THE SWAN
เก๋ เริ่ด เชิด หงส์ 5
First Trip
00:11
เป็นอีกสัปดาห์ที่เวลาผ่านไปโคตรเร็ว เผลอแปปเดียวคืนวันศุกร์ก็มาถึง
หลังจากที่ผมนัดไปทำสปากับคุณแม่คนสวยเมื่อช่วงเย็น โดยมีไอ้วีวิศน้องชายหัวเกรียนตัวแสบที่เพิ่งเลิกจากเรียน รด. ติดสอยห้อยตามไปด้วย ตอนนี้ผมก็นั่งจิบไวน์บนโซฟาตัวโปรดริมระเบียงพร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดโรแมนติกจากแสงไฟบนยอดตึกสูงระฟ้าในกรุงเทพฯ ด้วยลมเย็นสบายที่พัดมากระทบผิวบวกด้วยกลิ่นหอมวานิลลาจากน้ำมันหอมระเหยยิ่งช่วยทำให้รู้สึกดีมากขึ้นไปอีก
ระหว่างที่ผมกำลังฟินได้ที่ โทรศัพท์เครื่องสีแดงที่วางอยู่ไม่ห่างก็ดังขึ้นผมก้มมองสายเข้าที่โทรจากไลน์
แสดงชื่อที่ผมไม่คุ้นเคย
‘Petch’
แต่พออ่าน ก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นใคร
ผมกดตัดสายไปในครั้งแรกที่เขาโทรเข้ามา เพราะไม่อยากให้บรรยากาศที่กำลังได้ที่ต้องเสียไปจากการกดรับสายนายคนนั้น
แต่นายเพชรก็ทำให้ผมได้เรียนรู้แล้วว่า เขาเป็นคนที่ดันทุรัง ทำอะไรต้องทำให้สุด
เหมือนกับที่เขากำลังโทรเข้ามากวนผมเป็นสายที่ 3 ในตอนนี้
ผมกดรับสายพร้อมกับข่มความรู้สึกไม่ค่อยพอใจเอาไว้ ด้วยว่าก่อนหน้านี้ผมยังรู้สึกดีกับค่ำคืนนี้อยู่เลย
เพราะฉะนั้นผมไม่ควรขุ่นเคืองใจเพียงเพราะนายเพชรโทรเข้ามา
“ว่า” ผมรับสายเสียงนิ่ง พร้อมสายตาที่ยังคงกวาดมองวิวสวยจากแสงไฟ
“คุณณณณ...กว่าจะรับสายผม”
ผมหน้ามุ่ยขึ้นหน่อยนึงพอได้ยินประโยคทักทายจากฝ่ายโน้น
“แล้วจะทำตัวเสียมารยาท โทรเข้ามาตอนดึกทำไมไม่ทราบ”
“โอเค โอเค ขอโทษค้าบ...ผมจะโทรมาคุยเรื่องงาน” นายเพชรเสียงอ่อนลง
“ไม่โทรตอนกลางวัน” ผมพูดตำหนิพลางหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ
“ผมยุ่งทั้งวันอ่ะคุณ อีกอย่างพรุ่งนี้วันเสาร์แล้ว เลยต้องรีบโทรมาตอนนี้”
“อืม งั้นก็ว่ามาเลย”
“พรุ่งนี้คุณว่างเปล่า จะได้ไปทำงานกัน” งานวิชาที่ให้พวกเราไปเที่ยวอ่ะครับ
“ว่างนะ ว่าแต่คุณว่าไปไหนดีอ่ะ รู้ป่ะที่ไหนมีหงส์” ผมพูดถามพลางใช้ความคิด
อาจารย์ให้ไปเที่ยวสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับชื่อกลุ่ม แล้วผมจะไปเที่ยวยังไงให้เจอหงส์ในกรุงเทพฯ
ถ้าเป็นอยู่ที่ลอนดอนว่าไปอย่าง..
“ผมก็ยังนึกไม่ออกอ่ะคุณ ผมว่าจะลองหาข้อมูลดู แล้วพรุ่งนี้เรานัดกันแต่เช้า”
“ก็โอเคนะ...ไปที่ที่ไม่ลำบากนะคุณ ไม่ร้อน ไม่กันดารแต่ก็ไม่วุ่นวาย”
“เอิ่ม...ก็ได้ครับ งั้นพรุ่งนี้ 9 โมง ผมไปรับคุณที่คอนโด”
“นัดเจอที่อื่นก็ได้ป่ะ”
“คอนโดคุณแหละง่ายสุดแล้วครับ กลางเมืองดี.
