รถมาจอดลงหน้าโรงแรมระดับห้าดาวในย่านเศรษฐกิจใจกลางเมือง ปรเมษฐ์เดินนำเขาไปขึ้นลิฟต์และพามาที่ห้องอาหารซึ่งจัดเป็นชั้นลอยกลางแจ้งยื่นออกไปนอกตัวอาคารมองเห็นวิวแบบ 360 องศา มีเส้นแสงสีทองเป็นริ้วงดงามอันเกิดจากไฟบนถนนอยู่ด้านล่าง ตัดกับท้องฟ้าสีหมึกแม้จะมองไม่เห็นดวงดาวเพราะไม่อาจสู้แสงไฟนีออนในเมืองใหญ่ แต่ก็ยังมีพระจันทร์ดวงโตทอดตัวอ้อยอิ่งส่งยิ้มมาให้จากอีกฟากหนึ่ง
นภธรณ์กวาดตามองไปรอบๆ ที่มีแต่คู่รักมานั่งกินข้าวด้วยกัน แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกอยู่สักหน่อย แต่พอออเดิร์ฟถูกยกมาวางลงตรงหน้าเขาก็ลืมเรื่องหยุมหยิมพวกนั้นไปและลงมือจัดการกับเครปปลาแซลมอนรมควัน
“อร่อยไหม” ปรเมษฐ์ถามหลังมื้ออาหารผ่านไปกว่าครึ่ง
เด็กหนุ่มที่กำลังแทะสเต็กเนื้อแกะพริกไทยดำเคี้ยวแก้มตุ่ยพยักหน้ารับรวดเร็ว “เนื้อเหนียวไปหน่อย สงสัยแกะจะแก่แต่ก็ยังเคี้ยวไหวครับ” พูดจบก็ยักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง
ปรเมษฐ์คลี่ยิ้มกว้าง “ดีแล้ว กินเยอะๆ นะ” บอกพลางเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปเช็ดมุมปากที่เลอะซอส
นภธรณ์เหลือบตามองปลายนิ้วโป้งที่ไล้ข้างแก้มไปถึงริมฝีปากมันขยับอย่างเชื่องช้าสวนทางกับหัวใจของเขาที่กำลังเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขายังคงมองจนกระทั่งปรเมษฐ์ดึงมือกลับไปเลียคราบซอสด้วยความเคยชิน เด็กหนุ่มรู้สึกลำคอแห้งผากวันนี้ป๊ามาแปลกจริงๆ ด้วย เขากลืนเนื้อแกะลงคอพร้อมกับยืดตัวขึ้นนั่งตรง “ป๊ามีข่าวร้ายอะไรจะบอกผมหรือเปล่า”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”
“ก็ป๊าทำเหมือนในหนังเลยอะ” นภธรณ์ว่า “พามากินร้านหรู สั่งอาหารอร่อยๆ ให้ แล้วก็จบด้วยการบอกข่าวร้ายอะไรงี้ หรือไม่ก็ตัวเอกจะถูกฆ่าน่ะ”
“หมู่นี้ดูหนังสยองขวัญมากไปสินะ” ปรเมษฐ์หัวเราะในลำคอ “ไม่คิดว่าจะเป็นหนังรักบ้างเหรอแบบที่ตอนจบสารภาพรักแล้วก็อยู่กันอย่างมีความสุขน่ะ”
นภธรณ์ส่ายหน้า “ป๊าอย่ามาอำผมเล่น มีอะไรก็ว่ามาเลยดีกว่า”
“รอกินของหวานก่อนไหม”
“ไหนบอกว่าไม่มีไง” นภธรณ์เริ่มโวยวาย “มีอะไรก็บอกมาเลย ป๊าจะไปดูงานต่างประเทศต้องทิ้งผมไว้เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง หรือป๊าจะมีแฟนใหม่... รีบๆ บอกมาเถอะ ผมทำใจแล้ว”
“ฉันไม่ได้จะทิ้งแกไปไหนแล้วก็ไม่ได้มีแฟนใหม่ด้วย” ปรเมษฐ์พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น “แต่เป็นเรื่องแฟนคนเก่าน่ะแหละ”
“เรื่องแม่เหรอ”
ปรเมษฐ์พยักหน้า
“แม่จะกลับมาเหรอ?”
ปรเมษฐ์ส่ายหน้า “แล้วแกอยากเจอแม่ไหม”
“ถามตรงๆ ก็บอกตรงๆ นะป๊า คือเรื่องมันผ่านมานานแล้ว ผมไม่ค่อยสนใจคนที่ทิ้งผมไป...”
“ไม่ได้ทิ้ง” ปรเมษฐ์ตัดบท “แม่ไม่ได้ทิ้งแกไป”
นภธรณ์พยักหน้า “แม่แค่ไปตามความฝัน ผมเข้าใจ...”
“ฉันไม่ได้เล่นคำเพื่อให้แกรู้สึกดีนอฟ แต่ความจริงคือแม่ไม่ได้ทิ้งแกไป” ปรเมษฐ์บอกชัดถ้อยชัดคำ
“แล้วทำไมแม่ไม่กลับมาล่ะ”
“เพราะฉันขอไว้”
นภธรณ์เงียบไปอึดใจเพื่อทำความเข้าใจกับคำพูดนั้น “ป๊าหมายความว่าไง”
“ในตอนนั้น แม่แกแค่ลังเลว่าจะทำยังไงต่อไปดี” ปรเมษฐ์เริ่มต้นเล่า “เขายังคิดไม่ออก มืดแปดด้าน ฉันก็เลยยื่นข้อเสนอที่จะช่วยจบเรื่องทั้งหมดให้ ฉันขอร้องเขาให้ทำให้เราเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ และแกจะเป็นลูกฉันตลอดไป”
“ป๊ารักแม่มากเลยสินะถึงได้ยอมทำถึงขนาดนั้น... ยอมเลี้ยงเด็กที่ไม่ใช่ลูกของตัวเอง”
“ความจริงอีกข้อคือฉันกับแม่แกไม่ได้เป็นอะไรกัน” ปรเมษฐ์พูดต่อ “ฉันรักเขาข้างเดียวและก็โดนหักอกไปนานแล้ว... จนกระทั่งได้เจอกันอีกครั้งตอนที่เขาอุ้มท้องแกเข้ามาในห้องคลอดวันนั้นน่ะแหละ และฉันนี่แหละคือคนที่ทำคลอดแกเองกับมือ... ตอนนั้นฉันเองก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงปล่อยมือผู้หญิงที่เคยรักมากมายได้ง่ายดาย แต่กลับตัดใจวางเด็กชายแปลกหน้าที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่ลงสักที และจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังปล่อยมือจากแกไม่ได้”
“แล้วจู่ๆ ป๊ามาเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังทำไม” นภธรณ์ถามด้วยความไม่เข้าใจ
“เพราะมันถึงเวลาแล้วน่ะสิ” ปรเมษฐ์บอก “ฉันตั้งใจจะบอกแกทุกอย่างในวันที่แกอายุครบสิบแปดปี รวมถึงเรื่องที่แกไม่ใช่ลูกฉันด้วย แต่มันก็ผิดแผนไปหน่อยแกเลยได้รู้ก่อน ตัวแกเองก็รับมือกับเรื่องนี้ได้ดีมากอย่างที่ฉันเองก็คาดไม่ถึง วันนี้ฉันก็เลยไม่ค่อยลำบากใจที่จะพูดเท่าไหร่”
“ขอบคุณที่บอกนะครับ” นภธรณ์รับคำแต่ยังคงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
“โกรธฉันหรือเปล่า” ปรเมษฐ์ถาม
“เรื่องอะไรครับ”
“เรื่องที่ไม่ยอมให้แม่มาเจอแก”
“ไม่โกรธครับ แค่แปลกใจ”
“สุรชัยเป็นคนฉลาดน่ะ” ปรเมษฐ์บอก “ปู่ของแกก็ดูเหมือนจะไม่เชื่อฉันแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าเขายังมาเจอแกฉันกลัวว่าสักวันความจะแตก ก็เลยตกลงกันว่าจะไม่มาเลยจะดีกว่าเพื่อเป็นการตัดปัญหา... นี่ แกโอเคแน่นะ ทำไมจู่ๆ ก็เงียบไป”
“อ๋อ ไม่มีอะไรครับคือผมแค่โล่งอกน่ะ” นภธรณ์บอก “บอกแล้วไงว่าผมทำใจไว้ถึงขั้นป๊าจะหนีผมไปหรือป๊าจะมีแฟนใหม่ เพราะงั้นเรื่องแค่นี้สบายมาก แค่กำลังทำความเข้าใจเรื่องราวอยู่น่ะ”
“สิบแปดปีนี่เหมือนจะนานแต่ก็ผ่านไปเร็วเหมือนกันนะ” ปรเมษฐ์บอก “ขอโทษนะที่สิบแปดปีที่ผ่านมาฉันอาจทำตัวเป็นพ่อที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วก็ขอบคุณมากที่ถึงฉันจะเป็นแบบนั้นแกก็ยังอยู่กับฉันมาจนถึงวันนี้”
“ป๊าพูดอะไรแบบนั้นเล่า ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณป๊าที่เลือกจะเอาผมมาอยู่ด้วย ขอบคุณนะครับ”
“ไม่อยากได้คำขอบคุณน่ะ”
“อ้าว แล้วป๊าอยากได้อะไร”
ปรเมษฐ์ไม่ตอบแต่เอียงแก้มให้
แก้มขาวซับสีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย นภธรณ์เหลียวมองไปรอบๆ ร้านที่มีคนนั่งอยู่เต็ม “ไม่เอาน่าป๊า มาทำอะไรที่นี่ อายคนอื่นเขาไหม”
“อะไรกันเมื่อก่อนตอนเป็นเด็กนึกจะกอดจะจูบฉันเมื่อไหร่ก็ทำ ทีตอนนี้ฉันขอแค่หอมแก้มนี่ไม่ได้ ใช่สิ! แกโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่ อะไรก็ไม่เหมือนเดิมสินะ”
“นี่ป๊าเมาหรือเปล่าเนี่ย”
“เมาอะไรยังไม่ได้กินเหล้าสักหยด” ปรเมษฐ์พูดแกมบ่น “นี่ล่ะนะ ที่เขาว่าพอเด็กโตขึ้นอะไรๆ ก็เปลี่ยนไป ใช่สิ! ป๊าคนนี้มันแก่แล้วนี่ ไม่ได้เป็นหนุ่มหล่อๆ แบบเมื่อก่อน”
“ก็ได้ๆ ผมยอมแล้ว” นภธรณ์ร้องเสียงดัง วันนี้ป๊ามาแปลกจริงๆ นึกจะเท่ก็เท่ แล้วจู่ๆ ก็เล่นมาอ้อนกันแบบนี้ หัวใจเขาก็ยิ่งบอบบางอยู่ด้วย “หันมาสิครับ”
“ไม่อยากได้แล้ว”
“อ้าว” นภธรณ์ร้อง ตามใจคนอายุมากกว่าไม่ทันจริงๆ
“ทำอะไรประเจิดประเจ้อเดี๋ยวก็โดนเอาลงข่าวหน้าหนึ่งอีก” พูดจบปรเมษฐ์ก็เริ่มตั้งต้นกินอาหารในจานต่อ
OOOOOO
กว่าจะกลับถึงบ้านก็ห้าทุ่มกว่า นภธรณ์ที่ซัดเค้กสตรอว์เบอร์รี่ขนาดครึ่งปอนด์ไปคนเดียวอิ่มพุงกาง เขาเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตลอดจนถึงห้อง
“นอฟ” ปรเมษฐ์เรียก
“มีอะไรครับ”
“ฉันเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ให้ของขวัญแกเลย แกมีอะไรอยากได้เป็นพิเศษไหม”
“แค่ป๊าพาไปกินข้าวผมก็ดีใจแล้วครับ” นภธรณ์บอกพลางยกมือขึ้นลูบท้อง ให้กินมากกว่านี้ผมก็ไม่ไหวแล้วนะ
“แต่ยังไม่มีของขวัญนะ” ปรเมษฐ์ว่า “อยากได้อะไรบอกมาสิ นี่ยังไม่พ้นวันเกิดแก ขออะไรตอนนี้ได้ทุกอย่างเลยนะ”
“ไม่เอาหรอก”
“ไม่มีของที่อยากได้เลยเหรอ” ปรเมษฐ์ถาม “ขนม เสื้อผ้า รองเท้า รถ เงินต้องมีสักอย่างสิ”
นภธรณ์ส่ายหน้า “ไม่อยากได้อะไรครับ”
“อะไรกัน”
“จริงๆ ก็มีอยู่อันนึงแต่คิดว่าไม่ขอดีกว่า”
“ไหนลองบอกมาสิว่าอะไร”
“ไม่เอาดีกว่าครับ” นภธรณ์เปลี่ยนใจ
“ลองบอกมาก่อนน่า”
เด็กหนุ่มเม้มปากสนิท… ถ้าหากพรวันเกิดขออะไรก็ได้จริง เขาอยากจะได้สิ่งที่รอคอยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว “คือ... ผมอยากได้คำตอบ”
“เรื่องอะไร” ปรเมษฐ์ถาม
“ก็ที่ผมถามป๊าไปตอนนั้นไง... เอ่อ... ผมบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ช่างมันเถอะป๊า ลืมๆ มันไปซะ แล้วไปนอนกันเถอะ”
ปรเมษฐ์ไม่ตอบในทันที เขาถอดเสื้อสูทออกแขวน ปลดกระดุมข้อมือและกระดุมอกเสื้อเชิ้ตออกสองเม็ดให้หายใจสะดวกก่อนจะเดินไปหา “ตอนนั้นน่ะตอนไหน เรื่องมันตั้งนานมาแล้วฉันจำไม่ได้หรอก”
“ก็ตอนงานวันเกิดปู่... หลังจากที่รู้ว่าผมไม่ใช่ลูกป๊า เราออกจากห้องมาแล้วผมก็บอกป๊าไปไง…”
ปรเมษฐ์กรอกตาไปมา “นึกไม่ออกน่ะ ตอนนั้นแกพูดว่าอะไร ไหนลองพูดให้ฟังอีกครั้งสิ”
“จะพูดได้ไง ก็ผมเพิ่งบอกป๊าว่าให้ลืมมันไปให้หมด”
“แกพูดตั้งมากมายขนาดนั้นแล้วจะบอกให้ฉันลืม แบบนี้มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ”
“ผมขอโทษ” เด็กหนุ่มพูดเสียงอ่อยพร้อมกับก้มหน้ามองพื้นเพื่อซ่อนความเจ็บปวดที่ต้องแสดงออกทางสายตาแน่ๆ เคยให้สัญญาไว้แล้วแท้ๆ ว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิม แต่สุดท้ายเขาก็ผิดคำพูด ขุดเรื่องเก่าขึ้นมาให้นึกถึงจนได้ เขาได้ยินเสียงปรเมษฐ์ถอนหายใจก่อนจะพูดเสียงเบา
“แกนี่มันเหมือนแม่แกจริงๆ”
“ร... เรื่องอะไรครับ” นภธรณ์ถาม
“ก็มาหลอกให้ฉันรัก แล้วสุดท้ายก็เลือกที่จะทิ้งฉันไป”
ถึงตอนนี้นภธรณ์ยังคงก้มหน้ามองพื้น เขายืนโงนเงนอยู่บนเท้าของตัวเอง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งฟังเสียงของป๊าที่พูดตัดพ้อกับเสียงฝีเท้าที่ขยับเข้ามาใกล้มากทุกที จนกระทั่งเห็นปลายเท้าของป๊ามาอยู่ในระยะสายตา
“แบบไม่ใยดีกันเสียด้วย”
เสียงนั้นดังฟังชัด หากก็ให้ความรู้สึกเบาหวิวราวกับคนพูดจะขาดใจ เด็กหนุ่มกำคลายมือสลับกันไปมา ริมฝีปากขยับแล้วขยับอีกอย่างไม่มีเสียง... ต้องพูด... เขาต้องพูด... ต้องอธิบายอะไรสักอย่างให้ป๊าเข้าใจ
“ผม... ไม่ได้ทิ้งป๊านะ”
“ก็เพิ่งจะพูดเองไม่ใช่เหรอว่าให้ลืมมันไป งั้นฉันจะลืมจริงๆ แล้วนะ”
“ก็ป๊า...” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจะพูดต่อ แต่แล้วคำพูดก็ถูกหยุดไว้แค่ริมฝีปากเพราะเขาเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ปรเมษฐ์เข้ามายืนใกล้มากแค่ไหน นัยน์ตาคมของอีกฝ่ายจ้องมาราวกับจะมองให้ทะลุ ใกล้จนเขาได้กลิ่นลมหายใจกับเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมออยู่หลังแผงอกกว้างนั่น อยากจะถอยหนีแต่หลังก็ติดประตูเสียแล้ว
ปรเมษฐ์เท้าแขนข้างหนึ่งลงข้างศีรษะ เพื่อก้มหน้าลงไปพูดใกล้ๆ ได้อย่างถนัดถนี่ “จะถามอีกครั้งนะ อยากให้ฉันลืมจริงๆ เหรอ”
“ผม...” แล้วเด็กหนุ่มก็เอะใจอะไรบางอย่าง ที่คล้ายๆ จะเข้าข้างตัวเอง... และป๊าจะเพิ่งจะยืนยันออกมาด้วยตัวเองว่าป๊าไม่ได้เพิ่งรู้ว่าเขาไม่ใช่ลูก แต่ป๊ารู้มานานแล้ว รู้มาตั้งแต่แรก... แล้วที่ป๊าบอกว่าเขาเหมือนแม่นั่นไม่ได้หมายถึงหน้าตาเหมือนทุกครั้งแต่เป็น... “เมื่อกี้ป๊าหมายความว่าไงครับ ที่ว่าผมมาหลอกให้รักแล้วทิ้งไปน่ะ”
ริมฝีปากหยักลึกค่อยระบายยิ้มขึ้นช้าๆ “เวลาพูดอะไรไม่เคยฟัง บอกว่าจะไม่ทิ้งกันก็ไม่สน สัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปก็ไม่เคยจำ แกก็เป็นซะแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนะเด็กโง่”
“ฟังแล้ว!” นภธรณ์พูดเสียงดัง “ผมจะฟัง… จะฟังทุกอย่างเลย ป๊าจะพูดอะไรครับ”
ในที่สุดยิ้มกว้างก็ลากเต็มริมฝีปาก แต่ปรเมษฐ์กลับลดมือลงพร้อมกับยืดตัวขึ้น “ไม่พูดแล้ว”
เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปคว้าแขนอีกฝ่ายไว้แน่น “พูดเถอะนะครับ”
ตาคมเหลือบลงมองคนที่เกาะแขนมองตาแป๋ว “ไม่ต้องมาอ้อนซะให้ยาก”
“ป๊า~” นภธรณ์รบเร้า “พูดหน่อยน้า~”
“ดูปากนะ… ไม่-พูด” พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปหาแล้วเม้มปากปิดสนิท
เด็กหนุ่มย่นปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ ถ้าป๊าจะปากแข็งขนาดนั้นละก็…
เขายื่นสองสองมือออกไปข้างหน้า คว้าคอเสื้อของปรเมษฐ์ให้โน้มลงมาใกล้ แต่ริมฝีปากแตะยังไม่ทันจะลิ้มรสหวานคนอายุมากกว่าก็ใช้ฟันงับริมฝีปากของเขาอย่างแรงจนต้องล่าถอยออกมากุมปากตัวเองแน่น
“โอ๊ย~ ทำอะไรน่ะ ผมเจ็บนะป๊า!” นภธรณ์บ่นอุบพลางใช้ปลายนิ้วถูปากให้ที่แดงเป็นปื้น ในขณะที่ปรเมษฐ์เพียงแค่ยืนกอดอกเอาไหล่ชนกำแพงมองดูเขาเฉยๆ “แล้วตกลงป๊าจะพูดได้หรือยัง”
“พูดว่าอะไรล่ะ” ปรเมษฐ์ถามเสียงเรียบ
ความเขินยังคงเกินสิบแต่ที่เพิ่มมาคือความอยากรู้เกินร้อยที่ต้องเปลี่ยนไปใช้คำว่าหน้าด้านแล้ว นภธรณ์สูดลมหายใจเข้าเรียกความกล้าให้กลับมาและถามออกไปด้วยเสียงดังฟังชัด “ก็ที่ผมบอกรักไป ตกลงป๊าคิดยังไงกับผมละครับ”
คนโดนถามพ่นลมออกจมูก อยากจะขึ้นต้นประโยคว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ความรู้สึกเอ็นดูนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความรัก… เพราะความจริงแล้วมันชัดเจนมาตั้งแต่ตอนนั้น ในวันที่คิดว่าไม่เหลือใคร แต่กลับมีมือเล็กๆ จับมือเขาเอาไว้ เสียงเล็กๆ ที่พร่ำเรียกแต่ชื่อของเขาพูดซ้ำๆ ว่าจะอยู่กับเขา ตอนที่หันหลังกลับไปแล้วกอดร่างเล็กๆ ไว้ในอ้อมแขน ความรู้สึกในวินาทีมันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยนอกจาก ‘รัก’
นับตั้งแต่นั้นมาเขาก็อยากจะครอบครองเด็กคนนี้ไว้กับตัว มันเป็นคำโกหกทั้งเพกับเรื่องจูบตามธรรมเนียมของบ้าน แต่ก็ไม่ทั้งหมดหรอกเพราะปกติก็มีหอมแก้มกันบ้าง นัยน์ตาหวานคู่นั้นจะต้องมองตรงมาที่เขาเท่านั้น รอยยิ้มเอียงอายเกิดขึ้นได้เฉพาะเวลาที่เขาเย้าแหย่… เขาไม่ใช่พ่อที่ดี ไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด…
นั่นเพราะคนใจบาปอย่างเขาไม่ได้ต้องการเป็นแค่พ่อมาตั้งนานแล้ว...
ปรเมษฐ์มองตาคนที่จ้องมองเขาอย่างดื้อรั้น ริมฝีปากยกมุมขึ้นเล็กน้อย “คิดว่าเป็นเด็กดื้อที่ปล่อยให้ละสายตาไม่ได้” เขาบอก
“และจะเป็นคนเดียวที่ยอมให้อยู่ด้วยกันตลอดไป”
“ตกลงมันแปลว่าอะไรครับ” นภธรณ์ยังไม่ยอมแพ้
“เรื่องแค่นี้แปลเองไม่ได้เหรอเด็กโง่”
“ครับ” คนหัวทึบยอมรับ “พูดให้ฟังหน่อยสิครับ ผมอยากฟัง”
ในที่สุดคนฟังก็ทนลูกอ้อนไม่ไหว ปรเมษฐ์ยอมแพ้ราบคาบและก้มหน้าลงกระซิบที่ข้างหู “ไปนอนกันเถอะ ฉันง่วงแล้ว” ก่อนจะหัวเราะเสียงดังกับความผิดหวังที่ฉายชัดขึ้นบนใบหน้าเด็กหนุ่ม เขาทำเป็นไม่สนใจและหันหลังเดินไปทางห้องน้ำ
“ป๊า!” นภธรณ์ส่งเสียงเรียก “อย่ามาหนี มาเปลี่ยนเรื่องกันแบบนี้นะ ผมไม่ยอมจริงๆ ด้วย”
“ก็เรื่องของแก แต่ฉันจะนอนแล้ว”
“ป๊า~”
“อะไรอีก”
“ผมไม่ถามแล้วก็ได้ แต่บอกผมหน่อยว่านี่คือความรู้สึกของป๊า หรือเป็นแค่ของขวัญวันเกิด แล้วพรุ่งนี้ผมต้องทำทุกอย่างให้เหมือนเดิมใช่ไหม”
ปรเมษฐ์หยุดยืนก่อนจะหันหลังกลับและเดินเข้ามาหา “เป็นของขวัญวันเกิด” เขาตอบเสียงนุ่ม
“เหรอครับ” นภธรณ์รับคำเสียงอ่อยพลางหลุบตาลงมองพื้น เมื่อความผิดหวังค่อยๆ คืบคลานมาเกาะกุมหัวใจ
“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านี่ไม่ใช่ความรู้สึกของฉัน และพรุ่งนี้ระหว่างเราก็ยังคงเหมือนเดิม” ปรเมษฐ์พูดต่อ
เพราะยังไม่กล้าสบตาตรงๆ เด็กหนุ่มจึงหันหน้าหนีไปอีกทาง พลันมือใหญ่ก็ค่อยสอดแทรกเข้ามาประคองที่ข้างแก้มดึงให้หันกลับไป ไม่ใช่เพื่อสบสายตา แต่เพื่อหยิบยื่นของขวัญที่เจ้าของวันเกิดทวงถาม
ริมฝีปากหนักลึกแตะลงเบาๆ คล้ายเตือนให้หลับตาลงก่อนจะกดย้ำด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มันคือจูบแบบที่เขาเคยสัมผัสเพียงแค่ครั้งเดียวจากคนๆ เดียวกันเมื่อหลายเดือนก่อน
จูบ… ที่วันนั้นเขาไม่เข้าใจความหมายของมัน
แต่ในที่สุดวันนี้เขาเข้าใจแล้ว
เข้าใจ… โดยไม่ต้องมีคำพูดอะไร
ปรเมษฐ์ถอนริมฝีปากออกเล็กน้อย หากลมหายใจยังคลอเคลียประสานเป็นเนื้อเดียวกัน “หรือแกอยากให้ฉันเปลี่ยนไปล่ะ”
“ไม่ครับ” นภธรณ์ตอบ สบสายตาคนตรงหน้านิ่ง “ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”
ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆ เพราะตอนนี้เสียงที่ดังอยู่ข้างในหัวใจช่วยบอกความรู้สึกทั้งหมดที่ต่างก็ซ่อนเก็บไว้ตลอดหลายปีออกมาจนหมดแล้ว
The End
*******************************************************************************************
Talkจบจริงๆ แล้วค่ะหลังจากซ้อมจบไปเมื่อบทที่แล้ว(โดนคนอ่านตบ)
ทีแรกตั้งใจจะแบ่งเป็นสองพาร์ทคือตอนจีบกะตอนสมหวัง ประมาณว่าสองภาคไรงี้ แต่คิดไคิดมาไม่เอาดีกว่ามันไม่ใช่เลกกี้แดนสไตล์ ดังนั้นจบเลยละกัน แล้วตอนพิเศษเราจะโปรยน้ำตาลมาล่อมดให้
ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนต์และการติดตามค่ะ
เร็วๆ นี้จะเปิดเรื่องใหม่ค่ะ ยังไม่บอกชื่อเรื่อง(เพราะยังไม่ได้เคาะชื่อแบบไฟนอล) เอาเป็นว่าเป็นเรื่องของหมอนิติเวชค่ะ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
รัก
leGGyDan