่เอิร์ธเป็นเดือนแล้ว พี่เขาจะรู้ไหมว่าผมคิดถึงสัมผัสของเขาขนาดไหน?)

หลังจากรบกวนอาจารย์หลายท่านกับไอ้ชัยให้ช่วยคำนวนเกรดเฉลี่ยให้จนเสร็จก็ล่วงเลยไปดึกมากแล้ว วันนี้พี่เอิร์ธก็ต้องอยู่เวรดึก เลยต้องห้ามใจตัวเองไม่ให้พาตัวเองไปหาเขา (แม่ช่วยห้ามด้วยเลยต้องยอม)

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวรีบบึ่งไปหาพี่เขาแต่เช้าที่บ้านพร้อมติดอาหารเช้าที่ผมมักจะซื้อไปฝากเขาเป็นประจำเหมือนทุกครั้งที่ผมมาหาพี่เอิร์ธแต่เช้าแบบนี้ (ความจริงก็ไม่เช้าเท่าไหร่ แต่ก็เช้าที่สุดของผมแล้ว)

ผมไขกุญแจเข้าบ้านพี่เอิร์ธด้วยกุญแจสำรองที่พี่เอิร์ธเคยให้มาด้วยความเคยชิน เปิดประตูเข้าไปในรั่วบ้านและรีบวิ่งเข้าไปในตัวบ้านเพื่อเข้าไปเตรียมอาหารเช้าให้คนขี้เซาข้างบนที่อาจจะตื่นมาด้วยความหิวในอีกไม่ช้า ผมอยากจะให้เขาแปลกใจที่เจอผม แต่ผมจะไม่ขึ้นไปปลุกเขาหรอก ผมว่าจะรอให้เขาลงมาทำหน้าแปลกใจเมื่อเจอผมนั่งอยู่ในตัวบ้าน

แต่ก็กลายเป็นผมเองที่ต้องประหลาดใจเพราะบนโต๊ะอาหารกลับมีอาหารเช้าเตรียมไว้อยู่แล้วทั้งไข่ดาว ไส้กรอก ขนมปังปิ้ง และแฮมชิ้นหนาสีชมพูสวย และยังมีไอร้อนกรุ่นออกมาพร้อมกลิ่นที่ชวนให้น้ำย่อยทำงานเสียงดัง (ผมยังไม่ได้กินอะไรเลย)

‘เฮ้ย!?! พี่เอิร์ธรู้ว่าเราจะมาหรือวะ?’ ผมพูดออกกับตัวเองที่หน้าโต๊ะอาหารและวางโจ๊กและหมูปิ้งที่ซื้อมาบนโต๊ะอาหาร

เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่บันได ผมหันไปทางต้นเสียง และแปลกใจไม่คิดว่าพี่เอิร์ธจะตื่นขึ้นมาเวลานี้ได้ ปกติเขาจะต้องนอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมงถึงจะตื่นมาหาอะไรกิน แต่นี้หากเลิกเวรเช้ามันก็ผ่านมาแค่ 2 ชั่วโมงเอง ผมเห็นชายเสื้อคลุมอาบน้ำที่คุ้นเคยแต่อากัปกิริยาการเดินนั่นแปลกไป พี่เอิร์ธไม่เคยเดินนวยนาดแบบนี้ และในที่สุดภาพตรงหน้าก็ทำให้เห็นว่าคนที่ลงมานั่นไม่ใช่พี่เอิร์ธแต่เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยแม้จะอยู่สภาพไร้เมคอัพและผมยังไม่ได้จัดทรงดี เธอสวมชุดคลุมอาบน้ำของพี่เอิร์ธอย่างหลวมๆ อาจเพราะตัวเล็กกว่าพี่เอิร์ธมาก ทำให้มีสภาพเหมือนฮอบบิทในคลุมของจอมเวทย์ในเรื่องลอร์ดออฟเดอะริง ผมไม่ได้แสดงท่าทางขบขำใส่เธอกับชุดที่เธอสวมใส่ที่ไม่เข้าทรงกัน แต่ทำไมผมถึงรู้สึดว่าเธอเซ็กซี่มากเพราะในความหลวมโครกเหล่านั้นทำให้เผยให้เห็นเนินเนื้อที่หลุดออกมานอกเสื้อคลุมหลายที่ ความขาวเนียนเหล่านั้นทำให้ผมหยุดมองไม่ได้ นี่เหมือนเธอไม่ได้สวมชุดนอนไว้ข้างในเลยนี่!!

“อ้าว!! น้องหลง พี่ก็นึกว่า...... มาทำอะไรแต่เช้าเลยคะเนี่ย?”
พี่ลูกเกดเสยผมไปด้วยระหว่างที่พูดทำให้เกิดช่องว่างของแขนเสื้อเมื่อเธอยกมือขึ้น ทำให้ผมเห็นทะลุเข้าไปเห็นเนื้อขาวๆด้านใน ผมแน่ใจได้เลยว่าภายใต้ผ้าคลุมนั้นมันชุดวันเกิดชัดๆ