..แล้วถ้าคุณช้า ผมจะได้นั่งรอที่ล็อบบี้แอร์เย็นๆ”
“พูดเยอะ แค่นี้นะ”
ผมวางโทรศัพท์ลงด้านข้าง แล้วหันมาสนใจแก้วไวน์ในมือก่อนจะยกขึ้นมากระดกจนหมดแก้ว
‘กริ๊ง’
เสียงกดกริ่งหน้าประตูชวนให้สงสัยว่าใครมาหาดึกดื่นขนาดนี้
ถ้าจะพูดถึงคนที่มีคีย์การ์ดแล้วขึ้นมาบนนี้ได้ ก็น่าจะมีแค่คนในครอบครัว
แต่ก็เพิ่งเจอกันไปเมื่อช่วงเย็น...
ผมเดินตรงมาที่ประตูหน้าห้อง แล้วกดจอมอนิเตอร์เพื่อดูว่าใครคือผู้มาเยือน ไม่ช้าภาพก็ปรากฏขึ้นบนจอ
ถ้าเป็นเมื่อปีที่แล้ว ผมคงดีใจจนยิ้มกว้างที่ผู้ชายคนนี้ยืนอยู่หน้าห้อง
แต่ในวันนี้ ผมกลับไม่ยินดียินร้ายอะไร แค่รู้สึกสงสัยเสียมากกว่าว่าเขาขึ้นมาบนนี้ได้ยังไง
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปิดประตูห้องด้วยสีหน้านิ่ง
“มาทำไมครับ” คำทักทายสำหรับคนที่ไม่ได้เจอกันเกือบปี
“พี่คิดถึงหงส์” ร่างสูงตรงหน้าที่สวมเสื้อเชิ๊ตสีขาวพอดีตัว
ชายเสื้อหลุดออกนอกกางเกงสแล็คสีน้ำเงิน หน้าของเขาแดงก่ำ ดูก็รู้ว่าถูกกล่อมด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
“ไม่ต้องมาเรียกชื่อนี้” คุยกันไม่ถึงสองประโยค
เขาก็ทำให้ผมขึ้นเสียงใส่ได้อย่างไม่รู้สึกผิด
“หงส์เกลียด” ผมเน้นคำพูด กระแทกใส่หน้าเขา
“ทำไมล่ะหงส์ เมื่อก่อนหงส์ยังชอบให้พี่เรียกชื่อนี้อยู่เลย...
หงส์เคยบอกด้วย ว่ายอมให้พี่ภัทรเรียกน้องหงส์คนเดียว”
พี่ภัทร ผู้ชายที่ทำให้ผมแม่งเกลียดชื่อตัวเอง
“นั่นมันเมื่อก่อนครับ ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว”
พูดจบแล้วผมก็เบือนหน้าหนี ไม่อยากจะมองเขา
“แต่สำหรับพี่ หงส์ยังเป็นที่หนึ่งในใจพี่เหมือนเดิมนะ”
“หงส์เป็นที่หนึ่งในใจพี่ แล้วใครเป็นที่สอง ที่สาม ที่สี่บ้างล่ะ”
พอได้ยินประโยคนี้ ยิ่งทำให้ความรู้สึกของผมเมื่อปีที่แล้วมันชัดเจนขึ้น
พี่ภัทร แฟนคนแรกของผม ตอนนั้นผมอยู่ม.4 ส่วนพี่ภัทรอยู่ม.6
เราคบกันตั้งแต่เรียนมอปลาย จนผมเข้ามหา’ลัยขึ้นปี 2 ผมไม่ค่อยชอบให้ใครเรียกผมว่า ‘หงส์’ แม้แต่คนในครอบครัวผมเอง
เพราะผมรู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับผม แต่พี่ภัทรทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็น ‘หงส์’ จริงๆ
ผมยอมและชอบให้พี่ภัทรเรียกชื่อนี้ แค่คนเดียว
แล้วจุดแตกหักมันก็มาถึงในช่วงเวลานั้น ผมจับได้ว่า
‘ผมเป็นที่หนึ่งในใจพี่ภัทร เพราะพี่ภัทร มีที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า เต็มไปหมด’
จากหงส์ผู้สูงสง่า ก็กลายเป็นควายที่โง่เขลาทันที!!
