แล้วความสัมพันธ์ของเราก็ขยับไปอีกขั้นด้วยการลงมือของผมเอง
ย้ำว่าเป็นการลงมือของผมเองจริงๆ แม้แต่เซ็กส์ที่เรามีกัน
การมีเซ็กส์กับเขา ไม่ได้แซ่บเร้าใจอะไร ผิดกับหน้าตาดูดีที่ใครก็คงคิดว่าเขาผ่านประสบการณ์มาโชกโชน ความจริงแล้วฝีมือเซ็กส์ของเขายังดูเหยาะแหยะ เขาเอาแต่ถามเพราะกลัวผมเจ็บ จนสุดท้ายผมเป็นฝ่ายพลิกขึ้นคร่อมเขาแล้วอยู่บนให้เสียเลย
เขามีสีหน้าอึ้งไปในตอนแรกที่ผมเป็นคนลงมือเอง แต่สุดท้ายเขาก็ยิ้มมุมปาก เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเขายิ้มเจ้าเล่ห์
“ตกลงว่าเราคบกันแล้วใช่ไหมครับ”
เป็นคำถามแรกของเขาหลังจากเราเสร็จกามกิจ
“ข้ามขั้นตอนเนอะ” ผมตอบไม่ตรงคำถาม เขายกยิ้มมุมปาก
“ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่สนใจ”
ได้ยินดังนั้น ผมไม่ตอบอะไรอีก เพราะรู้สึกว่าพึงพอใจ แล้วความสัมพันธ์ในฐานะคนรักของเราก็เริ่มจริงๆ ที่ตรงนั้น
จะว่ามันต่างจากก่อนหน้าเป็นแฟนไหม มันก็ต่าง จะว่าไม่ต่าง มันก็อาจไม่ต่าง
เรายังพบกันบ่อยๆ ที่ร้านคราฟต์เบียร์เหมือนเดิม นี่คือที่ไม่ต่าง
เราคุยกันมากขึ้น ไปบ้านของกันและกัน มีอะไรกัน นัดเจอกันจากที่ไม่เคยนัดเจอ นี่คือที่ต่าง
แต่ที่ต่างที่สุด คือการที่เขามักพาผมไปด้วย เวลามีงานแจกลายเซ็นตามงานหนังสือ งานบุ้คแฟร์ต่างๆ
ผมได้เห็นการกระทำของเขาตั้งแต่วันก่อนที่จะไปงาน คือการเลือกเสื้อผ้าอย่างพิถีพิถัน เข้าร้านทำผม โกนหนวด กันคิ้ว ตัดผมให้เนี้ยบ วันงานจริงกว่าจะออกจากบ้านก็แต่งตัวเป็นชั่วโมงเพราะการเซ็ตผม ซึ่งก็พยายามเข้าใจเพราะผู้ชายหลายๆ คนเซ็ตผมนานกว่าที่ผู้หญิงแต่งหน้าอีก ขณะที่ผมผูกผมลวกๆ ก็ออกจากบ้านแล้ว จนเขาอยากจะเซ็ตผมให้ แต่ผมปฏิเสธเพราะไม่ชอบเวลาเจลมันทำให้เส้นผมแข็ง
พออยู่ในงาน เขาก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มตลอดเวลาที่พบปะนักอ่านที่เป็นแฟนคลับ แสดงความพูดคุยอย่างใส่ใจ แต่ผมมองแล้วขัดใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน แม้กระทั่งการจับมือกับนักอ่าน หรือบางคนขอกอด ผมมองว่ามันน่ารำคาญ
เป็นไอดอลหรือไง
การชื่นชอบใครสักคนที่เนื้อหางาน ทำไมถึงต้องมาอยากกอด อยากจับมืออะไรกันขนาดนั้น และขอยืนยันว่าความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความหึง ผมคงไม่หึงเขากับนักอ่านทุกคนหรอก แค่รู้สึกว่าการกระทำแบบนี้มันไม่ใช่แนวผมเท่านั้นเอง
ตลอดเวลาที่คบเป็นปี เขาไปงานหนังสือ งานบุ้คแฟร์ต่างๆ รวมถึงงานเสวนาในร้านหนังสืออิสระเล็กๆ อยู่บ่อยครั้ง และก็ชวนให้ผมติดตามไปด้วยทุกครั้ง ซึ่งผมก็ไม่เคยปฏิเสธถ้าไม่ติดงาน
ระหว่างนั้น พฤติกรรมอีกอย่างที่ผมเห็นคือเขามักจะชอบเช็คยอดไลค์ ยอดแชร์ เวลาลงความเรียงสักอย่างในเพจ
วันไหนยอดไลค์น้อยก็จะบ่นงึมงำแบบคนเสียงเบา วันไหนยอดไลค์เยอะก็จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่เขาไปงานเสวนาในร้านหนังสืออิสระเล็กๆ แห่งหนึ่ง หลังเลิกงาน ผมไปซื้อน้ำมาให้เขาดื่ม พอเดินกลับมาก็พบฉากที่นักอ่านที่มาร่วมงานคนหนึ่งกำลังชวนคุยในหัวการตกหลุมรักนักเขียนจากตัวหนังสือ ตลอดเวลาที่ฟัง ผมถกเถียงในใจตลอด
ถ้าหน้าตาไม่ดี เจอตัวจริงแล้วจะชอบไหม
ถ้านิสัยไม่ได้เป็นอย่างงานที่เขียน จะรู้สึกยังไง
แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ทำให้ขัดใจเท่ากับการที่ผมรู้สึกว่านักอ่านคนนั้นพยายามจะสานต่อความสัมพันธ์กับหยก ซึ่งยังดีที่หยกขอปลีกตัวมาเอง โดยพูดชัดเจนจนใจผมแอบพองฟูว่า ‘แฟนรออยู่’
อย่างไรก็ตาม คืนนั้น ที่ร้านคราฟต์เบียร์ย่านประตูผี ร้านที่ประดับประดาด้วยโคมไฟจีนสีแดงที่เราเจอกันครั้งแรก ผมก็เปิดประเด็นขึ้นมา ด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องใส่ใจกับความชื่นชอบของคนอื่นนักหนา
“เคยได้ยินคำศัพท์นี้ไหม ‘เจอกันบนแผง’ น่ะ” ผมถามเขา หลังดื่ม IPA ไปได้ครึ่งแก้ว
“หมายถึงนิตยสารเหรอ”
“ไม่ใช่ คำนี้เป็นคำที่นักหนังสือพิมพ์สมัยก่อนชอบใช้พูดกันตอนที่เจอคู่แข่ง”
“อ้อ... มิน่า ว่าแต่ทำไมต้องเจอกันบนแผงล่ะ” เขาถาม ยกแก้วเบียร์ที่หอมแอปเปิ้ลขึ้นดื่ม
“สิ่งที่บ่งบอกว่านักหนังสือพิมพ์มีความสามารถคือเนื้อหาของข่าว ว่ามีข้อมูลมากน้อยกว่ากันแค่ไหน ใครเจาะลึกกว่า และอีกอย่างคือการเลือกประเด็น เลือกใช้คำที่ดึงดูดผู้อ่านได้มากกว่า การวัดผลก็คือดูยอดขายในวันนั้น ใครเขียนดีกว่า วันนั้นก็ขายดี หมดแผง เขาถึงท้ากันว่า ‘เจอกันบนแผง’ ไง”
“น่าสนใจ ผมไม่เคยรู้เลยนะเนี่ย”
“แหงล่ะ นักเขียนรุ่นใหม่ไม่ค่อยรู้หรอก”
“คุณแก่สินะครับ”
“เดี๋ยวนี้กล้าว่าแล้วเหรอ”
เขาหัวเราะเมื่อผมเสียงเขียวใส่
“ว่าแต่ทำไมอยู่ๆ พูดเรื่องนี้ล่ะครับ” เขาถาม เหมือนรู้ว่าผมมีอะไรจะพูด
“คุณอยากรู้ไหมล่ะ หนึ่งในสาเหตุที่ผมเกลียดเพจคำคมน่ะ”
“ผมว่าผมพอจะรู้”
“แล้วไม่อยากฟังเพิ่มเติม?”
“อยากสิครับ” มุมปากเขายกยิ้มน้อยๆ ผมเลยวางใจที่จะพูดต่อ
“ผมรู้สึกว่านักคิดนักเขียนสมัยก่อน เขาวัดกันที่เนื้องานจริงๆ นักข่าวก็วัดกันที่พาดหัวและความลึกของประเด็นข่าว ส่วนนักเขียนก็วัดหลายอย่าง ทั้งแนวคิด การดำเนินเรื่อง ภาษา แต่นักเขียนสมัยนี้เหมือนสร้างตัวตนขึ้นมาก่อนผ่านโซเชียล ว่าฉันเป็นคนมีสไตล์ฮิปๆ แบบนี้นะ มุมมองความคิดชิคๆ แบบนี้นะ หรือบางทีก็ขายหน้าตา แล้วค่อยขายงาน ซึ่งงานก็ไม่ใช่ว่าดีเด่อะไรด้วย หลายๆ ครั้งเนื้อหาก็ไม่มีอะไรเลยจริงๆ แค่มีตัวตน คนเลยตามจากตัวตนไปติดตามผลงาน เหมือนกับว่า...นักเขียนเหล่านี้ต้องการคนมาชื่นชอบโดยใช้ผลงานเป็นตัวกลางเท่านั้นเอง”
“คุณคิดว่านักเขียนเพจคำคม...ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ใช่ไหม?”
“ใช่”
“ที่พูดเนี่ย รวมผมด้วยหรือเปล่า”
“รวมสิ ไม่งั้นจะพูดขึ้นมาเหรอ”
การตอบแบบไม่ต้องคิด ทำให้เขายกยิ้มทั้งที่โดนด่า
“ปากร้ายเสมอต้นเสมอปลายเลยนะครับ”
“คุณก็เพี้ยนเสมอต้นเสมอปลาย”
“จะว่าเพี้ยนก็ได้ แต่ขอแก้ต่างผมได้ไหมครับ”
“แก้ต่างว่า?”
“ผมไม่ได้ขายตัวตนแต่แรกนะครับ มีคนเปิดเผยหน้าผมเอง พอมีคนรู้ ผมก็ปกปิดไม่ได้แล้ว”
“ถึงอย่างนั้นก็แต่งตัวเนี้ยบเป็นบ้าเป็นหลังเวลาจะไปไหนไม่ใช่เหรอ”
“คุณหึงเหรอ”
“เหอะ เปล่า” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง “แค่คิดว่าคุณอินกับการที่คนมาชอบมากไปเท่านั้น”
“เขาชอบผลงานของผม ผมก็ดีใจไง แล้วอีกอย่างนะคุณ มีเพจคำคมอีกหลายเพจเลยที่ไม่เคยเปิดเผยตัวตน แต่ก็มีคนชื่นชอบและติดตาม คุณจะบอกว่าเขาไม่ได้ติดตามผลงานอีกเหรอ”
“ถ้าคุณถามแบบนี้ ผมก็ยืนยันสิ่งที่คิดไว้ไม่เปลี่ยน ผมรู้สึกจริงๆ ว่าเพจคำคมมันไม่มีเนื้อหา ไม่มีอะไรเลย”
จบประโยคนี้ หยกนิ่งไปชั่วครู่ เหมือนคิดอะไรอยู่ ผมแอบแปลกใจเล็กน้อย ย้อนทวนว่าตนเองพูดอะไรผิดไปไหม แต่ดูแล้วก็ไม่ต่างจากที่เคยๆ พูดมาตลอด จนสุดท้ายเขาก็พูดขึ้น ไม่ต้องตรองอะไรอีก
“เจตน์ก็แค่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหรือเปล่า”
“อ่า... ก็คงใช่”
“ยังมีคนอีกมากที่ได้กำลังใจ หรือได้แนวคิดอะไรบางอย่างจากเพจคำคมที่คุณคิดว่ามันดูไม่มีอะไรนะครับ”
“เออ จุดนี้ก็เข้าใจ แต่เพจพวกนี้ชั้นเชิงการเล่าเรื่องมันมักจะธรรมดามาก เพลนๆ อะ บางทีภาษาก็วกวน เอะอะให้ยาวๆ ไว้ก่อนจะได้ดูสวย ทั้งที่จริงไม่ได้มีอะไรเลยด้วยซ้ำ”
“แล้วมันจะเป็นอะไรไปล่ะครับถ้ามันธรรมดา ถ้ามันไม่มีอะไร เหมือนที่ผมชอบทานก๋วยเตี๋ยวจืดๆ ก็บางคนเขาชอบทานจืดไง”
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกขึ้นมาว่าเขาสู้กลับทางความคิด เพราะปกติเขานิ่งฟังผมตลอด ผมยกเบียร์ขึ้นจิบ ก่อนจะถกเถียงต่อ
“ผมว่ามันก็แค่งานที่ย่อยมาแล้ว มันอ่านง่าย คนก็เลยอ่านกันมั้ง”
“เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าบางทีภาษาของเพจพวกนี้ก็วกวนไม่ใช่เหรอ” เขาไม่ลดละ สีหน้าดูจริงจังอย่างที่ไม่เคยเห็น และเพิ่งสังเกตว่าเบียร์หวานๆ ในแก้วของเขาไม่พร่องเลยตั้งแต่ผมเริ่มเปิดประเด็น “คุณจำที่ผมเคยพูดได้ไหม ว่าความจริงแล้วงานเขียนข่าวออนไลน์ที่คุณทำอยู่ มันก็ไม่ต่างจากเพจคำคมเท่าไหร่หรอก”
“จำได้ และจำได้ว่าปฏิเสธไปด้วยว่าไม่เหมือน”
“ผมว่าเหมือน” เขาสวนทันควัน เสียงดัง แต่ไม่ใช่ขึ้นเสียง แค่ดังกว่าเสียงเบาที่เป็นปกติ จนผมรู้ว่าเวลานี้ควรฟังเขา ไม่ควรเถียง ถึงสิ่งที่ฟังจะน่าขัดใจก็ตาม “นี่มันยุคออนไลน์แล้วนะคุณ คุณก็รู้นี่เลยเปลี่ยนจากนักข่าวภาคสนามเข้าออฟฟิศมาเป็นแอดมิน แล้วที่ผมบอกว่างานข่าวออนไลน์ กับเพจคำคมเหมือนกันน่ะ มันเหมือนเพราะมันเล่นกับความสนใจของคนเหมือนกัน ที่คุณพาดหัวข่าว คุณก็ต้องคิดมาแล้วว่าพาดแบบนี้คนจะสนใจคลิกเข้ามาอ่านมากกว่า จะได้ยอดไลค์มากกว่า จนบางครั้งต้องทำเป็นคลิกเบต แล้วมันต่างอะไรกับเพจคำคมของพวกผมที่ก็เล่นกับความสนใจของคน แต่เป็นความสนใจในแง่มู้ดโทนของอารมณ์ ให้เหมือนว่ามีเพื่อนที่คิดและรู้สึกแบบเดียวกันอยู่ มันต่างกันตรงไหนเหรอครับ”
“คุณอย่าพูดว่าข่าวที่ผมทำมันเป็นคลิกเบตนะ มันไม่เหมือนกันเลย” ผมเถียงในจุดที่รู้สึกขัดที่สุด
“โอเค ผมถอนคำพูดว่าคุณทำข่าวคลิกเบต แต่ผมถามซ้ำอีกที มันต่างกันตรงไหน เราผลิตงาน เราก็อยากได้คนสนใจนี่ครับ คุณจะบอกว่าข่าวคือการนำเสนอสิ่งที่คนควรรู้ มีคุณค่ามากกว่าเหรอ เอาจริงๆ นะ ผมว่าพวกเพจคำคมน่ะ ตั้งใจทำมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะที่ทำก็มาจากใจ มาจากสิ่งที่อยากถ่ายทอด ไม่ได้เอะอะอยากพาดหัวล่อเป้าให้คนเข้ามาอ่านแล้วได้ยอดวิวเยอะๆ ให้ได้เงินจากโฆษณาหรอก”
“คุณอย่ามาดูถูกงานผมนะ”
“แต่ตลอดมาคุณก็ดูถูกงานผมนี่ ผมไม่เคยเห็นว่าอะไรเลย”
ถึงจุดนี้ผมรู้ตัวแล้วว่าเราทะเลาะกัน และเป็นการทะเลาะกันที่รุนแรงด้วยต่อให้ไม่ได้ขึ้นเสียงหรือขึ้นมึงขึ้นกู เขาชี้ให้เห็นความร้ายกาจของตัวผมเองที่เป็นมาตลอด ซึ่งผมก็เห็นและยอมรับ แต่เขายังพูดต่อ
“ข่าวบางข่าวที่คุณทำน่ะ พาดหัวตีตราเหยื่อ หรือสร้างชื่อให้อาชญากรด้วยซ้ำ คุณชอบจริงๆ เหรอกับการทำงานแบบนั้น มันมาจากใจเหรอ แล้วคุณจะว่าผมได้เหรอ ทั้งที่สิ่งที่ผมทำ มันก็เป็นความชอบของผมจริงๆ ไม่ใช่ทำเพราะอยากเด่นอยากดังอะไรแบบที่คุณว่า”
“แน่ใจเหรอ? ชอบเขียนจริงๆ เหรอ? ไม่ใช่ว่าชอบที่มีคนมาสนใจเหรอ?”
ผมสวนกลับด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนว่าไม่พอใจ กึ่งๆ จะขึ้นเสียง เพราะเมื่อครู่เส้นอารมณ์ก็ถูกแหย่ด้วยคำว่าการทำงานของผมมันไม่ได้มาจากใจ
งานข่าวเป็นงานที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมเป็นประจำ และการพาดหัวที่เป็นปัญหา พวกเราก็พยายามหาทางออก แต่บางครั้งมันก็มีเงื่อนไขหลายอย่างที่บีบให้ต้องเลือกใช้ถ้อยคำ หรือกระบวนการทำงานแบบเก่าๆ เช่น พื้นที่ไม่พอ พื้นที่บนหน้าออนไลน์ก็ใช่ว่ามีมากล้นไปกว่าพื้นที่บนหน้าหนังสือพิมพ์ กรณีที่ตั้งชื่อตั้งฉายาคนร้าย เจตนาหลักก็เพื่อให้คนทั่วไปสนใจข่าว รับรู้ได้ง่ายว่าบุคคลในข่าวคือใคร ทำอะไร ยิ่งเป็นคนร้ายหลบหนีจะได้ระวังตัว แต่กรณีที่ตีตราเหยื่อ ต่อให้มอบเวลาคิดหาความผิดนั้นมาสักชั่วโมง ผมก็คิดได้ทันทีในวินาทีเดียวว่าไม่เคยทำ
“ไอ้การที่คุณเช็คยอดไลค์อยู่แทบจะทุกสามนาทีหลังลงโพสต์คำคมใหม่ๆ การที่คุณเลือกซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ตลอดก่อนออกไปงานพบปะนักอ่าน ไม่ว่าจะงานเล็กงานใหญ่ การที่คุณแต่งตัวก่อนออกจากบ้านเป็นชั่วโมงๆ ตอนไปงาน ไม่ใช่ว่าชอบให้คนมาสนใจเหรอ”
“ก็ผมบอกแล้วไงว่าคนผลิตงานก็ต้องชอบแบบนี้ทั้งนั้นนี่”
“แต่ผมว่าไม่ใช่แค่นั้นว่ะ ผมว่าคุณชอบให้คนมาสนใจมากๆ เพราะคุณรู้สึกว่าได้มีตัวตน สิ่งที่คุณกลัวที่สุดน่าจะเป็นการถูกเมิน อ้อ...หรือว่าตอนเด็กๆ คุณโดนแกล้งโดนบอยคอต คุณก็เลยชอบเรื่องนี้เป็นพิเศษ”
การทะเลาะกันทำให้แม้แต่ประเด็นลบเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวตนของอีกคนถูกหยิบยกขึ้นมาพูด ราวกับว่าการทะเลาะกันคือการทำร้ายอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด ใครทำได้ดีกว่า คนนั้นชนะ
“เจตน์ ถ้าเราจะเป็นกันอย่างนี้ เราเลิกกันไหม”
แต่ครั้งนี้เราเสมอ ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะทั้งนั้น
ผมจ้องหน้าเขาอยู่นานหลังจากที่เขาพูดคำนั้นออกมา รู้เลยว่าเขาโกรธผมมาก มากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ผมเองก็โกรธเขามากเช่นกัน
อีกอย่าง ความจริงเราน่าจะเข้ากันไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว
“ได้”
ผมจึงตัดสินใจตอบเขาไปแบบนั้น
ตอนเขาได้ฟังคำตอบ ดวงตาหวานเศร้าของเขาจ้องหน้าผมนิ่ง จ้องเหมือนค้นหาอะไรบางอย่างในตัวตนของผม เขาจ้องอยู่เป็นนาทีจนผมเป็นฝ่ายหลบตาไปก่อน นั่นแหละทำให้เขาลุกขึ้น หยิบเงินค่าเบียร์รสโปรดของเขาวางบนเคาน์เตอร์บาร์ แล้วเดินออกจากร้านไป ไม่กลับมาอีก
ตอนนั้นผมคิดว่าผมเองก็คงไม่ได้รักเขาจริง เรื่องแบบนี้เลยทำให้เราเลิกกันได้ ผมจึงไม่ได้ไปง้ออะไร
**
น่าตลกที่ไม่กี่สัปดาห์หลังเลิกกับเขา หนังสือพิมพ์ของสำนักผมก็ปิดตัวลงอย่างถาวร
พ่อของผมที่เคยเขียนข่าวขึ้นหน้าหนึ่งมาตลอด ก็ตัดสินใจเกษียณตัวเองไปพร้อมความตายของหนังสือพิมพ์ อย่างที่เคยคาดการณ์และตั้งใจไว้ตลอด
พ่อบอกว่าคงปรับตัวไปกับโลกออนไลน์ไม่ไหว พ่อเริ่มต้นทำงานด้วยสิ่งพิมพ์ ก็ขอเกษียณไปกับสิ่งพิมพ์อย่างสวยงาม อย่าให้ต้องพยายามปรับตัวอะไรอีกเลย
ขณะเดียวกันพ่อก็บอกว่าแนวคิดของพ่อไม่ใช่แนวคิดที่ดีนัก การไม่ปรับตัวไม่เหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไหวอยู่ แต่พ่อแก่แล้ว ขอให้ยกเว้นพ่อไว้แล้วกัน
คำพูดของพ่อทำให้ผมสะอึกในใจ ไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกอะไรบ้าง ผมรู้แค่ว่ามีก้อนบางอย่างอุดตันในลำคอทำให้ไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรพ่อไป
แต่ที่น่าตลกอีกอย่างคือ ผมรู้ตัวว่าไอ้ก้อนที่จุกคอนั้นมีความรู้สึกอะไรอัดแน่นอยู่บ้าง ก็ตอนที่พ่อชวนไปกินก๋วยเตี๋ยว เป็นอาหารมื้อแรกหลังจากเกษียณอย่างเต็มตัว เพราะพ่อผมชอบกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นมาก และพ่อมักจะปรุงรสโดยใส่น้ำพริกกะเหรี่ยงลงไป ภาพที่เห็นเป็นภาพชินตา แต่ผมกลับนึกถึงคนที่กินก๋วยเตี๋ยวแบบไม่เคยปรุงอะไรเลยขึ้นมา
พอนึกถึงเขา ผมก็รู้ว่าคำพูดของพ่อที่บอกว่าการไม่ปรับตัวไม่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ มันทำให้ผมเศร้าเพราะอะไร
เราต่างผลิตงานอยู่ในโลกออนไลน์ และเราต่างต้องการความสนใจมากกว่าที่เคยเป็นในสื่อสิ่งพิมพ์ เราทำทุกวิถีทางเพื่อปรับตัวให้เข้ากับผู้อ่าน ขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดความเป็นตัวเองลงไปด้วย
ก้อนสะอึกในลำคอมีแต่ความเศร้า และโหยหา ทั้งโหยหางานสิ่งพิมพ์ที่ค่อยๆ ตายจาก โหยหางานเขียนที่ไม่ว่าเป็นงานของใครแบบไหนก็หวังจะได้รับความรัก และโหยหาเขาขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
มื้อนั้นพ่อทักผมว่าทำไมกินก๋วยเตี๋ยวไม่ปรุง
ผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะคำตอบของเขามันดังก้องในหัวจนน่ารำคาญ
‘บางคนเขาก็ชอบกินจืดๆ’
ผมคิดถึงหยก
ภาพแรกๆ ที่ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงคือรอยยิ้มมุมปากที่ดูเป็นสไตล์ของเขา และถัดจากรอยยิ้มก็เป็นภาพตอนที่เขาร้องไห้เพราะอ่านเพจคำคม ตอนนั้นผมคิดด่าในใจว่าไอ้เพี้ยน แต่ความจริงแล้วมันน่าประทับใจพิลึก เพราะมันแปลว่าสิ่งที่เขาทำ มันเป็นสิ่งที่เป็นตัวตนของเขาจริงๆ
ตอนที่เขายืนยันว่างานเขียนในเล่มที่ไม่ผ่านการขัดเกลาคือความตั้งใจของเขา ผมก็ประทับใจเหมือนกัน
ผมคิดถึงเสียงเบาๆ ของเขา กับรอยยิ้มที่ใหญ่โตกว่าเสียงนั้น แล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่ทำให้เขาพูดเสียงดัง และรอยยิ้มหดหายในตอนที่ทะเลาะกัน
ตลอดมาผมเอาแต่ว่าตัวตนของเขา ว่างานของเขา แล้วเขาก็เอาแต่ยิ้มรับ แถมบอกว่าชอบเวลาผมด่า จนผมลืมตัวคิดว่าทำได้ เขาไม่เจ็บไม่อะไร พอมาวันหนึ่งเขาไม่ยอมและว่างานของผมบ้าง ผมกลับรับไม่ได้ในทันที
พอย้อนคิดว่ามีอะไรในตัวตนของเขาที่ผมรับไม่ได้บ้าง เห็นทีก็มีแต่ที่เขาทำเพจคำคมให้คนนิยมชมชอบ อย่างอื่นแทบไม่มีเลย เขาเป็นคนนิสัยดี ไม่โอ้อวด เรียบง่าย มองโลกแง่ดี อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ส่วนการเป็นแฟน เขาทำหน้าที่แฟนได้ดี ดีจนไม่เหมือนว่ามันเป็นหน้าที่สักนิด มีอะไรก็เปิดเผยให้ผมรับรู้ และไม่เคยปิดบังกับใครเลยว่ามีผมเป็นแฟน
ความคิดถึงทำให้ผมหยิบหนังสือรวมความเรียงสั้นๆ จากเพจคำคมของเขาขึ้นมา เปิดไปยังหน้าที่คั่นหนังสือเอาไว้ มันอยู่กลางเล่ม ซึ่งผมไม่ได้อ่านมันต่ออีกเลยตั้งแต่ตอนที่เขาเข้ามาคุยด้วย เพราะผมตีตราไปแล้วว่ามันก็งานสไตล์หว่องๆ มูๆ ไม่ต่างจากเพจคำคมทั่วไป
ทั้งที่ผมเป็นนักข่าวที่ไม่ควรตีตราใคร แต่กลับตีตราแฟนตัวเองซะเอง
ผมกรีดเปิดหน้าถัดไป แล้วบรรจงอ่านงานของเขา พออ่านไปเรื่อยๆ ผมเห็นภาพของชายที่ยืนคุยกับกำแพงเพราะผิดหวังในรัก กับชายที่กินสับปะรดกระป๋องถึง 30 กระป๋องเพื่อรอให้คนรักกลับมา
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การแต่งคอสเพลย์ทางงานเขียนอย่างที่ผมเคยคิด
ชายที่ยืนคุยกับกำแพงเพราะผิดหวังในรัก กับชายที่กินสับปะรดกระป๋องถึง 30 กระป๋องเพื่อรอให้คนรักกลับมานั่นคือสภาพของผมเองในตอนนี้
เมื่ออ่านงานนี้ด้วยดวงตาที่ไร้อคติบดบังก็พบว่างานของเขามีสไตล์ของตัวเอง ไม่ได้เลียนแบบใคร แค่มีกลิ่นอายเหงาๆ อยู่เท่านั้น ผมจึงเหมาเอาเองว่ามันคล้ายหว่องกาไว และมูราคามิไปเสียหมด ซึ่งมันน่าเสียใจและน่าเสียดายเหลือเกินที่ด่วนตัดสินไปเช่นนั้น
แต่พออ่านจบและเดินลงไปข้างล่าง บ้านที่เต็มไปด้วยหนังสือ ทั้งบนชั้นวางอย่างเป็นระเบียบ ทั้งกองพะเนินเป็นคอนโด ทั้งวางตามมุมนั้นมุมนี้ และมีกรอบรูปที่บรรจุหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อสมัย 40 ปีที่แล้วติดอยู่ที่ผนังบ้านเพราะเป็นฉบับแรกที่พ่อผมได้เขียนลงหน้าหนึ่ง ผมก็พอจะรู้ถึงสาเหตุลึกๆ ในใจของตัวเองดีว่าทำไมถึงเกลียดเพจคำคมนักหนา
ที่เคยคิดด่าเขาว่ามีแค่เปลือก ข้างในกลวง แท้จริงแล้วคำนั้นอาจย้อนกลับมาหาตัวเองก็ได้
คืนนั้นผมไปที่ร้านคราฟต์เบียร์ที่ผมกับเขาคุยกันครั้งแรกและเลิกกันที่นั่น สั่งดราฟต์เบียร์ยี่ห้อ Brothers รสแอปเปิ้ลมาดื่ม และทั้งที่ดื่มเบียร์หวานขนาดนี้ แต่ผมกลับนึกถึงตอนที่เขาเล่าถึงประวัติของเบียร์ IPA ได้เป็นฉากๆ
เบียร์ที่มีประวัติน่าเศร้าบ้าบออะไรกัน มันเศร้าเพราะคุณดันมาเล่าอะไรเอาไว้ให้ผมไม่อยากจะดื่มอีกเพราะคิดถึงคุณเกินไปนั่นแหละ
อย่างไรก็ตาม เมื่อผมดื่ม Brothers จนหมดขวด ผมเดินไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาให้มันสุดไปเลยแล้วกัน
ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นชายที่กินสับปะรด 30 กระป๋องเพื่อรอคนที่รักกลับมาจริงๆ
เพียงแต่นี่เป็นก๋วยเตี๋ยว ไม่รู้ว่าผมต้องมากินทุกวันให้ครบ 30 ชามหรือเปล่า
ไม่นาน เส้นใหญ่เย็นตาโฟก็มาเสิร์ฟบนโต๊ะ เพิ่งสังเกตตอนนั้นเองว่าบนโต๊ะไม่มีชุดพวงเครื่องปรุงวางอยู่ หันซ้ายหันขวาไปมองโต๊ะด้านข้างก็เห็นว่ามีคนกำลังใช้อยู่พอดี ผมจึงหันกลับมา กะเรียกเด็กเสิร์ฟให้จัดการให้ แต่มีคนนำชุดพวงเครื่องปรุงมาวางบนโต๊ะพอดี
“คุณต้องใส่น้ำตาลสามช้อนไม่ใช่เหรอ”
พร้อมกับพูดกับผมด้วยเสียงเบาอันเป็นเอกลักษณ์
เงยหน้าขึ้นมอง ก็พบชายหนุ่มในชุดเสื้อคอจีนที่ใส่แล้วดันไม่เหมือนอาแปะมายืนอยู่ตรงหน้า
หยก
ผมอ้ำอึ้ง พูดอะไรไม่ออก แต่เขาก็นั่งลงร่วมโต๊ะผมแล้ว แถมเด็กเสิร์ฟยังนำเส้นเล็กไม่งอกมาเสิร์ฟตรงหน้าอีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม เราต่างคนต่างไม่ได้หยิบตะเกียบคีบเส้นหรือใช้ซ้อนตักซุปขึ้นมากิน เอาจริงๆ เหมือนเรานั่งนิ่งเพื่อมองหน้ากัน เหมือนว่าตอนก่อนจะเลิกกัน เรายังมองหน้ากันไม่เสร็จมากกว่า
แล้วจังหวะที่ผมตั้งใจจะพูดว่า ‘ขอโทษ’ กับสิ่งที่พูดไปในวันนั้น หยกก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“ตอนเด็กๆ ผมเคยโดนล้อว่าหน้าผี เพราะเบ้าตาผมดูลึกกว่าคนอื่นๆ จนเพื่อนพากันไม่อยากเข้าใกล้” เขาพูด พลางยกมือขยับเลนส์แว่น เหมือนต้องการขับให้เห็นว่าดวงตาของเขาเบ้าลึกดังที่ว่า ซึ่งก็ทำเอาผมอยากพูดไปว่าผมเห็นตั้งแต่ครั้งแรก และมองว่ามันเป็นเสน่ห์ตลอดมา
“ตอนนั้นผมเหงามาก มันเป็นความทรงจำที่แย่ ผมไม่ค่อยอยากพูดถึงมัน ก็เลยไม่เคยเล่าให้คุณฟัง แต่คุณกลับรู้ซะได้ว่าผมเคยโดนแกล้งโดนบอยคอต” เล่าถึงตรงนี้ เขาก็ยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ เป็นรอยยิ้มบาง “ผมถึงชอบเวลาคุณด่าผมไง มันจี้ใจดี ผมอาจจะโรคจิตก็ได้ ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบพูดสิ่งที่เลวร้ายตรงๆ ผมชอบพูดให้มันดูเป็นเรื่องเล่าที่สวยงาม แล้วใส่แง่มุมดีๆ ของมันลงไป เพราะงั้นก็เลยกลายเป็นเพจคำคมนั่นแหละ แต่...แย่นิดหน่อยที่คุณไม่เคยชอบเพจคำคมของผมเลย”
ทั้งที่สิ่งที่ผมเป็นดูเลวร้ายสำหรับเขา แต่เสียงเบาๆ ของเขากลับเล่ามันออกมาด้วยน้ำเสียงแบบคนมองโลกในแง่ดีอีกแล้ว
เล่นเอาใจผมปวดแปลบไปหมด
“มีเรื่องหนึ่งที่คุณไม่รู้” ผมตัดสินใจเกริ่นขึ้น ไม่อยากให้เขาจมอยู่กับสิ่งที่ผมเคยกระทำไว้ “ผมเคยคิดด้วยนะ...ว่าคุณ ‘มีแต่เปลือก ข้างในกลวง’ แต่สุดท้ายผมก็พบว่าผมนี่แหละที่ข้างในกลวง”
เขานิ่งเงียบ ฟังผม ดวงตาหวานเศร้าจ้องผ่านเลนส์แว่น และคราวนี้ผมไม่หลบตาเขาอีก
“ที่ผมเกลียดพวกเพจคำคม เพราะผมก็แค่กลัว ซึ่งที่จริงมันเป็นความกลัวที่ไร้สาระมาก ผมกลัวว่าวันหนึ่ง ในอนาคตอันใกล้ บนชั้นวางของร้านหนังสือ จะมีแต่หนังสือแนวนี้เต็มไปหมด ไม่มีหนังสือดีๆ บนชั้นวางอีกเหมือนกับที่สื่อสิ่งพิมพ์ค่อยๆ ตายจากไป ซึ่งนั่นแหละ...หนังสือที่ผมคิดว่าดีก็คือดีตามนิยามของผมเอง ไม่เคยสนเลยว่าหนังสือแนวแบบที่คุณเขียนมันมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง ไม่เคยเปิดใจยอมรับเลย คงคล้ายกับเรื่องของนักดนตรีร็อคที่มักจะเกลียดขี้หน้านักดนตรีป๊อบล่ะมั้ง ทั้งที่นักดนตรีป๊อบส่วนใหญ่เปิดใจฟังดนตรีได้ทุกแนว ดนตรีจึงพัฒนาไปได้ไกลกว่า ขณะที่นักดนตรีร็อคก็ย่ำอยู่ที่เดิม สุดท้ายผมจึงพบว่าความรักในหนังสือของผมมันเหมือนเป็นแค่เปลือกเลย”
ผมเล่าออกไปยืดยาว ซึ่งเขาก็ตั้งใจฟัง ฟังจนก๋วยเตี๋ยวน่าจะเส้นเริ่มอืด แต่หลังจากผมเล่าจบ เขาก็ยังนิ่ง ครุ่นคิดอีกชั่วครู่ ก่อนเอ่ยออกมา
“เพราะคุณรัก คุณก็เลยกลัวล่ะมั้งครับ คุณไม่ได้กลวงหรอก”
แม้แต่ตอนนี้ เขายังมองโลกในแง่ดี ทำเอาผมอยากร้องไห้
ผมรู้สึกว่ามันเป็นคำที่ผมอยากได้ยิน
“แต่ตอนนี้ ผมเลิกกลัว แล้วเปิดใจแทนแล้วนะ” ผมจึงพูดคำที่หวังว่าเขาจะอยากได้ยินเหมือนกัน “ผมอ่านหนังสือของคุณจบแล้ว ผมชอบมากกว่าที่คิด”
เอ่ยจบ หยกนิ่งเงียบ ไม่ได้พูดอะไร เหมือนเขาครุ่นคิดบางอย่าง เหมือนหาคำตอบ อาจจะสงสัยว่าที่ผมพูดว่าชอบงานของเขานั้นเป็นความจริง หรือแค่ชดเชยความเลวร้ายที่ทำไว้ แต่สุดท้าย เขาก็พูดออกมา
“ตอนแรกผมกลัวแทบแย่ว่าคุณจะไม่คุยกับผมอีก” หยกเอ่ยบอก “ผมไม่กล้าติดต่อคุณ สุดท้ายเลยทำได้แค่มาร้านที่เราเคยมา พอได้เห็นว่าคุณดื่มเบียร์ที่ผมชอบ ทั้งที่คุณเคยบอกว่ามันหวาน ผมก็เลยคิดว่าต้องมาคุยกับคุณแล้ว”
“เลยโผล่มาพร้อมชุดเครื่องปรุงน่ะเหรอ”
“ก็ใช่... ผมลังเลอยู่ ตอนแรกว่าจะเดินไปนั่งข้างๆ แล้วสั่ง IPA แต่คุณก็ออกจากร้านมาแล้วก้าวฉับๆ ข้ามถนนมาสั่งก๋วยเตี๋ยวอย่างเร็ว เหมือนหิวอะ”
พอได้ฟังสิ่งที่เขาเล่าด้วยเสียงเบาที่ใส่อารมณ์เล็กๆ ตรงท้ายประโยค ทำให้ดูเหมือนบ่นงึมงำตามนิสัยของเขา ประกอบกับสิ่งที่เขาเล่ามันดูผิดที่ผิดทาง หมดความโรแมนติก ผมจึงหัวเราะ ก่อนที่เขาจะยกยิ้มแล้วบ่นๆ ว่า ‘หัวเราะอะไรกันคุณ’ ซึ่งมันก็ทำให้ความตึงเครียดและเกร็งก่อนหน้านี้อันตรธานหาย
“จะว่าไป คุณก็ไม่ต้องกลัวแล้วนะว่าจะไม่มีหนังสือดีๆ อ่าน” หยกพูดขึ้น
“ทำไมล่ะ”
“ต่อไปนี้ผมจะเขียนหนังสือดีๆ ให้คุณอ่านเองครับ”
ได้ฟัง ผมรู้สึกว่าใจตัวเองพองโตราวกับเส้นก๋วยเตี๋ยวในชามที่กำลังอืด ฟังดูเป็นการเปรียบเปรยที่น่าขำ แต่ก็นั่นแหละ ผมดีใจ แต่ก็ขำเขินกับความมั่นใจของเขา ส่งเสียง ‘โห’ เป็นเชิงแซว จนเขาเขิน แกล้งตักพริกพูนๆ ขึ้นมาทำเป็นจะเทใส่ชามก๋วยเตี๋ยวของผม จนผมต้องบอกว่าไม่แกล้งแล้วๆ และก็บอกว่าผมอยากอ่านงานของเขาจริงๆ
ซึ่งสิ่งที่พูดไปทั้งหมด เป็นความสัตย์จริง
จะงานจากเพจคำคมหรืออะไรก็ตาม ถ้าเป็นงานของเขา ผมก็อยากอ่านทั้งหมด
โดยไม่มีอคติใดๆ มาบดบังอีกแล้ว
**********************************************
สวัสดีค่ะ ถ้าชอบติชมได้นะคะ
ถ้าไม่สะดวกคอมเม้น ติดแฮชแท็ก #ผมเลิกกับเขาเพราะเกลียดเพจคำคม ในทวิตเตอร์ได้นะคะ
ขอบคุณค่ะ