“เอ่อ.... ผมซื้ออาหารเช้ามาให้พี่เอิร์ธนะครับ”
ผมชี้ไปที่ถุงอาหารบนโต๊ะข้างๆ
“อุ้ย! ขอบใจนะจ๊ะ แต่วันนี้พี่เตรียมให้พี่เอิร์ธแล้วล่ะ งั้นเก็บอันนี้ไว้ทานวันหลังนะจ๊ะ”
พูดจบเธอก็เดินมาคว้าถุงบนโต๊ะไปโยนที่หลังเคาเตอร์สำหรับเตรียมอาหารในส่วนห้องครัวอย่างไม่ใยดี
“เอ่อ...... พี่เอิร์ธ....”
“อ้อ พี่เอิร์ธยังไม่ตื่นนะจ๊ะ คงรู้ใช่ไหมว่าหากขึ้นไปปลุกตอนนี้จะเป็นยังไง” เธอพูดสวนออกมากับคำถามที่ผมกำลัวจะถามว่าพี่เอิร์ธยังนอนอยู่ใช่ไหม? ผมต้องรู้อยู่แล้วผมอยู่กับพี่เอิร์ธมาตั้งกี่เดือนแล้วผมไม่อยากให้เขาอารมณ์เสียแต่เช้าหรอก

“ครับ.... งั้นผมขอนั่งรอได้ไหมครับ”
“อ้อได้คะ เดี๋ยวพี่ขอไปแต่งตัวดีๆ ก่อนนะอายจังที่ต้องอยู่ในสภาพนี้ให้น้องเห็น”

แล้วเธอก็เดินขี้นไปพร้อมคำถามมากมายในหัวของผมที่ไม่กล้าถามออกไป ผมจำได้ว่าที่นี่มีห้องนอนแค่สองห้อง ห้องรับรองแขกก็หลังคารั่วและแอร์ฯเสียอยู่ตอนนี้เท่าที่ผมจำได้ แปลว่าตอนนี้พี่ลูกเกดนอนเตียงเดียวกับพี่เอิร์ธเหรอ...... ต้องสนิทกันขนาดไหนถึงได้นอนเตียงเดียวกันในสภาพกึ่งเปลือยแบบนั้น แต่พี่เอิร์ธไม่น่าจะชอบผู้หญิงนี่นา แล้วไหนจะอาการต่างๆของพี่ลูกเกดที่ชวนให้เข้าใจผิดเยอะแยะนั่นอีก และพี่เขามาพักอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนไหน???? ในหัวผมมันคิดจนแทบระเบิด อยากจะรีบเดินขึ้นไปคุยกับพี่เอิร์ธให้กระจ่างเลยแต่คงจะไม่เหมาะหากมีคนอื่นอย่างพี่ลูกเกดกำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง

กริงก๊องๆๆๆ

เสียงกริ่งที่รั่วบ้านดังอย่างต่อเนื่องเป็นเหมือนระฆังหมดยกให้ผมหยุดคิดเรื่องนี้ แล้วหันมาสงสัยว่าใครกันที่มาหาพี่เอิร์ธแต่เช้าขนาดนี้?

ผมเดินไปที่ประตูหน้าบ้านก็พบว่ามีผู้หญิงน่าจะรุ่นเดียวกับแม่ผม เธอแต่งตัวดูดีเหมือนหลุดออกจากละคร แบบผู้หญิงทำงานในออฟฟิศ แม้จะดูมีอายุแต่ก็ไม่รู้สึกว่าแก่ แต่งหน้าค่อนข้างจัด ทรงผมที่ดูทันสมัย เสื้อผ้าที่ดูคล่องตัว สวมรองเท้าส้นสูงขนาดเท่าตะเกียบและสูงเหมือนเธอกำลังเล่นกายกรรมอยู่

“เธอเป็นใคร?”

ผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าประตูรั่วเอ่ยขึ้นมาอย่างห้วนๆ พร้อมถอดแว่นกันแดดอันโตเกือบเท่าใบหน้าเธอออกมาเผยให้เห็นแววตาที่ดูเยียบเย็นและเฉียบขาด รวมกับปากสีแดงวาวและสำเนียงการพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยยังไงบอกไม่ถูก

“เอ่อ... ผมเป็น....”
“สวัสดีคะคุณแม่ ขอโทษนะคะ หนูขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามาน่ะคะ” เสียงใสๆ ดังขึ้นมาทางด้านหลัง
“สวัสดีจ๊ะลูก แล้วเด็กนี่ใคร? มาทำอะไรในบ้านตาเอิร์ธเนี่ย?”
“อ้อ.... ก็เด็กพี่เอิร์ธไงคะ” พี่ลูกเกดเดินมาเปิดประตูให้กับผู้หญิงปากแดงคนนั้น ผมรู้สึกเป็นคนนอกอย่างไงก็ไม่รู้
“เหรอ............ คนที่เกดเล่าให้แม่ฟังน่ะเหรอ?”

“สวัสดีครับ”
ไม่ว่าเป็นใคร แต่เราเป็นเด็กก็ควรไหว้ผู้ใหญ่ไว้ก่อน ผมยกมือไหว้ทันที่รู้ว่าน่าจะเป็นคนรู้จักของทั้งพี่ลูกเกดและพี่เอิร์ธ เธอรับไหว้ผมด้วยรอยยิ้มสั้นๆ ประมาณสองวินาทีเห็นจะได้ มันสั้นมาก ทำเอาผมทำตัวไม่ถูก

“หลงจ๊ะ คนนี้คือแม่พี่เอิร์ธจ๊ะ” พี่ลูกเกดที่อยู่ในสภาพที่ดีพร้อมทั้งเสื้อผ้าและทรงผมได้เอ่ยแนะนำคนที่เพิ่งปรากฏตัวมา (แม้เป็นหน้าสดพี่ลูกเกดก็ยังดูดี)

“..............” ผมยกมือไหว้อีกครั้งด้วยความตกใจ ผมไม่เคยเจอแม่พี่เอิร์ธมาก่อน พี่เอิร์ธเคยบอกว่าแม่เขาต่างจากแม่ของผมมากไม่รู้ว่ามาเป็นเพื่อนกันได้ยังไง ตอนนี้ผมรู้แล้วครับ ต่างกันทั้งนิสัยและรสนิยมจริงๆ

“ดีเลย มาเจอเราก็ดีจะได้ไม่ต้องตามหาแล้วนัดพบ เอ่อ... แล้วเอิร์ธล่ะ?” แม่พี่เอิร์ธหันมาจ้องผมและหันไปถามพี่ลูกเกดต่อทันที
“ยังนอนอยู่คะ คือพี่เขาพึ่งกลับเวรดึกตอนเช้ามืด นี่ก็เพิ่งหลับไปเองคะ”
“โอเค... เธอ... มานี่สิ” สีหน้าของแม่พี่เอิร์ธดูเข้มขึ้นจนผมรู้สึกหวาดๆ
“ผมเป็นลูกแม่รุ่งนะครับ เคยแต่ได้ยินแม่พูดถึงไม่เคยเจอตัวจริง คุณแม่เป็นสวยอย่างที่แม่เล่าจริงๆ นะครับ” ผมรู้สึกต้องหาทางตีสนิทเพื่อลดความตึงเครียดนี่ คิดอะไรออกก็เลยพูดขึ้นมาเลย

“....... เธอเป็นลูกยัยรุ่ง?” คุณแม่พี่เอิร์ธหันมามองพร้อมเสียงสูงที่ท้ายประโยค
“เอ่อ... ครับ...” ความรู้สึกผมตอนนี้เหมือนตัวหดลงขนาดเท่ามด ในขณะที่แม่พี่เอิร์ธสูงใหญ่ขึ้นเท่าต้นไทรต้นใหญ่ จากสายตาที่ท่านมองมา
“ดี!! จะได้คุยกันง่ายๆ” แม่พี่เอิร์ธพูดจบก็เดินนำไปทางด้านข้างของบ้านที่มีเก้าอี้ในสวนที่จัดไว้สวยงามโดยผมเมื่อไม่นานมานี่ ผมเดินตามไปอย่างว่าง่าย และตามมาด้วยสาวหน้าใสอย่างพี่ลูกเกดที่ไม่พูดอะไรเลยหลังจากประโยคแนะนำตัวผมกับแม่พี่เอิร์ธในตอนแรก

“แม่ชอบตรงนี้จัง จัดได้สวยร่มรื่นดี” แม่พี่เอิร์ธพูดจบก็กระแทกนั่งที่เก้าอี้สานสีดำคลับ
“ผมจัดให้พี่เอิร์ธเองละครับ เห็นพี่เขาไม่ค่อยมีเวลา”
“เหรอ...... นั่งลงสิ” แม่พี่เอิร์ธตอบด้วยน้ำเสียงเย็นๆ และใช้สายตาชำเลืองมองเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่งเป็นเชิงคำสั่งให้ผมนั่งลงตรงจุดนั้น

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
“เอาล่ะ!! แม่ขอพูดตรงประเด็นเลยนะ!”
“เอ่อ... ครับ” ผมนั่งยังไม่ทันเรียบร้อยก็โดนจู่โจมด้วยสายตาที่รุนแรงของอีกฝ่าย ส่วนพี่ลูกเกดก็เหมือนรู้งานเดินไปนั่งข้างๆ คุณแม่พี่เอิร์ธอย่างเรียบร้อย

“แม่อยากให้เราเลิกกับพี่เอิร์ธซะ!!”
“..........” ผมเบิกตากว้างมองผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม
“แม่น่ะรู้หมดแล้ว ลูกเกดน่ะเขาบอกแม่เอง ตาเอิร์ธกับลูกเกดน่ะเขาสนิทกันมาก ไม่มีความลับต่อกัน”
“แต่ผมกับพี่เอิร์ธ.. เรารักกัน” มันเป็นคำพูดที่หนักแน่นที่สุดเท่าที่ผมจะสามารถพูดเพื่อให้สถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้น โดยที่แอบเห็นพี่ลูกเกดดูมีท่าทีอึดอัดกับคำพูดของผม

“ชื่อหลงใช่ไหม? หลงลูกลองคิดดูสิว่ามันถูกต้องหรือเปล่า? เรื่องที่เราทำกันอยู่น่ะ? คิดถึงอนาคตของพี่เอิร์ธบ้าง!! พี่เอิร์ธเป็นคนเก่งมากเราน่าจะรู้ดี ในอนาคตพี่เอิร์ธอาจจะต้องไปได้ไกลกว่าที่พวกเราคิดมาก และการที่คบกับเธออยู่อาจจะเป็นตัวถ่วง!! มันเป็นเรื่องผิดปกติ ผิดธรรมชาติ!!”