“พี่ลืมหงส์ไม่ได้” คนตรงหน้ายังคงพร่ำเพ้อ
“พอเหอะพี่ ทุเรศว่ะ”
“แต่พี่คิดถึงหงส์จริงๆนะ” พูดจบพี่ภัทรก็โผเข้ากอดผม ก่อนจะรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆจนผมเริ่มหายใจไม่ออก
ร่างสูงอาศัยความที่ตัวใหญ่กว่าผลักผมเข้ามาในห้องเพื่อหวังจะทำอะไรที่มากกว่านั้น
พอผมตั้งสติได้ ผมก็ใช้วิชามวยไทยที่เรียนมาตอกกลับพี่ภัทรทันที
ทั้งศอก เข่า หมัด พี่ภัทรลงไปนอนกองอยู่กับพื้นหน้าห้องด้วยความสะบักสะบอม
“โอ้ยย หงส์ ทำไมหงส์รุนแรง ทำพี่ทำไม”
“ก็เพราะพี่แหละครับ ทำให้หงส์เป็นแบบนี้...
…ที่หงส์เปิดประตูออกมา ไม่ใช่เพราะหงส์อยากเจอพี่หรอกนะแต่เพราะหงส์อยากรู้ว่า พี่ขึ้นมาบนนี้ได้ยังไง
ขอคีย์การ์ดหงส์คืนด้วย!!”
พูดจบผมก็ก้มลงไปดึงคีย์การ์ดในกระเป๋ากางเกงของคนที่นอนกุมท้องตัวเอง
“พี่แม่งโคตรโง่ ที่ทำแบบนั้นกับหงส์”
‘ปัง’
ผมปิดประตูเสียงดัง พร้อมล็อคประตูทันที
ผมพาตัวเองกลับมานั่งจิบไวน์อยู่ในมุมเดิมแล้วนึกถึงเรื่องอดีต
พี่ภัทร ไม่ใช่คนเลว แต่พี่ภัทร แค่นอกใจ
ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ไม่แรงนักจากไวน์สองแก้วทำให้ผมเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้
เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงแดดที่แยงตาผม เมื่อเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ก็บอกเวลา
07:15
ยังเช้าอยู่เลย แต่ก็คงนอนต่อไม่ได้แล้ว ผมเลยลุกขึ้นไปล้างหน้า แปรงฟัน ก่อนจะกดลิฟต์ลงไปที่ชั้นสระว่ายน้ำ
ผมสลัดความมึนหัวออกไปด้วยการว่ายนำ้อยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ว่ายน้ำเสร็จก็เปลี่ยนมานอนรับลมอยู่ริมสระแทน
แต่ก่อนจะนอนลงบนเตียงก็สังเกตว่าแดดเริ่มแรงขึ้น ทำให้ผมต้องหยิบแว่นกันแดดทรงสวยที่ติดมือมาด้วยขึ้นมาสวม จากนั้นชุดคลุมอาบน้ำสีแดงเลือดนกก็ถูกหยิบขึ้นมาสวมทับกางเกงว่ายน้ำเพื่อปกปิดร่างกาย
ผมนอนหลับตาฟังเพลงสบายๆ อยู่ครู่หนึ่ง เพลงที่กำลังฟังเพลินก็เงียบลง
พร้อมกับเสียงแจ้งเตือนว่ามีคนโทรเข้า
ผมไม่ได้ลืมตาขึ้นมองว่าใครโทรมา แต่กดรับสายจาก Airpods
“ฮัลโหล”
“วีรินทร์ แม่ให้ลุงชัย ขับรถไปจอดไว้ให้ที่คอนโดแล้วนะลูก” แม่ผมโทรเข้ามา
“ขอบคุณนะครับแม่” ผมตอบกลับด้วยความดีใจ
เมื่อวานที่เจอแม่ ผมได้คุยกับแม่ว่าไม่มีเวลากลับไปเอารถที่บ้าน เลยต้องรบกวนแม่ให้ลุงคนขับรถช่วยขับรถมาส่งให้
ผมคุยกับแม่ไม่นานแล้วก็วางสายไป ก่อนจะกดรับสายซ้อนที่รออยู่
“ฮัลโหล”
“มึง คู่มึงไปเที่ยวไหนกันวะ” ไอ้มิวครับ ไอ้นี่โทรเข้ามาทุกวันเป็นกิจวัตร
วันไหนแม่งไม่ได้โทรหาผม แลดูมันจะอยู่ไม่เป็นสุข
“เออว่ะ กูก็ยังไม่รู้เลย เมื่อคืนคู่กูแม่งโทรหากูแล้วบอกจะลองหาดู” ผมตอบไป
“แต่ของมึงยังง่ายไง ของคู่กูนี่สิ ไม่ต้องเที่ยวสุสาน เที่ยวเมรุหรอวะ” ไอ้มิวตัดพ้อ
“ฮ่าๆ แต่ของมึงยากจริงสัส คู่ของมึงว่าไงล่ะ”
“จะว่าไงล่ะ บอกให้กูคิดไง สัส”
