#Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]  (อ่าน 77836 ครั้ง)

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
«ตอบ #210 เมื่อ17-01-2018 22:30:07 »

คุณปู่น่ารักมากค่ะ เลิฟๆ

ออฟไลน์ vy0Cik

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 206
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
«ตอบ #211 เมื่อ24-01-2018 20:41:52 »

 คิดถึงน้องนอฟกับพ่อโป้จังเล้ยยยยย
ปล.แอบรอเธออยู่นะจ้ะ แต่เธอไม่รู้บ้างเลย อิอิ//ขำๆสเก็ดด้าวววววว

ออฟไลน์ TheGraosiao

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
«ตอบ #212 เมื่อ02-02-2018 08:45:57 »

 :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
«ตอบ #213 เมื่อ22-02-2018 23:21:39 »

Chapter 16

“ป๊ามีอะไรจะคุยกับผม” นภธรณ์เปิดประเด็นหลังจากที่รถเคลื่อนตัวออกมาจากบ้านคุณปู่ได้สักพัก ไม่ได้คาดหวังกับคำตอบ แต่ก็ตื่นเต้นและรอคอยที่จะได้รู้ความรู้สึกของคนเป็นพ่อ

คำว่าบาปที่ต่อสู้อยู่ภายในหัวใจมาตลอดตอนนี้เขาข้ามผ่านมาได้แล้ว ปรเมษฐ์ไม่ใช่พ่อของเขา อย่างน้อยก็คนละสายเลือด คำว่า ‘รัก’ ที่สารภาพออกไปนั่นคือการเสี่ยงที่ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว ไม่ได้คาดหวังจะได้รับรักตอบ ขอแค่อีกฝ่ายรับรู้และหันมามองเขาใหม่ มองเขาในฐานะของผู้ชายคนหนึ่งไม่ใช่ลูกชายอีกต่อไป
   
“อะไรที่ว่าคืออะไร” ปรเมษฐ์ถามกลับ สายตายังคงจับจ้องอยู่บนถนนที่รถราเริ่มบางตาในเวลาใกล้เที่ยงคืน
   
“ก็ที่ป๊าบอกกับปู่เมื้อกี้นี้ไงครับ” นภธรณ์ทวนความทรงจำ “ที่ว่าเราต้องเคลียร์กัน”
   
“ใช่” ปรเมษฐ์รับคำ
   
เด็กหนุ่มหันไปทั้งตัวเพื่อตั้งใจฟัง แต่คำตอบที่เขาได้รับนั้นทำให้เจ็บที่หัวใจยิ่งกว่าถูกปฏิเสธเสียอีก

“พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า ฉันไม่อยากให้แกนอนดึก” คนเป็นพ่อพูดเรียบๆ เหมือนอย่างที่พูดทุกๆ วัน

“ไม่ใช่เรื่องนั้นสิครับ”

“ใช่สิ” ปรเมษฐ์ย้ำ
   
“แล้วที่ผมบอกป๊าไปล่ะ” นภธรณ์ถาม “ที่ผมบอกรักป๊าไป ป๊าเข้าใจหรือเปล่า”
   
“เข้าใจ”
   
“แล้วป๊าจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้น่ะเหรอ” เสียงของนภธรณ์เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างควบคุมไม่ได้
   
“แล้วแกต้องการอะไร”
   
“คำตอบ”
   
“ฉันให้แกไปแล้วไง”
   
“อะไรครับ”

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม” ปรเมษฐ์พูดชัดถ้อยชัดคำ
   
นภธรณ์กำมือแน่น จ้องมองคนตรงหน้าที่ไม่ว่ายังไงสีหน้าและน้ำเสียงก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด “ตอนนั้น ผมก็บอกป๊าไปแล้วใช่ไหมครับ... ว่ามันจะไม่มีวันเหมือนเดิม” รถจอดติดไฟแดงพอดี เขาจึงเปิดประตูก้าวลงจากรถแล้วกระแทกประตูปิด
   
ปรเมษฐ์ตกใจไม่น้อย เขาลดกระจกรถลงและชะโงกข้ามเบาะไปตะโกนถาม “นั่นแกจะทำอะไร!”
   
“ผมบอกรักป๊าไปแล้ว” นภธรณ์พูดเสียงดัง “ป๊าจะปฏิเสธผมก็ได้ จะเกลียดผมไปเลยก็ได้ แต่ป๊าจะทำเหมือนว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้ไม่ได้”
   
“นอฟขึ้นรถ!”
   
“ไม่!” เด็กหนุ่มยืนกรานเสียงแข็ง
   
“นอฟ! ฉันบอกให้ขึ้นรถไง”
   
“ไม่!”
   
ถึงตรงนี้ปรเมษฐ์เองก็เริ่มจะหงุดหงิดแล้วเหมือนกัน “แกจะมาทำตัวเป็นเด็กที่พออะไรไม่ได้อย่างใจแล้วจะงอแงแล้วหันหลังหนีไปแบบนี้ไม่ได้นะ”
   
“ตั้งแต่จำความได้ ผมจำได้ว่าไม่เคยหนีไปจากป๊าเลยสักครั้ง ทะเลาะกันให้ตายยังไงผมก็นั่งรอให้ป๊ามาหาเสมอ เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะผมรักป๊า สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือการที่ไม่ได้อยู่กับป๊านี่แหละ”
   
“ทำไมจะไม่เคยหนี แล้วเรื่องเมื่อเดือนก่อนนั่นล่ะที่แกหนีไปหาพี่ยะอะไรนั่น”
   
“ผมไม่ได้หนี” นภธณณ์บอก “วันนั้นผมตั้งใจไปจริงๆ... ในเมื่อข้างๆ ป๊ามันไม่มีที่ให้ผม ผมจะอยู่ไปทำไม... แต่วันนี้ไม่เหมือนวันนั้น ผมยังรักป๊า อยากอยู่กับป๊า แต่ผมอยู่ต่อไปแบบนี้ไม่ได้ เพราะผมอึดอัดและผมอยากให้ป๊าเข้าใจ… ผมกลับบ้านไปทั้งที่มันคาราคาซังแบบนี้ไม่ได้”
   
“ถ้าแกเลือกจะเป็นฝ่ายไปเอง ฉันไม่ตามนะ” ปรเมษฐ์กล่าวเสียงเรียบ “ฉันถือว่าฉันเตือนแล้วนะ”
   
ราวกับคำตัดสินโทษประหารประกาศขึ้นตรงหน้า แต่ให้เป็นแบบนั้นบางทีก็คงดีกว่า เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นตัดสินใจเด็ดขาด “ครับ”
   
ทันทีที่คำตอบหลุดออกจากปากเด็กหนุ่ม ปรเมษฐ์ก็กดกระจกปิดและเหยียบคันเร่งออกไปทันที
   
เด็กหนุ่มมองตามไฟท้ายรถที่ห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับสายตา “คนใจร้าย”

เขากวาดตามองสายขวาไปบนถนนที่ร้างผู้คน ลมพัดแผ่วมาไม่ได้แรงอะไรมาก แต่กลับรู้สึกหนาวบาดผิวเนื้อลึกไปจนถึงในอก ในระหว่างที่สองขาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ทิศสมองก็ย้ำคิดแต่เรื่องที่ตัดสินใจลงไป ไม่ได้รู้สึกผิด… แค่เสียใจ ว่าถ้านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันเขาก็อยากมีโอกาสกอดลาป๊าสักครั้ง

เด็กหนุ่มเริ่มออกเดินย่ำไปตามทางที่มีเพียงแสงจากหลอดไฟส่องทางเหนือหัว บรรยากาศช่างวังเวงเงียบเชียบ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่ ไม่ได้อยากรู้เวลา ไม่ได้อยากโทรหาใคร แต่อยากรู้ว่าจะมีใครสักคนโทรมาหาเขาไหม

การแจ้งเตือนของไลน์ที่เด้งขึ้นมาทำให้หัวใจพองโตขึ้นเล็กน้อย นภธรณ์สูดจมูกฟึดฟัดพยายามปั้นหน้านิ่งเหมือนไม่ดีใจทั้งที่ไม่จำเป็นพลางกดเข้าไปดูเนื้อหาข้อความที่ถูกส่งมา แต่แล้วหัวใจก็ฟีบลงอย่างรวดเร็วเหมือนลูกโป่งโดนเข็มเจาะเมื่อพบว่ามันเป็นแค่ข้อความโฆษณาเท่านั้น

น้ำรื้นขึ้นเต็มขอบตาอย่างควบคุมไม่ได้ มือกำโทรศัพท์แน่นอยากปาทิ้งใจจะขาด แต่ก็คิดได้ทันว่านี่จะเป็นช่องทางสุดท้ายในการติดต่อกับปรเมษฐ์ก็กลั้นใจยัดใส่กระเป๋า

“ป๊าบ้า! ป๊างี่เง่า นี่ไม่คิดจะห่วง จะตามมาง้อกันเลยใช่ไหม!” เด็กหนุ่มตะโกนออกไปเสียงดัง ทันใดนั้นแสงไฟหน้ารถคันหนึ่งพุ่งมาเข้าตาพร้อมกับเสียงแตรรถบีบยาวดังสนั่น นภธรณ์กระโดดโหยงหลบอยู่บนทางเท้า ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองปลอดภัย เขาหันไปตามเสียง หัวใจเต้นโลดขึ้นอีกครั้งนึกว่าปรเมษฐ์วนรถกลับมา ทว่าที่จอดลงเคียงข้างนั้นกลับกลายเป็นรถสปอร์ตสีเงินที่ไม่คุ้นตา

กระจกรถหรูถูกลดลงรวดเร็วพร้อมกับที่คนขับชะโงกหน้าออกมาตะโกนถามแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดดังกระหึ่มในรถ “เฮ้! เจ้าหนู เกิดอะไรขึ้น ทำไมมาเดินคนเดียวอะไรที่นี่ ไหนว่าวันนี้ไปงานวันเกิดปู่ไง”

แทนที่จะตอบคำถามโปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ เด็กหนุ่มกลับถามออกไป “พี่ยะกำลังจะไปไหนเหรอครับ”
   
“กินเหล้า ฟังเพลงแล้วก็หาคนนอนด้วย” ดุริยะตอบ
   
“ขอผมไปด้วยได้ไหมครับ”
   
โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่สบตาที่บวมช้ำกับใบหน้าที่ไม่มีน้ำตาให้เห็นสักหยดอยู่อึดใจ แล้วกดเปิดประตู “ขึ้นมาสิ”

เมื่อมาถึงจุดหมายซึ่งเป็นร้านอาหารกึ่งผับ ดุริยะก็เดินนำไปโต๊ะซึ่งถูกจัดเอาไว้ให้ติดกับเวทีซึ่งเป็นยกพื้นเตี้ยๆ เขาสั่งอาหารและเครื่องดื่มตามความเคยชินครั้นเมื่อบริกรรับออเดอร์เสร็จสิ้นจึงหันไปเอ่ยถามกับเด็กหนุ่มที่นั่งเงียบในรถมาตลอดทาง “ทะเลาะกับพ่อมาละสิ”

นภธรณ์พยักหน้ารับ

“คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ ท่าทางจะเรื่องใหญ่เสียด้วย ถึงได้มาเดินกลางค่ำกลางคืนเปลี่ยวๆ คนเดียวแบบนี้”

“ก็นิดหน่อยครับ”

“ตกลงทะเลาะกันเรื่องอะไร” ดุริยะพยายามปะเหลาะถาม

เด็กหนุ่มไม่ตอบ

โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ถอนหายใจแรง “ในฐานะที่ตอนนี้เป็นคนที่โดนลากมาเอี่ยว ฉันไม่ยอมเป็นคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรหรอกนะ อย่างน้อยก็เล่ามาสักครึ่งหนึ่ง ฉันจะได้ทำตัวถูกว่าควรจะจับเธอใส่รถไปโยนคืนให้พ่อเธอหรือยอมตามน้ำช่วยเธอดี”

บริกรนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟพอดี ดุริยะรับมาและเลื่อนไปตรงหน้าเด็กหนุ่ม

“ผมกินเหล้าไม่ได้” นภธรณ์บอก

“ทำไม? แพ้แอลกอฮอล์?”