“เอ่อ.... คือ.....” ความรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่ ผมบอกตามตรงว่าไม่เคยนึกถึงจุดนี้ ผมรู้แต่ว่าเรามีความสุขกัน แค่เรามีความสุขไปทุกวันก็พอ

“พูดไม่ออก? แปลว่าเธอเห็นด้วยกับแม่!”
“...........” ผมไม่กล้าสบตาคุณแม่พี่เอิร์ธ เพราะกลัวจะตอบเห็นด้วยทางสายตาออกไป บอกตามตรงการมาถูกผู้ใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยแบบนี้มันทำให้ผมเริ่มคิดมากขึ้นมาอีก

“ นี่!! ... พี่ลูกเกด ท่าทางรู้จักกันแล้วใช่ไหม?”
ผมพยักหน้าและมองตามที่แม่พี่เอิร์ธชี้ไปที่พี่ลูกเกด
“เธอคือคู่หมั้น ที่แม่กับครอบครัวของลูกเกดตกลงหมั่นหมายกันมาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ แต่ยังไม่ทันได้เข้าพิธี ตาเอิร์ธก็หนีไปอยู่พ่อเขาเสียก่อน เพราะไอ้ผู้ชายรูมเมทนั่นมาติดพันอยู่!!”
“...............” ผมนึกไปถึงไอ้คนที่ชื่อ ‘เอ’ คนนั่น
“แม่ก็นึกว่า พอตาเอิร์ธมันเลิกกับไอ้หมอคนนั้น มันจะได้กลับมาเป็นปกติเสียที ก็ดันหนีมาอยู่เสียไกลปืนเที่ยงแบบนี้!! แล้วมิหน้ำซ้ำยังมามีสัมพันธ์กับเด็กผู้ชายที่เป็นลูกของเพื่อนอีก โอ้ย!! ฉันล่ะปวดหัว!!”  ท่าทางของคุณแม่พี่เอิร์ธเหมือนมาระบายมากกว่าจะมาขอร้องอะไรผม

“แต่ว่า.... แม่ผม.....”
“แม่รู้ว่าเธอจะพูดอะไร จะบอกว่าแม่รับรู้และอนุญาติให้คบกันใช่ไหม? ก็ไม่แปลก ยัยรุ่งก็ชอบทำอะไรแปลกๆ แบบนี้แหละ แต่แม่ไม่ยอมหรอกนะ ดังนั้นมันทำให้แม่ต้องใช้แผนขั้นสุดท้าย!!”
คุณแม่พี่เอิร์ธตบโต๊ะดังปัง ในขณะที่พี่ลูกเกดก็เกิดอาการหน้าแดง อายม้วนขึ้นมา  ผมเผลอตกใจกั
บสิ่งที่แม่เขาทำไปเล็กน้อย
“แม่ขอให้ลูกเกดช่วยดึงเอาความเป็นชายของตาเอิร์ธกลับมา”
ผมแอบกรอกตาและนึกไปถึงวันที่พี่เอิร์ธโดดขึ้นมาขี่ผมจนผมอ่อนระทวย ‘มันจะเป็นไปได้เหรอวะ?’ ผมแอบคิดในใจ

“และทุกอย่างก็ไปได้ดี ในระหว่าง หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันสองต่อสองบนเตียงเดียวกัน เคมีบางอย่างทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้น ..... ใช่ไหม เมื่อเช้าก็เพิ่งเกิดนี่ เห็นเล่าให้แม่ฟังอยู่?”
ผมเบิกตาโพลงอีกรอบพร้อมกับมองไปทางพี่ลูกเกดที่ทำท่าเขินอายตามคำพูดของคุณแม่พี่เอิร์ธ เฮ้ย!! มันเกิดอะไรขึ้นวะ!

“นี่นะ!! พอแม่รู้นะ แม่ดีใจม๊ากมาก!! กว่าแม่จะบังคับให้ตาเอิร์ธ ยอมสวมแหวนหมั้นให้ลูกเกดได้นี่แทบแย่!!”
แล้วแม่พี่เอิร์ธก็ดึงมือของพี่ลูกมาวางบนโต๊ะเผยให้เห็นแหวนสีเงินแวววาวประดับเพชรเม็ดใหญ่ที่นิ้วนางข้างซ้าย ผมจ้องสิ่งนั่นตาไม่กระพริบ ไม่ใช่ว่าผมเห็นว่ามันสวยหรูดูแพงหรืออะไร แต่เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้เหรอ?

“ตาเอิร์ธเขาคงคิดได้ คิดอยากจะบอกกับหลงเอง แต่แม่ว่าไม่ต้องรอให้เอิร์ธมาอธิบายหรอก เรื่องแบบนี้มันไม่ถูกไม่ควรอยู่แล้ว แม่ก็เห็นด้วยนะแต่แม่อยากพูดเองมากกว่า!”

“คุณแม่หมายความว่าไงครับ?” ตอนนี้สมองของผมมันเหมือนประเมินผลไม่ค่อยทันกับประโยคมากด้วยคำพูดของหญิงสาวอาวุโสที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม
“ก็หมายความว่า... แม่อยากให้เราสองคนเลิกพฤติกรรมแบบนี้เสียที แล้วทำทุกอย่างให้มันถูกต้อง!”
“พี่เอิร์ธต้องการจะเลิกกับผม?”
“ใช่! และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ตาเอิร์ธต้องรับผิดชอบ และต้องแต่งงานกับลูกเกด!”