“สู้ๆ มึง...เออมิว เมื่อคืนพี่ภัทรมาหากูที่ห้องว่ะ”
ผมตัดสินใจเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ไอ้มิวฟัง เพราะปกติก็เล่าให้มันฟังทุกเรื่องอยู่แล้ว
“เห้ย จริงป่ะเนี่ย แล้วมึงยังไงวะ” มิวดูตกใจ เสียงสูงเชียว
“กูก็ไม่ยังไง แม่งพยายามจะอะไรกู แต่กูเป็นมวยเลยจัดไปหลายดอก ฮ่าๆ”
“มึงไม่สงสารพี่เค้าหรอวะ”
“สงสารกูเนี่ยไอสัส แดกไวน์อยู่ดีๆ เสือกมีมารผจญ”
“แต่ทุกอย่างก็โอเคใช่เปล่า” ไอ้มิวถามน้ำเสียงจริงจัง
“โอเคมึง ไม่ต้องห่วง ไม่มีไร”
“ยังไงมึงก็เข้าวัดเข้าวา ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พี่เค้า จะได้ไม่มากวนมึงอีก”
“เออ กูจะลองดู ฮ่าๆ ไว้คุยกันมึง บาย”
วางสายจากไอ้มิวปุ๊บ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกรอบ รอบนี้เป็นเสียงจากไลน์ครับ!
“ฮัลโหล” ผมยังคงรับสายโดยไม่ลืมตาขึ้นมามอง
“คุณ ผมถึงแล้วนะ” เสียงทุ้มที่ดูสดใสพูดบอก
“หื้ม ทำไมมาเช้าจัง” ผมถามกลับเพราะนี่น่าจะยังไม่ถึงเวลานัด
“ก็มารอคุณไง”
“เอ่อ งั้นรอนานหน่อยนะ”
“ผมรอได้”
หลังจากวางสายผมก็ลืมตาขึ้นมองเวลาจากหน้าจอโทรศัพท์
08:13
ว่าแล้วก็ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่า
09:00
วันนี้ผมอาบน้ำแต่งตัวเร็วมากเป็นพิเศษ เพราะไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนไม่ตรงเวลา
ผมแต่งตัวง่ายๆ สบายๆ ครับ ไม่ได้เยอะอะไร ไม่ได้เซ็ทผมด้วยซ้ำ ลงมาด้านล่างเจอนายเพชรนั่งทำหน้ากวนตีนอยู่ล็อบบี้
นายเพชรสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์สีดำ รองเท้าผ้าใบรุ่นยอดฮิตสีดำ
เกือบจะดูดีแล้วเชียวถ้าผมไม่เหลือบมองตัวเองในกระจกแล้วเห็นว่า
ผมแต่งตัวเหมือนกับนายนั่นเป๊ะ!
แม้แต่รองเท้ายังยี่ห้อและรุ่นเดียวกัน แค่คนละไซส์
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณ ตรงเวลาเป๊ะเลย” ร่างสูงลุกขึ้นจากโซฟา แล้วก้มมองนาฬิกาบนข้อมือ
ส่วนผมกำลังเสียเซลฟ์ที่แต่งตัวซ้ำอยู่ เลยไม่ได้สนใจนายนั่น
ในหัวผมตอนนี้กำลังคิดว่าจะไปเปลี่ยนชุดใหม่
“เห้ยคุณ เราแต่งตัวเหมือนกันเลยว่ะ” คนที่มายืนอยู่ข้างผม หัวเราะเสียงดัง
แล้วมองตัวเองในกระจก ก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้ผม
นายนั่นดูจะภูมิใจมากเป็นพิเศษ
“ขอไปเปลี่ยนชุดแปป” ผมหน้ามุ่ยแล้วทำท่าจะเดินกลับขึ้นไปข้างบน
แต่มือหนาของนายเพชรก็คว้าไหล่ผมไว้ แล้วดึงตัวผมกลับ
“อะไรกันคุณ เปลี่ยนทำไม เหมือนกันก็ดีแล้ว” คนตรงหน้ายังคงยิ้มกว้าง
“ไม่ชอบแต่งตัวซ้ำกับใคร” ผมตอบไปอย่างเหวี่ยงๆ แล้วมองบนใส่
“ก็จะได้ดูเป็นทีมเดียวกันไงคุณ”
“ใครอยากเป็นทีมเดียวกับคุณ” ผมบ่นอุบอิบกับตัวเอง
“แต่ก็ทีมเดียวกันแล้ว ไม่เห็นจะเป็นไรเลย” พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังมีหน้ามาตบไหล่ผมปุๆ
“ก็ไม่ชอบอ่ะ” ผมยังคงยืนกราน ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่ชอบแต่งตัวซ้ำกับใคร เข้าใจมั้ยวะ!
“แต่ผมชอบนะ”
“ชอบบ้าอะไร” ผมสวนกลับไปด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
“ชอบคุณ...”
ฮะ!!
เงียบ
เขานิ่ง ผมนิ่ง
แดกจุด
“เอ่อ ผมหมายถึงชอบที่คุณแต่งตัวแบบนี้...ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกคุณ มันดีแล้ว”
“จริงๆ น้า” เป็นเสียงสองที่ฟังแล้วอยากจะอ๊วกมากครับ
เอาเถอะ ไม่เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน เสียเวลา...
“ไม่เปลี่ยนก็ได้ แต่ต้องเอารถยนต์ไปนะ ไม่นั่งมอ’ไซค์ ไม่ได้แต่งตัวมาเป็นสก๊อย”
“ครับ” นายนั่นตอบรับอย่างว่าง่าย แล้วเดินตามผมมาที่รถโดยดี
วันนี้ผมแต่งตัวโคตรเบา
เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ในมือถือกระเป๋าเงิน โทรศัพท์มือถือ
ไม่มีกระเป๋าพะรุงพะรัง หรือเครื่องสำอางค์ใดใด
.
.
.
.
เพราะทุกอย่างอยู่บนรถ
แม่ผมเตรียมมาให้จากบ้านแล้วยังไงล่ะครับ
ผมถามนายเพชรเรื่องสถานที่ที่เราจะไปกันในวันนี้ ส่วนนายนั่นก็เอาแต่ต่อรองเรื่องจะขอขับรถเอง
ทีแรกผมก็ไม่ยอม เขาเลยยกใบขับขี่ขึ้นมาโชว์ พร้อมดึงดันจะเป็นคนขับเอง พอเห็นว่ายืนตากแดดเถียงกันไปก็ไม่ได้ประโยชน์
ผมเลยกระทืบเท้าใส่เขาทีนึง แล้วเดินขึ้นมานั่งฝั่งด้านข้างคนขับ
นายเพชรดี๊ด๊าที่ตัวเองได้เป็นคนขับ ผมเห็นแล้วรู้สึกรำคาญลูกตาเลยหยิบแว่นกันแดดมาสวม ก่อนจะเบือนหน้าหนีออกนอกหน้าต่าง
คนขับรถขับออกมาจากคอนโดอย่างนิ่มๆ ผมแอบหันไปสังเกตเขาบ้างเป็นระยะ ตอนนี้เขาหยิบแว่นกันแดดของตัวเองมาสวมเช่นกัน ดูเหมือนว่านายนั่นจะใช้อุปกรณ์ในรถของผมได้อย่างคุ้นเคยเลยทีเดียว เขาต่อบลูทูธจากโทรศัพท์มือถือแล้วเปิดเพลงที่เข้ากับบรรยากาศเช้าวันเสาร์ให้ผมฟัง
จังหวะการออกตัว การขับขี่ และการเบรคของเขาทำให้ผมรู้สึกวางใจไม่น้อย เขาขับได้ดีกว่าที่ผมคิด มันนิ่ม เงียบ คงที่ แล้วก็ดูปลอดภัย
ผมเลิกสนใจคนด้านข้างแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายคลิปรถบนถนนลง IG Story พร้อมกับใส่แคปชั่นว่า On My Way
ครู่ใหญ่รถคันสวยของผมก็วิ่งมาในย่านพระนคร ก่อนที่คนด้านข้างจะชะลอความเร็วลง
“ถึงแล้วหรอ” ผมพูดถามเมื่อเห็นเขาทำท่าจะจอด แต่มองออกไปด้านนอกกลับไม่เห็นจะมีหงส์ซักกะตัว
“เดี๋ยวกินข้าวเช้าก่อน ผมรู้คุณยังไม่ได้ทานอะไรมา” คนด้านข้างถอยรถเข้าจอดอย่างชำนาญ
เขาพูดตอบผมแต่ตามองกระจกหลัง ส่วนมือก็บิดพวงมาลัย ท่าทางดูตั้งใจ...
“รู้ได้ยังไง” ผมถามแล้วมองนายนั่นถอยรถ
“คุณอาบน้ำแต่งตัวนาน คงจะไม่มีเวลาทานอะไรตอนเช้าหรอกครับ”
พูดจบร่างสูงที่ถอยรถเสร็จพอดี ก็ถอดแว่นออก เขาหันมายิ้มให้ผม
ผมมองเขานิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป
แล้วมือหนาก็เอื้อมมาปลดเข็มขัดนิรภัยออกให้ผม พร้อมกับร่างของเขาที่เอี้ยวมา นายนี่เป็นคนมือไวเหมือนกันแฮะ
“ไปกันครับ”
หน้าคมที่อยู่ห่างหน้าผมไม่มาก เงยขึ้นมาหลังจากปลดเข็มขัดนิรภัยให้ผมเสร็จ
เขาจ้องหน้าผมใกล้ๆ จนทำให้ผมต้องผละตัวเองออกห่าง
ผมเดินตามหลังนายเพชรอยู่ไม่ห่าง แต่ดูท่าทางเขาจะไม่ค่อยไว้ใจผมสักเท่าไหร่ เพราะเขาหันกลับมามองผมเป็นระยะๆ
เราสองคนก็มาหยุดยืนอยู่หน้าร้านกาแฟโบราณแห่งหนึ่ง บรรยากาศภายในดูคลาสสิค
ผมเงยหน้ามองป้ายชื่อด้านหน้าก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันที เห็นหลายคนมากินแล้วถ่ายรูปลงโซเชียลกัน แต่ผมยังไม่เคยมีโอกาสมา
คนในร้านไม่เยอะมาก อาจจะเพราะเริ่มสายแล้ว จึงพอมีโต๊ะว่างให้เรา
ร่างสูงเดินนำผมเข้าไปข้างในแล้วเลือกโต๊ะที่อยู่ติดผนัง ก่อนจะเรียกให้ผมนั่งลงข้างเขา โต๊ะนี้มีเก้าอี้สองตัววางอยู่ข้างกันในลักษณะที่ไม่ทำให้รู้สึกน่าอึดอัดมากนัก
ผมจึงยอมนั่งลง โดยไม่ได้ขยับเก้าอี้ใดๆ
“ที่นี่มีไรกินบ้างอ่ะ” ผมพูดถามพร้อมกับหันมองบรรยากาศรอบร้าน
“เมนูขึ้นชื่อก็ไข่กระทะครับ ทีเด็ดเลย”
“อืม เอาไข่กระทะก็ได้ แล้วก็โกโก้เย็น”
ผมเลือกเมนูง่ายๆ ช่วงเช้าไม่ได้รู้สึกอยากจะกินอะไรมากเป็นพิเศษ
“ครับ” นายเพชรตอบรับ ก่อนจะเดินไปสั่งอาหารและเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์
รอไม่นาน ไข่กระทะและโกโก้เย็น 2 ชุดก็ถูกวางลงบนโต๊ะ
“ทำไมสั่งเหมือนกัน” ผมถามนิ่งๆ แล้วก้มมองจานของตัวเองสลับกับของเขา
“ก็ชอบเหมือนกัน” นายเพชรพูดตอบ เขาไม่ได้สนใจมองผม
เขาหยิบกล้อง mirrorless ในเป้ที่เขาสะพายติดตัวขึ้นมาถ่ายภาพอาหาร
ก่อนจะหันไปถ่ายบรรยากาศภายในร้าน แล้วก็จบลงด้วยการถ่ายรูปผม
“เห้ย ไม่เอา คุณไม่ถ่าย” ผมเสียงดังขึ้น แล้วพยายามแย่งกล้องมาลบรูป
“ถ่ายไปแล้ว” นายนั่นยิ้มแล้วเอากล้องไปซ่อนไว้ด้านหลัง
ทำให้ผมต้องพยายามยื้อสุดตัว จนเริ่มรู้สึกเมื่อย
ผมหยุดแย่งทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่ม เหงื่อออก!
นายเพชรแลบลิ้นปลิ้นตา แล้วหัวเราะสะใจที่ผมแย่งกล้องในมือเขาไม่สำเร็จ
ผมมองบน แล้วหันมาสนใจไข่กระทะตรงหน้า แน่นอนว่า IG Story ของผมได้บันทึกภาพอาหารเช้ามื้อนี้เป็นที่เรียบร้อย
เราสองคนใช้เวลากับอาหารมื้อนี้กันอย่างเงียบๆ นายนั่นชวนผมคุยสัพเพเหระบ้าง ผมก็ตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง
จนเวลาผ่านไปไม่นาน เราก็กินเสร็จเรียบร้อย
ผมหยิบกระเป๋าตังค์แล้วยื่นแบงก์พันส่งไปให้คนด้านข้าง
“อะไรหรอคุณ” นายเพชรเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองกลับมาอย่างสงสัย
“ค่าอาหารเช้า”
“ฮะ ไม่เป็นไรคุณ ผมเลี้ยง” เขายิ้มอย่าง งงๆ
ผมสิควรจะงง ว่าจะมาเลี้ยงกันทำไม
“เลี้ยงทำไม จ่ายเองได้” ว่าแล้วผมก็ยื่นเงินใส่มือเขา แต่นายเพชรถอยมือกลับ
“ผอมอย่างคุณ ผมเลี้ยงไหวน่า”
ผมเป็นพวกขี้รำคาญครับ ถ้าให้แล้วไม่รับก็ไม่ตื้อ
“ป๋าว่างั้น” ผมพูดพลางลุกขึ้น แล้วเก็บเงินใส่กระเป๋าตังค์
นายเพชรยักคิ้วให้ผมทีนึง แล้วส่งยิ้มมุมปากมา
ผมกับนายเพชรกลับมานั่งบนรถพร้อมกับสวมแว่นกันแดดของใครของมัน เขายังคงชวนคุยเรื่องอาหารเช้าเมื่อครู่ พร้อมกับแนะนำเมนูโน้นนี้อีกมากมาย แถมยังพูดอีกว่า ถ้าติดใจวันหลังจะพาไปกินอีกหลายๆ ที่ เขาจะเลี้ยงผมเอง
ผมก็พยักหน้ารับไปงั้น แต่ในใจกลับถามว่า ‘ใครขอ’
นายคนขับรถ ขับรถต่อไปอีกไม่นานก็ถึงสถานที่ที่เขาบอกว่าจะพาผมมาในวันนี้
‘วัดหงส์รัตนาราม’
“นี่แหละคุณ ที่ผมจะพามาวันนี้” ร่างสูงพูดหลังจากจอดรถเป็นที่เรียบร้อย
“เข้าใจคิดนะ” ก็ยอมรับว่านายเพชรฉลาดครับ ในเมื่อกรุงเทพมันหาที่ที่มีหงส์ยากเย็นนัก ก็พามาสถานที่ที่ชื่อหงส์แทน
จะเป็นไรไป
นายเพชรเดินนำผมไปที่อุโบสถ โดยถอดรองเท้าไว้ข้างนอก แล้วเดินเข้าไปข้างในอย่างสำรวม เราเดินเข้าไปกราบพระ จากนั้นเขาก็ถ่ายรูปนิดหน่อย พอถ่ายเสร็จคนด้านข้างก็หันมาพูดกับผม
“นั่งสมาธิกัน” ว่าแล้วร่างสูงก็นั่งลง แล้วประสานมือไว้บนตักให้ผมดู
ก่อนจะหลับตาลงสนิทผมมองตาม แล้วก็ยอมทำตามเขาอย่างขัดไม่ได้
ลมเย็นเอื่อยกับบรรยากาศที่เงียบสงบ ทำให้รู้สึกดีไม่น้อยไม่กว่าบรรยากาศเมื่อคืนเลยครับ
ถ้าไม่รู้สึกเมื่อยขา อะไรๆคงจะดีกว่านี้
ครู่ใหญ่ คนด้านข้างก็สะกิดชวนผมออกมาจากอุโบสถ แล้วเดินไปยังสระน้ำมนต์ นายเพชรเล่าประวัติความเป็นมาต่างๆให้ผมฟังอย่างคนที่รู้จริง แล้วก็พาผมสรงน้ำพระประจำวันเกิด ผมเกิดวันเสาร์ ส่วนเขาเกิดวันศุกร์
เราเดินรอบวัด ถ่ายเก็บบรรยากาศโดยรอบ เมื่อเสร็จแล้วก็เดินกลับมาที่หน้าอุโบสถอีกครั้ง ดูเหมือนว่านายนี่จะมีความธรรมะธัมโมอยู่เหมือนกัน ถึงได้คิดพามาวัด
ผมยืนถ่ายรูปวัดโดยใช้โทรศัพท์ตัวเอง ขณะที่นายนั่นเดินไปคุยกับใครสักคน
เด็กผู้หญิงที่น่าจะยังเรียนอยู่แค่ม.ต้น เดินกลับมาพร้อมเขา
เขายื่นกล้องให้เด็กคนนั้น แล้วเดินกลับมาหาผม
“ถ่ายรูปคู่กันคุณ” เขายิ้มเรียบๆ ส่งมาให้ผม
“ไม่ถ่ายอ่ะ” ผมส่ายหัวแล้วปฏิเสธทันที
“แต่เรามาทำงานนะคุณ เดี๋ยวอาจารย์ไม่รู้ว่าเรามาด้วยกัน”
“อือ อือ” ผมพยักหน้ารับอย่างปฏิเสธไม่ได้
“ยิ้มนะค้า” น้องที่นายเพชรใช้ให้ถ่ายรูปพูดบอก ผมยิ้มแหยๆ แล้วขยับตัวออกห่างนิดหน่อย
“พี่ตัวเล็กขยับเข้ามาอีกก็ได้ค่ะ ยืนห่างจังเลย อุตส่าห์ใส่ชุดคู่กัน” น้องเขาบอก ชุดคู่อะไรกันล่ะน้อง!! ผมอยากจะบ้า
แล้วนายนั่นก็หันมองผม ก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ จนไหล่ชนกัน
“ยิ้มหน่อยสิคุณ ทำหน้าเหมือนถูกบังคับให้มา” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วคิดถึงทุ่งดอกลาเวนเดอร์เอาไว้
ก่อนจะฉีกยิ้มออกมาอย่างสดใส ด้วยจิตใจที่ปลอมเปลือก
ถ่ายรูปเสร็จ ก็ถือเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจในวันนี้
ผมเดินกลับมาที่รถ โดยที่เดินนำหน้านายนั่นอยู่ ระหว่างทางเขาก็เรียกผมด้วยคำเดิมๆ
“คุณ คุณณณณ”
ผมหันกลับไปมอง พร้อมกำลังจะด่าว่าเสียงดังทำไม
แต่นายเพชรดันเอาหน้าเข้ามาใกล้ผม แล้วยกโทรศัพท์ของเขาขึ้นมาถ่ายเซลฟี่
เขากดชัตเตอร์เร็วมาก ถ่ายได้ 2-3 รูป เห็นจะได้ ทำไมนายนี่ชอบถ่ายรูป แบบไม่ให้ผมได้ตั้งตัว
ว่าแล้วผมก็พยายามจะยื้อโทรศัพท์จากมือเขากลับมาลบรูปอีกครั้ง ครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้
แต่อย่างที่บอกครับ นายนั่นเป็นพวกมือไว
เขาเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง แล้ววิ่งหนีผมนำไปที่รถเรียบร้อย
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจกับตัวเองแล้วเดินตามนายเพชร
รู้สึกเอือมระอาอย่างบอกไม่ถูก
“แน่จริงก็ตามให้ทันสิคุณณณ” เขายังมีหน้าหันกลับมาท้าให้ผมวิ่งตามอีก
กูไม่แน่จริงเว้ย!
ผมได้แต่เดินช้าๆ มองไอ้คนขายาว ที่วิ่งนำหน้าผมไปอย่างร่าเริง ไม่รู้นายนั่นคิดอะไร โตๆ กันแล้ว เล่นเป็นเด็กไปได้
**To Be Continued**
น้องเพชรมันร้าย มือไวแถมยังแอบเนียน
พาหนูวีรินทร์มาทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขันโดยไม่รู้ตัว
ส่วนหงส์ เอ้ยวีรินทร์ของเรา ก็เฉลยมาแล้วว่าทำไมไม่ชอบให้ใครเรียกชื่อเล่น
เพราะได้รับตำแหน่งที่หนึ่งในใจพี่ภัทรนี่เอง
แล้วเวลาอยู่กับนายเพชรเนี่ย ทำโวยวายไปงั้นรึเปล่า
เดี๋ยวจะแพ้ทางคนกวนตีนโดยไม่รู้ตัว