“ผมยังอายุไม่ถึงสิบแปด”

ดุริยะหลุดขำออกมาจนแทบสำลักน้ำ “เธอกำลังพูดกับคนที่กินเหล้าตั้งแต่อายุสิบสอง และได้ผู้หญิงครั้งแรกตอนอายุสิบห้านะ... เธอเลือกจะมากับฉันเองนะเจ้าหนู และฉันก็ไม่โอเคกับการที่คนที่มาด้วยกันนั่งกินน้ำอัดลมหรือนมชมพู”

นภธรณ์จ้องมองเครื่องดื่มในแก้วทรงสูงตรงหน้าด้วยท่าทางลังเล เขาเป็นเด็กดี เชื่อฟังป๊ามาโดยตลอด กลับถึงบ้านก่อนสี่ทุ่ม ไม่เคยเข้าใกล้เครื่องดื่มมึนเมาหรือสถานที่อโคจรใดๆ แต่นี่ตีหนึ่งแล้วเขายังไม่ถึงบ้านแถมยังมาเที่ยวผับกับพี่ยะ กลับบ้านไปเมื่อไหร่ป๊าต้องดุแน่ๆ

“เอางี้ เธอไม่ต้องเล่าอะไรให้ฉันฟังก็ได้ แต่เลือกมาว่าจะกินด้วยกันหรือกลับบ้าน” ดุริยะยื่นข้อเสนอ

แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับการเป็นเด็กดีอีกต่อไปล่ะ ในเมื่อเขาไม่มีบ้านให้กลับ... ไม่ได้เจอป๊าอีกแล้ว

เด็กหนุ่มยกแก้วเหล้าขึ้นซดอักๆ ปลายลิ้นรับรู้รสชาติขมเฝื่อน รสชาติของแอลกอฮอล์ไม่อร่อยเหมือนอย่างที่พวกผู้ใหญ่เคยบอกสักนิด แต่แล้วมันยังไงล่ะ ในเมื่อตอนนี้ความรู้สึกในหัวใจมันขมขื่นกว่า เหล้าอาจไม่ใช่คำตอบแต่เขาก็แอบหวังว่ามันจะช่วยทำให้ลืมคำถามและความเมาอาจจะพาเขาผ่านค่ำคืนนี้ไปก็ได้

พอแอลกอฮอล์ซึมเข้ากระแสเลือดจนได้ที่ ปากที่แข็งมานานก็เริ่มขยับไปโดยอัตโนมัติ “พี่ยะครับ ผมมีเรื่องสงสัย”
   
ดุริยะที่กำลังนั่งเท้าคางฟังเพลงเพลินๆ หันมาหา “ว่าไง”
   
“พี่ยะไม่เคยบอกรักผู้หญิงคนนั้นจริงๆ เหรอ”
   
“คนไหน?”
   
“คนที่พี่ยะเคยเล่าให้ฟัง”
   
ดุริยะเงียบนึกอยู่อึดใจ “ไม่เคย... แล้วก็ไม่คิดจะบอกด้วย”
   
“แบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ยะรักเธอจริงๆ หรือเปล่าครับ หรือว่าพี่ยะกลัวคำตอบ”
   
“ฉันไม่ได้กลัวคำตอบ แต่มันก็ไม่ใช่อะไรที่จะพูดกันได้ง่ายๆ นะ” ดุริยะบอก “ผู้ใหญ่น่ะเขามีเรื่องให้คิดมากกว่านั้น”

“แล้วทำไมผู้ใหญ่ถึงต้องคิดอะไรวุ่นวายจัง แค่พูดออกมาเองว่ารักหรือไม่รัก ทำไมต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากด้วยละครับ คนเขาก็อุตส่าห์รวบรวมความกล้าแทบตายกว่าจะพูดไปได้ เสร็จแล้วคิดอะไรอยู่ก็ไม่ยอมพูดออกมา ปล่อยให้คนพูดรอคำตอบอยู่ได้” ปลายเสียงของเด็กหนุ่มเริ่มเบาลงเล็กน้อยเมื่อเริ่มรู้ตัวว่าพูดมากเกินไป “เอ่อ... อันนี้เรื่องของเพื่อนน่ะครับ... ไม่ใช่เรื่องของผมนะ... จริงๆ นะครับ”
   
หากดุริยะก็ไม่ได้พูดว่าอะไรเพียงแต่ส่งยิ้มอย่างเข้าใจมาให้แล้วหันไปมองนักร้องบนเวทีที่เพิ่งจะร้องเพลงจบและกำลังจะไปพัก จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นมา “เจ้าหนู เรามาลองทำอะไรสนุกๆ กันดูไหม”

“อะไรครับ” นภธรณ์ร้องถามคนที่ลุกขึ้นก้าวยาวๆ ไปที่หน้าเวที พูดคุยชี้มือชี้ไม้กับกลุ่มนักร้อง
   
“ร้องเพลงไง” ดุริยะหันมาตอบ
   
“พี่ยะจะร้องก็ร้องคนเดียวนะครับ ผมไม่อยากร้อง”
   
“ตามใจ” ดุริยะบอกพร้อมกับเดินไปยืนหน้าเครื่องดนตรีประจำตัว เขากรีดนิ้วไล่เสียงไปตามแป้น เสียงโน้ตดนตรีแต่ละตัวที่ถูกดีดขึ้นปลิวในสายลมทำให้บรรยากาศขุ่นมัวนิดๆ ที่กำลังอวลอยู่เมื่อครู่ลอยหายไปในบัดดล
   
โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ไม่ได้เล่นเพลงในทันที สิ่งที่เขาทำคือกดไล่โน้ตไปเรื่อยๆ ราวกับเด็กหัดเล่นดนตรี และนั่นทำให้แขกในร้านเริ่มหันมามอง
   
นภธรณ์โบกมือให้หยุดพร้อมกับส่งสายตาถามว่าจะทำอะไร เพราะคนในร้านเริ่มจะส่งเสียงคล้ายไม่ค่อยพอใจ “ไม่ร้องก็อย่าเล่นสิครับ”
   
แต่ดุริยะก็ยังไม่ยอมทำอะไร และหลิ่วตาให้แทนคำตอบ
   
จนกระทั่งคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเจ้าของร้านชะโงกหน้าออกมาจากหลังบาร์ นภธรณ์ก็เริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ คิดว่าดุริยะคงเมาแน่ๆ จึงรีบลุกขึ้นเพื่อไปดึงตัวลงมาก่อนที่จะถูกไล่ออกจากร้าน
   
แล้วในตอนนั้นเองดุริยะก็กรีดนิ้วไปบนแป้นอีกครั้ง และเอ่ยท่อนแรกของบทเพลงที่ไม่เคยมีใครได้ยินออกมา
   
นภธรณ์นิ่งฟังเพลงที่เหมือนกับเป็นเพลงที่เพิ่งแต่งสดๆ ร้อนๆ แต่เพียงแค่อึดใจเขาก็นึกออก มันเป็นเพลงที่เขาเจอในสมุดโน้ตเล่มเก่าของดุริยะเมื่อเดือนก่อน เพลงที่คนร้องยังไม่มีโอกาสได้ร้อง เพลงที่ดุริยะบอกว่าแต่งให้แม่ของเขา
   
‘My Melody’

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นภธรณ์ได้ยินโปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่คนนี้ร้องเพลง แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกับทุกครั้งที่เขาฟังร้องไกด์ในเดโมเทป ท่วงทำนองที่ขับขานนั้นทั้งหวานและอ่อนโยนจนเขาไม่คิดว่าผู้ชายที่ไม่เคยมีความรักแท้จริงจะถ่ายทอดมันออกมาได้ ในขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้คือผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นโปรดิวเซอร์มือทองของวงการตั้งแต่อายุสามสิบต้นๆ
   
เจ้าของร้านที่พุ่งมาหยุดยืนฟังเช่นเดียวกับเขาและคนอื่นๆ ในร้าน มีหลายคนที่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับเพลงก็ยกมือโบกไปตามจังหวะและฮึมฮัมคลอไปกับทำนอง บางคนก็จำหน้าได้ว่าดุริยะเป็นใครก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกทั้งภาพและเสียงเพื่อโอ้อวดลงโซเชียล
   
นภธรณ์เหลียวมองการเคลื่อนไหวรอบตัวก่อนจะไปหยุดสายตาลงที่ดุริยะ ไม่ปฏิเสธเลยว่าโปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่คนนี้ชอบการเป็นข่าวมากแค่ไหน แต่ครั้งนี้เขารู้สึกได้เลยว่ามันแตกต่าง ดุริยะไม่ได้นึกจะขึ้นไปเล่นเพราะอยากสร้างกระแสความแปลกเรียกยอดไลค์หรือยอดวิว จริงอยู่ว่าอาจจะมีพิษสุราผสมอยู่นิดๆ หากส่วนใหญ่นั้นเป็นเพราะอารมณ์พาไปล้วนๆ อารมณ์ที่คิดถึงใครสักคนเหมือนอย่างที่เพลงเอื้อนเอ่ย
   
“You are my melody เธอคือทำนองของชีวิตฉัน...”
   
เพลงจบลงท่ามกลางเสียงปรบมือดังเกรียวกราว นภธรณ์เองก็เปนหนึ่งในนั้น เขาคิดว่าดุริยะคงจะพอใจและกลับลงมา แต่เปล่าเลยโปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่กลับวาดลวดลายบทเพลงต่อไปด้วยจังหวะที่เร็วขึ้นเรียกเสียงปรบมือให้ดังขึ้นไปอีก
   
นภธรณ์ถลึงตาส่งคำถามไปให้ เพราะทำนองนั่นมันคือเพลงของเขา “พี่ยะจะร้องเองใช่ไหมครับ”
   
ดุริยะไม่ตอบ แต่ดึงไมค์ออกจากขาตั้งและโยนลงมาให้นภธรณ์ ฝ่ายจัดแสงก็เหมือนจะรู้คิวราวกับนัดกันมา แสงสปอร์ตไลท์หมุนกลับมาสาดส่องลงที่ตัวเขาแล้วคนทั้งร้านก็ปรบมือขึ้นอีกครั้งเป็นการต้อนรับ

“แต่ผม...”
   
เด็กหนุ่มเหลียวมองซ้ายขวาหน้าตาเลิ่กลั่ก อยากจะโยนไมค์ทิ้งแล้ววิ่งกลับไปนั่งที่โต๊ะ เขาไม่ได้อยากร้องเพลง ไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์สุนทรีย์หรืออารมณ์ร่วมอะไรใดๆ เลยสักนิด เขามาที่นี่เพราะแค่อยากหนีจากความอึดอัดตอนอยู่กับป๊าเท่านั้น

นภธรณ์พยายามส่งสายตาและโบกมือบอกทั้งดุริยะและคิวไฟว่าเขาไม่ร้องแต่ก็ไม่มีใครสนใจ ดุริยะยังคงเล่นดนตรีต่อไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทีสนุกสนาน จนนภธรณ์นึกอยากจะว่าแรงๆ หากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือเขากลับแหกปากตะโกนเนื้อเพลงท่อนแรกออกไป ด้วยความที่ไม่ทันได้วอร์มเสียงใดๆ มันจึงเพี้ยนมากจนคนดูเริ่มชักไม่แน่ใจว่านี่เป็นนักร้องจริงหรือเปล่า
   
ดุริยะหัวเราะคิกคัก เขาส่งสายตาบอกทำนองว่าอย่าไปสนใจและให้ร้องต่อ

นภธรณ์ทำตาม พยายามขยับแขนขาให้สอดคล้องไปกับทำนอง ทีแรกก็ขัดเขินก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางและเป็นไปโดยอัตโนมัติราวกับตัวโน้ตที่ร้อยเรียงนั้นไม่ได้ลอยอยู่ในอากาศ หากมันไหลวนอยู่ในกระแสเลือดของเขา

เมื่อเพลงจบลงนอกจากเสียงปรบมือที่ดังกระหึ่มไปทั่ว ยังได้ยินเสียงที่ดังควบคู่กันมาคือเสียงร้องขออังกอร์ แต่ก็ได้เวลาคืนเวทีให้กับนักร้องประจำผับในค่ำคืนนี้แล้ว เจ้าของบาร์เข้ามาจับมือขอบคุณ มีคนมาขอถ่ายรูปคู่มากมาย แต่ดุริยะก็ช่วยปฏิเสธไปอย่างสุภาพและพากันกลับมานั่งที่โต๊ะซึ่งแน่นอนว่าคืนนี้พวกเขาได้กินฟรีแล้ว

“รู้สึกดีขึ้นไหม” ดุริยะถาม

เด็กหนุ่มพยักหน้าที่ตอนนี้แก้มเป็นสีออกแดงระเรื่อ “ครับ”

วงดนตรีเริ่มต้นบรรเลงเพลงอีกครั้ง เป็นเพลงรักหวานซึ้งที่มีเนื้อหาของรักที่สมหวังและอยู่ด้วยกันตลอดไป ทั้งสองหยุดคุยและหันไปฟังต่างคนต่างคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วจู่ๆ ดุริยะก็เอ่ยขึ้น “ความรักน่ะมันไม่ได้มีแค่คำว่าสมหวังหรอกนะถึงจะมีความสุข”

“พี่ยะหมายความว่าไงครับ” นภธรณ์หันไป

“เพลงที่เราร้องด้วยกันเมื่อกี้ไงทั้งสองเพลงต่างก็เป็นความรักที่ยังไม่สมหวัง คนที่เรารักมีเจ้าของไปแล้ว และถ้าเราไม่คิดจะตัดใจก็คงทำได้แค่รักเขาไปเรื่อยๆ แต่แค่นั้นก็มีความสุขแล้ว” ดุริยะขยายความ “ผู้หญิงคนนั้นคือที่มาของเพลงที่ฉันแต่งให้แม่เธอ”