“ผมอยากอยู่รอคุยกับพี่เอิร์ธได้ไหมครับ?” ผมไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้นผมนึกภาพพี่เอิร์ธเข้าพิธีแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ไม่ออก ผมอยากได้คำยืนยันจากพี่เอิร์ธด้วยตนเอง

“ไม่ต้องหรอก! เชื่อแม่ หลงกลับไปเถอะลูก มันจะทำให้ทุกอย่างมันอึดอัดมากกว่าเดิม แล้วก็เลิกติดต่อพี่เอิร์ธเสียเถอะ แม่เตรียมเรื่องงานแต่งไว้หมดแล้ว เธอจะทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง!”
คุณแม่พี่เอิร์ธลุกขึ้นและผายมือเป็นคำเชิญให้ผมออกไปให้พ้นจากตัวบ้าน
“ผมอยากเจอพี่เอิร์ธก่อนได้ไหมครับ ผมรอพี่เอิร์ธตื่นได้ ผมแค่อยากฟังจากปากพี่เขา?”
ผมลุกขึ้นและเดินตามผู้หญิงสวยสูงวัยที่ทำท่าต้องการให้ผมออกจากตัวบ้านโดยเร็ว
“แม่ทำเพื่อเธอทั้งสองคนนะ อย่าทำให้ตัวเองเสียใจไปกว่านี้เลย แม่เข้าใจนะแต่ความสัมพันธ์แบบนี้มันก็ต้องจบแบบนี้แหละ จะวันนี้หรือวันข้างหน้าวันไหน ของแบบนี้จะเป็นความรักที่ยั่งยืนอะไร?!?”
เธอเดินถึงประตูบ้านและเปิดประตูรั่วและใช้สายตาไล่ผมอีกรอบ

“...............”
ผมจนปัญญาที่จะพูด ผมมองไปที่พี่ลูกเกดที่ก้มหน้าก้มตาไร้คำพูดอยู่ข้างๆ คุณแม่พี่เอิร์ธ ผมมองขึ้นไปตรงหน้าต่างชั้นสองที่ม่านถูกปิดสนิท และมีแรงสั่นไหวเล็กน้อยด้วยแรงลมจากเครื่องปรับอากาศ ผมเชื่อว่าเราพูดคุยกันเสียงดังขนาดนี้พี่เอิร์ธต้องตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์บ้าง แต่ม่านหน้าต่างก็ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ ผมจนปัญญาที่จะพูดอะไรได้อีก ทำได้แค่เพียงก้าวขาออกไปให้พ้นรั่วบ้าน และมองตัวบ้านด้วยความรู้สึกที่ผมบรรยายไม่ถูก น้ำตาลูกผู้ชายมันเอ่อร้นออกมาไม่รู้ตัวแบบไร้เสียงใดๆ ไม่นานเสื้อผมก็เปื้อนคราบน้ำตา ผมเดินออกจากซอยบ้านพี่เอิร์ธแบบไร้จุดหมาย เป็นครั้งที่สองในปีเดียวกันที่หัวใจผมต้องเจ็บปวดแบบนี้ มีคนบอกว่าหากเคยบาดเจ็บจากความรักมาแล้ว ครั้งต่อไปจะไม่เจ็บเท่าครั้งแรก ผมว่ามันไม่จริงเลย ทำไมผมเจ็บขนาดนี้ หากเป็นบาดแผลจริงๆ ผมคงทนพิษบาดแผลตายไปแล้ว

ออฟไลน์ Shonennihon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +118/-1
ปี๊ปๆๆ

เสียงแตรรถยนต์ดังขึ้นจากทางซ้ายมือ เท้าผมหยุดลงด้วยความตกใจ ผมพบตัวเองยืนอยู่กลางถนนสี่แยกไฟแดงที่ตอนนี้สัญญาณไฟจราจรจะเป็นสีเขียว

“ไอ้น้องจะบ้าเหรอไง!! อยากตายเรอะถึงได้เดินแบบนี้!!”
ผมก้มหัวขอโทษไปทางต้นเสียงและเดินต่อไปอีกฝั่งหนึ่งของถนน
“เอ้ย!!! หลง!! หลงใช่ไหม? เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ผมหันไปมองหญิงสาวที่เพิ่งด่าทอผมเสียงดังเมื่อสักครู่ เป็นพี่พิ้งค์นี่เอง
“สวัสดีครับ” ผมยิ้มแห้งทักทายกลับไป
“ไม่สบายหรือเปล่าดูหน้าซีดๆ ตาแดงๆ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“เฮ้ย!! แก เจอก็ดี เจ้มีเรื่องจะถาม มากับเจ้ก่อนได้ไหม?”
“อืม... ครับ” ผมพยักหน้าตอบรับ ไหนๆ ก็ไม่ทีอะไรทำ ผมกำซองจดหมายขนาดครึ่งเอสี่ เดินขึ้นรถไป ซองจดหมายที่มีผลการเรียนของผม

“สวัสดีครับ พี่หลง”
เสียงจากเบาะหลังดังขึ้น หลังจากผมเดินขึ้นรถด้านข้างคนขับ
“เอ่อ...ดี เอ่อ.... ไอซ์ใช่ไหม?”
ผมมองคนที่นั่งหลังเป็นไอ้เด็กนักกีฬาบาสฯ ติ่งไอ้ชัยมัน นั่งอยู่ด้วยสภาพกึ่งยับเยิน

“แม่นแล้ว!! เก่งนะเนี่ย”
“ปางตายแล้วยังจะปากดีอีก!!” เสียงเจ๊พิ้งค์แหลมขึ้นมา
“อ้าว...ไปทำอะไรมาเนี่ย!!”
“เรื่องมันยาวพี่” ไอซ์ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆก่อนพูดออกมา
“จะมีอะไร๊.. ก็หาเรื่องไปโดนตีนนะสิ!!”
“โห... เห็นคนเดือนร้อนผมก็ต้องไปช่วยไหม?”
“เอ็งรู้จักพี่โน่น้อยไป แค่สองสามคนพี่โน่จัดการได้!!”
“เออ!! ผมมันโง่เอง!!” เสียงโอดครวญมาจากเบาะหลัง

“ว่าแต่จะถามอะไรผมล่ะครับเจ๊?”
ผมรีบตัดบทก่อนที่การสนทนาจะเลยเถิด
“เรื่องคนที่ชื่อ ‘โน้ต’ น่ะ เห็นว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องนิ่ม รู้จักไหม?”
“อืม........ เหมือนจะเคยเจอนะ เห็นว่ามีร้านกาแฟสวยๆ แถวชานเมือง ก็ไอ้ร้านที่นิ่มจัดงานวันเกิดไง เคยเจอไม่กี่ครั้ง เพราะไม่ค่อยอยู่ร้าน หน้าตาดีใช่ได้เลยล่ะ เจ๊สนใจเหรอ?”
“บ้า!! ฉันไม่สนใจไอ้พวกนักเลงหัวไม้พวกนั้นหรอก!!!”
“เหรอ.....????” ผมลากเสียงยาวเชิงประชด ส่วนไอ้เด็กที่นั่งหลังนี่หลุดหัวเราะคิกคักออกมา

“อาร์ท เป็นข้อยกเว้นจ๊ะ เห็นอย่างนั้นเขาเรียนเก่งนะยะ อีกนิดก็เกียรตินิยมแล้วยะ!!”
“จ้าๆ ชั่วโมงอวดผัวว่างั้น!!”
“ไอ้เด็กบ้า เดี๋ยวตีตายเลย ไอ้ข้างหลังก็ด้วยเดี๋ยวไม่พาไปโรงพยาบาลเลย” เจ๊พิ้งค์มองตาเขียวใส่ผ่านกระจกมองหลัง
“ขอโทษฮัฟ” ไอ้เด็กไอซ์เบาะหลังไหว้ประหลกๆ
“เอ่อ.... แล้วจะไปหาพี่หมอไหม พี่กำลังจะพาไอ้ลิงนี่ไปโรงพยาบาลพอดี” เจ๊พิ้งค์หันมาคุยกับผมที่ยิ้มตามท่าทางตลกๆของไอ้เด็กที่นั่งอยู่ข้างหลัง
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวแวะส่งผมที่แยกหน้าก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเดินไปนิดหนึ่งก็ถึงบ้านแล้ว”
“อ้าว!! ทำไมล่ะ ปกติเห็นกระตือรืนร้นยิ่งกว่าไปเรียนหนังสือ”
“ก็พี่เอิร์ธเขา...... อยู่บ้านแล้ว.....อืม.... ผมกลับบ้านดีกว่า...”
พอพูดถึงพี่เอิร์ธแล้วร่างกายผมมันรู้สึกชา ทุกอย่างในสายตาผมมันดูมืดลงไปถนัดตา

“อ้อ... ไปเจอและทำ ‘ธุระ’ กันแล้วสินะ ถึงได้ไปเดินแถวนั้น”

“.................” ผมไม้ได้ตอบคำถามนั่น ได้แต่มองออกไปที่ท้องถนนที่เต็มไปด้วยรถหลากสีในยามสายของวันหยุด ผมพยายามมองหาสิ่งอื่นให้คิด ไม่อยากจะคิดถึงพี่เอิร์ธตอนนี้ ผมต้องเข้มแข็งเอาไว้พยายามอดทนกับความรู้สึกที่บรรยายออกไม่ได้นี้ที่ผมอุตส่าห์อดกลั้นมานานตั้งแต่เจอพี่พิงค์จะพังทลายลงมา
“หลง! หลง! เหม่ออะไรน่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“เอ้อ... เปล่าครับ.... แล้ว... แล้วพี่ถามถึงคนชื่อโน้ตทำไมล่ะ?”
“อ้อ!! ไม่มีอะไรเจ๊แค่สงสัยว่า ไอ้คนชื่อโน้ตเนี่ย!! คงพยายามจะเขย่าบังลังค์ราชานักเลงอย่างพี่โน่น่ะสิ!!”

........................................


ผมกลับถึงบ้านด้วยท่าทางที่ขาดความกระตือรือร้น ผมเดินทอดน่องเข้าประตูรั่วบ้านด้วยความคิดอะไรมากมายในหัวกับคำถามที่ผมแทบจะหาคำตอบไม่ได้  ผมเฝ้าถามตัวเองในใจมาตลอดการเดินทางกลับมาที่บ้านว่าสิ่งที่ผมเจอนี่ใช่เรื่องจริงหรือไม่? แต่ทุกอย่างมันก็ดูลงตัวไปหมด ทั้งช่วงนี้ที่พี่เอิร์ธขาดการติดต่อกับผม ทั้งเรื่องที่ไปเจอพี่ลูกเกดในบ้านพี่เอิร์ธในสภาพนุ่งห่มน้อยชิ้น ทั้งแหวนทั้งอาการต่างๆ ของพี่ลูกเกด ไหนจะคำพูดยืนยันจากแม่พี่เอิร์ธอีก!! ผมไม่รู้จะหาคำอธิบายไหนมาแก้ตัวให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น

ผมเดินจนมาถึงบริเวณหัองนั่งเล่นของบ้านที่ว่างเปล่า ผมมองไปยังโซฟา ที่ๆ ผมเจอกับพี่เอิร์ธครั้งแรกที่บ้าน  นึกถึงเตียงนอนที่เราเคยนอนอยู่ข้างๆ กัน..... มันจะไม่มีภาพแบบนั้นอีกแล้วหรือ?

“หลง!  ทำไมกลับมาเร็วจังลูก พี่เอิร์ธไม่ว่างหรือลูก?” เสียงผู้หญิงที่อ่อนโยนที่สุดในชีวิตผมดังขึ้นไม่ไกล

“แม่..... คือ......”
“อะไร? เป็นอะไรลูกหน้าซีดๆ ไม่สบายหรือลูก?”
“ไม่..... ไม่ครับแม่ผมสบายดี?”
“แล้วนั่น..... อะไร?”
แม่ผมเดินเข้ามาด้วยท่าทางเป็นห่วงพร้อมคว้าซองจดหมายที่ผมเขียนเกรดคร่าวๆ ที่คำนวนโดยไอ้ชัยใส่กระดาษไว้ภายในขึ้นมาแกะดู

“ว้าว! ไม่เคยเห็นแกมีเกรดสามเยอะขนาดนี้เลยนะนอกจากวิชาพละศึกษา!”
“ครับ... ก็เพราะทุกคนนั่นแหละครับ”
“ดีๆ วันนี้พ่อแกกลับมาบ้านพอดี จะได้โชว์ให้พ่อแกภูมิใจหน่อยว่าเวลาแกตั้งใจอะไรก็ทำได้ แม่ทำมื้อเที่ยงไว้รอแล้ว ไปล้างหน้าล้างแล้วลงมากินข้าวพร้อมหน้ากัน”

“ครับ”
ผมเดินหันหลังขึ้นบันไดไปโดยมีพ่อเดินสวนลงมาพอดี
“สวัสดีครับป๊า” ผมไว้ทักทายพ่อแบบผ่านๆ
“เออ ดี.... เดี๋ยวรีบลงมากินข้าวนะ ไม่เจอเอ็งอยู่บ้านตอนกลางวันแบบนี้ตั้งนานแล้ว จะได้กินข้าวพร้อมหน้ากันบ้าง!!”

“ครับ”
ผมเดินต่อไปแบบแทบไม่มองหันหลังกลับเลย ปกติผมค่อนข้างจะเกรงใจป๊ามาก เวลาป๊าอยู่บ้านผมมักจะเกร็งๆ และยิ่งเวลาแบบนี้ด้วยแล้ว ผมยิ่งรู้สึกไม่อยากอาหารยังไงบอกไม่ถูก อยากจะปฏิเสธแต่ก็กลัวโดนดุอีก เลยได้แต่เดินทอดน่องแบบเซ็งๆ เวลาแบบนี้ใครจะมากินลงกันล่ะ ในเมื่อหัวสมองผมยังคิดวนเวียนกับเรื่องเมื่อเช้าไม่จบสิ้น

ผมเดินเข้าห้องน้ำมุ่งตรงไปที่อ่างชำระล้างหน้ากระจก เปิดน้ำและกวักน้ำใส่หน้าตัวเองแรงๆ เผื่อว่ามันจะช่วยล้างความคิดเหล่านั้นออกจากหัวบ้าง น้ำเย็นๆ อาจทำให้หัวผมโล่งบ้าง แต่ก็เปล่าประโยชน์ ผมยังคงมีความรู้สึกเช่นเดิมอยู่ ผมกวักน้ำกระแทกหน้าซ้ำไปมาเหมือนคนบ้า นอกจากจะทำให้ตัวเปียกและหน้าแดงแล้ว แต่ความคิดในหัวมันยังวนเวียนอยู่เหมือนเดิม

“ไอ้หลง เอ็งจะอยู่ข้างบนอีกนานไหมป๊าหิวข้าวแล้วนะ!!!”

เสียงดังที่สะเทือนสติผมให้กลับมาจากความมืดในจิตใจ ผมคงต้องไปทำหน้าที่ลูกที่ดีก่อนค่อยกลับมาคิดเรื่องนี้ต่อไปว่าจะเอายังไงกับความรักของตัวเองดี

บรรยากาศในการรับประทานอาหารมื้อเที่ยงในวันหยุดแบบนี้หายากพอสมควรที่เราจะอยู่กันแบบพร้อมหน้าเพราะพ่อก็มักจะออกไปวิ่งเทียวไปมาระหว่างโรงงานกับบริษัทเพื่อดูแลกิจการขนาดกลางของท่าน ในขณะที่ผมเองมักจะมีกิจกรรมตามประสาวัยรุ่น ผมกับพ่อก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่?

“หลง.. แม่เอ็งบอกว่าเอ็งสอบได้คะแนนดีขึ้นหรือ ไหนป๊าดูหน่อยสิ?” พ่อเอ่ยถามแบบกระทันหันในขณะที่ข้าวยังเคี้ยวอยู่ในปาก ทำให้เกือบสำลักออกมา
“เอ้าๆ ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวแม่เดินไปหยิบมาให้”
แม่พูดขึ้นพลางทำหน้าที่แม่ที่แสนดีเดินไปหยิบกระดาษที่คำนวนเกรดแผ่นนั้นเดินมาให้พ่อผมถึงโต๊ะ

“เดี๋ยวนี้ เขาให้เกรดกันแบบเขียนใส่เศษกระดาษแบบนี้เหรอวะ?”
“ป๋าก็.. ไม่ใช่ครับ คือผมเดินไปถามคะแนนเก็บอาจารย์กับคะแนนที่สอบปลายภาคมาแล้วก็เลยลองคำนวนเป็นมาครับ ผมให้ไอ้ชัยช่วยคำนวนให้ คงไม่ผิดไปจากนี้เท่าไหร่ครับ”

“..............” ป๊ามองผมพลางหยิบแว่นจากกระเป๋าเสื้อโปโลสีเขียวซีดขึ้นมาสวมและใช้สายตาไล่เรียงตามความยาวของกระดาษเอสี่
“เป็นไงป๊า?” แม่ผมถามพร้อมยิ้มด้วยความภูมิใจ แต่ผมนี่ใจลอยกระแทกไปมาในอกจนแทบจะระเบิดเพราะสีหน้าพ่อผมไม่แสดงอารมณ์อะไรเลยตอนไล่อ่านตัวหนังสือบนกระดาษ

“เออ!! ถ้าตั้งใจก็ทำได้นี่ ไม่นึกว่าจะได้เห็นเลขสามบนหน้าแสดงผลการเรียนเอ็งเลยนะเนี่ย!” พ่อผมลงท้ายด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
“ครับ” เป็นคำตอบเดียวที่ผมจะพูดออกไปได้หลังใจกลับไปอยู่ที่หน้าอกข้างซ้ายเหมือนเดิม

“ดีๆ จะเรียนจบอยู่แล้ว รู้รึยังว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน สาขาอะไร?” พ่อวางกระดาษแผ่นนั้นลงและถามต่อ
“เอ่อ..... คือ...” เป็นอะไรที่ผมยังไม่ได้นึกถึงมาก่อนจริงๆ
“ไม่เป็นไร.... เรียนอะไรก็เรื่องของเอ็ง ป๊าไม่ว่าขอให้ตั้งใจเรียน ขอให้จบก็พอ!! ไอ้เรื่องไร้สาระ อย่างกีฬาเนี่ยเพลาๆ บ้างก็ได้ แล้วพ่อจะเตือนเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เมียน่ะยังไม่ต้องรีบหาให้ป๊าก็ได้ ตั้งใจเรียกให้มันจบก่อน เข้าใจนะ!!” พ่อเริ่มเสียงเข้มเรื่อยๆ
“ครับ.....” ผมก้มมองจานข้าวข้างหน้าและตอบแบบไม่เต็มเสียง เพราะพ่อกำลังเข้าสู่โหมดบ่นยาวเหมือนเคย
“เรียนจบ หางานทำให้มันมั่นคง เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานก่อน แล้วค่อยมาช่วยป๊า พออะไรมันพร้อมแล้วค่อยหาเมียแต่งงานสร้างครอบครัวก็ยังทัน สมัยนี้ไม่รู้ว่าจะรีบมีกันไปทำไม ฟงแฟนอะไรเนี่ย เงินก็ยังหาไม่ได้เลย เข้าใจไหมหลง!”
“................” พ่อก็ยังเป็นพ่ออยู่วันยังค่ำ มักจะเจ้ากี้เจ้าการไปเสียทุกอย่าง บังคับผมยังกับตัวละครในเกม RPG  ให้ผมทำอะไรตามใจตัวเองบ้างไม่ได้หรือไงนะ! พอผมคิดมาถึงตรงนี้ ภาพใบหน้าของแม่พี่เอิร์ธก็ลอยขึ้นเสียอย่างนั้น พี่เอิร์ธก็คงโดนอะไรประมาณนี้มาทั้งชีวิตสินะ

“หลง!!! เหม่ออะไร ฟังป๊าหรือเปล่า?”
“......เอ่อ.... ครับ ตามนั้นครับป๊า...... ผมอิ่มแล้วไปก่อนนะครับ” ผมลุกขึ้นเดินเอาจานไปเก็บที่อ่างล้างจานและวิ่งขึ้นห้องทันที
“ไอ้หลง!! ป๊ายังพูดกับแกไม่จบเลย จะรีบไปไหน?”
“ผมนึกได้มีธุระผมขอไปข้างนอกก่อนนะครับ” ผมตะโกนลงมาจากหน้าบันไดชั้นสองของบ้าน
“เฮ้ย!! แม่ดูมัน!! แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ ป๊าบ่นด่ามันได้ยังไง กำลังสอนมันอยู่ดีๆ ก็หนีไปเสียอย่างนั้น มันใช่ได้ที่ไหน? ไอ้หลงลงมาคุยกับป๊าก่อน!! ธุระอะไรมันจะสำคัญกว่าการคุยกับพ่อของเอ็งวะ!!” เสียงพ่อผมว้ากขึ้นมาจากโต๊ะกินข้าวมาถึงชั้นสองที่ห้องผม

“คุณคะ เดึ๋ยวแม่ไปคุยกับลูกเองนะเรื่องนี้ เรื่องอนาคตน่ะปล่อยลูกตัดสินใจบ้างก็ได้นะจ๊ะ” แม่ผมพยายามปลอบให้พ่อผมใจเย็นลงเหมือนปกติ  เพราะทุกครั้งที่พ่อสอนอะไร (หรือพยายามจะให้ทำตามที่สั่ง) ลงท้ายผมกับพ่อก็จะมีอาการไม่ลงรอยกันทุกครั้งไป คงมีแม่ผมคนเดียวที่ทำให้พ่อใจเย็นลงได้ ผมไม่เคยเห็นพ่อชนะแม่ได้เลยสักครั้งในชีวิต นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ผมทึ่งกับพ่อ ทึ่งในความรักที่พ่อมีให้แม่

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด