#ข้าง...ข้างใจ#
"...เอิง....น้องเอิงครับ ถึงบ้านแล้ว..." เสียงทุ้มนุ่มนวลกระซิบเรียกที่ข้างหู พร้อมกับฝ่ามือที่แตะแขนแล้วเขย่าเบาๆให้รู้ตัว ชายเอิงผงกหัวลุกขึ้นมายกแขนป้ายปากตัวเองไปทีเพราะรู้สึกเหมือนน้ำจิ้มในปากจะไหลเยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว เสียงหัวเราะ 'หึ หึ' ในลำคอของคนข้างๆทำให้ต้องขมวดคิ้วแล้วก็หันไปจ้องหน้าบ่งบอกถึงความไม่พอใจเต็มที่
เพราะตอนขากลับต้องสละรถให้ไอ้คุณป๋าไม้เอาไปส่งสองสาว ครั้นจะวนไปส่งเองตอนขากลับก็เกรงว่าจะไม่ไหว ก็เลยตัดจบ...สรุปว่าให้ไอ้ป๋ามันไปส่งหญิงหยกแล้วก็เอารถไปจอด เพราะมันอยู่หอเดียวกับกิ๊ก ส่วนทางนี้ในเมื่อกลับบ้านทางเดียวกับคุณหมอก็เลยขอติดรถกลับมาด้วยเลย จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา
"หัวเราะผมเหรอ" หมอขิมเลิกคิ้วทำเป็นยักไหล่แบบกวนๆ พักนี้คุณน้องเอิงชักมีหลากหลายอารมณ์ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เดาทางได้ยากเหลือเกิน แต่มาตอนนี้ โกรธบ้างล่ะ งอนบ้างล่ะ แต่ทางนี้ก็หาได้สำนึก ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากแกล้ง
"พี่เปล่านะ ก็แค่....ขำคนนอนน้ำลายไหล" แม้จะกลั้นหัวเราะจนสุดกำลัง แต่พอเห็นว่าอีกคนรีบยกมือเช็ดปากอย่างรวดเร็ว ก็เลยกลายเป็นหลุดหัวเราะเสียงดัง ฟุบหน้าไปกับพวงมาลัยรถแล้วตั้งหน้าตั้งตาขำ
คนที่โดนหลอกกำลังนั่งกัดฟัดกรอด ดันไปหลงกลคุณหมอเจ้าเล่ห์เข้าให้ ปกติไม่เคยนอนหลับสนิทต่อหน้าคนอื่นหรอกนะ สงสัยว่าวันนี้คงต้องโทษเครื่องดื่มมึนเมาที่บ้านไอ้วายุ(ได้ข่าวว่าไม่มีนะ!!) แล้วคุณหมอเหอะ!! จะหัวเราะอะไรนักหนา เดี๋ยวแช่งให้สำลักตายซะเลยนี่
"ผมไม่ได้น้ำลายไหลซักหน่อยเหอะ พี่ขิมอะมั่ว!!" คนที่กำลังฟุบหน้าไปกับพวงมาลัยหันมามองพร้อมกับกลั้นหัวเราะ เพราะกลัวจะโดนโกรธจริงจัง
"ไม่เชื่อหรอก ไหนขอพี่ดูหน่อย" ยังไม่ทันจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ คุณหมอก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้
คนที่ไม่ได้ระวังตัวอยู่ก่อนแทบจะเบียดตัวแนบสนิทไปกับเบาะด้านหลัง เพราะปลายจมูกอยู่ห่างกันขนาดรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ปลายจมูกโด่งเฉียดเข้ามาใกล้ให้ใจหายวาบจนต้องหลับตา แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแค่เพียงเฉียดผ่านไป แต่พอทำใจกล้าลืมตาขึ้นมา...
"อ๊ะ!!" ไม่ทันแล้ว พอลืมตาก็หวังว่าคุณหมอคงจะกลับไปนั่งที่เดิมแล้ว แต่ที่ไหนได้ปลายจมูกกลับเฉียดแก้มไปอย่างตั้งใจคล้ายกับจะสูดลมหายใจเข้าปอด พร้อมกับสายตาแพรวพราวที่ยังคงจ้องอยู่ไม่ห่าง
"หอมจัง..." ไอ้คุณชายเอิง ณ บัดนี้ นั่งตัวแข็งกลายสภาพจากเด็กศิลป์เป็นเด็กหินชั่วคราว ไม่กล้าขยับตัวเพราะโดนสายตาคมจับจ้อง กลัวว่าหากขยับไปจะไปโดนส่วนไหนบนใบหน้าอีก เพราะเพียงแค่นี้หัวใจก็แทบจะออกมาเต้นนอกอก ลืมวิธีการออกเสียงพูดไปชั่วขณะ
ืืืื หมอขิมคลี่ยิ้มบางๆ มองคนที่ทำตาโตอ้าปากพะงาบๆอย่างเอ็นดู กลิ่นหอมอ่อนๆของเจ้าตัวทำเอาเคลิ้มจนอยากจะยื่นหน้าเข้าไปลองสัมผัสดูอีกรอบ แค่เพียงเฉียดผ่านแค่นั้นยังไม่พอ...น่าเสียดาย
"หะ...หอมอะไรกัน ตะ...ตลกแล้ว" ยังดีที่แสงในรถยังคงสลัว ช่วยซ่อนใบหน้าที่ร้อนวูบวาบได้มาก เดาว่าตอนนี้สีหน้าตัวเองคงกำลังประหลาดอยู่แน่ๆ
หอมงั้นเหรอ..? คุณหมอคงจะมีปัญหากับโพรงจมูก!! ก็วันนี้เปรี้ยวมาตั้งแต่หัววันยันเย็น ไหนจะไปมหาลัย ไปเดินซื้อของกิน แล้วก็ยังไปช่วยคุณเพื่อนวาทำกับข้าวเมื่อเย็นอีก น้ำก็ไม่ได้อาบแล้วจะ...ให้หอมได้ยังไง...บ้าไปแล้ว!!
“พี่ว่าหอมนี่ ไม่ได้เหรอ” คุณหมอทำท่าจะก้มลงมาอีกรอบ แต่อีกฝ่ายเบี่ยงหน้าหลบเสียก่อน เหมือนรู้สึกถึงลมหายใจที่พ่นออกมาเบาๆ ก่อนที่จะยอมถอยกลับไปนั่งเหมือนเดิม
“ผะ...ผมควรจะเข้าบ้านได้แล้ว” ไอ้คุณชายเอิงอยากจะตบปากตัวเอง ทำไมยังพูดเสียงสั่นไม่เลิก!! ก็แค่เอาจมูกมาโดนแก้ม ทีกับคนอื่นโดดกอดคอ ขี่หลังกันยังไม่เห็นรู้สึกอะไร แล้วทำไม...แค่สัมผัสนิดหน่อยของคุณหมอแค่นี้...ถึงกับใจสั่นได้
“ขอโทษนะน้องเอิง ที่ทำเมื่อกี้อย่าโกรธพี่เลยนะครับ” ต้นแขนถูกรั้งเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถก้าวลงไปจากรถได้ พอหันกลับมามองก็พบกับใบหน้าสำนึกผิดเช่นเดียวกับคำที่พูด
น่าแปลก...ที่ในใจกลับไม่รู้สึกโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่กำลังสับสนจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ นี่ไอ้เอิงกำลังหวั่นไหวกับผู้ชายตัวเป็นๆ
“ผม.....ไม่ได้โกรธ” หมอขิมฉีกยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยิน คนพูดยังคงก้มหน้าก้มตาไม่เงยหน้าขึ้นมามองคู่สนทนา เห็นแล้วอยากดึงตัวเข้ามากอด
“ถ้างั้นช่วยมองหน้าพี่ซักนิดจะได้ไหม” คำขอร้องที่ได้ยินทำให้อยากบอกปฏิเสธออกไป แต่ยังไม่ทันได้ทำตามที่คิดก็กลับถูกช้อนใบหน้าให้เงยขึ้นสบตาจนได้ แล้วเพียงแค่ชั่วแวบเดียวก็แทบจะต้องเบือนหน้าหลบ ความรู้สึกทนไม่ได้...ไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่เพราะใจมันเต้นแรงจนแทบจะทนไม่ไหวอยากหายตัวไปจากตรงนี้
“กะ..ก็ไม่เห็นต้องดูใกล้ขนาดนี้เลยนี่” เครื่องหมายคำถามแปะอยู่บนหน้าหมอขิม เมื่อได้ยินคำค่อนขอดที่ว่า
“หืม..?”
“ผมไม่ได้นอนน้ำลายไหลซักหน่อย” บรรยากาศกำลังซึ้ง แต่คนตรงหน้ากลับคิดว่าการที่มานั่งจ้องตากันภายใต้แสงไฟสลัวนี่เพราะต้องการจะดูคราบน้ำลายเอาจริงๆเนี่ยนะ แบบนี้ทั้งที่กำลังจะโรแมนติก(แค่กำลังจะ..นะ...) หมอขิมก็รู้สึกเหมือนกับโดนขัดขาซะล้มคว่ำไม่เป็นท่า
หมอขิมเม้มริมฝีปากตัวเองเข้าหากันอีกรอบ..ไม่ได้ขุ่นเคืองใจหรืออย่างไรหรอก แต่เป็นเพราะกำลังกลั้นหัวเราะจนสุดกำลัง...อีกรอบ...จนปวดแก้ม คำว่า ‘น่ารัก’ผุดขึ้นในใจ แพ้เสียแล้ว..แพ้ทางเจ้าเด็กตรงหน้าไปเต็มๆ
“หัวเราะผมอีกแล้วนะ!!” สายตาดุดันที่มองมาฉายแววความไม่พอใจชัดเจน ทั้งอย่างงั้นคุณหมอก็ยังคงกลั้นหัวเราะจนริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง แล้วในที่สุด....
“ฮ่าๆ ขอโทษครับๆ เพราะน้องขิม ‘น่ารัก’พี่ก็เลยหัวเราะ อุ๊บ!! ฮ่าๆ” ชายเอิงทำหน้าเหวออีกรอบ คำชมที่หลุดออกมาจากปากคุณหมอทำเอาใบหน้าชาวาบ แล้วก็ร้อนวูบอย่างไม่มีสาเหตุ คล้ายว่าตัวเองกำลังจะป่วยเป็นไข้ในไม่ช้านี้ แต่เดี๋ยวก่อน!! น่ารักแล้วทำไมต้องหัวเราะด้วยล่ะ
“ผมจะเข้าบ้านแล้ว!! กลับดีๆนะครับ” บอกไปแบบนั้นแล้วก็ทำท่าจะพุ่งตัวออกไปข้างนอก แต่แขนก็ยังถูกรั้งเอาไว้ ไม่ได้รั้งเฉยๆ แต่กลับถูกแรงกระชากให้เข้าไปหา
จุ๊บ!! คราวนี้ของจริง ....จริงแท้แน่นอนไม่ได้แค่เพียงเฉียดผ่านเหมือนรอบที่แล้ว ริมฝีปากสัมผัสลงตรงข้างแก้มแบบเน้นๆ แล้วจงใจไล่เรื่อยมาจะถึงริมฝีปาก แต่ก็ผละจากไปไม่ได้เรียกร้องอะไรมากกว่านั้น
“ฝันดีนะครับน้องเอิง” ไม่มีเสียงโต้ตอบออกจากปาก ชายเอิงทำได้แค่พยักหน้าหงึกๆเหมือนรับคำแบบเบลอๆแล้วเปิดประตูลงไปยืนหน้าบ้าน โบกไม้โบกมือตอบกลับคุณหมอที่ยังคงส่งยิ้มมาให้(ยังเบลออยู่ แล้วโบกมือตอบกลับแบบอัตโนมัติ)
ชายเอิงยังคงยืนยกมือค้างอยู่ในท่าโบกมือ จนกระทั่งรถของคุณหมอเคลื่อนห่างออกไปลับสายตา พอรู้ตัวอีกทีมือข้างนั้นก็ยกขึ้นมาแตะที่แก้มฝั่งที่โดนขโมยหอม....แล้วก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว คล้ายกับว่าหัวใจกำลังเต้นแรงเหมือนจะกระดอนออกมาข้างนอกได้ ...บ้าไปแล้วไอ้เอิง ปล่อยให้ผู้ชายมาลวนลามขนาดนั้นแล้วยังมายืนยิ้มได้อีก
พอจะหมุนตัวเข้าบ้าน ก็กลับต้องยืนอึ้งอีกรอบ...ยัยเอยน้องสาวฝาแฝดมายืนเอามือกอดอกทำหน้าบึ้งอยู่หน้าประตูบ้าน...ตั้งแต่เมื่อไหร่!!!?
“เอิง!! เค้าเห็นหมดแล้ว!!” ซวยล่ะครับท่าน ไอ้เอิงซวยแล้ว กำลังจะโดนน้องสาวที่โหดประหนึ่งแม่คนที่สองสอบสวน..วันนี้มันวันอะไรวะ!!
======================
สั้นกระชากวิญญาณ
ลงแล้ววิ่งแอบ
เจเจ้