-3-
เซินเฟยกลับมาถึงบ้านก็ทำราวกับว่าลืมเรื่องฉู่เหวินจือไปเสียสนิท เขาทำกิจวัตรประจำวันอย่างเป็นปกติเหมือนกับว่าวันนี้ก็เหมือนวันอื่น ๆ ซากุระจึงรู้สึกโล่งใจที่ลูกบุญธรรมของเธอดูจะทำตามที่หมอจือสั่งเอาไว้ว่าให้ปล่อยวางเรื่องเครียด ๆ ลงเสียบ้าง พวกเขาดูข่าวทางโทรทัศน์ด้วยกัน ทานอาหารเย็น และพูดคุยสนทนาสัพเพเหระตามประสาอาหลาน
ทั้งที่ทุกอย่างดูปกติสุขดี คนที่ทำตัวน่าสงสัยกลับเป็นหวางซิงเสียนี่....
ชายหนุ่มเอาแต่กระวนกระวายใจตลอดเวลาและคอยมองไปทางประตูบ่อยครั้งจนหากใครไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเลขาของมาเฟีย คงจะคิดว่าไปทำอะไรขัดแข้งขาผู้มีอิทธิพลและกำลังโดนตามฆ่าอยู่เป็นแน่
“ทำอะไรของแกน่ะอาซิง!” หวางซื่อ หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลเซินเดินเขยกเข้ามาถามหลานชายที่ดูจะกลายเป็นโรควิตกจริตกะทันหัน เพราะแค่ได้ยินเสียงเขาถาม เจ้าหลานขวัญอ่อนก็สะดุ้งโหยงจนตัวลอย
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร ว่าแต่คุณปู่เรียกผมทำไมหรือครับ?” หวางซิงรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ คิดในแง่ดีว่าฉู่เหวินจืออาจจะนึกยอมแพ้แล้วไปหาเช่าห้องอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งหากเป็นแบบนั้นคงจะดี ทั้งไม่ต้องมีปัญหากับไป๋หู่และยังไม่ทำให้เซินเฟยโกรธอีกด้วย ทั้งที่หวางซิงคิดและภาวนาเช่นนั้นอย่างแน่วแน่ ทั้งบนบานในใจว่าจะกินเจไป 1 ปีเต็ม แต่สวรรค์ก็ไม่เข้าข้างเขาสักเท่าไหร่
เพียงไม่ทันจะได้พูดคุยต่อไป เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้นจากหน้าประตูใหญ่
“เดี๋ยว! แกเป็นใครน่ะ!” เสียงตะโกนของคนรับใช้ดังลั่นไปจนถึงด้านใน เรียกให้ซากุระและเซินเฟยที่กำลังสนทนากับอย่างสงบสุขต้องโผล่หน้าออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พวกบอดี้การ์ดชุดสูทสีดำรีบวิ่งมารวมกันที่หน้าประตูอย่างรวดเร็วด้วยคิดว่าเป็นผู้บุกรุกคิดจะทำอันตรายกับจูเชว่ ทว่า....
“นี่นาย.....ฉู่เหวินจือ!?” การ์ดคนหนึ่งอุทานขึ้นมาเพราะจำหน้าอีกฝ่ายได้ เพียงแต่ว่าสภาพนั้น....
“ฉันว่าจะเดินมาช้า ๆ อยู่หรอก แต่ก็กลัวคุณเซินจะรอนานก็เลยเร่งฝีเท้าตอนถึงครึ่งทาง หวังว่าคงไม่ได้เร็วจนคุณเซินยังตัดสินใจเรื่องที่นอนของฉันไม่ได้หรอกนะ” ฉู่เหวินจือพูดเล่นลิ้นราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเล็ก ๆ
หวางซิงรีบวิ่งออกมาดูเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นหู เขามองสภาพของฉู่เหวินจือแบบไม่อยากจะเชื่อสายตา เสื้อสูทถูกถอดออกพาดแขน เสื้อเชิ้ตตัวในชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ไหลจากไรผมลงมาจนแฉะไปครึ่งตัว ในมือยังถือกระเป๋าเดินทางใบย่อมมาอีกใบหนึ่ง ทั้งที่ตอนเช้าโดนลงโทษที่ยืนกลางแจ้งถึงเกือบ 5 ชั่วโมง ยังมีแรงเดินจากบริษัทมาถึงบ้านด้วยระยะทางร่วม 5 กิโลเมตรได้อีกหรือ!?
ไม่ใช่แต่เพียงหวางซิงที่ตกตะลึง การ์ดที่เห็นเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นก็ตกใจด้วยกันทั้งนั้น
“มีเรื่องอะไรกัน?” เซินเฟยรอดูอยู่เฉยไม่ไหวจึงเดินออกมาด้วยตนเองเพราะในเมื่อพวกการ์ดไม่ได้เคลื่อนไหวก็แสดงว่าไม่มีอันตราย เขาปะสายตาเข้ากับร่างสูงใหญ่ที่ดูโทรมจนน่าขันแต่เขากลับขำไม่ออก
“คน ๆ นี้เป็นใครกันน่ะ? อาซิง?” ซากุระที่เดินตามออกมาติด ๆ หันไปถามหวางซิงด้วยความสงสัย เพราะดูท่าทุกคนจะรู้จักผู้ชายแปลกหน้าคนนี้ เว้นแต่เพียงเธอและคนที่อยู่ในบ้านใหญ่ที่ไม่ได้ออกไปไหนเท่านั้น
“เอ่อ....คือ......” หวางซิงรู้สึกอยากจะเป็นใบ้ไปเสียจริง ๆ เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบนายหญิงว่าอย่างไรให้ดูเหมาะสมที่สุดในสถานการณ์อย่างนี้ แต่ก่อนที่ใครจะได้ไขความให้กระจ่าง ฉู่เหวินจือก็เดินเข้าประชิดตัวนายหญิงใหญ่ของบ้าน ด้วยสัญชาติญาณ บอดี้การ์ดทุกคนปลดล็อคปืนประจำกายทันที ทว่าสิ่งที่ฉู่เหวินจือทำนั้นเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายจนไม่มีใครกล้าชักปืนออกมา
ฉู่เหวินจือก้มตัวลงแล้วจูบบนหลังมือหญิงสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นก่อนจะทำตากรุ้มกริ่มเป็นประกาย
“ผมชื่อฉู่เหวินจือ เป็นผู้ช่วยคนใหม่ของคุณเซิน ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณผู้หญิง”
เหมือนเวลาหยุดนิ่งชั่วขณะ....ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาหรือแม้แต่ขยับตัว แต่กลับมีแรงกระชากหลังคอเสื้อของผู้อุกอาจโดยแรงก่อนที่ฝ่ามือข้างหนึ่งจะฟาดเข้ากับใบหน้าคมคายที่ชุ่มชื้นด้วยหยาดเหงื่อนั้นอย่างแรงจนเหงื่อกระเซ็นจากไรผมเป็นเม็ด ฉู่เหวินจือหันกลับมามองผู้ประทุษร้ายด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะแย้มยิ้มเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มนามเซินเฟยกำลังยืนคั่นกลางระหว่างตนและหญิงสาวผู้เป็นนายหญิงของบ้าน ฝ่ายนั้นโกรธจนหน้าแดง อกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยแรงโทสะ
แรงที่ตบลงไปนั้นไม่ได้น้อย ๆ เลย ฉู่เหวินจือหน้าชาไปเป็นแถบ ตอนนี้แก้มของเขาคงเริ่มขึ้นรอยแดงเป็นแน่
“เจ้าคนแซ่ฉู่! มันจะมากไปแล้วนะ!” เซินเฟยตะคอกเสียงกร้าว
“อะไรกันครับ? ผมเห็นท่านไป๋หู่ทักสุภาพสตรีอย่างนี้ออกบ่อยไป” ฉู่เหวินจือคลายริ้วความเครียดบนใบหน้าก่อนจะตอบโต้อย่างอารมณ์ดี
“ฉันสั่งสอนนายน้อยไปใช่ไหม!” เซินเฟยสติขาดผึงโดนสิ้นเชิง ท้าทายเขายังไม่ร้ายแรงเท่ากล้าล่วงเกินอาสะใภ้ของเขา เซินเฟยกระชากปืนจากมือการ์ดคนหนึ่งจ่อเข้ากับหน้าผากของฉู่เหวินจือคิดจะลั่นไกแล้วส่งศพกลับไปให้เจ้านายเก่าเสียเดี๋ยวนี้เลย
“เดี๋ยวก่อนเสี่ยวเฟย!” ซากุระรีบเอ่ยห้ามแล้วกดมือหลานชายลง “อย่าลืมกฎสิ ถ้าหลานฆ่าเขา หลานก็ต้องสังเวยชีวิตคนของตัวเองคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน อย่าให้คนตายโดยเปล่าประโยชน์เลยนะ”
การปรามของซากุระได้ผลกับเซินเฟยเสมอ เขายอมลดปืนลงแต่ยังไม่ราท่าทีต่อต้านอีกฝ่าย
“เอาล่ะ เข้าไปคุยด้านในเถอะ เหล่าซือ ช่วยพาคุณฉู่ไปอาบน้ำใหม่ด้วยนะ” เมื่อซากุระลงมือจัดการเอง ทุกอย่างจึงกลับสู่ความสงบอีกครั้ง คนที่ไม่เกี่ยวข้องต่างทยอยกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง พ่อบ้านหวางเชิญให้ฉู่เหวินจือเดินตามเข้าไปในบ้าน ส่วนซากุระ เซินเฟย และหวางซิงต่างพากันเดินเข้าไปรอในห้องรับแขก
อารมณ์ของเซินเฟยยังคงคุกรุ่นแต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาทางใบหน้าทั้งหมดด้วยเกรงว่าซากุระจะรู้สึกไม่ดี ส่วนหวางซิงก็นั่งตัวตรงแด่วเหมือนคนมีชนักปักหลังไม่มีผิด
ซากุระเองก็มองออกว่าทั้งสองคนไม่อยากจะพูดเรื่องนี้เธอจึงไม่ได้พูดหรือถามอะไรและปล่อยเวลาล่วงเลยไปอย่างเงียบ ๆ เช่นนั้นจนกระทั่งหวางซือพาแขกที่อาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วเข้ามาหา
ฉู่เหวินจือเลือกที่จะนั่งลงข้างหวางซิงอย่างเงียบเชียบ แก้มของชายหนุ่มปรากฏรอยแดงเป็นปื้นและดูเหมือนจะเริ่มบวมนิด ๆ แสดงให้เห็นว่าเซินเฟยไม่ได้ยั้งมือเลยแม้แต่น้อย
“คุณฉู่ คุณบอกว่าเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของเซินเฟย แต่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจูเชว่รับผู้ช่วยใหม่ ทั้งยังมีหวางซิงอยู่แล้ว ฉันจึงเดาว่าคุณคงเป็นคนที่ถูกส่งตัวมาสินะคะ” ซากุระเป็นฝ่ายเริ่มสนทนาก่อนเมื่อเห็นว่าบรรยากาศในห้องยังคงตึงเครียด เธอรู้สึกเหมือนตนเองเป็นด้ายเส้นบางหนึ่งเดียวที่ยังไม่ขาดสะบั้นและมีหน้าที่เหนี่ยวรั้งทั้งสองฝ่ายเข้าหากัน
“คุณเป็นผู้หญิงที่ฉลาดอย่างที่ท่านไป๋หู่ว่าไว้จริง ๆ ถูกต้องแล้วครับ ผมเป็นคนของท่านไป๋หู่ที่ถูกส่งตัวมาช่วยเหลือจูเชว่คนใหม่” ฉู่เหวินจือกล่าวตอบอย่างตรงไปตรงมาก่อนจะหัวเราะ “ผมเพิ่งจะมาเข้าทำงานวันนี้จึงยังไม่รู้อะไรมาก แต่ดูเหมือนผมจะทำให้คุณเซินเกลียดขี้หน้าเข้าเสียแล้ว”
เซินเฟยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันโดยไม่ได้พูดอะไร
“ฉันพอจะเข้าใจแล้วค่ะ คุณคงยังไม่มีที่พักสินะคะ ถ้าอย่างนั้นก็พักที่บ้านนี้ก่อนก็แล้วกัน จากนั้นค่อยว่ากันอีกที”
เมื่อนายหญิงใหญ่ของบ้านตัดสินเช่นนั้นจึงไม่มีใครคัดค้านอะไรอีก หวางซิงเป็นคนอาสานำทางฉู่เหวินจือไปยังห้องนอนสำหรับแขกที่ไม่ค่อยจะมีคนมาใช้บริการเท่าใดนัก กระนั้นมันก็ถูกดูแลทำความสะอาดอย่างดีไม่ต่างจากห้องอื่น ๆ ในบ้านหลังนี้
“เฮ้อ ทำไมนะ คุณถึงได้ชอบทำให้คุณเซินขัดใจอยู่เรื่อย” หวางซิงช่วยจัดของไปก็บ่นอุบ ตั้งแต่รับใช้ตระกูลเซินมาเขายังไม่เคยเห็นเซินเฟยโกรธใครเอาจริงเอาจังถึงขนาดนี้มาก่อนเลย “ไม่ตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว คุณนี่ท่าทางจะทำบุญมาดีกว่าผมเยอะ” บ่นไปแล้วหวางซิงก็อดค่อนขอดตนเองไม่ได้ ทั้งที่เขาจุดธูปกราบไหว้บรรพชนและเจ้าที่เจ้าทางสม่ำเสมอ ทำไมสวรรค์ถึงไม่ฟังคำขอของเขาเลยนะ
“จูเชว่ดูเป็นคนความอดทนต่ำนะ คุณว......” ไม่ทันไรฉู่เหวินจือก็หาเรื่องเข้าตัวอีกแล้ว หวางซิงรีบโผไปปิดปากแทบไม่ทัน
“อย่าพูดเรื่องแบบนั้นนะครับ!” หวางซิงทำเสียงเข้ม “ถึงแต่ก่อนคุณจะเป็นคนของไป๋หู่ แต่ตอนนี้คุณเป็นคนของจูเชว่แล้ว การนินทาเจ้านายไม่ใช่พฤติกรรมที่ดีหรอกนะครับ”
ฉู่เหวินจือเลิกคิ้วมองท่าทางเอาจริงเอาจังของเลขายอดเยี่ยมประจำตระกูลเซินก่อนจะยกมือยอมแพ้เมื่ออีกฝ่ายยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากปากของเขา หวางซิงจึงยอมผละไปจัดของต่อแต่ปากก็ยังบ่นไปเรื่อยจนกระทั่งทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว
“คุณอย่าพยายามออกไปเดินท่อม ๆ ตอนกลางคืนก็แล้วกัน ผมคิดว่าคุณเซินคงไม่ชอบให้คุณยุ่มย่ามกับเรื่องในบ้าน” หวางซิงยังไม่วายทิ้งท้ายก่อนเดินจากไป
ฉู่เหวินจือทิ้งตัวลงบนเตียง การทำโทษของเจ้านายใหม่ทำเอาเขาปวดร้าวไปหมดทั้งตัว ขาแข้งของเขาแทบจะหมดความรู้สึกทันทีที่ลอยขึ้นจากพื้น ถ้าไม่ใช่เพราะเขาขยันออกกำลังและฟิตร่างกายเป็นประจำคงจะหน้ามืดต้องโดนหามส่งโรงพยาบาลไปนานแล้ว
ทั้งที่ฉู่เหวินจือตั้งใจจะปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อน เสียงเคาะประตูก็ยังดังขึ้นจนได้ หวางซิงคงลืมของไว้กระมัง เขาคิดเช่นนั้นก่อนจะเดินไปเปิดประตู แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่คนที่คาดเดาเอาไว้
“น่าแปลกจังที่คุณมาหาผมถึงห้อง”
“ฉันก็ใช่อยากจะมา” เซินเฟยว่า “ฉันแค่จะมาเตือนเอาไว้ ถ้านายกล้ายุ่มย่ามล่วงเกินอาของฉันล่ะก็ ศพนายได้ไปนอนเป็นซากอารยธรรมที่ก้นทะเลแน่”
“ผมเข้าใจแล้ว มีอะไรอีกไหมครับ?”
“พรุ่งนี้ตื่นให้ทัน 6 โมงเช้า” ว่าแล้ว เซินเฟยก็เดินจากไปอีกทางหนึ่ง ฉู่เหวินจือมองตามแผ่นหลังนั้นจนกระทั่งลับตาก่อนแย้มยิ้มลึกลับ เขาปิดประตูลงแล้วเดินกลับไปนอนลงบนเตียง เพียงไม่นานนัก เขาก็หลับไปด้วยความเหนื่อยจากการโดนเด็กกลั่นแกล้งเสียทั้งวัน
---------------------->
นิสัยโดยส่วนตัวของเซินเฟยคือชอบไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาเริ่มงานทั้งที่หากเขาจะไปสายหรือไม่ไปเลยก็ไม่มีใครว่าอะไรได้ แค่อ้างว่าติดต่อธุรกิจข้างนอกหรือทำงานที่บ้านก็ไม่มีใครกล้าเอาผิดแล้ว กระนั้นเซินเฟยก็ยังไปบริษัททุกวันก่อนเวลา 7 โมงครึ่ง ด้วยนิสัยนั้นแม้จะทำให้พนักงานรู้สึกเลื่อมใส แต่ก็ทำให้เดือดร้อนเช่นกัน เพราะการที่หัวหน้าไปเร็วหมายความว่าลูกน้องจะต้องเร็วกว่า ตอนนี้เวลาเฉลี่ยการเข้างานจึงอยู่ที่ 7 โมง 15 นาทีแม้ว่าเวลาจริงของการเริ่มงานจะเป็น 8 โมงเช้าก็ตามที
ภาพปกติที่คนทั่วไปเห็นในตอนเช้าคือภาพประธานบริษัทเดินเข้ามาพร้อมกับเลขาคนหนึ่ง แต่วันนี้กลับมีคนเพิ่มเข้ามาอีกคนหนึ่ง แม้ฮ่องกงจะมีลูกครึ่งยุโรปอยู่มาก แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังดูโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ อยู่ดี หากไม่นับแก้มที่บวมเขียวซีกหนึ่ง....
ห้องทำงานของเซินเฟยอยู่ชั้นบนสุดของอาคารหลัก ลิฟต์ที่ใช้ขึ้นลงมีตัวเดียวและต้องใช้รหัสเพื่อขึ้นมาถึงชั้นนี้ หน้าลิฟต์ยังมีการ์ดเฝ้าอยู่ 2 คน เรียกว่ามีการป้องกันจนเกินระดับนักธุรกิจธรรมดา ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว...ใครเคยบอกว่าจูเชว่เป็นนักธุรกิจธรรมดากัน คนหมายหัวจูเชว่รวมจำนวนทั้งธุรกิจเบื้องหน้าและเบื้องหลังก็มีจำนวนมากพอ ๆ กับคนหมายหัวนายกรัฐมนตรีของประเทศเล็ก ๆ แถบตะวันออกกลางก็ว่าได้
ไม่ใช่เพียงห้องทำงานของจูเชว่เท่านั้นที่อยู่ห้องนี้ แต่ทั้งที่เก็บเอกสารสำคัญต่าง ๆ ของเครือบริษัทก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน เว้นแต่เอกสารของธุรกิจเบื้องหลังจะเก็บไว้ที่บ้านใหญ่ที่มีการคุ้มกันเข้มงวดกว่าหลายเท่า
กิจวัตรหลักตอนเช้าของเซินเฟยที่เขาทำใจให้ชินได้แล้วก็คือการนั่งฟังการบรรยายภารกิจของแต่ละวันโดยหวางซิง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรมากนอกจากนัดเจรจาธุจกิจหรือไม่ก็รับเชิญไปงานสังคม มีบ้างที่มีคนมาขอพบ ส่วนเวลานอกจากนั้นก็ใช่ว่าว่างงาน เพราะบัญชีของบริษัทต้องตรวจสอบอยู่ตลอดว่ามีการยักยอกหรือไม่ มีส่วนไหนน่าสงสัยหรือไม่ การทำธุรกิจใหญ่ เรื่องเงินทองมันก็ต้องเข้มงวดเป็นธรรมดา ในเมื่อเงินหมุนเข้าออกเป็นหลักสิบล้านพันล้าน ตอนเสียหายก็เสียด้วยจำนวนหลักเท่ากัน ใครบ้างจะปล่อยวางเฉย ๆ ได้ นอกจาบัญชีแล้วก็ยังมีเรื่องพนักงาน เรื่องสินค้าและเครือธุรกิจอื่น ๆ นอกเหนือจากธุรกิจหลัก
ใครเคยบอกว่าการเป็นหัวหน้าคนเป็นเรื่องง่ายกันนะ?
“วันนี้มีเท่านี้ครับ” หวางซิงจบการบรรยายช่วงเช้าด้วยคำพูดที่เหมือนกันทุก ๆ วัน
“แล้วเรื่องที่วุ่นวายอยู่ตอนนี้ ผมยังไม่เห็นใครจะรายงานความคืบหน้าเสียที แค่แก๊งค์อันธพาลแก๊งค์หนึ่งมันเสียเวลามากขนาดนั้นเลยหรือ?” เซินเฟยหวนกลับไปทวงงานที่ยังไม่คืบหน้า เขาไม่ชอบที่สั่งงานไปแล้วไม่มีการตอบสนองอย่างนี้แม้แต่น้อย “เขตนั้นใครเป็นคนดูแล?”
“เฉียนหยุนครับ”
“เหล่าเฉียน.....” เซินเฟยทวนพลางไล้ริมฝีปากตนเองอย่างครุ่นคิด สมองของเขาเริ่มปรากฏภาพชายสูงวัยที่มักทำท่าดูแคลนโลกขึ้นมา เขาเคยได้พบอีกฝ่ายตอนอาสะใภ้เรียกประชุมพวกแก๊งค์ใต้ปกครอง ผู้ชายคนนั้นให้ความรู้สึกชัดเจนว่าต่อต้านเขาอยู่
“ผมจะสั่งให้คนไปเร่ง....”
“ไม่ต้องหรอก” เซินเฟยเอ่ยปราม คนที่ไม่คิดจะทำตามคำสั่ง ถึงจะเร่งเร้าไปก็ไร้ประโยชน์ คน ๆ นั้นคงคิดว่าเขาไร้พิษสง ถึงจะไม่ทำตามก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะเขาไม่เคยแสดงความเด็ดขาดให้เห็นถึงได้เหลิงเสียขนาดนี้ บางที....ผู้ชายคนนั้น....อาจจะลองอยากท้าทายเขามากขึ้นหากเขาเองก็นิ่งเงียบเช่นกัน แบบนั้นมันก็น่าสนุกดีเหมือนกัน อาจจะใช้เป็นเยี่ยงอย่างที่ดีได้
“แล้วนายมีอะไรจะพูดไหม?” เขาหันไปถามฉู่เหวินจือบ้าง
“อ้อ...ผมกำลังสนใจคนชื่อเฉียนหยุน ตอนผมอยู่กับท่านไป๋หู่ได้ยินว่าเขาเป็นคนเก่าคนแก่ที่จูเชว่สองรุ่นก่อนหน้านี้ให้ความไว้ใจมาก ผมเลยรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย” ฉู่เหวินจือให้ความเห็น
“ไม่เห็นจะน่าแปลกตรงไหน” เซินเฟยทิ้งตัวพิงพนักแล้วประสานมือโดยเท้าศอกบนแท่นพักแขน “เหล่าเฉียนเป็นคนหัวโบราณเหมือนพวกผู้อาวุโสหลายคนในแก๊งค์ เขามักจะพูดเหยียดหยามพวกเด็กใหม่ที่เข้ามาพึ่งพิงอยู่บ่อย ๆ จนต้องย้ายไปสังกัดกับคนอื่นกันหมด จะแปลกอะไรที่กระทั่งหัวดำ ๆ ของฉันเขายังไม่แล”
“พอเถอะคุณฉู่ นี่เป็นเรื่องในองค์กร คุณไม่ต้องกังวลแทนหรอกครับ” หวางซิงเอ่ยขวางเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะอ้าปากถามต่อ
“เข้าใจแล้วครับ”
อย่างน้อยการทำโทษอย่างเบาะ ๆ เมื่อวานนี้ก็ทำให้ฉู่เหวินจือรู้จักสงบปากสงบคำมากขึ้น ขาของเขายังล้าไม่หาย ซ้ำแก้มที่ช้ำเขียวก็ยังปวดอยู่นิด ๆ ท่าทางเจ้านายของเขาจะเก่งกาจศิลปะป้องกันตัวอยู่หลายขั้นถึงได้สะบัดข้อมือและหัวไหล่จนเกิดแรงได้ขนาดนั้น
“จริงสิ วันนี้ผมขอออกจากบริษัทก่อนเวลานะ” ฉู่เหวินจือเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบขออนุญาตเสียแต่เนิ่น ๆ
“จะไปทำอะไรล่ะ?”
“คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คน่ะครับ ก่อนหน้านี้ที่ผมเคยใช้เป็นของที่ท่านไป๋หู่ให้โควต้าพนักงาน พอผมออกมาก็เลยต้องคืนเขาไป ตอนนี้ผมก็เลยไม่มีใช้ทำงาน” ชายหนุ่มร่างสูงไหวไหล่ อย่างน้อยเขาก็หาทางใช้เช็ค 5 ล้านดอลล่าห์ฮ่องกงนั่นได้ “ว่าแต่ บ้านของคุณต่ออินเทอร์เน็ตได้ใช่ไหม?”
“ต่อได้แต่เป็นอินทราเน็ตขององค์กร ถึงจะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตสาธารณะแต่ก็ติดตั้งไฟร์วอลล์เอาไว้ ถ้านายจะใช้ก็ต้องขอรหัสผ่าน” เซินเฟยว่าแล้วมองไปทางหวางซิง
“ผมจะจัดการให้เองครับ” เลขาผู้รู้งานยังคงอ่านสายตาเจ้านายได้อย่างแม่นยำ
“ก่อนออกไปก็บอกด้วยแล้วกัน” ว่าจบ เซินเฟยก็โบกมือให้คนทั้งสองออกไปจากห้องเพื่อที่เขาจะได้สะสางงานต่อ วันนี้ไม่มีประชุมหรือนัดเจรจางานใด ๆ เขาจึงวางแผนว่าจะกินข้าวในออฟฟิศพร้อมกับดูเอกสารพวกนี้ไปด้วย
ก่อนถึงเวลาเลิกงานครึ่งชั่วโมง ฉู่เหวินจือก็ขอตัวออกไปตามที่บอกเอาไว้ เซินเฟยจึงเรียกหวางซิงมาหาแล้วให้สั่งคนตามฉู่เหวินจือไปเงียบ ๆ ดูว่าอีกฝ่ายไปซื้อของจริง ๆ หรือมีการกระทำอื่นแอบแฝง
เซินเฟยกลับมาถึงบ้านก่อนที่ฉู่เหวินจือจะกลับมาที่บริษัท หวางซิงจึงโทรบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องย้อนกลับไปที่บริษัทอีก พวกเขารออยู่ไม่นานฉู่เหวินจือก็มาถึงบ้านพร้อมด้วยคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเครื่องใหม่เอี่ยมและยังไม่ได้ลงกระทั่ง os แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องปกติสำหรับคอมพิวเตอร์ที่จะนำมาช้านในองค์กรเฉพาะด้าน ระบบปฏิบัติอการหรือกระทั่งโปรแกรมจะต้องลงโดยคนในที่มีหน้าที่ดูแล
หวางซาน พ่อของหวางซิงที่ทำหน้าที่เป็นคนประสานจัดการเรื่องภายในพ่วงหน้าที่นี้เข้าไปด้วย เขารับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของฉู่เหวินจือไปจัดการตามคำสั่งของเซินเฟย