“แล้วพี่ยะไม่คิดจะบอกรักเธอเหรอครับ… ผมรู้ว่าคงไม่มีหวังแล้วแค่คงจะดีถ้าได้พูดออกไป” นภธรณ์พูด “อย่างน้อยเธอก็จะได้รู้ว่าพี่ยะคิดยังไงกับเธอนะครับ”

ดุริยะไหวไหล่ “ชีวิตคนเราน่ะมันมีอะไรมากกว่าคำว่ารักกับเซ็กส์นะ” เขาบอก “มันยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก ถ้าเป็นตอนนั้นก็เป็นเรื่องที่เราสองคนต่างก็อยากแยกย้ายไปตามความฝัน ส่วนตอนนี้ก็สามีและลูกของเธอ… ถ้าฉันพูดคำว่ารักออกไปนี่ฉันจะกลายเป็นคนบาปเลยนะ แล้วฉันจะมองหน้าเธอ หน้าสามีและลูกของเธอต่อไปโดยไม่ตะขิดตะขวงใจได้ยังไง”

“พี่ยะไม่เสียใจเหรอที่ไม่ได้พูด”

“เสียใจสิ” ดุริยะตอบ “แต่พอมาคิดดู ต่อให้สามารถย้อนเวลากลับไปวันที่เราแยกกันได้ กี่ครั้งฉันก็ยังเลือกที่จะทำแบบเดิมอยู่ดี ฉันเคยบอกเธอแล้วนี่ ว่าฉันดีใจ ภูมิใจกับการได้มายืนตรงนี้… ที่ฉันอยากจะบอกคือไม่ว่าจะเลือกอะไรเราต้องยอมรับกับการตัดสินใจของตัวเองให้ได้ เลือกจะจับมืออย่างหนึ่งก็ต้องปล่อยมือจากอีกอย่าง และแม้ว่าจะถึงวันที่พร้อมแล้วที่จะกลับไปคว้าสิ่งที่เคยปล่อยไป ก็ต้องทำใจว่าวันนั้นมันอาจไม่เหมือนเดิม เหมือนอย่างฉัน ที่เธอคนนั้นมีลูกไปแล้ว ปากดีแค่ไหน สุดท้ายตอนนี้ฉันก็เป็นคนนอกที่ทำได้แค่ยืนมองอยู่ไกลๆ แค่นั้น... แต่สำหรับฉัน แค่นี้ก็ดีมากพอแล้ว และฉันพอใจกับตำแหน่งตรงนี้ ตรงที่ฉันยังรักษารอยยิ้มของเธอที่ส่งมาให้ฉันไว้ได้”

“มันจะเป็นยิ้มที่ทำให้เราทั้งสุขและเจ็บไปพร้อมๆ น่ะสิครับ” นภธรณ์พูดเสียงเบาคล้ายกับรำพึงกับตัวเองมากกว่า

“แล้วเธอล่ะเจ้าหนู” ดุริยะพูดต่อ “ทะเลาะกับพ่อแล้วเลือกที่จะหนีมาแบบนี้ แน่ใจแล้วใช่ไหมกับชีวิตที่ไม่มีเขา ถ้าเลือกที่จะกลับ กลับไปอยู่แบบเดิมได้ไหม... คิดให้ดี ฉันไม่เร่งเธอหรอก เพราะคนที่ต้องการคำตอบไม่ใช่ฉัน แต่เป็นตัวเธอเอง คิดซะให้พอใจ ให้ได้คำตอบ” พูดจบก็ยกแก้วขึ้นซดต่อ

“ขอบคุณครับ”

ทั้งสองนั่งคุยดื่มกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลาร้านปิดจึงเดินกลับไปขึ้นรถ และที่ข้างรถสปอร์ตสีเงินของดุริยะนั้นเองมีรถ BMW ซีรีส์เจ็ดสีดำจอดอยู่ข้างๆ และเจ้าของรถเองก็ยืนกอดอกทำหน้าถมึงทึงอยู่หน้ารถ

“ป๊า” นภธรณ์ขยับปากแทบไม่มีเสียง ไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าป๊าจะยืนอยู่ตรงนั้น ปรเมษฐ์ยังคงอยู่ในชุดสูทสำหรับใส่ไปงานเลี้ยงของปู่ ผมที่จัดแต่งทรงอย่างเนี้ยบหลุดลงปรกหน้าเล็กน้อย

“ขึ้นรถ” น้ำเสียงของปรเมษฐ์คล้ายออกคำสั่ง

“เขาบอกว่าไม่อยากกลับไปกับคุณน่ะ” ดุริยะตอบแทนเด็กหนุ่มที่ยังยืนนิ่ง “คืนนี้เขาจะไปนอนบ้านผม”

“ไม่อยากก็ต้องกลับเพราะผมไม่อนุญาต” ปรเมษฐ์พูดเสียงเข้ม

“บ้านที่กลับไปแล้วไม่สบายใจจะกลับไปทำไม” ดุริยะพูดต่อ

“นอฟ กลับบ้าน” ปรเมษฐ์เรียกอีกครั้งพร้อมกับเดินไปเปิดประตูรถรอ

“ผม…” โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังเดินอ้อมมายืนด้านหน้าพร้อมกับยกมือไหว้เป็นการร่ำลา

แพ้แล้ว... เขายอมแพ้แล้วจริงๆ กับผู้ชายคนนี้ ปากบอกว่าจะไม่มาตาม แต่กลับมายืนรออยู่ข้างรถตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้แถมยังเปิดประตูรถให้ ต่อให้ปากยังแข็งบอกว่าไม่ แต่ใจมันวิ่งขึ้นไปนั่งรอบนรถแล้ว...

“แน่ใจแล้วนะ” ดุริยะหันไปถามย้ำกับเด็กหนุ่ม

นภธรณ์พยักหน้า “สำหรับผมเลือกอย่างไหนก็เจ็บครับ แต่อย่างหลังดูจะเจ็บน้อยกว่า ขอบคุณพี่ยะนะครับที่พามาเที่ยว”

“ทะเลาะกันก็มาหาฉัน ดีกันเมื่อไหร่ฉันก็เป็นหมาหัวเน่าสินะ”

“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ผม…”

“เข้าใจๆ” ดุริยะรีบพูดต่อ “แค่แซวเล่นน่ะ กลับไปก็คุยกันดีๆ ล่ะ”

นภธรณ์ยกมือไหว้อีกครั้งแล้วเดินไปขึ้นรถอย่างเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ถูก ปรเมษฐ์ก็ชะโงกตัวเข้ามาคาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย ปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับก่อนจะขับออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
«ตอบ #214 เมื่อ22-02-2018 23:24:33 »

(ต่อตรงนี้ค่ะ)

ในที่สุดรถก็จอดที่ลานจอดรถของคอนโด ปรเมษฐ์ปลดเข็มเตรียมจะลงแล้วหากแต่ลูกชายยังไม่ยอมขยับ “ไม่ลงเหรอ”

นภธรณ์หันช้าๆ ไปสบตาคนเป็นพ่อก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “ขอ... ผมอยู่แบบนี้อีกสักพักได้ไหมครับ...”

“ทำไม”

“ผมยังทำใจไม่ได้” เด็กหนุ่มพยายามทำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่อาจคุมปลายเสียงไม่ให้สั่นได้ “คือ... พอเราขึ้นห้องไป เราต้องเป็นเหมือนเดิมใช่ไหม แต่ผมยังไม่พร้อม... ผมขอโทษนะป๊า... ผมก็กำลังพยายามอยู่... พยายามทำใจ ทำให้ทุกอย่างมันเหมือนเดิม จะเป็นลูกชายที่ดีคนเดิมของป๊า... แต่มันคงไม่ใช่ตอนนี้ ขอเวลาผมอีกนิดนะครับ ผมขอโทษ… อุ๊บ!”

คำขอโทษขอโพยที่กำลังพรั่งพรูถูกเก็บคืนลงไปในลำคอโดยบัดดล เมื่อริมฝีปากถูกปิดสนิทด้วยปากของอีกคนที่ประกบลงมาโดยไม่ทันตั้งตัว และมันไม่ใช่แค่จูบหยอกๆ จริงอยู่ว่ามันเริ่มต้นเหมือนกับการจูบทุกๆ ครั้ง ก่อนที่จะลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ เมื่อปลายลิ้นอุ่นถูกสอดเข้ามา

…หวาน…

นี่คือความรู้สึกเดียวที่สัมผัสได้ ก่อนที่จังหวะจะถูกเร่งเร้าขึ้นจนเขาต้องใช้สองมือเกาะเกี่ยวรอบคอคนเป็นพ่อไว้แน่นเมื่อลมหายใจถูกช่วงชิงไป

ในที่สุดริมฝีของของเขาก็ถูกปล่อยเป็นอิสระหลังจากถูกดูดติดราวกับมีแม่เหล็ก แต่ตอนนี้เหมือนมันไม่ใช่ปากของเขาอีกต่อไปแล้ว เหมือนจะชา แต่ก็อวลไปด้วยรสหวานอุ่นๆ ที่ฟุ้งกระจายอยู่ข้างใน เด็กหนุ่มยังคงหอบหายใจแรงในขณะที่ปรเมษฐ์แทบไม่มีอาการอะไรสักนิด และเสี้ยววินาทีนั้นเองที่จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าคนตรงหน้าเปลี่ยนไป ไม่ใช่ท่าทีภายนอกแต่มันเกิดขึ้นข้างใน เบื้องหลังแววตาคมกริบที่มองจ้องมายังเขาอย่างไม่วางตานั้น

แต่ก็เป็นความรู้สึกที่เขาบอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร

“หยุดพูดได้สักที” ปรเมษฐ์พูดด้วยท่าทีปกติ ราวกับว่าจูบนั่นไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึ้ง…
ทั้งๆ ที่ๆ มันทั้งลึกและซึ้ง

“อยากนั่งให้ยุงกัดอยู่ตรงนี้ก็นั่งไปนะ ฉันง่วง... จะไปอาบน้ำนอนแล้ว พร้อมเมื่อไหร่ก็ตามมานะ” ปรเมษฐ์บอก “เตือนไว้ก่อนนะว่าฉันไม่ชอบกลิ่นเหล้า ถ้าไม่อาบน้ำ หรืออาบไม่สะอาดก็ไม่ต้องมาขึ้นเตียงฉัน” เขายื่นคำขาดก่อนจะเปิดประตูลงจากรถไป

นภธรณ์นั่งคิดทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่คนเดียวในรถที่เงียบเชียบ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เข้าใจอะไรอยู่ดี เสียงกุกกักที่ดังขึ้นนอกรถทำให้เขาสะดุ้งเหลียวมองซ้ายขวาไปในลานจอดรถของคอนโดที่ค่อนข้างมืด มีเพียงแสงสว่างจากไฟเพดานที่ติดไว้ห่างๆ และเปิดอยู่ไม่กี่ดวง

ทันใดนั้นโรคเก่าก็กำเริบ นึกถึงเรื่องเล่าเก่าๆ ที่เกี่ยวกับความมืดและเงาตะคุ่ม เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวลงคอแล้วรีบเปิดประตูลงจากรถ

เขายืนหันรีหันขวางหาทางขึ้นลิฟต์ แล้วเสียงปิ๊บที่ดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับไฟหน้ารถกะพริบก็ทำเอาสะดุ้งโหยงจนเผลอร้องตะโกนลั่น “ป๊า!”

“เรียกทำไม” เสียงปรเมษฐ์ดังตอบออกมาจากหลังเสา

นภธรณ์หันควับพร้อมกับรีบก้าวยาวๆ ไปหา “จะรีบหนีผมไปไหน ก็รู้อยู่ว่าผมกลัวผี”

“ก็แกบอกว่าจะอยู่” ปรเมษฐ์สวนกลับนิ่งๆ และเก็บกุญแจรถใส่กระเป๋า “ตกลงจะเอายังไงจะขึ้นห้องได้หรือยัง”

นภธรณ์ย่นปาก ยังไม่ทันได้คิดอะไรมือข้างหนึ่งก็ยื่นมาตรงหน้า เด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นมอง

“ฉันสัญญากับแกแล้วใช่ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทุกอย่างยังเหมือนเดิม”

เด็กหนุ่มก้มลงมองมือใหญ่นั้นอีกครั้ง …มือคู่เดิมที่เขากุมมาตลอดทั้งชีวิต... มือที่ไม่เคยปล่อยเขาให้เดียวดาย เขาเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของมือนั้นอีกครั้งก่อนจะสูดลมหายใจเข้าจนสุดแล้วคว้ามือข้างนั้นไว้

มือใหญ่กุมกระชับมือเขาแน่นโดยที่เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับหัวใจของนภธรณ์ในตอนนี้

ในขณะที่เดินเคียงคู่กันไปเงียบๆ ตามทางที่เดินมาตลอดสิบเจ็ดปีนั้นรอยยิ้มเล็กๆ ก็ผุดขึ้นบนมุมปากของเด็กหนุ่มช้าๆ ในที่สุดเขาก็เข้าใจ

…ใช่แล้ว… ทุกอย่างยังเหมือนเดิม…



หลังจากปิดไฟนอนไปได้ไม่เท่าไหร่ โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่หัวเตียงก็สั่นขึ้น ปรเมษฐ์รีบเอื้อมมือไปหยิบมาดูเพราะคิดว่าเป็นสายจากโรงพยาบาล แต่มันกลับไม่ใช่ เขาค่อยๆ ลุกออกจากเตียงอย่างระมัดระวังไม่ให้คนที่นอนอยู่ด้วยกันตื่นแล้วเดินไปที่ระเบียงจึงกดรับสาย

“มีอะไรครับโทรมาดึกดื่น”

“ทำไมต้องทำน้ำเสียงห่างเหินแบบนั้นด้วยครับ ทั้งที่ตอนคุณโทรมาผมยังรีบรับสายเลยแท้ๆ” ปลายสายตัดพ้อกลับมาทันที
ได้ยินดังนั้นปรเมษฐ์จึงรีบพูดใหม่ “ขอโทษครับ ผมแค่เห็นว่าตอนนี้มันตีสามแล้ว และนอฟก็เพิ่งจะหลับไปเมื่อครู่นี่เอง พรุ่งนี้แกมีเรียนแต่เช้า”

“พูดแบบนี้แสดงว่าคืนดีกันเรียบร้อยสินะ”

“ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มา” ปรเมษฐ์บอก

แม้จะรับรู้ได้ถึงความขอบคุณจากใจที่มากับน้ำเสียงแต่โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ก็อดจะเหน็บกลับไปเบาๆ ไม่ได้ “นั่นน่ะสิ ผมอุตส่าห์ยกเลิกปาร์ตี้กับสาวๆ แล้วบึ่งไปหาทันทีเลยนะ”

“ผมขออนุญาตวางนะครับเดี๋ยวแกจะตกใจถ้าตื่นมาแล้วไม่เจอผม” ปรเมษฐ์ตัดบท

“ผมขอถามอะไรสักคำถามได้ไหมครับ”

“ครับ”

“ทำไมคุณถึงโทรหาผม” ดุริยะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น “ทำไมไม่เป็นคนอื่นอย่างตฤณ คุณแดนนี่ หรือเพื่อนสนิทของคุณที่ชื่อโมอะไรนั่น ทำไมถึงเป็นผม”

“เพราะคุณไม่ใช่คนอื่นครับ” ปรเมษฐ์บอกทำให้คนที่อยู่ปลายสายคิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะคลายออกเมื่อเขาพูดต่อ “อย่างน้อยตอนนี้คุณก็เป็นพี่ชายที่ลูกผมชอบโทรไปปรึกษาเวลามีเรื่องกลุ้มใจ”

“อ๋อ เหรอ~” ดุริยะลากเสียงล้อเลียน

“โจ๊กใส่ไข่เมื่อครั้งก่อนเค็มไปหน่อยนะครับจะสอนทั้งทีสอนแกด้วยสิว่าไม่ต้องปรุงรสเพิ่ม”

“งั้นคุณก็สอนเองสิครับคุณพ่อบังเกิดเกล้า อ้อ! ลืมไปว่าคุณพ่อคนนี้แค่ทอดไข่ยังไหม้ได้” ดุริยะว่า “เฮ้อ~ แหย่คุณไปก็ไม่ได้เรื่องอะไรขึ้นมา ผมวางล่ะ ฝันดีนะครับ”

“ผมจะบอกลูกชายให้ครับ” เพราะไม่คิดว่าดุริยะจะพูดกับตัวเองปรเมษฐ์จึงตอบไปแบบนั้น

“ผมไม่ได้จะบอกเจ้าหนูนั่น ผมบอกคุณคุณโป้”

“ขอบคุณครับ คุณเองก็เหมือนกัน” ปรเมษฐ์กดวางสายและเดินกลับเข้าไปในห้อง

เขานั่งลงบนเตียงอย่างระมัดระวังไม่ให้ที่นอนยวบเร็วจนเกินไปแล้วค่อยสอดตัวเข้าไปในผ้าห่ม ปรเมษฐ์ตะแคงตัวเท้าแขนขึ้นข้างหนึ่งเพื่อมองหน้าคนที่นอนหลับอยู่ให้ถนัด แสงจากดวงจันทร์ที่ลอดผ่านรอยแหวกของผ้าม่านเข้ามาทำให้เห็นเครื่องหน้าค่อนข้างชัด และในขณะที่กำลังเฝ้าดูนั้นริมฝีปากก็ค่อยคลี่ออกช้าๆ กลายเป็นรอยยิ้มกว้าง

ปรเมษฐ์กดริมฝีปากลงข้างแก้มนิ่มแล้วปิดตาลงนอน “ฝันดีนะเด็กดื้อ”

นี่คงไม่ใช่คืนที่ดีที่สุด แต่เป็นคืนหนึ่งที่ดีเหมือนกับทุกๆ คืนตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา

******************************************TBC**********************************************

Talk

คุยกันหน่อยก่อนจะบอกลา
...
...
...
โล่งอะ... โล่งมาก ถึงบรรทัดนี้พูดเต็มปากเต็มคำแล้วสินะว่าไม่ใช่พ่อลูกกัน555
คือค่อนข้างอึดอัดหน่อยกับแนว Incest อะ แล้วแอบเห็นฟีดแบคว่ามีคนไม่อ่านเยอะเหมือนกันเพราะเป็นแนวนี้ แต่เรามันก็พวกหัวดื้ออะ(ใครอ่านพี่วินทร์-หมอฮาร์ฟจบคงเข้าใจประโยคนี้ดี) อยากลองแต่ง Incest แบบ leGGyDan style ดูสักที  คือจะจบแบบให้สะบัดสายใยความเป็นพ่อลูกหลุดเลยในทันทีมันไม่ได้เนาะ เค้าเลี้ยงมาแบบลูกอะ มันจะจบแหวกกว่าคนอื่นนิดนึงนะ ก็คิดหนักกับความสัมพันธ์นี้มาตลอดเรื่องอะ แต่แล้วเราก็ประคองมาจนไปรอดจนได้เหวย เย้! อิเย~ อิเย~
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-02-2018 23:44:22 โดย leGGyDan »

ออฟไลน์ tkaekaa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
«ตอบ #215 เมื่อ23-02-2018 00:23:32 »

มีตอนพิเศษมั้ย ยังไม่จุใจ555

ออฟไลน์ abbaba

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
«ตอบ #216 เมื่อ23-02-2018 02:25:54 »

โอ๊ยยยยย ป๊าาาาาาาาาาาาาา
ในที่สุดก็แฮปปี้ ขอสวีทเยอะๆได้มั้ยคะ
ฮือออออออ ดีใจๆๆๆๆๆ  :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ vy0Cik

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 206
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
«ตอบ #217 เมื่อ23-02-2018 02:45:19 »

มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยากอยู่นะ จะให้เปลี่ยนการกระทำหรือเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นแบบคนรักเลยมันก็จะกะทันหันไปอ่ะเนาะ แต่พ่อโป้ก็คงไม่ได้คิดกับนอฟเป็นลูกจริงๆหรอก รอคอยว่าบทสรุปจริงๆของคู่นี้สุดท้ายแล้วจะลงเอยแบบไหน ชอบตอนป๊าเรียกว่าเด็กดื้ออ่ะ ได้ยินอล้วใจบาง  :hao7:
ป.ล.คิดถึงพ่อโป้กับน้องนอฟมาก
ป.ล.2 คิดถึงพี่วินทร์กับฮาร์ฟและคุณผีในห้องล็อกเกอร์ด้วย
และ ป.ล.3คิดถึงคนเขียนทีสุดดดด :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2018 02:49:16 โดย vy0Cik »

ออฟไลน์ joyey6217

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 106
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
«ตอบ #218 เมื่อ23-02-2018 06:39:05 »

ติดตามเรื่องนี้มาตลอด
เนื้อราวเดินทางมาถึงบทสรุปแล้ว
ต้องดีใจ ทั้งเศร้าใจ เหมือนอภิสิทธิ์ในการแอบดูสองพ่อลูกคู่นี้หมดลงไปแล้ว.
แต่ก็สุขใจนะที่ในความสัมพันธ์ที่เหมือนจะมาถึงบนสรุปที่ยังดำเนินเหมือนที่ผ่านมา แต่มีความเปลี่ยนแปลง ในใจของทั้งคู่
หมอโป้แกก็ไม่พูดออกมา เเต่การกระทำมันก็ไปไกลกว่าแฟนอีกนะ เป็นคู่ชีวิตที่เคียงข้างตลอดชีวิต
นอฟเอ้ย สบายล่ะ มีคนหาเลี้ยงตลอดชีวิต สัญญาจะไม่ปล่อยมือไปไหน

ถึงคุณลูกหมู
ขอบคุณที่เขียนเรื่องนี้มาจนถึงตอนนี้นะคะ ตามอ่านมาตั้งแต่เรื่องเริ่มใหม่ เจ้านอฟนี่เป็นคนโปรดของเราตั้งแต่เรื่องหมอโมแล้ว  (อีกอย่างคนเขียนก็เป็นครเขียนคนโปรดของเรานะ)
เป็นกำลังใจให้นะคะ ถ้าเขียนเรื่องใหม่อีก ก็จะติดตามอ่านต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
«ตอบ #219 เมื่อ23-02-2018 08:09:27 »

อย่าบอกระว่าจบแบบนี้ โอยยย แปลกดีค่ะ จบเหมือนไม่จบ แค่เพราะความสัมพันธ์แบบนี้ ด้วยเหตุผลมันก็คงต้องแบบนี้ สนุกดีค่ะ คิดถึงหมอโมเลย ^^ รอตอนพิเศษนะค้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
« ตอบ #219 เมื่อ: 23-02-2018 08:09:27 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
«ตอบ #220 เมื่อ23-02-2018 10:24:59 »

นั่นไง! #ตบเข่าฉาด นอฟเป็นลูกดุริยะจริงๆด้วย น้ำตาจิไหล / ปกติเดานิยายไม่ค่อยถูก 5555 รอบนี้ได้ 1 แต้มแถมเป็นจากนิยายคุณ leGGyDan ซะด้วย ดีใจ...  :m4:

ป๊าโป้คนซึนนะ / หมั่นใส้  แต่ก็เข้าใจได้แหละ เลี้ยงมาแบบลูกสิบกว่าปี วันนี้จะให้มาเปลี่ยนท่าทีกันก็คงยากหน่อยก็คงต้องใช้เวลา แต่อย่างน้อยก็เปลี่ยนแปลงสักนิดก็ยังดีนะ สงสารนอฟ

น้องนอฟนี่ได้เลือดศิลปินมาจากคุณพ่อและคุณแม่เต็มๆเลย / อยากอ่านพาร์ทเบื้องหลังจังว่าคุณดุริยะรู้ว่านอฟเป็นลูกตอนไหนนะ? / แล้วคุณพ่อ 2 คน เขาไปเคลียร์กันยังไง อยากอ่านๆๆๆๆ  :katai2-1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
«ตอบ #221 เมื่อ23-02-2018 15:10:21 »

โล่งใจ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
«ตอบ #222 เมื่อ23-02-2018 17:43:27 »

โอ้โห ป๊าโป้ใจร้ายมากกกก แข็งใจทิ้งนอฟได้ด้วย

ดุริยะยังไม่รู้ว่าเป็นลูกใช่ป่ะ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
«ตอบ #223 เมื่อ23-02-2018 18:10:21 »

ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
«ตอบ #224 เมื่อ24-02-2018 00:05:01 »

อีกนิดเดียวก็ใกล้จะจบแล้ว ยังไม่อยากให้จบเลยค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-02-2018 12:01:06 โดย tasteurr »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
«ตอบ #225 เมื่อ24-02-2018 23:31:16 »

 :pig4:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
«ตอบ #226 เมื่อ27-02-2018 02:03:46 »

คิดถึงมากๆเลยค่ะ

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
«ตอบ #227 เมื่อ14-03-2018 18:31:25 »

Chapter 17

วันนี้มีถ่ายภาพนิ่งไว้สำหรับเตรียมโปรโมทเพลงใหม่ ซึ่งคอนเซ็ปต์เพลงนี้ก็เป็นเพลงรัก แต่นภธรณ์ไม่รู้สึกเบื่อหรือคิดว่ามันซ้ำซากอะไร กลับกันเขารู้สึกว่ามันแตกต่างด้วยซ้ำเพราะนี่เป็นเพลงรักที่เขาเลือกเอง

“ผมขอเพลงนั้นของพี่ยะได้ไหมครับ”

นภธรณ์บอกกับดุริยะในขณะที่กำลังซ้อมร้องเพลงด้วยกันวันหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน สร้างความแปลกใจให้ทุกคนมากโดยเฉพาะเจ้าของเพลง

โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ถอดหูฟังออกวางและหันมาหาเขา “เพลงมันเก่ามากแล้วนะ ถ้าอยากร้องจริงๆ ฉันแต่งให้ใหม่ดีกว่าไหม” ดุริยะไม่ได้หวง แต่ตามที่บอกไปว่าเพลงนี้แต่งไว้ตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว ของที่คิดว่าดีที่สุดในอดีตอาจไม่ได้ดีพอสำหรับปัจจุบัน ยิ่งตอนนี้เขาก็คิดว่าตัวเองฝีมือดีขึ้นมาก แนวเพลงในปัจจุบันก็เปลี่ยนไปจากอดีต เอามาร้องใหม่แทนที่จะเพราะ อาจจะกลายเป็นขายหน้าเสียเปล่าๆ

“ผมอยากร้องเพลงนั้น” นภธรณ์ยืนยัน

“ทำไมล่ะ”

“ตอนได้ฟังพี่ยะร้องวันนั้นผมรู้สึกชอบมากเลย เหมือนกำลังตกหลุมรักใครสักคน” นภธรณ์บอก “ผมอยากร้องเพลงที่เกิดจากรักครั้งแรกของพี่ยะครับ”

“แต่มันเป็นรักที่ไม่สมหวังนะ” ดุริยะทวนความเข้าใจ

“ผมอยากร้องจริงๆ ครับ” นภธรณ์ยืนยัน “ขอให้ผมร้องเถอะนะครับ”

ดุริยะไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธในทันที แล้วก็หายหน้าหายตาไปหลายวัน จนนภธรณ์คิดว่าโดนโกรธจนตัดหางปล่อยวัดไปแล้วที่กล้าขอเพลงกันหน้าด้านๆ แบบนั้น แต่หนึ่งสัปดาห์ให้หลังโปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ก็เดินมาหานภธรณ์ที่บริษัท ในสภาพขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าใกล้ตาย ในมือของดุริยะถือเพลงเก่าที่เขานำไปเรียบเรียงเนื้อหาให้สมบูรณ์และทำดนตรีให้ทันสมัยขึ้น พร้อมกับยื่นคำขู่ให้เด็กหนุ่มที่ยินดีรับไว้

“ต้องซ้อมหนักกว่าเดิมนะเจ้าหนู”

หลังจากขลุกอยู่ในห้องอัดเป็นเดือนๆ ตอนนี้เขาก็ได้ย้ายมาอยู่ในสตูดิโอที่วุ่นวายด้วยทีมงานที่เข้ามาช่วยเขาแต่งตัวถอดชุดนั้นใส่ชุดนี้อย่างสนุกสนานราวกับเขาเป็นตุ๊กตา

My melody เป็นเพลงรักที่บอกเล่าเรื่องราวของคนแอบรักและพยายามจะสื่อให้อีกฝ่ายรับรู้อย่างตรงไปตรงมา แม้เนื้อหาของเพลงจะจบแบบปลายเปิดให้คนฟังคิดต่อเองว่าสมหวังหรืออกหัก แต่เมื่อฟังแล้วก็ยังให้ความรู้สึกหวานๆ คิดถึงแบบปนเหงานิดๆ คล้ายๆ กับบรรยากาศช่วงปลายฝนต้นหนาว

ตั้งแต่เริ่มงานเมื่อเที่ยงจนถึงหกโมงเย็นนภธรณ์เปลี่ยนมาจนถึงชุดที่หกแล้ว ระหว่างที่นั่งให้ช่างแต่งหน้าอยู่เขาก็เกือบจะลืมตัวเผลอคิดว่าตัวเองเป็นนายแบบไม่ใช่นักร้อง แอบมองผ่านกระจกไปเห็นตฤณเริ่มปิดปากหาว ในขณะที่ดุริยะซึ่งรับตำแหน่งโปรดิวเซอร์เพลงให้นั้นก็กำลังเริ่มแกะบุหรี่ซองใหม่ขึ้นสูบ

เขามองนั่นมองนี่ผ่านกระจกไปเรื่อยๆ พลันสายตาก็ไปสะดุดลงตรงประตูสตูดิโอที่เปิดออกแล้วใครคนหนึ่งที่ดูเนี้ยบเป็นปกติในชุดสูทสีเข้มก็ก้าวเข้ามา

ปรเมษฐ์ค้อมศีรษะทักทายทุกคนอย่างคุ้นเคยก่อนจะเดินไปนั่งลงตรงมุมห้อง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นที่ประจำของเขาไปแล้ว

หลังจากวันที่สารภาพรักไปในวันเกิดปู่ระหว่างเขากับปรเมษฐ์ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิดเหมือนอย่างที่เจ้าตัวบอก กิจวัตรประจำวันอะไรก็เดิมๆ เขาก็ยังไปเรียนตอนเช้า ตกเย็นก็มาซ้อมร้องเพลงกับพี่ยะ ส่วนป๊าวันๆ ก็ยุ่งอยู่แต่กับงานเหมือนเดิมเจอหน้ากันนับชั่วโมงได้

อ้อ! ที่ดูเหมือนจะเพิ่มมานิดหน่อยคือหมู่นี้ป๊าหาเวลาว่างมารับส่งเขาตอนทำงานได้บ่อยขึ้น อันนี้ส่วนหนึ่งก็น่าจะเพราะพ่อโมมัวแต่ไปขลุกอยู่กับแฟนด้วย แล้วนับจากเกิดเรื่องคราวก่อนป๊าก็ไม่ค่อยวางใจพี่ตฤณเท่าไหร่ เพราะเขาน่ะชอบดื้อกับพี่ตฤณตลอดจนบางทีตฤณก็คุมไม่ค่อยจะอยู่

แต่พอปรเมษฐ์มาได้บ่อยๆ เขาก็ชักอยากจะไม่ให้มาซะแล้ว ส่วนสาเหตุนั้นก็กำลังคุยหัวร่อต่อกระซิกอยู่นั่นไง

“วันนี้คุณโป้มีอะไรพิเศษหรือเปล่าคะถึงได้แต่งตัวหล่อกว่าทุกวัน” หนึ่งในทีมงานสาวๆ ที่เข้าไปรุมช่วยกันดูแลผู้ปกครองของนักร้องหนุ่มถาม

“ยังไงครับ ผมก็ใส่สูทแบบนี้ทุกวันอยู่แล้ว” ปรเมษฐ์ถามกลับ

“ไม่เหมือนค่ะ” สไตลิสสาวตอบ “เพราะวันนี้คุณโป้ใส่สูทของอาร์มานี่แถมคัดติ้งเป๊ะขนาดนี้ต้องเป็นแบบสั่งตัดพิเศษแน่ๆ เอ๊ะ! หรือว่าวันนี้แอบนัดสาวที่ไหนไว้คะ”

“จะว่านัดก็นัดครับ” ปรเมษฐ์ยอมรับตามตรงทำเอาคนฟังตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น “เป็นสิบๆ คนเลย แต่ละคนสาวๆ สวยๆ ทั้งนั้น เสียอย่างเดียวพวกเธอพาสามีมาด้วย… แหม พวกคุณก็แซวกันไปผมแค่อยากแต่งตัวหล่อๆ ไปออกตรวจคนไข้บ้างไม่ได้เหรอครับ คนไข้เห็นจะได้สดชื่นไง”

“ฟังคุณโป้พูดแล้วอยากป่วยซะเดี๋ยวนี้เลย” ทีมงานสาวอีกคนบอก

“ยินดีครับ” ปรเมษฐ์ยิ้มพราย “แต่จะไปหาผมได้ต้องท้องก่อนนะครับไม่งั้นผมไม่รับ”

“ไปหาก่อนแล้วค่อยหาคนท้องด้วยก็ไม่ได้เหรอคะ”

“ไม่ได้ครับ”

“ว้า~ เสียดายจัง”

แล้วแก๊งนกกระจอกก็ค่อยๆ แตกรังกลับไปทำงานของตนต่อ นภธรณ์ลอบถอนหายใจที่ในที่สุดก็จะไม่มีใครมาเกาะแกะป๊าสักที แต่ตอนนั้นเองที่สไตลิสท์สาวคนเดิมหันหลังกลับมา

“เนกไทคุณโป้เบี้ยวน่ะค่ะ เดี๋ยวหนูผูกให้ใหม่นะคะ”

“รบกวนด้วยนะครับ” ปรเมษฐ์ตอบพร้อมกับรอยยิ้มหวาน

นภธรณ์เผลอหันควับไปมองป๊าจนช่างแต่งหน้าทำสายตาตำหนิใส่เขา เพราะเธอกำลังระบายลิปสติกสีแดงลงบนปากและมันทำให้เลอะจนเธอต้องมานั่งเก็บรายละเอียดใหม่ “ขอโทษครับ” นภธรณ์บอกเสียงอ่อยและหันมานั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันผ่านกระจกต่อ ทันทีที่แต่งหน้าเสร็จเขาก็กระโดดลงจากเก้าอี้พุ่งไปหาปรเมษฐ์ทันที

“ป๊า~”

ปรเมษฐ์เงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม “เสร็จแล้วเหรอ”

“เหลืออีกชุดนึงครับ ชุดสุดท้ายแล้ว”

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย พลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “ทำไมวันนี้นานจัง นี่แกไม่ได้ไปทำอะไรให้ทุกคนเขาลำบากใจจนงานไม่เดินใช่ไหม”

“ใส่ร้ายลูกชายอีกแล้ว” นภธรณ์ว่า “วันนี้ผมตั้งใจสุดๆ เลยนะ แต่ชุดมันเยอะนี่นา นี่ผมเปลี่ยนมาจะสิบชุดละเนี่ย”

“ในรายละเอียดงานที่ตฤณส่งมาให้บอกว่ามีแค่หกชุดไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มันงอกมาจากไหนอีกสี่ชุดฮึ เจ้าเด็กดื้อเลี้ยงแกะ” ปรเมษฐ์กล่าวอย่างรู้ทัน

นภธรณ์ย่นปากใส่และรีบเปลี่ยนเรื่อง “เลิกงานแล้วยังต้องผูกไทด์อีกเหรอครับ ไม่อึดอัดบ้างหรือไง” ไม่พูดเปล่าเด็กหนุ่มยังเอื้อมมือไปเกี่ยวปมเนกไทให้คลายออก

“ซนอะไรเนี่ย”

“ไม่ได้ซนสักหน่อย ผมแค่กลัวป๊าร้อน” นภธรณ์พูดหน้าตาเฉยพลางดึงเนกไทออกจากคอมาพับลวกๆ แล้วจับยัดใส่กระเป๋าเสื้อสูท “ผมไปถ่ายชุดสุดท้ายก่อนนะครับ ป๊ารอตรงนี้นะเดี๋ยวผมมา”

ปรเมษฐ์ไม่ว่าอะไรได้แต่โบกมือไล่ และหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านงานที่ค้างไว้อยู่

หลังจากตั้งใจโพสต์ท่าถ่ายรูปไปได้แค่อึดใจ ก็มีอะไรมากวนสมาธิเด็กหนุ่มให้กระจายอีกครั้ง เมื่อทีมงานสาวคนเดิมเดินเข้าไปหาปรเมษฐ์พร้อมกับแก้วกาแฟ

“อเมริกาโน่ร้อนไม่ใส่น้ำตาลของคุณโป้ค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

“ดื่มแต่กาแฟเปล่าๆ ไม่ขมเหรอคะ”

“มองหน้าคนชงก็หวานแล้วครับ”

คนที่กำลังแอบฟังด้วยความตั้งอกตั้งใจเบะปาก ...นี่วันนี้ป๊าเมารกเด็กหรือดุนักเรียนแพทย์จนสมองเพี้ยนไปแล้วเนี่ย ถึงได้อารมณ์ดีมาพูดเล่นอะไรแบบนี้ได้... ฮึ่ย! แล้วนี่ตกลงมาดูเขาหรือมาดูใคร ใช่สิ! หน้าลูกชายคนนี้มันขม ไม่หวานน่ามองเหมือนสาวๆ หน้าตาน่ารักนี่นา...

“เจ้าหนู อย่ามัวแต่เหม่อ ฉันบอกให้มองกล้องไง” ดุริยะเอ็ดมาจากหลังหน้าจอคอมพิวเตอร์ “มัวแต่คิดอะไรอยู่”

“ขอโทษครับ คือ ผม... แค่คิดอะไรดีๆ ได้น่ะ” นภธรณ์สะดุ้งโหยงแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ แต่เมื่อเขามองไปที่ปรเมษฐ์ซึ่งกำลังจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ เขาก็พบทางออก เด็กหนุ่มวิ่งออกจากฉากไปหาคนเป็นพ่อพร้อมกับดึงแก้วกาแฟออกจากมือ “ขอผมยืมหน่อยนะป๊า”

ถึงจะงงนิดๆ แต่ปรเมษฐ์ก็ไม่ว่าอะไรและยกแก้วกาแฟให้

“จะเอามาทำอะไร หิวน้ำหรือไง” ดุริยะถามเสียงขุ่น

“ผมจะเอามาทำแบบนี้ต่างหาก” นภธรณ์บอกก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นแตะที่ริมฝีปาก เมื่อกี้เขามัวแต่มองปรเมษฐ์เลยไม่ได้ท้วงช่างแต่งหน้าว่าลิปสติกสีแดงนี้มันไม่เหมาะกับหน้าเขาเลยสักนิด และตอนนี้เขาก็ได้โอกาสทำให้สีแดงนั้นมันจางลงพร้อมๆ กับจัดการเจ้ากาแฟแก้วนี้แบบไม่น่าเกลียด

เด็กหนุ่มนั่งลงหน้าเคาน์เตอร์ที่ถูกจัดไว้ถ่ายรูป แล้วเอาแก้วกาแฟที่มีรอยลิปสติกติดอยู่ตรงขอบแก้ววางไว้ข้างๆ เพื่อเพิ่มเรื่องราวให้ภาพ

“อ้อ” ดุริยะร้องก่อนจะหันไปพยักหน้ากับตากล้อง “นี่ไปจำมุกนี้มาจากแฟนคนไหนล่ะ”

“แฟนเฟินที่ไหนล่ะพี่ยะก็ ผมยังโสดนะ มาพูดงี้ผมเสียหายหมด” นภธรณ์กลับไปตั้งใจทำงานต่อ อีกไม่กี่อึดใจการถ่ายรูปในวันนี้ก็เสร็จเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็ถือแก้วกาแฟกลับไปหาคนที่นั่งรออยู่ “คืนครับ”

“อยากได้ก็เอาไปสิ”

“ผมไม่กินกาแฟ” นภธรณ์ตอบยิ้มๆ “ป๊าไม่กินเหรอ จะทิ้งก็เสียดายของนะ”

ปรเมษฐ์ไม่ตอบแต่ก็ยอมรับแก้วกาแฟคืนมา เด็กหนุ่มแกล้งทำเป็นจับเสื้อผ้าในขณะที่สายตาลอบมองมือใหญ่ที่ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ถึงจะจูบกันเป็นเรื่องปกติแต่เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจูบทางอ้อมแบบนี้มันตื่นเต้นไม่แพ้กัน ริมฝีปากหยักนั้นเกือบจะแตะขอบแก้วอยู่แล้วเมื่อเจ้าตัวสังเกตเห็นรอยลิปสติกสีแดงจึงใช้นิ้วโป้งปาดออกก่อนจะดื่ม

เด็กหนุ่มถอนหายใจแรงอย่างสุดเซ็ง “กลับบ้านกันเลยไหมครับ”

“ไม่” ปรเมษฐ์ตอบพลางโยนแก้วกาแฟที่ดื่มหมดแล้วลงถังขยะ

“แล้วเราจะไปไหนกันครับ”

“แล้วแต่แกสิ” ปรเมษฐ์บอก “วันนี้วันเกิดแก ฉันตามใจทุกอย่างอยู่แล้ว”

หน้าที่ตูมอยู่ค่อยคลายออก เขารู้อยู่แล้วละว่าป๊าต้องไม่ลืมว่าวันนี้วันอะไร แต่ไม่คิดว่าจะมีเซอร์ไพรส์ให้ด้วย “ทุกอย่างเลยเหรอ”

“ยกเว้นไปบ้านปู่ เพราะฉันตกลงกับปู่แกไว้แล้วว่าจะอนุญาตให้แกไปค้างได้อาทิตย์นี้เพื่อเป็นการชดเชยที่วันนี้ไม่ได้จัดงานฉลอง”

“ทำไมละครับ” นภธรณ์ถาม

“แค่คิดว่าแกคงอยากกินข้าวกับฉันสองคน” ปรเมษฐ์พูดเรียบๆ “หรือฉันคิดผิด”

“แล้วป๊าจะพาผมไปไหน”

“ฉันบอกแล้วไงว่าแล้วแต่แก”

“อย่ามาทำเนียนน่าป๊า ป๊าโทรหาปู่ ไม่รับนัดตรวจวันนี้ แล้วไหนจะใส่สูทตัวใหม่มาอย่างหล่ออีก ถ้าบอกว่ายังไม่ได้จองร้านนี่ผมไม่เชื่อหรอก”

“ก็แค่จองไว้เผื่อแกคิดอะไรไม่ออก” ปรเมษฐ์บอก “ถ้าแกไม่ชอบร้านที่ฉันจองไว้ เราไปกินร้านอื่นก็ได้”

“กินกับป๊า กินที่ไหนก็ได้ครับ”

“ถ้างั้นก็ผูกให้หน่อย” ปรเมษฐ์บอกพร้อมกับดึงเนกไทในกระเป๋าเสื้อยื่นมาตรงหน้า “ร้านนี้เขาบังคับให้แต่ตัวสุภาพ”

“ป๊าก็ผูกเองสิ”

“ใครเป็นคนถอด คนนั้นก็ต้องเป็นคนใส่ให้สิ”

“ก็ได้” เด็กหนุ่มรับเนกไทมาถือก่อนจะเอื้อมมือไปตวัดลงรอบคอคนตัวสูงกว่าแบบเก้ๆ กังๆ จริงอยู่ว่าเขาผูกเนกไทเป็นแต่เขาไม่เคยผูกให้คนอื่น แล้วปรเมษฐ์ก็ยืนนิ่งไปเสียเฉยๆ ไม่พูดไม่จาเอาแต่ยืนยิ้มมองจ้องเขาจนเขาเริ่มจะเขินขึ้นมา “มองอะไรน่ะป๊า”

“โตเป็นหนุ่มแล้วนะเราน่ะ” จู่ๆ คนที่เงียบอยู่ก็พูดขึ้นมา

“ใช่สิ ผมอายุสิบแปดแล้วนะ” นภธรณ์ตอบ ยิ่งรู้สึกแปลกไปกันใหญ่ ปกติป๊าจะชอบว่าเขาเป็นเด็กแต่วันนี้กลับบอกว่าเขาโตแล้ว... นี่จะมาไม้ไหนละเนี่ย

“นั่นสินะ... อายุสิบแปดแล้ว” ปรเมษฐ์บอกด้วยรอยยิ้มที่แปลกไปจากทุกที ทำให้เด็กหนุ่มใจสั่น เขานึกหมั่นไส้แกล้งดึงสายเนกไทแรงๆ จนมันรั้งขึ้นไปติดลูกกระเดือก

“เสร็จแล้ว!”

ปรเมษฐ์ขยับคอเล็กน้อยพลางดึงขยายปมเนกไทให้พอดี “ผูกไม่สวยแบบนี้ ต่อไปจะผูกให้แฟนได้ยังไง”

“ก็ไม่ผูกให้” นภธรณ์ว่า “ถ้าให้ผมผูกแล้วบ่น วันหลังก็ให้ไปผูกเอง”

“ใจร้ายจัง” ปรเมษฐ์รำพึง

“ผมไม่ได้ใจดีเหมือนป๊านี่” ถึงจะนึกตะหงิดใจนิดๆ ว่าปกติผู้หญิงเขาผูกเนกไทไปทำงานกันด้วยเหรอ แต่เพราะมัวแต่เขินเขาเลยรีบเดินดุ่มๆ นำไปขึ้นรถและไม่ได้คิดอะไรอีก

(ต่อข้างล่างค่ะ)

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
«ตอบ #228 เมื่อ14-03-2018 18:41:32 »

รถมาจอดลงหน้าโรงแรมระดับห้าดาวในย่านเศรษฐกิจใจกลางเมือง ปรเมษฐ์เดินนำเขาไปขึ้นลิฟต์และพามาที่ห้องอาหารซึ่งจัดเป็นชั้นลอยกลางแจ้งยื่นออกไปนอกตัวอาคารมองเห็นวิวแบบ 360 องศา มีเส้นแสงสีทองเป็นริ้วงดงามอันเกิดจากไฟบนถนนอยู่ด้านล่าง ตัดกับท้องฟ้าสีหมึกแม้จะมองไม่เห็นดวงดาวเพราะไม่อาจสู้แสงไฟนีออนในเมืองใหญ่ แต่ก็ยังมีพระจันทร์ดวงโตทอดตัวอ้อยอิ่งส่งยิ้มมาให้จากอีกฟากหนึ่ง

นภธรณ์กวาดตามองไปรอบๆ ที่มีแต่คู่รักมานั่งกินข้าวด้วยกัน แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกอยู่สักหน่อย แต่พอออเดิร์ฟถูกยกมาวางลงตรงหน้าเขาก็ลืมเรื่องหยุมหยิมพวกนั้นไปและลงมือจัดการกับเครปปลาแซลมอนรมควัน

“อร่อยไหม” ปรเมษฐ์ถามหลังมื้ออาหารผ่านไปกว่าครึ่ง

เด็กหนุ่มที่กำลังแทะสเต็กเนื้อแกะพริกไทยดำเคี้ยวแก้มตุ่ยพยักหน้ารับรวดเร็ว “เนื้อเหนียวไปหน่อย สงสัยแกะจะแก่แต่ก็ยังเคี้ยวไหวครับ” พูดจบก็ยักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง

ปรเมษฐ์คลี่ยิ้มกว้าง “ดีแล้ว กินเยอะๆ นะ” บอกพลางเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปเช็ดมุมปากที่เลอะซอส

นภธรณ์เหลือบตามองปลายนิ้วโป้งที่ไล้ข้างแก้มไปถึงริมฝีปากมันขยับอย่างเชื่องช้าสวนทางกับหัวใจของเขาที่กำลังเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขายังคงมองจนกระทั่งปรเมษฐ์ดึงมือกลับไปเลียคราบซอสด้วยความเคยชิน เด็กหนุ่มรู้สึกลำคอแห้งผากวันนี้ป๊ามาแปลกจริงๆ ด้วย เขากลืนเนื้อแกะลงคอพร้อมกับยืดตัวขึ้นนั่งตรง “ป๊ามีข่าวร้ายอะไรจะบอกผมหรือเปล่า”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

“ก็ป๊าทำเหมือนในหนังเลยอะ” นภธรณ์ว่า “พามากินร้านหรู สั่งอาหารอร่อยๆ ให้ แล้วก็จบด้วยการบอกข่าวร้ายอะไรงี้ หรือไม่ก็ตัวเอกจะถูกฆ่าน่ะ”

“หมู่นี้ดูหนังสยองขวัญมากไปสินะ” ปรเมษฐ์หัวเราะในลำคอ “ไม่คิดว่าจะเป็นหนังรักบ้างเหรอแบบที่ตอนจบสารภาพรักแล้วก็อยู่กันอย่างมีความสุขน่ะ”

นภธรณ์ส่ายหน้า “ป๊าอย่ามาอำผมเล่น มีอะไรก็ว่ามาเลยดีกว่า”

“รอกินของหวานก่อนไหม”

“ไหนบอกว่าไม่มีไง” นภธรณ์เริ่มโวยวาย “มีอะไรก็บอกมาเลย ป๊าจะไปดูงานต่างประเทศต้องทิ้งผมไว้เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง หรือป๊าจะมีแฟนใหม่... รีบๆ บอกมาเถอะ ผมทำใจแล้ว”

“ฉันไม่ได้จะทิ้งแกไปไหนแล้วก็ไม่ได้มีแฟนใหม่ด้วย” ปรเมษฐ์พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น “แต่เป็นเรื่องแฟนคนเก่าน่ะแหละ”

“เรื่องแม่เหรอ”

ปรเมษฐ์พยักหน้า

“แม่จะกลับมาเหรอ?”

ปรเมษฐ์ส่ายหน้า “แล้วแกอยากเจอแม่ไหม”

“ถามตรงๆ ก็บอกตรงๆ นะป๊า คือเรื่องมันผ่านมานานแล้ว ผมไม่ค่อยสนใจคนที่ทิ้งผมไป...”

“ไม่ได้ทิ้ง” ปรเมษฐ์ตัดบท “แม่ไม่ได้ทิ้งแกไป”

นภธรณ์พยักหน้า “แม่แค่ไปตามความฝัน ผมเข้าใจ...”

“ฉันไม่ได้เล่นคำเพื่อให้แกรู้สึกดีนอฟ แต่ความจริงคือแม่ไม่ได้ทิ้งแกไป” ปรเมษฐ์บอกชัดถ้อยชัดคำ

“แล้วทำไมแม่ไม่กลับมาล่ะ”

“เพราะฉันขอไว้”

นภธรณ์เงียบไปอึดใจเพื่อทำความเข้าใจกับคำพูดนั้น “ป๊าหมายความว่าไง”

“ในตอนนั้น แม่แกแค่ลังเลว่าจะทำยังไงต่อไปดี” ปรเมษฐ์เริ่มต้นเล่า “เขายังคิดไม่ออก มืดแปดด้าน ฉันก็เลยยื่นข้อเสนอที่จะช่วยจบเรื่องทั้งหมดให้ ฉันขอร้องเขาให้ทำให้เราเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ และแกจะเป็นลูกฉันตลอดไป”

“ป๊ารักแม่มากเลยสินะถึงได้ยอมทำถึงขนาดนั้น... ยอมเลี้ยงเด็กที่ไม่ใช่ลูกของตัวเอง”

“ความจริงอีกข้อคือฉันกับแม่แกไม่ได้เป็นอะไรกัน” ปรเมษฐ์พูดต่อ “ฉันรักเขาข้างเดียวและก็โดนหักอกไปนานแล้ว... จนกระทั่งได้เจอกันอีกครั้งตอนที่เขาอุ้มท้องแกเข้ามาในห้องคลอดวันนั้นน่ะแหละ และฉันนี่แหละคือคนที่ทำคลอดแกเองกับมือ... ตอนนั้นฉันเองก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงปล่อยมือผู้หญิงที่เคยรักมากมายได้ง่ายดาย แต่กลับตัดใจวางเด็กชายแปลกหน้าที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่ลงสักที และจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังปล่อยมือจากแกไม่ได้”

“แล้วจู่ๆ ป๊ามาเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังทำไม” นภธรณ์ถามด้วยความไม่เข้าใจ

“เพราะมันถึงเวลาแล้วน่ะสิ” ปรเมษฐ์บอก “ฉันตั้งใจจะบอกแกทุกอย่างในวันที่แกอายุครบสิบแปดปี รวมถึงเรื่องที่แกไม่ใช่ลูกฉันด้วย แต่มันก็ผิดแผนไปหน่อยแกเลยได้รู้ก่อน ตัวแกเองก็รับมือกับเรื่องนี้ได้ดีมากอย่างที่ฉันเองก็คาดไม่ถึง วันนี้ฉันก็เลยไม่ค่อยลำบากใจที่จะพูดเท่าไหร่”

“ขอบคุณที่บอกนะครับ” นภธรณ์รับคำแต่ยังคงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่

“โกรธฉันหรือเปล่า” ปรเมษฐ์ถาม

“เรื่องอะไรครับ”

“เรื่องที่ไม่ยอมให้แม่มาเจอแก”

“ไม่โกรธครับ แค่แปลกใจ”

“สุรชัยเป็นคนฉลาดน่ะ” ปรเมษฐ์บอก “ปู่ของแกก็ดูเหมือนจะไม่เชื่อฉันแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าเขายังมาเจอแกฉันกลัวว่าสักวันความจะแตก ก็เลยตกลงกันว่าจะไม่มาเลยจะดีกว่าเพื่อเป็นการตัดปัญหา... นี่ แกโอเคแน่นะ ทำไมจู่ๆ ก็เงียบไป”

“อ๋อ ไม่มีอะไรครับคือผมแค่โล่งอกน่ะ” นภธรณ์บอก “บอกแล้วไงว่าผมทำใจไว้ถึงขั้นป๊าจะหนีผมไปหรือป๊าจะมีแฟนใหม่ เพราะงั้นเรื่องแค่นี้สบายมาก แค่กำลังทำความเข้าใจเรื่องราวอยู่น่ะ”

“สิบแปดปีนี่เหมือนจะนานแต่ก็ผ่านไปเร็วเหมือนกันนะ” ปรเมษฐ์บอก “ขอโทษนะที่สิบแปดปีที่ผ่านมาฉันอาจทำตัวเป็นพ่อที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วก็ขอบคุณมากที่ถึงฉันจะเป็นแบบนั้นแกก็ยังอยู่กับฉันมาจนถึงวันนี้”

“ป๊าพูดอะไรแบบนั้นเล่า ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณป๊าที่เลือกจะเอาผมมาอยู่ด้วย ขอบคุณนะครับ”

“ไม่อยากได้คำขอบคุณน่ะ”

“อ้าว แล้วป๊าอยากได้อะไร”

ปรเมษฐ์ไม่ตอบแต่เอียงแก้มให้

แก้มขาวซับสีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย นภธรณ์เหลียวมองไปรอบๆ ร้านที่มีคนนั่งอยู่เต็ม “ไม่เอาน่าป๊า มาทำอะไรที่นี่ อายคนอื่นเขาไหม”

“อะไรกันเมื่อก่อนตอนเป็นเด็กนึกจะกอดจะจูบฉันเมื่อไหร่ก็ทำ ทีตอนนี้ฉันขอแค่หอมแก้มนี่ไม่ได้ ใช่สิ! แกโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่ อะไรก็ไม่เหมือนเดิมสินะ”

“นี่ป๊าเมาหรือเปล่าเนี่ย”

“เมาอะไรยังไม่ได้กินเหล้าสักหยด” ปรเมษฐ์พูดแกมบ่น “นี่ล่ะนะ ที่เขาว่าพอเด็กโตขึ้นอะไรๆ ก็เปลี่ยนไป ใช่สิ! ป๊าคนนี้มันแก่แล้วนี่ ไม่ได้เป็นหนุ่มหล่อๆ แบบเมื่อก่อน”

“ก็ได้ๆ ผมยอมแล้ว” นภธรณ์ร้องเสียงดัง วันนี้ป๊ามาแปลกจริงๆ นึกจะเท่ก็เท่ แล้วจู่ๆ ก็เล่นมาอ้อนกันแบบนี้ หัวใจเขาก็ยิ่งบอบบางอยู่ด้วย “หันมาสิครับ”

“ไม่อยากได้แล้ว”

“อ้าว” นภธรณ์ร้อง ตามใจคนอายุมากกว่าไม่ทันจริงๆ

“ทำอะไรประเจิดประเจ้อเดี๋ยวก็โดนเอาลงข่าวหน้าหนึ่งอีก” พูดจบปรเมษฐ์ก็เริ่มตั้งต้นกินอาหารในจานต่อ

OOOOOO

กว่าจะกลับถึงบ้านก็ห้าทุ่มกว่า นภธรณ์ที่ซัดเค้กสตรอว์เบอร์รี่ขนาดครึ่งปอนด์ไปคนเดียวอิ่มพุงกาง เขาเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตลอดจนถึงห้อง

“นอฟ” ปรเมษฐ์เรียก

“มีอะไรครับ”

“ฉันเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ให้ของขวัญแกเลย แกมีอะไรอยากได้เป็นพิเศษไหม”

“แค่ป๊าพาไปกินข้าวผมก็ดีใจแล้วครับ” นภธรณ์บอกพลางยกมือขึ้นลูบท้อง ให้กินมากกว่านี้ผมก็ไม่ไหวแล้วนะ

“แต่ยังไม่มีของขวัญนะ” ปรเมษฐ์ว่า “อยากได้อะไรบอกมาสิ นี่ยังไม่พ้นวันเกิดแก ขออะไรตอนนี้ได้ทุกอย่างเลยนะ”

“ไม่เอาหรอก”

“ไม่มีของที่อยากได้เลยเหรอ” ปรเมษฐ์ถาม “ขนม เสื้อผ้า รองเท้า รถ เงินต้องมีสักอย่างสิ”

นภธรณ์ส่ายหน้า “ไม่อยากได้อะไรครับ”

“อะไรกัน”

“จริงๆ ก็มีอยู่อันนึงแต่คิดว่าไม่ขอดีกว่า”

“ไหนลองบอกมาสิว่าอะไร”

“ไม่เอาดีกว่าครับ” นภธรณ์เปลี่ยนใจ

“ลองบอกมาก่อนน่า”

เด็กหนุ่มเม้มปากสนิท… ถ้าหากพรวันเกิดขออะไรก็ได้จริง เขาอยากจะได้สิ่งที่รอคอยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว “คือ... ผมอยากได้คำตอบ”

“เรื่องอะไร” ปรเมษฐ์ถาม

“ก็ที่ผมถามป๊าไปตอนนั้นไง... เอ่อ... ผมบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ช่างมันเถอะป๊า ลืมๆ มันไปซะ แล้วไปนอนกันเถอะ”

ปรเมษฐ์ไม่ตอบในทันที เขาถอดเสื้อสูทออกแขวน ปลดกระดุมข้อมือและกระดุมอกเสื้อเชิ้ตออกสองเม็ดให้หายใจสะดวกก่อนจะเดินไปหา “ตอนนั้นน่ะตอนไหน เรื่องมันตั้งนานมาแล้วฉันจำไม่ได้หรอก”

“ก็ตอนงานวันเกิดปู่... หลังจากที่รู้ว่าผมไม่ใช่ลูกป๊า เราออกจากห้องมาแล้วผมก็บอกป๊าไปไง…”

ปรเมษฐ์กรอกตาไปมา “นึกไม่ออกน่ะ ตอนนั้นแกพูดว่าอะไร ไหนลองพูดให้ฟังอีกครั้งสิ”

“จะพูดได้ไง ก็ผมเพิ่งบอกป๊าว่าให้ลืมมันไปให้หมด”

“แกพูดตั้งมากมายขนาดนั้นแล้วจะบอกให้ฉันลืม แบบนี้มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ”

“ผมขอโทษ” เด็กหนุ่มพูดเสียงอ่อยพร้อมกับก้มหน้ามองพื้นเพื่อซ่อนความเจ็บปวดที่ต้องแสดงออกทางสายตาแน่ๆ เคยให้สัญญาไว้แล้วแท้ๆ ว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิม แต่สุดท้ายเขาก็ผิดคำพูด ขุดเรื่องเก่าขึ้นมาให้นึกถึงจนได้ เขาได้ยินเสียงปรเมษฐ์ถอนหายใจก่อนจะพูดเสียงเบา

“แกนี่มันเหมือนแม่แกจริงๆ”

“ร... เรื่องอะไรครับ” นภธรณ์ถาม

“ก็มาหลอกให้ฉันรัก แล้วสุดท้ายก็เลือกที่จะทิ้งฉันไป”

ถึงตอนนี้นภธรณ์ยังคงก้มหน้ามองพื้น เขายืนโงนเงนอยู่บนเท้าของตัวเอง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งฟังเสียงของป๊าที่พูดตัดพ้อกับเสียงฝีเท้าที่ขยับเข้ามาใกล้มากทุกที จนกระทั่งเห็นปลายเท้าของป๊ามาอยู่ในระยะสายตา

“แบบไม่ใยดีกันเสียด้วย”

เสียงนั้นดังฟังชัด หากก็ให้ความรู้สึกเบาหวิวราวกับคนพูดจะขาดใจ เด็กหนุ่มกำคลายมือสลับกันไปมา ริมฝีปากขยับแล้วขยับอีกอย่างไม่มีเสียง... ต้องพูด... เขาต้องพูด... ต้องอธิบายอะไรสักอย่างให้ป๊าเข้าใจ 

“ผม... ไม่ได้ทิ้งป๊านะ”

“ก็เพิ่งจะพูดเองไม่ใช่เหรอว่าให้ลืมมันไป งั้นฉันจะลืมจริงๆ แล้วนะ”

“ก็ป๊า...” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจะพูดต่อ แต่แล้วคำพูดก็ถูกหยุดไว้แค่ริมฝีปากเพราะเขาเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ปรเมษฐ์เข้ามายืนใกล้มากแค่ไหน นัยน์ตาคมของอีกฝ่ายจ้องมาราวกับจะมองให้ทะลุ ใกล้จนเขาได้กลิ่นลมหายใจกับเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมออยู่หลังแผงอกกว้างนั่น อยากจะถอยหนีแต่หลังก็ติดประตูเสียแล้ว

ปรเมษฐ์เท้าแขนข้างหนึ่งลงข้างศีรษะ เพื่อก้มหน้าลงไปพูดใกล้ๆ ได้อย่างถนัดถนี่ “จะถามอีกครั้งนะ อยากให้ฉันลืมจริงๆ เหรอ”

“ผม...” แล้วเด็กหนุ่มก็เอะใจอะไรบางอย่าง ที่คล้ายๆ จะเข้าข้างตัวเอง... และป๊าจะเพิ่งจะยืนยันออกมาด้วยตัวเองว่าป๊าไม่ได้เพิ่งรู้ว่าเขาไม่ใช่ลูก แต่ป๊ารู้มานานแล้ว รู้มาตั้งแต่แรก... แล้วที่ป๊าบอกว่าเขาเหมือนแม่นั่นไม่ได้หมายถึงหน้าตาเหมือนทุกครั้งแต่เป็น... “เมื่อกี้ป๊าหมายความว่าไงครับ ที่ว่าผมมาหลอกให้รักแล้วทิ้งไปน่ะ”

ริมฝีปากหยักลึกค่อยระบายยิ้มขึ้นช้าๆ “เวลาพูดอะไรไม่เคยฟัง บอกว่าจะไม่ทิ้งกันก็ไม่สน สัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปก็ไม่เคยจำ แกก็เป็นซะแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนะเด็กโง่”

“ฟังแล้ว!” นภธรณ์พูดเสียงดัง “ผมจะฟัง… จะฟังทุกอย่างเลย ป๊าจะพูดอะไรครับ”

ในที่สุดยิ้มกว้างก็ลากเต็มริมฝีปาก แต่ปรเมษฐ์กลับลดมือลงพร้อมกับยืดตัวขึ้น “ไม่พูดแล้ว”

เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปคว้าแขนอีกฝ่ายไว้แน่น “พูดเถอะนะครับ”

ตาคมเหลือบลงมองคนที่เกาะแขนมองตาแป๋ว “ไม่ต้องมาอ้อนซะให้ยาก”

“ป๊า~” นภธรณ์รบเร้า “พูดหน่อยน้า~”

“ดูปากนะ… ไม่-พูด” พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปหาแล้วเม้มปากปิดสนิท

เด็กหนุ่มย่นปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ ถ้าป๊าจะปากแข็งขนาดนั้นละก็…

เขายื่นสองสองมือออกไปข้างหน้า คว้าคอเสื้อของปรเมษฐ์ให้โน้มลงมาใกล้ แต่ริมฝีปากแตะยังไม่ทันจะลิ้มรสหวานคนอายุมากกว่าก็ใช้ฟันงับริมฝีปากของเขาอย่างแรงจนต้องล่าถอยออกมากุมปากตัวเองแน่น

“โอ๊ย~ ทำอะไรน่ะ ผมเจ็บนะป๊า!” นภธรณ์บ่นอุบพลางใช้ปลายนิ้วถูปากให้ที่แดงเป็นปื้น ในขณะที่ปรเมษฐ์เพียงแค่ยืนกอดอกเอาไหล่ชนกำแพงมองดูเขาเฉยๆ “แล้วตกลงป๊าจะพูดได้หรือยัง”

“พูดว่าอะไรล่ะ” ปรเมษฐ์ถามเสียงเรียบ

ความเขินยังคงเกินสิบแต่ที่เพิ่มมาคือความอยากรู้เกินร้อยที่ต้องเปลี่ยนไปใช้คำว่าหน้าด้านแล้ว นภธรณ์สูดลมหายใจเข้าเรียกความกล้าให้กลับมาและถามออกไปด้วยเสียงดังฟังชัด “ก็ที่ผมบอกรักไป ตกลงป๊าคิดยังไงกับผมละครับ”

คนโดนถามพ่นลมออกจมูก อยากจะขึ้นต้นประโยคว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ความรู้สึกเอ็นดูนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความรัก… เพราะความจริงแล้วมันชัดเจนมาตั้งแต่ตอนนั้น ในวันที่คิดว่าไม่เหลือใคร แต่กลับมีมือเล็กๆ จับมือเขาเอาไว้ เสียงเล็กๆ ที่พร่ำเรียกแต่ชื่อของเขาพูดซ้ำๆ ว่าจะอยู่กับเขา ตอนที่หันหลังกลับไปแล้วกอดร่างเล็กๆ ไว้ในอ้อมแขน ความรู้สึกในวินาทีมันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยนอกจาก ‘รัก’

นับตั้งแต่นั้นมาเขาก็อยากจะครอบครองเด็กคนนี้ไว้กับตัว มันเป็นคำโกหกทั้งเพกับเรื่องจูบตามธรรมเนียมของบ้าน แต่ก็ไม่ทั้งหมดหรอกเพราะปกติก็มีหอมแก้มกันบ้าง นัยน์ตาหวานคู่นั้นจะต้องมองตรงมาที่เขาเท่านั้น รอยยิ้มเอียงอายเกิดขึ้นได้เฉพาะเวลาที่เขาเย้าแหย่… เขาไม่ใช่พ่อที่ดี ไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด…

นั่นเพราะคนใจบาปอย่างเขาไม่ได้ต้องการเป็นแค่พ่อมาตั้งนานแล้ว...

ปรเมษฐ์มองตาคนที่จ้องมองเขาอย่างดื้อรั้น ริมฝีปากยกมุมขึ้นเล็กน้อย “คิดว่าเป็นเด็กดื้อที่ปล่อยให้ละสายตาไม่ได้” เขาบอก

“และจะเป็นคนเดียวที่ยอมให้อยู่ด้วยกันตลอดไป”

“ตกลงมันแปลว่าอะไรครับ” นภธรณ์ยังไม่ยอมแพ้

“เรื่องแค่นี้แปลเองไม่ได้เหรอเด็กโง่”

“ครับ” คนหัวทึบยอมรับ “พูดให้ฟังหน่อยสิครับ ผมอยากฟัง”

ในที่สุดคนฟังก็ทนลูกอ้อนไม่ไหว ปรเมษฐ์ยอมแพ้ราบคาบและก้มหน้าลงกระซิบที่ข้างหู “ไปนอนกันเถอะ ฉันง่วงแล้ว” ก่อนจะหัวเราะเสียงดังกับความผิดหวังที่ฉายชัดขึ้นบนใบหน้าเด็กหนุ่ม เขาทำเป็นไม่สนใจและหันหลังเดินไปทางห้องน้ำ

“ป๊า!” นภธรณ์ส่งเสียงเรียก “อย่ามาหนี มาเปลี่ยนเรื่องกันแบบนี้นะ ผมไม่ยอมจริงๆ ด้วย”

“ก็เรื่องของแก แต่ฉันจะนอนแล้ว”

“ป๊า~”

“อะไรอีก”

“ผมไม่ถามแล้วก็ได้ แต่บอกผมหน่อยว่านี่คือความรู้สึกของป๊า หรือเป็นแค่ของขวัญวันเกิด แล้วพรุ่งนี้ผมต้องทำทุกอย่างให้เหมือนเดิมใช่ไหม”

ปรเมษฐ์หยุดยืนก่อนจะหันหลังกลับและเดินเข้ามาหา “เป็นของขวัญวันเกิด” เขาตอบเสียงนุ่ม

“เหรอครับ” นภธรณ์รับคำเสียงอ่อยพลางหลุบตาลงมองพื้น เมื่อความผิดหวังค่อยๆ คืบคลานมาเกาะกุมหัวใจ

“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านี่ไม่ใช่ความรู้สึกของฉัน และพรุ่งนี้ระหว่างเราก็ยังคงเหมือนเดิม” ปรเมษฐ์พูดต่อ

เพราะยังไม่กล้าสบตาตรงๆ เด็กหนุ่มจึงหันหน้าหนีไปอีกทาง พลันมือใหญ่ก็ค่อยสอดแทรกเข้ามาประคองที่ข้างแก้มดึงให้หันกลับไป ไม่ใช่เพื่อสบสายตา แต่เพื่อหยิบยื่นของขวัญที่เจ้าของวันเกิดทวงถาม

ริมฝีปากหนักลึกแตะลงเบาๆ คล้ายเตือนให้หลับตาลงก่อนจะกดย้ำด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

มันคือจูบแบบที่เขาเคยสัมผัสเพียงแค่ครั้งเดียวจากคนๆ เดียวกันเมื่อหลายเดือนก่อน

จูบ… ที่วันนั้นเขาไม่เข้าใจความหมายของมัน

แต่ในที่สุดวันนี้เขาเข้าใจแล้ว

เข้าใจ… โดยไม่ต้องมีคำพูดอะไร

ปรเมษฐ์ถอนริมฝีปากออกเล็กน้อย หากลมหายใจยังคลอเคลียประสานเป็นเนื้อเดียวกัน “หรือแกอยากให้ฉันเปลี่ยนไปล่ะ”

“ไม่ครับ” นภธรณ์ตอบ สบสายตาคนตรงหน้านิ่ง “ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”

ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆ เพราะตอนนี้เสียงที่ดังอยู่ข้างในหัวใจช่วยบอกความรู้สึกทั้งหมดที่ต่างก็ซ่อนเก็บไว้ตลอดหลายปีออกมาจนหมดแล้ว

The End

*******************************************************************************************

Talk

จบจริงๆ แล้วค่ะหลังจากซ้อมจบไปเมื่อบทที่แล้ว(โดนคนอ่านตบ)
ทีแรกตั้งใจจะแบ่งเป็นสองพาร์ทคือตอนจีบกะตอนสมหวัง ประมาณว่าสองภาคไรงี้ แต่คิดไคิดมาไม่เอาดีกว่ามันไม่ใช่เลกกี้แดนสไตล์ ดังนั้นจบเลยละกัน แล้วตอนพิเศษเราจะโปรยน้ำตาลมาล่อมดให้

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนต์และการติดตามค่ะ
เร็วๆ นี้จะเปิดเรื่องใหม่ค่ะ ยังไม่บอกชื่อเรื่อง(เพราะยังไม่ได้เคาะชื่อแบบไฟนอล) เอาเป็นว่าเป็นเรื่องของหมอนิติเวชค่ะ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
รัก
leGGyDan
 :mew1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
แล้วพี่ยะใช่พ่อนอฟไหมอ่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ชอบในความที่ถึงรู้ว่าเขารักกันแต่ก็ยังรู้สึกถึงความเป็นพ่อลูกอยู่ค่ะ จะร้องไห้ ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ  :impress2:

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
ป๊าเป็นหมอต้อยเด็กกกกกกก  :hao7:
ที่รอให้ครบ 18 จะได้ไม่พรากผู้เยาว์ใช่ไหมล่ะ คุณป๊า

สงสัยว่าพี่ยะเป็นพ่อจริง ๆ ของนอฟ รึป่าว ดูรัก ดูปกป้องอยู่ห่าง ๆ

ถ้ามีโครงการทำเล่ม จะรอนะคะ  :mew1:

ติดตามเรื่องใหม่ต่อเลยย

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
แม้แต่ตอนจบ ก็ยังจบแบบสีเทาๆ 55555  อยากได้ยินชัดๆจากปากป๊าเหลือเกิน / ฝันไปเถอะ
 
แบบหมอๆของเลคกี้แดนสไตล์นี่มันช่าง...โดนใจเสียเหลือเกิน รอหมอคนต่อไปค่ะ ขอบคุณนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เรื่องนี้ป๊าร้ายสุดละ ที่แท้ก็เลี้ยงเด็กเด็กไว้กินเองนี่นา 55555 พอครบ18นี่กะจับรวบกินเลยรึป่าวคะป๊า

ออฟไลน์ vy0Cik

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 206
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
อร้ายยย ขุ่นพ่อ!! เขิลอ่ะ ฮืออออน่ารัก ชอบเรื่องนี้อ่ะ ชอบมากๆเลย ความสัมพันธ์ที่มีแค่กันและกันตั้งแต่เด็กจนโตผสมความบาปนิดๆ สเป็คมาก!! ชอบ!! ชอบนิยายของคุณทุกเรื่อองเลยค่ะ รอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ป๊าย้อนแย้งในตัวเองที่สุดเลย ทำเป็นจะปล่อยนอฟไป
ทั้งๆที่ปล่อยมือไม่ได้ตั้งแต่วันแรกแล้ว
ชอบความอ้อยของน้องนอฟจังเลย เวลาคิดไม่ดีกับคุณป๊าเนี่ย เอ็นดูวววววว

เป็นตอนจบที่แอบหน่วงนิดๆสำหรับเราค่ะ เพราะพึ่งรู้ตัวว่าขึ้นเรือยะโป้แบบลงไม่ได้ซะแล้วทั้งๆที่ไม่มีแววเลย ฮ่าๆ

สุดท้ายแล้วขอบคุณคนเขียนมากนะคะสำหรับนิยาย  :กอด1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ tkaekaa

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ป๊านี่เลี้ยงต้อยมาแต่กำเนิดจริงๆ อิอิ
น่ารัก กรุ่นๆดี

ออฟไลน์ skysky

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-0
ขอสารภาพว่าเคยอ่านตอนแรกๆ แล้วรู้สึกเกรงกลัวต่อบาป เกรงกลัวต่อศีลธรรม
ในความรู้สึกระหว่างนอฟกับป๊า เลยรอให้จบแล้วค่อยอ่านรวดเดียวค่ะ 555
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะคะ
ถึงป๊าจะอายุมากกว่าถึง 19 ปี แต่ความเท่ของป๊าก็ยังคงอยู่
อยู่ๆก็รู้สึกชอบคนมีอายุ ฮาาาา
ก็ป๊าแสนดีแบบนี้เนอะ ใกล้ชิดกันขนาดนี้
ชอบความหึง ความหวงของสองพ่อลูกนี้ชะมัด 555
ถึงไม่ใช่พ่อลูกกันตามสายเลือด แต่ความสัมพันธ์ก็ยังคงอยู่ ยังคงรักกันเหมือนเดิม :)

ออฟไลน์ TheGraosiao

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :L2:

ขอบคุณมากๆค่ะ

เป็นแฟนผลงานของ คุณleGGyDan มาตลอดเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด